

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ กวาดยอดขายไตรมาส 1/2568 กว่า 8,027 ล้านบาท ไตรมาส 2/2568 จ่อโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มอีก 2 โครงการ ตุน Backlog แล้วกว่า 1,700 ล้านบาท หนุน Backlog 45,389 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ 5 ปี
![]()
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1/2568 บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้กว่า 8,027 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม ประมาณ 85% และยอดขายจากโครงการบ้านจัดสรร ประมาณ 15%
จากยอดขายดังกล่าว แบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) ประมาณ 56% และยอดขายจากกลุ่มโครงการที่เปิดขายใหม่ (New Launch) และอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (Ongoing) รวมกันประมาณ 44% โดยมีโครงการเปิดใหม่ 1 โครงการ คือ โครงการ SO ORIGIN SUKHUMVIT 105 คอนโด LOW-RISE 8 ชั้น จำนวน 913 ยูนิต มูลค่ารวม 2,600 ล้านบาท ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ ในรอบ VVIP และ Online Booking
นอกจากนั้นยังเป็นการทุบประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ภายในงานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 47 ที่จัดขึ้น ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 20 - 23 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยสามารถทำยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,200 ล้านบาท สะท้อนถึงความต้องการที่อยู่อาศัยและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ออริจิ้น ขณะเดียวกันก็ได้ แรงสนับสนุนจากประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย การผ่อนปรนมาตรการเกณฑ์ LTV (Loan to value ratio ) ที่กำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันเป็น 100% สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (บ้าน) ทั้งกรณี บ้านราคาต่ำ 10 ล้านบาท สัญญาที่ 2 และบ้านราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป สัญญาที่ 1 การผ่อนคลายนี้ให้เป็นการชั่วคราวสำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำสัญญาตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ถึง วันที่ 30 มิถุนายน 2569 ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ
ยอดขายดังกล่าวช่วยหนุนยอด Backlog 45,389 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ 5 ปี โดยไตรมาส 2/2568 นี้ มีโครงการที่จะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ จำนวน 2 โครงการ ประกอบด้วย Origin Plug & Play Srinakarin (ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ ศรีนครินทร์) และ โครงการ The Hampton Suites Rayong( เดอะ แฮมป์ตัน สวีท ระยอง) โดยมี Backlog แล้วกว่า 1,785 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจโรงแรม บริษัทมีธุรกิจโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 9 แห่ง และ อีก 3 แห่งจะเปิดใหม่ในปี 2568 นี้ โดย 2 แห่งเป็นการ Re-opening โรงแรมที่ acquire มาเมื่อปี 2566 ในแหล่งท่องเที่ยวหลักอย่างภูเก็ตและเชียงใหม่ และอีก 1 แห่งในกรุงเทพฯ
ส่วนธุรกิจคลังสินค้า (Warehouse) ปัจจุบันมี 9 แห่งในทำเลยุทธ์ศาสตร์สำคัญ ได้แก่ ทำเลรังสิต, บางนา กม.22, บางนา กม.19, บางนา กม.23, แหลมฉบัง, พานทอง และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมพื้นที่กว่า 400,000 ตารางเมตร มีอัตราการเช่าสูงถึง 97.6% ตั้งเป้าขยายเพิ่มเป็น 1 ล้านตารางเมตร ในอีก 5 ปี ข้างหน้า
ทั้งนี้ การดำเนินธุรกิจของ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จะเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรภายใต้กลยุทธ์ “Resilience Leads To Sustainable Growth” สร้างความยืดหยุ่นในการบริหารองค์กร พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลง สู่การเป็นผู้นำและการเติบโตอย่างยั่งยืนบนโอกาสใหม่ เพื่อสร้างความสมดุลในระยะยาวอย่างมีเสถียรภาพทั้งด้านธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
“อย่างไรก็ตามบริษัทคาดว่าความกังวลใจจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวจะเป็นโดยระยะสั้น เนื่องจากความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุแผ่นดินไหวเป็นเรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย และความเสียหายที่เกิดขึ้น ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำมากในส่วนของความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน เนื่องจาก ตามกฎหมายควบคุมอาคารของกรุงเทพมหานคร ได้มีการออกข้อกำหนดเกี่ยวกับการเสริมโครงสร้างเพื่อรับแรงแผ่นดินไหวมาตั้งแต่ปี 2550 แล้วนั้น ซึ่งอาคารสามารถขยับตัวในช่วงการเกิดแผ่นดินไหวได้อย่างปลอดภัย บริษัทจึงเห็นว่า หลังจากผู้บริโภคได้คลายความวิตกกังวลและได้รับข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาคารสูงในการรับผลกระทบแผ่นดินไหวที่ถูกต้องแล้ว คาดว่าผู้บริโภคจะกลับมามีความมั่นใจในการซื้อที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดในไม่ช้า โดยในส่วนของที่อยู่อาศัยประเภทบ้านจัดสรรที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนี้ จะส่งผลให้มีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น” นายพีระพงศ์ กล่าว
และทางบริษัทมีความตั้งใจดูแลความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยทุกท่าน โดยจัดให้มี "ศูนย์ช่วยเหลือลูกค้าฉุกเฉิน โทร 1498" เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกบ้านออริจิ้นในทุกโครงการ เพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพและการบริการที่ดีที่สุด
สำหรับ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ภายใต้ 4 กลุ่มธุรกิจ
1.กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 166 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 4/2567) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton), ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) เป็นต้น รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้นกว่า 254,967 ล้านบาท โดยกลุ่มโครงการบ้านจัดสรร หรือที่อยู่อาศัยแนวราบ ดำเนินการภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เน้นกลุ่มบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ส่วนกลุ่มโครงการแนวสูงหรือคอนโดมิเนียม ดำเนินการภายใต้บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ORIGIN VERTICAL
2.กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก
3.กลุ่มธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์
และ 4.กลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) เป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร
นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ผู้แทนจากสำนักงาน กสทช. และตัวแทนจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้เข้าร่วมการซ้อมใหญ่ระบบเตือนภัย Cell Broadcast ณ ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ (BNIC) ของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยผลการทดสอบออกมามั่นใจและเป็นที่น่าประทับใจตามคาดหมาย และพร้อมนำมาใช้เตือนภัยได้จริงเพื่อประชาชนคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติกรณีเกิดเหตุด่วนและภัยพิบัติ
นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กล่าวว่า "ผมมีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งหลังจากได้มาร่วมการทดสอบเสมือนจริงของ Cell Broadcast กับทรู คอร์ปอเรชั่นในวันนี้ ซึ่งผลลัพธ์ออกมาตามความคาดหมาย สามารถกระจายข้อความได้อย่างรวดเร็วครอบคลุมพื้นที่ตามที่กำหนด โดยระบบ Cell Broadcast เป็นความหวังสำคัญในการพัฒนาระบบเตือนภัยของประเทศไทยให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพเทียบเท่ามาตรฐานสากล ในส่วนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เรากำลังเร่งดำเนินการพัฒนาในส่วนของ CBE (Cell Broadcast Entity) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญฝั่งหน่วยงานภาครัฐที่ทำหน้าที่ออกประกาศเตือนภัย เรามีเป้าหมายชัดเจนที่จะผลักดันให้ระบบ Cell Broadcast สามารถนำมาใช้งานจริงได้เร็วที่สุด เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนชาวไทยในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงภัย การร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในครั้งนี้จะช่วยยกระดับการบริหารจัดการภัยพิบัติของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น"
นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "จากการที่ ปภ. กสทช. และตัวแทนจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้เกียรติมาร่วมซ้อมใหญ่เตือนภัย ณ ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ (BNIC) อาคารทรูทาวเวอร์ เพื่อเป้าหมายในการนำมาใช้กับประชาชนอย่างเร่งด่วนที่สุด ทรู คอร์ปอเรชั่นได้จัดการซ้อมแบบจำลองสถานการณ์การใช้งานจริง มีการส่งสัญญาณเตือนภัยทดสอบภายในอาคารทรู เพื่อให้ทุกท่านที่มาเยือนได้สัมผัสประสบการณ์และเข้าใจกลไกการทำงานของระบบ Cell Broadcast Service พร้อมกัน วันนี้ทรูมีความพร้อมให้บริการระบบ Cell Broadcast ได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นระบบจริงหรือระบบเสมือน (Virtual Cell Broadcast) หากเกิดภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉิน สามารถนำมาใช้แจ้งเตือนภัยแก่ลูกค้าทรูและดีแทคผ่านระบบนี้ทันที”
ทรู คอร์ปอเรชั่นห่วงใยเร่งติดตั้งระบบเตือนภัยทั่วประเทศ
เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งล่าสุดที่สร้างความตื่นตระหนกให้ประชาชนทั่วประเทศไทย ได้ตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนของระบบแจ้งเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพและทันท่วงที ด้วยความตระหนักถึงภารกิจสำคัญนี้ ทรูจึงได้เร่งดำเนินการติดตั้งระบบ Cell Broadcast ให้ครอบคลุมทุกเสาสัญญาณ 4G และ 5G ทั่วประเทศเป็นที่เรียบร้อยรายแรก โดยปัจจุบันพร้อมใช้งานแล้วในรูปแบบ Virtual Cell Broadcast
"เราได้ติดตั้งระบบนี้เรียบร้อยแล้วในทุกสถานีฐานทั่วประเทศ นับเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายแรกของไทยที่มีความพร้อมให้บริการระบบนี้อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยตระหนักถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ" นายจักรกฤษณ์ กล่าวเสริม
การทำงานของระบบแจ้งเตือนภัยผสานร่วมกัน
ระบบ Cell Broadcast จะทำงานได้อย่างสมบูรณ์ต้องอาศัยสององค์ประกอบหลักทำงานประสานกัน:
1. CBC (Cell Broadcast Center) - ส่วนที่อยู่ฝั่งผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ อย่างเช่น ทรู และดีแทค
2. CBE (Cell Broadcast Entity) - ส่วนที่อยู่ฝั่งหน่วยงานภาครัฐที่เป็นผู้ออกประกาศเตือน (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือ ปภ.)
ปัจจุบัน ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมดำเนินการตามคำสั่งจากภาครัฐได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยให้แก่ประชาชนชาวไทย โดยเป็นผู้ให้บริการรายแรกของประเทศที่มีความพร้อมให้บริการระบบแจ้งเตือนภัยที่ทันสมัยนี้อย่างเต็มรูปแบบ
วันอนามัยโลก (World Health Day) ตรงกับวันที่ 7 เมษายนของทุกปี เป็นวันที่ประเทศสมาชิกขององค์การอนามัยโลกใช้เป็นโอกาสรณรงค์ให้ประชาชนและทุกภาคส่วนของสังคม ตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพ โดยแคมเปญหลักในปีค.ศ. 2025 นี้ “เริ่มต้นชีวิตด้วยสุขภาพที่ดี สู่อนาคตที่สดใสในวันหน้า (Healthy Beginnings, Hopeful Futures)” ทั้งนี้ เพื่อผลักดันให้ทั้งภาครัฐและองค์กรด้านสาธารณสุขร่วมรณรงค์เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตของมารดาและทารกแรกเกิด และ เพื่อให้เล็งเห็นถึงความสำคัญด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของสตรีในระยะยาว
ฟิลิปส์ ร่วมรณรงค์ในวันอนามัยโลก ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดูแลสุขภาพของมารดาและทารก ด้วยการพัฒนาโซลูชันอัลตร้าซาวด์ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัยโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น การดูแลสุขภาพแบบเฉพาะบุคคล และการติดตามอาการจากระยะไกล ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงระบบสาธารณสุขที่มากขึ้น เพื่อส่งเสริมอนาคตด้านการดูแลสุขภาพที่ดีสำหรับมารดาและทารกทั่วโลก
นวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI มีศักยภาพในการปฏิวัติการเข้าถึงระบบสาธารณสุขที่เหมาะสม ในปีพ.ศ. 2566 รอยัล ฟิลิปส์ (NYSE: PHG, AEX: PHIA) ผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการดูแลสุขภาพระดับโลก ได้รับทุนสนับสนุนเป็นครั้งที่สองจากมูลนิธิเกตส์ (Gates Foundation) เป็นมูลนิธิเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดตั้งโดยบิล เกตส์ และเมลินดา เกตส์ เพื่อเร่งขยายการพัฒนาแอปพลิเคชันด้านสูตินรีวชที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI ผ่านการใช้เครื่องอัลตราซาวด์แบบพกพา Philips Lumify โดยเทคโนโลยี AI นี้สามารถช่วยสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ในการตรวจหาพารามิเตอร์ที่สำคัญ เพื่อระบุความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ และช่วยให้พวกเขาสามารถแนะนำแนวทางการดูแลที่เหมาะสมได้ เมื่อพร้อมใช้งาน โซลูชันอัลตร้าซาวด์ของฟิลิปส์ด้านสูตินรีเวชที่ขับเคลื่อนด้วย AI นี้ จะเข้ามาสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่และพยาบาลผดุงครรภ์ในการเก็บข้อมูลสำคัญของมารดาและทารกในครรภ์ โดยต้นแบบปัจจุบันสามารถระบุพารามิเตอร์ที่สำคัญ อาทิเช่น อายุครรภ์และขนาดของถุงน้ำคร่ำ ซึ่งช่วยในการประเมินการตั้งครรภ์และสุขภาพของทั้งมารดาและทารกได้
ตั้งแต่ที่มูลนิธิเกตส์ให้ทุนสนับสนุนช่วงแรกในปีพ.ศ. 2564 มีการดำเนินการโครงการนำร่องในเคนยา ซึ่งส่งผลลัพธ์เชิงบวก โดยโซลูชันนี้ช่วยให้สามารถตัดสินใจด้านการดูแลสุขภาพของสตรีมีครรภ์ได้ดีขึ้นในชุมชนชนบทและพื้นที่ห่างไกล ในแต่ละวัน มีสตรีกว่า 800 คนทั่วโลกที่ตั้งครรภ์และเสียชีวิตจากสาเหตุที่ป้องกันได้i โดยเกือบ 95% ของมารดาที่เสียชีวิตในปีพ.ศ. 2563 อาศัยอยู่ในประเทศที่มีรายได้ต่ำถึงรายได้ปานกลางล่าง ในขณะที่มารดาทั่วโลกราว 287,000 คนเสียชีวิตระหว่างตั้งครรภ์จนถึงหลังคลอดii โดยสาเหตุการเสียชีวิตส่วนใหญ่มาจากภาวะแทรกซ้อนระหว่างและหลังการตั้งครรภ์ และหลังการคลอด ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์และส่วนใหญ่สามารถป้องกันหรือรักษาได้ อาทิ การตกเลือด การติดเชื้อ ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ เป็นต้น ในปีพ.ศ.2563 ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอัตราการตายของมารดาเท่ากับ 117 ต่อการเกิดมีชีพ 100,000 คน เมื่อจำแนกตามกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลกได้ทำการ
คาดการณ์อัตราการตายของมารดาไทยเท่ากับ 29 ต่อการเกิดมีชีพ 100,000 คน และอัตราการตายของมารดาไทยเป็นอันดับ 3 ของภูมิภาคเซียน (ASEAN) รองจากประเทศสิงคโปร์ (7 ต่อการเกิดมีชีพ 100,000คน) และมาเลเซีย (21 ต่อการเกิดมีชีพ 100,000คน)iii ทั้งนี้ การได้รับการดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทั้งช่วงก่อน ระหว่าง และหลังการคลอด สามารถช่วยชีวิตของมารดาและทารกแรกเกิดได้i
![]()
นายวิโรจน์ วิทยาเวโรจน์ ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ฟิลิปส์ เรามุ่งมั่นที่จะส่งมอบนวัตกรรมอันทรงคุณค่า เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ห่างไกล เราได้ทำงานร่วมกับพันธมิตรมากมาย เพื่อจัดการทรัพยากรและนำความเชี่ยวชาญและวิสัยทัศน์มาช่วยกันแก้ปัญหาและสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดียิ่งขึ้น เรามีการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันที่ครอบคลุมการให้บริการทางการแพทย์ระยะไกล และการสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์อย่างเต็มที่ และสำหรับวันอนามัยโลก 2025 นี้ เราจึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมรณรงค์เพื่อการดูแลสุขภาพของมารดาและทารก เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพมารดาและลดอัตราการเสียชีวิตของหญิงตั้งครรภ์ได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นสุขภาพที่สำคัญในประเทศไทย รวมถึงในประเทศที่กำลังพัฒนาอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน”
ผลลัพธ์เชิงบวกจากโครงการนำร่อง
ในช่วงที่ดำเนินโครงการนำร่องในประเทศเคนยา โซลูชันอัลตร้าซาวด์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI นี้ ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี ด้วยความก้าวหน้าของดิจิทัล เทคโนโลยีสารสนเทศ และเทคโนโลยี AI บุคลากรทางการแพทย์จึงไม่จำเป็นต้องประมวลและแปรผลภาพโดยตรงอีกต่อไป และยังช่วยลดระยะเวลาในการฝึกอบรมให้กับพยาบาลผดุงครรภ์จากหลายสัปดาห์เหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง โดยไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในการคัดกรองผู้ป่วย ในขณะเดียวกัน มารดาที่ตั้งครรภ์เองก็สามารถติดตามพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้ และหากพบความผิดปกติ ผู้ป่วยจะถูกส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อทำการตรวจเพิ่มเติม
![]()
"หนึ่งชีวิตที่สูญเสีย คือความสูญเสียที่มากเกินแล้ว" ดร. เบียทริซ มูราเก ผู้อำนวยด้านความยั่งยืนและการเข้าถึงระบบสาธารณสุข ฟิลิปส์ โกลบอล ได้กล่าวในระหว่างการให้สัมภาษณ์นิตยสาร TIME ฉบับพิเศษเกี่ยวกับอนาคตของระบบสาธารณสุข เครื่องอัลตราซาวด์แบบพกพาที่ขับเคลื่อนด้วยโซลูชัน AI ใหม่นี้มีศักยภาพที่จะปฏิวัติวงการอัลตราซาวด์ ช่วยลดช่องว่างด้านการดูแลสุขภาพของมารดาในประเทศเคนยาได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ ดร. เบียทริซ มูราเก และ ดร. นิดี ลีคา นักรังสีวิทยาจากมหาวิทยาลัย Aga Khan University ในประเทศเคนยา ซึ่งเป็นพันธมิตรทางคลินิกคนสำคัญของฟิลิปส์มีบทบาทสำคัญในการผลักดันและเพิ่มโอกาสการเข้าถึงระบบสาธารณสุขให้กับผู้หญิงทั่วโลก
โซลูชันใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ช่วยคัดกรองความเสี่ยงและสร้างความมั่นใจ
องค์การอนามัยโลก แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์เข้ารับการตรวจอัลตราซาวด์อย่างน้อยหนึ่งครั้งก่อนอายุครรภ์ครบ 24 สัปดาห์ เพื่อประเมินอายุครรภ์และตรวจหาความผิดปกติของทารกในครรภ์ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจมากยิ่งขึ้นiv ด้วยความสามารถของเทคโนโลยี AI ที่พัฒนาขึ้นเพื่อแปลผลข้อมูลภาพจากเครื่องอัลตราซาวด์ Philips Lumify จะช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถระบุการตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูงได้ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจในการส่งต่อผู้ป่วยต่อไป และยังช่วยเสริมความมั่นใจให้แก่มารดาที่ตั้งครรภ์ในการตัดสินใจเลือกแนวทางการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมกับตนเองด้วยเช่นกัน
![]()
เดนิลสัน ฮิรากิ คุราโทมิ ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจอัลตราซาวด์ ฟิลิปส์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า "อัลตราซาวด์เป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจคัดกรองการตั้งครรภ์ แต่การฝึกอบรมการใช้งานเพื่อให้สามารถแปลผลได้อย่างถูกต้องก็เป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้กัน นอกจากโครงการนำร่องที่ฟิลิปส์ โกลบอลได้ดำเนินการแล้ว ฟิลิปส์ ในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังให้การสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ในภูมิภาคในการตรวจคัดกรองความเสี่ยงการตั้งครรภ์ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยมีเป้าหมายเพื่อลดอัตราการเสียชีวิตของมารดา และการนำนวัตกรรมใหม่เข้าสู่ตลาด เรามั่นใจว่าจะมาช่วยยกระดับการเข้าถึงระบบสาธารณสุขของมารดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชุมชนชนบทและพื้นที่ห่างไกลทั่วทั้งภูมิภาค"
LINE Developers Meetup #6 งานรวมตัวเหล่านักพัฒนาที่สนใจเทคโนโลยีจาก LINE จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 6 อัดแน่นด้วยเทรนด์ใหม่และเทคโนโลยีอัปเดตล่าสุดมากมายทั้งจากทีมนักพัฒนา LINE ประเทศไทย และผู้เชี่ยวชาญ LINE API Experts ที่มาร่วมแบ่งปันความรู้ พร้อมเปิดพื้นที่ให้นักพัฒนาได้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในคอมมูนิตี้นักพัฒนา โดยงานในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากนักพัฒนาไทยมาเข้าร่วมกันอย่างคับคั่ง
LINE ประเทศไทย เดินหน้าตอกย้ำวิสัยทัศน์การเป็นแพลตฟอร์มเปิดเพื่อคนไทยอย่างต่อเนื่อง หลังจากประกาศโร้ดแมปเทคโนโลยีในงาน LINE Conference Thailand 2025 ที่ผ่านมา ทั้งแผนการเปิดแพลตฟอร์ม LINE OAPLUS และแผนเปิดพื้นที่ Bot Marketplace รวมหลากหลายแชทบอทในกรุ๊ปแชทให้ผู้ใช้เลือกใช้งานได้ตามความต้องการในอนาคต ล่าสุด LINE ยังได้เผยอัปเดตฟีเจอร์เทคโนโลยี LINE API ที่น่าสนใจในไตรมาสแรกของปี 2025 ให้นักพัฒนาไทยได้นำไปประยุกต์ใช้ เพื่อต่อยอดสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ได้เต็มศักยภาพกว่าเดิมในงาน LINE Developers Meetup #6 ในเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น
LINE Messaging API
· เพิ่ม Document สรุปวิธีดึงข้อมูลผู้ใช้งานจาก API ครบจบทุกรูปแบบ รวบรวมทุกเนื้อหาและแนะนำวิธีการเข้าถึง LINE User Profile ได้จากทุกโซลูชันและช่องทางให้อยู่ในที่เดียวแบบครบจบ ช่วยให้นักพัฒนาที่สร้างบริการต่าง ๆ บน LINE สามารถตรวจสอบและศึกษาแนวทางการเข้าถึงข้อมูลโปรไฟล์ของผู้ใช้ได้สะดวกยิ่งขึ้น
· ส่งข้อความระบุ Audience จาก Business Manager ปลดล็อกข้อจำกัดเดิม เพิ่มความสามารถใหม่ ให้ LINE Messaging API สามารถเชื่อมต่อและแชร์ข้อมูลกลุ่มเป้าหมายจากเครื่องมือ Business Manager ได้ ช่วยให้นักพัฒนาสามารถส่งข้อความบรอดแคสต์แบบ Narrowcast ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเองอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
LIFF
![]()
· Minimize หน้าต่าง LIFF App สำหรับผู้ใช้งาน Android ได้แล้ว! อีกหนึ่งความสามารถใหม่ของ LIFF ตอบโจทย์ชาว Android v15.0.0 เป็นต้นไป ให้สามารถย่อหน้าเว็บที่สร้างเป็นหน้าต่างเล็กในห้องแชท LINE โดยไม่ต้องปิดหน้าเดิม และเมื่อกลับเข้ามาใช้งานก็สามารถดำเนินการต่อได้ทันที โดยไม่ต้องโหลดหน้าเว็บใหม่หรือเสียข้อมูลที่กรอกไว้ ช่วยให้ประสบการณ์การใช้งานลื่นไหล ไม่มีสะดุด
· LIFF CLI เวอร์ชันล่าสุด V0.3.0 มาพร้อม 3 ฟีเจอร์ใหม่ ช่วยให้การพัฒนามีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อกับเครื่องมือ Create LIFF App ให้นักพัฒนาสร้างโปรเจ็กต์ LIFF ได้ง่าย สะดวกและรวดเร็วขึ้นผ่าน Boilerplate ที่มีให้, LIFF App Development Environment สร้างได้ครบจบใน CLI โดยฟีเจอร์นี้จะเข้ามาช่วยตั้งแต่การกำหนดค่า Channel, ตั้งค่า Boilerplate และรันโปรเจ็กต์ตั้งแต่ต้นจนจบในที่เดียว รวมทั้งยังรองรับ Local Development ผ่าน ngrok เพื่อเปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถนำบริการที่สร้างไว้บน Local Development ไปทดสอบกับ LIFF app จริงที่อยู่บนสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์อื่นได้
![]()
LINE Login
· รองรับการแสดงผลแบบ Dark mode ซึ่งเปิดให้ใช้ในบางหน้าแล้ว ได้แก่หน้า Login และหน้า Consent โดยจะมีผลกับ External Browser ที่มีการเรียกใช้ LINE Login SDK v2.1 และ LIFF app
นอกจากนี้ LINE ยังเชิญชวนนักพัฒนาไทยมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งใน LINE Developer Partner โปรแกรมส่งเสริมการเติบโตให้องค์กรนักพัฒนาไทย ผ่านการเข้าถึงเทคโนโลยี คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ การโปรโมททางการตลาด และโอกาสในการร่วมโปรเจ็กต์กับพาร์ทเนอร์ธุรกิจระดับประเทศมากมายที่ LINE ประเทศไทยพร้อมสนับสนุน รวมทั้งยังโชว์แผนเปิดตัว LINE MINI App ที่จะมาเพิ่มขีดความสามารถของบริการและโซลูชันต่าง ๆ ที่พัฒนาขึ้นบน LINE ด้วยฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่สะดวกครบครัน พร้อมแนะนำ LINE MINI App Playground พื้นที่ให้นักพัฒนาได้ทดลองเล่นฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่มีใน LINE MINI App ได้ก่อนพัฒนาจริง
ภายในงานยังได้เปิดเวทีให้ LINE API Expert ทั้ง 2 ท่าน มาร่วมให้ความรู้และแชร์เทคนิคที่น่าสนใจกับเหล่านักพัฒนาไทยที่มาร่วมงาน โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วุฒิพงษ์ ชินศรี มาโชว์ตัวอย่างพร้อมเทคนิคการสร้าง LINE MINI App กันแบบสด ๆ และ คุณปุณณ์สิริ บุณยเกียรติ LINE API Expert คนล่าสุด มาแบ่งปันเทคนิคการประยุกต์ใช้ Agentic AI และ Use Case ที่น่าสนใจ ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างและพัฒนาบริการต่าง ๆ บน LINE ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของอัปเดตไฮไลท์เทคโนโลยีของ LINE สำหรับนักพัฒนาไทยที่ได้เปิดตัวในงาน LINE Developers Meetup #6 นักพัฒนาที่สนใจสามารถติดตามคอนเทนต์และกิจกรรมล่าสุดจาก LINE Developers Thailand ได้ที่ LINE OA: @linedevth และเฟซบุ๊กเพจ LINE Developers Thailand
กรุงเทพฯ 4 เมษายน 2568 – ทรู เปิดประสบการณ์โรมมิ่งรูปแบบใหม่ “GO Travel MyPlan” ที่จะเปลี่ยนทุกทริปเที่ยวต่างประเทศให้สมาร์ทยิ่งกว่าเดิม! กับ eSIM เน็ตต่างประเทศ ที่ไม่ว่าคุณจะใช้มือถือค่ายไหน ก็สามารถซื้อออนไลน์ง่ายๆ ใช้ได้ทันที โดยไม่ต้องถอดหรือเปลี่ยนซิม! และต้อนรับซัมเมอร์นี้ ไปให้สุดกับ “GO Travel MyPlan” eSIM ที่แพลนได้ ตามใจคุณ เลือกได้ทั้งจำนวนวัน ปริมาณเน็ต และประเทศที่ไป ครอบคลุมกว่า 118 ประเทศทั่วโลก ในราคาสุดว้าว เริ่มต้นเพียง 11 บาทต่อวัน พร้อมรับอินเทอร์เน็ต ไม่จำกัด ความเร็ว แรงเต็มสปีด บนเครือข่าย 5G จากพันธมิตรอันดับ 1 ทั่วโลก กว่า 900 ราย รวมทั้งสิทธิพิเศษให้ลูกค้า GO Travel MyPlan eSIM ท่องโลกได้สมาร์ทยิ่งกว่า ไปกับประสบการณ์ท่องเที่ยวที่เหนือกว่าการโรมมิ่ง (Beyond Roaming) จากทรู ดีแทค และพาร์ทเนอร์ชั้นนำ
สมาร์ทกว่าด้วย ฟรี! In-flight Roaming
ü ฟรี! อินเทอร์เน็ตสำหรับใช้งานบนเครื่องบิน แบบไม่จำกัดดาต้า นาน 1 วัน (ตั้งแต่ 1 มี.ค. 68 – 15 มิ.ย. 68 เท่านั้น)
สมาร์ทกว่าด้วย ฟรี! ประกันการเดินทาง ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม จาก FWD Life Insurance
ü ฟรี! คุ้มครองอุบัติเหตุระหว่างเดินทาง
ü ฟรี! ครอบคลุมกระเป๋าเดินทาง/ทรัพย์สินส่วนตัวหาย หรือเสียหาย
สมาร์ทกว่าด้วย ฟรี! สิทธิพิเศษที่สนามบิน
ü ฟรี! AirAsia บริการ Red Carpet ช่องเช็กอินสุดพิเศษและบริการสุด VIP
ü ฟรี! เมนูอิ่มอร่อย กับร้านค้าชั้นนำในสนามบิน
สมาร์ทกว่าด้วย สิทธิพิเศษจากพาร์ทเนอร์ชั้นนำ
ü ส่วนลด 40% ค่าเดินทาง ไป-กลับสนามบิน จาก Grab
ü คูปองส่วนลดจากร้านค้าชั้นนำในต่างประเทศ
ü และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย
สำหรับลูกค้าที่กำลังจะมีแผนเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ สามารถเปิดใช้งาน eSIM GO Travel MyPlan รูปแบบใหม่ ซื้อออนไลน์ได้สะดวก เพื่อให้ทุกการเดินทางท่องเที่ยวเป็นเรื่องง่าย เติมเต็มทุกไลฟ์
สไตล์การใช้งานดิจิทัลที่ช่วยให้ท่องโลกได้สมาร์ทว่า บนเครือข่าย 5G โรมมิ่งชั้นนำในต่างประเทศที่ดีที่สุดไปกับทรู ซื้อเลยที่เว็บไซต์ https://ss.true.th/s/GOTravelMyPlan-eSIM
· คุ้มค่า! ราคาเริ่มต้น 11 บาทต่อวัน พร้อมสิทธิพิเศษอีกมากมาย
· ตรงใจ! แพ็กเกจที่หลากหลาย เลือกเน็ตและวันได้ตามใจ
· สะดวก! ซื้อออนไลน์ใช้ได้ทันที ไม่ต้องเปลี่ยนซิม
· มั่นใจ! เน็ตแรงทุกจุด เล่นได้ทุกแอปแบบไม่มีสะดุด
· สบายใจ! เน็ตไม่รั่ว ไม่มีบิลช็อก พร้อมบริการคอลเซ็นเตอร์โรมมิ่ง ฟรี 24 ชม. รายละเอียดบริการโรมมิ่ง GO Travel เพิ่มเติม www.true.th/ir
แกร็บ ประเทศไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำแอปเรียกรถอันดับ 11 เดินหน้ารุกตลาดลักชัวรี เปิดตัว GrabExecutive บริการเรียกรถล่วงหน้าระดับพรีเมียมอย่างเป็นทางการ ชูไฮไลท์ด้านบริการระดับเวิลด์คลาสที่มาพร้อมรถหรูให้เลือกสรร อาทิ Mercedes Benz E Class, BMW Series 5, Toyota Vellfire และ Toyota Alphard ดึงแบรนด์ดัง VATANIKA ร่วมดีไซน์ชุดเครื่องแบบสำหรับคนขับ เสริมภาพลักษณ์ความหรูหราเหนือระดับ ตั้งเป้าเจาะกลุ่มลูกค้าอีลิท นักธุรกิจ-ผู้บริหาร และนักท่องเที่ยวต่างชาติ พร้อมหนุนนโยบายรัฐบาลและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวและผลักดันให้ไทยกลายเป็นหมุดหมายการท่องเที่ยวแบบลักชัวรีที่มีมูลค่าตลาดกว่า 7.7 หมื่นล้าน
นางสาวเมธิณี อนวัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการเดินทางและบริหารคนขับ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “การพัฒนาบริการให้ครอบคลุมและตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคในทุกกลุ่มถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของแกร็บ โดยในปี 2567 ที่ผ่านมาเราเห็นเทรนด์ความต้องการใช้บริการเรียกรถในกลุ่มพรีเมียมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสะท้อนผ่านยอดใช้บริการ GrabCar Premium และ GrabCar Luxe ที่เติบโตขึ้นถึง 50%2 โดยลูกค้าหลักที่ใช้บริการเหล่านี้คือผู้บริโภคระดับไฮเอนด์ รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง สอดคล้องไปกับเทรนด์ของตลาดท่องเที่ยวลักชัวรีที่มีมูลค่าราว 6.6 - 7.7 หมื่นล้านบาทและมีอัตราการเติบโตสูงถึง 8 - 10% ต่อปี3 ผนวกกับอานิสงส์จากกระแสความนิยมของซีรีส์ดังอย่าง The White Lotus ที่คาดว่าจะทำให้การท่องเที่ยวในกลุ่มลักชัวรีมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น เพื่อตอบรับกับเทรนด์ดังกล่าว ล่าสุดแกร็บจึงได้เปิดให้บริการ GrabExecutive อย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นบริการเรียกรถล่วงหน้าระดับพรีเมียม ที่จะเข้ามาตอบโจทย์ทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนัก รวมถึงกลุ่มผู้บริหารและนักธุรกิจทั้งชาวไทยและต่างชาติ”
“เราเริ่มทดลองเปิดให้บริการ GrabExecutive ในกรุงเทพฯ และภูเก็ตในช่วงปลายปีของปี 2567 ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ใช้บริการใน 3 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มนักท่องเที่ยวลักชัวรี กลุ่มเอ็กซ์แพทหรือชาวต่างชาติที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย และกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ โดยเฉพาะผู้บริหารและนักธุรกิจ โดยผู้ใช้บริการส่วนใหญ่จะใช้บริการ GrabExecutive เพื่อจองรถล่วงหน้าในการเดินทางไปสนามบิน ไปทำธุระกับครอบครัว ไปติดต่อเจรจาธุรกิจ รวมถึงไปร่วมงานอีเว้นท์สำคัญที่ต้องการเสริมภาพลักษณ์ให้มีระดับและน่าเชื่อถือ” นางสาวเมธิณี กล่าวเสริม
![]()
· ยกระดับบริการด้วยมาตรฐานที่เหนือระดับ โดยคนขับที่ให้บริการ GrabExecutive ต้องผ่านการอบรมหลักสูตรเฉพาะเพื่อเรียนรู้การให้บริการและการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าลักชัวรี พร้อมเสริมภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพให้กับคนขับด้วยชุดเครื่องแบบที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์ชั้นนำอย่าง VATANIKA นอกจากนี้ ยังเพิ่มความพิเศษในการให้บริการด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำแร่ และ Onboard Wi-Fi ให้ใช้บริการตลอดการเดินทาง
· วางแผนการเดินทางได้ตามความต้องการ โดยบริการ GrabExecutive เปิดให้จองรถล่วงหน้าได้สูงสุดถึง 90 วัน หรืออย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง (สามารถยกเลิกได้ 90 นาทีก่อนเวลาที่จองไว้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย) พร้อมให้บริการส่งผู้โดยสารได้สูงสุด 2 จุด ภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมง (หรือในระยะทาง 60 กิโลเมตร) ในราคาเดียวตลอดการเดินทาง (รวมค่าทางด่วนหรือโทลเวย์)
พิเศษ! สำหรับผู้ใช้บริการ GrabExecutive รับส่วนลด 20% เพียงใส่โค้ด ‘EXEC20’
รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย พล.ต.อ.อดิศร์ งามจิตสุขศรี ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารกรุงเทพมหานคร นำทีมสื่อมวลชนเยี่ยมชมศูนย์ควบคุมและติดตามสถานการณ์ความปลอดภัย เตรียมความพร้อมการจัดงานเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2568
รองผู้ว่าฯ ทวิดา กล่าวว่า วันนี้นำทีมสื่อมวลชนเยี่ยมชมศูนย์ควบคุมและติดตามสถานการณ์ความปลอดภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยมีศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ อยู่ ณ ห้องสุทัศน์ ชั้น 2 ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการควบคุมและติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์ ภายในศูนย์บัญชาการแห่งนี้ ได้ติดตั้งระบบควบคุมสั่งการแบบเรียลไทม์ พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลจากกล้อง CCTV ทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ โดยเฉพาะจุดจัดงานขนาดใหญ่ เช่น ถนนข้าวสาร สีลม สนามหลวง และพื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ โดยมีเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานทำงานร่วมกันตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประเมินสถานการณ์ วิเคราะห์ความเคลื่อนไหว และสามารถสั่งการตอบโต้เหตุการณ์ได้ทันที
รองผู้ว่าฯ ทวิดา ยังกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ศูนย์บัญชาการ ยังมีการแสดงผล Dashboard สถิติเชิงลึก รายงานจุดเสี่ยงและการเฝ้าระวังในแต่ละพื้นที่ ซึ่งในการดูแลความปลอดภัยของประชาชน ระบบ Dashboard ถือเป็นเครื่องมือหลักที่ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถมอนิเตอร์และประเมินสถานการณ์แบบเรียลไทม์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งระบบจะนำข้อมูลที่ได้จากกล้อง CCTV เซ็นเซอร์จับความเคลื่อนไหว และอุปกรณ์ตรวจวัดความหนาแน่นของฝูงชน มาประมวลผล ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถระบุพื้นที่ที่มีความเสี่ยงหรือเกิดเหตุการณ์ผิดปกติได้ทันที
สำหรับงานเทศกาลงานสงกรานต์กรุงเทพมหานคร ผนึกกำลังความร่วมมือทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน จัดตั้งกองอำนวยการร่วมกลาง โดยสำนักงานเขต 50 เขต ได้ประสานกับกองบัญชาการตำรวจนครบาล กองบังคับการตำรวจจราจร กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว และสถานีตำรวจนครบาลในพื้นที่ รวมทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่มีการจัดงานเทศกาลสงกรานต์ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อกำหนดมาตรการและบูรณาการกับทุกภาคส่วน ในการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือสาธารณภัย ตลอดจนการดูแลด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยออกแบบการทำงานอย่างเป็นระบบ เช่น การจัดเจ้าหน้าที่ประจำจุดเฝ้าระวังอันตราย 43 จุด , จัดกำลังเจ้าหน้าที่สนับสนุนเจ้าพนักงานจราจร ดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชน , เป็นศูนย์รับแจ้งเหตุประสานงานและทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลผู้บาดเจ็บที่เข้ารักษาในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล , จัดตั้งศูนย์ประสานงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนของ กทม. ตลอด 24 ชม. , ให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว , กองโรงงานช่างกล เตรียมความพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อสนับสนุนกรณีเหตุฉุกเฉิน, จัดชุดเจ้าหน้าที่ตรวจตราดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ , จัดทำข่าวประชาสัมพันธ์การจัดงาน หรือกิจกรรมในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เกิดเป็นระบบการทำงานแบบเรียลไทม์ เชื่อมโยงข้อมูลและการสื่อสารผ่านศูนย์บัญชาการหลัก ที่สามารถติดต่อหน่วยงานสนับสนุนต่าง ๆ ได้โดยทันที เมื่อเกิดความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุ หรืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เพื่อช่วยเข้าแก้ไขสถานการณ์ได้ทันท่วงที
จากนั้น รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารกรุงเทพมหานคร นำสื่อมวลชนเยี่ยมชมการเตรียมความพร้อมที่ถนนข้าวสาร เขตพระนคร บริเวณจุดเล่นน้ำขนาดใหญ่อีกหนึ่งจุดในกรุงเทพมหานคร ซึ่งถือเป็นจุดไฮไลต์สายสนุกของเทศกาลปีนี้ กับงาน Khao San World Water Festival 2025 จัดโดยสมาคมผู้ประกอบการค้าถนนข้าวสาร ระหว่างวันที่ 12 – 15 เมษายน 2568 เปิดพื้นที่ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้เล่นน้ำอย่างปลอดภัย
โดยพล.ต.อ.อดิศร์ กล่าวว่า ปีนี้ได้มีการนำร่องใช้เทคโนโลยี AI กับกล้อง CCTV สร้างระบบช่วยดูแลความปลอดภัย พร้อมการจัดวางกล้อง CCTV อย่างรัดกุมรอบพื้นที่งาน ซึ่งเทคโนโลยี AI จะช่วยเรื่อง ระบบอ่านและบันทึกป้ายทะเบียน ระบบจดจำใบหน้า ระบบวิเคราะห์ความหนาแน่นของฝูงชนบนถนนข้าวสาร จำนวน 4 กล้อง ระบบนับจำนวนคน ใช้ร่วมกันกับระบบจดจำใบหน้าที่จุดคัดกรอง ระบบค้นหาลักษณะของบุคคลหรือสิ่งของ และจัดหากล้องติดตามตัว ซึ่งระบบ AI นี้ จะตรวจจับใบหน้าเพื่อป้องปรามอาชญากร , จัดการพื้นที่เข้า–ออกงาน และตรวจสอบความหนาแน่นของนักท่องเที่ยว พร้อมทั้งมีการจัดเจ้าหน้าที่และหน่วยซ่อมบำรุงตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับมือเหตุฉุกเฉินได้ทันที
“นอกจากแผนปฏิบัติการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ดังกล่าวแล้ว กรุงเทพมหานครยังวางมาตรการด้านความปลอดภัยให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถร่วมสืบสานประเพณีปีใหม่ไทยได้อย่างสนุกสนานและปลอดภัยภายใต้นโยบาย“สงกรานต์สร้างสรรค์เล่นน้ำอย่างปลอดภัย ภายใต้มาตรการ 5 ป.” ที่ถือเป็นกรอบแนวทางสำคัญในการควบคุมดูแลพื้นที่จัดงาน และส่งเสริมพฤติกรรมที่เหมาะสมของประชาชน ประกอบด้วย 1. ปลอดปืนฉีดน้ำขนาดใหญ่ ห้ามใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงหรือขนาดใหญ่ในพื้นที่จัดงานและพื้นที่สาธารณะ เพื่อลดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บจากแรงดันน้ำ 2. ปลอดแอลกอฮอล์ งดเว้นการนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าพื้นที่จัดกิจกรรม โดยเฉพาะในจุดที่มีการรวมตัวของคนจำนวนมาก เพื่อป้องกันเหตุทะเลาะวิวาทและสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับทุกวัย 3. ปลอดโป๊ ขอความร่วมมือประชาชนและนักท่องเที่ยวแต่งกายให้เหมาะสม งดเว้นการแต่งกายล่อแหลมหรือไม่สุภาพในที่สาธารณะ เพื่อคงไว้ซึ่งภาพลักษณ์อันงดงามของประเพณีสงกรานต์ 4. ปลอดแป้ง ห้ามพกพาหรือใช้แป้งทาตัวและแป้งเปียกในการละเล่นสงกรานต์ เนื่องจากอาจก่อให้เกิดการแพ้ ผื่นคัน หรือปัญหาในกลุ่มผู้มีโรคผิวหนัง รวมถึงการปะปนของสิ่งสกปรกในพื้นที่ชุมนุม และสุดท้าย 5. ประหยัดน้ำ ส่งเสริมการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่าและเหมาะสมในช่วงสงกรานต์ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการใช้น้ำเล่นกันเป็นจำนวนมาก เช่น ถนนข้าวสาร ถนนสีลม และสามย่านมิตรทาวน์ โดยกำหนดจุดให้บริการน้ำสะอาดและเน้นการใช้น้ำหมุนเวียน โดยมาตรการ 5 ป. นี้จะถูกบังคับใช้อย่างเข้มข้นในทุกพื้นที่จัดงานทั่วกรุงเทพฯ โดยมีเจ้าหน้าที่จากกรุงเทพมหานคร สถานีตำรวจในพื้นที่ และหน่วยงานสนับสนุนร่วมตรวจสอบตลอดระยะเวลาการจัดกิจกรรม เพื่อให้เทศกาลสงกรานต์ปีนี้เป็นไปอย่างเรียบร้อย ปลอดภัย และยังคงไว้ซึ่งคุณค่าทางวัฒนธรรมไทยอย่างแท้จริง” พล.ต.อ.อดิศร์ กล่าว
กรุงเทพมหานคร จึงขอเชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยวร่วมฉลองเทศกาลสงกรานต์ 2568 อย่างมีความสุข ปลอดภัย และเคารพประเพณีไทย โดยขอความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการ 5 ป. อย่างเคร่งครัด เพื่อให้การจัดงานสงกรานต์ในปีนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเป็นเทศกาลแห่งรอยยิ้ม ความอบอุ่น และความประทับใจของทุกคนอย่างแท้จริง
บริเวณตอนกลางของประเทศเมียนมาเกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด แรงสั่นสะเทือนกระจายไปในหลายประเทศ รวมถึงไทย สร้างความเสียหายต่ออาคารจำนวนมาก โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ นับเป็นความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งที่ไทยเคยเผชิญมา ทาง SCB EIC ได้ทำการประเมินผลกระทบเบื้องต้นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อภาคธุรกิจและเศรษฐกิจภาพรวม
SCB EIC ประเมิน ณ วันที่ 1 เมษายน 2025 โดยแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในวันที่ 28 มีนาคม 2025 มีผลกระทบเบื้องต้นต่อเศรษฐกิจไทยจำกัดประมาณ 3 หมื่นล้านบาท โดยผลกระทบจะกระจุกตัวอยู่ในภาคการท่องเที่ยว ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจก่อสร้าง แต่ยังต้องติดตามการฟื้นความเชื่อมั่นของประชาชนและความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติในระยะต่อไป
* ภาคการท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบค่อนข้างเร็วในระยะสั้น จากความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติต่อสถานการณ์ความปลอดภัยในประเทศไทย หลังข่าวแผ่นดินไหวได้แพร่กระจายออกไปทั่วโลก โดยประเมินในกรณีฐานว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะปรับลดลง 4 แสนคน ภายใต้สมมติฐานผลกระทบจะรุนแรงในเดือนเมษายน และจะใช้เวลาฟื้นตัวให้กลับมาเติบโตได้ตามปกติราว 3 เดือน จากการยกเลิกทริปในระยะสั้นที่สถานการณ์จะยังไม่กลับสู่ภาวะปกติอย่างสมบูรณ์
* ภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม จะได้รับผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ที่กำลังจะโอนหรือซื้อ โดยอาจชะลอการโอนหรือซื้อออกไป ซึ่งจะทำให้หน่วยโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมหดตัว รวมถึงการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ในปีนี้จะหดตัวต่อเนื่อง
* การก่อสร้างส่วนใหญ่ไม่หยุดชะงัก ประกอบกับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้างจะได้รับอานิสงส์จากการซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้าง ทั้งนี้ความสามารถในการรองรับภัยพิบัติของสิ่งปลูกสร้าง จะเป็นปัจจัยที่ผู้ว่าจ้างให้ความสำคัญ รวมถึงบริษัทรับเหมาก่อสร้าง มีแนวโน้มเผชิญความเข้มงวดจากผู้ว่าจ้างมากขึ้น ตั้งแต่การเข้าประมูล การก่อสร้าง จนถึงขั้นตอนตรวจรับงาน ส่งผลดีต่อภาพรวมของภาคก่อสร้างตามมา
* ในภาพรวม ผลต่อเศรษฐกิจยังอาจเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ใช้ในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของทุกภาคส่วน ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยทำให้มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจไม่รุนแรงเพิ่มเติมไปกว่านี้ ดังนั้น ภาครัฐต้องรีบให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ ตลอดจนเรียกความเชื่อมั่นของสาธารณะกลับมาด้วยการเร่งตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารอย่างเป็นระบบ พัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินในพื้นที่เสี่ยงภัยได้ทันท่วงที พร้อมทั้งการสื่อสารที่ชัดเจนรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และทำงานเป็นองค์รวม
ประเมินความเสียหายต่อภาคท่องเที่ยวและภาคอสังหาริมทรัพย์
1. ภาคท่องเที่ยว
เหตุแผ่นดินไหวเริ่มส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวไทย สะท้อนจากตัวเลขการยกเลิกห้องพักในช่วง 2 วันที่ผ่านมาของสมาคมโรงแรมไทยที่มีการยกเลิกห้องแล้วประมาณ 1,100 บุกกิงทั่วประเทศ และจากข้อมูลของผู้ประกอบการโรงแรมห้องพักที่ถูกยกเลิกส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ขณะที่ด้านสมาคมสายการบินประเทศไทยระบุว่า ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ตัวเลขการจองที่นั่งโดยสารรายวันลดลงเฉลี่ย 40%-60% นักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนหนึ่งยังเฝ้าระวังสถานการณ์ในไทยอย่างใกล้ชิด เนื่องจากรัฐบาลหลายประเทศออกประกาศเตือนด้านความปลอดภัยกับพลเมืองที่จะเดินทางมาไทย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของสหราชอาณาจักร สิงคโปร์ และแคนาดา
SCB EIC ประเมินเหตุแผ่นดินไหวจะส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวในระยะสั้น ในการประเมินผลกระทบเบื้องต้นคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนเมษายนจะลดลงราว -12%MOM ซึ่งลดลงมากกว่าการลดลงเฉลี่ยตามฤดูกาลท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนเมษายนของช่วงปี 2017-2019 ซึ่งอยู่ที่ราว -6%MOM และจะใช้เวลาฟื้นตัวให้กลับมาเติบโตได้ตามปกติราว 3 เดือน ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้มีโอกาสลดลงจากประมาณการเดิมราว 4 แสนคน และสูญเสียรายได้จากค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 2.1 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ดี ภาคการท่องเที่ยวไทยยังมีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วขึ้น หากภาครัฐเร่งออกมาตรการเรียกความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กลับคืนมาได้เร็ว ประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติของ SCB EIC ในปีนี้เดิมที่ 38.2 ล้านคนจะถูกปรับหลังสถานการณ์ท่องเที่ยวมีความชัดเจนมากขึ้น
2. ภาคอสังหาริมทรัพย์
2.1 ตลาดที่อยู่อาศัยคอนโดมิเนียม
ตลาดคอนโดมิเนียมได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ แม้จะไม่ได้เกิดความเสียหายในระดับอาคารถล่ม แต่การฟื้นตัวของตลาดฯ ยังขึ้นอยู่กับการกลับมาของความเชื่อมั่นผู้บริโภค SCB EIC คาดว่า หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2025 มีแนวโน้มอยู่ที่ 8.5 หมื่นหน่วย หดตัว -0.8%YOY ต่ำกว่ามุมมองเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 2.6%YOY สาเหตุหลักเพราะ 1) กลุ่มที่มีแผนจะโอนกรรมสิทธิ์/มีแผนจะซื้อคอนโดมิเนียม มีแนวโน้มจะชะลอการโอนหรือการตัดสินใจซื้อออกไป เนื่องจากยังต้องการความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย รวมถึงการซ่อมแซมความเสียหายเชิงสถาปัตยกรรมของห้องพัก พื้นที่ส่วนกลาง และตัวอาคาร ก่อนการตัดสินใจโอนกรรมสิทธิ์ หรือซื้อ และ 2) กลุ่มผู้ลงทุนในคอนโดมิเนียมมีแนวโน้มชะลอการลงทุนจากความไม่แน่นอนต่าง ๆ เช่น ราคาขายต่อของคอนโดมิเนียม การย้ายออกของผู้เช่ากลุ่มที่มีความกังวลอาจหันไปเช่าที่อยู่อาศัยแนวราบแทน แม้อัตราค่าเช่าจะสูงกว่าคอนโดในทำเลเดียวกัน หรือเลือกเช่าที่อยู่อาศัยแนวราบที่อัตราค่าเช่าไม่ต่างจากคอนโดมิเนียมมากนักในทำเลที่ไกลออกไป
สำหรับผู้ที่อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม และกำลังผ่อนชำระค่างวด โดยเฉพาะกลุ่มรายได้ปานกลาง-ล่างจะยังมีแนวโน้มอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม และผ่อนชำระค่างวดต่อไป เนื่องจากยังมีข้อจำกัดด้านการเงินในการย้ายที่อยู่อาศัย หรือซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่ม ทั้งนี้การที่ผู้ประกอบการเร่งตรวจสอบความปลอดภัยของโครงสร้างอาคาร และมีมาตรการเยียวยาช่วยเหลือลูกบ้านทันท่วงที ช่วยคลายความตื่นตระหนกสำหรับลูกบ้านได้ส่วนหนึ่ง ประกอบกับมาตรการช่วยเหลือจากสถาบันการเงิน เช่น การลดค่างวดหรือพักชำระเงินต้นสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย และการออกสินเชื่อเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัย จะช่วยประคับประคองไม่ให้เกิดการหยุดชะงักของการผ่อนชำระค่างวด รวมถึงสามารถดำเนินการซ่อมแซมห้องพักให้สามารถกลับมาอยู่อาศัยได้ตามปกติ ทั้งนี้ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบมีแนวโน้มได้อานิสงส์บางส่วนจากกลุ่มที่มีความกังวลในการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม และมีความพร้อมทางการเงินในการย้ายไปที่อยู่อาศัยแนวราบ หรือสามารถซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบเพิ่มเติม
การเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ในปี 2025 จะยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง โดยเผชิญแรงกดดันหลักจากกำลังซื้อกลุ่มรายได้ปานกลาง-ล่างที่ยังไม่ฟื้นตัว และมีข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ขณะที่แนวโน้มการชะลอการโอนกรรมสิทธิ์ หรือการตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียมจากแผ่นดินไหว เป็นแรงกดดันให้หน่วยเหลือขายสะสมคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2025 ยังอยู่ในระดับสูงราว 74,000 หน่วย อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาการปรับแผน กลยุทธ์ของผู้ประกอบการในช่วงที่เหลือของปีที่อาจชะลอการเปิดโครงการใหม่ รวมถึงทำการตลาดแข่งขันชูจุดขายด้านความปลอดภัยในการอยู่อาศัยมากขึ้น เช่น ความน่าเชื่อถือของบริษัทรับเหมาก่อสร้าง มาตรการรับมือภัยพิบัติ การตอบสนองความต้องการหรือให้ความช่วยเหลือลูกบ้านได้ทันท่วงที
2.2 ตลาดรับเหมาก่อสร้าง
พื้นที่ก่อสร้างส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงในระดับที่ทำให้การก่อสร้างหยุดชะงักหลังเกิดแผ่นดินไหว ส่งผลให้กิจกรรมก่อสร้างทั้งของภาครัฐและภาคเอกชนในปี 2025 จะยังสามารถดำเนินการได้ต่อเนื่อง ประกอบกับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง รวมถึงผู้ผลิตและค้าวัสดุก่อสร้างจะได้รับอานิสงส์จากความต้องการซ่อมแซมอาคาร และสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับความเสียหาย
SCB EIC มองว่า การปรับแผนกลยุทธ์ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปี ที่อาจชะลอการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่มากขึ้น มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อเนื่องให้กิจกรรมก่อสร้างอาคารคอนโดมิเนียม มูลค่าราว 86,000-100,000 ล้านบาทต่อปี (ราว 15%-17% ของมูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนโดยรวม) เติบโตชะลอลงตามความสามารถในการรองรับภัยพิบัติต่าง ๆ ของสิ่งปลูกสร้าง จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ว่าจ้าง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้ความสำคัญ รวมถึงบริษัทรับเหมาก่อสร้าง มีแนวโน้มจะเผชิญความเข้มงวดจากผู้ว่าจ้างมากขึ้น ตั้งแต่ขั้นตอนการเข้าประมูลงาน ทั้งคุณสมบัติและประสบการณ์ของผู้รับเหมาหลัก พันธมิตร และผู้รับเหมาช่วง ขั้นตอนการก่อสร้างที่จะต้องมีความปลอดภัย และใช้วัสดุก่อสร้างที่ได้มาตรฐาน จนถึงขั้นตอนตรวจรับงานที่ผู้ว่าจ้างจะเข้มงวดมากขึ้น ทั้งความตรงเวลาและคุณภาพของงานที่ส่งมอบ ทั้งนี้ความเข้มงวดในขั้นตอนต่าง ๆ ที่สูงขึ้นนี้จะเป็นแรงกดดันให้ผู้รับเหมาก่อสร้างเกิดการแข่งขันด้านคุณภาพ ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมของภาคก่อสร้างตามมาในระยะข้างหน้า
SCB EIC ประเมินผลกระทบเบื้องต้นจากแผ่นดินไหวราว 3 หมื่นล้านบาท แต่ตัวเลขจริงจะขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการฟื้นความเชื่อมั่น
ในระยะสั้น เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้มีแนวโน้มสร้างผลกระทบต่อความกังวลด้านความปลอดภัยและการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะความกังวลที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานอาคาร จนอาจทำให้กิจกรรมบางส่วนหยุดชะงักเพื่อรอตรวจสอบ รวมถึงประชาชนอาจชะลอการใช้จ่ายบริการ ช็อปปิง และการท่องเที่ยวหลังเกิดเหตุครั้งนี้ อย่างไรก็ดี รายจ่ายที่หายไปบางส่วนอาจได้รับการชดเชยจากรายจ่ายซ่อมแซมที่อยู่อาศัย และการใช้จ่ายภาครัฐที่อาจเพิ่มขึ้น จากการออกมาตรการบรรเทาผลกระทบและฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ ผ่านการจัดสรรงบฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยและซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหาย ทำให้ขนาดผลกระทบอาจลดความรุนแรงลงได้
SCB EIC ประเมินผลกระทบเบื้องต้นจากเหตุแผ่นดินไหวต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2025 ราว 3 หมื่นล้านบาท จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อาจมีแนวโน้มลดลงจากความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย และการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ผลกระทบสุทธิต่อเศรษฐกิจอาจยังไม่แน่นอน ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับระยะเวลาความเชื่อมั่นจะฟื้นฟูกลับมาได้ทั้งของคนในประเทศ นักท่องเที่ยว และนักลงทุนต่างชาติ
SCB EIC มองว่า ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจไม่รุนแรงมากและมีผลชั่วคราวคือการที่ภาครัฐเร่งช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ และเรียกความเชื่อมั่นสาธารณะกลับมาผ่านการออกแนวนโยบายเร่งช่วยเหลือ – เร่งประสานความร่วมมือด้านประกันภัยเพื่อเร่งรัดการชดเชยความเสียหายแก่ประชาชนและภาคธุรกิจ ตลอดจนการออกมาตรการช่วยเหลือทางการเงินให้ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อบรรเทาผลกระทบเฉพาะหน้าและเพื่อรักษาสภาพคล่อง พร้อมออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวจากการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
เรียกเชื่อมั่น – เร่งตรวจสอบความปลอดภัยของโรงแรม ที่อยู่อาศัยและแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นอาคารสูงอย่างละเอียด จากหน่วยงานภายนอกที่มีความน่าเชื่อถือ พร้อมประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ง่าย โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติและสื่อต่างประเทศ รวมถึงการเร่งพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินที่สามารถแจ้งเตือนเหตุให้ประชาชน/นักท่องเที่ยวต่างชาติที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยได้ทันท่วงที ที่สำคัญภาครัฐต้องสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพรวดเร็ว โปร่งใสและเชื่อถือได้
แม้เราจะควบคุม After shock ของเหตุการณ์แผ่นดินไหวไม่ได้ แต่นโยบายสื่อสารที่ชัดเจนจะช่วยลด After shock ทางความรู้สึกของประชาชน และช่วยลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่อาจตามมาได้
บทวิเคราะห์ : SCG EIC
หลังจากที่ SCB WEALTH ร่วมจับมือกับ BlackRock พันธมิตรผู้นำระดับโลกด้านการจัดการสินทรัพย์ เร่งคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับนักลงทุนไทยในการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนสม่ำเสมอในระยะยาว เพื่อให้เงินทำงานอย่างแท้จริงด้วยการลงทุนแบบ Multi-Asset โดยธนาคารขอนำเสนอกองทุน SCBGMCORE ซึ่งจัดตั้งโดยบลจ.ไทยพาณิชย์ เสนอขายครั้งแรก(IPO) ระหว่างวันที่ 2 – 9 เมษายนนี้ เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท โดยธนาคารไทยพาณิชย์เป็นตัวแทนจำหน่าย และสามารถลงทุนผ่าน SCB Easy ได้ กองทุนนี้อยู่ภายใต้การบริหารจัดการเงินลงทุนของ BlackRock นโยบายเน้นลงทุนในกองทุน ETFในสัดส่วน75%กระจายลงทุนใน หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ REITและTIPs ส่วนอีก 25% ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่มีสภาพคล่องสูงที่ใช้กลยุทธ์แบบ Absolute Return ช่วยกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของพอร์ต มีโอกาสสร้างผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ กองทุนบริหารแบบเชิงรุก พอร์ตลงทุนมีความยืดหยุ่นสูง นอกจากนี้ กองทุนมีกระบวนการควบคุมความผันผวน ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด
นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product กลุ่มธุรกิจ Consumer Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า นโยบายด้านเศรษฐกิจ และการเมืองระหว่างประเทศ มีแนวโน้ม สร้างความท้าทายให้กับโลกการลงทุนในปี 2568 และส่งผลให้สินทรัพย์ต่างๆ มีความผันผวนสูงขึ้น ซึ่งการจัดพอร์ตลงทุนแบบดั้งเดิม ที่แบ่งสัดส่วนเงิน 60% ลงทุนในหุ้น และ40% ลงทุนในตราสารหนี้ อาจจะไม่เพียงพอรับมือกับความผันผวน จึงแนะนำให้เพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก เพื่อกระจายความเสี่ยงและควบคุมความผันผวนของพอร์ตลงทุนได้ดีขึ้น
จากที่ SCB WEALTH ได้ประกาศความร่วมมือกับ BlackRock ในการพัฒนาโซลูชันการลงทุนให้นักลงทุนไทยได้เข้าถึงการลงทุนระดับโลกที่มีคุณภาพ มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเสนอกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SCB Global Multi-Asset Core Portfolio หรือ SCBGMCORE ภายใต้การบริหารจัดการของ BlackRock โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด(SCBAM) เป็นผู้จัดตั้งกองทุน เสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 2-9 เมษายนนี้ เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท มูลค่าหน่วยลงทุนละ 10 บาท โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นตัวแทนจำหน่าย และสามารถลงทุนผ่านแอป SCB Easy ในพอร์ตลงทุนของผลิตภัณฑ์นี้สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อลูกค้า SCB WEALTH โดยเฉพาะ แบบที่ไม่เคยมีการจัดสรรสินทรัพย์รูปแบบนี้ในไทยมาก่อน เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพการลงทุนในทุกสภาวะ ด้วยกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่น ครอบคลุมทุกสินทรัพย์ลงทุนทั่วโลก
กองทุน SCBGMCORE มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ เช่น หน่วย CIS หน่วยของกองทุนอีทีเอฟ (ETF) ที่ลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆทั่วโลก รวมถึงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์(REITs)และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น ซึ่งการปรับส่วนลงทุนจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนตามความเหมาะสมของสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา
ทั้งนี้ ในเบื้องต้นกองทุนจะลงทุนผ่านกองทุนรวมดัชนี (ETF)โดยจัดเป็น Diversified ETF Core ในสัดส่วน 75%กระจายการลงทุนผ่าน ETF จะมีสภาพคล่องสูง รองรับการปรับพอร์ตได้รวดเร็ว ลงทุนได้มากกว่า10 สินทรัพย์ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ รวมถึงสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง ทองคำ REITและTIPs เป็นต้น จะกระจายการลงทุนในกว่า100 ประเทศทั่วโลก กองทุนมีแนวทางการบริหารแบบเชิงรุก พอร์ตการลงทุนมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับพอร์ตได้อย่างทันท่วงที ทันตามภาวะตลาด จากการวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจเชิงลึกของทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ในการกำหนดปัจจัยและปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุน นอกจากนี้ กองทุนจะลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่มีสภาพคล่องสูง(Liquid Alternative)อีก25% ในกองทุนเรือธง (Flagship) ของ BlackRock ที่เป็นกลยุทธ์แบบ Absolute Return มีความสัมพันธ์ (Correlation) กับตลาดหุ้นโลกและตราสารหนี้ที่ต่ำ ช่วยกระจายความเสี่ยงลดความผันผวนให้กับพอร์ตลงทุนและมีส่วนช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอได้ นอกจากนี้ กองทุนจะมีกระบวนการควบคุมความผันผวน (Volatility Control process) ทั้งในสภาวะตลาดปกติ และในสภาวะตลาดมีความผันผวนสูง
กองทุน SCBGMCORE เป็นกองทุนที่ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Multi-Asset บริหารโดยทีมผู้เชี่ยวชาญการลงทุน จาก BlackRock ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค มากกว่า 500 คน การจัดพอร์ตโฟลิโอจะมุ่งเน้นการลงทุนในระยะยาว และสามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจโลก และความผันผวนของตลาดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ BlackRock ให้การสนับสนุนด้านการวิจัยการลงทุนและข้อมูลเชิงลึกให้กับ SCB WEALTH เพื่อช่วยให้ลูกค้าของธนาคารไทยพาณิชย์ มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนที่ดีขึ้น และเข้าใจถึงประโยชน์ที่แท้จริงของการลงทุนแบบ Multi- Asset
“SCB WEALTH มีความตั้งใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้ลูกค้าคนไทยประสบความสำเร็จกับเป้าหมายการลงทุนระยะยาว ขณะที่ BlackRock มีมุมมองการลงทุนระดับโลก ซึ่งเรามีแนวทางตรงกันในการบริหารพอร์ตลงทุน ภายใต้จุดสมดุลระหว่างการเติบโตและการควบคุมความเสี่ยง รวมทั้งการเปิดโอกาสให้คนไทยเข้าถึงสินทรัพย์การลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งเราเชื่อว่า กองทุน SCBGMCORE จะช่วยเพิ่มโอกาสสร้างความยั่งยืนให้กับพอร์ตลงทุนของลูกค้าในระยะยาวได้ ขณะที่ การจัดสรรสินทรัพย์แบบ Multi-Asset โดยมี Diversified ETF Core ในสัดส่วน 75% และ Liquid Alternative อีก25% เป็นโซลูชันที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อลูกค้า SCB WEALTH โดยเฉพาะ ยังไม่เคยมีการเปิดตัวการจัดสรรสินทรัพย์รูปแบบนี้ในไทยมาก่อน” นายศรชัย กล่าว
· ไม่มั่นใจหรือพบเสาสัญญาณผิดปกติ เจ้าของอาคารแจ้งขอตรวจสอบได้ทันที
· เร่งตรวจเสาสัญญาณในพื้นที่ได้รับผลกระทบหนัก กทม. และเชียงใหม่ ไม่พบเสาเสียหาย
2 เมษายน 2568 — บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ส่งทีมวิศวกรโครงข่ายเร่งตรวจสอบเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือทั่วประเทศไทย ทั้งเสาสัญญาณที่ติดตั้งบนอาคาร และติดตั้งพื้นดิน หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่มีศูนย์กลางในประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งส่งผลให้เกิดการสั่นไหวรุนแรงในหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร เบื้องต้นไม่พบความเสียหายพร้อมเดินหน้าลงพื้นที่ตรวจสอบเพิ่มความมั่นใจ โดยมี 2 มาตรการทั้งรับเรื่องตรวจสอบจากเจ้าของอาคารที่ติดตั้งเสาทรู คอร์ปอเรชั่นที่แจ้งให้เข้าเช็กเสา และทีมรุกตรวจสอบตามจุดเสี่ยงที่มีอาคารได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว
นายประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยีและความปลอดภัยระบบสารสนเทศ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “จากการตรวจสอบเบื้องต้นโดยศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ (BNIC) ไม่พบความเสียหายต่อเสาสัญญาณทั่วประเทศ และเครือข่ายยังให้บริการได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อประเทศไทย บริษัทฯ จึงได้จัดทีมเทคนิคและวิศวกรลงพื้นที่ตรวจสอบเสาสัญญาณโดยละเอียด โดยเฉพาะเสาที่ติดตั้งบนอาคารในเขตพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนัก เช่น กรุงเทพมหานครชั้นใน รอบนอก และเชียงใหม่”
ทรู คอร์ปอเรชั่นดำเนินการตรวจสอบตามมาตรฐานความปลอดภัย (Health and Safety) อย่างเคร่งครัด โดยเริ่มต้นเข้าตรวจสอบเฉพาะในอาคารที่ได้รับการยืนยันความปลอดภัยจากฝ่ายอาคารและได้รับอนุญาตให้เข้าปฏิบัติภารกิจแล้วเท่านั้น โดยคำนึงถึงความต่อเนื่องของบริการและความปลอดภัยของลูกค้าและทีมงานเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่นได้จัดลำดับความสำคัญในการตรวจสอบ โดยวิเคราะห์พื้นที่เสาสัญญาณที่ติดตั้งอยู่ในอาคารที่มีรายงานความเสียหายหรือไม่ แล้วจึงเข้าดำเนินการตรวจสอบเสาสัญญาณตามลำดับความเร่งด่วน
รู้จักเสามือถือของทรู คอร์ปอเรชั่น
เสาสัญญาณมือถือของทรู คอร์ปอเรชั่น มี 2 ประเภทหลัก ได้แก่
1. เสาสัญญาณภาคพื้นดิน (Green Field) ซึ่งติดตั้งบนพื้นดินโดยตรง
2. เสาสัญญาณบนอาคาร (Roof Top) ซึ่งติดตั้งบนดาดฟ้าหรือบริเวณส่วนบนของอาคาร
ทั้งนี้ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ มีรายงานข่าวเรื่องตึกสูงหลายแห่งเกิดรอยร้าว แตก และมีโครงสร้างที่ได้รับผลกระทบ ทรู คอร์ปอเรชั่นจึงได้เร่งตรวจสอบเสาที่ติดตั้งบนอาคารสูงในลำดับแรกอย่างเร่งด่วน โดยการตรวจสอบเสาบนอาคารได้ตรวจสอบรอยแตกร้าวของอาคารที่อาจกระทบเสา การรั่วซึม ความแข็งแรงของฐานเสา ความตึงของสลิงยึด และสภาพโดยรวมของอุปกรณ์ สำหรับเสาบนพื้นดินจะเน้นที่การทรุดตัวของฐานเสา ความแข็งแรงของโครงเหล็ก ความแน่นของน็อตและสกรู ความตรงของเสา สภาพของสลิงยึดโยงต่างๆ และสภาพของคอนกรีตบริเวณที่ฐานเสา
นายประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เสาสัญญาณของทรู คอร์ปอเรชั่นถูกออกแบบตามมาตรฐานวิศวกรรมด้วยหลักการสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ โครงสร้างที่มั่นคงมีเสถียรภาพสูง ความแข็งแรงของโครงสร้างจากการใช้โครงเหล็กที่มีความยืดหยุ่นสูง และการออกแบบที่รองรับแรงปะทะลมและการสั่นสะเทือนตามมาตรฐาน”
ทรู คอร์ปอเรชั่นให้ความสำคัญกับการออกแบบเสาสัญญาณโดยคำนึงถึงมาตรการความปลอดภัยในทุกพื้นที่ทั่วไทย โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลซึ่งเป็นพื้นที่ดินอ่อน ซึ่งการออกแบบที่แข็งแรงนี้ส่งผลให้ในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ เสาสัญญาณยังคงให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง ลูกค้าทรูและดีแทคสามารถมั่นใจได้ทั้งในด้านคุณภาพการให้บริการและความปลอดภัยของพื้นที่ติดตั้งเสาสัญญาณ