

ที่ประชุมผู้ถือหุ้นบริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) หรือ AUCT เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา มีมติอุนมัติจ่ายเงินปันผลปี 2567 ให้แก่ผู้ถือหุ้น ๆ ละ 0.67 บาท รวมทั้งสิ้น 368.50 ล้านบาท กำหนดจ่ายวันที่ 2 พฤษภาคม 2568
นายวรัญญู ศิลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) หรือ AUCT เปิดเผยถึงผลการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.67 บาท เป็นเงิน 368.50 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 99.25 ของกำไรสุทธิปี 2567 ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.35 บาท เป็นเงิน 192.50 ล้านบาท เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567 ที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และยังคงเหลือเงินปันผลที่จะจ่ายสำหรับงวด 6 เดือนหลังของปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.32 บาท เป็นเงิน 176.00 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลวันที่ 16 เมษายน 2568 และจ่ายปันผลวันที่ 2 พฤษภาคม 2568
· พร้อมรองรับขบวนพาเหรดถนนราชดำเนินสู่ท้องสนามหลวงกิจกรรมสุดยิ่งใหญ่
· จัดเต็มโซลูชันทั่วประเทศ โดยเฉพาะเส้นทางยอดนิยม อีสาน เหนือ ใต้ พร้อมจังหวัดสุดฮิต
9 เมษายน 2568 - ทรู คอร์ปอเรชั่น ร่วมฉลองมหาสงกรานต์ 2568 ลุยเสริมความแรงสัญญาณมือถือ 5G 4G WiFi และทรู ออนไลน์ทั่วประเทศ พร้อมรองรับการเดินทางท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ คาดมีผู้ใช้งานเดินทางข้ามจังหวัดมากกว่า 1 ล้านรายในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เผยอินไซต์สำคัญจากข้อมูล Mobility ปีที่ผ่านมาพบว่าภาคอีสาน และจังหวัดบุรีรัมย์ครองแชมป์ยอดผู้เดินทางเยือนเพิ่มขึ้นสูงสุด ตามด้วยอุบลราชธานีและศรีสะเกษ พร้อมวางแผนจัดเต็มโซลูชันและทีมงานเพิ่มศักยภาพทุกพื้นที่ ส่งรถ COW และเพิ่มเสาสัญญาณรองรับพื้นที่จัดงานสงกรานต์ทุกภาคทั่วประเทศ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครซึ่งปีนี้จัดยิ่งใหญ่ Maha Songkran World Water Festival 2025 ที่สนามหลวง ตั้งแต่ 11-15 เมษายน ชูการแสดงวัฒนธรรมร่วมสมัยและคอนเสิร์ตศิลปินชั้นนำ รวมทั้งเสริมทัพสัญญาณพื้นที่ยอดนิยมสงกรานต์ใน กทม. อาทิ ถนนข้าวสาร สยามสแควร์ สีลม ไอคอนสยาม เซ็นทรัลเวิลด์
นายประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยีและความปลอดภัยระบบสารสนเทศ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “เราให้ความสำคัญกับการใช้งานมือถือของลูกค้าทั้งทรูและดีแทคตลอดทั้งปี และพร้อมให้ความสำคัญเป็นพิเศษในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเป็นประเพณีอันล้ำค่าและเป็นช่วงเฉลิมฉลองปีใหม่ไทยที่ผู้คนทั่วประเทศเดินทางท่องเที่ยวและกลับภูมิลำเนาเพื่อรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ทีมงานได้วิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานและพฤติกรรมการเดินทางในช่วงสงกรานต์ของปีที่ผ่านมาอย่างละเอียด เพื่อวางแผนและออกแบบโครงข่ายให้รองรับการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยปีนี้เราได้เสริมความแกร่งของสัญญาณ 5G, 4G และ WiFi ทั่วประเทศอย่างเต็มที่ เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าให้สนุกกับเทศกาลสงกรานต์ทุกพื้นที่ทั่วไทย”
เทศกาลสงกรานต์ปีนี้เป็นอีกปีที่ประเทศไทยจัดอย่างยิ่งใหญ่ และนับเป็นช่วงวันหยุดยาวของชาวไทยที่ใช้เป็นโอกาสเดินทางท่องเที่ยว และกลับสู่ภูมิลำเนาเพื่อเยี่ยมผู้ใหญ่ ทรู คอร์ปอเรชั่นได้เตรียมความพร้อมสำหรับการสื่อสาร 5G และ 4G อย่างเต็มที่เพื่อรองรับการใช้งานมือถือที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้
บุรีรัมย์-อีสานครองแชมป์ปลายทางยอดนิยมช่วงสงกรานต์
จากการวิเคราะห์ข้อมูล Mobility Data ปีที่ผ่านมาพบว่าภาคอีสานเป็นภูมิภาคที่มีการเดินทางเข้าเยือนสูงสุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยมียอดเพิ่มขึ้นถึง 13% รองลงมาคือภาคเหนือที่เพิ่มขึ้น 9% ขณะที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลมีจำนวนผู้ใช้บริการลดลงมากถึง 19% สะท้อนถึงการเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวในช่วงเทศกาล
สำหรับจังหวัดที่มีการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และกาญจนบุรี
"ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนย้ายของประชากร หรือเดินทางข้ามจังหวัดเพื่อท่องเที่ยว และกลับไปบ้านอย่างมีนัยสำคัญในช่วงสงกรานต์ จากเมืองใหญ่และเขตอุตสาหกรรมไปยังภูมิลำเนาในต่างจังหวัด โดยเฉพาะภาคอีสานที่กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการจัดกิจกรรมเทศกาลสงกรานต์ที่หลากหลายในพื้นที่จังหวัดอีสาน ที่จัดงานสงกรานต์อย่างยิ่งใหญ่ เช่น ดอกคูนเสียงแคน-ถนนข้าวเหนียว จังหวัดขอนแก่น" นายประเทศ กล่าว
มาตรการพิเศษรองรับ 5 พื้นที่หลักทุกภาคทั่วไทยฉลองสงกรานต์ 2568 ดังนี้
1. แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ วัด และสถานที่ทำบุญ
2. จุดเล่นน้ำสงกรานต์ทั่วประเทศ
3. ศูนย์กลางคมนาคม (สนามบิน สถานีขนส่ง สถานีรถไฟ)
4. ถนนสายหลักเชื่อมภูมิภาค
5. จุดพักรถสำคัญตามเส้นทางท่องเที่ยว
ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังได้ดำเนินการตามแนวทางของ กสทช. เพื่อรักษาคุณภาพบริการในช่วงที่คาดว่าจะมีการใช้งานสูงกว่าปกติ
โซลูชันเสริมประสิทธิภาพเครือข่ายช่วงสงกรานต์
· รถ COW (Cell-On-Wheel): รถโมบายล์สถานีฐานเคลื่อนที่เร็วติดตั้งในพื้นที่ท่องเที่ยวและจุดสำคัญ
· เสาสัญญาณชั่วคราว: เพิ่มในแหล่งท่องเที่ยวและพื้นที่จัดงานหลักของแต่ละจังหวัด
· ปรับค่าพารามิเตอร์: ปรับแต่งระบบให้รองรับการใช้งานพิเศษช่วงเทศกาล
· ศูนย์ BNIC และ War Room: ศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะพร้อม AI ทำงาน 24 ชั่วโมงเพื่อดูแลเครือข่าย 5G, 4G และอินเทอร์เน็ตบ้าน
นอกจากการเตรียมพร้อมด้านเครือข่ายแล้ว ทรูและดีแทคยังมีทีมคอลเซ็นเตอร์พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งการรับแจ้งเหตุฉุกเฉินและให้ความช่วยเหลือต่างๆ ลูกค้าทรูติดต่อ 1242 ลูกค้าดีแทคติดต่อ 1678
กรุงเทพฯ – บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด ในประเทศไทย เมียนมา และกัมพูชา ผนึกกำลังเปิดโครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมา โดยร่วมกันจัดตั้งช่องทางรับบริจาค พร้อมสมทบทุนเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูและบรรเทาทุกข์แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ โดย ทรูมันนี่ ประเทศไทย ได้เปิดช่องทางให้ผู้ใช้แอปทรูมันนี่สามารถร่วมบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากแผ่นดินไหวทั้งในประเทศไทยและเมียนมา โดยเงินบริจาคจะถูกส่งตรงเข้าสู่บัญชีของสภากาชาดไทยโดยไม่มีการหักค่าใช้จ่ายใด ๆ เพื่อใช้ในการจัดหาอาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค สิ่งของจำเป็น และฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้
ส่วน ทรูมันนี่ เมียนมา ได้จัดตั้งกองทุน ‘Pray for Myanmar Charity’ เพื่อเปิดรับบริจาคผ่านแอป TrueMoney และเครือข่ายตัวแทนทรูมันนี่ (TrueMoney Agents) ที่มีอยู่หลายหมื่นแห่งทั่วประเทศ ทั้งนี้ ทรูมันนี่ในประเทศไทย เมียนมา และกัมพูชา จะร่วมสมทบทุนตามยอดบริจาคของผู้ใช้ผ่านกองทุนดังกล่าว โดยไม่หักค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด เพื่อส่งมอบความช่วยเหลือผ่านสภากาชาดเมียนมา (MRCS)
โครงการในประเทศไทยจะเปิดรับบริจาคจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 ขณะที่กองทุนในเมียนมาจะปิดรับบริจาคในวันที่ 21 เมษายน 2568 ทรูมันนี่ขอเชิญชวนผู้ใช้บริการและประชาชนทั่วไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งต่อกำลังใจและความช่วยเหลือไปยังผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ผู้ที่สนใจร่วมบริจาค สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.truemoney.com/donation/
แกร็บ ผู้นำซูเปอร์แอปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดงาน GrabX ครั้งแรกเพื่อเปิดตัวนวัตกรรมและบริการใหม่ๆ ประจำปี 2025 ภายใต้แนวคิด “For Every You” ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้บริการที่มีหลากหลายบทบาทและความต้องการในชีวิตที่แตกต่างกัน โดยงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของแกร็บในการยกระดับบริการ ผ่านการนำเสนอโซลูชันที่ถูกพัฒนามาจากอินไซต์และพฤติกรรมในชีวิตจริงของผู้ใช้บริการ โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI พร้อมผสานการเชื่อมต่อกับอีโคซิสเต็มของแกร็บอย่างลงตัว
![]()
แอนโทนี ตัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งแกร็บ กล่าวว่า “สิ่งที่เราต้องการนำเสนอในงาน GrabX คือความมุ่งมั่นของแกร็บในการนำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมาใช้พัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการและแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้จริง โดยฟีเจอร์เหล่านี้ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด ‘AI-First with Heart’ ซึ่งหมายถึงการใช้
เทคโนโลยี AI เป็นแกนหลักในการพัฒนา โดยยังคงมุ่งตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการและคนในวงจรธุรกิจเป็นสำคัญ”
“ปัจจุบันผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หันมาใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตในแต่ละวันเพิ่มมากขึ้น ด้วยความมุ่งหวังให้แกร็บยังคงเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของพวกเขา เราจึงได้พยายามพัฒนานวัตกรรมและบริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่เพียงแต่จะสร้างการเติบโตทางธุรกิจ แต่ยังช่วยเสริมสร้างความผูกพันที่มีต่อผู้คนในสังคมในทุกประเทศที่เราให้บริการด้วย” แอนโทนี กล่าวเสริม
สำหรับนวัตกรรมและบริการใหม่ๆ ที่เปิดตัวในงาน Grab) แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ บริการสำหรับผู้ใช้บริการในกลุ่มครอบครัว สำหรับผู้ใช้บริการคนเดียว และสำหรับผู้ใช้บริการที่ชอบเดินทางหรือออกไปแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ นอกจากนี้ แกร็บยังเปิดตัว Grab Early Access โปรแกรมพิเศษสำหรับผู้ใช้บริการกลุ่มแรกๆ ที่ชอบทดลองนวัตกรรมใหม่ (Early Adopter) เพื่อให้ได้สัมผัสและทดลองฟีเจอร์ใหม่ก่อนใคร ทั้งยังสามารถร่วมแสดงความคิดเห็นหรือให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้น โดยผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโปรแกรมดังกล่าวได้แล้ววันนี้ที่ https://grb.to/EarlyAccess
The Family ‘You’ บริการสำหรับกลุ่มครอบครัว

· Grab for Family | Teens: ฟีเจอร์ที่ช่วยให้บุตร-หลานที่มีอายุ 13 - 17 ปี สามารถเดินทางด้วยตัวเองได้อย่างปลอดภัย สร้างความอุ่นใจให้กับพ่อแม่ และผู้ปกครองในทุกการเดินทางผ่านการเชื่อมบัญชี Teens เข้ากับบัญชีของผู้ปกครอง โดยเพิ่มความอุ่นใจยิ่งขึ้นด้วยมาตรการและฟีเจอร์เสริมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น:
o การเลือกจับคู่กับคนขับที่ผ่านการตรวจสอบ และมีคะแนนรีวิวระดับสูงเท่านั้น
o ระบบยืนยันตัวตนด้วย PIN – เพื่อป้องกันการขึ้นรถผิดคัน โดยผู้โดยสาร (บุตร-หลาน) จะต้องรับ PIN จากคนขับและป้อนลงในแอปของตัวเอง ระบบจะเริ่มต้นการเดินทางได้ต่อเมื่อ PIN ตรงกันเท่านั้น
o การบังคับเปิดฟีเจอร์ AudioProtect ซึ่งในอนาคตจะมีการใช้เทคโนโลยี GenAI ตรวจจับความผิดปกติหรืออันตรายภายในรถแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ทีมงานของแกร็บสามารถให้ความช่วยเหลือได้ทันท่วงที
ทั้งนี้ ผู้ปกครองยังสามารถติดตามการเดินทางของบุตรหลานได้แบบเรียลไทม์ พร้อมมีระบบแจ้งเตือนเมื่อพบความผิดปกติระหว่างทาง เช่น การขับรถออกนอกเส้นทาง การหยุดรถกะทันหัน หรือการสิ้นสุดการเดินทางก่อนถึงจุดหมาย
โดยฟีเจอร์นี้จะเปิดให้บริการในประเทศสิงคโปร์ภายในเดือนพฤษภาคม และจะขยายไปในประเทศอื่นๆ ทั่วภูมิภาค1ภายในเดือนมิถุนายน
· Gatherings made seamless: โซลูชันใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยในการสั่งอาหารชุดใหญ่หรือออเดอร์ที่มีอาหารจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงโอกาสพิเศษหรือเทศกาลสำคัญอย่าง ตรุษจีน รอมฎอน สงกรานต์ หรือคริสต์มาส ที่ผู้ใช้บริการมักสั่งอาหารจำนวนมากมารับประทานร่วมกับครอบครัว โดยแกร็บใช้โมเดลภาษาขั้นสูง (Large Language Model หรือ LLM) มาช่วยวิเคราะห์คำสั่งซื้อเพื่อประเมินขนาดและน้ำหนักของรายการอาหาร ซึ่งครอบคลุมกว่า 175 ล้านเมนูบนแพลตฟอร์ม และรองรับคำสั่งซื้อนับล้านรายการต่อชั่วโมง หากระบบตรวจพบว่าออเดอร์มีขนาดใหญ่หรือหนักเกินกว่าที่ไรเดอร์ 1 คนจะจัดส่งได้ แกร็บจะพิจารณาจัดส่งด้วยรถยนต์ หรือแยกออเดอร์ออกเป็น 2 ชุดและจัดส่งด้วยไรเดอร์ 2 คน โดยพยายามจัดการเวลาเพื่อให้อาหารทั้งสองชุดไปถึงพร้อมกันหรือในเวลาใกล้เคียงกันมากที่สุด โดยเริ่มทดลองใช้งานแล้วในทุกประเทศ
The Solo ‘You’ บริการสำหรับผู้ใช้บริการคนเดียว

· GrabFood for One: ฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การสั่งอาหารเพื่อรับประทานคนเดียวง่ายขึ้น ด้วยเมนูจานเดี่ยวในราคาสบายกระเป๋า ไม่มีขั้นต่ำในการสั่งซื้อ และมีอัตราคาส่งราคาประหยัด โดยแกร็บร่วมกับพาร์ทเนอร์
ร้านอาหารที่ร่วมโปรแกรมในการคัดสรรเมนูที่อร่อยและในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้บริการ โดยปัจจุบันได้เปิดให้บริการแล้วในประเทศฟิลิปปินส์ และเวียดนาม และเตรียมเปิดให้บริการในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ รวมถึงไทยภายในเดือนนี้
· Shared Saver: อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้บริการประหยัดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องการสั่งเมนูหรือออเดอร์ขนาดเล็กอย่างชานมไข่มุกสักแก้ว หรือของว่างยามบ่าย โดยให้ผู้ใช้บริการเข้าร่วมคำสั่งซื้อที่มีผู้อื่นสั่งไว้ใกล้ๆ (โดยไม่จำเป็นต้องรู้จักกัน) ทั้งนี้ ระบบ AI จะตรวจจับคำสั่งซื้อใกล้เคียงในร้านเดียวกัน และแสดงตัวเลือก Shared Saver พร้อมแสดงเวลานับถอยหลังเพื่อให้สามารถตัดสินใจก่อนหมดเวลา นอกจากนี้ ผู้ใช้บริการยังสามารถเริ่มคำสั่งซื้อได้เอง โดยระบบจะแนะนำหรือชวนคนที่อยู่ใกล้เคียงมาร่วมสั่งได้เช่นกัน โดยเสียค่าส่งที่ถูกกว่าการจัดส่งแบบประหยัด (Saver Delivery) และไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมคำสั่งซื้อขนาดเล็ก (Small Order Fee) โดยฟีเจอร์นี้จะเริ่มนำร่องในประเทศสิงคโปร์ตั้งแต่เดือนเมษายน และมีแผนจะขยายไปในประเทศอื่นๆ ภายในเดือนมิถุนายนนี้
The Explorer ‘You’ บริการใหม่สำหรับผู้ที่ชอบเดินทางหรือหาประสบการณ์ใหม่ๆ

· Advance Booking (Airport Pickup): บริการจองรถรับ-ส่งสนามบินล่วงหน้าซึ่งมีระบบติดตามสถานะเที่ยวบินแบบเรียลไทม์ พร้อมปรับเวลานัดหมายกับคนขับให้ตรงกับเวลาที่เครื่องลงจริง โดยปัจจุบันเริ่มเปิดให้บริการแล้วที่สนามบินหลักทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ สนามบินนานาชาติ Gusti Ngurah Rai ที่เมืองบาหลี สนามบินนานาชาติ Soekarno–Hatta ที่เมืองจาการ์ตา สนามบินนานาชาติ Yogyakarta สนามบินนานาชาติ Juanda ที่เมืองสุราบายา สนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ 1 สนามบิน Seletar ประเทศสิงคโปร์ รวมถึงสนามบินนานาชาติภูเก็ต และจะขยายสู่สนามบินอื่นๆ เพิ่มเติม เร็วๆ นี้
· Dine Out Discovery (Powered by GrabMaps): ฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ค้นหาร้านอาหาร พร้อมนำเสนอดีลพิเศษ โดยสามารถค้นหาร้านผ่านระบบคัดกรองที่แยกตามประเภทอาหาร ความนิยม คะแนนรีวิว ระยะทาง ฯลฯ พร้อมข้อมูลเมนู รูปภาพ เวลาเปิด ทั้งยังสามารถจองโต๊ะได้หากร้านอาหารนั้นๆ ร่วมให้บริการ โดยจะเปิดให้บริการครบทุกประเทศ2ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ ส่วนระบบจองโต๊ะจะเริ่มก่อนในประเทศอินโดนีเซีย สิงคโปร์ และไทย
· Grab Travel Pass: แพ็กเกจส่วนลดการเดินทางที่ออกแบบมาเพื่อคนที่ชอบเดินทางไปต่างประเทศ (เฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) บ่อยครั้ง โดยสามารถซื้อแพ็กเกจท่องเที่ยวผ่านแอปก่อนออกเดินทาง ซึ่งมอบส่วนลดทั้งค่ารถจากสนามบิน ค่ารถทั่วไป บริการส่งอาหาร และร้านอาหาร พร้อมให้บริการแล้วในทุกประเทศ
ฟิลลิป แคนดัล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของแกร็บ กล่าวว่า “ไม่ว่าคุณจะใช้เวลากับครอบครัว ชอบอยู่คนเดียว หรือชอบออกเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ แกร็บพยายามพัฒนานวัตกรรมและบริการต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ทุกช่วงเวลาของคุณให้สะดวกและมีความหมายยิ่งขึ้น เป้าหมายของเราคือการลดความยุ่งยากในชีวิต และช่วยให้ผู้ใช้บริการของเราโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทใดก็ตาม”
นายพีระศักดิ์ บุญมีโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำและอาหารสัตว์เศรษฐกิจของไทย กล่าวว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 มีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นสามัญ จากเดิม 2.00 บาทต่อหุ้น เป็น 1.00 บาทต่อหุ้น เพื่อเดินหน้าเพิ่มสภาพคล่องของหุ้นสามัญของบริษัท พร้อมทั้งดึงดูดนักลงทุนให้สามารถเข้าถึงหุ้นได้มากยิ่งขึ้น
โดยภายหลังเปลี่ยนแปลงพาร์ จะส่งผลให้บริษัทมีหุ้นจดทะเบียนเพิ่มขึ้น 500,000,000 หุ้น จากเดิมจำนวน 500,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 2.00 บาท เป็นจำนวน 1,000,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ซึ่งจะส่งผลให้จำนวนหุ้นที่ ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถือครองอยู่เพิ่มขึ้นในอัตราส่วน 1 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 2 หุ้นสามัญใหม่ ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่กระทบต่อทุนจดทะเบียน ทุนชำระแล้วและสัดส่วนการถือหุ้นในปัจจุบัน
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เตรียมขายหุ้นกู้ 2 รุ่น อัตราดอกเบี้ย 5.20 - 5.50% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือนเสนอขาย วันที่ 1-2 เมษายน 2568 และคาดว่าจะเสนอขายอีกครั้งในวันที่ 10 เมษายน และวันที่ 11 เมษายน 2568 จนถึง เวลา 12.00 น. ผ่าน 9 สถาบันการเงิน ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “BBB+/ Negative” จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 พร้อมแบ็คล็อกในมือ 45,389 ล้านบาท หนุนรับรู้รายได้ต่อเนื่อง 5 ปี
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้และร่างหนังสือ ชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพิ่มเติมเรื่องแผ่นดินไหวรวมถึงมาตรการ การแก้ไข เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลครบถ้วนและเพียงพอในการพิจารณาตัดสินใจลงทุน ตามมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลต่อ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ต่อผู้ลงทุนทั่วไป และ/หรือ ผู้ลงทุนสถาบัน หรือที่เรียกว่า Public Offering โดยหุ้นกู้ที่ออกจำหน่ายครั้งที่ 2/2568 มีจำนวน 2 รุ่น ได้แก่
· หุ้นกู้รุ่นที่ 1 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.20% ต่อปี และ
· หุ้นกู้รุ่นที่ 2 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.50% ต่อปี
บริษัทฯ ตระหนักและให้ความสำคัญต่อความเชื่อมั่นและประโยชน์ของผู้ลงทุนเสมอมา เพื่อให้ผู้ลงทุนมีเวลาศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ บริษัทจึงขอแจ้งขยายระยะเวลาการเสนอขายตราสารหนี้ครั้งนี้ จากเดิมกำหนดระหว่างวันที่ 1 - 3 เมษายน 2568 เป็นวันที่ 1 เมษายน 2568 และวันที่ 2 เมษายน 2568 จนถึงเวลา 14.00 น. และคาดว่าจะเปิดเสนอขายอีกครั้งใน วันที่ 10 เมษายน และวันที่ 11 เมษายน 2568 จนถึงเวลา 12.00 น. นอกจากนี้ บริษัทได้ปรับอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ รุ่นอายุ 3 ปี จากร้อยละ 4.85 เป็น ร้อยละ 5.20 ต่อปี และ รุ่นอายุ 4 ปีจากร้อยละ 5.15 เป็น ร้อยละ 5.50 ต่อปี เพื่อสะท้อนถึงความเสี่ยง ที่เปลี่ยนแปลงไป
![]()
ซึ่งหุ้นกู้ทั้ง 2 รุ่นจะชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ จองขั้นต่ำหน่วยละ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท เสนอขายวันที่ 1 เมษายน 2568 และวันที่ 2 เมษายน 2568 จนถึงเวลา 14.00 น. และคาดว่าจะเปิดเสนอขายอีกครั้งในวันที่ 10 เมษายน และ วันที่ 11 เมษายน 2568 จนถึงเวลา 12.00 น. โดยบริษัทฯและหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “BBB+” แนวโน้ม “Negative” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568
สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนหุ้นกู้ สามารถจองซื้อได้ระหว่างวันที่ 1- 2 และ 10-11 เมษายน 2568 ผ่านสถาบันการเงินทั้ง 9 แห่ง ดังต่อไปนี้
· ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 หรือ จองซื้อผ่าน Mobile application - CIMB Thai
· บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004
· บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-846-8675
· บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด โทร. 02-249-2999
· บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด โทร. 02-687-7543
· บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-659-5272-73
· บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050
· บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-205-7000 ต่อ 7387
· บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-660-6688
บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ออกรายงานกลยุทธ์การลงทุนประเมินว่าตลาดหุ้นไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยมหภาคหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวช้า นโยบายการเงินที่ยังคงตึงตัว และแรงกดดันจากมาตรการภาษีระหว่างประเทศ ส่งผลให้ปรับลดเป้าหมายดัชนี SET ปี 2025 ลงเหลือ 1,230 จุด จากเดิม 1,460 จุด ซึ่งสะท้อนอัพไซด์เพียง 5% จากระดับปัจจุบัน นอกจากนี้ ในระยะสั้นยังมีความเสี่ยงที่ดัชนีจะปรับระดับลงไปทดสอบ 1,000 จุด ซึ่งอาจกระตุ้นให้ภาครัฐต้องออกมาตรการพยุงเศรษฐกิจ (policy panic)
ตลาดหุ้นถูกปัจจัยมหภาคกดดันต่อเนื่อง โดยเศรษฐกิจไทยหากไม่นับภาคการท่องเที่ยว อยู่ในภาวะถดถอยติดต่อกัน 9 ไตรมาส EPS และ GDP ยังโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตระยะยาวตั้งแต่ช่วงโควิด นโยบายการเงินที่ตึงตัวและประสิทธิผลของนโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ลดลง เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่มีผลตอบแทนแย่ลงในปีนี้ ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยภายในมากกว่าปัจจัยภายนอกอย่างเรื่องแรงกดดันด้านภาษีศุลกากรเหมือนที่ประเทศอื่น ๆ เช่น จีน แคนาดา สหภาพยุโรป และเวียดนามกำลังได้รับผลกระทบ
บล.เกียรตินาคินภัทรประเมินว่าดัชนี SET อาจร่วงลงไปที่ 1,000 จุด จากความเสี่ยงของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ (growth shock) ในไตรมาส 2/2025 อาทิ การท่องเที่ยวที่อ่อนแอ การส่งออกที่ถูกท้าทายจากแรงกดดันจากมาตรการภาษี ภาคการบริโภคที่อ่อนแอ และการลงทุนที่ซบเซา ในขณะที่แรงหนุนเดียวที่อาจช่วยพยุงตลาดได้คือ การที่นักลงทุนกลับเข้าซื้อเมื่อมูลค่าตลาด (valuation) อยู่ในระดับที่ถูกเกินไปหากเทียบกับมูลค่าพื้นฐานซึ่งประเมินว่าอยู่ที่ระดับ P/E 10-11 เท่า หรือที่ดัชนี SET 1,000 จุด หรือการที่ผู้กำหนดนโยบายออกมาตรการกระตุ้นอย่างเร่งด่วนและเร็วกว่าที่คาด
นอกจากนี้ บล.เกียรตินาคินภัทรคาดว่า การผ่อนคลายนโยบายการเงินในการประชุม กนง. ช่วงกลางปี อาจช่วยให้ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรขยายตัว (yield curve steepening) และหนุนดัชนี SET ได้ แต่จนกว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะชัดเจน แนะนำให้เน้นลงทุนในกลุ่มหุ้นปลอดภัย ได้แก่
· โรงพยาบาล (BCH, PR9, BDMS, BH) ซึ่งมีการเติบโตที่แข็งแกร่งท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอ
· กลุ่มโทรคมนาคม (TRUE, ADVANC) ที่ได้รับประโยชน์จากปัจจัยสนับสนุนของการควบรวมในอุตสาหกรรม
· กลุ่มธนาคาร (KBANK, SCB) ซึ่งมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลและการบริหารเงินทุนที่ดี
อย่างไรก็ตาม วันที่ 30 เมษายน 2025 จะเป็นวันสำคัญสำหรับการประชุม กนง. ซึ่งอาจมีนโยบายเร่งด่วนออกมา หากเกิดขึ้นจริง อาจเกิดแรงหมุนเวียนจากหุ้นปลอดภัยไปสู่หุ้นกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับประโยชน์ เช่น
· หุ้นที่มีภาระหนี้สูง (AWC, ERW, IRPC, GPSC) ซึ่งจะได้รับประโยชน์เป็นกลุ่มแรก
· กลุ่มธนาคารขนาดเล็ก อุตสาหกรรมที่อิงกับการบริโภค (รวมถึงสื่อ) สินเชื่อนอกระบบ และอสังหาริมทรัพย์
![]()
ดัชนี SET ยังมีโอกาสปรับตัวลงต่อ เนื่องจาก P/E ปัจจุบันที่ 12.2 เท่า ยังคงสูงกว่าระดับ 10-11 เท่าที่จะถือว่า “ถูกจริง” ดังนั้น บล.เกียรตินาคินภัทรคาดว่าความผันผวนจะยังสูง โดยเฉพาะในไตรมาส 2/2025 ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญ เช่น การเจรจาภาษี ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และตัวเลขการเติบโตของ GDP ที่อาจกดดันให้ภาครัฐออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น
นักลงทุนควรติดตามปัจจัยมหภาคอย่างใกล้ชิด และปรับกลยุทธ์ตามภาวะตลาดเพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในปี 2025
Sea (ประเทศไทย) และสถาบันบอร์ดเกมเพื่อการเรียนรู้ (IBGL) ผนึกกำลังเครือข่ายปิดเทอมสร้างสรรค์ ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นำบอร์ดเกมการเงิน ‘Wishlist จัดสรรเงิน เติมความฝัน’ ร่วมโครงการ “Board Game: Learning Space ปิดเทอมสร้างสรรค์ เปลี่ยนร้านบอร์ดเกมเป็นแหล่งเรียนรู้กันเถอะ” ต้อนรับปิดเทอมใหญ่ด้วยกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการเงินผ่านการเล่นบอร์ดเกมที่สนุกและเข้าใจง่าย โดยเด็กและเยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปี สามารถร่วมเล่นบอร์ดเกมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย วันละ 1 ชั่วโมง ตั้งแต่วันที่ 1 - 30 เมษายน นี้ ณ ร้านบอร์ดเกมชั้นนำทั่วประเทศ 25 แห่ง ที่ร่วมโครงการฯ
บอร์ดเกมไม่เพียงแต่ให้ความสนุกสนานและความบันเทิง แต่ยังเป็นสื่อการเรียนรู้และพื้นที่พัฒนาทักษะสำคัญ อาทิ ทักษะการคิดวิเคราะห์ การวางแผน การแก้ปัญหา การทำงานร่วมกัน และการตัดสินใจ Sea (ประเทศไทย) ซึ่งเล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาทักษะการบริหารการเงินส่วนบุคคลตั้งแต่วัยเยาว์ จึงนำบอร์ดเกม Wishlist ที่พัฒนาขึ้นร่วมกับพันธมิตร อาทิ สถาบันบอร์ดเกมเพื่อการเรียนรู้ (IBGL) Wizards of Learning และ The Money Coach เข้าร่วมโครงการปิดเทอมสร้างสรรค์ฯ ในครั้งนี้ เพื่อร่วมเปลี่ยนร้านบอร์ดเกมให้เป็นพื้นที่เรียนรู้ที่เข้าถึงได้สำหรับเด็กและเยาวชน พร้อมสนับสนุนให้เยาวชนใช้เวลาว่างช่วงปิดเทอมอย่างมีคุณค่า
ร้านบอร์ดเกมที่ร่วมโครงการฯ ทั้ง 25 แห่ง กระจายตัวอยู่ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด พร้อมเปิดพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนได้ใช้สิทธิเล่นบอร์ดเกมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย วันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมง เพียงสแกน QR Code เพื่อตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับโครงการฯ หลังจบเกม โดยร้านบอร์ดเกมที่ร่วมโครงการฯ มีดังนี้
กรุงเทพฯ และปริมณฑล
ร้าน Box & Brew Café and Board Games, ร้าน Board Game Academy, ร้าน Board Game Stations, ร้าน Lunar cafe - Zpell Park, ร้าน Lunar cafe by Usagi Ice (สาขาตลาดอมรพันธ์), ร้าน More Than a Game Café, ร้าน Knight's Tale Board Game Cafe, ร้าน CoonCoon Board Game Cafe & Music Studio, ร้าน GameHaus Board Game Cafe, ร้าน BoardVille - Board game café, ร้าน Games Together, ร้าน NK Board Game Seacon Bangkae, ร้าน Boardgame Krub, ร้าน Sandbox_Boardgame, ร้าน Nostramo Bangkok, ร้าน MANA CAFE, ร้าน Secret Lair - บอร์ดเกมคาเฟ่, ร้าน Rabbit Hole Board Games Party, ร้าน Lanlalen Voyage และ ร้าน In the Battle Board Game Café

ต่างจังหวัด
ร้าน Time to Table (เชียงใหม่), ร้าน Lanlalen (นครปฐม), ร้าน Board Game Everyday Cafe (ขอนแก่น), ร้าน Board Game Everyday (อุดรธานี) และ ร้าน Bewitched Everyday (นครราชสีมา)
ภายใต้โครงการ “Board Game: Learning Space ปิดเทอมสร้างสรรค์ เปลี่ยนร้านบอร์ดเกมเป็นแหล่งเรียนรู้กันเถอะ” เยาวชนผู้ร่วมโครงการฯ จะได้ทดลองเล่นบอร์ดเกมชื่อดังมากมาย รวมถึง บอร์ดเกมการเงิน “Wishlist จัดสรรเงิน เติมความฝัน” ซึ่งเป็นบอร์ดเกมที่พัฒนาโดย Sea (ประเทศไทย) ร่วมกับพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ อาทิ Wizards of Learning, สถาบันบอร์ดเกมเพื่อการเรียนรู้ และ The Money Coach โดย Sea (ประเทศไทย) เล็งเห็นความสำคัญของการวางแผนการเงินที่ดีตั้งแต่เด็ก และตระหนักถึงศักยภาพของบอร์ดเกมในฐานะเครื่องมือทางการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ บอร์ดเกมการเงิน “Wishlist จัดสรรเงิน เติมความฝัน” จึงได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อปลูกฝังความรู้ เสริมทักษะ และสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินที่ดีให้แก่เยาวชน ผ่านความสนุกผสานพร้อมสาระด้านการวางแผนทางการเงินด้วยบอร์ดเกม สร้างภูมิต้านทานทางการเงินและทัศนคติทางการเงินที่ดีตั้งแต่ยังเด็ก
เยาวชนผู้สนใจสามารถร่วมโครงการ “Board Game: Learning Space ปิดเทอมสร้างสรรค์ เปลี่ยนร้านบอร์ดเกมเป็นแหล่งเรียนรู้กันเถอะ” ได้แล้ววันนี้ ถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 (หรือจนกว่าจะครบจำนวนสิทธิของแต่ละร้าน) ณ ร้านบอร์ดเกมที่ร่วมโครงการฯ โดยผู้ปกครองสามารถร่วมกิจกรรมกับบุตรหลานได้ (มีค่าบริการ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละร้าน) ติดตามข่าวสารและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันบอร์ดเกมเพื่อการเรียนรู้ ปิดเทอมสร้างสรรค์ และ Sea (ประเทศไทย)
ครั้งแรกในไทยกับการรวมพอยท์จากบัตรเครดิตชั้นนำและทุกโปรแกรมสมาชิกในเครือซีพี มาใช้จ่าย แทนเงินสดได้ผ่าน อเมซ ซูเปอร์แอป (Amaze Super App) แอปช้อปปิ้งใหม่จากเครือซีพี พร้อมมอบสิทธิประโยชน์ พิเศษสำหรับสมาชิกใหม่มูลค่ารวมกว่า 10,000 บาท เปิดมิติใหม่ของการสะสมพอยท์ที่ช่วยให้คนไทยใช้พอยท์คุ้มค่า กว่าเดิม ด้วยการรวมพอยท์จาก ALL POINT, My Lotus's, Makro PRO POINT, True Point รวมถึงพอยท์จากบัตรเครดิต ชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น KrungSri, FirstChoice, POINTX, UOB, BBL, GSB และ KBank เพื่อให้ผู้ใช้ อเมซ ซูเปอร์แอป สามารถ รวมพอยท์ทั้งหมดไว้ในกระเป๋าพอยท์เดียว ใช้แทนเงินสดได้สะดวกและคุ้มค่ายิ่งขึ้น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องพอยท์ กระจัดกระจายหรือหมดอายุอีกต่อไป
ดร. สรินทิพย์ สถิตย์เสถียร กรรมการผู้จัดการ Amaze Super App บริษัท แอสเซนด์ คอมเมิร์ซ จำกัด กล่าวว่า “อเมซ ซูเปอร์แอป จากเครือซีพี องค์กรที่กำลังมุ่งสู่ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี (Tech Enabler) เรามุ่งมั่นที่จะปฎิวัติการใช้พอยท์และพลิกโฉมการช้อปของคนไทย ลูกค้าสามารถใช้ อเมซ ซูเปอร์แอป รวบรวมพอยท์จากบัตรเครดิตชั้นนำและทุกโปรแกรมสมาชิกในเครือซีพีมาไว้ในแอปเดียว เปรียบเสมือนเปิดกระเป๋าตังค์ ใบที่ 2 ให้สามารถรวมและใช้พอยท์จ่ายแทนเงินสดได้ง่ายขึ้น สามารถเช็กจำนวนพอยท์จากบัตรเครดิตและทุกโปรแกรม สมาชิกที่เข้าร่วม ใช้พอยท์จ่ายแทนเงินสดได้ทั้งตะกร้า อเมซ ซูเปอร์แอป จะช่วยเปลี่ยนพอยท์ ที่เคยถูกลืม ให้มีมูลค่าจริง ใช้จ่ายแทนเงินสดได้ในชีวิตประจำวัน หมดปัญหาการสะสมพอยท์แบบกระจัดกระจาย รวมถึงการพลาดโอกาสจากพอยท์ หมดอายุ เรามั่นใจว่าอเมซ ซูเปอร์แอป จะสร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร ช่วยให้การใช้พอยท์มีประสิทธิภาพสูงสุด และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนไทยในยุคดิจิทัลอย่างแน่นอน”
ผู้ใช้สามารถรวมพอยท์มาเป็นอเมซพอยท์ เพื่อซื้อสินค้าที่ 7-Eleven และ Lotus’s พร้อมบริการจัดส่งรวดเร็วภายใน 1-3 ชั่วโมง ส่งตรงจากสาขาใกล้บ้าน และใช้ช้อปสินค้าแบรนด์ดังพร้อมรับประกันของแท้ 100% จากอเมซมอลล์ (Amaze Mall) ที่มีให้เลือกมากกว่า 500 ร้านค้า
![]()
ดร. สรินทิพย์ สถิตย์เสถียร (ขวา) พร้อมด้วย คุณกฤตธี มโนลีหกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พอยท์เอกซ์ จำกัด (ซ้าย) ผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน POINTX แพลตฟอร์มรวมและแลกคะแนนสะสม ที่แลกง่าย ใช้คุ้ม ร่วมเปิดตัวความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง Amaze และ POINTX เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้คะแนนสะสมรูปแบบใหม่ ที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถโอนพอยท์ระหว่างกันได้อย่างสะดวกและไร้รอยต่อ
นอกจากนี้ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในธุรกิจของเครือซีพี อเมซ ซูเปอร์แอป ได้พัฒนาระบบด้วยมาตรฐานความปลอดภัย ระดับสากล ทั้งการยืนยันตัวตนที่รัดกุม และการเชื่อมต่อระบบแบบไร้รอยต่อกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำอย่าง 7-Eleven และ Lotus's ทำให้ผู้ใช้สามารถมั่นใจได้ว่าทุกธุรกรรมบนแพลตฟอร์มมีความปลอดภัยสูงสุด อเมซยังมีนโยบายการคุ้มครอง ข้อมูลส่วนบุคคลที่เข้มงวด โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกเก็บรักษาตามมาตรฐานสากลและ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนไทย พร้อมสร้างอีโคซิสเต็ม ทางธุรกิจที่แข็งแกร่งผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับประเทศ
ทั้งนี้ อเมซมอลล์ เป็นแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ รวมสินค้าจาก 500 แบรนด์ชั้นนำ การันตีสินค้าแท้ 100% พร้อมราคาสุดคุ้ม เพื่อมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค โดยผู้ซื้อสามารถรวมพอยท์บัตรเครดิต และทุกโปรแกรมสมาชิกที่เข้าร่วม แปลงเป็นอเมซพอยท์เพื่อใช้แทนเงินสดชำระค่าสินค้าได้สูงสุดทั้งตะกร้า เพิ่มความคุ้มค่า และความสนุกให้กับการช้อปปิ้ง นอกจากนี้ อเมซมอลล์ยังสนับสนุนร้านค้าด้วยแผนการตลาดและแคมเปญ ต่างๆเพื่อช่วยให้ร้านค้าขยายฐานลูกค้าและสร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง เช่น Amaze Mall Day ทุบราคาท้าช้อปทุกวันพุธ ด้วยราคาพิเศษสุดและให้พอยท์คืน (Pointback) สูงสุดถึง 15% และดีลสุดพิเศษจากแต่ละแบรนด์ เพื่อให้ทั้งร้านค้าและ ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด
สิทธิประโยชน์ของสมาชิก อเมซ ซูเปอร์แอป ได้แก่
● รวมพอยท์จากหลายที่มาเป็นอเมซพอยท์ได้ในแอปเดียว
● ใช้อเมซพอยท์จ่ายแทนเงินสดได้ทั้งตะกร้า ไม่มีขั้นต่ำ
● สั่งสินค้า 7-Eleven และ Lotus’s พร้อมจัดส่งภายใน 1-3 ชั่วโมง พร้อมรับโปรโมชั่นและดีลพิเศษเดียวกัน
● ช้อปแบรนด์ดัง การันตีสินค้าแท้ 100% ที่อเมซมอลล์ หมดกังวลช้อปของปลอม พร้อมดีลสุดพิเศษ
● ทุกการช้อป รับอเมซพอยท์สะสมไว้ใช้จ่ายครั้งต่อไป
พิเศษสุดในช่วงเปิดตัว! กับแคมเปญแรงตลอดเดือนเมษายนนี้เท่านั้น รับสิทธิประโยชน์เฉพาะสมาชิกใหม่ของ อเมซ ซูเปอร์แอป
● รับฟรีทันที 2,000 อเมซพอยท์ (มูลค่า 20 บาท) ใช้ซื้อสินค้าที่ 7-Eleven, Lotus's และสินค้าแบรนด์ดังใน อเมซมอลล์ พร้อมรับคูปองส่วนลดและสิทธิพิเศษจากพาร์ทเนอร์ชั้นนำมากมาย ทั้ง 7-Eleven, Lotus's, Makro, TRUE, TRUE Money และแบรนด์ดังจากอเมซมอลล์ มูลค่ารวมสูงสุดถึง 10,000 บาท!
● โอนพอยท์บัตรเครดิตที่ร่วมรายการ มาเป็นอเมซพอยท์ครั้งแรก รับอเมซพอยท์เพิ่มสูงสุด 150,000 พอยท์ (มูลค่า 1,500 บาท) ต่อ 1 ธนาคารค่ะ ยิ่งถือบัตรเครดิตหลายธนาคาร ยิ่งได้รับสิทธิเยอะ
● ช้อปสินค้าดังกับดีลเด็ด ลดสูงสุดถึง 90% กับ Amaze Mall Day ทุกวันพุธ ทุบราคาเริ่มต้นแค่ 9 บาท แถมพอยท์คืนสูงสุด 15%
● สุดคุ้มสำหรับสายตุน - ทุกวันเสาร์ เหมาเซเว่น - รับพอยท์เพิ่ม 11 เท่า เมื่อช้อปอาหารพร้อมทาน เครื่องดื่ม และสินค้าที่เข้าร่วมจาก 7-Eleven ผ่านแอปอเมซ ขั้นต่ำ 300 บาท และใช้คูปองลดเพิ่ม 30 บาท เริ่ม 12 เมษายนนี้
● ช้อปสินค้า Lotus's ผ่านแอปอเมซครั้งแรก รับทันที คูปองส่วนลด 20 บาท เมื่อซื้อครบ 99 บาท พร้อมรับพอยท์เพิ่ม 10 เท่า ไม่มีขั้นต่ำ
สามารถดาวน์โหลดอเมซและสมัครสมาชิกได้แล้ววันนี้ ทั้งบนระบบ iOS และ Android เพียงค้นหา ‘Amaze Super App’
มหาวิทยาลัยขอนแก่น จัดงานแถลงข่าวความสำเร็จของ โครงการวิจัย “Ugly Veggies Plus – การต่อยอดแบบจำลองธุรกิจบนพื้นฐานของเทคโนโลยี การตรวจสอบย้อนกลับและเศรษฐกิจหมุนเวียนคาร์บอนต่ำ เพื่อการจัดการห่วงโซ่อุปทานการผลิตและการส่งออกของสินค้าอาหารอินทรีย์อย่างยั่งยืน” และถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ผู้ประกอบการ
รองศาสตราจารย์ ดร.ภาณินี นฤธาราดลย์ ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมและสังคมแห่งความยั่งยืน วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า “โครงการ Ugly Veggies Plus มุ่งแก้ไขปัญหาขยะอาหาร ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญของโลกและประเทศไทย เนื่องจากส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและทำให้ทรัพยากรถูกใช้อย่างสูญเปล่า โครงการนี้ได้นำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาประยุกต์ใช้ โดยมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนจากขยะอาหารให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ดินพร้อมปลูก โปรตีนบาร์สุขภาพ และหลอดพลาสติกย่อยสลายได้ ซึ่งช่วยลดปริมาณของเสียและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับอุตสาหกรรมอาหารอินทรีย์ เพื่อให้เป็นเศรฐกิจหมุนเวียนและเป็น Zero Waste อย่างแท้จริง”
นอกจากนี้ โครงการยังได้พัฒนาเทคโนโลยี Blockchain Traceability เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการตรวจสอบย้อนกลับวัตถุดิบจากขยะอาหาร สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค รวมถึงใช้ Life Cycle Assessment (LCA) และ Carbon Footprint เพื่อประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ และพัฒนากลยุทธ์เพื่อลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล โครงการของเรายังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากเครือข่ายเกษตรกร ผู้ประกอบการ และภาคอุตสาหกรรม โดยสามารถสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์นำร่องกว่า 1.33 ล้านบาทในระยะเวลา 3 ปี อีกทั้งยังขยายเครือข่ายความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการกว่า 100 ราย ที่นำแบบจำลองของโครงการไปปรับใช้ในเชิงพาณิชย์”
ผลการวิจัยของโครงการ Ugly Veggies Plus แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการพัฒนาโมเดลธุรกิจเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่สามารถนำไปใช้จริงในภาคอุตสาหกรรม ช่วยให้ธุรกิจสามารถลดต้นทุน เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีผลลัพธ์ที่สำคัญ ได้แก่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากขยะอาหารที่สามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ การออกแบบระบบตรวจสอบย้อนกลับด้วยเทคโนโลยี Blockchain เพื่อสร้างมาตรฐานและความโปร่งใสในอุตสาหกรรม การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมผ่าน LCA และ Carbon Footprint ซึ่งช่วยให้ผลิตภัณฑ์เป็นไปตามมาตรฐานสากล รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างนักวิจัย เกษตรกร และผู้ประกอบการ เพื่อขยายผลแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในอุตสาหกรรมอาหารอินทรีย์
ภายในงานแถลงข่าวมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้แก่ผู้ประกอบการ และจัด Business Talk เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถนำเทคโนโลยีและแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนไปปรับใช้ในระบบการผลิตจริง ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารอินทรีย์อย่างยั่งยืนและแข่งขันได้ในตลาดโลก
โครงการ Ugly Veggies Plus จะเป็นต้นแบบของการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนคาร์บอนต่ำ ที่สามารถต่อยอดไปสู่ระบบนิเวศทางธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างความมั่นคงให้กับอุตสาหกรรมอาหารอินทรีย์ของประเทศไทยในระยะยาว