

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics มองการเข้าสู่ระยะที่ 4 ของภาษีความหวานในปี 2568 กระทบต่อตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในกลุ่มที่ปรับตัวได้ยาก ที่มีสัดส่วนมูลค่า 25% ของตลาด พร้อมวอนภาครัฐจับตากลุ่มที่ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเนื่องจากสามารถปรับตัวได้ อาจอ้างเหตุต้นทุนภาษี และปรับราคาสินค้าซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน
ตามที่กรมสรรพสามิตได้มีนโยบายการเก็บภาษีความหวานโดยเริ่มบังคับใช้นับตั้งแต่ปี 2560 ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการบริโภคน้ำตาลของคนไทยซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของกลุ่มโรคเรื้อรังที่เกิดจากพฤติกรรม เช่น เบาหวาน ความดันและหลอดเลือด นอกจากนี้ หากมองในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ จะเห็นได้ว่า กลุ่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าที่ส่งผลกระทบภายนอกทางลบ (Negative Externality) ที่ส่งผลทางอ้อมต่อสุขภาพของผู้บริโภค ซึ่งผลกระทบเหล่านี้ต้องใช้งบประมาณเพื่อรักษาพยาบาลผู้ป่วยในกลุ่มโรคดังกล่าว ดังนั้น ในทางปฏิบัติการกำหนดภาษีพิเศษแทรกแซงกลไกราคา (Pigouvian Tax) เพื่อเพิ่มต้นทุนและทำให้การบริโภคสินค้ากลุ่มนี้ลดลง รวมถึงลดอัตราการเกิดโรคเรื้อรังจากพฤติกรรมติดหวานของคนไทย จึงเป็นเรื่องที่ถูกนำออกมาใช้อย่างเป็นรูปธรรม
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาบนบริบทผลกระทบของการบังคับใช้ภาษีความหวานนับจากปี 2560 จนถึงปัจจุบันที่อยู่ในระยะที่ 3 ผลกระทบของการขึ้นภาษีในแต่ละระลอก กลับส่งผลในทางตรงข้าม โดยแทนที่จะเป็นการลดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง กลับกลายเป็นนโยบายที่สร้างภาระให้ผู้บริโภคจากการส่งผ่านราคาต้นทุนภาษีความหวานที่ผู้ผลิตปรับเพิ่มราคาสินค้าแทน โดยเมื่อเปรียบเทียบกลุ่มเครื่องดื่มที่ได้รับผลกระทบจากภาษีความหวาน เช่น กลุ่มน้ำอัดลม ราคาปรับเพิ่มขึ้น 18-40% (ขึ้นกับขนาดราคาขายในแต่ละบรรจุภัณฑ์) หรือในกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลัง ที่ปรับราคาเพิ่มขึ้นราว 20% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนบังคับภาษีความหวาน สะท้อนให้เห็นความสามารถในการส่งผ่านภาระต้นทุนต่าง ๆ ของผู้ผลิตสู่ภาระฝั่งผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งในระยะถัดไป สิ่งที่น่ากังวลคือการเข้าสู่ระยะที่ 4 ในปี 2568 ของภาษีความหวานที่ถูกคิดภาษีเต็มขั้น โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลในสัดส่วน 8-14% ที่จะถูกคิดภาษีเพิ่มเติมอีก 2 บาท อาจส่งผลให้ผู้บริโภคต้องรับภาระการส่งผ่านราคาดังกล่าวจากผู้ผลิตด้วยการอ้างเหตุของ “ภาษีความหวาน”
ด้วยเหตุนี้ ttb analytics จึงมองผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเข้าสู่ระยะที่ 4 ของภาษีความหวานกับตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ดังต่อไปนี้
1. กลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบ คาดว่ามีสัดส่วนราว 20% ของมูลค่าตลาดโดยรวม ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ไม่ผสมน้ำตาลหรือสามารถปรับปริมาณที่ให้ความหวานต่ำกว่า 6% เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มจากธัญพืช โดยปัจจุบันเครื่องดื่มในกลุ่มนี้เริ่มใช้สูตรน้ำตาลน้อย รวมทั้งกลุ่มเครื่องดื่มวิตามินทางเลือก หรือเครื่องดื่มที่มุ่งเน้นเรื่องสุขภาพ (Functional Drinks) ที่ส่วนใหญ่ใช้น้ำตาลในสัดส่วนที่ไม่ถูกจัดเก็บภาษี และรวมถึงกลุ่มน้ำดื่มบรรจุขวดที่มีมูลค่าตลาดราว 9%
2. กลุ่มที่ได้รับผลกระทบแต่คาดว่าปรับตัวได้และสามารถลดผลกระทบของการถูกจัดเก็บภาษีได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งครอบคลุมตลาดกว่า 55% ของตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ อาทิ กลุ่มน้ำอัดลม กาแฟและชาพร้อมดื่ม มีลักษณะการปรับตัวดังต่อไปนี้ 1) การปรับสูตรน้ำตาลน้อย หรือสูตรไม่มีน้ำตาล (เติมสารความหวาน) เนื่องจากเครื่องดื่มกลุ่มนี้สามารถปรับลดน้ำตาลเข้าสู่ระดับไม่เกิน 8% ซึ่งเป็นระดับที่คิดภาษีในอัตราที่ต่ำโดยไม่กระทบกับความรู้สึกของผู้บริโภค จากพฤติกรรมของผู้บริโภคเครื่องดื่มกลุ่มนี้ บริโภคเพื่อรสชาติมากกว่าเพื่อรับพลังงาน ดังนั้น การใช้สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลสามารถทำได้โดยกระทบต่อยอดขายค่อนข้างน้อย 2) การปรับขนาดบรรจุภัณฑ์ เพื่อลดภาษีต่อหน่วยขาย เนื่องจากการปรับลดสูตรน้ำตาลอาจไม่ส่งผลต่อผู้บริโภคบางกลุ่มที่ยังชอบบริโภคความหวานจากน้ำตาล ทำให้รูปแบบการปรับตัว คือ การลดขนาด เช่น กลุ่มน้ำอัดลมสูตรดั้งเดิมที่มีน้ำตลาดในช่วง 10-14% ที่จะถูกเพิ่มภาษีจาก 3 บาทเป็น 5 บาทต่อลิตร เริ่มเน้นตลาดบรรจุภัณฑ์ขนาด 300 – 330 มิลลิลิตร จากการเข้าสู่ระยะที่ 4 ของภาษีความหวานต่อบรรจุหน่วยขายที่จะเพิ่มขึ้นเพียงราว 0.60 – 0.66 บาทต่อหน่วยขาย ซึ่งการส่งผ่านราคาผ่านการขึ้นราคาสินค้าสามารถทำได้ง่ายเนื่องจากการขึ้นราคาเพียง 1 บาทก็ครอบคลุมและเกิดส่วนต่างกำไรที่เพิ่มขึ้นให้ผู้ผลิต และเมื่อเทียบกับขนาดบรรจุภัณฑ์ขนาด 550 มิลลิลิตร ภาษีความหวานระยะที่ 4 จะมีการปรับเพิ่มขึ้น 1.1 บาท ซึ่งหากผู้ผลิตจะส่งผ่านราคาโดยไม่เสียพื้นที่กำไรอาจต้องขึ้นราคาถึง 2 บาทต่อหน่วย
3. กลุ่มที่ได้รับผลกระทบแต่การปรับตัวอาจทำได้ยาก ซึ่งครอบคลุมตลาดราว 25% ของตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลัง ที่มิติของการลดน้ำตาลอาจไม่ใช่คำตอบ เนื่องจากตามธรรมชาติ เครื่องดื่มชูกำลังเป็นเครื่องดื่มให้พลังงานสูงและผู้บริโภคจะรู้สึกสดชื่นและมีแรงทันทีหลังจากดื่มเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลที่สูง การปรับลดน้ำตาลอาจทำให้ความพอใจในการบริโภคสินค้าลดน้อยลง กอปรกับ เครื่องดื่มชูกำลังเป็นสินค้าที่ทดแทนได้ง่าย ทำให้การปรับเปลี่ยนสูตรอาจต้องมีความระมัดระวังสูง และจากลักษณะตลาดที่เป็นตลาดผู้ขายน้อยราย (Oligopoly Market) ผู้ประกอบการจะต้องคำนึงถึงกลยุทธ์ของผู้ประกอบการรายอื่นอย่างจริงจัง รวมถึงกลยุทธ์การปรับขนาดบรรจุภัณฑ์ ก็อาจเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากเนื่องจากในตลาดขนาดบรรจุภัณฑ์สำหรับเครื่องดื่มประเภทนี้มีขนาดบรรจุที่น้อยมากอยู่แล้วโดยมีเพียง 100 – 150 มิลลิลิตร
โดยสรุป การเข้าสู่ระยะที่ 4 หรือระยะที่ภาษีความหวานถูกจัดเก็บเต็มขั้น แม้ภาษีที่ถูกจัดเก็บครอบคลุมตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์กว่า 80% ของมูลค่าตลาด แต่เมื่อมองถึงผลกระทบคาดว่าจะตกอยู่ที่เฉพาะกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังที่มีข้อจำกัดในการปรับตัว ในขณะที่สินค้าส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบหรือได้รับผลกระทบน้อยจากความเป็นไปได้ในการปรับลดใช้น้ำตาล หรือผ่านกลยุทธ์การตลาด อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์จากนโยบายการจัดเก็บภาษีความหวานอาจมีผลสัมฤทธิ์ในทางเลือกของประชาชนด้านการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลน้อยมากขึ้น ในทางกลับกันผู้บริโภคอาจต้องรับผลกระทบจากการผลักภาระภาษีความหวานผ่านการขึ้นราคาสินค้า โดยเฉพาะในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยแต่อ้างภาระภาษี เนื่องจากหากไม่มีการควบคุมราคา ตามธรรมชาติของเครื่องดื่มส่วนใหญ่ถูกจัดในกลุ่มสินค้าที่มีความยืดหยุ่นอุปสงค์ต่อราคาที่ต่ำ (Low Price Elasticity of Demand) จากราคาต่อหน่วยที่ไม่สูง ส่งผลให้การขึ้นราคามักไม่กระทบต่อการตัดสินใจซื้อ จึงกลายเป็นโอกาสของผู้ประกอบการขยับราคาจากเหตุต้นทุนภาษีความหวาน และส่งผลให้ผู้บริโภคมีค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น
ผลสำรวจ SCB EIC Real estate survey 2567 สะท้อนความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังไม่สามารถฟื้นตัวได้มากนักจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ยังกดดัน ทำให้ปัจจัยด้านราคายังมีความสำคัญมากที่สุด และตลาดที่อยู่อาศัยมือสองยังได้รับความนิยมสูง ขณะที่ปัจจัยด้านทำเลที่เดินทางสะดวกหรือใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกยังคงมีความสำคัญมากกว่าพื้นที่ใช้สอย
⦁ ปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ภาระหนี้ครัวเรือน ภาระค่าใช้จ่าย ที่ยังอยู่ในระดับสูง ยังกดดันการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้ไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือน โดยความต้องการซื้อในช่วงไม่เกิน 2 ปีข้างหน้ามีสัดส่วนลดลงจากการสำรวจปีก่อนหน้า ขณะที่ความต้องการซื้อส่วนใหญ่ยังอยู่ในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า ที่ผู้ซื้อส่วนใหญ่คาดหวังว่าสถานการณ์เศรษฐกิจ และกำลังซื้อจะฟื้นตัวมากขึ้น รวมถึงมีความพร้อมทางการเงินมากกว่าในปัจจุบัน นอกจากนั้น ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบครึ่งหนึ่งยังไม่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัย หรืออาจมีแผนหลังจาก 5 ปีข้างหน้า
⦁ กำลังซื้อกลุ่มผู้มีรายได้ระดับปานกลาง-บนมีแนวโน้มฟื้นตัวได้มากขึ้น และช่วยประคองตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567 และในระยะ 2 ปีข้างหน้าได้บางส่วน โดยเฉพาะในตลาดที่อยู่อาศัยราคามากกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่เป็น Real demand ที่ต้องการซื้อเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 และหลังแรก ตามลำดับ ขณะที่ความต้องการซื้อเพื่อการลงทุนยังมีสัดส่วนไม่มากนัก ใกล้เคียงกับการสำรวจในปีก่อนหน้า
⦁ สาเหตุหลักของการไม่มีแผนซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 5 ปีข้างหน้า เนื่องจากตนเองหรือคนในครอบครัว เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยอยู่แล้ว และรายได้หรือภาระค่าใช้จ่ายไม่เอื้ออำนวย ตามลำดับ โดยกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ที่มีรายได้ระดับปานกลาง-ล่าง มองว่ารายได้ในปัจจุบันไม่สามารถซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ได้ จึงเลือกที่จะปรับตัว และอยู่อาศัยกับครอบครัวแทน ขณะที่กลุ่มที่รายได้หรือภาระค่าใช้จ่ายไม่เอื้ออำนวยส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าสถานการณ์ด้านรายได้หรือภาระค่าใช้จ่ายจะคลี่คลายมากขึ้น จนสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้หลังจาก 5 ปีข้างหน้า
⦁ ปัจจัยด้านความคุ้มค่าของราคา / ราคาที่เข้าถึงได้ มีผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยมากที่สุด ส่วนปัจจัยด้านทำเลสำคัญมากขึ้น และยังสำคัญกว่าปัจจัยด้านความเพียงพอของพื้นที่ใช้สอย โดยในกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านทำเลที่สะดวกต่อการเดินทาง และต้องการรักษาสมดุลกับความพอเพียงของพื้นที่ใช้สอยควบคู่ไปด้วย
⦁ ตลาดที่อยู่อาศัยเพื่อการลงทุน / เก็งกำไร / ปล่อยเช่า ยังฟื้นตัวได้ไม่มาก จากแรงกดดันด้านกำลังซื้อ และมาตรการ LTV โดยส่วนใหญ่ยังเป็นการลงทุนคอนโดในทำเลกรุงเทพฯ ซึ่งยังคงมีความต้องการจากผู้เช่า กลุ่มที่ต้องการอยู่ใกล้ที่ทำงาน สถานศึกษาของตนเอง และสถานศึกษาของบุตรหลาน และกลุ่มที่งบประมาณไม่พอสำหรับการซื้อเป็นหลัก
⦁ มาตรการภาครัฐยังเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย โดยมาตรการด้านดอกเบี้ยจะกระตุ้นการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยจากกลุ่มที่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยได้มากที่สุด สำหรับมาตรการอื่น ๆ รองลงมา เช่น การลดหย่อนภาษี รวมถึงการผ่อนคลาย LTV ที่จะช่วยให้ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 กู้ได้ 100%
ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าปัจจัยด้านทำเลที่สะดวกต่อการเดินทาง หรือการอยู่ใกล้เมือง ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น โดยทำเลที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือ ทำเลฝั่งทิศตะวันตกของกรุงเทพฯ ขณะที่ความสามารถปรับแต่งฟังก์ชันการใช้ประโยชน์ภายในบ้านได้ (Customization) และเทคโนโลยี Smart home คือปัจจัยที่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ยินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มจากงบประมาณเดิมมากที่สุด
โดยรายละเอียดความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแต่ละประเภท

SCB EIC มองว่า ผู้ประกอบการยังเผชิญความท้าทายในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย จากปัจจัยเศรษฐกิจที่ยังคงกดดันการฟื้นตัวของกำลังซื้อ ต้นทุนการพัฒนาโครงการที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงพฤติกรรมของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงไป โดยแนวทางการปรับกลยุทธ์ของผู้ประกอบการ มีดังนี้
⦁ พัฒนาโครงการใหม่อย่างระมัดระวัง โดยคำนึงถึงต้นทุนราคาที่ดิน หลีกเลี่ยงทำเลที่มีการแข่งขันรุนแรง หรือมีหน่วยเหลือขายสะสมสูง รวมถึงการกระจาย Portfolio ให้มีตัวเลือกที่อยู่อาศัยในหลากหลายระดับราคายังคงมีความจำเป็น
⦁ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อแต่ละกลุ่มอย่างตรงจุดในทุกประเภทที่อยู่อาศัย โดยเน้นการพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อสร้างความแตกต่าง สามารถตอบโจทย์ความต้องการ รวมถึงลด Pain point ของผู้ซื้อในปัจจุบันที่ความต้องการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้ทันอยู่เสมอ
⦁ ขยายตลาดผู้ซื้อชาวต่างชาติ จะเป็นอีกทางเลือกในช่วงที่ตลาดที่อยู่อาศัยยังมีแนวโน้มซบเซา ซึ่งกลุ่มผู้ซื้อที่มีสัดส่วนมากที่สุดคาดว่ายังคงเป็นชาวจีน ขณะที่กำลังซื้อจากรัสเซีย รวมถึงเอเชีย เช่น เมียนมา ไต้หวัน ก็ยังมีศักยภาพ
⦁ บริหารจัดการต้นทุนการพัฒนาโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาอัตรากำไร ควบคู่กับการรักษามาตรฐานที่อยู่อาศัย และการให้บริการหลังการขาย เพื่อสร้างความพึงพอใจของผู้ซื้อที่อยู่อาศัย เช่น การนำเทคโนโลยีที่ช่วยลดขั้นตอนการก่อสร้าง และลดการใช้แรงงานมาใช้มากขึ้น การรักษาความสัมพันธ์ และสร้างความร่วมมือใหม่ ๆ กับผู้รับเหมาก่อสร้าง และธุรกิจที่เกี่ยวข้องใน Supply chain
⦁ ให้ความสำคัญกับเทรนด์ ESG เนื่องจากผู้ซื้อในปัจจุบันโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับเทรนด์ ESG มากขึ้น โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้ผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยควรหันมาให้ความสำคัญ และดำเนินงานภายใต้กรอบ ESG อย่างครอบคลุม
ทราเวลโลก้า (Traveloka) แพลตฟอร์มการท่องเที่ยวชั้นนำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประกาศการเป็นหนึ่งในผู้จัดจำหน่ายบัตรล่องเรือสำราญ Disney Cruise Line ในประเทศไทย
หลังจากการเปิดตัวเส้นทางการล่องเรือสำราญสุดหรูนี้ในเอเชียที่ประเทศสิงคโปร์เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน เรือ Disney Adventure ประกาศกำหนดการเตรียมมาเทียบท่าที่สิงคโปร์ ประเทศเพื่อนบ้าน และเริ่มออกเดินทางในปี 2568 มอบโอกาสให้ผู้โดยสารจากประเทศไทยได้สัมผัสกับมนต์เสน่ห์และความมหัศจรรย์ของโลกดิสนีย์กลางมหาสมุทร พร้อมนำเสนอเมนูอาหารในธีมดิสนีย์อันเป็นเอกลักษณ์และกิจกรรมหลากหลายที่น่าสนใจ นับเป็นการเดินทางสุดแสนพิเศษที่น่าจดจำและเหมาะสำหรับผู้โดยสารทุกช่วงวัย
ซีซาร์ อินทรา (Caesar Indra) ประธานบริษัททราเวลโลก้า กล่าวว่า “การเปิดตัวเรือสำราญดิสนีย์ลำแรกในเอเชีย ถือเป็นโอกาสใหม่ที่น่าตื่นเต้นสำหรับผู้ชื่นชอบการเดินทางที่จะได้สัมผัสโลกแห่งการผจญภัย โดยผู้ใช้งานจากประเทศไทยสามารถเริ่มลงทะเบียนเพื่อรับข่าวสารบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของทราเวลโลก้า และรอดื่มด่ำไปกับประสบการณ์อันน่าหลงใหลของการล่องเรือดิสนีย์กับเราได้ก่อนใคร ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนแบบครอบครัว แบบคู่รัก หรือแนวผจญภัย ทราเวลโลก้ามุ่งมั่นที่จะมอบสิทธิประโยชน์ที่หลากหลายและเติมเต็มความฝันให้ลูกค้าของเราในช่วงวันหยุด การเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญต่อภารกิจของเราในการยกระดับการเดินทางให้แก่ลูกค้า เมื่อไหร่ที่ Disney Adventure เปิดให้จองตั๋วในประเทศไทย ทราเวลโลก้าพร้อมมอบแพ็กเกจหลากหลายที่ไม่ควรพลาดทันที รวมถึงแพ็กเกจ Fly-Cruise สุดพิเศษสำหรับวันหยุดพักผ่อนในสิงคโปร์ที่มาคู่กับการล่องเรือ Disney Adventure และตัวเลือกอีกมากมาย ที่จะทำให้ลูกค้าทุกท่านได้สัมผัสประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครและตอบโจทย์ทุกความต้องการอย่างเต็มที่”
ดั๊บเบิ้ล เอ ปิดการจำหน่ายหุ้นกู้มูลค่ารวม 2,500 ล้านบาทได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อความแข็งแกร่งและศักยภาพการเติบโตของ ดั๊บเบิ้ล เอ และที่มีต่อตลาดทุนของประเทศไทย
บริษัท ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) จำกัด (มหาชน) ประสบความสำเร็จในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทฯ ระหว่างวันที่ 1-4 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา มียอดจองซื้อหุ้นกู้เกินกว่าจำนวนที่เสนอขายที่ตั้งไว้ 2,500 ล้านบาท ส่งผลให้หุ้นกู้ทั้ง 2 ชุด ได้แก่ หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี 9 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 4.95 ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 5.80 จำหน่ายหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว
นายโยธิน ดำเนินชาญวนิชย์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) จำกัด (มหาชน)
กล่าวว่า การเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ ให้กับนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน ได้รับความสนใจซื้อจากนักลงทุนทั้งจากรายเดิมและรายใหม่เกินจำนวนที่ออกจำหน่าย สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อความแข็งแกร่งของบริษัทฯ และศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจ ดั๊บเบิ้ล เอ
“ในนามตัวแทนของ ดั๊บเบิ้ล เอ ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ได้รับการจัดสรร และผู้ที่แสดงความจำนงเป็นจำนวนมาก ที่เชื่อมั่นและให้ความไว้วางใจ เรายังคงมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับแนวทาง ESG ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และหลักธรรมาภิบาล เพื่อให้ ดั๊บเบิ้ล เอ เป็นแบรนด์คุณภาพชั้นนำที่ครองใจผู้บริโภคทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง” นายโยธินกล่าว
ทรูมันนี่ ผู้นำด้านการให้บริการทางการเงินแบบดิจิทัลชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครบรอบ 11 ปี เปิดตัว TrueMoney Coin (ทรูมันนี่ คอยน์) โปรแกรมสะสมรางวัลจากการใช้จ่ายด้วยทรูมันนี่ ที่จะมอบความคุ้มเกินต้านทุกการสะสม โดยลูกค้าสามารถนำคอยน์ที่ได้ไปแลกเป็นส่วนลด คูปอง และเงินคืน ฯลฯ พิเศษ! รับคอยน์ X3 เมื่อใช้จ่ายด้วยวงเงิน Pay Next (เพย์ เน็กซ์) และ Pay Next Extra (เพย์ เน็กซ์ เอ็กซ์ตร้า) หรือผูกจ่ายด้วยบัญชีเงินฝาก My Saving ในแอปทรูมันนี่ พร้อมร่วมลุ้นในแคมเปญ “11 ปี ที่รอคอยน์ แจกกว่า 500 ล้าน ทรูมันนี่ คอยน์” ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 สิงหาคม 2567
นายกรวุฒิ ปวิตรปก ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด กล่าวว่า “ทรูมันนี่ ยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างประสบการณ์ด้านการเงินที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของผู้ใช้งานหลายล้านรายของเราทั่วประเทศ เพื่อสร้างความเป็นไปได้ทางการเงินสำหรับทุกคน พร้อมยกระดับสิทธิประโยชน์ให้ทุกการใช้จ่ายคุ้มค่ายิ่งกว่าด้วยการเปิดตัว ‘ทรูมันนี่ คอยน์’ เพื่อมอบความคุ้มเกินต้านทุกการสะสมผ่านรางวัลจากการใช้จ่ายด้วยทรูมันนี่โดยทุก 20 บาทของการใช้จ่ายในบริการที่กำหนด ลูกค้าจะได้รับ 1 คอยน์ และสามารถนำคอยน์ที่สะสมมาแลกเป็นส่วนลด คูปอง หรือเงินคืนเข้าบัญชี หรือการร่วมกิจกรรมพิเศษต่าง ๆ ได้ โดยการเปิดตัว ทรูมันนี่ คอยน์ ในครั้งนี้ ตอกย้ำจุดยืนของแบรนด์ทรูมันนี่ ในการเป็นแอปจัดการการเงินที่มอบทั้งความง่ายและคุณค่าในทุกการใช้งานแก่ผู้ใช้ทุกคน”

ผู้ใช้สามารถสะสม ทรูมันนี่ คอยน์ เพียงใช้จ่ายด้วยทรูมันนี่ในบริการและร้านค้าที่กำหนด เช่น เติมเกมส์ สมัครดูหนังฟังเพลง สั่งอาหาร ช้อปปิ้งออนไลน์ จ่ายบิล และใช้จ่ายที่ร้านค้าที่มีป้ายสแกนรับชำระของทรูมันนี่ทั่วประเทศ เช่น 7-Eleven, Lotus’s, MAKRO, Chester’s ฯลฯ พิเศษ! รับคอยน์เพิ่ม X3 เมื่อเลือกใช้จ่ายด้วยวงเงิน Pay Next และ Pay Next Extra หรือผูกจ่ายด้วยบัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูง My Saving ในแอปทรูมันนี่ โดยสามารถนำ ทรูมันนี่ คอยน์ ที่สะสมมาแลกเป็นเงินคืนเข้าบัญชี หรือแลกรับคูปองส่วนลดกับพันธมิตรชั้นนำเช่น Lotus’s และ Lazada

นอกเหนือจากการเปิดตัวโปรแกรมสะสมคะแนนสำหรับลูกค้า ‘ทรูมันนี่ คอยน์’ ในครั้งนี้ ทรูมันนี่ ยังเตรียมมอบความคุ้มเกินต้าน ทุกการสะสม อย่างยิ่งใหญ่ในเดือนเกิด ด้วยแคมเปญ “11 ปี ที่รอคอยน์ แจกกว่า 500 ล้าน ทรูมันนี่ คอยน์” ที่จะมอบเซอร์ไพรส์จัดเต็มทุกวันตั้งแต่วันนี้ถึง 31 สิงหาคม 2567 ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://truemoney.com/coin
ตลาดโซลูชันความปลอดภัยอัจฉริยะไร้สาย (Intelligent Security Solution) มาแรงตอบโจทย์การใช้ชีวิต Smart life เผยเทรนด์ Smart Building และ Smart City ภาวะเศรษฐกิจบีบคั้น สังคมสูงวัย กระตุ้นตลาด คาดตลาดโลกจะเติบโตไปถึง 334.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2572 และอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 6.2% ระหว่างปี 2566-2571 ตลาดไทยมีมูลค่า 27,000 ล้านบาท เมื่อปีก่อน AJAX โซลูชันพิทักษ์ความปลอดภัย มาตรฐานยุโรป ผ่านแอปฯ AJAX บนมือถือและ แอป AJAX PRO สำหรับศูนย์เฝ้าระวัง Monitoring Center พร้อมเปิดตัว 3 ผลิตภัณฑ์ใหม่ AJAX NVR เชื่อมกล้อง CCTV กับระบบตรวจจับขโมย และ ตรวจจับไฟไหม้ พร้อมแจ้งเตือนเรียลไทม์, KeyPad TouchScreen ควบคุมง่ายแค่ปลายนิ้ว, ManualCallPoint (Red) ปุ่มกดเตือนไฟไหม้และเหตุฉุกเฉินอื่นๆ พร้อมเดินหน้าขยายตลาด ผ่านพาร์ทเนอร์กลุ่มกล้องวงจรปิด ผู้ทำระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ เจาะลูกค้า B2B ทุกกลุ่มธุรกิจบริการจัดการอาคาร อสังหาฯ โรงงาน โรงเรียน โรงพยาบาล และหน่วยงานภาครัฐ พร้อมร่วมออกบูธในงานวิศวกรรมแห่งชาติ 2567 ในวันที่ 24-26 กรกฎาคม 2567 ณ ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

นางนิสา มังกรทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิสเท็ม 2000 จำกัด Exclusive Distributor ของผลิตภัณฑ์ AJAX ในประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดโซลูชันเพื่อความปลอดภัยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในและต่างประเทศคาดว่าจะเติบโตไปถึง 334.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2572 อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) คาดว่าจะอยู่ที่ 6.2% ระหว่างปี 2566-2571 กลุ่มที่เติบโตสูง ได้แก่ ระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ กล้องวงจรปิด (CCTV) ระบบควบคุมการเข้าออก ระบบตรวจจับการบุกรุก รวมถึงระบบเตือนภัย อัจฉริยะ เพื่อป้องกัน เช่นเตือนไฟไหม้ น้ำท่วม เตือนอันตรายในการทำงานต่างๆ ด้านตลาดในประเทศไทย คาดว่าตลาดระบบรักษาความปลอดภัยในประเทศไทย จะมีมูลค่า 27,000 ล้านบาท ในปี 2566 กลุ่มที่เติบโตสูง ได้แก่ ระบบรักษาความปลอดภัย สำหรับบ้านพักอาศัย ระบบรักษาความปลอดภัย สำหรับธุรกิจ
โดยเฉพาะโซลูชันอัจฉริยะไร้สาย (Intelligent Security Solution ) ปัจจุบันความกังวลด้านความปลอดภัยอาชญากรรม การก่อการร้าย ภัยไฟไหม้และภัยธรรมชาติ เพื่อดูแลคนและทรัพย์สินเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของอาชญากรรมและการโจรกรรมต่างๆ ในสภาวะเศรษฐกิจบีบคั้น การใช้ชีวิตในยุค Smart life และสังคมผู้สูงอายุ รวมถึงการเติบโตของเทคโนโลยี เช่น IoT ปัญญาประดิษฐ์ และ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในตลาดโลก ทำให้เกิดความต้องการ โซลูชันอัจฉริยะไร้สาย (Smart Security) ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบและอุปกรณ์เตือนภัยเดิมเช่น อุปกรณ์ตรวจจับไฟไหม้ที่ติดตั้งในอาคารต่างๆ อุปกรณ์ตรวจจับการรั่วไหลของแก๊ส รวมถึงกล้องวงจรปิด IP Cameraฯลฯ ยิ่งไปกว่านั้น ซึ่งปัจจุบันผู้พัฒนาอุปกรณ์เหล่านี้ยังไม่มีการพัฒนาแอปพลิเคชัน เชื่อมโยงการแจ้งเตือนบนมือถือ ในบางรายที่มีก็มีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อโมบายแอปที่สูงมาก ทำให้มีช่องว่างทางการตลาด โซลูชั่นของ AJAX เข้าไปตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นโซลูชั่นที่สามารถเชื่อมโยงกับอุปกรณ์ระบบแจ้งเตือนภัยและ IP Camera ง่ายในการเชื่อมต่อ, วิธีการใช้งาน, ความเสถียรของระบบ และความปลอดภัยทางไซเบอร์
ทั้งนี้ โซลูชันของ AJAX ดูแลเรื่องความปลอดภัยครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันขโมย อุปกรณ์ระบบตรวจจับแจ้งเหตุไฟไหม้ อุปกรณ์ตรวจจับน้ำท่วมพร้อมวาล์วอัตโนมัติ สวิตช์ไฟอัตโนมัติสำหรับอาคารพาณิชย์และที่พักอาศัย จุดเด่นที่แตกต่างจากโซลูชั่นอื่น ๆ คือ ความสามารถในการเชื่อมต่อระบบเข้ากับกล้องวงจรปิดแบบ ONVIF ที่ติดตั้งอยู่เดิม, เชื่อมต่อการเตือนภัยจากเหตุเพลิงไหม้ หรือต่อ Relay เพื่อให้สามารถควบคุมการทำงานของอุปกรณ์อัตโนมัติอื่นๆที่ติดตั้งอยู่ ด้วยแอป AJAX ได้นอกจากนี้ ยังส่งสัญญาณเตือนภัยไปยังผู้ใช้งานได้พร้อมกัน ถึง 200 users เป็นการอัปเกรดให้เกิดความคล่องตัวในการประสานงานขณะเกิดเหตุได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ช่วยลดความเสียหาย เพิ่มประสิทธิภาพในการสอดส่องเข้าถึงพื้นที่ และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัย
นอกจากนี้ AJAX ยังเป็นโซลูชั่นแบบไร้สาย ที่ออกแบบมาให้ง่าย ตั้งแต่ขั้นตอนการติดตั้ง ไปจนถึงการใช้งาน พร้อมระบบตรวจสอบสถานะการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆที่ติดตั้งอยู่บนตัว HUB ด้วยตนเอง ตลอด 24 ชั่วโมง ตอบโจทย์เจ้าของกิจการ ที่ต้องการหาเครื่องมือง่ายๆแต่มั่นใจได้ ในการควบคุมและตั้งค่าระบบ รวมทั้งรับสัญญาณเตือนภัยจากบ้าน อาคาร ของตนเองแบบเรียลไทม์ เปรียบเสมือนเป็น “ศูนย์บัญชาการความปลอดภัยเชิงป้องกัน” ที่ส่งตรงถึงมือถือทุกคนที่เกี่ยวข้อง สามารถระงับเหตุความเสียหายได้ทันท่วงที
ในไตรมาสที่ 2 นี้ AJAX ได้เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ถึง 3 ผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย ได้แก่
1. AJAX NVR ศูนย์กลางควบคุมระบบกล้องวงจรปิด ช่วยให้มองเห็นทุกมุมแบบเรียลไทม์ ควบคุมง่ายด้วยปลายนิ้ว เชื่อมต่อสัญญาณ Alert เข้าไปกดดูภาพบนแอปพลิเคชัน AJAX ในสมาร์ทโฟนได้ทันทีที่มีผู้บุกรุกเลือก Videowall จากกล้องหลายตัว พร้อมกันหรือแบบเต็มจอ บันทึกภาพคมชัด ด้วยระบบเก็บข้อมูลออนไซด์ ไม่ขึ้นคราวน์ รองรับกล้อง IP Camera ได้หลากหลาย พร้อมแอปศูนย์เฝ้าระวังเหตุ ที่สามารถเข้าไปเลือกดูกล้องจากหน่วยงานสาขาที่อยู่ต่างโลเคชัน ได้อย่างชัดเจนแบบเรียลไทม์
2. AJAX KeyPad TouchScreen ความปลอดภัยแค่ปลายนิ้ว เป็นกุญแจสู่ระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัย หน้าจอสัมผัสขนาด 5 นิ้ว ใช้งานง่ายเหมือนแอปพลิเคชัน AJAX บนสมาร์ทโฟน รองรับหลายภาษาความปลอดภัยสูงด้วย เทคโนโลยี DESFire และ BLE จัดการระบบง่ายดาย ทั้งการตั้งค่าระบบรักษาความปลอดภัย เปิด ปิด ระบบ ตรวจสอบสถานะควบคุมอัจฉริยะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์สมาร์ทโฮมอื่น ๆได้ สามารถแจ้งเตือนเมื่อมีเหตุการณ์ผิดปกติ เช่น เกิดไฟไหม้ หรือมีผู้บุกรุก แบบเรียลไทม์
3. ManualCallPoint(Red) ปุ่มกดฉุกเฉิน แจ้งเตือนไฟไหม้ และเตือนภัยอื่น ๆ เหมาะสำหรับการเตือนภัยร้ายแรงฉุกเฉิน กดปุ่มเดียว ระบบเตือนภัย ไซเรน ทั้งอาคาร หรือทั้งชั้น ทำงานทันที ไม่ต้องลุกไปกดที่แผงควบคุม ติดตั้งง่าย ไร้สาย เหมาะกับทุกพื้นที่ เหมาะสำหรับติดตั้งในโรงเรียน อาคารสถานที่ราชการ หรือเอกชนที่เปิดเป็นพื้นที่สาธารณะ ที่อาจถูกบุกรุกจากผู้ก่อการร้าย หรือผู้คลุ้มคลั่งขาดสติ ทำให้ช่วยระงับเหตุได้รวดเร็วทันสถานการณ์
สำหรับแผนขยายตลาด AJAX จะเพิ่มพาร์ทเนอร์ตัวแทนจำหน่าย ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มการจัดการความปลอดภัย และหน่วยงานภาครัฐ โดยจะมีทีมผู้เชี่ยวชาญของ AJAX ฝึกอบรมให้ความรู้กับพาร์ทเนอร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพประยุกต์การออกแบบและติดตั้งระบบนำเสนอลูกค้า โดยพาสเนอร์จะได้ใบรับรอง AJAX เมื่อผ่านการฝึกอบรม เพื่อให้พาร์ทเนอร์มีความเข้าใจในตัวโซลูชันและนำเสนอได้ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าของตนเอง
"เรามั่นใจว่า AJAX จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการด้านความปลอดภัยของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม และจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ บ้าน คอนโด ร้านค้า ห้างร้าน โรงงาน โรงเรียน โรงพยาบาล และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อช่วยยกระดับการพิทักษ์ดูแลความปลอดภัยให้แก่ชีวิต และลดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของเจ้าของธุรกิจในทุกระดับ” นางนิสา กล่าว
นอกจากนี้ AJAX จะไปร่วมออกบูธในงานวิศวกรรมแห่งชาติ 2567 ในวันที่ 24-26 กรกฎาคม 2567 ณ ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยจัดแสดงการเชื่อมต่อโซลูชั่นของ AJAX เข้ากับอุปกรณ์ระบบอื่นๆ รวมทั้งการสาธิตการใช้งานของแอปฯ ที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี ใช้งานง่ายและสะดวกเข้ากับวิถีชีวิตในยุคปัจจุบัน ด้วยระบบอุปกรณ์มาตรฐานระดับโลก
ดีลอยท์ ประเทศไทย ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(SME D Bank) และตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) โดย นายวัลลภ วิไลวรวิทย์ และนางสาวลสิตา มากัต พาร์ทเนอร์ บริการด้านการสอบบัญชี ดีลอยท์ ประเทศไทย (ที่สี่และห้าจากซ้าย) นางสาวกัลยา เฉลิมโชคชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ผู้รับผิดชอบสายงานบริหารเงินและบัญชี ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ที่หกจากซ้าย) และ นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ,ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์, กรรมการผู้จัดการบริษัท ไลฟ์ฟินคอร์ป จำกัด (ที่ห้าจากขวา) ร่วมเป็นประธาน ในพิธีเปิดงานและงานปฐมนิเทศ Acceleration Program - Road to LiVE รุ่นที่ 2 โครงการเสริมความพร้อมที่สำคัญของผู้ประกอบการในการเข้าตลาดทุน ณ ห้อง สุรศักดิ์ บอลรูม โรงแรม อีสติน แกรนด์ สาทร เมื่อเร็วๆนี้
โดยภายในงานมีการบรรยายในหัวข้อ “โอกาสของผู้ประกอบการบนเส้นทางตลาดทุน (SET/mai/LiVEx)” โดยนายประพันธ์ เจริญประวัติ และทีมผู้บริหารจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย “IPO Journey เส้นทางการเป็นบริษัทจดทะเบียน” โดย นายวัลลภ วิไลวรวิทย์ และ “How to become the smart IPO?” โดย รศ.(พิเศษ) ดร.กฤษฎา เสกตระกูล กรรมการอิสระ บริษัท ทีเคเค คอร์ปอเรชั่น จำกัด โดยมี นางสาวลสิตา มากัต พาร์ทเนอร์ ดีลอยท์ ประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินการบรรยาย ในช่วงเย็นยังมีกิจกรรมเน็ตเวิร์คกิ้งเพื่อให้ผู้ประกอบการได้ร่วมรับประทานอาหารเย็น และ สานสัมพันธ์ต่อยอดธุรกิจ โดยมีนายพิชิต มิทราวงศ์ (กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย) เป็นประธานเปิดงาน
จากสถิติผลตอบแทนย้อนหลังในช่วง 3-10 ปี พบว่าหุ้นนอกตลาด (Private Equity) ให้ผลตอบแทนเหนือกว่าหุ้นในตลาด (Public Market) ที่ 5-9% อีกทั้งท่ามกลางสภาพตลาดทุนที่ยังผันผวน การลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด (Private Asset) กำลังเป็นที่พูดถึงว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจให้พอร์ตการลงทุนได้
อย่างไรก็ดีการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดอาจมีข้อจำกัด เช่น เรื่องระยะเวลาที่นักลงทุนจะถูกล็อคเงินลงทุน (Lock-up Period) ทำให้ต้องถือครองสินทรัพย์ที่ลงทุนเป็นเวลาหลายปี ไม่สามารถซื้อขายได้ตามต้องการ แต่ในปัจจุบัน มีกองทุนสินทรัพย์นอกตลาดกึ่งสภาพคล่อง หรือ Semi Liquid Private Asset Funds ที่มาช่วยลดข้อจำกัดเรื่องสภาพคล่อง ซึ่งนักลงทุนสามารถถอนเงินลงทุนบางส่วนได้ในช่วงเวลาที่กำหนด ทำให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงผลตอบแทนสูงจากสินทรัพย์นอกตลาดได้โดยไม่ติดปัญหาเรื่องสภาพคล่อง
กลยุทธ์จัดพอร์ตลงทุนสินทรัพย์นอกตลาดแบบ Core & Satellite

KBank Private Banking ต้องการพัฒนาและหาโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดนำเสนอกลยุทธ์จัดพอร์ตลงทุนสินทรัพย์นอกตลาดในรูปแบบ Core & Satellite เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด กระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของพอร์ต โดยนักลงทุนสามารถวางแผนการจัดพอร์ตตามสไตล์ที่ต้องการได้ โดยมีกองทุนให้เลือกหลากหลาย โดยในสัดส่วนหลักจะแนะนำให้ลงทุนในกองทุนสินทรัพย์นอกตลาดกึ่งสภาพคล่อง (Semi Liquid Private Asset Funds) ที่มาพร้อมเงื่อนไขการลงทุนที่น่าสนใจ อาทิ ลดข้อจำกัดเรื่องสภาพคล่องด้วยระยะเวลาล็อคเงินลงทุนระหว่าง 12-18 เดือน สามารถเข้าลงทุนได้ตั้งแต่วันแรก ไม่ต้องนำเงินลงทุนไปพักคอยก่อน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้นักลงทุนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนยังสามารถซื้อหน่วยลงทุนได้ทุกเดือน ขายได้ทุก ไตรมาส โดย KBank Private Banking ได้จับมือกับพันธมิตรที่เป็นผู้จัดการกองทุนสินทรัพย์นอกตลาดระดับโลก อย่าง EQT Nexus ที่ระดมทุนหุ้นนอกตลาดได้เป็นอันดับ 3 ของโลกและ Apollo ที่มียอดการปล่อยสินเชื่อนอกตลาดเป็นอันดับ 1 ของโลก ส่วนในสัดส่วนเสริม นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในกองทุนหุ้นนอกตลาด ที่บริหารกองทุนโดยหลากหลายผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการกองทุนโดยเน้นคัดสรรธุรกิจที่มีการเติบโตตามเมกะเทรนด์ และกระจายการลงทุนในบริษัทนอกตลาดทั่วโลก กลยุทธ์การจัดพอร์ตการลงทุนสินทรัพย์นอกตลาดนับเป็นอีกพัฒนาการที่สำคัญของ KBank Private Banking ที่ได้นำเสนอให้กับลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนที่เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน
2 กองทุนสินทรัพย์นอกตลาดกึ่งสภาพคล่องที่น่าจับตา
KBank Private Banking นำเสนอสองกองทุนสินทรัพย์นอกตลาดกึ่งสภาพคล่อง ได้แก่ กองทุนเปิดเค โกลบอลไพรเวทอิควิตี้ (K-GPEQ-UI) ที่บริหารงานโดย EQT Nexus ผู้จัดการกองทุนหุ้นนอกตลาดระดับโลกจากสวีเดนที่เน้นลงทุนในธุรกิจนอกตลาดที่เป็นเมกะเทรนด์ของโลก เช่น การดูแลสุขภาพและเทคโนโลยี นักลงทุนสามารถเริ่มลงทุนครั้งแรกที่จำนวนเงินขั้นต่ำ 500,000 บาท ซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มได้ทุกเดือน และขายคืนหน่วยลงทุนได้เป็นรายไตรมาส โดยมีระยะเวลาการล็อคเงินลงทุนเพียง 18 เดือน
นอกจากการลงทุนในหุ้นนนอกตลาดแล้ว
แล้วยังมีการลงทุนในรูปแบบของสินเชื่อนอกตลาดซึ่งเป็นการปล่อยกู้โดยตรงให้กับบริษัทเอกชน โดย KBank Private Banking ร่วมกับ Apollo นำเสนอกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี ไพรเวท เครดิต โซลูชั่น (MPCREDIT-U1) ที่เน้นลงทุนในบริษัทที่มีความสามารถในการชำระหนี้สูง นักลงทุนสามารถเริ่มต้นขั้นต่ำที่ 500,000 บาท ซื้อหน่วยลงทุนได้ทุกเดือน ขายคืนหน่วยลงทุนได้เป็นรายไตรมาส ด้วยระยะเวลาการล็อคเงินลงทุนเพียง 12 เดือน
การลงทุนในกองทุนสินทรัพย์นอกตลาดกึ่งสภาพคล่องของ KBank Private Banking ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงสามารถเข้าถึงการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่มีประสิทธิภาพมากและมีสภาพคล่องยิ่งขึ้น ทั้งนี้ KBank Private Banking มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำการลงทุนที่เหมาะสมกับความต้องการของนักลงทุน เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในปัจจุบัน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโปรดติดต่อ KBank Private Banker ที่ดูแลท่าน หรือโทร 02-8888811 หรือ ข้อมูลเพิ่มเติมบริการของ KBank Private Banking ที่ https://kbank.co/3NrNbw9
เคทีซีจับมือสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เปิดเวทีเสวนา เตือนภัยไซเบอร์รูปแบบใหม่ “อนาคตภัยไซเบอร์ กับอนาคตการป้องปราบ” สร้างการตระหนักรู้-รับมือ-ไม่ตกเป็นเหยื่อ ติดอาวุธทางความคิดให้คนไทยตั้งสติ รับมือกับความเสี่ยงก่อนทำธุรกรรมการเงินบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในผู้สูงอายุ เผยกลโกงมิจฉาชีพรูปแบบใหม่เป็นกรณีศึกษา พร้อมแนะวิธีสังเกต เทคนิคป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อและการแก้ไข
นายไรวินทร์ วรวงษ์สถิตย์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานควบคุมงานปฏิบัติการและปฏิบัติการร้านค้า “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผยว่า “เคทีซีให้ความสำคัญกับการศึกษาและพัฒนาระบบบริหารการป้องกันภัยทุจริตให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นสถาบันการเงินรายแรกในเอเชีย แปซิฟิก ที่ได้รับมาตรฐานสากลด้านความปลอดภัยของข้อมูลบัตรเครดิต (PCI DSS) จากสถาบันรับรองมาตรฐานแห่งชาติของประเทศอังกฤษ BSI (British Standards Institution) และพร้อมจะสนับสนุนให้สมาชิกและผู้บริโภคได้รับความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อร่วมป้องกันภัยไซเบอร์ในเบื้องต้นไปด้วยกัน เราจึงได้ร่วมมือกับองค์กรหน่วยงานต่างๆ จัดเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้อย่างต่อเนื่อง โดยในครั้งนี้ได้ร่วมกับสกมช. เปิดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และอัพเดทภัยไซเบอร์รูปแบบใหม่ๆ ให้กับคนไทย นอกเหนือจากการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการรับชำระค่าสินค้าและบริการด้วยบัตรเคทีซีครอบคลุมทั้งระบบ”
“โดยปัจจุบันแนวโน้มการทุจริตจากธุรกรรมที่ไม่ใช้บัตร (card not present) หรือใช้โปรแกรมสุ่มเลขบัตรไปทำธุรกรรมการเงิน (Bin Attack) และการที่ข้อมูลรั่วไหล (Data Compromise) ยังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เคทีซีจึงได้ออกผลิตภัณฑ์ “บัตรเครดิต เคทีซี ดิจิทัล” (KTC Digital Credit Card) เพื่อยกระดับความปลอดภัยขั้นกว่าในการใช้บัตรเครดิตให้กับสมาชิกเคทีซี ซึ่งเป็นการป้องกันการทุจริตประเภท card not present หรือ Data Compromise”
“ภัยไซเบอร์เป็นภัยใกล้ตัวและลุกลามเข้าถึงกลุ่มเปราะบางมากขึ้น โดยใช้ความหวาดกลัวในการล่อลวง การเตรียมตัวและการป้องกันภัยด้านไซเบอร์ในวันนี้ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนทุกกลุ่มต้องเรียนรู้อย่างเท่าทัน เพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อตนเองและคนรอบข้าง โดยรูปแบบของภัยไซเบอร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในปัจจุบันคือ Social Engineering รูปแบบต่างๆ และ Remote Control ซึ่งปัจจุบันสามารถเข้าถึงระบบไอโอเอส (iOS) ได้เช่นเดียวกับแอนดรอยด์ (Android) และแนวโน้มในการหลอกโอนเงินมีความเสียหายที่สูงกว่าเคส Remote Control โดยมิจฉาชีพจะมุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้สูงอายุ”
“ภัยจาก Social Engineering มีหลายรูปแบบ เป็นวิธีการโจมตีทางไซเบอร์ที่มุ่งหวังให้เหยื่อทำตามคำสั่งของผู้โจมตี โดยใช้เทคนิคการหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ ตัวอย่างของเทคนิค Social Engineering ที่พบมากที่สุดในปัจจุบันคือ 1) Phishing คือการส่งอีเมลปลอมเพื่อหลอกให้ผู้รับกดลิงค์ ใช้เทคนิคหลอกลวงเหยื่อเพื่อขอข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่าน เลขบัตรเครดิต หรือข้อมูลสำคัญอื่นๆ ซึ่งเป้าหมายของการโจมตีด้วย Phishing คือให้กรอกข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลหมายเลขบัตรเครดิต หรือข้อมูลทางการเงินอื่นๆ โดยเราสามารถป้องกันได้ง่ายๆ คือ ไม่กรอกข้อมูลส่วนตัวผ่านทางอีเมลหรือเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ ตรวจสอบ URL หรือที่มาของข้อความนั้นๆ อยู่เสมอ 2) Vishing คือหนึ่งในเทคนิคการโจมตีทางไซเบอร์ที่ใช้เสียงในการสื่อสาร โดยมักจะติดต่อผ่านโทรศัพท์เพื่อหลอกลวงผู้ใช้ให้ข้อมูลส่วนตัว หรือข้อมูลบัญชีที่สำคัญ เช่น หมายเลขบัตรเครดิต รหัส OTP หรือข้อมูลอื่นๆ เป็นต้น ที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดีคือแก๊งค์คอลเซนเตอร์ ซึ่งนำไปสู่การถูก Remote Access เป็นต้น 3) Smishing คือการใช้ข้อความที่ถูกส่งผ่าน SMS (Short Message Service) เพื่อหลอกลวงเหยื่อให้ข้อมูลส่วนตัว หรือคลิกลิงก์ที่อาจสร้างความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

ควรระวังไม่คลิกลิงค์ที่ดูไม่น่าเชื่อถือ ปัจจุบันธนาคารไม่มีนโยบายแนบลิงค์ผ่าน SMS หรือส่ง SMS ที่มีเนื้อหาให้กดแลกคะแนนด่วนเพื่อแลกของรางวัล เป็นต้น”
นายนพรัตน์ สุริยา ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายป้องกันทุจริตบัตรเครดิตและร้านค้า “เคทีซี” กล่าวว่า “ปัจจุบันภัยไซเบอร์ที่เกิดจากการรีโมท คอนโทรล (Remote Control) ที่มิจฉาชีพหลอกให้กดลิงค์ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน เริ่มมีแนวโน้มลดลง แต่การถูกแก๊งค์คอลเซ็นต์เตอร์หลอกให้โอนเงินโดยตรง กลับมีแนวโน้มที่สูงขึ้นและความเสียหายก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะมุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้สูงอายุซึ่งเปราะบางและถูกหลอกได้ง่าย ใช้วิธีการล่อลวงเจ้าของบัญชีให้เกิดความหวาดกลัวว่ามีส่วนในการฟอกเงินโดยแอบอ้างมา
จากสถานีตำรวจภูธร (สภอ.) ต่างๆ หรือติดต่อจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และมีพัสดุต้องสงสัยหรือถูกนำชื่อไปเปิดเบอร์โทรศัพท์มือถือที่พัวพันกับขบวนการฟอกเงิน เป็นต้น”
“กรณีรีโมท คอนโทรล ที่ผ่านมา มิจฉาชีพมักจะหลอกผู้เสียหายให้คลิกลิงค์และดาวน์โหลดแอปฯ ในระบบแอนดรอยด์ (Android) เป็นหลัก เพื่อจะเข้าควบคุมมือถือ (Remote Control) ในการเข้าถึงแอปพลิเคชันธนาคารต่างๆ แต่ปัจจุบันมิจฉาชีพสามารถหลอกลวงเหยื่อในระบบ iOS ผ่านโทรศัพท์มือถือ iPhone ได้เช่นกัน”
“การป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ยังคงต้องย้ำว่า ควรเริ่มต้นที่ตัวเราทุกคนและสามารถป้องกันได้ง่ายๆ ดังนี้ 1) หากต้องการติดตั้งแอปพลิเคชันของบริษัทหรือหน่วยงานใดๆ ให้ติดตั้งเองผ่าน Official Store เท่านั้น ห้ามกดผ่านลิงค์เด็ดขาด เพราะแอปฯ ปลอมเหมือนจริงมาก 2) หากมีเจ้าหน้าที่ติดต่อมาให้กดลิงค์ดาวน์โหลดหรือติดตั้งแอปฯ และแจ้งว่าต้องทำตามขั้นตอน หรือแจ้งว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการฟอกเงินใดๆ ให้สงสัยว่าเป็นมิจฉาชีพ รวมถึงให้ติดต่อกลับไปยังหน่วยงานต้นสังกัดที่ติดต่อมาจากเบอร์โทรศัพท์หน้าเว็บไซต์ของหน่วยงานนั้นๆ เพื่อตรวจสอบและยืนยัน 3) หากผิดสังเกตว่าถูกรีโมท (Remote) หรือมีการลงแอปฯ ที่ต้องสงสัย ให้ตัดการเชื่อมต่อ พยายามปิดแอปฯ (Force Shutdown) และดำเนินการล้างเครื่องทันที (Factory Reset) เนื่องจากมีมัลแวร์ (Malware) แฝงอยู่ในเครื่อง ซึ่งผู้ทุจริตจะยังสามารถรีโมทต่อเมื่อไหร่ก็ได้ 4) การตั้งรหัสแอปพลิเคชันของธนาคารต่างๆ ควรตั้งค่าให้แตกต่างกัน และแยกจากแอปฯ ประเภทอื่น”
“สำหรับสมาชิกเคทีซี เราให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า เพื่อให้สมาชิกทำธุรกรรมการเงินได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และแน่นอนว่าการป้องกันภัยจากการทุจริตต่างๆ จะเกิดประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ถ้าสมาชิกสร้างภูมิคุ้มกันร่วมกับเคทีซี แนะนำให้สมาชิกเพิ่มความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูล ด้วยการดาวน์โหลดและใช้แอปฯ “KTC Mobile” ซึ่งมีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ความสะดวกในการใช้งานและฟังก์ชันป้องกันความปลอดภัย อาทิ ระบบตั้งเตือนการใช้จ่ายผ่านบัตรทุกรายการ กำหนดยอดใช้จ่ายที่ต้องการ ตั้งเตือนก่อนวันชำระ รวมทั้งบริการที่ลูกค้าสามารถตั้งค่าทำรายการได้ด้วยตนเอง เช่น การอายัดบัตรชั่วคราว การกำหนดวงเงินและการขอวงเงินชั่วคราว นอกจากนี้ ยังอยากย้ำเตือนให้สมาชิกระมัดระวังการแจ้งรหัสให้กับบุคคลอื่น เพื่อลดความเสี่ยงในการทุจริตเข้าถึงบัญชี”
พลอากาศตรี จเด็ด คูหะก้องกิจ ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัย ไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เผยว่า “สกมช. ในฐานะหน่วยงานหลักในการยกระดับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในภาพรวมให้กับประเทศไทย ได้มีการติดตามสถานการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่อาจสร้างความเสียหายให้กับประเทศ โดยแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ได้แก่ หน่วยงานของรัฐ รวมถึงหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ และกลุ่มที่ 2 ได้แก่ คนไทยที่มีการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศในชีวิตประจำวัน”
“โดยในกลุ่มที่ 1 พบว่าพ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา มีการโจมตีทางไซเบอร์ต่อข้อมูลและระบบสารสนเทศของหน่วยงานของรัฐ รวมถึงหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ เป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,808 เหตุการณ์ โดยอันดับ 1 ได้แก่ การแฮ็คเข้าเว็บไซต์ (Hacked Websites) คิดเป็น 59 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 2 ได้แก่ เว็บไซต์ปลอม (Fake Websites) คิดเป็น 17 เปอร์เซ็นต์ และอันดับ 3 ได้แก่ การหลอกลวงการเงิน (Finance-related gambling) คิดเป็น 6 เปอร์เซ็นต์ โดยมีสาเหตุหลักมาจากการขาดความเข้าใจในการออกแบบระบบสารสนเทศอย่างมั่นคงปลอดภัย (Secure software development) รวมถึงการขาดการป้องกันและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Protection and incident response) อย่างถูกต้อง”

“ในกลุ่มที่ 2 พบว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มิจฉาชีพมีการปรับเปลี่ยนวิธีการหลอกลวงคนไทยอย่างต่อเนี่อง โดย สกมช. ได้มีการติดตามกลุ่มมิจฉาชีพที่มีการใช้โซเชียล มีเดีย เป็นสื่อกลางในการหลอกลวงคนไทย ได้แก่ การหลอกให้ลงทุน หลอกให้แจ้งความออนไลน์ การชักจูงให้เล่นการพนันออนไลน์ รวมถึงการหลอกลวงโดยอ้างว่าเป็นหน่วยงานหรือสถาบันการเงินด้วย ทั้งนี้ สกมช. ได้มีการทำงานเชิงรุกร่วมกับแพลทฟอร์มโซเชียล มีเดียหลายราย รวมถึงได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติและผู้ให้บริการโทรคมนาคมมาโดยตลอด ทำให้สามารถปิดกั้นกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าวได้เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ”
“ในส่วนของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและสถาบันการเงินนั้น ตลอดปีที่ผ่านมา สกมช. ได้มีการทำงานอย่างใกล้ชิดกับสถาบันการเงินหลายแห่ง โดยได้แจ้งเตือนเกี่ยวกับการใช้เว็บไซต์ปลอมเป็นสถาบันการเงินเพื่อหลอกลวงคนไทย ควบคู่ไปกับการทำงานร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และผู้ให้บริการโดเมนเนม เพื่อจัดการกับเว็บไซต์ปลอมดังกล่าว มิให้สามารถใช้หลอกลวงคนไทยได้อีกต่อไป ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี ทำให้สามารถดำเนินการกับเว็บไซต์ปลอมได้มากกว่า 749 รายการ เนื่องจากมิจฉาชีพสามารถสร้างเว็บไซต์ปลอมขึ้นมาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นงานที่เราจะต้องติดตามและจัดการกับเว็บไซต์ปลอมดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ควบคู่ไปกับการยกระดับการรักษาความมั่นคงปลอดภัย ไซเบอร์ตาม พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 ให้กับสถาบันการเงิน โดยทำงานร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) สมาคมธนาคารไทย Thailand Banking Sector CERT และ Thailand Telecommunication Sector CERT โดย สกมช. จะเป็นหน่วยงานกลางที่จัดทำข้อกำหนดขั้นต่ำด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (National Cybersecurity Baseline) และหน่วยงานควบคุมหรือกำกับดูแล (Regulator) จะกำกับดูแลให้หน่วยงานภายใต้การกำกับดำเนินการตามข้อกำหนดขั้นต่ำดังกล่าว รวมถึงมีการฝึกซ้อมและตรวจประเมินทุกปี ให้กับหน่วยงานเหล่านั้นด้วย”
“สุดท้ายนี้อยากฝากถึงคนไทยทุกคนในการป้องกันตนเองจากมิจฉาชีพและภัยไซเบอร์ ด้วยหลัก 3 ไม่ คือ ไม่เชื่อ ไม่ทำ ไม่โดน โดยเฉพาะในส่วนแรกคือ ต้องไม่เชื่อใครง่ายๆ เช่น ไม่เชื่อเรื่องการซื้อขายออนไลน์ที่ดีเกินจริงหรือถูกกว่าราคาตลาด ไม่เชื่อว่าจะมีบริษัทหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนด้านการลงทุนที่สูงเกินจริง และไม่เชื่อว่าจะมีหน่วยงานใดติดต่อไปหาทางโทรศัพท์หรือแอดไลน์ เป็นต้น ทั้งนี้ หากตกเป็นเหยื่อแล้ว ขอให้รีบติดต่อธนาคารเพื่ออายัดเงินเป็นลำดับแรก ก่อนจะติดต่อไปที่ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (Anti Online Scam Operation Center : AOC) หรือ ศูนย์ AOC สายด่วน 1441 รวมทั้งหากพบการหลอกลวงออนไลน์ดังที่กล่าวมาแล้ว สามารถติดต่อ สกมช. ผ่านช่องทางต่างๆ ในเว็บไซต์ ncsa.or.th เพื่อร่วมกันจัดการกับมิจฉาชีพต่อไป”
แกร็บ ประเทศไทย แพลตฟอร์มเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน ประกาศยกเครื่องบริการ “จองรถล่วงหน้า” (Advance Booking) หวังมัดใจผู้ใช้บริการและเหล่านักเดินทางด้วย 3 จุดเด่น ทั้งการจองรถล่วงหน้าได้สูงสุด 7 วันก่อนการเดินทาง เพิ่มระบบจัดสรรคนขับและดูแลลูกค้าเป็นพิเศษตลอด 24 ชั่วโมง และขยายวงเงินคุ้มครองประกันอุบัติเหตุสูงสุดถึง 800,000 บาท พร้อมส่งโปรโมชันพิเศษมอบส่วนลด 30% เพียงใส่โค้ด “ADVANCE” และแจกฟรีกางเกงช้างรุ่นลิมิเต็ดเอดิชันจากแกร็บ เมื่อเดินทางไป-กลับ สนามบินสุวรรณภูมิ
นางสาวเมธินี อนวัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการเดินทางและบริหารพาร์ทเนอร์คนขับ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำแพลตฟอร์มเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน แกร็บมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเทคโนโลยีและบริการให้สามารถตอบสนองพฤติกรรมการเดินทางของผู้คนในปัจจุบัน ทั้งในด้านความสะดวกสบายและความปลอดภัย โดยหนึ่งในบริการที่แกร็บได้ริเริ่มและพัฒนาเพื่อแก้ pain point ของผู้ใช้บริการที่ต้องการเรียกรถเมื่อมีนัดหมายสำคัญหรือในช่วงเวลาเร่งด่วน คือ การจองรถล่วงหน้า (Advance Booking) ซึ่งได้รับความนิยมทั้งจากคนไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะการใช้บริการดังกล่าวเพื่อเดินทางไปยังสนามบิน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 40% และเพื่อเป็นการยกระดับประสบการณ์การเดินทางที่ดียิ่งขึ้น ในปีนี้เราจึงได้พัฒนาระบบและปรับปรุงบริการดังกล่าว เพื่อให้ผู้โดยสารเกิดความมั่นใจและอุ่นใจในการเดินทางไปถึงยังจุดหมายที่ตั้งใจได้อย่างไร้กังวล”
![]()
3 ไฮไลท์ของบริการเรียกรถล่วงหน้า (Advance Booking) โฉมใหม่ ได้แก่
⦁ ถูกใจ ด้วยการจองรถได้ล่วงหน้าถึง 7 วัน: เพื่อเพิ่มความสะดวกในการวางแผนการเดินทาง แกร็บเปิดให้ผู้ใช้บริการสามารถจองรถล่วงหน้าได้นานสูงสุดถึง 7 วัน หรืออย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง และสามารถเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกการเดินทางได้ภายในเวลา 1 ชั่วโมงก่อนการเดินทางโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งยังขยายเวลารอรับผู้โดยสารที่จุดรับนานถึง 15 นาทีเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผู้ใช้บริการ โดยบริการ Advance Booking ครอบคลุมประเภทรถที่หลากหลาย อาทิ JustGrab GrabCar GrabCar(Premium) GrabSUV GrabVan GrabCar Lady รวมถึงบริการคนขับมืออาชีพ GrabDriveYourCar
⦁ มั่นใจ ด้วยระบบจัดสรรคนขับและบริการดูแลลูกค้า 24 ชั่วโมง: เพื่อให้มั่นใจว่าคนขับจะมารับผู้โดยสารได้ตรงเวลาแกร็บได้พัฒนาระบบการจัดสรรงานที่จะล็อกเวลาพาร์ทเนอร์คนขับ 1 ชั่วโมงล่วงหน้าเพื่อให้เดินทางมาถึงยังจุดหมาย โดยผู้ใช้บริการสามารถสามารถตรวจสอบสถานะการจองและติดตามสถานะการเดินทางของคนขับได้แบบเรียลไทม์ผ่านแอปพลิเคชัน ทั้งยังสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ดูแลลูกค้าพิเศษซึ่งให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงผ่านช่องทาง Help Centre หากพบปัญหาในการจองรถ ทั้งนี้ ในกรณีที่เกิดเหตุสุดวิสัยจนคนขับไม่สามารถไปรับผู้โดยสารได้ แกร็บจะมอบคะแนน GrabRewards เพื่อชดเชยให้กับผู้ใช้บริการ
⦁ อุ่นใจ ด้วยประกันอุบัติเหตุคุ้มครองตลอดทริป: เสริมความมั่นใจให้ผู้ใช้บริการด้วยการเพิ่มวงเงินประกันอุบัติเหตุที่มอบความคุ้มครองตลอดการเดินทาง โดยแกร็บได้ทำประกันอุบัติเหตุเพื่อให้ความคุ้มครองผู้ใช้บริการ Advance Booking เป็นพิเศษ ด้วยวงเงินคุ้มครองสูงสุด 800,000 บาท (จากปกติ 200,000 บาท) ในกรณีที่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพจากอุบัติเหตุระหว่างการเดินทาง
นอกจากนี้ ผู้ใช้บริการ Advance Booking ยังสามารถรับส่วนลด 30% (สูงสุดไม่เกิน 80 บาท) เพียงใส่โค้ด ADVANCE ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 ธันวาคม 2567 และพิเศษ! สำหรับผู้ใช้บริการ Advance Booking ที่เดินทางไป-กลับสนามบินสุวรรณภูมิ รับฟรี กางเกงช้างรุ่นลิมิเต็ดเอดิชันจาก Grab (มีจำนวนจำกัดเพียง 1,000 ตัวเท่านั้น) โดยรับได้ ณ ศูนย์บริการ Grab (จุดรับ-ส่งผู้โดยสาร ชั้น 1 ประตู 4) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
![]()