

Xbox ประกาศกำหนดการจัดงาน Xbox Games Showcase ประจำปี ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 8 มิถุนายน ตั้งแต่เวลา 10:00 น. ตามเขตเวลาแปซิฟิก ซึ่งตรงกับวันที่ 9 มิถุนายน เวลา 00:00 น. ตามเวลาประเทศไทย พร้อมด้วยการเปิดตัวรายการพิเศษ The Outer Worlds 2 Direct ที่จะพาผู้ชมไปดูเบื้องหลังการพัฒนาเกมโดยทีมงาน Obsidian Entertainment พร้อมเผยข้อมูลใหม่เกี่ยวกับตัวเกม รวมถึงรายละเอียดสำคัญที่แฟน ๆ ต่างเฝ้ารอคอย โดยรายการนี้สานต่อความสำเร็จของ Starfield Direct ในปี 2566 และ Call of Duty: Black Ops 6 Direct ในปี 2567
โดยงาน Xbox Games Showcase ในปีนี้ Xbox ได้เตรียมเปิดตัวเกมใหม่จากสตูดิโอในเครือ รวมถึงเกมที่น่าตื่นเต้นจากค่ายพันธมิตรอื่น ๆ ทั่วโลก นำเสนอโดยการเน้นข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับอนาคตของ Xbox ซึ่งงานนี้จะจัดขึ้นผ่านการถ่ายทอดสดออนไลน์ทั้งหมด เปิดโอกาสให้เกมเมอร์ทั่วโลกสามารถรับชมและติดตามได้อย่างสะดวกจากทั่วทุกมุมโลก
และเมื่อสิ้นสุดงาน Xbox Games Showcase จะมีการถ่ายทอดรายการพิเศษ The Outer Worlds 2 Direct ซึ่งจะพาผู้ชมเจาะลึกเบื้องหลังการพัฒนาเกมโดยทีมงาน Obsidian Entertainment รายการนี้จะเปิดเผย
ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับเกมเพลย์ รายละเอียดสำคัญ และมุมมองจากทีมผู้สร้างที่กำลังพัฒนาภาคต่อของเกม RPG ไซไฟแนวบุคคลที่หนึ่ง ซึ่งเคยได้รับรางวัลมาแล้วมากมาย
กิจกรรมพิเศษทั้งสองรายการจะพร้อมให้รับชมในวันที่ 9 มิถุนายน ผ่านหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น YouTube Xbox, Twitch Xbox, Twitch XboxASL, Facebook Xbox และช่องทางอื่น ๆ พร้อมรองรับมากกว่า 40 ภาษา
ตารางเวลาออกอากาศของงาน Xbox Games Showcase และรายการพิเศษ The Outer Worlds 2 Direct ในแต่ละเขตเวลามีดังนี้:
· PDT: วันที่ 8 มิถุนายน เวลา 10:00 น.
· EDT: วันที่ 8 มิถุนายน เวลา 13:00 น.
· BST: วันที่ 8 มิถุนายน เวลา 18:00 น.
· CEST: วันที่ 8 มิถุนายน เวลา 19:00 น.
· ICT: วันที่ 9 มิถุนายน เวลา 00:00 น.
· JST: วันที่ 9 มิถุนายน เวลา 02:00 น.
· AEST: วันที่ 9 มิถุนายน เวลา 03:00 น.
การถ่ายทอดสดกิจกรรมพิเศษทั้งสองรายการนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของสัปดาห์แห่งการนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับ Xbox บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Xbox Wire, The Official Xbox Podcast และช่อง YouTube ของ Xbox ซึ่งจะมีการอัปเดตข้อมูลเพิ่มเติม เนื้อหาเจาะลึก และรายละเอียดพิเศษเกี่ยวกับเกมหลากหลายที่ถูกนำเสนอในงานครั้งนี้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามได้จากโพสต์ล่าสุดบน Xbox Wire แล้วพบกันในวันที่ 9 มิถุนายน เพื่อร่วมตื่นเต้นไปกับการเปิดตัวเกมใหม่และอัปเดตสุดพิเศษจาก Xbox
ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย คว้ารางวัลนวัตกรรมสาขายอดเยี่ยม จากงาน Retail Banker International – Asia Trailblazer Awards 2025 สะท้อนความตั้งใจในการพัฒนาสาขาให้เป็นพื้นที่ให้บริการที่ทันสมัย และ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้ายุคดิจิทัล
นางสาวปิยพร รัตน์ประสาทพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ เครือข่ายสาขาและบริการดิจิทัล ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “เรามองว่าสาขายังคงมีบทบาทสำคัญโดยเฉพาะเมื่อลูกค้าต้องการคำปรึกษาด้านการเงินที่ตรงจุดและเข้าใจง่าย เราจึงพัฒนารูปแบบการให้บริการใหม่ โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้พนักงานสามารถดูแลลูกค้าได้อย่างใกล้ชิดและเหมาะสมกับแต่ละคนมากขึ้น”
รูปแบบใหม่การให้บริการดังกล่าวอยู่ภายใต้แนวคิด Seamless Total Financial Solution ซึ่งใช้ข้อมูลที่ลูกค้าเคยให้ไว้เพื่อช่วยวางแผนด้านการเงินให้ตรงกับเป้าหมายและไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน (Data-Driven Insights) พร้อม
เครื่องมือที่ช่วยให้พนักงานสามารถออกแบบข้อเสนอทางการเงินให้เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของแต่ละคน โดยพนักงานทุกคนผ่านการอบรมเฉพาะทางเพื่อให้สามารถดูแลลูกค้าได้อย่างมืออาชีพ
ผลลัพธ์ของนวัตกรรมนี้สะท้อนให้เห็นถึงการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าให้มีความเป็นส่วนตัวและเข้าใจความต้องการได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ช่วยให้สามารถแนะนำบริการหรือผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับเป้าหมายของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ และยังสนับสนุนให้พนักงานทำงานได้อย่างคล่องตัว พร้อมดูแลและให้คำแนะนำแก่ลูกค้าได้อย่างเต็มที่ในทุกขั้นตอนของการให้บริการ
“เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ความพยายามของทีมงานได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาค รางวัลนี้คือกำลังใจสำคัญที่สะท้อนถึงความตั้งใจของยูโอบีในการพัฒนาสาขาให้เป็นพื้นที่ที่ลูกค้ารู้สึกไว้วางใจ พร้อมรับคำแนะนำที่ตอบโจทย์ชีวิตทางการเงินอย่างแท้จริง” คุณปิยพร กล่าวเสริม
บริษัท แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มและการออกแบบพัฒนาระบบ Smart Vending Machine ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ บริษัท อินเทอร์เน็ต ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านบริการโครงสร้างพื้นฐานไอซีที และให้บริการด้าน Cloud Solution และ Digital Platform ครบวงจร โดยการลงนามความร่วมมือครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนา Local Cloud และ ดิจิทัลแพลตฟอร์มของไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับสากล ด้วยการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ทันสมัยและมีความปลอดภัยสูง รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงในยุค Digital Transformation ความร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในโครงสร้างพื้นฐานของธุรกิจไทยเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้ธุรกิจไทยสามารถเติบโตในระดับสากล โดยไม่ต้องพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานจากต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจไทยมีความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ INET และ AWS ได้ร่วมกันพัฒนาโซลูชันที่ใช้เทคโนโลยี ระหว่างแอปพลิเคชัน Telemedicine ของ INET และ ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ Advance Vending ของ AWS เพื่อยกระดับการให้บริการทางการแพทย์ผ่านระบบอัตโนมัติ และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานในยุคดิจิทัล ทำให้การรักษาพยาบาลสะดวกขึ้น
![]()
ดร.วิโรจน์ ศิริรัตนรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผมต้องขอขอบคุณ คุณมรกต กุลธรรมโยธิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ ในการมุ่งเน้นเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ทันสมัย เพื่อรองรับการใช้งานที่ปลอดภัย มีเสถียรภาพ และสามารถขยายขีดความสามารถของธุรกิจไทยให้แข่งขันได้ในยุค Digital Transformation นอกจากนี้บริษัทยังได้ร่วมพัฒนาตู้ Advance Vending ที่เป็นตู้จ่ายยาอัตโนมัติ Api เชื่อมกับ แอปพลิเคชัน Telemedicine ที่จะทำให้แพทย์สามารถให้คำปรึกษาผ่านช่องทางออนไลน์ และสั่งจ่ายยาให้กับผู้ป่วยจากระยะไกล โดยระบบนี้จะทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านตู้จำหน่ายอัตโนมัติ ช่วยให้การรักษาพยาบาลรวดเร็วขึ้น”
นาง มรกต กุลธรรมโยธิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ดิฉันในนามบริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ INET เป็นผู้ให้บริการ Local Cloud และ Digital Platform ของคนไทยมากกว่า 30 ปี มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมมือกับทางบริษัท แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ความร่วมมือนี้ เพื่อผลักดัน Local Cloud และแพลตฟอร์มดิจิทัลของไทยให้ก้าวสู่มาตรฐานระดับสากล และยังเป็นการส่งเสริมให้ประเทศไทยมีเทคโนโลยีคลาวด์ ลดการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานจากต่างประเทศ และช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถดำเนินงานบนแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ได้อย่างแท้จริง ในโลกดิจิทัลที่ความมั่นคงปลอดภัย และเป็นการขยายขีดความสามารถของธุรกิจไทยให้สอดคล้องกับการเข้าสู่ยุค Digital Transformation ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
การร่วมมือกันในครั้งนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจไทยปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน พลิกโฉมบริการทางการแพทย์ด้วยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยนำช่วยปรับปรุงและพัฒนาการให้บริการทางการแพทย์มีประสิทธิภาพและทันสมัยมากยิ่งขึ้น
วงการสาธารณสุขกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมีความเป็นสหวิชาชีพ ผสมผสานดิจิทัล และขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมากยิ่งขึ้น เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าและการดูแลผู้ป่วยมีความเฉพาะบุคคลมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจึงต้องพัฒนาทักษะให้รอบด้านมากกว่าแค่ความรู้ทางคลินิค ไม่ว่าจะเป็นทักษะการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) การวิเคราะห์ข้อมูล (Data analytics) การสื่อสารกับผู้ป่วย (Patient communication) และเครื่องมือสุขภาพดิจิทัล (Digital health) นอกจากนี้ ยังต้องเข้าใจเรื่องจริยธรรมทางการแพทย์และการจัดการข้อมูลสุขภาพให้ลึกซึ้ง เพื่อก้าวให้ทันกับโลกของสุขภาพยุคใหม่ที่ไม่หยุดนิ่ง
ในยุคนี้ความรู้พื้นฐานด้านสุขภาพไม่ใช่เรื่องของบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนควรมีติดตัว ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน ผู้ดูแลผู้ป่วย หรือแค่ต้องการเสริมความรู้เพื่อให้ตัดสินใจด้านสุขภาพได้ดียิ่งขึ้น การเข้าใจวิทยาศาสตร์เบื้องหลังสุขภาพที่ดีเหล่านี้ จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ และสร้างผลลัพธ์เชิงบวกอย่างเห็นได้ชัด
ข้อมูลจาก Coursera ก็สะท้อนให้เห็นเทรนด์การเรียนรู้เรื่องสุขภาพที่เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน โดยในประเทศไทยมีจำนวนผู้ลงทะเบียนเรียนหลักสูตรที่เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มขึ้นถึง 200% ตั้งแต่ช่วงโควิด 19 ด้วยวัฒนธรรมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง นวัตกรรม และทักษะข้ามสายงานเป็นหัวใจสำคัญในการทำงาน อนาคตของวงการสาธารณสุขจึงเต็มไปด้วยโอกาสที่น่าตื่นเต้น ไม่ว่าคุณจะกำลังสร้างเส้นทางอาชีพในสายงานนี้ หรือเพียงแค่มุ่งหวังที่จะตัดสินใจด้านสุขภาพอย่างมีข้อมูลมากขึ้น
5 หลักสูตรแนะนำจาก Coursera ประกอบไปด้วย:
1. Sensor Technologies For Biomedical Applications Specialization โดย Indian Institute of Science
หลักสูตรเฉพาะทางนี้จะช่วยให้ผู้เรียนได้เสริมสร้างทักษะพื้นฐานและทักษะภาคปฏิบัติในการออกแบบ วิเคราะห์ และประยุกต์ใช้เซนเซอร์ทางชีวการแพทย์ ผู้เรียนจะได้เรียนรู้วิธีการสร้างและการทำงานของเซนเซอร์เหล่านี้ พร้อมทั้งศึกษาการใช้งานจริงในด้านการดูแลสุขภาพ และลงมือทำโครงการ capstone ในการออกแบบเซนเซอร์วิเคราะห์ลมหายใจด้วยตัวเอง หลักสูตรนี้ยังครอบคลุมถึงการประยุกต์ใช้ AI และกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการทำงานในสายวิศวกรรมชีวการแพทย์และนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีสุขภาพ
2. Introduction to Psychology โดย Yale University
หลักสูตรนี้จะพาผู้เรียนเจาะลึกเข้าสู่ศาสตร์ของจิตวิทยาเพื่อทำความเข้าใจว่าเราคิด รู้สึก และแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ อย่างไร ผู้เรียนจะได้เรียนรู้หัวข้อสำคัญ เช่น การรับรู้ ความจำ การตัดสินใจ อารมณ์ และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม พร้อมทั้งเข้าใจการทำงานของจิตใจในชีวิตประจำวัน หลักสูตรนี้จะผสมผสานงานวิจัยเข้ากับตัวอย่างจากสถานการณ์จริง ทำให้จิตวิทยาเป็นเรื่องที่น่าสนใจและสามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง และเป็นหลักสูตรที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อยากเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์หรือสนใจเรื่องสุขภาพจิต
3. Stanford Introduction to Food and Health โดย Stanford University
หลักสูตรนี้จะพาผู้เรียนสำรวจว่าการเลือกอาหารในแต่ละวันส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวอย่างไร พร้อมเรียนรู้วิธีการที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันเพื่อให้สามารถตัดสินใจเลือกอาหารได้ดียิ่งขึ้น ผู้เรียนจะได้เรียนรู้พื้นฐานของโภชนาการ เข้าใจผลกระทบของอาหารต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคอ้วนและโรคเบาหวาน ทั้งยังค้นพบแนวทางที่ยั่งยืนในการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ หลักสูตรนี้มุ่งเน้นไปที่อาหารที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย แทนที่จะตามกระแสแฟชั่น ช่วยให้สามารถควบคุมพฤติกรรมการกินและดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจด้านการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข หรือแม้แต่ผู้ที่ต้องการมีวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น
4. Understanding the Brain: The Neurobiology of Everyday Life โดย The University of Chicago
หลักสูตรนี้จะพาผู้เรียนทำความเข้าใจการทำงานของระบบประสาทที่กำหนดพฤติกรรมและมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวัน เจาะลึกการทำงานของสมองในหัวข้อต่าง ๆ เช่น การรับรู้ การเคลื่อนไหว และพื้นฐานทางระบบประสาทของความผิดปกติทั่วไป ผ่านการบรรยายที่น่าสนใจและตัวอย่างจริง ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ว่าสมองประมวลผลข้อมูลและควบคุมการกระทำอย่างไร หลักสูตรนี้จะมอบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับรากฐานทางประสาทชีววิทยาที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจเกี่ยวกับประสาทวิทยาหรือกำลังพิจารณาอาชีพในสาขาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ
5. Introduction to Genetics and Evolution โดย Duke University
หลักสูตรนี้พูดถึงเนื้อหาพื้นฐานของพันธุศาสตร์และวิวัฒนาการ ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจถึงการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ลักษณะต่าง ๆ และกลไกของการคัดเลือกตามธรรมชาติ หลักสูตรนี้จะช่วยให้ความรู้และแก้ไขความเข้าใจผิดทั่วไปในทางชีววิทยา พร้อมปูทางไปสู่การศึกษาขั้นสูงในด้านพันธุศาสตร์ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่สนใจในชีววิทยา งานวิจัย หรือการแพทย์ หลักสูตรนี้มอบพื้นฐานที่แข็งแกร่งในการทำความเข้าใจพื้นฐานทางพันธุกรรมของชีวิตและวิวัฒนาการ
Thailand Fast Track ทางด่วนสตาร์ทอัพและนักธุรกิจต่างชาติลงทุนในประเทศไทย หนึ่งในความตั้งใจของ ทรู ดิจิทัล พาร์ค ศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ที่ต้องการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศอาเซียนที่น่าลงทุน ผ่านการผนึกพลังกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI เติมเต็มทุกความต้องการของสตาร์ทอัพและนักลงทุนจากทุกทวีปทั่วโลกที่จะเข้ามาลงทุนและประกอบกิจการในไทย ปิดช่องว่าง ลดอุปสรรคและความท้าทายในการเข้ารับบริการต่างๆ ในไทยที่ยังไม่มีการรวมศูนย์ ทั้งบริการวีซ่า พื้นที่ทำงาน คำแนะนำด้านกฏหมาย การหาที่พักอาศัย รวมถึงการเข้าถึงเครือข่ายธุรกิจ เพื่อส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจในประเทศไทย
ทรู ดิจิทัล พาร์ค เชื่อมโยงทุกความเป็นไปได้จากต่างชาติสู่ประเทศไทย ตอบโจทย์การเข้าประกอบธุรกิจและพำนักในประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม โดย TDPK International Service Center ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้น 3 ทรู ดิจิทัล พาร์ค เวสต์ เปิดให้บริการแก่สตาร์ทอัพและนักลงทุนต่างชาติแบบครบวงจรในที่เดียว ทั้งบริการเพื่อธุรกิจและเพื่อการพำนักระยะยาวในประเทศไทย ผสานระบบนิเวศครบวงจรที่แข็งแกร่งของ ทรู ดิจิทัล พาร์ค และความร่วมมือกับพันธมิตรกว่า 5,800 ราย ในหลากหลายอุตสาหกรรม
พร้อมจัดงาน Thailand Fast Track: Attracting Global Community, Accelerating Thailand’s Growth สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับพันธมิตรนานาประเทศ เร่งเพิ่มความมั่นใจในนโยบายส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทย โดยมีการแสดงวิสัยทัศน์จากนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ตลอดจนการเสวนาแลกเปลี่ยนมุมมองที่น่าสนใจของประเทศไทยในสายตาชาวต่างชาติ จากผู้แทนสถานเอกอัครราชฑูตสหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และลักเซมเบิร์ก พร้อมด้วย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมเป็นเกียรติในงาน
ทรู มุ่งขับเคลื่อนประเทศไทย ให้เป็นศูนย์กลางระดับโลกสําหรับสตาร์ทอัพ
นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด กล่าวถึง ความมุ่งมั่นของทรู คอร์ปอเรชั่น ในการขับเคลื่อนประเทศไทย เปลี่ยนผ่านสู่ยุดดิจิทัล ผ่านทรู ดิจิทัล พาร์ค ศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดยได้สรรหาทรัพยากรให้กับสตาร์ทอัพ ผู้ประกอบการ และนักลงทุน เพื่อสนับสนุนการเติบโตและประสบความสำเร็จ ที่ผ่านมา ทรู ดิจิทัล พาร์ค ร่วมมือกับบีโอไอมานานกว่า 6 ปี เราได้ทำงานร่วมกัน เพื่อดึงดูดผู้มีความสามารถและธุรกิจระดับโลก สร้างเครือข่ายชุมชนเทคโนโลยีที่มีการขับเคลื่อนมากที่สุดในประเทศไทย สำหรับงาน Thailand Fast Track นี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการตอกย้ำบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางระดับโลกสําหรับสตาร์ทอัพ ทั้งยังได้เปิดตัว TDPK International Service Center ที่ทรู ดิจิทัล พาร์ค ให้บริการแบบครบวงจรในที่เดียว ทั้งการจัดตั้งธุรกิจ บริการวีซ่า และสนับสนุนด้านการลงทุน และในฐานะตัวแทนที่ได้รับการรับรองจากบีโอไอสำหรับวีซ่าพํานักระยะยาวในประเทศไทย จะช่วยทำให้ธุรกิจดำเนินการได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้นและเข้าถึงได้มากขึ้น
บีโอไอ กรุยทางดึงสตาร์ทอัพลงทุนในไทย

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวถึงประเทศไทย ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาว่า ระบบนิเวศสตาร์ทอัพเติบโตขึ้นอย่างมาก และกลายเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของสตาร์ทอัพและนักลงทุนทั่วโลก มีปัจจัยสำคัญ 3 ประการที่ ได้แก่
· ทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงตลาดที่สำคัญอย่างอาเซียน จีน และ อินโด-แปซิฟิก รวมถึงมีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
· บุคลากรที่มีทักษะสูง ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการศึกษาระดับโลก
· นโยบายและมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ มาตรการส่งเสริมสตาร์ทอัพจากบีโอไอ เช่น ยกเว้นภาษีนิติบุคคล และ การยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ และโครงการ Startup Matching Fund ที่ให้
เงินสนับสนุนสูงสุดถึง 50 ล้านบาทต่อสตาร์ทอัพ เพื่อช่วยให้สตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสามารถเติบโตและแข่งขันในตลาดโลกได้
นอกจากนี้ ยังมีโครงการ Global Talent Attraction ผ่านวีซ่าพิเศษสำหรับสตาร์ทอัพ ทั้ง Long-Term Residence (LTR) Visa และ Smart Visa ทั้งยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากร ด้วยการร่วมมือกับภาคการศึกษาต่าง ๆ ปรับหลักสูตรให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ ปัญญาประดิษฐ์ วิศวกรรมศาสตร์ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงการทำงานร่วมกับภาคเอกชนต่าง ๆ รวมถึงได้แต่งตั้งให้ทรู ดิจิทัล พาร์ค เป็นศูนย์สนับสนุนการขอวีซ่าและการเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย มีบทบาทสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ และเสริมสร้างการเติบโตของสตาร์ทอัพและระบบนิเวศเทคโนโลยีของประเทศ"
ญี่ปุ่นเน้นพัฒนาบุคลากร ควบคู่กับธุรกิจที่เติบโตไปกับคนไทย
Mr. Kajiwara Toru, Minister and Chief of the Economic Section Embassy of Japan ได้แบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับการทำธุรกิจและการลงทุนในประเทศไทยว่า มีบริษัทญี่ปุ่นมาลงทุนในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยมีกลยุทธ์ที่ต้องการเติบโตไปด้วยกันกับคนไทย และให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยได้จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมสําหรับนักพัฒนาแรงงานไทย รวมถึงร่วมมือด้านการศึกษาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ อาทิ สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น เป็นต้น ทั้งยังชี้ให้เห็นสิ่งที่ประเทศไทยกำลังเผชิญคือ ปัญหามลภาวะทางอากาศ รวมถึงกระบวนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ (Decarbonization) ซึ่งรัฐบาลและทุกภาคส่วนต้องช่วยกันแก้ปัญหาอย่างจริงจังให้ครบทุกมิติ พร้อมย้ำว่า เทคโนโลยีมีบทบาทอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของไทย ทั้งยังเป็นเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศสู่อนาคตที่ยั่งยืน และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือบทบาทของคนรุ่นใหม่ ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต
สหราชอาณาจักร ชื่นชมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของไทยที่แข็งแกร่ง

Mr. Zak Lawton, Frist Secretary Technology & Head of Investment Embassy of the United Kingdom
กล่าวถึงโอกาสทางธุรกิจในประเทศไทยว่า สหราชอาณาจักรและประเทศไทยมีความสัมพันธ์มาอย่างยาวนานกว่า 100 ปี มีความร่วมมือในด้านต่างๆ มากมาย ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและอินเทอร์เน็ตที่แข็งแกร่งและครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดธุรกิจด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล เช่นปัญญาประดิษฐ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งสหราชอาณาจักรมีโครงการที่มุ่งเน้นการลดการใช้พลังงานและส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล โดยร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการลดการใช้กระดาษและขั้นตอนต่างๆ เปลี่ยนไปใช้ระบบข้อมูลดิจิทัล อาทิ การจัดเก็บ การสืบค้น รวมไปถึงการวิเคราะห์ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เป็นต้น นอกจากนี้ยังเสนอแนะเรื่องการเชื่อมโยงเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคและระดับโลก เพื่อช่วยให้การค้าและการลงทุนดำเนินการได้ง่ายมากขึ้น
ลักเซมเบิร์ก มองไทยโดดเด่นทั้งเทคโนโลยีทางการเงินและการสนับสนุนทางการเงินเพื่อความยั่งยืน
Mr. Eric Lauer, Trade and Investment Advisor, Embassy of Luxembourg กล่าวว่านโยบายหลาย ๆ ด้านที่ไทยกำลังดำเนินการเป็นไปในทิศทางที่ดีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงขั้นตอนทางกฎระเบียบให้คล่องตัวมากขึ้น หรือการลงทุนด้านการศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพ อีกทั้งประเทศไทยยังมีความโดดเด่นมากใน 2 ด้าน ได้แก่ ความมุ่งมั่นของประเทศในการสนับสนุนทางการเงินเพื่อความยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) และ การเติบโตของเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) โดยประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่มี Sustainability Linked Bonds หรือหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน พร้อมกล่าวถึงความร่วมมือในโครงการ ASEAN Startup Exchange ระหว่างลักเซมเบิร์กและอาเซียน เพื่อเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพในแต่ละประเทศได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีระหว่างกัน
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ TDPK International Service Center สามารถดูได้ที่ https://www.truedigitalpark.com/business-service
บริษัทฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอนเตอร์ไพรส์ [Hewlett Packard Enterprise (NYSE: HPE)] เปิดตัวฟังก์ชันการใช้งานเพิ่มเติมสำหรับ HPE Aruba Networking Central โซลูชันการจัดการเครือข่ายที่ขับเคลื่อนด้วย AI และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับแรก โดยเพิ่มตัวเลือกการใช้งานใหม่ ได้แก่ เครือข่ายคลาวด์ส่วนตัวเสมือน [Virtual Private Cloud (VPC)]
สำหรับลูกค้าที่ต้องการความคล่องตัวของระบบคลาวด์ ควบคู่ไปกับมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูล (Data Security) การควบคุมข้อมูลและข้อกำหนดด้านกฎระเบียบที่เฉพาะเจาะจง รวมถึงตัวเลือกการติดตั้งระบบภายในสถานที่ (On-premise) ซึ่งสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์ ด้วยการขยายบริการในครั้งนี้ HPE จึงถือเป็นผู้ให้บริการรายเดียวที่สามารถนำเสนอการบริหารจัดการเครือข่ายขั้นสูงที่ครอบคลุมที่สุดในอุตสาหกรรม ทั้งในรูปแบบ AI ปฏิบัติงานบนคลาวด์ ผ่านทาง VPC เฉพาะของลูกค้า, การติดตั้งระบบภายในองค์กร, SaaS สาธารณะ หรือบริการเครือข่ายตามการใช้งาน (NaaS)
HPE Aruba Networking Central On-Premises for Government นำเสนอตัวเลือกการใช้งานใหม่ พร้อมฮาร์ดแวร์เซิร์ฟเวอร์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน FIPS 140-2 ตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของภาครัฐ โซลูชันการจัดการเครือข่ายที่ครอบคลุมนี้ช่วยยกระดับประสิทธิภาพขององค์กร รองรับการใช้งานใหม่ ๆ เช่น การเก็บรวบรวมข้อมูล AI การเทรนและการประมวลผลอนุมานของ AI ซึ่งต้องอาศัยการควบคุมดูแลที่มากขึ้นผ่านตัวเลือก การติดตั้งแบบแยกขาดจากเครือข่ายภายนอก (Air-gapped On-premise) และ VPC บนคลาวด์ สำหรับตัวเลือกการใช้งานคลาวด์สาธารณะและ VPC ลูกค้าจะได้รับประโยชน์จากเครือข่ายที่ครอบคลุมของ HPE GreenLake cloud ซึ่งมีศูนย์ข้อมูลกระจายอยู่ในหลายภูมิภาคทั่วโลก ช่วยให้สามารถใช้งานคลาวด์ทได้อย่างยืดหยุ่นและสอดคล้องกับข้อกำหนดในแต่ละพื้นที่
นวัตกรรมอื่น ๆ ของ HPE Aruba Networking Central ยังรวมถึงระบบเครือข่ายอัตโนมัติ AIOps ที่ทำงานตลอดเวลา ซึ่งจะคอยติดตามและตรวจสอบการทำงานของเครือข่ายแบบมีสายและไร้สายอย่างต่อเนื่องช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครือข่าย และตรวจจับปัญหาด้านประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างแม่นยำ โครงสร้างพื้นฐานของผู้ช่วย AI ทำหน้าที่เป็นสถาปนิกของเครือข่าย คอยตรวจสอบและรวบรวมข้อมูล ให้การวินิจฉัยและคำแนะนำเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพของเครือข่าย ปิดช่องโหว่ในด้านความปลอดภัย และช่วยระบุข้อผิดพลาดในการกำหนดค่าก่อนที่จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของเครือข่าย
HPE Aruba Networking Central ได้ขยายความสามารถในการตรวจสอบ วิเคราะห์ และแก้ไขปัญหาเครือข่าย (Full-Stack Network Observability) รวมถึงการตรวจวัดระยะไกลอัตโนมัติ (Telemetry) ของคลังข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Lake) รองรับทั้งสภาพแวดล้อมเครือข่ายแบบผสม (Heterogenous network) และแอปพลิเคชันไอทีหลักขององค์กร ด้วยโซลูชันการตรวจสอบทางไอทีที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ การขยายบริการเพิ่มเติมครั้งใหม่นี้มาพร้อมกับสิทธิ์การใช้งานสมาชิกรายปีจาก OpsRamp ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Hewlett Packard Enterprise โดยจะให้บริการติดตามตรวจสอบอุปกรณ์จากผู้ให้บริการรายอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ HPE Aruba Networking Central ยังให้บริการติดตามการเคลื่อนไหวของข้อมูล (Visibility) ในเชิงลึกยิ่งขึ้นในแอปแบบเรียลไทม์ เช่น Microsoft Teams เพื่อรองรับการโทรด้วยเสียงและวิดีโอที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
![]()
ฟิล มอตแทรม รองประธานบริหารและผู้จัดการทั่วไปของ HPE Aruba Networking กล่าวว่า “องค์กรต่างก็ให้ความสำคัญของข้อมูลมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความต้องการด้านโซลูชันไอทีที่สามารถบริหารจัดการได้แบบ local และ regional ด้วยนวัตกรรมเหล่านี้ HPE สามารถตอบโจทย์ความท้าทายที่เร่งด่วนขององค์กรธุรกิจ องค์กรไม่แสวงหากำไร และหน่วยงานของรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความยืดหยุ่นในการใช้งานการจัดการเครือข่ายที่สูงมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งเมื่อผสานรวมเข้ากับนวัตกรรมที่ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องของ HPE ในด้าน AI ความปลอดภัยและการเชื่อมต่อ ทำให้ HPE Aruba Networking Central สามารถนำเสนอแอปพลิเคชันการจัดการเครือข่ายที่ทรงพลังและหลากหลายที่สุดในตลาดได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และด้านการควบคุมได้อย่างมั่นใจ”
คุณสมบัติและประโยชน์ใหม่เฉพาะใน HPE Aruba Networking Central มีดังนี้
· 4 ตัวเลือกการใช้งานที่หลากหลาย ซึ่งมากที่สุดในบรรดาแอปพลิเคชันการจัดการเครือข่ายทั้งหมด HPE Aruba Networking Central รองรับการใช้งานใน 4 รูปแบบ ได้แก่ SaaS บนคลาวด์, VPC, ระบบติดตั้งภายในองค์กร และ NaaS เพื่อตอบสนองความต้องการขององค์กรธุรกิจและหน่วยงานภาครัฐ โดยสอดคล้องกับข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ และมาตรฐานต่าง ๆ เช่น GDPR และ FINRA
· ตัวช่วยเครือข่ายอัตโนมัติ AI ที่ทำงานตลอดเวลา (AI-powered Automated Network Assistant) ช่วยขยายความสามารถด้าน AIOps ของ HPE Aruba Networking Central โดยจะทำการแจ้งเตือนการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเพื่อช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถปรับปรุงและแจ้งเตือนเมื่อพบปัญหาในการทำงาน
· เพิ่มจำนวนจุดให้บริการเครือข่าย (PoP) ทั่วโลก ทำให้การรับส่งข้อมูลบนคลาวด์ของ HPE Aruba Networking Central รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมีเซิร์ฟเวอร์เฉพาะใน สหรัฐอเมริกา แคนาดา สหภาพยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา เอเชียแปซิฟิก และจีน
· คลังข้อมูลที่จัดการข้อมูลระยะไกลจำนวนมาก (Telemetry data lake) ของอุปกรณ์ ซึ่งจัดการอุปกรณ์มากกว่า 5.2 ล้านเครื่อง และให้บริการอุปกรณ์เครือข่ายมากกว่า 2 พันล้านเครื่อง โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีในช่วงเวลาเดียวกัน (YoY) ที่ 30% และ 100% ตามลำดับ ด้วยคลังข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอุตสาหกรรมนี้ การขยายบริการนี้ช่วยให้สามารถใช้ข้อมูลระยะไกลที่ไม่ซ้ำใครและไม่ต้องระบุตัวตน เพื่อขับเคลื่อน AI ขั้นสูงสำหรับการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์และการให้คำแนะนำ นอกจากนี้การขยายบริการ HPE Aruba Networking Central ยังรองรับความสามารถด้าน AIOps ที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ ที่ได้มีการผสานรวมโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ของ AI สร้างเนื้อหา (GenAI) เชิงสร้างสรรค์อย่างปลอดภัยเข้าไว้หลายตัว
· ขยายความความสามารถในการตรวจสอบ วิเคราะห์และแก้ไขปัญหา (Observability) จากผู้ให้บริการภายนอกด้วยสิทธิ์ใช้บริการ HPE Aruba Networking Central OpsRamp Extension ระยะ 1 ปี ซึ่งจะขยายความสามารถที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อเพื่อขยายขีดความสามารถในการตรวจสอบอุปกรณ์ของผู้ให้บริการรายอื่น เช่น Cisco, Arista และ Juniper Networks
· การรวบรวมและถ่ายโอนข้อมูลระยะไกลแบบครบวงจร เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งาน Microsoft Teams อย่างมีประสิทธิภาพสำหรับการโทรด้วยเสียงและวิดีโอผ่านการผสานรวม Teams แบบเนทีฟ เพิ่มความสามารถของ HPE Aruba Networking Central ในการระบุและแก้ไขปัญหา รวมถึงยกระดับคุณภาพของการให้บริการ (QoS) สำหรับประสบการณ์ในการโทรแบบเรียลไทม์ด้วยการเชื่อมโยงและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับจากการผสานรวมกับ Teams
· API แบบบูรณาการที่ครอบคลุมช่วยให้สามารถแชร์บริบทการตรวจสอบ วิเคราะห์และแก้ไขปัญหา (Observability) ในเครือข่ายได้แบบฟูลสแต็ก เช่น แอปพลิเคชัน ตำแหน่งอุปกรณ์ และการรวบรวม การตรวจวัดและวิเคราะห์ระยะไกลของอุปกรณ์เครือข่าย รวมถึงเครื่องมือไอทีระดับองค์กรอื่น ๆ จากการให้บริการข้อมูลเชิงลึกระยะไกลด้วย AI ที่สำคัญซึ่งได้มาจากคลังข้อมูลที่มีอุปกรณ์ปลายทางมากกว่าสองพันล้านเครื่อง ส่งผลให้ HPE Aruba Network Central สามารถใช้ประโยชน์จากบริการไอทีที่สำคัญอื่น ๆ เพื่อเป็น "แหล่งข้อมูลหลักที่เชื่อถือได้" ในการตรวจสอบ วิเคราะห์และแก้ไขปัญหา (Observability) ของเครือข่าย
นับตั้งแต่ HPE Aruba Networking Central ได้เปิดตัวในปีพ.ศ. 2557 ได้ส่งมอบฟังก์ชันการใช้งานที่มีประสิทธิภาพมาอย่างต่อเนื่อง ในการกำหนดค่า จัดการ ตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาเครือข่ายทั้งในระบบ LAN แบบมีสายและไร้สาย, WAN และ IoT โดยผสานรวมฟังก์ชันต่าง ๆ ตลอดวงจรชีวิตของการทำงานของโครงสร้างพื้นฐาน โดยลูกค้าชั้นนำ เช่น Nobu Hotels และ Royal Jaarbeurs ของเนเธอร์แลนด์ ต่างได้รับประโยชน์จากความยืดหยุ่นในการใช้งานที่มีเอกลักษณ์และมีความแตกต่างของ HPE Aruba Networking Central ซึ่ง HPE Aruba Networking Central จะจำหน่ายในรูปแบบการสมัครสมาชิกรายปี โดยมีรูปแบบใบอนุญาตแบบสองระดับ ได้แก่ พื้นฐาน (Foundation) และขั้นสูง (Advanced) และมีจำหน่ายผ่านพาร์ทเนอร์ของ HPE รวมถึงผ่านการส่งมอบในรูปแบบของผู้ให้บริการการจัดการระบบ (MSP)
Gaysorn Village ร่วมกับ บัตรเครดิต ทีทีบี เนรมิตอาณาจักรแห่งไลฟ์สไตล์ใจกลางราชประสงค์ให้กลายเป็น ‘The Sunkissed Oasis’ สวรรค์คนเมืองสายกิน-ช้อปต้อนรับช่วงซัมเมอร์ สำหรับคนรักแฟชั่น เกษรวิลเลจได้รวบรวมแบรนด์ชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศ อย่าง CLUB 21, COMME DES GARÇONS, DECORUM BIBLIOTHEQUE, DIANE VON FURSTENBERG, FLYNOW, GONGDID DESIGN, JEMMIDORIS, N°21, ROSEMAN CLUB, SOPHIA WEBSTER, THE SRT X SIRINTRA,THE EDITION และ TRIKUL พร้อมเพลิดเพลินกับรสชาติแห่งความอร่อยของช่วงซัมเมอร์ กับคาเฟ่และร้านขนมหวานที่ Gaysorn Food Village ทั้ง 1823 TEA LOUNGE BY RONNEFELDT, ACAI STORY, BOYY & SON CAFÉ, ISOLA BY SIGNOR SASSI, KARUN THAI TEA, NICO NICO, PLANTIFUL, THE COFFEE ACADEMICS และอื่นๆอีกมากมายตลอดเดือนเมษายนนี้

โดย The Sunkissed Oasis ประกอบไปด้วย 4 โซน ได้แก่
· “Sunset Boulevard” ที่จะชวนคุณสตาร์ทเครื่องแล้วออกเดินทางสู่ดินแดนแห่งความสุขช่วงฤดูร้อนที่เต็มไปด้วยทิวทัศน์ทะเลทรายสีสันสดใสและมีชีวิตชีวา บริเวณชั้น 2 เกษร เซ็นเตอร์
· “Vivid Summer Market” ถูกใจเหล่านักช้อป ด้วยสินค้าแฟชั่นและเครื่องประดับดีไซน์สุดเก๋จาก Bangkok Baskets, Khom, Sardine, Sue และอีกมากมาย ณ บริเวณชั้น 2 เกษร เซ็นเตอร์
· “Getaway Summer Market” อัปลุคแฟชั่นนิสต้า ด้วยเสื้อผ้าและแฟชั่นไอเท็มสำหรับเตรียมพร้อมออกทริปจาก Lovebug, Kaya, Seasalt & Vinegar, Sunev ฯลฯ ที่บริเวณ The Urban, ชั้น G เกษร อัมรินทร์
· และพลาดไม่ได้กับ “Zesty Summer Market” ที่ทางเกษรวิลเลจร่วมมือกับ Gulp คัดสรรคาเฟ่ขนมหวานร้านดัง และเครื่องดื่มหลากสไตล์สำหรับช่วงซัมเมอร์นี้ ไม่ว่าจะเป็น ร้าน HABB กับเมนูเด็ดอย่างขนมไข่สงขลาเจ้าดัง ร้าน The Chocolate Factory ที่มีเมนูน่าลองอย่าง บอน บอน ช็อกโกแลต เสร็จแล้วไปจิบชาพรีเมียมจากร้าน CHAR Flower Tea กับเมนูชาดอกไม้บาน หรือลองชิมคุ้กกี้แอปเปิ้ลครัมเบิ้ลสอดไส้ครีมชีส ที่ร้าน Appelle
· และยังมีอีกหลายร้าน หลายเมนูที่รอให้ได้ไปลิ้มลอง พร้อม เข้าร่วม Masterclass สุด exclusive ที่ให้คุณได้ทดลองทำเครื่องดื่มต้อนรับซัมเมอร์ในแบบของคุณ ที่ บริเวณ Forum ชั้น G อาคารเกษร อัมรินทร์ ตั้งแต่วันนี้ถึง 20 เมษายน 2568
พิเศษ! สำหรับทุกการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ทีทีบี รับ Gaysorn Gift Voucher รวมมูลค่าสูงสุด 1,800 บาท และสิทธิพิเศษอื่น ๆ จากร้านค้าที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 27 เมษายน 2568 สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ทีทีบี เฟซบุ๊ค Gaysorn Village หรือ LINE OFFICIAL: @gaysornvillage
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) จัดงาน “MED Drive Demo Day : Journey to Medical Billion Business สัมมนาเส้นทางธุรกิจพันล้านเครื่องมือแพทย์ไทย” ภายใต้โครงการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ไทยเข้าสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ (MED Drive)
เป้าหมายสำคัญของการจัดงานเพื่อเป็นเวทีนำเสนอผลงานเครื่องมือแพทย์สู่อนาคตของ 5 ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ไทยที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งมีศักยภาพในการเพิ่มยอดขายระดับร้อยล้านสู่หลักพันล้านได้ภายใน 5 ปี ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กลุ่มน้ำยาฆ่าเชื้อ กลุ่มรักษาแผล กลุ่มวัสดุฝังใน กลุ่มอุปกรณ์ล้างไต และกลุ่มทันตกรรม ด้วยกลไกการสนับสนุนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) รวมถึงผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง พร้อมเชื่อมโยงสู่ตลาดทั้งในประเทศและระดับโลก หวังสร้างโปรดักส์แชมเปี้ยนให้อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ไทย นอกจากนี้ งาน Demo Day ยังเป็นเวทีสร้างเครือข่ายกลุ่มผู้ประกอบการเครื่องมือแพทย์ไทยเพื่อร่วมกันจุดประกายแนวคิดใหม่ ๆ และผลักดันให้ไทยก้าวสู่ผู้นำในอุตสาหกรรมนี้บนเวทีโลก โดยมีพันธมิตรจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ตลอดจนผู้ประกอบการกว่า 200 คนเข้าร่วมงาน

ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของไทยเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญที่สร้างความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจและสุขภาพของประชาชน มีมูลค่าตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายในด้านมาตรฐานระดับสากลที่สูง ต้องใช้เงินลงทุนสูง และเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดโครงการ MED Drive ขึ้นเพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว ผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมต้องเร่งก้าวเดินธุรกิจ และพัฒนาให้เครื่องมือแพทย์ไทยสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญในภูมิภาคอาเซียนและระดับโลก โดยงานครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ด้วยการเชื่อมโยงทุกองค์ประกอบในระบบนิเวศของการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ไทยให้เดินหน้าไปด้วยกัน โดยมีเป้าหมายร่วมกันที่จะก้าวสู่การเป็นธุรกิจฐานนวัตกรรม (IDE)
สามารถขยายธุรกิจให้มียอดขายสู่ 1,000 ล้านบาท งานนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเชื่อมโยงและต่อยอดความสำเร็จที่จะช่วยยกระดับสินค้านวัตกรรม เพิ่ม GDP และขีดความสามารถของประเทศ

รศ.ดร.ชาลีดา บรมพิชัยชาติกุล รักษาการรองผู้อำนวยการ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กล่าวว่า บพข. ได้สนับสนุนทุนในการดำเนินโครงการ MED Drive ภายใต้แผนงาน “พัฒนาและส่งเสริมให้ประเทศเพิ่มธุรกิจฐานนวัตกรรม (Innovation Driven Enterprise: IDEs)” ประจำปีงบประมาณ 2567 เพื่อยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการผลิตเครื่องมือแพทย์ไทยทั้ง 5 รายให้พัฒนาสู่องค์กรฐานนวัตกรรม เป้าหมายหลักคือการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถผลิตเครื่องมือแพทย์ไทยที่ได้การรับรองตามมาตรฐานสากล สามารถขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ และสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นตามเป้าหมาย โดยการดำเนินการประกอบด้วย การวินิจฉัยประเมินศักยภาพของผู้ประกอบการ IDE ทั้ง 5 ราย เพื่อวิเคราะห์โอกาสและช่องว่างของธุรกิจ การสนับสนุนการยกระดับธุรกิจและผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยสนับสนุนการวิเคราะห์ทดสอบ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วยนวัตกรรม การพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และส่งเสริมการตลาดทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการ โดยสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะเฉพาะทางด้านเครื่องมือแพทย์ เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรฐานและการบำรุงรักษา การให้ความรู้ด้านการจดสิทธิบัตร เป็นต้น
ทั้งนี้ ในงานมีนิทรรศการของ 5 ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ที่เข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วย
1) บริษัท โพสเฮลท์แคร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรค ทั้งอุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้ในโรงพยาบาลและกลุ่ม Personal Use
2) บริษัท โนวาเมดิค จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายไหมเย็บแผล แผ่นปิดแผลต่างๆ และถุงทวารเทียม
3) บริษัท ออโธพีเซีย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุศัลยกรรมกระดูกและเครื่องมือผ่าตัดกระดูก
4) บริษัท ซี วี พี เมดิคอล เทคโนโลยี จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เข้มข้นสำหรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (น้ำยาไตเทียม) และสายส่งเลือดสำหรับเครื่องไตเทียม
5) บริษัท ซี.ซี.ออโตพาร์ท จำกัด ผู้ผลิตขึ้นรูปโลหะให้กับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องจักรกลการเกษตร และเครื่องมือแพทย์ทางด้านทันตกรรม
รวมถึงยังมีการเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับกลไกการเบิกจ่ายของภาครัฐด้านสวัสดิการสุขภาพ ที่จะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ไทยให้เติบโต โดยผู้แทนจากกองทุนและกลุ่มผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ไทย การสัมมนาอัปเดตเทรนด์เทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์โลก โดยผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลการตลาดเครื่องมือแพทย์ ตลอดจนการจัดแสดงผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์จากผู้ผลิต
เครื่องมือแพทย์ไทย ผลงานวิจัย สวทช. พันธมิตร และมหาวิทยาลัยโรงเรียนแพทย์ เพื่อต่อยอดผลงานสู่อุตสาหกรรมและการใช้งานจริง และในช่วงท้ายงานได้เปิดเวทีสร้างเครือข่าย (Networking) ระหว่างทุกภาคส่วนที่มีภารกิจด้านการแพทย์ด้วย
LINE MAN Wongnai ผู้นำแพลตฟอร์มออนดีมานด์และข้อมูลร้านอาหารของไทย จัดงานประกาศรางวัล “LINE MAN Wongnai Users’ Choice Best of 2025 - ที่สุดของร้านอร่อยรีวิวดี” พร้อมทุ่มงบกว่า 300 ล้านบาท อัดแคมเปญการตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์ต่อเนื่องตลอดทั้งปี และเปิดตัวความร่วมมือกับร้านอาหารสร้างสรรค์เมนู Exclusive Collaboration นำร่องด้วย 5 ร้านดังที่ได้รับรางวัล ได้แก่ หมึกมันไก่, Kenny’s Pizza, ไก่ทอดอภิสิทธิ์, Bonnana และ Evie’s Cookies โดยเมนูพิเศษทั้งหมดจะวางขายเฉพาะบน LINE MAN เท่านั้น
รางวัล LINE MAN Wongnai Users’ Choice Best of 2025 เป็นรางวัลที่การันตีความอร่อยจากเสียงของผู้ใช้งานจริง กว่า 26 ล้านคน โดยคัดสรรความเป็นที่สุดจากร้านอาหารทั่วประเทศ ให้เหลือเพียง 650 ร้านยอดนิยม จากกว่า 700,000 ร้านทั่วไทย ตอกย้ำความเป็นแพลตฟอร์มอันดับ 1 ที่มีเครือข่ายร้านอาหารมากที่สุดในไทย ตั้งแต่ สตรีทฟู้ดไปจนถึงไฟน์ไดนิ่ง ซึ่งทุกร้านผ่านเกณฑ์การคัดเลือกอย่างเข้มงวด จากคะแนนรีวิว เรตติ้ง และยอดออเดอร์จริง จากผู้ใช้ LINE MAN และ Wongnai

คุณยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai กล่าวว่า “รางวัล LINE MAN Wongnai Users’ Choice มีมายาวนานกว่า 12 ปี เราอยากให้รางวัลนี้เป็นมากกว่าเครื่องหมายการันตีคุณภาพร้านอาหาร แต่เป็นรางวัลที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการเติบโตและกระตุ้นยอดขายให้กับร้าน เราจึงทุ่มงบการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์กว่า 300 ล้านบาท ทั้งในสื่อโฆษณา ที่ครอบคลุมย่านเศรษฐกิจสำคัญทั่วกรุงเทพฯ เช่น ย่านศูนย์กลางธุรกิจตามพื้นที่ BTS และ MRT รวมถึงย่านร้านอาหารยอดนิยมอย่างเยาวราช และบรรทัดทอง เพื่อขยายการรับรู้ของรางวัลให้เป็นที่จดจำและเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มใหม่มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีการตลาดเชิงดิจิทัลผ่านแคมเปญออนไลน์ทั่วประเทศทั้งบน Social Media, Influencer Marketing และ Digital Ads เพื่อเพิ่ม การเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับรีวิวร้านอาหาร และเรายังมีแผนทำ Special Collaboration ร่วมกับร้านอาหารที่ได้รับรางวัลตลอดทั้งปีด้วยการสร้างสรรค์เมนูพิเศษที่ให้ผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่จากร้านอาหารที่ได้รับการโหวต ว่าเป็นที่สุดของปี โดยจะขายเฉพาะบน LINE MAN เท่านั้น”
ไฮไลท์พิเศษในปีนี้ LINE MAN Wongnai ต่อยอดความสำเร็จ รางวัล LINE MAN Wongnai Users’ Choice Best of 2025 นำร่องเปิดตัวเมนู Exclusive Collaboration ร่วมกับ 5 ร้านดังที่ได้รับรางวัล เพื่อยกระดับรางวัลให้เป็นมากกว่า แค่เครื่องหมายการันตีความอร่อย แต่เป็นเครื่องมือสร้างโอกาสทางธุรกิจและเพิ่มยอดขายแบบจับต้องได้ โดยเมนูทั้งหมด วางจำหน่ายแบบเอ็กซ์คลูซีฟบน LINE MAN เท่านั้น ได้แก่ ร้านหมึกมันไก่ กับเมนูพิเศษ “ข้าวมันไก่สองตับ”, ร้าน Kenny’s Pizza เมนู “Bangkok heat” พิซซ่า Hot Chilli Pesto เสริมด้วยกุ้งเนื้อเด้งผัดเนยสมุนไพรและ Roasted Tomatoes, ร้านไก่ทอดอภิสิทธิ์ เมนู “ดิปปิ้งซอสพิเศษรสแกงเขียวหวาน”, ร้าน Bonnana และ ร้าน Evie’s Cookies จัด Special Bundle Set ขนมหวานกับกล่องดีไซน์พิเศษ เพื่อมอบประสบการณ์ที่แปลกใหม่ให้กับผู้บริโภค

ด้าน เชฟชุมพล แจ้งไพร ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านอาหารและคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ กล่าวว่า “อาหารไทยเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่มีศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจ โดย LINE MAN Wongnai Users’ Choice Best of 2025 เป็นรางวัลรวบรวมร้านอาหารที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคที่กินจริงรีวิวจริง ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้มาตามรอยร้านยอดนิยม รางวัลนี้จึงเป็น ‘ตัวชี้วัดความสำเร็จของร้านอาหาร’ สะท้อนมาตรฐานร้านอาหารไทย และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยให้อุตสาหกรรมอาหารไทยเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่รัฐบาลมุ่งยกระดับอาหารไทยสู่เวทีโลก ภาคเอกชนอย่าง LINE MAN Wongnai ก็มีบทบาทสำคัญในการใช้เทคโนโลยีช่วยให้ร้านอาหารเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น ดังนั้นรางวัลนี้ไม่เพียงเป็นเครื่องหมายการันตีคุณภาพ แต่ยังเป็นตัวช่วยผลักดันให้ร้านอาหารทุกระดับพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานนอกจากนี้งบการตลาดกว่าหลายร้อยล้านบาทจาก LINE MAN Wongnai ก็ยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมอาหารและท่องเที่ยว กระตุ้นการเติบโตของร้านอาหารทั่วประเทศอย่างเป็นรูปธรรม”
นอกจากนี้ยังมีบุคคลสำคัญในวงการอาหารตบเท้าเข้าร่วมงานและขึ้นรับรางวัล อาทิ คุณอิ๊งค์-ม.ล.ภาสันต์ สวัสดิวัตน์, เชฟแพม-พิชญา อุทารธรรม เจ้าของร้านไฟน์ไดน์นิ่งอย่าง Restaurant Potong, คุณปลา-อัจฉรา บุรารักษ์ เจ้าของอาณาจักรร้านอาหาร iberry Group, คุณแต๋ง-กฤษฏิ์กุล ชุมแก้ว และ คุณดุจดิว-ธีรวิวัฒน์ บุตรตะยา เจ้าของร้านยำชื่อดัง After Yum, คุณระริน ธรรมวัฒนะ ผู้ร่วมก่อตั้ง Guss Damn Good, คุณธีรกรณ์ ไรวา และ เชฟอิโนะอุเอะ ชินจิ จาก No Name Noodle BKK, คุณไท้-วสุวัส คูหาเปรมกิจ ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ HOLIDAY PASTRY, คุณเอ-ศุภชัย ผู้อยู่เบื้องหลังเมนูไข่พะโล้ฟีเวอร์
รางวัล LINE MAN Wongnai Users’ Choice Best of 2025 คือ สัญลักษณ์ที่ผู้บริโภคให้ความเชื่อมั่น และเป็นอีกหนึ่ง แรงขับเคลื่อนสำคัญที่ผลักดันความมุ่งมั่นของผู้ประกอบการร้านอาหารที่ต้องการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด แก่ผู้บริโภค ติดตามรายชื่อร้านอาหารที่ได้รับรางวัลทั้งหมด 650 ร้านทั่วไทย ได้ที่ https://www.wongnai.com/news/line-man-wongnai-users-choice-2025
เคทีซีได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้จากทริสเรตติ้ง (TRIS Rating) เป็น “AA” ด้วยผลงานเชิงประจักษ์จากฐานะทางการเงินและโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่ง เดินหน้ารุกธุรกิจอย่างยั่งยืนและมีธรรมาภิบาล
นางพิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้เพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของเคทีซีเป็น “AA” (Double A Straight) จาก “AA-” (Double A Minus) และยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ ในวงเงินไม่เกิน 15,000 ล้านบาท อยู่ที่ระดับ “AA” โดยเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้จะใช้ในการชำระคืนหนี้ที่ครบกำหนด การขยายธุรกิจ การลงทุน หรือให้เงินทุนแก่บริษัทในเครือ”
“การจัดอันดับเครดิตที่เพิ่มขึ้นให้กับเคทีซี สะท้อนถึงผลการดำเนินงานและคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ฐานะทางการเงินของบริษัทฯ แข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับแนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” หรือ “Stable” ได้สะท้อนถึงความคาดหมายว่า บริษัทฯ จะสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดและคุณภาพสินทรัพย์ไว้ได้ ภายใต้มาตรฐานการจัดเก็บ การติดตามหนี้สิน และการปล่อยสินเชื่อที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งรักษาอัตราส่วนโครงสร้างเงินทุน ณ ระดับปัจจุบันไว้ได้ อีกทั้งจะมุ่งดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้เสียกับบริษัททุกกลุ่ม”
ตำแหน่งทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของเคทีซี แสดงให้เห็นการดำเนินงานที่มีความยืดหยุ่นท่ามกลางสภาวะการแข่งขันทางการตลาดและเศรษฐกิจที่ท้าทาย เคทีซีสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดและครองความเป็นผู้นำในธุรกิจหลักบัตรเครดิต พิจารณาจากจำนวนบัตร ยอดสินเชื่อคงค้าง และการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ท่ามกลางการบริโภคที่ชะลอตัวลงตั้งแต่การเกิดโรคระบาดโควิด-19 รวมทั้งยังสามารถรักษาตำแหน่งทางการตลาดได้อย่างแข็งแกร่ง โดยในปี 2567 เคทีซีมีส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นเป็น 15% จาก 13-14% ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และมียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีเติบโตถึง 10% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 3%
นอกจากนี้ เคทีซียังรักษาส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันที่ 6-7% แม้จะมีการแข่งขันที่รุนแรงจากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร ในด้านฐานสมาชิก เคทีซีได้แสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นและจุดแข็งของการรักษาฐานสมาชิกผ่านลอยัลตี้ โปรแกรม (Loyalty Program) โดยริเริ่มการใช้คะแนน KTC FOREVER ในแคมเปญส่งเสริมการขายต่างๆ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญ และสร้างความผูกพันระหว่างเคทีซีกับสมาชิกในระยะยาว