December 19, 2025

กรุงเทพฯ – 4 พฤศจิกายน 2565 – บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย สานต่อโครงการ Together for Better Thailand ส่งมอบความห่วงใยจากใจสู่พี่น้องชาวไทย ร่วมช่วยเหลือ ฟื้นฟู และเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติต่างๆ ทั่วประเทศ

สำหรับ Together for Better Thailand โครงการเพื่อสังคมของ เอ็มจี ที่ได้ริเริ่มในปี 2562 และดำเนินการ มาอย่างต่อเนื่อง โดยมีจุดมุ่งหมายในการช่วยเหลือคนไทยให้สามารถก้าวข้ามผ่านทุกวิกฤติและภัยพิบัติต่างๆ ล่าสุด จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัด เอ็มจี รับรู้ถึงความสูญเสีย เดือดร้อนของประชาชนคนไทย จึงเร่งส่งมอบความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ต่างๆ ผ่านหลากหลายช่องทาง เพื่อกระจายความช่วยเหลือไปสู่พื้นที่ประสบภัย ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนการทำงานของมูลนิธิ หน่วยงานทั้งภาครัฐอย่าง สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกำไร เพื่อเข้าช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ ด้วยการส่งมอบสิ่งของที่จำเป็นต่อการยังชีพ รวมถึงการอำนวย ความสะดวกด้านยานพาหนะที่ใช้ในการเดินทางลงพื้นที่เพื่อใช้สัญจร แจกจ่ายสิ่งของในพื้นที่ประสบภัย หลายพื้นที่ที่จำเป็นต้องใช้รถกระบะยกสูงอย่าง MG EXTENDER ต่อเนื่องด้วยการผสานความร่วมมือกับ มูลนิธิร่วมกตัญญู ลงพื้นที่อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ที่หลายหมู่บ้านยังคงมีระดับน้ำยังท่วมสูง และบ้านเรือนได้รับความเสียหาย โดยได้ระดมกำลังจากทั้งพนักงาน และผู้แทนจำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในพื้นที่อย่าง M2 MotorSport เสริมทัพด้วยตัวแทนสื่อมวลชนลำเลียงถุงยังชีพ ทางจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่จังหวัดอุบลราชธานี ในรูปแบบ “คาราวาน เอ็มจี” ร่วมภารกิจบรรจุถุงยังชีพ ลงพื้นที่แจกจ่าย ส่งมอบกำลังใจ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในการดำรงชีวิตให้กับผู้ประสบอุทกภัย

นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึง การลงพื้นที่เพื่อส่งมอบความช่วยเหลือให้กับผู้ประสบอุทกภัยในอำเภอวารินชำราบเมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมาว่า “เราสามารถส่งมอบถุงยังชีพ และสิ่งของจำเป็นอื่นๆให้ถึงมือชาวบ้านทั้งที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว และตามบ้านเรือน รวมทั้งสิ้น 10 ชุมชน ประกอบด้วย ชุมชนหาดสวนสุข (เตาอิฐ) ชุมชนหาดสวนสุข 1 ชุมชนหาดสวนยา ชุมชนท่าบ้งมั่ง ชุมชนเกตุแก้ว ชุมชนคูยาง ชุมชนท่ากอไผ่ ชุมชนดอนงิ้ว ชุมชนหาดคูเดื่อ และชุมชนท่ากกแห่ พร้อมร่วมพูดคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ ส่งต่อกำลังใจแก่ผู้ประสบภัย โดยมุ่งหวังให้สถานการณ์คลี่คลายกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ววัน ในส่วนของแผนงานโครงการเพื่อสังคม Together for Better Thailand ในระยะถัดไปนั้น เอ็มจี ได้เตรียมความพร้อมเพื่อจะเดินหน้าช่วยเหลือคนไทยให้สามารถผ่านพ้นทุกวิกฤติ และภัยพิบัติไปด้วยกันต่อไป”

ในโลกยุคใหม่ที่รูปแบบการเรียนรู้และความต้องการของตลาดแรงงานเปลี่ยนไป อีกทั้งผู้คนมีการตั้งคำถามถึงความสำคัญของสถาบันอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ร่วมมือกับ SkillLane ปรับตัวรับมืออนาคตด้วย TUXSA หลักสูตรปริญญาโทออนไลน์ ที่ช่วยให้ธรรมศาสตร์กลับสู่การเป็น “ตลาดวิชายุคดิจิทัล” ที่ตอบโจทย์โลกสมัยใหม่ โดยเป็นปีที่ 4 แห่งความสำเร็จด้วยจำนวนผู้เรียนมากกว่า 16,000 คน รวมถึงมีนักศึกษาเรียนจบเป็นมหาบัณฑิตแล้วในปี พ.ศ.2565 นี้

ในปัจจุบัน รูปแบบการเรียนรู้ของผู้คนเปลี่ยนแปลงไป ทั้งไม่จำเป็นต้องเรียนรู้อยู่แค่ในห้องเรียนและอาจไม่จำเป็นต้องเรียนในมหาวิทยาลัย ขณะเดียวกัน สถานการณ์ของตลาดแรงงานก็เปลี่ยนไป ผลวิจัยระบุว่า ในช่วง 5 ปีข้างหน้า งานทั่วโลกจะหายไป 85 ล้านตำแหน่ง และจะเกิดงานใหม่กว่า 97 ล้านตำแหน่ง ส่งผลให้ตลาดแรงงานยุคใหม่อาจเกิดปรากฏการณ์คนจำนวนมากไม่มีงานทำ และงานเกิดใหม่จำนวนมากไม่มีคนที่ทักษะเหมาะสมมาทำได้ กระแสการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญคือ “มหาวิทยาลัยยังจำเป็นอยู่หรือไม่” และ “หากมหาวิทยาลัยจะอยู่รอดต่อไป ควรปรับตัวและมีบทบาทอย่างไร”

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยได้ตอบคำถามเหล่านี้ผ่านการปรับตัวเพื่อตอบโจทย์อนาคต โดยร่วมกับ SkillLane แพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ของไทย ได้เปิดตัว TUXSA หลักสูตรปริญญาโทในรูปแบบออนไลน์ที่ส่งมอบทักษะแห่งอนาคตให้แก่คนไทย หลักสูตรปริญญาโทนี้ทั้งตอบโจทย์การเรียนรู้ของผู้เรียนยุคใหม่และตอบโจทย์ตลาดแรงงานในอนาคตไปพร้อมกัน

รศ.ดร.พิภพ อุดร รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า “ธรรมศาสตร์มีอายุ 88 ปี เก่าแก่และมีความขลัง แต่ความขลังนี้อาจทำให้ไม่ทันโลก เราจึงต้องกลับไปเป็น 18 ใหม่อีกครั้ง โดยเราจะตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี แต่หลักการทำงานของเราคือ อะไรที่ไม่เชี่ยวชาญอย่าลงทุน ให้หาพันธมิตรที่เก่งในเรื่องนี้แทน นั่นคือเหตุผลที่เราจับมือกับสตาร์ทอัปด้าน Education Technology สร้าง TUXSA ปริญญาโทออนไลน์ที่เป็นโปรแกรมการเรียนรู้รูปแบบใหม่

7 จุดเด่นของหลักสูตร TUXSA  คือ

● เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเข้าถึงความรู้ที่ต้องการจากที่ไหน เมื่อไรก็ได้

● เลือกเรียนเฉพาะวิชาที่สนใจได้

● ถ้าเลือกเรียนทั้งหลักสูตรเพื่อรับใบปริญญา จะได้รับวุฒิปริญญาโทที่มีศักดิ์และสิทธิ์เท่าปริญญาโทปกติ

● วางแผนค่าใช้จ่ายในการเรียนได้

● ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

● เนื้อหาหลักสูตรพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ผู้เรียน

● เรียนพร้อมทำงานได้ ไม่เสียโอกาสทางการงาน

ปัจจุบัน TUXSA เปิดสอนอยู่ทั้งหมด 2 หลักสูตรคือ หลักสูตรปริญญาโทบริหารธุรกิจ สาขา Business Innovation (M.B.A. Business Innovation) ที่ผ่านการรับทราบหลักสูตรจากสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และหลักสูตรปริญญาโท Data Science for Digital Business Transformation (M.S. Digital Business Transformation)

และในปี พ.ศ. 2565 ซึ่งครบรอบ 4 ปีของการก่อตั้ง TUXSA หลักสูตรปริญญาโทนี้ฉลองความสำเร็จด้วยจำนวนผู้เรียนมากกว่า 16,000 คน และมีนักศึกษาจบการศึกษาเป็นมหาบัณฑิตแล้ว ความสำเร็จของ TUXSA สะท้อนถึงการปรับตัวไปในทิศทางที่ถูกต้องของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทั้งรูปแบบการเรียนและเนื้อหา โดยมีปริญญาสนับสนุนว่าผู้เรียนผ่านการรับรองจากสถาบันการศึกษาที่มีคุณภาพ

รศ.ดร.พิภพ อุดร รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ตอนธรรมศาสตร์เกิดขึ้นมา เราเป็นมหาวิทยาลัยเปิดที่ทุกคนเข้าถึงได้ พอเราเปลี่ยนมาเป็นมหาวิทยาลัยปิด จำนวนที่นั่งก็จำกัด คนจะเข้าสู่ธรรมศาสตร์ต้องผ่านการคัดเลือกมากมาย การเปิดปริญญาโทออนไลน์ที่ชื่อ TUXSA ของเราคือการ Back to the Future ทำให้ธรรมศาสตร์กลับไปสู่จุดตั้งต้นเดิมของความเป็นตลาดวิชา แต่เทคโนโลยีทำให้เราก้าวผ่านข้อจำกัดของจำนวนที่นั่ง เวลา สถานที่ และค่าใช้จ่าย ทำให้เราตอบโจทย์การเรียนรู้รูปแบบใหม่ให้กับคนในทุกเจนเนอเรชัน

สำหรับผู้ที่สนใจ ดูรายละเอียด TUXSA ได้ที่ www.skilllane.com/tuxsa

บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอส กรุ๊ปฯ ประกาศอัตราดอกเบี้ยเบื้องต้นของหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-Linked Bonds : SLB) จำนวน 4 รุ่น ที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกในประเทศไทย อายุประมาณ 2 ปี ถึงอายุประมาณ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยอยู่ระหว่าง 2.80% – 4.70% ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยทุก 6 เดือน พร้อมเสนอขายระหว่างวันที่ 25 และ 28-29 พฤศจิกายนนี้ ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 5 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “A” จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2565

สำหรับหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน จำนวน 4 รุ่น ประกอบด้วย รุ่นอายุ 1 ปี 11 เดือน 30 วัน อัตราดอกเบี้ยอยู่ระหว่าง 2.80% – 2.95% ต่อปี รุ่นอายุ 4 ปี 5 เดือน 29 วัน อัตราดอกเบี้ยอยู่ระหว่าง 3.70% – 3.85% ต่อปี รุ่นอายุ 7 ปี 5 เดือน 29 วัน อัตราดอกเบี้ยอยู่ระหว่าง 4.20% – 4.35% ต่อปี และรุ่นอายุ 9 ปี 11 เดือน 30 วัน อัตราดอกเบี้ยอยู่ระหว่าง 4.55% – 4.70% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน โดยจะประกาศอัตราดอกเบี้ยสุดท้ายของแต่ละรุ่นอีกครั้งหนึ่

นายสุรยุทธ ทวีกุลวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่สายการเงิน บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ผู้เสนอขายหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ มั่นใจว่า หุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนหรือ SLB ที่จะออกและเสนอขายในครั้งนี้ จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุน เพราะหุ้นกู้ SLB เป็นมิติใหม่สำหรับการลงทุนที่จะตอกย้ำว่า เรื่องของความยั่งยืนไม่ได้เป็นเรื่องของใครคนใดคนหนึ่งอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของส่วนรวมที่เกี่ยวข้องกับทุกคน และเป็นพัฒนาการด้านการลงทุนที่ผู้ลงทุนจะสร้างความยั่งยืนไปพร้อมๆ กับบริษัท ด้วยผลตอบแทนจากการลงทุนที่น่าพอใจ และความเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้

ทั้งนี้ หุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนเป็นหุ้นกู้ที่มีข้อตกลงหรือเงื่อนไขให้ผู้ออกหุ้นกู้ต้องดำเนินการตามภาระผูกพันเพิ่มเติม โดยข้อตกลงหรือเงื่อนไขในการดำเนินงานตามภาระผูกพันดังกล่าว จะอ้างอิงกับผลสำเร็จหรือผลการดำเนินการตามตัวชี้วัด (KPI) และเป้าหมายด้านความยั่งยืน (SPT) ของผู้ออกหุ้นกู้ในอนาคตที่จะทำให้เกิดผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมโดยรวม

สำหรับตัวชี้วัดและเป้าหมายด้านความยั่งยืนของ “บีทีเอส กรุ๊ปฯ” ที่ใช้ในการอ้างอิงสำหรับการออกและเสนอขายหุ้นกู้ฯ ในครั้งนี้ มี 2 ด้าน ได้แก่ 1) ตัวชี้วัดด้านประสิทธิภาพในการใช้ไฟฟ้าในการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว (ซึ่งเป็นสายหลักของบริษัทฯ ในปัจจุบัน) โดยบีทีเอส กรุ๊ปฯ มีเป้าหมายลดการใช้ไฟฟ้าให้ได้ 8% จากการดำเนินงานปกติ ภายใน 9 ปี หรือ ภายในปี 2574 และ 2) ตัวชี้วัดด้านปริมาณการใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน โดยบริษัทมีเป้าหมายในการใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 10% ในแต่ละปีของการใช้ไฟฟ้าสำหรับการดำเนินงานของรถไฟฟ้าสายสีเขียว สำหรับรายละเอียดของตัวชี้วัดและเป้าหมายด้านความยั่งยืนดังกล่าวสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง)

การออกหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนของบริษัทฯ ในครั้งนี้สอดรับกับกลยุทธ์ระยะยาวด้านการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Strategy) ของบีทีเอส กรุ๊ปฯ โดยการคงสถานะความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) และกำหนดให้เพิ่มสัดส่วนการใช้ไฟฟ้าที่มาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) อย่างน้อย 10% ของการดำเนินงาน” นายสุรยุทธ กล่าว

โดยปัจจุบันบริษัทฯ ได้รับการยอมรับในด้านการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนทั้งในระดับประเทศและระดับสากล อาทิ ได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในดัชนีความยั่งยืนของดาวโจนส์ (DJSI) เป็นระยะเวลา 4 ปี ติดต่อกัน (ปี 2561-2564) ได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกดัชนี FTSE4Good Index Series ประจำปี 2565 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 และได้รับการจัดอันดับให้เป็นที่ 1 ของโลก 2 ปีซ้อน จาก DJSI (DJSI Industry Leader) ในกลุ่มอุตสาหกรรมคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม รวมถึงได้รับคัดเลือกให้เป็นบริษัทในกลุ่มขนส่งทางรางแห่งแรกและแห่งเดียวในโลกที่ได้รับการรับรองว่าเป็นบริษัทที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์หรือ Carbon Neutral Transportation Company จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกแห่งประเทศไทย

ล่าสุด บีทีเอส กรุ๊ปฯ ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 170 บริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนหรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) ประจำปี 2565 จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยผ่านเกณฑ์การคัดเลือกให้เป็นหุ้นยั่งยืนในกลุ่มบริการ (Services) โดย บีทีเอส กรุ๊ปฯ ได้รับคัดเลือกให้อยู่ใน THSI ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 สะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจในฐานะบริษัทจดทะเบียนที่มุ่งเน้นพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน จนเป็นที่ยอมรับทั้งด้านผลประกอบการ ตลอดจนมีจริยธรรม รับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสีย ควบคู่กับการดูแลสังคม และสิ่งแวดล้อม หรือ ESG (Environmental Social and Governance)

หุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน ของบีทีเอส กรุ๊ปฯ กำหนดมูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ปัจจุบัน อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.sec.or.th/ หรือติดต่อผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ของสถาบันการเงินทั้ง 5 แห่งดังปรากฏเบื้องต้น

 

 

Salesforce (เซลส์ฟอร์ซ) ร่วมมือกับ 8 นักวาดการ์ตูนในอาเซียนจากประเทศไทย ประเทศสิงคโปร์ และประเทศมาเลเซียเพื่อนำเสนอการ์ตูนสั้น 24 เรื่องโดยมีศิลปินไทยที่เข้าร่วมแคมเปญ อาทิ Wawawawin และ Sa-ard เซลส์ฟอร์ซสนับสนุนศิลปินทุกท่านในการวาดการ์ตูนตามจินตนาการและสไตล์ของตัวเองอย่างเต็มที่ โดยทุกชิ้นงานสื่อให้ผู้อ่านเห็นว่าในอนาคตเทคโนโลยีจะส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเราและสร้างแรงบันดาลใจให้ธุรกิจ รวมถึงนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายได้อย่างไร

ตลอดช่วงการระบาดของโควิด-19 การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมีผลต่อมุมมอง และวิสัยทัศน์ด้านอนาคตของธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนโดยตรง การ์ตูนสั้นทั้ง 24 เรื่องจึงสร้างขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ 'Future, Illustrated' ซึ่งประกอบไปด้วย 3 ธีมหลัก ได้แก่ Digital Transformation (การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล), Future of Work (อนาคตของการทำงาน) และ Business as a Platform for Good (ธุรกิจในฐานะแพลตฟอร์มส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงที่ดี) โดยซีรีส์การ์ตูนแต่ละเรื่อง ผู้อ่านจะเข้าถึงมุมมองว่าเทคโนโลยีนั้นหล่อหลอมชีวิต และแรงบันดาลใจของผู้คนอย่างไร รวมถึงว่าธุรกิจสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางโลกดิจิทัล และธุรกิจจะเข้ามามีบทบาทตรงไหนได้เพื่อนำขบวนการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสังคมโดยรวมในอาเซียน

คุณสุจิธ อับบราฮัม รองประธานอาวุโส ผู้จัดการทั่วไปประจำเซลส์ฟอร์ซ อาเซียน กล่าวว่า "มุมมองที่เป็นเอกลักษณ์จากศิลปินที่เราร่วมงานด้วยได้บอกเล่าความท้าทายและโอกาสที่เกิดขึ้นท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในภูมิภาคได้อย่างดีเยี่ยม การ์ตูนทุกชิ้นบอกเล่าความเป็นไปได้จากศักยภาพของเทคโนโลยีที่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อผู้คนและพื้นที่ได้ พร้อมทั้งเป็นอีกหนึ่งวิธีในการสร้างแรงบันดาลใจที่น่ารัก ๆ ให้ผู้อ่านได้แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีอย่างมีความหมายและสร้างสรรค์ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนมากขึ้นในอนาคตของเรา”

นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช (กลางขวา) ผู้อำนวยการ - การตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนมอบเงินจำนวน 10,796,752 บาท ให้กับนางสาวพรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ (กลางซ้าย) ผู้จัดการมูลนิธิรามาธิบดี ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งสมาชิกเคทีซีร่วมกันบริจาคผ่านบัตรเครดิต และใช้คะแนน KTC FOREVER รวม 107,967,520 คะแนน (ทุก 1,000 คะแนน แทนเงินบริจาค 100 บาท) สมทบเข้ามูลนิธิรามาธิบดีฯ ช่วยเหลือผู้เดือดร้อนและประโยชน์สุขของประชาชน ณ สำนักงานมูลนิธิรามาธิบดีฯ ถนนพระราม 6 เมื่อเร็วๆ นี้

นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช ผู้อำนวยการ - การตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เคทีซีได้ดำเนินการช่วยเหลือสังคมในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการร่วมเป็นจิตอาสา และการให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์กับสมาชิกและชุมชน รวมทั้งการสนับสนุนมูลนิธิต่างๆ ซึ่งตลอด 17 ปีที่ผ่านมา เคทีซีได้เป็นสื่อกลางระหว่างมูลนิธิเพื่อสังคมกับสมาชิก พร้อมทั้งเปิดช่องทางรับบริจาคผ่านบัตรเครดิตให้กับสมาชิกเคทีซี เพื่อส่งต่อให้กับมูลนิธิหรือองค์กรการกุศลต่างๆ กว่า 60 แห่ง”

นางสาวพรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ ผู้จัดการมูลนิธิรามาธิบดีฯ กล่าวว่า “มูลนิธิรามาธิบดีฯ มีบทบาทสำคัญคือการเป็นสะพานบุญแห่งการให้ ส่งต่อน้ำใจจากผู้ให้ไปสู่ผู้ป่วย ผ่านโครงการรับบริจาคต่างๆ ทั้งในรูปแบบของการช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยยากไร้ การจัดหาเครื่องมือแพทย์ การจัดสร้างอาคารโรงพยาบาล การสนับสนุนงานวิจัย และการศึกษาของบุคลากรการแพทย์ ด้วยมุ่งหวังให้ผู้ป่วยได้มีโอกาสเข้าถึงการรักษาอย่างเต็มประสิทธิภาพในทุกระดับชั้น ที่สำคัญต้องขอขอบคุณทางเคทีซี และผู้ร่วมบริจาคผ่านบัตรเครดิตเคทีซีทุกท่านที่ให้การสนับสนุนมูลนิธิรามาธิบดีฯ มาอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าเงินบริจาคทุกบาทจากโครงการของทางเคทีซีจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ป่วยทุกคนอย่างแน่นอน

 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล จัดงานเปิดตัว ศูนย์วินิจฉัยภาวะดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน แห่งแรกในเอเชียอาคเนย์  โดยมี ศ.นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล เป็นประธานแถลงข่าวร่วมกับ ศ.คลินิก นพ.วิศิษฎ์ วามวาณิชย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ศ.พญ.รังสิมา วณิชภักดีเดชา ภาควิชา ตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล รศ.ดร.นพ.ยุทธนา ศรีนวลประเสริฐ ภาควิชาวิทยาภูมิคุ้มกัน คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล อ.พญ.ยุวดี พิทักษ์ปฐพี ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล และ ภญ.กิตติวรรณ รัตนจันทร์ ผู้บริหารสูงสุดบริษัท เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย

ศ.นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล กล่าวว่า “ในฐานะที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นสถาบันทางการแพทย์ที่สร้างสรรค์สุขภาวะแก่มวลมนุษยชาติ สร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ๆ ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดีขึ้นด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม ไปสู่การเป็น Smart Hospital ในการดูแลรักษาพยาบาล ตลอดจนเป็นต้นแบบขององค์ความรู้ระดับประเทศและนานาชาติ เพื่อคุณภาพชีวิตของคนไทย ซึ่งที่ผ่านมาเราได้รับรู้ถึงอุบัติการณ์ของการเกิดภาวะดื้อโบทูลินัมท็อกซินมาสักระยะหนึ่ง จึงมีเป้าหมายที่จะพัฒนาองค์ความรู้ในการรับมือกับภาวะดื้อยาที่เกิดจากการใช้ ‘โบทูลินัมท็อกซิน’ ในหัตถการความงามอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เพื่อให้ประชาชนในวงกว้างได้เข้าถึงความรู้ และการตรวจวินิจฉัยภาวะที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมกันนี้ แพทย์ที่ทำการรักษาก็จะมีความรู้ความเข้าใจถึงการทำหัตถการความงามอย่างถูกวิธีด้วยเช่นกัน เนื่องด้วยประเทศไทยในปัจจุบัน การทำหัตถการความงามอย่างการฉีดสาร ‘โบทูลินัมท็อกซิน’ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ตัดสินใจเข้ารับบริการโดยที่อาจยังไม่มีความรู้ครอบคลุม และนำมาสู่ความเสี่ยงเกิดภาวะดื้อโบได้ ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงทางด้านสาธารณสุขในกรณีที่ผู้ป่วยอาจมีความต้องการใช้โบทูลินัมท็อกซินเพื่อการรักษาโรคทางระบบประสาทหรือกล้ามเนื้อในอนาคต”

จากความท้าทายของตัวเลขเคสดื้อโบที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา ศ.พญ.รังสิมา วณิชภักดีเดชา อาจารย์ประจำภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ร่วมกับ รศ.ดร.นพ.ยุทธนา ศรีนวลประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาภูมิคุ้มกัน คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล จึงพยายามที่จะแก้ไขวิกฤตของผู้บริโภคที่สงสัยเรื่องภาวะดื้อโบ ด้วยการริเริ่มก่อตั้งศูนย์วินิจฉัยภาวะดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน โดยการคิดหาวิธีทดสอบวัดปริมาณแอนติบอดี หรือ ภูมิคุ้มกันในเลือดผู้ป่วยที่ส่งผลให้การรักษาด้วยโบทูลินัมท็อกซินเกิดความล้มเหลว รวมไปถึงพัฒนาชุดความรู้ใหม่ให้กับแพทย์ที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยป้องกันการรักษาที่อาจทำให้ร่างกายผู้ป่วยประสบภาวะดื้อโบทูลินัมท็อกซินมากกว่าเดิม

 

ศ.พญ.รังสิมา วณิชภักดีเดชา ภาควิชา ตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า “ภาวะดื้อโบทูลินัมท็อกซินเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมาสักระยะหนึ่งแล้วแต่ยังไม่ได้เป็นที่จับตาในวงการแพทย์เท่าไรนัก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเกิดจากการที่ส่วนประกอบในโครงสร้างของโบทูลินัมท็อกซินกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้าน ซึ่งจากตัวเลขข้อมูลล่าสุดจากการส่งตรวจเลือดของคนไข้ที่สงสัยว่าจะมีภาวะดื้อโบในช่วงปี พ.ศ. 2564 – 2565 จำนวน 137 ราย พบว่ามีคนไข้จำนวน 79 รายที่มีผลการตรวจเป็นบวก และยืนยันว่ามีภาวะดื้อโบ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 58% ทั้งนี้ ในตัวเลขดังกล่าว สามารถจำแนกได้ว่าผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันต่อโครงสร้างโปรตีน 2 รูปแบบ โดยมีคนไข้ที่มีภาวะดื้อต่อ Core neurotoxin (โครงสร้างหลักในการออกฤทธิ์) อยู่ที่ 48% ดื้อต่อสาร Complexing proteins (โครงสร้างเสริมที่ไม่จำเป็นต่อการออกฤทธิ์) อยู่ที่ 18% และดื้อทั้ง Core neurotoxin และ Complexing proteins อยู่ที่ 8% จากผลการศึกษาพบว่า บางรายที่ดื้อต่อ Complexing proteins อาจจะยังสามารถใช้โบที่มีความบริสุทธิ์สูงที่ปราศจาก Complexing proteins ได้เห็นผลอยู่ แต่ในเคสส่วนใหญ่พบว่าดื้อต่อ Core neurotoxin นั้นต้องรอเวลาให้ระดับแอนติบอดีลดลงเท่านั้น ในฐานะแพทย์ จึงอยากแนะนำให้คนไข้เลือกเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและคลินิกที่มีคุณภาพ เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะดื้อโบในอนาคต”

รศ.ดร.นพ.ยุทธนา ศรีนวลประเสริฐ ภาควิชาวิทยาภูมิคุ้มกัน คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวเสริมว่า “การทดสอบเพื่อตรวจวัดปริมาณแอนติบอดีต่อโบทูลินัมท็อกซินนั้นได้ผ่านกระบวนการพัฒนา และการตรวจสอบความถูกต้องทางคลินิก จนสามารถนำมาให้บริการทางคลินิกในการช่วยเหลือคนไข้ได้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการเปิดศูนย์วินิจฉัยภาวะดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน ซึ่งศูนย์ฯ ดังกล่าวเป็นการบูรณาการระหว่างคลินิกและปรีคลินิก เพื่อดูแลรักษาคนไข้โดยใช้ข้อมูลทางด้านคลินิก เช่น ประวัติการฉีดโบทูลินัมท็อกซินของคนไข้ว่าเคยฉีดชนิดใดบ้าง ปริมาณมากน้อยเพียงใด ลักษณะการไม่ตอบสนอง เพื่อหาแนวทางการรักษาของคนไข้แต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนการทำงานของแพทย์ในการเลือกวิธีรักษาหรือเลือกโบทูลินัมท็อกซินได้ อย่างเหมาะสม ทำให้คนไข้สามารถกลับมาฉีดได้อีกครั้งอย่างปลอดภัย”

ในการก่อตั้งศูนย์วินิจฉัยภาวะดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้จับมือร่วมกับ เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย บริษัทชั้นนำระดับโลก ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องอัลเทอร่า และเวชภัณฑ์สำหรับใช้ในคลินิกเสริมความงาม ในการริเริ่ม “โครงการส่งตรวจภาวะดื้อโบ” เพื่อเพิ่มช่องทางให้คนไทยได้เข้าถึงการรักษาภาวะดื้อโบได้ง่ายขึ้น ซึ่งนอกจากการมารับการทดสอบที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลแล้ว ทางบริษัทยังได้อำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วย โดยร่วมมือกับพันธมิตรคลินิกความงามมากกว่า 40 แห่งทั่วกรุงเทพมหานคร ในการสร้างเครือข่ายในการช่วยเก็บข้อมูล และตัวอย่างเลือดของผู้ป่วยที่สงสัยว่าตัวเองจะมีภาวะดื้อโบ รวมถึงการนำส่งตัวอย่างเลือดไปตรวจที่ศูนย์วินิจฉัยภาวะดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซินในขั้นตอนถัดไป และให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องเพื่อบรรเทาความกังวลและช่วยลดความรุนแรงของภาวะดื้อโบได้อีกด้วย ทั้งนี้ ยังตั้งเป้าหมายจำนวนคลินิกร่วมโครงการให้ถึง 100 คลินิก ในปีถัดไปอีกด้วย

 

ภญ.กิตติวรรณ รัตนจันทร์ ผู้บริหารสูงสุดบริษัท เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย กล่าวว่า “เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการประสานงานจัด “โครงการส่งตรวจภาวะดื้อโบ” ร่วมกับศิริราชพยาบาล ซึ่งเกิดขึ้นจากความห่วงใยของเราต่อความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป ที่ปัจจุบันความนิยมเข้ารับการทำหัตถการฉีดโบทูลินัมท็อกซินเพื่อเสริมความงามเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราจึงอยากมุ่งเน้นการขับเคลื่อนการตระหนักรู้เกี่ยวกับภาวะดื้อโบออกสู่วงกว้างมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เมิร์ซ เอสเธติกส์ ยังเปิดช่องทางการสื่อสารใหม่เพื่อให้ความรู้เรื่องภาวะดื้อโบและคำแนะนำสำหรับประชาชนทั่วไป หากสงสัยว่าตนเองมีภาวะดื้อโบทูลินัมท็อกซิน

สำหรับประชาชนทั่วไปที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติ่มเกี่ยวกับภาวะดื้อโบ สามารถติดต่อได้ผ่านช่องทาง เมิร์ซ บิวตี้คอนเน็กท์ เบอร์โทรศัพท์ 02-026-1111 หรือ ไลน์ไอดี @merzbeautyconnect เพื่อเข้ารับการปรึกษาในเบื้องต้นโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

การกลับมาของ ASICS World Ekiden ครั้งที่ 3 หลังจากประสบความสำเร็จด้วยจำนวนผู้เข้าร่วมมากกว่า 25,000 ทีม หรือกว่า 96,000 คน ในปี 2020 และ 2021

 

ASICS (เอสิคซ์) ขอเชิญชวนเหล่านักวิ่งรวมทีม 6 คน เพื่อมาร่วมการแข่งขันในงานวิ่งผลัดประจำปีสุดยิ่งใหญ่ ASICS World Ekiden 2022 โดยที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากเหล่าบรรดานักวิ่ง ในปีนี้นับว่าเป็นการกลับมาอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 แล้ว

ASICS World Ekiden นั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากวัฒนธรรม การวิ่งของญี่ปุ่นที่มีมาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นการแข่งขันวิ่งผลัดที่อาศัยทีมเวิร์ค โดยจะถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมด 6 เส้นทาง ในระยะทางที่แตกต่างกัน (5 กิโลเมตร 3 คน, 10 กิโลเมตร 2 คน และ 7.2 กิโลเมตร 1 คน) ให้เหมาะกับความสามารถ และประสบการณ์ที่หลากหลายของนักวิ่งทุกคน และถึงแม้นักวิ่งจะอยู่กันคนละที่ หรืออยู่ห่างกันไกลแค่ไหน นักวิ่งแต่ละคนจะต้องส่ง Tasuki แบบดิจิทัล ซึ่งเป็นสายสะพายหรือแถบผ้าที่ใช้ในการวิ่ง Ekiden แบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ที่ใช้ส่งต่อให้กับเพื่อนร่วมทีมทุกครั้งที่สิ้นสุดเส้นทางวิ่งของตนเอง โดยการแข่งขันนี้จะเป็นการวิ่งผลัดระยะมาราธอน ในรูปแบบ Virtual Run และนักวิ่งแต่ละทีมต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากทีมเพื่อพิชิตเป้าหมายให้สำเร็จ

ASICS World Ekiden 2022 ยินดีต้อนรับนักวิ่งจากทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าคุณจะอยู่ในระดับไหน หรือ มีความสามารถเท่าไหร่ ก็มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแข่งขันนี้ได้ สำหรับการกลับมาในปี 2022 นี้ นับเป็นความสำเร็จจากการจัดกิจกรรมในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมาซึ่งมีผู้เข้าร่วมถึง 96,000 คน จากทั่วโลก และ ได้ร่วมวิ่งไปกว่า 475,000 กิโลเมตร หรือ เกือบเท่ากับการวิ่งรอบโลกกว่า 12 รอบ!

ยิ่งไปกว่านั้น ในกิจกรรมนี้ยังมีผู้เข้าร่วมที่มีชื่อเสียงมากมาย ทั้งอดีตนักกีฬา และ นักกีฬาชื่อดังอย่าง Yuki Kawauchi, Emma Bates, Beth Potter และ Koen Naert ที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันในปีที่ผ่านมาเช่นกัน นับได้ว่าการเข้าร่วม ASICS World Ekiden 2022 เป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ร่วมกิจกรรม ที่จะได้ร่วมวิ่งและแข่งขันไปกับนักกีฬาระดับโลก

ในการแข่งขันนี้แอปพลิเคชัน ASICS Runkeeper™ จะเป็นตัวช่วยให้ผู้เข้าร่วมได้ฝึกซ้อมร่วมกัน และ ติดตามความก้าวหน้าของเพื่อนร่วมทีมในการวิ่งในหมวดหมู่ต่างๆ ผ่านทาง ลีดเดอร์บอร์ดออนไลน์และ ผู้เข้าร่วมสามารถแลกเปลี่ยนพูดคุยและแชร์ประสบการณ์ ผ่านทาง #ASICSWorldEkiden

คุณยาสุฮิโตะ ฮิโรตะ ผู้บริหารสูงสุดของ ASICS กล่าวว่า “เราอดใจรอไม่ไหวในการรอให้การแข่งขัน ASICS World Ekiden 2022 นั้นเริ่มต้นขึ้น ด้วยจำนวนผู้เข้าร่วมนับพันคนจากทั่วทุกมุมโลกทำให้การแข่งขันนี้เป็นไฮไลท์ประจำปีสำหรับ ASICS เรามีความยินดีที่จะได้เผยแพร่วัฒนธรรมการวิ่งของญี่ปุ่นแก่ผู้คนทั่วโลก ทั้งยัง ได้เห็นความมุ่งมั่นและความร่วมมือร่วมใจกันของผู้เข้าแข่งขันที่สร้างแรงบันดาลใจ และนับเป็นหัวใจของการวิ่ง Ekiden เราหวังว่าทุกคนจะสนุกไปกับการแข่งขันในปี 2022 นี้ เพื่อให้ความตั้งใจในภารกิจการยกระดับจิตใจให้ผู้คนมีจิตใจที่แจ่มใส ในร่างกายที่สมบูรณ์ ของ ASICS ประสบความสำเร็จ ขอให้ทุกทีมโชคดี และ พบกันในลีดเดอร์บอร์ด”

พิเศษสุด ๆ สำหรับ ASICS World Ekiden 2022 ในครั้งนี้ ที่อยากจะเชิญชวนทุกคนที่รักในการวิ่งและอยากเสริมสร้างทั้งสุขทางกายและทางจิตที่ดี มาร่วมกิจกรรมไปด้วยกัน เพราะคุณจะไม่ได้แค่เข้าร่วมการแข่งขันอันยิ่งใหญ่นี้ แต่ยังมีโอกาสได้มาร่วมสนุกกับกิจกรรมสุดพิเศษ ด้วยการฟอร์มทีม 6 คน  เพื่อรับรางวัลมากมาย* ซึ่งประกอบไปด้วย

1. ที่พักจาก The Hidden Village ประเภท Suite with Jacuzzi (1 คืน) จำนวน 1 รางวัล มูลค่า 7,000 บาท

2. Garmin Smartwatch รุ่น Forerunner 55 จำนวน 2 รางวัล มูลค่ารางวัลละ 6,790 บาท

3. After Sunburn Facial Treatment จาก Nirunda Clinic จำนวน 6 รางวัล มูลค่ารางวัลละ 6,000 บาท

4. รองเท้า ASICS MAGIC SPEED 2 (Ekiden Pack) จำนวน 1 รางวัล มูลค่า 5,900 บาท

5. รองเท้า ASICS GEL-CUMULUS 24 (Ekiden Pack) จำนวน 1 รางวัล มูลค่า 4,700 บาท

6. บัตรทดลองฟิตเนสฟรี 3 วัน จาก Fitness First จำนวน 10 รางวัล มูลค่ารางวัลละ 3,000 บาท

รวมทั้งสิ้น 21 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 90,000 บาท สามารถติดตามรายละเอียดกิจกรรมได้ที่ Facebook: ASICS

และนอกจากนี้ หากใครสนใจที่จะร่วมแข่งขันและวิ่ง ASICS World Ekiden 2022 ไปด้วยกัน สามารถติดตามรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้เร็วๆ นี้ทาง Facebook: ASICS Running Club Thailand

วิธีการเข้าร่วม ASICS World Ekiden 2022

1. สมัครเข้าร่วมได้ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันนี้

● หาเพื่อนร่วมทีมให้ครบ 6 คน และเลือกกัปตันทีม โดยผู้ร่วมทีมแต่ละคนจะวิ่งในระยะทางที่ต่างกัน (5 กิโลเมตร 7.2 กิโลเมตร และ 10 กิโลเมตร)

2. ฝึกซ้อม & ติดตามผล

● การฝึกซ้อมร่วมกันถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการแข่งขัน Ekiden วิ่งผลัดมาราธอน การซ้อมของคุณจะเป็นเรื่องง่าย เพียงใช้แอปพลิเคชัน Runkeeper ในการวางแผนการฝึกซ้อมร่วมกันกับเพื่อนร่วมทีม

3. วิ่งแข่งขัน

● วิ่งแข่งกันไปกับแอปพลิเคชัน ASICS Runkeeper™ และส่ง Tasuki แบบดิจิทัลต่อให้กับเพื่อนร่วมทีมคนต่อไปของคุณ

4. ฉลอง & แชร์

● แชร์ผลลัพธ์ทีมของคุณให้กับเพื่อนและครอบครัวบนโซเชียลมีเดีย พร้อมกับติด #ASICSWorldEkiden #EkidenTH2022

สมัครได้แล้ววันนี้ - 22 พฤศจิกายน ที่ ASICS.com ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย เริ่มวิ่งระหว่างวันที่ 9-22 พฤศจิกายน 2565

หลัง บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. จับมือกับ True Digital Park เปิดตัวโครงการ “GPSC Greenovation Startup Sandbox” เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากคนรุ่นใหม่เป็นอย่างดี โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะได้ร่วมกิจกรรมในโครงการเป็นระยะเวลา 5 เดือน เพื่อร่วมออกไอเดียพัฒนานวัตกรรมขับเคลื่อนการใช้พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมมี Mentor ที่จะคอยช่วยแนะนำการสร้างนวัตกรรมเพื่อพลังงานยั่งยืนตลอดโครงการ ภายใต้โจทย์ “เราจะพัฒนาสังคมให้ดีขึ้นได้อย่างไร โดยใช้นวัตกรรมพลังงานสะอาดที่คุณสามารถเข้าถึงได้?” เพื่อคัดเลือก 15 ทีมที่ได้ผ่านเข้าไปสู่รอบกิจกรรมการแข่งขันแก้ปัญหา Business Ideas Challenge โดยทุกทีมที่เข้ารอบจะมีโอกาสได้เข้าร่วมกิจกรรม Workshop สุดเข้มข้น พร้อมรับคำปรึกษา การขัดเกลาและต่อยอดไอเดียจากผู้เชี่ยวชาญ และล่าสุดเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของโครงการ ที่ได้ 3 ทีมสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบ “GPSC Greenovation Startup Sandbox Program” รับเงินทุนทีมละ 150,000 บาท ในการนำไปต่อยอดพัฒนาไอเดียธุรกิจ สู่เวทีเส้นชัย การเฟ้นหาสุดยอด “นักพัฒนาธุรกิจรุ่นใหม่ด้านพลังงานไฟฟ้า” ในรอบตัดสินครั้งสุดท้าย Final Pitching Day ได้แก่

1. ทีม ควายงาน

สร้าง “BuffBox” เครื่องมอเตอร์ไฟฟ้ารุ่นต้นแบบ ที่สามารถเอามาดัดแปลงเพื่อใช้กับอุปกรณ์เดิมที่มีอยู่ของเกษตรกร เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรรายย่อย และลดรายจ่ายค่าเชื้อเพลิง อีกทั้งยังลดการปล่อย CO2 อีกด้วย

2. ทีม Onecharge

ร่วมมือกับพันธมิตร ขยายเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า สะดวกต่อผู้ขับขี่เดินทางไกล สามารถชาร์จในสถานที่ต่างๆ ได้ และกำลังขยายการติดตั้งให้ครอบคลุมทั่วประเทศ

3. ทีม Electron+

เจ้าของไอเดีย FTE Cooling in Auto Motive ที่ช่วยลดอุณหภูมิภายในรถยนต์ไฟฟ้าแบบเฉพาะจุด ทำงานร่วมกับโซลาร์เซลล์ ทำให้ลดการใช้น้ำยาแอร์ นับเป็นเทคโนโลยีการทำความเย็นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อีกทั้งช่วยประหยัดพลังงาน ส่งผลให้ driving range ของรถ EV เพิ่มขึ้น

เตรียมตัวเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายสำหรับโครงการ “GPSC Greenovation Startup Sandbox” กิจกรรม Final Pitching Day การนำเสนอไอเดียและแผนปฏิบัติการครั้งสุดท้าย พร้อมการตัดสินโดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทชั้นนำด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน ในวันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายนนี้ เวลา 13.00 - 16.30 น. ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 6 ตึกเพกาซัส ทรู ดิจิทัล พาร์ค ร่วมลุ้นติดตามผลการตัดสินทีมสุดยอดผู้นำที่จะมาเปลี่ยนโลกสิ่งแวดล้อม ด้วยนวัตกรรมการขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดเพื่อความยั่งยืน ผ่านทาง https://www.facebook.com/gpscthofficial และ https://www.facebook.com/TrueDigitalPark

LINE CREATORS CONNECT DAY 2022 กลับมาอีกครั้งในรูปแบบออฟไลน์ที่หลายคนตั้งตารอ เพราะนี่คืองานรวมพลคนครีเอทีฟไทยที่เข้ามาร่วมฟังการอัพเดทข้อมูลธุรกิจ เทรนด์ใหม่จากทีมงาน LINE STICKERS เพื่อใช้เป็นแนวทางในการสร้างสรรค์ผลงาน และการประกาศสิทธิพิเศษที่เพิ่มขึ้นจาก LINE CREATORS CLUB พร้อมการเปิดแคมเปญใหม่ต้อนรับเทศกาลสุดพิเศษปลายปี ชวนเหล่าครีเอเตอร์ออกแบบ LINE STICKERS ในธีมเฉลิมฉลองแบบหลุดโลก และโอกาสในการโปรโมทผลงานสู่ผู้ใช้งานระดับโลก

อิสรี ดำรงพิทักษ์กุล ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ Consumer Business, LINE ประเทศไทย กล่าวว่า “LINE STICKERS ทำงานร่วมกับครีเอเตอร์ในการพัฒนาธุรกิจเพื่อเติบโตไปด้วยกัน ปัจจุบันมี LINE CREATORS อยู่ที่ประมาณมากกว่า 1 ล้านคน ครอบคลุมทั้ง Stickers, Theme, Emoji, Avatar, NFT และธุรกิจ IP Business งาน LINE CREATORS CONNECT DAY มีเป้าหมายเพื่อเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างทีมงาน LINE STICKERS และครีเอเตอร์ของเรา ที่ต่างฝ่ายต่างให้ความรู้ สนับสนุนกันและกันมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังเป็นช่วงเวลาที่ดีที่ LINE STICKERS จะได้บอกเล่าถึงเทรนด์ และกิจกรรมใหม่ๆจากเรา และครั้งนี้ LINE Creators Connect Day 2022 ถือเป็นครั้งแรกของการกลับมาจัดงานในรูปแบบออฟไลน์ที่ได้พบปะกัน เราจึงจัดภายใต้ธีม “LINE STICKASPHERE” โดยเน้นการเปิดโอกาสให้ครีเอเตอร์ได้รู้จักกันมากขึ้น ร่วมแชร์ไอเดีย และประสบการณ์ ซึ่งอาจนำไปสู่การทำงานร่วมกันในอนาคต (Connecting & Sharing)

ภายในงานได้มีการอัพเดทถึงเทรนด์การทำสติกเกอร์ โดยผลงานที่ได้รับความนิยมยังคงเป็นคาแรกเตอร์ที่สามารถเชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์ผู้ใช้งานได้อย่างตรงใจ ซึ่งในประเภท Motion นั้น สติกเกอร์สำหรับคนทำงาน คู่รักและแนวประชดประชัน (Sarcastic) ยังคงเป็นที่นิยมติดท็อปดาวน์โหลดอยู่เสมอ แต่หากมองในเรื่องของสไตล์การวาดหรือลายเส้นนั้นนั้น สติกเกอร์สีสันสดใส มินิมัล และสีพาสเทล จะสามารถครองใจผู้ใช้งานปีนี้ได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น ทีมงาน LINE STICKERS ยังแนะนำให้ครีเอเตอร์ให้ความสำคัญกลุ่มผู้ใช้งานผู้ชาย เนื่องจากเป็นตลาดที่ยังมีโอกาสมาก การแข่งขันไม่สูง โดยมีตัวเลือกสติกเกอร์น้อยอยู่หากเทียบจำนวนกับสติกเกอร์สำหรับผู้หญิงและคนทั่วไป รวมทั้งยังแนะนำให้ครีเอเตอร์พัฒนาธีม (Theme) มากขึ้น เพราะจากสถิติการซื้อและดาวน์โหลดสติกเกอร์ 1 ใน 5 ของผู้ดาวน์โหลดสติกเกอร์ มีการซื้อหรือดาวน์โหลด ธีมด้วยเช่นกัน

นอกจากนั้น LINE ยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างครีเอเตอร์หน้าใหม่ผ่านการเฟ้นหานักคิดคุณภาพผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น LINE STICKERS CONTEST ในขณะเดียวกันก็มุ่งผลักดันให้ครีเอเตอร์มีโอกาสสร้างรายได้มากขึ้นจากการปรับโครงสร้างการให้โบนัสพิเศษของ LINE CREATORS CLUB ที่ปัจจุบันครีเอเตอร์มีโอกาสรับเงินโบนัสสูงสุดถึง 120,000 บาทต่อเดือน และรับสิทธิ์ในการโปรโมทพิเศษจาก LINE STICKERS นอกจากนั้น LINE STICKERS ยังมีแนวทางผลักดันให้ครีเอเตอร์เติบโตอย่างมั่นคงด้วยการพัฒนางานสู่ต่อยอดเชิงพาณิชย์ทั้ง Licensing Business ธุรกิจที่จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งและขยายขอบเขตคาแรกเตอร์ของครีเอเตอร์ และ NFT for Business ซึ่งปัจจุบันมีครีเอเตอร์กลุ่มนี้มากกว่า 28 ราย มีคาแรกเตอร์กว่า 80 แบบ และร่วมโปรเจคกับแบรนด์ดังมากมาย อย่าง AIS, Nivea, the1, Uniqlo, Lion และ LINE Shopping ตลอดจนหาแนวทางผลักดันคาแรกเตอร์มาพัฒนาเป็นสินค้า (Merchandise) โดย LINE เชื่อว่าเหล่านี้คือโอกาสทางการตลาดในอนาคตสำหรับครีเอเตอร์ไทย

ทั้งนี้ ภายในงาน LINE Creators Connect Day 2022 ยังได้จัดช่วงทอล์กพิเศษเพิ่มความรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้เหล่าครีเอเตอร์ โดยเชิญเจ้าของเพจ “วุ้นแปลภาษา” ที่มีผู้ติดตามในเฟซบุ๊ก 8 แสนคน อินสตาแกรมกว่า 5 แสนบัญชี โดยคุณวุ้น-ทฤฆชนม์ สิริทวีชัย บอกเล่าถึงวิธีการผลิตผลงานของตัวเอง ที่มาของไอเดีย “พจนานุกรมในโหมดไม่จริงจัง” พร้อมแนะนำหลักการทำงานที่สำคัญที่ต้องมีความส่ำเสมอ หรือไม่ต้องเร็วที่สุด แต่ไม่ช้าเกินไป เลือกเวลาให้เหมาะสมในการนำเสนอผลงาน มีความเป็นศิลปินในตัวเอง แต่ต้องคิดในเชิงธุรกิจให้เป็นด้วย

สิ่งที่ถือเป็นสีสันและไฮไลท์ในงาน LINE Creators Connect Day 2022 ครั้งนี้ คือ การจัดเวิร์คชอปสำหรับครีเอเตอร์ภายในงาน โดยแบ่งทีมเพื่อออกแบบคาแรกเตอร์ในคอนเซ็ปต์ “โอกาสเฉลิมฉลองแบบหลุดโลก” ซึ่งตลอด 1 ชั่วโมง ทุกทีมต่างสาดใส่ไอเดียของตัวเอง ระดมสมองร่วมกันลงไปในชิ้นงานอย่างเต็มที่ ก่อนจะเปิดโอกาสให้เหล่าครีเอเตอร์ใช้สิทธิติดสติกเกอร์โหวตกันเอง เพื่อเฟ้นหาเจ้าของผลงานที่ชนะใจเสียงส่วนใหญ่ รับ Apple Gift Card มูลค่า 20,000 บาท

ผู้ชนะรางวัลได้แก่ ครีเอเตอร์กลุ่ม “ตัวดึ๊บจริง” กับไอเดียมนุษย์ต่างดาวสาวสุดเซ็กซี่ กับสไตล์ชีวิตสังสรรค์สุดเหวี่ยง ซึ่งกิจกรรมเวิร์คชอปครั้งนี้สามารถสะท้อนธีมงานครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถสร้างความกลมเกลียวในหมู่ครีเอเตอร์หน้าเก่าและหน้าใหม่ได้เป็นอย่างดี ทุกคนได้มีโอกาสพบปะ แลกเปลี่ยนไอเดีย และประสบการณ์ระหว่างกัน รวมถึงร่วมสร้างผลงานชิ้นสำคัญที่ทุกคนภาคภูมิใจ

 

ลอรีอัล กรุ๊ป รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2565 โดยมีผลการดำเนินงานอยู่เหนือตลาดอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยยอดขาย มูลค่า 2.794 หมื่นล้านยูโร เติบโต 12.0% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว หรือเติบโตขึ้น 20.5% ตามตัวเลขที่ได้มีการรายงานด้วยปัจจัยบวกที่มีนัยสำคัญจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยเป็นการเติบโตอย่างสมดุลทั้งในระดับแผนกธุรกิจและภูมิภาค และมีผลการดำเนินงานเติบโตสูงกว่าตลาดความงามโลกอย่างมีนัยสำคัญ

นายนิโคลา ฮิโรนิมุส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กรุ๊ป กล่าวว่า “ในสถานการณ์ที่มีความผันผวนจากมาตรการควบคุมด้านสาธารณสุขของจีนและเงินเฟ้อในโลกตะวันตกนั้น ลอรีอัลยังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากในไตรมาสสาม โดยลอรีอัลเติบโตอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปี 2562 ด้วยแผนกลยุทธ์ในการปรับและสร้างสมดุล โดยเฉพาะในส่วนของการทำธุรกิจในภูมิภาคต่างๆ ส่งผลให้ลอรีอัล กรุ๊ป รายงานยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้น 12.0% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ด้วยรูปแบบธุรกิจที่แข็งแกร่ง ผนวกกับความคล่องตัว และความมุ่งมั่นของทีมงานทั่วโลก ทำให้ลอรีอัลมีผลการดำเนินงานที่เหนือกว่าตลาดอย่างมีนัยสำคัญอีกครั้ง และยังตอกย้ำถึงสถานะบริษัทด้านความงามอันดับหนึ่งของโลกด้วยเช่นกัน

ข้อมูลตัวเลขต่างๆ ชี้ให้เห็นว่า ธุรกิจในภูมิภาคต่างๆ ของลอรีอัล กรุ๊ป มีการปรับสร้างสมดุลได้ โดยทุกภูมิภาคมีความก้าวหน้า ซึ่งรวมถึงในเอเชียเหนือ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในประเทศจีนก็ตาม ส่วนภูมิภาคอื่น ๆ อัตราการเติบโตก็ขยายตัวในระดับตัวเลขสองหลัก โดยมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างชัดเจนในตลาดเกิดใหม่ (ภูมิภาค SAPMENA-SSA2, ละตินอเมริกา) ส่วนในยุโรปเองก็มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น ในขณะที่การขยายตัวล้วนเกิดขึ้นในสัดส่วนเท่าๆ กันในแผนกต่างๆ ซึ่งแต่ละแผนกต่างก็มีผลการดำเนินงานที่สูงกว่าตลาด แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ยังคงขยายตัวในระดับที่รวดเร็วขึ้นนับตั้งแต่ช่วงต้นปี และแผนกผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่มทั้ง 3 แผนกของลอรีอัลก็สามารถเติบโตในอัตราตัวเลขสองหลักในช่วง 9 เดือนแรก

ลอรีอัลภูมิใจที่ได้รับรางวัลระดับแพลทินัมจากอีโควาดิส (EcoVadis) ซึ่งจัดอันดับให้ลอรีอัลติดอันดับบริษัทที่ยอดเยี่ยมที่สุด 1% ของโลกในแง่ผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่น 2 ประการของลอรีอัล อันได้แก่ ความเป็นเลิศทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม นอกจากนี้ความพยายามของลอรีอัลยังได้รับการยอมรับจากรีฟินิทีฟ (Refinitiv) โดยลอรีอัลติดอันดับในเรื่องความหลากหลายและการยอมรับความแตกต่าง 100 อันดับแรกของโลกอีกครั้ง แม้ว่าจะเผชิญกับสถาณการณ์ความไม่แน่นอนในขณะนี้ แต่ลอรีอัลยังคงมีความมั่นใจในภาพรวมของตลาดความงามทั่วโลก ซึ่งสามารถยืนยันได้จากความยืดหยุ่นของตลาด และความมั่นใจในอำนาจการคิดค้นนวัตกรรมของบริษัท รวมทั้งความเชื่อมั่นในความสามารถของบริษัทที่จะเติบโตในอัตราที่สูงกว่าตลาด รวมทั้งมียอดขายและผลกำไรที่สูงขึ้นอีกในปี 2565 สรุปตามรายแผนกเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว

แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ เติบโต 10.9% แผนกธุรกิจนี้เติบโตในทุกๆ ภูมิภาค ซึ่งตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำในตลาดความงามช่างผมมืออาชีพ โดยสร้างผลงานในส่วนของช่องการทางจัดจำหน่ายทุกช่องทางทั้งที่ซาลอน เครือข่ายซาลอนเซ็นทริกในสหรัฐ และอี-คอมเมิร์ซ ซึ่งเป็นการยืนยันความสำเร็จของแผนกลยุทธ์ช่องทางจำหน่ายที่หลากหลายของบริษัทอีกครั้ง สำหรับตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่คึกคักนั้น การเติบโตของแผนกได้แรงขับเคลื่อนส่วนใหญ่จากผลการดำเนินงานของเคราสตาส (Keratase) และการเติบโตที่ต่อเนื่องของซีรี เอ็กซ์เพิร์ท (Serie Expert) โดยลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล (L’Oreal Professionnel) แผนกธุรกิจนี้ยังมีการเติบโตในกลุ่มผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมด้วยไลน์สินค้าระดับไอคอน

ผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค เติบโต 8.7% แผนกลยุทธ์การปรับภาพลักษณ์ให้มีความพรีเมียม และการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของแผนกมีส่วนช่วยสนับสนุนการเติบโตที่เป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น ขณะที่ผลประกอบการโดยรวมได้แรงหนุนจากภูมิภาค SAPMENA-SSA และละตินอเมริกา แบรนด์ชั้นนำทุกแบรนด์มีส่วนช่วยสนับสนุนผลประกอบการอันน่าประทับใจนี้ ซึ่งเป็นผลจากการใช้นวัตกรรมที่ล้ำยุคในทุกๆ ผลิตภัณฑ์หลักๆ โดยกลุ่มเมคอัพยังคงเป็นผลิตภัณฑ์หัวหอกที่นำความสำเร็จมาสู่แผนกนี้ ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อย่างทรงพลัง เช่น ลิปสติกรุ่นซูเปอร์สเตย์ ไวนิล อิงค์ (Superstay Vinyl Ink) โดยเมย์เบลลีน นิวยอร์ก (Maybelline New York) ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมเองก็ขยายตัวในอัตราที่รวดเร็วขึ้น ส่วนผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะได้รับแรงขับเคลื่อนจากความสำเร็จของการ์นิเยร์ (Garnier) โดยเฉพาะวิตามิน ซี ไบรเทนนิ่ง เซรั่ม (Vitamin C Brightening Serum) ตัวใหม่

แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง เติบโต 12.2% ในไตรมาส 3 แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ที่เกิดขึ้นหลายครั้งในจีน การย้ายที่ตั้งของหน่วยธุรกิจค้าปลีกสำหรับนักท่องเที่ยวในเอเชีย รวมทั้งความยากลำบากในการจัดหาวัตถุดิบ (โดยเฉพาะขวดน้ำหอม) แม้ว่าจะเผชิญกับความผันผวนเหล่านี้ แต่แผนกธุรกิจนี้ก็ยังสามารถเติบโตและก้าวหน้าได้ในจีน โดยสามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้สูงเป็นประวัติการณ์

แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงมีโครงสร้างที่แข็งแกร่ง และยังคงคิดค้นนวัตกรรมให้กับผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 ประเภท ในตลาดน้ำหอมที่กำลังขยายตัวอย่างคึกคักนั้น ผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงสามารถตอกย้ำได้ถึงความเป็นผู้นำระดับโลกอันเป็นผลมาจากน้ำหอมยอดนิยม เช่น ลิเบรอ (Libre) ของอีฟส์ แซงต์ โลรองต์ (Yves Saint Laurent) และลาวี เอ แบลล์ (La Vie est Belle) ของลังโคม (Lancome) สำหรับสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณนั้น ได้ใช้ประโยชน์จากการคิดค้นนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง เช่น ลังโคม รีเนอร์จี ทริปเปิล เซรั่ม (Lancome Renergie Triple Serum) และกลุ่มเครื่องสำอาง อย่าง อีฟ แซง โลรองต์ (Yves Saint Laurent), ลังโคม (Lancome) และชู อูเอมูระ (Shu Uemura) ต่างก็รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง

แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง เติบโต 22.6% ด้วยการกระชับความร่วมมือกับบุคลากรทางการแพทย์ แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางได้เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับรูปแบบการดำเนินการที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของคำแนะนำ และยังขยายตัวได้เร็วกว่าตลาดเวชสำอางสำหรับผิวพรรณอย่างมาก แผนกธุรกิจนี้เติบโตเป็นตัวเลขสองหลักในทุกภูมิภาค โดยมีผลประกอบการที่โดดเด่นในอเมริกาเหนือ, ยุโรป และ SAPMENA–SSA. โดยลาโรช-โพเซย์ (La Roche-Posay) ยังคงเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่มีส่วนสนับสนุนการเติบโต เพราะได้แรงขับเคลื่อนจากผลิตภัณฑ์หลักๆ ได้แก่ซิคาพลาสท์ (Cicaplast) และเอฟฟาแคลร์ (Effaclar), ครีมกันแดดยูวีมูน 400 (UVMune 400) และการเปิดตัวที่ประสบความสำเร็จของเซรั่มเพียว นิอาซินาไมด์ 10 (Pure Niacinamide 10) ขณะที่เซราวี (CeraVe) ยังคงเป็นแบรนด์ที่เติบโตเร็วที่สุดของแผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ขณะที่วิชี่ (Vichy) เติบโตเป็นเลขสองหลัก

ในเดือนตุลาคม แผนกธุรกิจผลิตภัณฑ์เวชสำอางได้ซื้อธุรกิจสกินเบทเทอร์ ไซเอนซ์ (Skinbetter Science) ซึ่งเป็นแบรนด์สกินแคร์ที่จ่ายสินค้าโดยเภสัชกรในสหรัฐและได้ปัจจัยสนับสนุนจากการวิจัยด้านเวชสำอางที่ทันสมัย

สรุปตามภูมิภาคเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว

SAPMENA–SSA เติบโต 25.4% (SAPMENA เอเชียแปซิฟิกใต้ ตะวันออกกลาง แอฟฟริกาเหนือ – SSA แอฟริกาใต้ซาฮารา) ลอรีอัลยังคงขยายตัวในภูมิภาค SAPMENA โดยมีผลประกอบการที่ดีกว่าตลาดอย่างเห็นได้ชัด แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค และแผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงเป็นแผนกที่สำคัญที่สนับสนุนการเติบโต ในออสเตรเลียมีการขยายตัวที่รวดเร็วขึ้น แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคสามารถรับมือกับแรงกดดันด้านการจัดหาในกลุ่มเครื่องสำอางได้ ขณะที่ยอดขายในช่องทางออฟไลน์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ และยอดขายในอินเดียยังคงเพิ่มขึ้นเนื่องจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของแผนกช่างผมมืออาชีพ และแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภค

ยุโรป เติบโต 13.0%

อเมริกาเหนือ เติบโต 10.8%

เอเชียเหนือ เติบโต 7.4%

ละตินอเมริกา เติบโต 20.0%

X

Right Click

No right click