December 20, 2025

บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด และสมาคมปัญญาประดิษฐ์แห่งประเทศไทย ร่วมจับมือกันในโครงการพัฒนาทักษะดิจิทัล “Super AI Engineer Season 2” รอบตัดสิน

พร้อมประกาศผู้ชนะจากโครงการ ส่งมอบรางวัลเป็นคลาวด์เครดิตมูลค่า 150,000 บาท และต่อยอดความร่วมมือสู่ปีที่ 3 เพื่อความต่อเนื่องของแนวคิดการส่งเสริมอีโคซิสเต็มของนักพัฒนาไทย เพื่อบ่มเพาะบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และรองรับการก้าวขึ้นสู่การเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลของประเทศไทย

ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวถึงพิธีประกาศผู้ชนะในโครงการความร่วมมือเพื่อพัฒนาทักษะดิจิทัล “Super AI Engineer Season 2” ครั้งนี้ว่า “ในนามของบริษัทหัวเว่ย ผมต้องขอขอบคุณพาร์ทเนอร์จากภาคการศึกษา รวมถึงสมาคมปัญญาประดิษฐ์แห่งประเทศไทย ที่ได้ให้เกียรติหัวเว่ยในการเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรด้านดิจิทัลของประเทศไทย โดยหัวเว่ยได้สนับสนุนใน 2 ด้านหลัก ได้แก่ ด้านการแบ่งปันความรู้ ความเชี่ยวชาญในระดับโลก เพื่อช่วยยกระดับความสามารถและให้คำปรึกษาเรื่องเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ให้แก่บุคลากรไทย อีกด้านคือเราได้สนับสนุนบริการหัวเว่ยคลาวด์ของเราให้ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในโครงการฝึกอบรม เนื่องจากเทคโนโลยีคลาวด์มีความสำคัญอย่างมากต่อการใช้พัฒนา AI และคลาวด์ของหัวเว่ยก็มีประสิทธิภาพสูงและมีมาตรฐานระดับโลก สามารถใช้ทำงานได้อย่างรวดเร็วด้วยค่าความหน่วง

เขากล่าวเสริมว่าการพัฒนาเทคโนโลยี AI เปรียบเสมือนการทดลองสร้างไอเดีย โดยเทคโนโลยีคลาวด์ถือเป็นเทคโนโลยีที่มีค่า OPEX (ค่าใช้จ่ายที่จ่ายแล้วจ่ายเลยในครั้งเดียว) ที่ต่ำ ช่วยให้การทดลองสร้าง AI ในแต่ละครั้งมีต้นทุนต่ำ หากการทดลองประสบความสำเร็จก็จะสามารถพัฒนาต่อยอดไปได้อย่างรวดเร็ว แต่หากไอเดียดังกล่าวมีผลลัพธ์ที่ไม่สามารถไป ต่อได้ ต้นทุนที่เสียไปในการทดลองก็ค่อนข้างน้อย โดยทุกวันนี้ เทคโนโลยีถือเป็นพื้นฐานในทุกๆ ด้าน เทคโนโลยีคลาวด์ และ AI มีความพร้อมเป็นอย่างยิ่งที่จะรองรับการนำไปพัฒนาต่อยอด โดยในแต่ละปี หัวเว่ยจัดงบประมาณการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเอาไว้เป็นจำนวนมาก โดยมีมูลค่าสูงถึง 22,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี พ.ศ. 2564 ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการพัฒนาบุคลากร โดยหัวเว่ยพร้อมที่จะสนับสนุนการขับเคลื่อนของประเทศไทยผ่านการสนับสนุนบุคลากรไทยให้นำไอเดียเหล่านี้มาต่อยอด เพื่อสร้างให้เกิดตัวอย่างการใช้งานที่ประสบความสำเร็จในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ โดยผู้เข้าร่วมโครงการฝึกอบรม Super AI Engineer ถือเป็นหนึ่งในพลังสำคัญและตรงกับพันธกิจของหัวเว่ยที่ต้องการผลักดันประเทศไทยให้ก้าวขึ้นเป็นดิจิทัลฮับแห่งภูมิภาค

นายเทพชัย ทรัพย์นิธิ อุปนายก สมาคมปัญญาประดิษฐ์แห่งประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมถึงโครงการ Super AI Engineer Season 2 ว่า “ในฐานะตัวแทนของสมาคม ผมต้องขอขอบคุณทางหัวเว่ยที่ช่วยสนับสนุนคลาวด์เซอร์วิสให้ผู้เข้าอบรมในการใช้ทำโจทย์ของโครงการทุกสัปดาห์ ทั้งนี้ เทคโนโลยีคลาวด์ถือเป็นหัวใจสำคัญสำหรับโครงการฝึกอบรมด้าน AI เพราะการประมวลผล AI ใช้ทรัพยากรมหาศาล จำเป็นต้องพึ่งการทำงานบนคลาวด์ เพื่อให้น้องๆ ในโครงการทำงานได้อย่างราบรื่น ที่สำคัญเทคโนโลยีคลาวด์ของหัวเว่ยยังใช้งานง่าย ประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ได้เร็วมาก ทั้งยังมีค่าความหน่วง (Latency) ต่ำ ซึ่งถือว่าจำเป็นอย่างมากสำหรับการประยุกต์ใช้งานในภาคสาธารณสุขและภาคอุตสาหกรรมการผลิต นอกจากนี้ การสนับสนุนหัวเว่ยเครดิตของบริการหัวเว่ย คลาวด์ มูลค่า 2.2 ล้านบาทให้แก่โครงการ และรางวัลแก่ผู้ชนะเป็นคลาวด์เครดิตมูลค่า 150,000 บาทยังช่วยทำให้พวกเขาสามารถนำไปต่อยอดทางธุรกิจได้ทันที และช่วยประหยัดต้นทุนได้

ทั้งนี้  อุปนายก สมาคมปัญญาประดิษฐ์ ฯ ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าทางสมาคมปัญญาประดิษฐ์แห่งประเทศไทยกำลังอยู่ในระหว่างการหารือกับหัวเว่ยเพื่อต่อยอดความร่วมมือสำหรับโครงการฝึกอบรม Super AI Engineer ปีที่ 3 โดยจะเริ่มเปิดรับสมัครผู้เข้าฝึกอบรมในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งทางสมาคมจะต่อยอดการสนับสนุนทางด้านบุคลากรและองค์ความรู้จากหัวเว่ย เพื่อให้ช่วยฝึกอบรมด้านการประยุกต์ใช้งานปัญญาประดิษฐ์ในระดับโลกให้แก่บุคลากรด้านไอทีในประเทศไทย โดยปัจจุบัน บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี AI ในประเทศไทยยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด แม้จะมีการเติบโตในกลุ่มสาขา Data Science ในอุตสาหกรรมการเงิน ด้าน Image Processing และด้าน NLP สำหรับการพัฒนาแชทบอท แต่บุคลากรด้านนี้ก็ยังถือว่ามีจำนวนน้อย

สำหรับผู้ชนะเลิศในโครงการ Super AI Engineer Season 2 ได้แก่นายพรระติชัย ไวโรจนะพุทธะ ซีอีโอของสตาร์ทอัพ Indezy โดยโครงการที่ชนะการประกวดคือการออกแบบระบบ AI ของหุ่นยนต์ส่งสินค้าสำหรับคอยเติมสินค้าที่ขาด บนชั้นวางจำหน่ายสินค้าในร้าน True Shop โดยเขายังให้ข้อมูลว่าเทคโนโลยีคลาวด์ของหัวเว่ยมีจุดแข็งในด้านความเร็วและ ความง่ายในการใช้งานที่เหนือกว่าบริการคลาวด์ของแบรนด์อื่นๆ เขายังกล่าวขอบคุณหัวเว่ยที่ช่วยสนับสนุนให้คอมมูนิตี้

เทคโนโลยี Machine learning และ AI ในประเทศไทยให้ก้าวไปได้ไกลขึ้น ทำให้อีโคซิสเต็มของคอมมูนิตี้แข็งแกร่งขึ้น และทำให้นักพัฒนาในไทยมีแรงบันดาลใจที่จะออกมาตามหาความฝันต่อไป

โครงการฝึกอบรม Super AI Engineer มีจำนวนผู้เข้าฝึกอบรมเป็นจำนวน 2,500 คนในปีแรก และในปีนี้ (ซีซั่น 2) มีจำนวนผู้เข้าฝึกอบรมและแข่งขันทั้งหมด 5,700 คน ซึ่งหลังจากการประกาศรับสมัคร ผู้เข้าร่วมโครงการจะถูกคัดเลือกเหลือเพียง 200 คน จากนั้นจะเหลือ 10 คนเพื่อแข่งขันแบบเรียลลิตี้ และค้นหาผู้ชนะการแข่งขัน 1 คนสุดท้าย โดยค่ายการอบรมแรกเป็นการเรียนการสอนผ่านออนไลน์ ค่ายที่สองเป็นการฝึกอบรมนอกสถานที่ซึ่งจะมีโจทย์มาให้ทำไม่ซ้ำกันทุกสัปดาห์ จากทางสมาคมและบริษัทเอกชน ส่วนค่ายการฝึกอบรมที่สามจะเป็นการส่งตัวแทนเข้าไปปฏิบัติงานในบริษัทเอกชนเพื่อ สั่งสมประสบการณ์การทำงานในสถานการณ์จริง

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เป็นบริษัทฯ  มีความมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจเพื่อความสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio–Circular–Green Economy Model หรือ BCG Economy Model) ซึ่งเป็นหนึ่งในวาระแห่งชาติของรัฐบา

ในการจัดประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Asia Pacific Economic Cooperation : APEC) หรือ APEC 2022 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ  ทาง CPF  ได้นำสองผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาจากแนวคิดเรื่องความยั่งยื่น คือ เนื้อจากพืช ภายใต้แบรนด์ MEAT ZERO และ ไก่เบญจา จากแบรนด์ U FARM ซึ่งมีห่วงโซ่การผลิตภายใต้ BCG ขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย Net-Zero Emisstion ( การปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ) มาจัดแสดง ภายในงาน “APEC 2022 Thailand : Showcase at ICONSIAM” เพื่อสื่อสารประชาสัมพันธ์และร่วมสร้างการมีส่วนร่วมให้คนไทยภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าภาพการประชุม APEC 2022

ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร. นายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด. นางพรรณินี นันทพานิช รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส และนางสาวสุชาดา วีระเมธีกุล รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาดกลาง ซีพีเอฟ ร่วมในงาน

"MEAT ZERO" ผลิตภัณฑ์เนื้อจากพืช เป็นนวัตกรรม ‘PLANT-TEC' ช่วยให้โปรตีนจากพืชมีเนื้อสัมผัส และรสชาติเหมือนเนื้อสัตว์จริง โดยไม่มีโคเลสเตอรอล ไขมันต่ำ ไฟเบอร์สูง  โดยลดขั้นตอนการเลี้ยงสัตว์ในฟาร์ม ด้วยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยและนวัตกรรมขั้นสูงเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต"MEAT ZERO" 

ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์เนื้อจากพืช เป็นนวัตกรรม ‘PLANT-TEC' ที่ทำให้โปรตีนจากพืชมีเนื้อสัมผัส และรสชาติเหมือนเนื้อสัตว์จริง ไม่มีโคเลสเตอรอล ไขมันต่ำ ไฟเบอร์สูง ซึ่งลดขั้นตอนการเลี้ยงสัตว์ในฟาร์ม ด้วยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยและนวัตกรรมขั้นสูงเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต

"ไก่เบญจา" อีกผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมของซีพีเอฟที่คัดเลือกไก่สายพันธุ์พิเศษมาเลี้ยงด้วยซูเปอร์ฟู้ด อาทิ ข้าวกล้อง และ Flex Seed ทำให้ได้เนื้อไก่มีสีชมพู หอม นุ่ม ฉ่ำกว่าเนื้อไก่ทั่วไปถึง 55% มีโอเมก้า 3 สูง 100% ปลอดสาร ปลอดภัย จากธรรมชาติ ไม่ใช้ฮอร์โมนและไม่ใช้ยาปฏิชีวนะตลอดการเลี้ยงดู ได้การรับรองมาตรฐานระดับโลกจาก NSF ทั้งนี้ กระบวนการผลิตไก่สดของซีพีเอฟ มีคาร์บอนฟุตพรินท์ต่ำกว่าเนื้อไก่สดทั่วไปถึง 50% ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและบรรเทาผลกระทบจากภาวะโลกร้อน

ทั้งนี้ ไก่เบญจา และ MEAT ZERO  เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรางวัล “สุดยอดรสชาติอาหารระดับโลก ประจำปี 2022” หรือ Superior Taste Award 2022 จากสถาบันชั้นนำของโลก International Taste Institute ณ กรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยม

งาน “APEC 2022 Thailand : Showcase at ICONSIAM” เป็นความร่วมมือระหว่าง สยามพิวรรธน์ ในฐานะพันธมิตรด้านการสื่อสารและประชาสัมพันธ์การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ปี 2022 ของไทยและกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-20 พฤศจิกายน 2565 ณ เจริญนครฮอลล์ ชั้น M ไอคอนสยาม ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟ  ได้เข้าร่วมแสดงศักยภาพผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมของไทยและของโลก ภายใต้แนวคิด "Sustainable Kitchen of the World …Towards Net-Zero" ร่วมขับเคลื่อนโลกสู่ความยั่งยืน ภายในงานประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก 2022 (Asia-Pacific Economic Cooperation : APEC 2022) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 

 

เป็นเวลากว่า 4 ปีหลังจากเรื่องราวของซูเปอร์ฮีโรสายเลือดแอฟริกันในอาณาจักรลับแลสุดล้ำสมัยในทวีปแอฟริกาตะวันออก ได้ถูกถ่ายทอดลงบนจอหนังไปทั่วโลก ในเดือนพฤศจิกายนปี 2565 นี้ ภาคต่อของเรื่องราวมหากาพย์กำลังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศไทยให้เหล่าแฟน ๆ ได้ดื่มด่ำไปกับเรื่องราวของเหล่านักรบและราชินีในชนเผ่าที่รวมพลังกันปกป้องอาณาจักรจากภัยคุกคามของเมืองลึกลับใต้บาดาล โดยอาศัยพลังพิเศษ ที่รวมไปถึงความเร็วและความแข็งแกร่งเหนือมนุษย์

ผลสำรวจล่าสุด* ของ Booking.com เผย 90% ของผู้เดินทางชาวไทยระบุว่าปัจจัยสำคัญในการเลือกจุดหมายปลายทางสำหรับทริปท่องเที่ยวของพวกเขา คือการได้เห็นทัศนียภาพของธรรมชาติอันงดงาม Booking.com จึงได้ค้นหาและรวบรวม 4 จุดหมายปลายทางแนะนำ ที่สะท้อนถึงความลึกลับและเอกลักษณ์เฉพาะตัวของชนเผ่าแอฟริกัน ตั้งแต่ทุ่งหญ้าสะวันนาอันกว้างใหญ่ เทือกเขาอันตระการตา และน้ำตกที่ตั้งสูงตระหง่าน ที่จะทำให้เหล่าผู้เดินทางรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปยังอาณาจักรลับแลของซูเปอร์ฮีโรในภาพยนตร์เรื่องโปรด และได้ผจญภัยท่ามกลางฉากหลังอันน่าตื่นตาตื่นใจในภาพยนตร์จริง ๆ

มาเซรู เลโซโท

เมืองหลวงในประเทศแถบแอฟริกานี้ ชาวท้องถิ่นรู้จักกันในชื่อ ‘Kingdom in the Sky’ หรือ อาณาจักรแห่งฟากฟ้า เนื่องจากมีเทือกเขาตระการตามากมาย นอกจากนั้นราชอาณาจักรเลโซโท ยังถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขา และที่ราบสูงในทวีปแอฟริกาใต้ และถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำหลักของอาณาจักรลับแลในภาพยนตร์ ด้วยทัศนียภาพของแม่น้ำ และทิวเขาที่ตัดสลับไขว้กันไปมา อีกทั้งน้ำตกอันงดงาม และยอดเขาสีเขียวมรกตอันเจิดจรัสของเทือกเขามาโลตี ที่จะทำให้เหล่าผู้เดินทางรู้สึกเหมือนได้อยู่ท่ามกลางฉากภาพยนตร์ไซไฟในจักรวาลคู่ขนาน

ที่พักแนะนำ: The Clan Guest House ที่พักรักษ์โลกที่ได้รับสัญลักษณ์ที่พักสำหรับเดินทางอย่างยั่งยืนบน Booking.com ที่พักแห่งนี้ตั้งอยู่ในกรุงมาเซรู หลังจากที่คุณใช้เวลาทั้งวันผจญภัยท่ามกลางสถานที่ถ่ายทำอันงดงามแล้ว คุณสามารถพักผ่อนและดื่มด่ำไปกับอาหารอันแสนอร่อยจากวัตถุดิบในท้องถิ่น ท่ามกลางวิวพระอาทิตย์ตกในสวนที่ออกแบบมาอย่างเฉพาะตัวของที่พัก

บวินดี ยูกันดา

ด้วยความงามตามธรรมชาติอันน่าตื่นตาของทิวเขารูเวนโซรี (Rwenzori Mountain range) และ อุทยานแห่งชาติบวินดี (Bwindi National Park) ในเขตตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศยูกันดา ทำให้ทีมผู้ผลิตภาพยนตร์ได้แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ฉากสุดตระการตาให้กลายมาเป็นถิ่นฐานของชนเผ่าอันทรงพลังในภาพยนตร์เรื่องนี้ ป่าดงดิบบวินดี (Bwindi Impenetrable Forest) เป็นหนึ่งในมรดกโลกทางธรรมชาติขององค์การยูเนสโก มีอายุราว 25,000 ปี ป่าทึบบวินดีเป็นป่าฝนดึกดำบรรพ์ที่อุดมไปด้วยระบบนิเวศที่มีเอกลักษณ์เฉพาะและมีความงามทางธรรมชาติอันน่าทึ่ง อุทยานแห่งนี้ยังมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะบ้านของประชากรกอริลลากว่าครึ่งโลก จึงทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่นักเดินทางต่างอยากมาผจญภัยและตามหาเหล่ากอริลลา รวมทั้งจ่าฝูงที่มี ‘หลังสีเงิน’ (Silverback) แบบตัวเป็น ๆ สักครั้งในชีวิต

ที่พักแนะนำ: Rushaga Gorilla Lodge ตั้งอยู่ที่เมือง Bugambira ใกล้กับ Rushaga Region หนึ่งในเส้นทางตามรอยกอริลลาที่อยู่ในบริเวณอุทยานแห่งชาติบวินดี โดยที่พักสุดหรูแห่งนี้มีบริการให้เช่ารถจักรยานเพื่อชมทิวทัศน์ภายในอุทยาน ให้ผู้เดินทางได้ผจญภัยท่ามกลางธรรมชาติสุดตื่นตา และจินตนาการถึงพลังซูเปอร์ฮีโรจากหนังเรื่องโปรดได้อย่างเต็มที่

ปูแอร์โตอีกวาซู อาร์เจนตินา

ผู้เดินทางที่กำลังมองหาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่แสดงให้เห็นถึงความทรงพลังของสรรพสิ่งในโลก ซึ่งเหมาะกับคาแรคเตอร์ของตัวละครหลักในภาพยนตร์ จะต้องไม่พลาดที่จะไปเยือน ‘ปูแอร์โตอีกวาซู’ ประเทศอาร์เจนตินา อันเป็นจุดหมายที่ผู้คนต่างปักหมุดเพื่อเดินทางไปยัง ‘น้ำตกอีกวาซู' สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติแห่งหนึ่งของโลก โดยภาคแรกของหนังซูเปอร์ฮีโรสายเลือดแอฟริกันใช้น้ำตกแห่งนี้ในการถ่ายทำฉาก ‘น้ำตกนักรบ’ (Warrior Falls) เพื่อสถาปนากษัตริย์ของอาณาจักร ผู้เดินทางสามารถก้าวเข้าสู่โลกแห่งตำนานและสัมผัสกับความตระการตาของธรรมชาติได้ที่น้ำตกอีกวาซูแห่งนี้ ซึ่งประกอบไปด้วยน้ำตกน้อยใหญ่ถึง 275 แห่ง และน้ำตกที่สูงที่สุดมีความสูงตระหง่านถึง 80 เมตร นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมล่องเรือ ที่เปิดโอกาสให้คนทั่วไปได้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติและฉากสุดขลังในภาพยนตร์ได้อย่างใกล้ชิดและเป็นส่วนตัว

ที่พักแนะนำ: The Loi Suites Iguazu Hotel เป็นที่พักที่มีสถาปัตยกรรมอันสวยงาม ผสมผสานกับเอกลักษณ์ของป่าฝนกึ่งเขตร้อนและเขตอบอุ่น จากที่พักคุณสามารถขับรถในระยะสั้น ๆ ไปยังน้ำตกอีกวาซู นอกจากนั้นที่พักสุดหรูแห่งนี้ยังรายล้อมไปด้วยทัศนียภาพของเขตป่าฝน ที่ทำให้ผู้เดินทางรู้สึกเหมือนได้พักผ่อนอยู่ท่ามกลางฉากสุดตื่นตาในภาพยนตร์เลยทีเดียว

โอลด์ซานฮวน เปอร์โตริโก

โอลด์ซานฮวน เป็นเมืองเก่าแก่ในหมู่เกาะแคริบเบียน ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงของประเทศเปอร์โตริโก ด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียลและสตรีทอาร์ตที่โดดเด่น ทำให้โอลด์ซานฮวน เป็นสถานที่สุดสมบูรณ์แบบในการถ่ายทำภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโรสายเลือดแอฟริกันนี้ ที่ทำให้ตัวละครจากหนังสือการ์ตูนนั้นมีชีวิตจริงขึ้นมา เมืองเก่าแห่งนี้ถูกรู้จักในฐานะ ‘เมืองแห่งป้อมปราการ’ เนื่องจากเมืองแห่งประวัติศาสตร์นี้ถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงโบราณ ตัดกับความหรูหราของถนนปูหินสีฟ้า และอาคารสีรุ้งที่ตั้งอยู่เรียงรายกัน ทำให้ผู้เดินทางสามารถซึมซับความสวยงามของสถาปัตยกรรมได้อย่างเต็มอิ่ม อีกทั้งยังสามารถชมวิวทิวทัศน์ของมหาสมุทรแอตแลนติกได้จากป้อมปราการสไตล์โกธิคภายในเมือง สำหรับผู้เดินทางที่มองหากิจกรรมแนวผจญภัย สามารถเข้าร่วม Hidden Waterfall Hike ทริปเดินป่าที่จะทำให้คุณได้ผ่อนคลายไปกับความตระการตาของเทือกเขาในเปอร์โตริโก

ที่พักแนะนำ: Villa Herencia Hotel โรงแรมบูติกแห่งนี้ตั้งอยู่ในโอลด์ซานฮวน เมืองที่ถูกใช้ถ่ายทำเป็นฉากหลังของภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร การออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของที่พักเน้นการผสมผสานเสน่ห์ดั้งเดิมของเมืองให้เข้ากับความทันสมัยของโลกยุคใหม่ อีกทั้งยังถูกตกแต่งด้วยงานศิลปะท้องถิ่นอันยอดเยี่ยม และมีระเบียงที่สวยงามให้ผู้เดินทางได้มาเอนกายอาบแสงแดดจากทะเลในแถบแคริบเบียนได้

ออมอร์ มากลาง (Amor Maclang) ผู้จัดงาน "ดิจิทัล พิลิพินาส" และ "ฟิลิปปินส์ ฟินเทค เฟสติวัล" (Philippine Fintech Festival) คว้ารางวัลผู้นำด้านฟินเทคประจำภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Fintech Leader Award)

เป็นครั้งแรกในนามของประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อเป็นการยกย่องความพยายามในการสร้างความร่วมมือข้ามพรมแดนที่แข็งแกร่งทั่วทั้งภูมิภาค

งานโกลบอล ฟินเทค อวอร์ดส์ (Global FinTech Awards) จัดขึ้นในฐานะส่วนหนึ่งของงานสิงคโปร์ ฟินเทค เฟสติวัล (Singapore FinTech Festival) ในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นการรวมตัวของบริษัทชั้นนำด้านฟินเทคและเศรษฐกิจดิจิทัลทั่วโลก

คุณมากลาง กล่าวว่า "ฟินเทคเป็นหนึ่งในเสาหลักที่สามารถทำให้เศรษฐกิจดิจิทัลของเรามีภูมิคุ้มกันต่อความเปราะบาง ไม่ใช่เพียงแค่มีความยืดหยุ่นเท่านั้น รางวัลนี้ไม่เพียงเป็นการตอกย้ำถึงความสนใจทั่วโลกที่มีต่ออนาคตของดิจิทัล พิลิพินาส แต่ยังรวมถึงความเป็นดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียนโดยรวม ท้ายที่สุดแล้ว ฟินเทคที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั่นไม่ใช่บริษัทเดียว แต่เป็นอาเซียนโดยรวม เราได้ร่วมแบ่งปันสิ่งนี้ร่วมกับสุดยอดผู้นำด้านฟินเทคทั่วทั้งภูมิภาค ผู้ซึ่งทำงานร่วมกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย"

อนึ่ง งานโกลบอล ฟินเทค อวอร์ดส์ เปิดตัวในปี 2564 โดยถือเป็นรางวัลสูงสุดในอุตสาหกรรมด้านนวัตกรรมฟินเทค ร่วมจัดโดยองค์การเงินตราแห่งประเทศสิงคโปร์ (MAS), สมาคมฟินเทคแห่งประเทศสิงคโปร์ (SFA) และสมาคมธนาคารสิงคโปร์ ตลอดจนได้รับการสนับสนุนจากพีดับบลิวซี สิงคโปร์ (PwC Singapore) เพื่อยกย่องนวัตกรรมฟินเทคที่ล้ำสมัยของบริษัทฟินเทค สถาบันการเงิน และบริษัทเทคโนโลยี นอกจากนี้ ยังมอบรางวัลแก่บุคคลและบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างโอกาสการเติบโตใหม่ ๆ เพื่อพลิกโฉมแนวทางปฏิบัติในอุตสาหกรรมฟินเทคและส่งเสริมการเปิดกว้างทางการเงิน

ในแถลงการณ์ คุณซปเนนดู โมฮันตี (Sopnendu Mohanty) ประธานเจ้าหน้าที่ฟินเทคของ MAS กล่าวว่า ผู้ชนะในปีนี้ "ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่แข็งแกร่งในการแก้ไขปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริง ในขณะเดียวกันยังสามารถทำให้ภาคการเงินได้ใช้ประโยชน์มหาศาลจากเทคโนโลยีใหม่ ๆ มากมายในการเดินทางสู่อนาคตโลกดิจิทัลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น"

คุณชาดับ ไทยาบิ (Shadab Taiyabi) ประธานสมาคมฟินเทคแห่งประเทศสิงคโปร์ กล่าวว่า รางวัลนี้เป็นการยกย่องบุคคลและองค์กรต่าง ๆ "ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่ออีโคซิสเต็มของฟินเทค และในขณะเดียวกัน ยังส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรมที่มีความต่อเนื่องภายในภาคส่วนฟินเทคอีกด้วย"

คุณมากลางเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวด้านฟินเทคในภูมิภาคอาเซียน สร้างความร่วมมือข้ามพรมแดนและการทำงานระหว่างหน่วยงานระดับภูมิภาคและระดับชาติ, ผู้นำอุตสาหกรรม, สถาบันการศึกษา, ผู้กำหนดนโยบาย และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน

นอกจากนี้ คุณมากลางยังได้กระตุ้นและสร้างแพลตฟอร์มด้านฟินเทคให้เติบโตในประเทศในฐานะผู้จัดงานฟิลิปปินส์ ฟินเทค เฟสติวัล ตั้งขบวนการ วัน อาเซียน ฟินเทค (One ASEAN Fintech Movement) และเป็นตัวแทนของฟิลิปปินส์ในสมาคมบล็อกเชนประจำภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Blockchain Consortium) ปัจจุบัน คุณมากลางดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารและผู้ดูแลผลประโยชน์ประจำสมาคมฟินเทคแห่งประเทศฟิลิปปินส์ รวมถึงเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทเกย์เซอร์มากลาง (GeiserMaclang) ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านอีโคซิสเต็มเทคโนโลยีใหม่ชั้นนำ

นอกเหนือจากคุณมากลางแล้ว ผู้ที่ได้รับรางวัลจากเวทีเดียวกันนี้ยังประกอบด้วยคุณเดวิด เฉิน (David Chen) จากอาโตมี ไฟแนนเชียล (Atome Financial), คุณเอดดี้ หว่อง (Eddy Wong) จากวีชัวร์กรุ๊ป (VSure Group), คุณซาลิม ดานานิ (Salim Dhanani) จากบิ๊กเพย์ (BigPay) และคุณโซฮินิ ราโจลา (Sohini Rajola) จากเวสเทิร์น ยูเนี่ยน (Western Union)

ธีมของรางวัลประจำปี 2565 ได้แก่ "Embracing Digital, Charting the New Normal (โอบรับดิจิทัล สำรวจโลกนิวนอร์มัล) เพื่อให้ตระหนักถึงความรวดเร็วของการทำให้เป็นดิจิทัลในธุรกิจต่าง ๆ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ผู้ชนะจะถูกคัดเลือกโดยคณะกรรมการระดับนานาชาติที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมจากหลายภาคส่วน และตัดสินตามเกณฑ์ของผลลัพธ์ นวัตกรรม และคุณูปการที่มีต่ออีโคซิสเต็มฟินเทค

พราะเชื่อว่าการศึกษาจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนที่ขาดแคลนได้ บริษัทยูเอ็มซี อิเล็คทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด โดย มร.อะคิโตะ ทาคาตะ (ขวา) กรรมการผู้จัดการ และนายนพดล ศรีโพธิ์ (ซ้าย) ผู้จัดการทั่วไป ถ่ายภาพร่วมกันในโอกาสที่บริษัทรวบรวมและส่งมอบเงินจากการตั้งกล่องรับบริจาคของมูลนิธิ EDF (มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา) ภายในพื้นที่ของบริษัท ทั้งนี้ยูเอ็มซี อิเล็คทรอนิส์ (ประเทศไทย) ได้ร่วมสนับสนุนการศึกษาด้วยการวางกล่องบริจาคของมูลนิธิ EDF มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2559

สำหรับมูลนิธิ EDF เป็นองค์กรสาธารณกุศลลำดับที่ 255 ของประเทศไทย ที่มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตเยาวชนไทยที่ด้อยโอกาส โดยตั้งแต่ปี พ.ศ.2531-ปัจจุบัน มูลนิธิ EDF ได้มอบทุนการศึกษาให้เยาวชนที่ด้อยโอกาสจากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศในโครงการต่าง ๆ จำนวน 406,560 คน นอกจากนั้นยังร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ จัดกิจกรรมซีเอสอาร์ในโรงเรียนและชุมชนอีกด้วย

หน่วยงาน หรือผู้ที่สนใจร่วมสนับสนุนทุนการศึกษาให้นักเรียนยากจนหรือจัดกิจกรรมเพื่อสังคมสามารถติดต่อมูลนิธิ EDF ได้ที่โทรศัพท์ (02) 579 9209-11 (วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 09.00-16.30 น.) อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. ทาง Line: @edfthai เว็บไซต์ www.edfthai.org สำหรับการบริจาคทางออนไลน์ หรือเฟสบุ๊คแฟนเพจ https://www.facebook.com/edfthai ทั้งนี้การบริจาคหรือทำกิจกรรมผ่านมูลนิธิสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปีตามกฎหมาย

 

บริษัท พรอสเพค รีท แมเนจเมนท์ จำกัด ผู้จัดการกองทรัสต์ ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ พรอสเพค โลจิสติกส์และอินดัสเทรียล หรือ “PROSPECT REIT” เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ ผู้จัดการกองทรัสต์ มีมติอนุมัติจ่ายประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ประจำไตรมาส 3/2565 ในอัตรา 0.2265 บาทต่อหน่วย โดยมีรายได้รวม 111.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย 0.27% และกำไรสุทธิ 70.13 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 1.27% เทียบจากไตรมาสก่อน สืบเนื่องจากไตรมาสนี้มีค่าใช้จ่ายปรับปรุงอาคารเพิ่มขึ้น เพื่อรักษาคุณภาพของทรัพย์สินให้ดีอย่างต่อเนื่อง ส่วนภาพรวมธุรกิจคลังสินค้าและโรงงานให้เช่าปี 2565 มีทิศทางเติบโตที่ดี เสริมความสามารถในการรักษาอัตราผลตอบแทน (Yield) ของ PPOSPECT REIT ปีนี้ให้อยู่ที่ประมาณ 8-9% ได้

ขณะเดียวกัน ดีมานด์การใช้พื้นที่โรงงานและคลังสินค้าของกลุ่มธุรกิจอาหาร ธุรกิจ E-Commerce ธุรกิจผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่ขยายตัวอย่างมาก รวมถึงได้รับแรงหนุนจากธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV car) ที่ขยายฐานการผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนเข้ามาในประเทศไทย ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะเข้ามาขับเคลื่อนการเติบโตของ PROSPECT REIT ในอนาคต ด้วยที่ตั้งโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน (BFTZ) ถนน บางนา-ตราด กม.23 อยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ด้านโลจิกสติกส์ของไทย รวมถึงมีอาคารคุณภาพในรูปแบบต่าง ๆ ที่หลากหลายให้บริการ ทั้งแบบสำเร็จรูป (Ready Built) และสร้างตามความต้องการ (Built-to-Suit) อีกทั้งอาคารทั้งหมดในโครงการสามารถใช้งานได้ตามความต้องการของผู้เช่า ไม่ว่าจะเป็นโรงงานหรือคลังสินค้า ซึ่งสามารถรองรับความต้องการของผู้เช่าได้ครอบคลุม

นางสาวอรอนงค์ ชัยธง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรอสเพค รีท แมเนจเมนท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ กล่าวว่า “ผลงานของ PROSPECT REIT ช่วง 9 เดือนของปีนี้ เดินตามโรดแมปที่ได้วางไว้ ตั้งแต่การเข้าลงทุนรูปแบบกรรมสิทธิ์ (Freehold) ในโครงการ X44 ถนน บางนา-ตราด กม.18 จาก ผู้พัฒนาโครงการรายอื่นนอกจาก Sponsor หลักเป็นครั้งแรก มีผู้เช่าเป็นผู้ประกอบการธุรกิจสีรถยนต์ ด้วยสัญญาเช่าระยะยาว อีกทั้งครึ่งปีหลังที่เศรษฐกิจฟื้นตัว นักลงทุนต่างชาติเริ่มเดินทางเข้ามาดูพื้นที่อาคารคลังสินค้าและโรงงานก่อนตัดสินใจเช่า ดันอัตราการเช่าในไตรมาส 3 ยังอยู่ในระดับที่สูงถึง 94.4% ซึ่งเรามุ่งเน้นเรื่องคุณภาพของทรัพย์สินและการให้บริการที่ครบวงจร (one stop service) เป็นสำคัญ ผู้เช่าหลักจึงยังวางใจต่อสัญญาครบ 100% ในไตรมาสที่ 3 พร้อมผู้เช่ารายใหม่ในกลุ่มธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต ได้แก่ ธุรกิจอาหาร และ ธุรกิจผลิตโซล่าเซลล์ ทำให้มีความหลากหลายของผู้เช่าในแต่ละอุตสาหกรรม เป็นอีกจุดเด่นของ PROSPECT REIT ที่สามารถกระจายความเสี่ยงจากฐานผู้เช่า นำมาซึ่งการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยในอัตราที่ดีและสม่ำเสมอต่อเนื่องทุกไตรมาส”

ทั้งนี้ PROSPECT REIT จะทำการปิดสมุดทะเบียนเพื่อกำหนดรายชื่อผู้ถือหน่วยทรัสต์ที่มีสิทธิ์ได้รับประโยชน์ตอบแทนในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้ และจ่ายเงินออกให้แก่ผู้ถือหน่วยในวันที่ 7 ธันวาคม 2565

สำหรับแนวโน้มในปี 2566 ยังคงปีทองของอสังริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม จากแรงหนุนทั้งด้านนโยบายส่งเสริมการลงทุนและสิทธิประโยชน์ของนักลงทุนต่างชาติในการเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย ซึ่งข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในช่วง 9 เดือนของปีนี้ พบว่า การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีมูลค่ารวม 275,624 ล้านบาท โดยการลงทุนจากจีน มีเงินลงทุนมากที่สุด ตามด้วยไต้หวัน และญี่ปุ่น ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าการลงทุนใน 2 สาขานี้ จะขยายตัวต่อเนื่อง

ปัจจุบัน PROSPECT REIT มีมูลค่าสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 3,544.48 ล้านบาท โดยพื้นที่เช่าในโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน บางนา-ตราด กม.23 เป็นพื้นที่เขตปลอดอากร (Free Zone) ถึง 61% ซึ่งผู้เช่าจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีในการนำเข้าและส่งออกสินค้า ที่ผ่านมา ผลตอบรับนอกจากลูกค้าไทยที่ให้ความสนใจติดต่อเช่าพื้นที่ นักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะลูกค้าจากจีน สหรัฐอเมริกา เป็นกลุ่มที่น่าจับตามองเช่นกัน ปีหน้าเราได้วางแผนเข้าลงทุนในโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน 2 ถนน เทพารักษ์ และ บางกอกฟรีเทรดโซน 3 ถนน บางนา-ตราด กม.19 ที่ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพด้านโลจิสติกส์ รองรับลูกค้ากลุ่มโลจิสติกส์และโรงงานขนาดใหญ่ขึ้น พื้นที่ให้เช่ารวม 2 โครงการ 70,129 ตร.ม. มูลค่าเข้าลงทุนไม่เกิน 1,800 ล้านบาท โดยออกหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมจำนวนไม่เกิน 180,000,000 หน่วย และ ยื่น ก.ล.ต. นับ 1 Filing ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อสร้างรากฐานการเติบโตอย่างยั่งยืนและเติมทรัพย์สินคุณภาพเข้าสู่กองทรัสต์เสริมความมั่นคงระยะยาว” นางสาวอรอนงค์ กล่าวปิดท้าย

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี จับมือคนรุ่นใหม่ร่วมสร้างนวัตกรรมหาโซลูชันทางการเงินเพื่อคนไทยทุกกลุ่ม ด้วยการจัดงาน Financial Well-being Hackathon for Thais โดยทีมชนะเลิศ ได้แก่ ทีม 18 Eyes ที่นำเสนอฟีเจอร์ ttb FORWARD ช่วยล็อกหนี้และปรับแผนทางการเงินใหม่ให้เหมาะสมกับคนทำงาน อันดับสองทีม Minnionaire consulting โชว์ไอเดียทำระบบเฮงเฮง เพื่อร้านค้า หาบเร่ แผงลอย ทำบัญชีทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชัน ร่วมแก้หนี้นอกระบบ สร้างการเงินที่ยั่งยืน ตอกย้ำแนวคิด Financial-Well being

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาธนาคารได้มีการจัดกิจกรรม Hackathon สำหรับพนักงาน โดยระดมสมองร่วมกัน Hack เพื่อคิดค้นนวัตกรรม หาไอเดีย หรือวิธีการทำงานใหม่ ๆ เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่จะช่วยยกระดับประสบการณ์ทางการเงินของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งมีผลงานเด่น ๆ ที่เกิดจากงาน Hackathon เช่น การพัฒนาฟีเจอร์ไม่ชาร์จ FX Rate 2.5% ของบัตรเดบิต All Free เมื่อรูดใช้จ่ายที่ต่างประเทศและยังได้เรทที่ถูกทุกสกุลเงินทั่วโลก ทำให้บัตรเดบิต All Free เป็นที่นิยมมากในหมู่นักเดินทาง และบัญชีสำหรับบริหารหลายสกุลเงิน หรือ ttb multi-currency account สำหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจ

ในปีนี้ ธนาคารได้มีการต่อยอดกิจกรรมดังกล่าวเพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคน รวมถึงเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่กล้าคิดและลงมือทำในสิ่งที่ท้าทายเข้ามาช่วยกันสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับคนไทย ในงาน Financial Well-being Hackathon for Thais การแข่งขันเพื่อค้นหาโซลูชันทางการเงิน โดยเน้นการนำเทคโนโลยีและฐานข้อมูล (Tech & Data) มาเป็นเครื่องมือสำคัญในการหาโซลูชันใหม่ ๆ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากนักศึกษาและกลุ่มคนรุ่นใหม่จากทั่วประเทศที่ร่วมสมัครเข้ามาทั้งหมด 102 ทีม โดยมีการนำเสนอแนวคิดในการแก้ปัญหาครอบคลุมพื้นฐานการเงินครบ 4 มิติสำคัญ ได้แก่ ฉลาดออม ฉลาดใช้, รอบรู้เรื่องกู้ยืม, ลงทุนเพื่ออนาคต และมีความคุ้มครองที่อุ่นใจ ที่จะช่วยเสริมรากฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งและสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นได้

ทั้งนี้ การประกาศผลทีมชนะในงาน Financial Well-being Hackathon for Thais การแข่งขันเพื่อค้นหาโซลูชันเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตทางการเงินของคนไทยที่สะท้อนจากมุมมองของคนรุ่นใหม่ต่อการเงินและการจัดการปัญหาทางการเงิน โดยมีที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญ (Mentors) และกรรมการตัดสิน (Judges) จากทีเอ็มบีธนชาตและที่ปรึกษาจากบริษัทภายนอก ทั้ง Business, Tech และ Data มาช่วยขัดเกลาไอเดียและต่อยอดในการร่วมกันสร้างโซลูชันทางการเงินอย่างแท้จริง

โดยทีมชนะเลิศ ได้แก่ ทีม 18 Eyes นำเสนอสร้างสรรค์โซลูชัน “ttb FORWARD” ฟีเจอร์ล็อกหนี้สร้างแผนการเงินใหม่ให้เหมาะกับคนทำงานในการบริหารหนี้และรายรับ-รายจ่ายในแต่ละเดือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นแก้ปัญหาให้กลุ่มคนทำงานอายุ 20-40 ปี ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ในประเทศและยังไม่มีการวางแผนทางการเงิน “ttb FORWARD” จะมาตอบโจทย์ลูกค้าแบบเฉพาะคนในการเปลี่ยนพฤติกรรมทางการเงินเพื่อยกระดับ Financial Well-being ให้แก่คนไทยในระยะยาว ทีมอันดับสอง ได้แก่ ทีม Minnionaire consulting นำเสนอโซลูชัน “ระบบเฮงเฮง” เพื่อร้านค้า หาบเร่ แผงลอย ทำบัญชีธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชัน และทีมอันดับสาม มี 2 ทีม ได้แก่ ทีม Happry เสนอไอเดีย “สลากเสี่ยงสบาย” และทีม Money Team ที่นำเสนอการวางแผนทางการเงินผ่านการเล่นเกมส์ Money Town เพื่อส่งเสริมวินัยการออม

นายปิติ กล่าวสรุปว่า “งาน Financial Well-being Hackathon for Thais ทุกทีมต่างได้รับประสบการณ์ที่ดีและเรียนรู้ทักษะต่าง ๆ ทั้งแผนธุรกิจ (Business), Tech และ Data เพื่อนำความรู้ไปต่อยอดแนวคิด สร้างนวัตกรรมที่มีประสิทธิผล พัฒนาโซลูชันและแก้ปัญหาทางการเงินให้กับคนไทยอย่างแท้จริง โดยทีเอ็มบีธนชาตพร้อมให้โอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินเพื่อยกระดับให้คนไทยมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นทั้งวันนี้ และในอนาคตต่อไป”

ประเทศไทย 8 พฤจิกายน 2565 – มันนิกซ์ บริษัทฟินเทคสตาร์ทอัปร่วมทุนระหว่างประเทศของ SCB X และ Abakus Group ฟินเทคยูนิคอร์นจากประเทศจีน จับมือ ADVANCE.AI ผู้ให้บริการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากประเทศสิงคโปร์ นำนวัตกรรมพิสูจน์ตัวตนของผู้ใช้แบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) ภายใน 60 วินาที หวังช่วยลดความเหลื่อมล้ำการเข้าไม่ถึงบริการทางการเงินและยกระดับประสบการณ์การใช้สินเชื่อดิจิทัลผ่านแอปฟินนิกซ์

นางสาวอาชี โจว ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ บริษัท มันนิกซ์ จำกัด กล่าวว่า ประเทศไทยมีคนจำนวนมากที่เข้าไม่ถึงผลิตภัณฑ์การเงิน แต่มีความเข้าใจโลกดิจิทัล กลุ่มคนเหล่านี้มีศักยภาพสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เป็นนวัตกรรมใหม่ของมันนิกซ์ ดังนั้น บริษัทจึงต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์การเงินที่ใช่และถูกต้องสำหรับผู้บริโภค ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้นและสะดวกด้วยแอปฟินนิกซ์ (FINNIX) เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน แต่ยังคงรักษาความรวดเร็วและง่ายต่อการใช้งาน มันนิกซ์ได้ร่วมมือกับ ADVANCE.AI ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากประเทศสิงคโปร์

เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานการระบุและพิสูจน์ตัวตนของผู้ใช้แบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) หรือ Electronic Know Your Customer ที่ทำให้ผู้ขอสินเชื่อยืนยันตัวตนเสร็จได้ภายใน 60 วินาที ด้วยการถ่ายรูปตนเองและบัตรประจำตัวประชาชนด้วยกล้องของสมาร์ทโฟน

“เราอยากให้ลูกค้ามั่นใจว่าข้อมูลที่ให้เรามานั้นปลอดภัย ความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์และบริษัทเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มลูกค้าที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบ ดังนั้น เทคโนโลยีการบริการยืนยันตัวตนแบบอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยให้เราให้บริการกลุ่มผู้ที่เข้าไม่ถึงการเงินได้ โดยเป็นไปตามข้อกำหนดด้านการใช้เทคโนโลยีชีวมิติ (Biometric Technology) ได้เป็นอย่างดี" นางสาวอาชีกล่าว

“ความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญมากในอุตสาหกรรมฟินเทค สำหรับเราในบทบาทขององค์กร การยืนยันและพิสูจน์ตัวตนเป็นสิ่งสำคัญ จึงต้องมั่นใจได้ว่าเรามีเทคโนโลยีที่เหมาะสมจริงๆ และทำให้ลูกค้าไว้วางใจที่จะให้ข้อมูลส่วนตัวกับเราด้วย” นางสาวชลินี บุญส่งทรัพย์ Product Owner บริษัท มันนิกซ์ จำกัด กล่าวเสริม

บริษัท มันนิกซ์ จำกัด (MONIX) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2563 เป็นบริษัทร่วมทุนของกลุ่มธุรกิจทางการเงิน SCB X และ Abakus Group ฟินเทคยูนิคอร์นจากประเทศจีน ด้วยการผสมผสานระหว่างนวัตกรรม เทคโนโลยี และองค์ความรู้ด้านผู้ใช้งานของทั้งสองกลุ่มธุรกิจ เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการเงิน ที่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบเดิมยังไม่สามารถทำได้ผ่านแอปพลิเคชันฟินนิกซ์ (FINNIX)

แอปพลิเคชันฟินนิกซ์เป็นบริการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ให้บริการสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ผ่านช่องทางดิจิทัล 100% ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่การขอสินเชื่อจนถึงการอนุมัติสินเชื่อและเบิกถอน สร้างโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อยที่เคยถูกธนาคารหรือสถาบันการเงินปฏิเสธมาก่อนสามารถสมัครขอสินเชื่อได้อย่างง่ายดายภายใน 5 นาที ปัจจุบันแอปพลิเคชันฟินนิกซ์มียอดดาวน์โหลดมากกว่า 7.5 ล้านครั้ง และมีคะแนนรีวิวแอปเฉลี่ยอยู่ที่ 4.5 จาก 5 ในกูเกิลเพลย์และแอปเปิลแอปสโตร์ โดยปัจจุบันมียอดปล่อยสินเชื่อไปแล้วกว่า 1 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ จากข้อมูลของ Macquarie กลุ่มบริษัทการเงินระดับโลกระบุว่า ประเทศไทยมีประชากรวัยทำงานที่ไม่สามารถเข้าถึงการบริการทางการเงินของธนาคารสูงถึง 63% ซึ่งรวมถึงผู้บริโภคที่มีรายได้น้อยหรือธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลางที่เข้าไม่ถึงผลิตภัณฑ์ของธนาคาร

ข้อมูลนี้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) ที่มุ่งส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินที่เท่าเทียมและเป็นธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการเงินในประเทศ เรื่องนี้อยู่จัดอยู่ในเป้าหมายลำดับที่ 8 จาก 17 เป้าหมายขององค์การฯ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลไทยที่มุ่งพัฒนาให้คนไทยกว่า 30 ล้านคนสามารถเข้าถึงระบบธนาคารและบริการภาคการเงินผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่

นาย โมฮัมหมัด ฟูลาดี Regional Head of Customer Value Proposition บริษัท ADVANCE.AI กล่าวว่า "เราให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจร่วมกับทางมันนิกซ์เป็นอย่างมาก และตระหนักถึงวิธีในการสนับสนุนกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่เข้าถึงการบริการทางการเงินของธนาคารในประเทศไทยเพื่อให้ได้รับเครดิตที่ต้องการ ด้วยความก้าวหน้าทางปัญญาประดิษฐ์จะสามารถทำให้การเข้าถึงลูกค้า รวมถึงข้อกำหนดและขั้นตอนในการพิจารณาให้สินเชื่อทำได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น แต่ยังคงความปลอดภัยให้กับทั้งผู้ใช้งานและสถาบันการเงิน ความท้าทายในตอนนี้สำหรับสถาบันการเงินต่าง ๆ คือการคิดและตัดสินใจว่าจะสามารถใช้ AI เพื่อสร้างประสบการณ์แบบใหม่ให้กับลูกค้าธนาคารได้อย่างไรในยุคหลังโควิด-19”

 

 PointX” (พอยท์เอกซ์) แพลตฟอร์มที่กำหนดจุดยืนของการเป็นศูนย์รวมทุกคะแนนสะสมไว้ในที่เดียว  บนเป้าหมายต้องการเปลี่ยนประสบการณ์การใช้และสะสมพอยท์แบบไร้ขีดจำกัด ให้การใช้พอยท์เหมือนเงินสด ภายใต้การพัฒนาของ “เอสซีบี เทคเอกซ์” (SCB TechX) บริษัทผู้ดำเนินธุรกิจด้านดิจิทัลเทคโนโลยี ภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) จัดบิ๊กเซอร์ไพรส์ ฉลองมหกรรมช้อปปิ้งออนไลน์ ล้อไปกับแคมเปญ “11.11” ที่มีเหล่าขาช้อปรอคอย โดยหวังให้ใช้พอยท์ช้อปออนไลน์จ่ายแทนเงินสดได้ ทั้ง 3 แอปช้อปปิ้งออนไลน์ชั้นนำอย่าง JD CENTRAL, Lazada และ Shopee พร้อมอัดโปรเต็มที่ที่ X Store แหล่งรวมสินค้าราคาจากหลากหลายหมวดหมู่และดีลพิเศษแบรนด์ดังครอบคลุมความต้องการที่หลากหลายบนแอป PointX

ด้วยเงื่อนไขพิเศษกับโปรโมชันช้อปปิ้งสินค้าออนไลน์บนแอป JD CENTRAL, Lazada และ Shopee ในวันที่ 11.11!  โดยสามารถเปลี่ยนมาใช้คะแนน PointX จ่ายแทนเงินสด แลกพอยท์เรทพิเศษ 5 PointX เท่ากับ 1 บาท เฉพาะวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 หรือแลกพอยท์เรทพิเศษ 9 PointX เท่ากับ 1 บาท ระหว่างวันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 - 10 พฤศจิกายน 2565 และ 12 พฤศจิกายน 2565 - 13 พฤศจิกายน 2565 และยังสามารถช้อปต่อได้ที่ X Store  ลดสูงสุด 50% เพียงใช้ PointX จ่ายแทนเงินสดใน “X Store” ที่อยู่บนแพลตฟอร์ม ตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 - 13 พฤศจิกายน 2565 นี้เท่านั้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center 02-777-7777 หรือเว็บไซต์ www.pointx.scb

ขั้นตอนการใช้คะแนน PointX จ่ายแทนเงินสดที่ X Store

1. รวมคะแนนจากบัตรเครดิต SCB เข้าสู่ PointX เพื่อเริ่มใช้จ่าย

2. เลือกสินค้าที่ต้องการใน X Store

3. เลือกตัวเลือกสินค้า (ถ้ามี) จากนั้นเลือก “สั่งซื้อ”

4. ระบุจำนวนสินค้า เลือกที่อยู่จัดส่ง เลือกตัวเลือกการจัดส่ง (ถ้ามี) จากนั้นเลือกตรวจสอบข้อมูล

5. ตรวจสอบข้อมูลการสั่งซื้อ จากนั้นเลือก “ยืนยัน” และใส่รหัส PIN ของแอปฯ PointX

6. ระบบจะบันทึกสลิปไว้ในอุปกรณ์ของคุณโดยอัตโนมัติ (หากเปิดใช้งาน “บันทึกสลิปอัตโนมัติ”)

ขั้นตอนการใช้คะแนน PointX จ่ายแทนเงินสดที่ JD CENTRAL, Lazada และ Shopee

1. โอนคะแนนจากบัตรเครดิต SCB เข้าสู่ PointX เพื่อเริ่มใช้จ่าย

2. เลือกซื้อสินค้าที่ต้องการผ่านแอป JD CENTRAL/ Lazada / Shopee และเลือกวิธีการชำระเงิน ดังนี้

โมบายแบงก์กิ้ง

- เลือก “SCB EASY App / ธนาคารไทยพาณิชย์ ”

QR พร้อมเพย์ (เฉพาะ Shopee)

- บันทึกรูปภาพ QR Code ลงในโทรศัพท์มือถือ

- เปิดแอป PointX กดที่สัญลักษณ์ “สแกน” และกดเลือกรูปภาพ QR Code ที่บันทึกไว้โทรศัพท์

3. ไปที่ “จ่ายด้วยคะแนน” เลือกจ่ายด้วย “คะแนนทั้งหมด” หรือ “คะแนนบางส่วน”

4. ยืนยันการจ่ายเงิน แล้วรอรับสินค้าส่งตรงถึงหน้าบ้านได้เลย!

สำหรับผู้ที่สนใจดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “PointX” โลกใหม่ของการใช้ และสะสมพอยท์ไร้ขีดจำกัด ได้ทุกที่เหมือนมีเงินสด สามารถดาวน์โหลดได้ที่ · ลิงก์สำหรับดาวน์โหลด https://www.pointx.scb/get/

· QR Code สำหรับดาวน์โหลด

ผลการศึกษา "Digital Lives Decoded” ในหัวข้อโทรศัพท์มือถือกับการทำงาน เนื่องในวาระครบรอบ 25 ปีของเทเลนอร์เอเชีย สำรวจพฤติกรรมของผู้ตอบแบบสอบถามทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย มีการใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อปรับตัวให้เข้ากับชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป จากวัฒนธรรมการทำงานใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นหลังการระบาดของโควิด -19 พบข้อมูลว่า ผู้คนในเอเชียหันมาใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อยกระดับชีวิตการทำงาน ทำให้ประสิทธิภาพและทักษะการทำงานที่เพิ่มขึ้น และการเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ

ทั้งนี้ ผลการศึกษายังชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างนายจ้างและลูกจ้าง โดยเน้นย้ำถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับประเด็นความไว้วางใจและการควบคุมของหัวหน้างาน เนื่องด้วยรูปแบบการทำงานที่ผสมผสานระหว่างการทำงานในสำนักงานและการทำงานแบบออนไลน์ ซึ่งก่อให้เกิดช่องว่างระหว่างพนักงานและผู้บังคับบัญชา การศึกษาดังกล่าวสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตบนมือถือ 8,000 รายใน 8 ประเทศ ในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ได้แก่ บังกลาเทศ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม)

1. พนักงานหญิงและผู้บริหารระดับสูงเห็นว่า การทำงานผ่านมือถือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ดีขึ้น

ผู้หญิงจำนวนมากรายงานว่าการใช้โทรศัพท์มือถือทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดย 54% ของผู้ตอบแบบสอบถามเพศหญิง เมื่อเทียบกับผู้ชายที่ 46% ยังกล่าวด้วยว่าโทรศัพท์มือถือช่วยเชื่อมต่อพวกเขาเข้ากับโอกาสในโลกการทำงานและอาชีพที่ดีขึ้น ในบังกลาเทศ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และปากีสถาน ผู้หญิงเป็นผู้นำในการใช้มือถือเพื่อค้นหาวิธีการสร้างรายได้รูปแบบใหม่ๆ

ผู้บริหารระดับ C-suite ยังกล่าวว่าได้รับประโยชน์จากการใช้มือถือในที่ทำงาน เมื่อเทียบกับพนักงานในระดับอื่นๆ เกือบสองในสาม (61 %) ของผู้บริหารชุด C-suite กล่าวว่า โทรศัพท์มือถือช่วยพัฒนาอาชีพและทักษะอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับ 47% ของพนักงานระดับปฏิบัติการ พวกเขายังมีแนวโน้มที่จะเห็นผลิตภาพการทำงานที่สูงขึ้น โดย 60% ของผู้บริหารระดับ C-suite เมื่อเทียบกับ 52% ของผู้บริหารระดับปฏิบัติการ กล่าวว่าผลิตภาพการทำงานนั้นดีขึ้นกว่า 20% อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารระดับสูง C-suite (53 %) ส่งสัญญาณถึงความกังวลมากกว่าพนักงานระดับอื่นๆ (โดยเฉลี่ย 39 %) เกี่ยวกับทักษะของพวกเขาที่ก้าวไม่ทันกับสภาพแวดล้อมการทำงานที่เร่งรีบเช่นนี้

2. นโยบายและการปฏิบัติในที่ทำงานล้าหลัง

เกือบ 7 ใน 10 (69 %) ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าการเชื่อมต่อมือถือมีความสำคัญมากต่อความสำเร็จขององค์กร อย่างไรก็ดี ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนใกล้เคียงกัน (62 %) รู้สึกว่ายังมีช่องว่างที่จะนำประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีมือถือมาใช้พัฒนาได้ดีขึ้น

ผู้คนมองว่าการขาดทักษะและความรู้ (49 %) การไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรม (31 %) และนโยบายสถานที่ทำงานที่ไม่เอื้ออำนวย (28 %) เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการใช้โทรศัพท์มือถือในที่ทำงาน

ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามได้ระบุถึงจุดที่นายจ้างสามารถนำเทคโนโลยีมือถือเข้ามาช่วยสร้างเสริมประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับพนักงานได้ กล่าวคือ กระบวนการเรียนรู้และพัฒนาทักษะ (62 %) และระบบงานบริหารทรัพยากรบุคคล (54 %)

3. ประเด็นความไว้วางใจกำลังเป็นปัญหามากขึ้น

ในขณะที่พนักงานในปัจจุบันเห็นคุณค่าของเทคโนโลยีมือถือที่มีต่อชีวิตการทำงาน (มีเพียง 5% เท่านั้นที่เชื่อว่าการใช้โทรศัพท์มือถือในการทำงานจะส่งผลให้คุณภาพชีวิตนั้นลดลง) การกำหนดมาตรการป้องกันเพื่อสร้างความไว้วางใจนั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กรที่มุ่งสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล สิ่งนี้จะทวีความสำคัญใน

อนาคต เนื่องจากผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากระบุว่า พวกเขาคาดว่าการใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อการทำงานจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย (60 %) และการขาดความไว้วางใจในเทคโนโลยี (40 %) เป็นประเด็นหลักที่ผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าทำให้พวกเขาไม่สามารถใช้เทคโนโลยีมือถือเพื่อประโยชน์ที่มากขึ้นในที่ทำงาน

4. สิงคโปร์คาใจมากที่สุด กับประโยชน์ของโทรศัพท์มือถือในที่ทำงาน

ผู้ตอบแบบสอบถามในสิงคโปร์มีความค้างคาใจมากที่สุดเกี่ยวกับประโยชน์ของโทรศัพท์มือถือต่อชีวิตการทำงาน โดยมีเพียง 35 % (เทียบกับค่าเฉลี่ยในภูมิภาคที่ 55 %) ที่ระบุว่าโทรศัพท์มือถือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตนมากกว่า 20 % ในขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามในสิงคโปร์ 69 % (เทียบกับค่าเฉลี่ยในภูมิภาคที่ 90 %) รู้สึกว่าโทรศัพท์มือถือมีส่วนช่วยในการพัฒนาทักษะของพวกเขาในที่ทำงาน ในขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ทั่วทั้งภูมิภาคยังคงเชื่อว่าการใช้โทรศัพท์มือถือในการทำงานนั้นช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต แต่ในสิงคโปร์มีผู้ตอบแบบสอบถามเพียง 2 ใน 10 เท่านั้นที่รู้สึกว่าโทรศัพท์มือถือช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างมีนัยสำคัญ รั้งท้ายในบรรดาประเทศที่ได้รับการสำรวจ อีกทั้งผู้ตอบแบบสอบถามชาวสิงคโปร์จำนวน 11% ยังกล่าวด้วยว่าโทรศัพท์มือถือนั้นส่งผลให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาลดลงอย่างมาก

นายเยอเก้น โรสทริป หัวเรือใหญ่ แห่งเทเลนอร์เอเชีย กล่าวว่า “การวิจัยของเราชี้ให้เห็นว่าการเชื่อมต่อผ่านมือถือนั้นเป็นตัวกลางที่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพ ความก้าวหน้า ความยืดหยุ่น และโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่เรายังคงเห็นช่องว่างในการใช้งานเทคโนโลยีดังกล่าวระหว่างประชากรในเมืองและชนบท บริษัทขนาดใหญ่และเอสเอ็มอี ระหว่างอุตสาหกรรมต่างๆ หรือแม้แต่ผู้บริหารและพนักงานใต้บังคับบัญชา นอกจากนี้ ผู้คนยังมีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับทักษะและความสามารถของตน ในการก้าวให้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่ประเด็นเรื่องความไว้วางใจในการทำงาน ยังส่งผลให้ผู้คนไม่สามารถบรรลุศักยภาพของตนอย่างเต็มที่ จากการใช้งานโทรศัพท์มือถือในโลกการทำงาน ในยามที่ผู้คนใช้เวลาในการทำงานบนโลกออนไลน์มากขึ้น ผลสำรวจของเราก็ช่วยชี้ให้เห็นถึงเครื่องมือและองค์ความรู้ที่เหมาะสมในการลดช่องว่างเหล่านี้และยกระดับคุณภาพชีวิตการทำงานในโลกดิจิทัล

สำหรับผลสำรวจในประเทศไทย พบว่า

· ผู้หญิง (61%) จำนวนมากกว่าผู้ชาย (39%) รู้สึกว่าโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์พกพา มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอาชีพและทักษะการทำงาน (ค่าเฉลี่ยของภูมิภาคที่ 54% สำหรับผู้หญิงและ 52% สำหรับผู้ชาย)

· ผู้บริหารระดับ C-suite ในประเทศไทย (44%) มีแนวโน้มน้อยที่สุดที่จะรายงานประโยชน์จากเทคโนโลยีมือถือในการช่วยพัฒนาทักษะและอาชีพ เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของผู้บริหารระดับ C-suite ในภูมิภาค (61%)

· ผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยมีความกังวลน้อยที่สุด (25%) เกี่ยวกับการก้าวให้ทันกับทักษะเทคโนโลยีมือถือ เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยโดยรวมที่ 42%

· ผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยมองว่าบริษัทของตนใช้ศักยภาพของโทรศัพท์มือถือและเทคโนโลยีอย่างเต็มที่มากที่สุด (87%) เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยที่ 76%

· คนไทยมีความกังวลน้อยที่สุดว่าความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยนั้นเป็นอุปสรรคต่อการใช้งานเทคโนโลยีมือถืออย่างเต็มศักยภาพ (40%) เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยที่ (60%) ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดทักษะและความรู้ การไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรม และนโยบายสถานที่ทำงานที่ไม่เอื้ออำนวย

· ผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทย (55%) เป็นกลุ่มที่มองโลกในแง่บวกมากที่สุดเกี่ยวกับการสร้างแหล่งรายได้ใหม่จากโทรศัพท์มือถือ เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยที่ 52%

สำหรับผู้สนใจ สามารถ รับชมวิดีโอ ผลการศึกษา "Digital Lives Decoded” ในหัวข้อ โทรศัพท์มือถือกับการทำงาน ได้ที่  https://www.telenor.com/stories/include/telenor-asia-digital-lives-decoded-work/

X

Right Click

No right click