เดินหน้ากลยุทธ์ Greener ขยายธุรกิจก๊าซธรรมชาติ และจัดตั้งธุรกิจ “บ้านปู เน็กซ์” เต็มพิกัด เพื่อเพิ่มพอร์ตพลังงานสะอาด ตอบโจทย์รูปแบบการใช้พลังงานในอนาคต
"ถอดปลั๊กแล้วจะเห็นหน้าตาของความสุข"
เมื่อโลกถูกบังคับให้เข้าสู่โหมด Slow Life จากเจ้าไวรัสตัวร้าย เราควรถือโอกาสตอนว่างๆ นี้ หันกลับมาพิจารณาตัวเองอย่างจริงจัง
ทุกวันนี้ เราทั้งหลายต่างต้องก้มลงเช็กโทรศัพท์มือถือกันทุกๆ บ่อย บางคนทุกๆ 10 นาที บางคนทุกๆ 5 นาที บางคนทุกๆ นาที โดยบางคนต้องหยิบมือถือขึ้นมาเช็กก่อนเป็นลำดับแรก เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า และหลับไปตอนกลางคืนพร้อมกับโทรศัพท์มือถืออยู่บนหัวนอน
ต่อวัน ตั้งแต่ตื่นจนถึงเข้านอน โดยเฉลี่ยแล้วอาจต้องมีถึง 40-50 ครั้ง แต่ละครั้งอาจกินเวลาช้านาน มากน้อยต่างกันไปในแต่ละครั้ง แล้วแต่ว่าขณะนั้นเราว่าง หรือทำอย่างอื่นอยู่ด้วย หรือไม่อย่างไร
ทำให้ข้อความที่พวกเราได้รับรู้ต่อวันโดยเฉลี่ยแล้วอาจเกิน 500 หรือบางวันอาจถึง 1,000 ข้อความ...หากสังเกตตัวเองจริงๆ เราจะต้องตกใจว่าวันๆ หนึ่ง เรารับข้อความมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ข้อความที่ผมพูดถึงนี้มันรวมถึง บทความ บทสนทนา พาดหัวข่าว คลิปวิดีโอ รูปภาพ คลิปเสียง แบบสอบถามที่ให้เราช่วย Vote หรือสิ่งที่เป็น Entertainment ทั้งหมดทั้งมวล ไม่ว่าหนัง ละคร เกม และซีรีส์ ฯลฯ
แน่นอน สิ่งเหล่านี้มันดึงดูดให้เราใช้เวลาอยู่หน้าจอ (ทั้งจอมือถือและจอคอมพิวเตอร์) โดยแย่งเวลาเราไปจากกิจกรรมหรือความสนใจอย่างอื่น
เพราะคนเรานั้นมีเวลาจำกัด ถ้าเราใช้ไปกับหน้าจอมากเท่าใด ย่อมปันให้กิจกรรมหรือความสนใจอื่นที่อยู่นอกจอในชีวิตจริง น้อยลงไปเป็นสัดส่วนกัน
อย่าลืมความจริงข้อนึงที่เจ็บปวดทว่าเป็นสัจธรรม คือมนุษย์เรานั้นมีเวลาอยู่ในโลกจำกัด แต่ละคนมีไม่เท่ากัน ไม่มีใครรู้ว่าตัวเรามีเวลาเท่าไหร่กันแน่ แต่ที่รู้แน่ๆ คือ “เมื่อหมดเวลา เราต้องตาย”
มนุษย์เรารู้วันเกิดตัวเอง แต่ไม่รู้วันตาย ดังนั้นการใช้ชีวิตโดยประมาทหรือการผลาญเวลาไปโดยใช่เหตุ ย่อมเป็นเรื่องที่ต้องคิดกันให้จงหนัก
ทีนี้ลองหันกลับมาดูว่า ที่เราเช็กๆ หน้าจอกันนั้น เราดูอะไรกันเหรอ...ดินฟ้าอากาศ ความเป็นไปของตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ Bitcoin พืชผลโภคภัณฑ์แต่ละชนิด พาดหัวข่าวล่าสุดว่ายังไง ฝ่ายด่ารัฐบาลว่าไง ฝ่ายเชียร์ว่าไง มีใครตอบคอมเมนต์อะไรบ้างที่โดนๆ ดาราที่เราชอบทำอะไรกันบ้าง ชีวิตของเพื่อนเป็นยังไง ลูกเพื่อนเป็นยังไง เขาไปกินอะไรที่ไหน เที่ยวที่ไหนกัน กราฟฟิกที่เพื่อนๆ ส่งมาให้ประจำวันคืออะไร วันจันทร์คืออะไร อังคารคืออะไร ฯลฯ ประธานาธิบดีทรัมป์ด่าจีนว่ายังไง สีจิ้นผิงตอบโต้อย่างไร ลีเซียนลุงพูดกับคนสิงคโปร์ว่ายังไงอีก เทียบกับลุงตู่แล้วผู้คนเห็นว่ายังไง ผู้ว่าคาลิฟอร์เนียพูดกับประชาชนว่าไงหลังจากปิดเมือง ผู้นำอิหร่านติดไวรัสตายหรือยัง ดาราฮอลิวู้ดใครบ้างที่ติดไวรัส หมาแมวเป็นยังไงกันบ้างหลังจากที่เจ้าของกักตัวเองอยู่ในบ้าน เล่นกับหมากับแมวบ้างไหมหรือว่าเป็นที่รำคาญ ระดับฝุ่นที่เชียงใหม่และที่เซี่ยงไฮ้ลดลงบ้างไหม สัตว์ป่าที่ถูกไฟคลอกในออสเตรเลียเมื่อตอนปลายปีเป็นยังไงกันบ้าง น้ำแข็งขั้วโลกละลายอีกไหม ระดับน้ำทะเลไปถึงไหนแล้ว และโลกร้อนขึ้นอีกเท่าไหร่ ซึ่งฝรั่งบางคนก็ย้ำกับเราจังเลยว่ามันสำคัญในระดับคอขาดบาดตาย แล้วที่ซีพีซื้อหุ้นเทสโก้นั้น เขาเอาเงินที่ไหนซื้อหรือไปกู้เงินมาจากไหนเยอะแยะขนาดนั้น ก่อหนี้ขนาดนี้ไม่กลัวบ้างเหรอ หากเศรษฐกิจข้างหน้าไม่ดีหรือมีเทคโนโลยีใหม่มาชวนให้พฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของคนเปลี่ยนไปในอนาคต... มีใครอีเมลถึงเราบ้างวันนี้ชั่วโมงนี้ แล้วในไลน์ส่วนตัวและไลน์กลุ่มมีใครว่าอะไรไหม เพื่อนๆ ในอินสตาแกรม ยูทูป เฟซบุ๊ก แมสเซนเจอร์ วอทแอป สแนปแชท เทเลแกรม ว่ายังไงกันบ้าง.... ฯลฯ
แล้วพฤติกรรมการเช็กของเราเป็นยังไงกันบ้าง...
นอนเช็กบนเตียงตั้งแต่ตื่น เช็กต่อในห้องน้ำระหว่างทำธุระ เช็กในลิฟต์เพราะไม่อยากสบตาคนในลิฟต์ เช็กบนรถไฟฟ้าท่ามกลางคนแปลกหน้า หรือระหว่างขับรถเอง ตอนติดไฟแดง บางทีติดพัน ไฟเขียวแล้วยังต้องตอบข้อความ คีย์ไปด้วยมองถนนไปด้วย แม้กลับถึงบ้านแล้วก็รีบไปเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเช็กข้อความต่อ บางคนเช็กตอนเข้าประชุม หรือระหว่างทำงาน แม้แต่ประชุมสำคัญ เมื่อยังไม่ถึงท่อนที่เราต้องเกี่ยวข้อง หรือเบื่อๆ เพราะคนอื่นพูดยาว ก็หยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กไปพลางๆ ก่อน บางคนเช็กตอนกินข้าว กินไปด้วย ดูและคีย์ไปด้วย บางคนเช็กตอนดูทีวี หรืออาบน้ำ ทำหลายๆ อย่างไปพร้อมกัน... ฯลฯ
ถามว่า ข้อความเหล่านั้นมันสำคัญต่อเราขนาดไหน? แม้แต่อีเมลหรือข้อความที่ผู้อื่นส่งให้เราและตั้งใจติดต่อเราผ่านแอปต่างๆ นั้น มันเร่งด่วนขนาดไหน? คอขาดบาดตายแค่ไหน? ต้องเปิดดูและต้องตอบกลับทันทีเลยเหรอ? รอก่อนได้หรือเปล่า?
เราจะไม่มีทางรู้แน่ จนกว่าเราจะกดเช็กข้อความเหล่านั้นจนครบ แล้วเราก็พบว่าส่วนใหญ่มันมักไม่ได้คอขาดบาดตายอะไร ไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากมาย แต่กว่าเราจะรู้ เราก็พบว่าเราได้เสียเวลาไปกับการตอบกลับไปในทุกๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการเขียนข้อความกลับไป ส่งเป็นสติ๊กเกอร์ กด Like กด Share เขียนคอมเมนต์ Forward ส่งต่อ กด Delete หรือลากลงถังขยะ หรือแม้กระทั่งถ่ายรูป หรือส่งคลิปเสียงกลับไป บางครั้งถึงกับอัดวิดีโอตัดต่อคลิปแล้วค่อยส่งกลับพร้อมคอมเมนต์ก็มี
วันๆ เราได้รับข้อความเป็นร้อยๆ พันๆ แม้บางอันจะสำคัญ แต่กว่าเราจะรู้ เราก็ต้องเสียเวลาไปกับการเปิดดู เปิดฟัง เสียเวลาเพ่งพินิจพิจารณา ครุ่นคิด แล้วก็ตอบกลับ เสร็จแล้วเรามักพบว่า เราอินไปด้วย โกรธ เกลียด หรือรักไปด้วย กับอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดและความเห็นของคนอื่นๆ ความโลภของคนอื่นๆ ความโกรธ ความเกลียด หรือความลวงของคนอื่นๆ และ Agenda ของคนอื่นๆ มากกว่าของเราเอง
มันมักจะจบลงด้วยความผิดฝาผิดตัว ทำให้เราต้องไปต่อสู้ในสงครามของคนอื่น ไปเข้าเป็นฝักเป็นฝ่ายกับความขัดแย้งที่ไม่เกี่ยวกับเราเลย ไปดีใจเสียใจโกรธเศร้าใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ที่เราไม่ได้ก่อขึ้น ฯลฯ
การสื่อสารยุคใหม่ที่ทุกอย่างอยู่บนมือถือ ดึงดูดกิเลสของเรา ให้เราโน้มเอียงว่าต้องสนใจมัน ต้องหยิบมันขึ้นมาเช็ก แล้วตอบโต้ จนเห็นเป็นความเร่งด่วน จนลืมไป (หรือละเลยไป) ว่า “อะไรสำคัญ อะไรไม่สำคัญ”
หลังจากเราเปิดดูข้อความ อ่านพาดหัวข่าวหรืออ่านทั้งบทความ ดูและฟังคลิป ปาดอินสตาแกรม และเปิดยูทูปดูทีละคลิปจนหมดล็อตนี้ แล้วค่อยเขียนคอมเมนต์ กด Like กด Share ตอบอีเมล ตอบไลน์ส่วนตัว ไลน์กลุ่ม ส่งสติ๊กเกอร์ ถ่ายรูป ส่งรูป หรืออัดคลิป ส่งคลิป ร่วมโหวต และร่วมเล่นเกม...เราจะพบว่าเราไม่มีเวลาเหลือให้กับเรื่องที่เป็นสาระสำคัญของชีวิตเรา เราลืมกล่าวคำหวานกับคนรักที่นั่งอยู่ในรถกับเรา หรือนั่งกินข้าวกับเรา ลืมรับฟังความทุกข์หรือปัญหาของเขาและเธอ ลืมรสชาติและความเอร็ดอร่อยของอาหารพื้นเมืองมื้อนั้น ลืมความหอมของกลิ่นตัวและดอกไม้ในตัวเขาหรือเธอ ลืมกล่าวคำสวัสดีพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ลืมวันเกิดของลูกๆ ลืมที่จะพูดจาหยอกล้อและเอาใจใส่รับฟังคนในครอบครัวที่เรารัก แม้กระทั่งเบอร์โทรศัพท์ของพวกเขา เราก็จำไม่ได้เสียแล้ว ถ้าโทรศัพท์หาย เราก็ไม่มีทางติดต่อพวกเขาได้ในเวลาคับขัน ฯลฯ
มิใยต้องกล่าวถึงเวลาที่จะได้ครุ่นคิดหรือลงมือทำในประเด็นที่ต้องอาศัยความลึกซึ้ง ละเมียด หนุนใจให้เข้าสู่ความดี ความงาม ความจริง หรือเวลาในการแสวงหาความรู้เพื่อจะพัฒนาทักษะตัวเอง
ยิ่งยุคนี้เป็นยุคของ FakeNews เป็นยุคของ DeepFake ดังนั้นข้อความที่เรารับเป็นร้อยๆ พันๆ ต่อวันเหล่านั้น เราย่อมต้องเสียเวลา เสียความคิด ในการมาพิจารณากลั่นกรองว่าอะไรบ้างที่เป็นเรื่องจริง อะไรบ้างที่ควรรับไว้ไตร่ตรองและดาวน์โหลดเก็บไว้ในความทรงจำ อะไรบ้างที่เป็นความคิดโง่ๆ ชุ่ยๆ โกหกหลอกลวง หรือจริงปนเท็จ ฯลฯ ทำให้เวลาที่ต้องเสียไปอยู่แล้ว ยิ่งต้องเสียมากขึ้น ต้องอยู่กับมันนานขึ้นไปอีก
ทว่าสุดท้าย มันก็จะกลับไปสู่ข้อสรุปเดิมอยู่ดี ว่ามันล้วนเป็น Agenda ของคนอื่น ของบรรณาธิการ ของสื่อค่ายนั้นค่ายนี้ ของกลุ่มการเมืองนั้นนี้ อาชีพนั้นนี้ เชื้อชาตินั้นนี้ ของคนนั้นคนนี้...มากกว่าที่จะเป็นของเรา และส่วนมากมักจะเป็นประเด็นที่ไม่สลักสำคัญอะไรกับชีวิตเราและคนที่เรารักเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้น นอกจากมันจะกินเวลาเราแล้ว มันยังเปลืองและรกสมองของเราด้วย
อย่าลืมว่าสมองคนเรามันมีที่จำกัด แม้สมองจะเป็นอวัยวะที่เหนือล้ำของมนุษย์ สามารถปรับตัวยืดหยุ่นและทำอะไรได้สารพัด แต่มันก็มีพื้นที่จำกัด มันเป็น Finite ไม่ใช่ Infinite
ดังนั้น ถ้าเราดาวน์โหลดขยะเข้าไปมาก แน่นอนว่ามันจะต้องไปเบียดให้ความทรงจำที่เป็นสาระสำคัญ เช่นเบอร์โทรศัพท์ของคนในครอบครัวหายไป หรือหนักกว่านั้นคือคุณธรรมบางอย่างที่จำเป็นสำหรับชีวิตจริงในสังคมมนุษย์ เช่นความกล้า ความขยัน ความกตัญญู ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเมตตากรุณา ความโอบอ้อมอารี ความรอบคอบ ความยับยั้งชั่งใจ ฯลฯ เพราะยิ่งเรารับข้อมูลหลากหลายเข้าไปมากๆ ต่อวัน มันย่อมเข้าไปอยู่ในความทรงจำสักแห่งหนึ่งในสมองเราแทนที่คุณธรรมเหล่านี้ แม้เราไม่อยากจะเก็บมันไว้ก็ตาม
ไลฟ์สไตล์แบบนี้ นอกจากมันจะกินเวลาและกินพื้นที่ในสมองเราแล้ว มันยังเป็นพิษต่ออารมณ์ของเราด้วย
เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่า สุดท้ายเมื่อเราเข้าไปเช็กข้อมูลแต่ละครั้ง มันมักลงท้ายด้วยการถูกชักจูงให้ รัก ชอบ โกรธ เกลียด หลง และโลภ ไปกับความรู้สึกนึกคิดและปัญหาของคนอื่นแทบทั้งสิ้น
บางทีมันก็ผลักให้เรากลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวหรือข้อถกเถียงเหล่านั้น กลายเป็นตัวละคร บนโลกไซเบอร์ ที่เราต้องร่วมตอบคอมเมนต์ ออกความเห็น ร่วมโหวต และร่วมกลุ่มแชทอย่างเอาเป็นเอาตาย
โลกเสมือน มันเทคโอเวอร์ชีวิตที่เคยใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงไปเสียแล้ว
มันเทคโอเวอร์เวลาเรา เทคโอเวอร์สมองเรา แล้วยังเทคโอเวอร์อารมณ์เราไปด้วย
ไลฟ์สไตล์แบบนี้ ทำให้เราใช้ “เวลา สมอง และอารมณ์” เปลืองไปกับโลกเสมือน ซึ่งเป็น Fake World มากกว่าโลกจริง ซึ่งเป็น Real World
ความสุขแบบเดิมที่เคยเห็นความงาม หอมกลิ่นธรรมชาติ ได้ยินเสียงเพลงและเสียงธรรมชาติที่ไพเราะ สัมผัสหนาวอุ่นร้อนในกายคนรัก ถูกแทนที่ด้วยความสุขหรือความพอใจแบบใหม่ที่ค่อนข้างฉาบฉวย ไม่ตราตรึง
สมองของคนเราอาจเหมือนกับกระเพาะ ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนของอาหารที่ใส่เข้าไป ทว่าขึ้นอยู่กับคุณภาพของอาหารต่างหาก ที่กระเพาะและสมองจะย่อยเอาไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่ากัน
ถ้าเราใส่ Fast Food เข้าไปหรือใส่อาหารที่ไม่เป็นประโยชน์เข้าไปมากเกิน มันก็จะได้ขยะ คือน้ำตาล ไขมัน เกลือ สูงเกินไปไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือดซึ่งเป็นอันตรายต่ออวัยวะภายในและชีวิต เช่นเดียวกับสมองที่ถ้าเราใส่ข้อมูลสัพเพเหระอะไรก็ได้ โกยใส่ๆ เข้าไป มันก็จะได้ความรู้สึกนึกคิดที่ฉาบฉวย กระจัดกระจาย ไม่ลึกซึ้งเป็นปึกแผ่นแก่นสาร
เช่นเดียวกันกับ Plato, Aristotle, Descartes, Kant, Adam Smith, Marx, Nietzsche, Keynes, Einstein…ปราชญ์เหล่านี้ยังจะคิดอะไรที่ลุ่มลึกเป็นปึกแผ่นแน่นหนาในเรื่องใหญ่ๆ ของมนุษย์และธรรมชาติแบบ Breakthrough ได้อีกหรือไม่ น่าสงสัยยิ่งนัก
อย่าลืมว่าชีวิตคนเรานั้นตั้งอยู่บนความเสี่ยงร้อยแปด ในช่วงชีวิตเราอาจต้องพานพบกับวิกฤติจำนวนมาก บางครั้งก็ต้องพรากจากสิ่งที่ตัวเองรัก พรากจากทรัพย์สินเงินทองในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ และไม่มีใครรู้ว่าในอนาคต จะต้องเจอวิกฤติใหญ่อีกกี่ครั้ง
หากชีวิตเรายังต้องดำเนินต่อไป เมื่อวิกฤติมาถึง เราต้องอาศัยสติปัญญา อาศัยความคิดที่ลึกซึ้งแยบคาย อาศัยอารมณ์ที่สงบเสงี่ยม ไม่แตกตื่นว้าวุ่น เราถึงจะผ่านมันไปได้
วิกฤติไวรัสครานี้ แสดงให้เราเห็นแล้วว่ามนุษย์นั้นมันกระจ้อยร่อยเพียงใดเมื่อเทียบกับธรรมชาติ อำนาจทำลายล้างของธรรมชาตินั้นรุนแรงก้าวร้าวกว่าฝีมือมนุษย์มากนัก
มนุษย์เรายิ่งต้องการความสามารถที่จะคิดให้ลึกซึ้งและแยบคายมากขึ้นไปอีก เมื่อต้องพิจารณาถึงประเด็นเหล่านี้ร่วมกัน เพื่อหาทางฟื้นฟูชีวิตให้กลับมาเหมือนเดิม ทั้งยังต้องระงับหรือผ่อนหนักให้เป็นเบาในอนาคต
ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าเวลาของพวกเรายังถูกใช้ไปแบบทิ้งๆ ขว้างๆ บนอินเทอร์เน็ต
มันทำให้ผมย้อนนึกไปถึงยุคทศวรรษที่ 70-80 ซึ่งเป็นช่วงที่ผมเติบโตขึ้นมา โดยไม่ได้มีสิ่งเหล่านี้มารบกวนเลย
'คิดแล้วทำให้ผมมีความสุข'
เรื่อง: ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
“ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่เราอยู่ในวงการธุรกิจอาหารมา มีการเปลี่ยนแปลงและปัญหาใหม่ๆ มากมายเข้ามาให้ต้องคิด ต้องปรับตัว ซึ่งถ้าเราไม่ปรับหรือปรับตัวไม่ทัน เราก็อาจจะสูญเสียธุรกิจของเราไปได้ง่ายๆ เช่นกัน”
เมื่อปลายปีที่ผ่านมา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า – NIDA) ได้จัดส่งทีมนักศึกษาสาขา MBA ไปร่วมการแข่งขัน Yangtze New Finance Cup, 2019 ซึ่งจัดโดย SAS China เพื่อเฟ้นหา Data Analytics Championship แม้เป็นเวทีแรกของนักศึกษาตัวแทนที่ไปร่วมการแข่งขัน แต่ก็สามารถผ่านเข้ารอบ 20 ทีมสุดท้าย และได้ขึ้นแสดงผลงานบนเวที นับเป็นประสบการณ์เปิดโลกทัศน์ของพวกเขาอย่างมาก และโอกาสนี้ที่ทีมตัวแทนร่วมแข่งขัน ซึ่งประกอบไปด้วย 3 นักศึกษาจะมาแบ่งปันประสบการณ์จากการแข่งขันในครั้งนั้น พร้อมคำชี้แนะกับน้องๆ หรือตัวแทนในอนาคตเพื่อเตรียมตัวสำหรับเวทีการแข่งขันในอนาคต
กฤตเมธ บุญเพ็ง หรือ แมน นักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ สาขาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร เล่าถึงการรวมตัวกันเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ว่า “เรา 3 คนเรียนวิชา Data Mining กับ รศ.ดร.จงสวัสดิ์ จงวัฒน์ผล อาจารย์บอกว่ามีการแข่งขันอันนี้ ท่านถามว่ามีใครสนใจที่จะเข้าร่วมแข่งขันบ้าง พวกเราเลยตัดสินใจเข้าร่วมแข่งขัน”
ธนพล อริยประยูร หรือ ยอด นักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ สาขาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร เล่าว่า “การแข่งขันนี้จัดโดย SAS China ซึ่งจัดการแข่งขันทุกปีแต่ที่ผ่านมาเป็นการแข่งขันเฉพาะในประเทศจีน และปีนี้คือปี 2019 เป็นปีแรกที่เปิดเวทีระดับนานาชาติ จริงๆ โปรแกรม SAS เราใช้เรียนอยู่ในวิชา Data Mining อยู่แล้ว เราก็อยากจะเอาสิ่งที่เรียนมาไปลองใช้ในชีวิตจริง เมื่อมีโอกาสที่ทาง SAS China จัดการแข่งขันก็เป็นความท้าทายที่อยากเข้าร่วม”
กษมา สืบบุก หรือ บอส นักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ สาขาการเงิน เล่าว่า “การแข่งขันปีนี้มีนักศึกษาจากสถาบันการศึกษาของไทย จีน ไต้หวัน ทั้งหมด 2,600 กว่าคน 1,000 พันกว่าทีมเข้าร่วมแข่งขัน โดยหนึ่งทีมจะมีประมาณ 3 คน ส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาจากจีน สำหรับการฟอร์มทีมของเราเริ่มจากแมนเขาสนใจด้านนี้อยู่แล้ว เพราะเขาทำงานเป็นพนักงานวิเคราะห์ เขาก็มาชวนผม ชวนพี่ยอด”
แมน: เล่าถึงโจทย์ของการแข่งขันว่า “การแข่งขันจะมีสองรอบ รอบแรกทาง SAS China จะส่งข้อมูลและโจทย์มาให้ ข้อมูลที่ได้เป็นข้อมูล Index ของอุตสาหกรรมประเทศจีน 28 อุตสาหกรรมย้อนหลังไป 20 ปี โจทย์จะให้เราวิเคราะห์ว่า 28 อุตสาหกรรมนี้มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันยังไง ถ้านักลงทุนในจีนต้องการลงทุนเขาจะต้องลงทุนอะไรเพื่อให้ได้ผลกำไรมากที่สุด ตอนได้ข้อมูลมาเราไม่รู้จริงๆ ว่าเราจะทำอะไรเกี่ยวกับข้อมูลพวกนี้ เราก็ไปค้นหาข้อมูลฟอรั่มจากต่างประเทศเกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อมูลด้านไฟแนนซ์ว่าเขาทำยังไงกันบ้าง พอเราจับทิศทางคนเก่งๆ ในโลกที่เขาทำได้ เราก็เริ่มเอาของคนนี้คนนั้นมาใช้ผสมกันไป”
บอส: เล่าว่า “พอเราได้ข้อมูลมาเราก็มาหาข้อมูลพื้นฐานก่อนว่าแต่ละอันมีความสัมพันธ์ยังไง แล้วก็วิเคราะห์กันว่าจะใช้โมเดลอะไร”
ยอด: เล่าเสริมว่า “โจทย์ข้อแรก เขาให้เราหาความสัมพันธ์ว่าในแต่ละอุตสาหกรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างไร เช่น ถ้าอุตสาหกรรมก่อสร้างมีมูลค่าสูงขึ้นมีความเป็นไปได้หรือเปล่าที่อุตสาหกรรมเหล็กหรืออุปกรณ์ก่อสร้างจะมีมูลค่าสูงขึ้นไปตามไปด้วย ข้อสอง ให้เราหาความสัมพันธ์ของ 28 อุตสาหกรรมเลยว่ามีความสัมพันธ์กันยังไง โจทย์สุดท้ายเขาจะถามว่าถ้าเราเป็นนักลงทุนเราจะจัดพอร์ตการลงทุนยังไงให้ได้กำไรสูงสุด”
ยอด: เล่าต่อว่า “หลังจากได้ข้อมูลมาแล้วก็นำข้อมูลมาศึกษาซึ่งเห็นความผิดปกติอยู่ 2 จุด เราก็พยายามหาข้อมูลว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น วิกฤตเศรษฐกิจหรือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ข้อมูลที่เราหาเจอส่วนใหญ่เป็นภาษาจีนซึ่งก็เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งเหมือนกัน แต่เราผ่านเข้า 100 ทีมในรอบแรก”
แมน: เล่าเสริมถึงปัญหาที่พบอย่างหนึ่งว่า “เรามีปัญหาเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลเพราะเราเรียนคลาส Data Mining ไปแค่ 3-4 ครั้งเอง เรายังเรียนไม่ครบทั้งหมดจริงๆ เรางงเป็นไก่ตาแตกด้วยซ้ำเพราะเราไม่รู้จะวิเคราะห์ยังไง แต่โชคดีที่เราเข้าไปถามอาจารย์จงสวัสดิ์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นโค้ชให้ ท่านก็แนะนำว่าเราควรจะทำอย่างไรจนออกมาเป็นรูปเป็นร่าง เรื่องเวลาที่มีน้อยก็เป็นปัญหาของเรา เขาให้เวลาเราแค่ 2-3 อาทิตย์ในการส่งผลงานรอบแรก พวกเราต้องทำงานจันทร์ถึงศุกร์จะมีเวลาทำก็ช่วงเลิกงานเราก็ทำไปจนถึงเที่ยงคืนตีหนึ่ง”
จากความช่วยเหลือของอาจารย์ทำให้ทีมสามารถผ่านการคัดเลือกรอบแรกได้
ยอด: เล่าว่า “อาจารย์จงสวัสดิ์ เข้ามาช่วยซัพพอร์ตเรา ผศ.ดร.กฤษฎา นิมมานันทน์ มาช่วยเรื่องการคิดวิเคราะห์ในตลาดหุ้น ผศ.ดร.ณัฐวุฒิ เจนวิทยาโรจน์ ท่านทำเรื่องวิจัยต้องมีการใช้โปรแกรม SAS อยู่แล้วและมีความเชี่ยวชาญเรื่องตลาดหุ้นด้วย อาจารย์ทั้ง 3 ท่านก็มาช่วยให้คำแนะนำพวกเราทั้งทีมและมาเป็นทีม”
บอส: เล่าถึงการเดินทางไปพรีเซนต์ที่ประเทศจีนว่า “เราไปถึงประเทศจีน เขาให้เราไปดูงาน ดูนวัตกรรมก่อน ผมมองว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก พอวันแข่งขันวันแรกเราจะต้องเจอกับกรรมการ 3 คนเพื่อคัดเลือกแต่เราก็เข้ารอบ 20 ทีมสุดท้ายได้ แม้ในครั้งนี้ที่เราไม่ได้รางวัลอะไร อาจเพราะเราสื่อความไม่ตรงกับความต้องการของคณะกรรมการ แต่เขาก็ให้เราขึ้นพรีเซ็นในฐานะทีมต่างชาติ”
ยอด: เล่าเสริมว่า “เขาจะปรับ Yangtze ให้เป็นเมืองหลักเรื่องการเงิน เขามีการพาดูนวัตกรรมของเขา คือต่อไปใครผ่านตม.แล้ว เวลาเดินในเมืองถ้ากล้องจับที่หน้าใครจะโชว์ประวัติของคนนั้นมาเลยว่าเป็นใคร”
แมน: เล่าเสริมต่อว่า “วันแรกของการแข่งขันเราต้องพรีเซนต์กับกรรมการ 3 คน คนหนึ่งมาจาก SAS China คนหนึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยของจีน อีกคนเป็นคนอยู่ในอุตสาหกรรมจริง”
สำหรับประสบการณ์ที่ได้จากการแข่งขันนั้น
ยอด: เล่าว่า “สิ่งที่ติดตัวพวกเรามาจากการแข่งขัน คือ การขึ้นชื่อว่าเราเป็น Winner ถือว่าเป็นโปรไฟล์ที่ดีให้กับเรา อาจารย์จงสวัสดิ์พูดอยู่เสมอๆ ว่านักศึกษาปริญญาโท มาลงทะเบียนเรียนเท่ากัน เรียนสองปีเหมือนกัน แต่ได้อะไรกลับไปไม่เท่ากัน อันนี้จริงอย่างที่อาจารย์กล่าวเลย การแข่งขันครั้งนี้เปิดโอกาสให้เฉพาะนักศึกษาปริญญาโทที่ลงเรียนวิชานี้เท่านั้น เราไปทำงานเราก็ไม่ได้ประสบการณ์แบบนี้ น้องๆ ที่สนใจผมขอแนะนำให้สมัครเลย เพราะสิ่งที่ยากที่สุดคือตอนสมัครอยากให้ลองท้าทายตัวเองดู ท้าทายความรู้ที่เรียน”
แมน: เล่าเสริมอีกว่า “ผมมองว่าจะมีนักศึกษาปริญญาโทในไทยกี่คนที่จะได้รับโอกาสที่ดีแบบนี้ ผมคิดว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้รับอีกเมื่อไหร่และจากที่ไหนอีก ผมรู้สึกว่าพวกเราได้ความกล้าที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ กล้าที่จะไปเรียนรู้บนเวทีนานาชาติ กล้าจะยอมรับว่าวันนี้เราอาจจะยังสู้จีนไม่ได้ เรายังสู้ไต้หวันไม่ได้ แต่ก็จะนำกลับมาปรับปรุงพัฒนาสำหรับเวทีต่อไปอาจจะในโลกของการทำงานจริงก็ไม่แน่”
“เราได้ประสบการณ์ เพราะเป็นเวทีต่างชาติที่เราได้มีโอกาสเข้าร่วม ได้พัฒนาภาษาอังกฤษด้วย เพราะใช้ภาษาอังกฤษกันตลอด” :บอส เล่าทิ้งท้าย
บทความ: กองบรรณาธิการ
ภาพ: อาทิตย์ กณฐัศว์กำพล
เมื่อปี 2019 ที่ผ่านมาสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า – NIDA) ได้ส่งตัวแทนนักศึกษาจากคณะบริหารธุรกิจ สาขา Flexible MBA 3 คนเข้าร่วมแข่งขันรายการ TUN DATA Challenge 2019 ผลจากการแข่งขันสามารถคว้ารางวัล Teradata Technology Award 2019 มาครอง ด้วยการนำความรู้ที่ศึกษามาปรับใช้สร้างแผนธุรกิจให้กับองค์กร HIRE HERO เหนือกว่ารางวัลที่ได้รับ นักศึกษาทั้ง 3 คนได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจและความรู้จาก Keynote ระดับโลก
วีรุตม์ แพทย์สุวรรณ (ชุณห์) นักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ สาขา Flexible MBA 34 กล่าวว่า การเข้าร่วมแข่งขัน TUN DATA Challenge 2019 นั้นเริ่มจากทีมของตนเองเป็นนักศึกษาสาขา Flexible MBA และได้ลงเรียนวิชา Big Data, Data Mining, and CRM Applications กับ รศ.ดร.จงสวัสดิ์ จงวัฒน์ผล อาจารย์จึงชวนให้ทำโปรเจคเพื่อส่งไปประกวดที่สหรัฐอเมริกา และถ้าได้เข้ารอบจะได้ไปร่วม “2019 Teradata Analytics Universe” Conference ที่สหรัฐอเมริกา
ตอนนั้นผมกับวินเรียนอยู่รุ่นเดียวกัน ส่วนป๊อปอยู่รุ่น 32 เราสนใจเรื่อง Data Mining และ Big Data ก็เลยมาฟอร์มทีมกัน ตอนแรกจริงๆ ผมไม่ได้ตั้งเป้าจะไปแข่งขันอะไร ผมลงเรียนวิชา Data Mining เพราะอยากลองเรียนวิชานี้เพราะเป็นเทรนด์ และเป็นสิ่งที่คนพูดกันก็เลยลงเรียน แล้วก็มาเจอป๊อปซึ่งเป็นเพื่อนเก่าของผม เขาก็สนใจวิชานี้เพราะอาจารย์สอนดี เขาบอกว่าถ้าทำโปรเจ็กต์ได้ดีก็มีโอกาสไป Conference ระดับนานาชาติ ผมก็รู้สึกว่าน่าสนใจดีเลยตัดสินใจร่วมกลุ่มกัน
วีรุตม์: กล่าวถึงโจทย์ที่ทาง Teradata ให้ไว้ว่า “โปรเจ็กต์สำหรับปีที่ลงแข่งเป็นการเสนอ Solution ให้กับองค์กรไม่แสวงหากำไร มีชื่อโปรเจ็กต์ คือ DATA EMPOWERMENT FOR HIRE HERO ผู้จัดงานให้ข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรนี้ว่า HIRE HERO เป็นองค์กรที่ทำพันธกิจในการหางานให้กับทหารและทหารผ่านศึก ผู้จัดงานมีการไกด์ไลน์คำถามให้เรา โดยคำถามจะเน้นไปทางด้านการจัดการ ด้านลูกค้า คำถามเกี่ยวกับการบริจาค ว่าเขามีข้อมูลแบบนี้เราจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง เราก็เอาข้อมูลมาสร้างกลยุทธ์ สร้างแผน เราเอาความรู้ด้านแมนเนจเม้นต์มาใช้ ที่นิด้ามีคณะสถิติประยุกต์เขาทำเรื่องข้อมูลเหมือนกัน แต่ผมเป็นบริหารธุรกิจสิ่งที่ผมแตกต่างจากเขาคือความเข้าใจในธุรกิจและเอาข้อมูลดิบมาแปลงเป็นอินไซน์เพื่อตอบโจทย์ให้กับองค์กร”
นที พนมโชคไพศาล (ป๊อป) นักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ สาขา Flexible MBA 32 กล่าวเสริมว่า “เราต้องคิดว่าจะทำยังไงให้เขาถูกใจ คำถามของเขาทำให้เราเข้าใจ Data มากขึ้น”
วีรุตม์: กล่าวต่อว่า “ความรู้เรียนจากที่นิด้าสามารถนำมาปรับใช้ได้มาก อย่างวิชาด้านการตลาด การเงิน หรือการบริหารทรัพยากรบุคคล อาจารย์เคยตั้งคำถามกับเราว่าคณะบริหารธุรกิจสอนเพื่อให้ตัวธุรกิจได้กำไรมากที่สุด แต่การที่เราไปช่วยองค์กรไม่แสวงหากำไร เราจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง จริงๆ วิชาที่เรียนมาสามารถช่วยได้มาก ถึงเขาจะเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร แต่ถ้ารายจ่ายเขามากกว่ารายได้ องค์กรเขาก็อยู่ไม่ได้ เราต้องเข้าไปช่วยทำยังไงให้เขาลดค่าใช้จ่าย ทำยังไงให้พนักงานของเขามีประสิทธิภาพ หรือแม้แต่เรื่องของการตลาดทำยังไงให้มีคนมาบริจาคเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่ทำให้ทีมได้รับรางวัลนั้นมาจากหลายเรื่อง ทั้งความทุ่มเท การใช้เครื่องมือ ซึ่งอาจารย์จงสวัสดิ์เป็นคนช่วยไกด์ให้ว่าควรใช้เครื่องมืออะไรแต่ทีมเป็นคนลงมือทำเองทั้งหมด”
นที: กล่าวเสริมว่า เครื่องมือที่ทีมเอามาใช้เป็นเครื่องมือที่นักศึกษานิด้าได้เรียนอยู่แล้ว อย่าง Teradata Aster, SAS Enterprise Miner, Tableau, RapidMiner ฯลฯ เหล่านี้ ทางนิด้าให้กับสนับสนุนและลงทุนกับนักศึกษาอย่างมาก
วีรุตม์: กล่าวถึงสิ่งที่ได้จากการแข่งขันในครั้งนี้ว่า ในรายการแข่งขันจะมีคนดังๆ ด้าน Big Data และ Data Mining มาบรรยายให้ฟังถึงเทรนด์ของ Data Analysis ว่าจะไปทิศทางไหน เช่น Michael Hansen – Director Business Intelligence at Vodafone Genmany บรรยายเรื่อง Driving Success with Data and Analytics at VODOFONE, Katie Linendoll พิธีกร และนักเขียนชื่อดังทางด้าน Technology & Geadgets, Oliver Ratzesberger อดีต CEO Teradata บรรยายเรื่อง The New Reality and the 5 Factors Impacting Business Success ฯลฯ ทำให้การไปแข่งขันครั้งนี้ได้ทั้งการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนที่เป็นมืออาชีพ ได้พูดคุยกับบริษัทชั้นนำ และได้รู้ว่าเทรนด์กำลังไปทิศทางไหน
นที: กล่าวเสริมต่อว่า “การไปครั้งนี้เราได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์จากคนในวงการจริงๆ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์จากผู้เข้าแข่งขันเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ได้เห็นมุมมองที่แตกต่าง ได้เห็นความสนใจเรื่อง Data Analysis ของเด็กมัธยมปลายที่มาร่วมการแข่งขัน Analytic Challenge และเวลาที่ Keynote บรรยายเหมือนกับเขาแนะแนวทางให้กับเรา เหมือนเขาไม่ได้สอน เขาเล่าประสบการณ์ของเขาให้ฟัง”
กิตติธรา สงวนชาติ (วิน) นักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ สาขา Flexible MBA 34 กล่าวเสริมว่า “ประสบการณ์ที่ได้ฟังจาก Keynote เราได้ฟังว่าสิ่งไหนที่เขาทำแล้วสำเร็จ สิ่งไหนไม่สำเร็จ ทำให้เราไม่ต้องไปเรียนรู้ตั้งแต่ศูนย์ใหม่แต่เราเอามาต่อยอดได้เลย”
กิตติธรา: กล่าวว่า “ตั้งแต่เรียนวิชาการ Data Mining ของอาจารย์จงสวัสดิ์ อาจารย์พยายามสร้างแรงกระตุ้นให้กับนักศึกษาเกี่ยวกับโครงการ TUN DATA Challenge พอทีมของผมต้องการเข้าประกวด อาจารย์ก็เป็นที่ปรึกษาให้”
วีรุตม์: กล่าวเสริมว่า “อาจารย์ช่วยทุกเรื่องไม่ใช่แค่เรื่อง Data Mining เรื่อง MBA ก็ช่วย อาจารย์เขาเป็นทั้งที่ปรึกษาและโค้ช เขาผลักดันพวกเรามาก ขอแค่นักศึกษามีความตั้งใจทำงานชิ้นนี้ออกมา ซึ่งเราก็ทำงานกันหนักมาก”
นที: กล่าวทิ้งท้ายว่า “บางช่วงเรารู้สึกเหนื่อยมาก เราคิดว่าทำไมเราต้องมาทำอะไรเหนื่อยขนาดนี้ เราต้องมาทำอะไรที่ไม่รู้ผลจะออกมายังไง ตอนนั้นหมดแรงแล้วอยากจะยอมแพ้แล้ว ขอจบโปรเจ็กต์นี้สักที อาจารย์ก็มาเป็นแรงกระตุ้นให้กับเราว่าถ้าเราทำให้ดีผลสุดท้ายออกมาก็จะรู้สึกภาคภูมิใจ”
บทความ: กองบรรณาธิการ
ภาพ: อาทิตย์ กัณฐัศว์กำพล
ในที่สุดการมาถึงของ AEC ได้สร้างการบบรจบพบกันของความร่วมมือการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจของประชาคม AEC แม้ยังมีอีกหลายวาระของความร่วมมือที่ยังต้องจัดการในรายละเอียด
ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ที่กำลังสร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต เลื่อนจัดกิจกรรม “KTAXA Know You Can Football Youth(U15) Academy”
เอปสัน ประเทศไทย เผยกลยุทธ์ธุรกิจ ‘Double LEAD’ ตั้งเป้ายึดตำแหน่งผู้นำตลาดอิงค์เจ็ทพรินเตอร์เพื่อองค์กรธุรกิจ