ฟูจิฟิล์ม คอร์ปอเรชั่น ประกาศความร่วมมือกับ World Press Photo Foundation องค์กรอิสระไม่แสวงหากำไรจากประเทศเนเธอร์แลนด์ที่ทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มแบ่งปันภาพถ่ายจากช่างภาพข่าวและช่างภาพสารคดีทั่วโลกเพื่อเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ของยุคสมัยผ่านภาพถ่ายอันทรงพลัง ฟูจิฟิล์ม ในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมการถ่ายภาพ พร้อมสนับสนุนการพัฒนาวัฒนธรรมการถ่ายภาพทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง

ภายใต้ความร่วมมือในครั้งนี้ ฟูจิฟิล์มสนับสนุนการประกวด World Press Photo Contest และนิทรรศการที่จัดขึ้นโดย World Press Photo Foundation ทั้งยังสนับสนุนกล้องดิจิทัลและอุปกรณ์ต่อไปนี้ให้แก่ผู้ชนะในแต่ละสาขาทั่วโลกในการประกวด World Press Photo Contest ทั้ง 4 ประเภท นอกจากนี้ฟูจิฟิล์มมีแผนที่จะจัดเวิร์กชอปใน 10 เมืองทั่วโลกระหว่างการจัดนิทรรศการ World Press Photo อีกด้วย

- กล้องดิจิทัลมิเรอร์เลส (“FUJIFILM GFX100 II”)

- เลนส์แบบถอดเปลี่ยนได้ 2 ตัวสำหรับซีรีส์ GFX

- แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 2 ก้อน ("NP-W235")

- เครื่องชาร์จแบตเตอรี่แบบคู่ ("BC-W235")

“เพื่อฉลองครบรอบ 90 ปีของฟูจิฟิล์มซึ่งตรงกับวันที่ 20 มกราคมปีนี้ เราได้ผนึกกำลังกับพันธมิตรใหม่เพื่อช่วยยกระดับการเล่าเรื่องและการสื่อสารที่น่าเชื่อถือจากภาพถ่ายที่ทรงพลัง” มร.มาซาโตะ ยามาโมโตะ ผู้อำนวยการรองประธานบริหาร ผู้จัดการทั่วไป แผนกโซลูชันการถ่ายภาพ ฟูจิฟิล์ม คอร์ปอเรชั่น กล่าว "การร่วมมือกับมูลนิธิ World Press Photo Foundation ในครั้งนี้ถือเป็นการสนับสนุนคนในวงการภาพถ่ายที่เปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์"

“เรายินดีที่ได้ร่วมมือกับฟูจิฟิล์ม ซึ่งเป็นบริษัทที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันกับเราในด้านการสนับสนุนชุมชนการถ่ายภาพที่นำเสนอเรื่องราวและรูปภาพสำคัญต่าง ๆ ของโลก” มิส จูมานา เอล เซน คูรี กรรมการบริหารของ World Press Photo Foundation กล่าวว่า “การผนึกกำลังของเราจะทำให้มูลนิธิเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทั้งยังยกระดับคุณภาพนิทรรศการที่เราจัด และสนับสนุนวงการถ่ายภาพข่าวและถ่ายภาพสารคดีได้อย่างเป็นรูปธรรม”

ฟูจิฟิล์มมีส่วนร่วมในการพัฒนาวงการภาพถ่ายอย่างต่อเนื่องผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เปี่ยมคุณค่า ได้แก่ กล้องอินสแตนท์ในตระกูล Instax เครื่องพิมพ์สมาร์ตโฟน กลุ่มผลิตภัณฑ์กล้องดิจิทัลมิเรอร์เลสซีรีส์ X และ GFX System และฟิล์มภาพถ่าย นอกจากนี้ ในวงการการถ่ายภาพข่าว กล้องดิจิทัลมิเรอร์เลสของฟูจิฟิล์มยังได้รับการยอมรับจากมืออาชีพทั่วโลก รวมถึงเหล่าผู้ชนะการประกวด World Press Photo Contest ที่ผ่านมา

เกี่ยวกับมูลนิธิ World Press Photo Foundation

นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2498 ในเมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ World Press Photo Foundation ได้จัดการประกวด World Press Photo Contest เป็นประจำทุกปี ผลงานที่ชนะเลิศจะได้รับการคัดเลือกโดยคณะกรรมการจากนานาชาติ และได้รับการจัดแสดงในนิทรรศการ World Press Photo ที่จัดขึ้นทั่วโลก โดยนิทรรศการ World Press Photo เป็นหนึ่งในนิทรรศการภาพถ่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีผู้เข้าชมหลายล้านคนต่อปี

เกี่ยวกับการประกวด World Press Photo Contest 2024 และนิทรรศการ World Press Photo

การประกวด World Press Photo Contest 2024 มีผู้ส่งผลงานเข้าประกวดมากกว่า 60,000 ภาพจากช่างภาพมากความสามารถทั่วโลก หลังการพิจารณาอย่างเข้มข้นโดยคณะกรรมการจากนานาชาติ การประกาศผลผู้ชนะระดับภูมิภาคจะเกิดขึ้นในวันที่ 3 เมษายน 2567 และประกาศผลผู้ชนะระดับโลกทั้งสี่ประเภท1 ในวันที่ 18 เมษายน 2567 จากนั้นนิทรรศการ World Press Photo จะจัดขึ้นกว่า 80 เมืองทั่วโลก เริ่มที่อัมสเตอร์ดัมในวันที่ 19 เมษายน 2567 โดยคาดว่าจะมีผู้เยี่ยมชมมากกว่า 4 ล้านคน


*1: รางวัลแต่ละประเภท ได้แก่ World Press Photo of the Year, World Press Photo Story of the Year, World Press Photo Long-Term Project Award และ World Press Photo Open Format Award

*2: ออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี เม็กซิโก ฯลฯ

บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท โลตัสส์ มันนี่ เซอร์วิสเซส จำกัด ผู้ให้บริการบัตรเครดิตโลตัส ขยายความคุ้มสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตโลตัส เมื่อเติมน้ำมันที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก และสถานีบริการน้ำมันเอสโซ่ (เดิม) รวมกว่า 2,000 สาขาทั่วประเทศที่ร่วมรายการ และเลือกชำระเงินผ่านบัตรฯ  รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 3% (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด) ตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวาคม 2567

ทีทีบี ชวนลูกค้าต่อยอดความมั่งคั่งรับปีมังกรกับบัญชี ทีทีบี เงินฝากประจำดอกเบี้ยด่วน 12 เดือน ล็อกดอกเบี้ยสูง 2.25% ต่อปีรับดอกเบี้ยทั้งก้อนใน 7 วัน นับจากวันที่ฝากเงิน พร้อมรับโปรโมชันพิเศษสำหรับลูกค้าที่ฝากเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป รับฟรีบัตรของขวัญโลตัสหรือทองคำแผ่นมูลค่าสูงสุดกว่า 50,000 บาท ตามยอดเงินฝากที่ธนาคารกำหนด โปรโมชันตั้งแต่วันนี้ถึง 30 เมษายน 2567

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี พร้อมนำเสนอโซลูชันทางการเงินเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าคนสำคัญ จัดแคมเปญ “ออมรับปีมังกร ล็อกดอกเบี้ยสูง พร้อมแจกทอง” สำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดา ที่เลือกออมกับ ทีทีบี ในผลิตภัณฑ์บัญชี ทีทีบี เงินฝากประจำดอกเบี้ยด่วน 12 เดือนลูกค้าจะได้รับเอกสิทธิ์เหนือระดับที่ธนาคารตั้งใจมอบให้ ได้แก่ 1) ล็อกดอกเบี้ยสูง 2.25% ต่อปี 2) ได้รับดอกเบี้ยทั้งก้อนภายใน 7 วัน นับจากวันที่ฝากเงิน 3) รับบัตรของขวัญโลตัส มูลค่า 1,000 บาท หรือ รับทองคำแผ่นฟรี ! มูลค่ากว่า 50,000 บาท เมื่อฝากเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ยิ่งฝากมากยิ่งได้ทองมาก โดยจะได้รับของขวัญตามยอดเงินฝากที่ธนาคารกำหนด โดยเปิดบัญชีครั้งแรกขั้นต่ำ 10,000 บาท และฝากเพิ่มครั้งต่อไปตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ยอดเงินฝากรวมทั้งบัญชีเดี่ยวและบัญชีร่วมต้องมียอดรวมกันไม่เกิน 200 ล้านบาท ต่อรายลูกค้า ตลอดระยะเวลาโปรโมชัน

พิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ เมื่อฝากเงินกับบัญชี ทีทีบี เงินฝากประจำดอกเบี้ยด่วน 12 เดือน ตั้งแต่ 5 ล้านขึ้นไป รับเพิ่มบัตรของขวัญโลตัส มูลค่า 1,000 บาท (ลูกค้าใหม่ คือ ลูกค้าที่ยังไม่เคยมีบัญชีเพื่อออมของธนาคาร ได้แก่ บัญชี ทีทีบี โนฟิกซ์, บัญชี ทีทีบี มีเซฟ, บัญชี ทีทีบี เงินฝากประจำทุกประเภท อ้างอิง ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2567)

สำหรับลูกค้าที่ร่วมโปรโมชันพิเศษ กับบัญชี ทีทีบี เงินฝากประจำดอกเบี้ยด่วน 12 เดือน จะได้รับของขวัญดังนี้

ยอดเงินฝากตั้งแต่ 5,000,000 บาทขึ้นไป รับบัตรของขวัญโลตัส มูลค่า 1,000 บาท

ยอดเงินฝากตั้งแต่ 20,000,000 บาทขึ้นไป รับทองคำแผ่น 96.5% น้ำหนัก 1 สลึง มูลค่า 8,537 บาท

ยอดเงินฝากตั้งแต่ 50,000,000 บาทขึ้นไป รับทองคำแผ่น 96.5% น้ำหนัก 2 สลึง มูลค่า 17,075 บาท

และยอดเงินฝากตั้งแต่ 100,000,000 บาทขึ้นไป รับทองคำแผ่น 96.5% น้ำหนักรวม 1 บาท 2 สลึง มูลค่า 51,225 บาท (1 สิทธิ์/ท่าน ตลอดระยะเวลาโปรโมชัน)

ทั้งนี้ มูลค่าทองคำแผ่นดังกล่าว อ้างอิงราคาทอง ณ วันที่  25 มกราคม 2567 ตามข้อมูลของ  Aurora โดยลูกค้าจะได้รับบัตรของขวัญหรือทองคำแผ่นตามยอดรวมเงินฝากที่มีมูลค่าสูงสุดภายในระยะเวลาโปรโมชัน 

พิเศษยิ่งขึ้น เพียงฝากเงินเพิ่ม หรือมียอดรวมผลิตภัณฑ์ทางการเงินกับธนาคารตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป รับสิทธิ์สมัครบัตรเครดิต ttb reserve พร้อมรับฟรี คะแนนสะสมประจำปีสูงสุด 180,000 คะแนน เมื่อมียอดรวมผลิตภัณฑ์ตามที่ธนาคารก

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม  คลิก https://www.ttbbank.com/tdgoldpr หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ ttb reserve line 02-010-1428

นายอารภัฏ สังขรัตน์ (ที่สองจากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร่วมแสดงความยินดี กับนายวิญญู ไชยวรรณ(ที่สามจากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยเครดิต  ในโอกาสเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในกลุ่มธุรกิจการเงิน / ธนาคาร ในชื่อย่อ “CREDIT” โดยมี นางสาวนลิน วิริยะเสถียร(ที่สองจากขวา)  รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)พร้อมด้วยทีมงาน ร่วมแสดงความยินดี ในฐานะผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ณ  ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ “Guardians of Good” ถ่ายทอดเรื่องราวความมุ่งมั่นของคนทรูที่มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ตามแนวทางด้านความยั่งยืนของทรู คอร์ปอเรชั่น โดยเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2566 ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้คะแนนการประเมิน  CSA (Corporate Sustainability Assessment) สูงสุดจาก 166 บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมโลกที่ได้เข้าร่วมการประเมินของ S&P Global และติดอันดับดัชนีความยั่งยืนดาวน์โจนส์ DJSI ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ปี ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.true.th/blog/djsi/

การเปลี่ยนผ่านดิจิทัลของประเทศไทยกำลังเกิดขึ้นอย่างเร็วเร่ง สะท้อนจากการพัฒนาโครงข่าย 5และปัญญาประดิษฐ์ โดย ทรู คอร์ปอเรชั่นถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน แพลตฟอร์ม ตลอดจนโซลูชั่นต่างๆ ที่มีความจำเป็นต่อนโยบายประเทศไทย 4.0

ด้วยภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินงานต่างๆ สอดรับกับหลักธรรมาภิบาลที่ดี (Good Governance) ทรู คอร์ปอเรชั่น จึงตั้งฝ่ายตรวจสอบภายในและสืบสวนสอบสวน (Internal Audit & Investigation) นำโดย วรัญญา ชื่นพิทธยาธร ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบกระบวนการการควบคุมภายในต่างๆ ขององค์กร ให้เป็นตามนโยบายภายในองค์กร กฎเกณฑ์ภายนอก และมาตรฐานอุตสาหกรรม นอกจากนี้ เธอยังทำหน้าที่รับผิดชอบสืบสวนสอบสวนเหตุแห่งพฤติการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ การทุจริตภายในองค์กร ซึ่งเป็นการปกป้องคุ้มครองชื่อเสียงและทรัพย์สินขององค์กร

วรัญญา ได้ร่วมแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับบทบาทและความท้าทายของ ฝ่ายตรวจสอบภายในและสืบสวนสอบสวนซึ่งเป็นส่วนที่ช่วยสร้างพื้นฐานที่สำคัญขององค์กร ในการสนับสนุนให้ ทรู คอร์ปอเรชั่น พิชิตเป้าหมายสู่การเป็นผู้นำ Telecom-Tech Company ของภูมิภาค

ผู้พิทักษ์ความเที่ยงธรรม

วรัญญากล่าวถึงความสนใจงานด้านการตรวจสอบของเธอว่า เกิดขึ้นจากความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับการวิธีการในการดำเนินธุรกิจ การระบุความเสี่ยง และความโปร่งใสทางการเงิน นอกจากนี้ ด้วยธรรมชาติของการตรวจสอบที่เป็นพลวัตน์และโอกาสในการปรับปรุงธรรมาภิบาลองค์กร ตลอดจนการบริหารความเสี่ยงดึงดูดให้เธอทำหน้าที่นี้” กล่าว

เธอย้ำว่า การรักษาความเที่ยงธรรม และความเป็นอิสระถือเป็นหัวใจสำคัญของานตรวจสอบภายใน ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินงานสามารถรักษาสถานะดังกล่าวไว้ได้ ทางฝ่ายได้มีการร่าง “กฎบัตรของฝ่ายตรวจสอบภายในและสืบสวนสอบสวน” (Internal Audit & Investigation Charter) ซึ่งกำหนดบทบาท ความรับผิดชอบ และแนวทางการรายงานอย่างชัดเจน

ทั้งนี้ แผนการตรวจสอบภายใน มีความสอดรับกับเป้าหมาย คุณค่า และกลยุทธ์องกร  ทรู คอร์ปอเรชั่น ให้ความสำคัญต่องานตรวจสอบภายใน ฝ่ายตรวจสอบภายในและสืบสวนสอบสวน จำเป็นต้องมีการรายงานต่อคณะผู้บริหารระดับสูง และคณะกรรมการตรวจสอบ ตลอดจนคณะกรรมการบริษัทอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

“ความเที่ยงธรรมและความเป็นอิสระ ถือเป็นคุณค่าสำคัญที่คนทำสายงานตรวจสอบภายในต้องรักษาไว้อย่างเข้มงวด โดยสมาชิกในทีม จะมีการตรวจสอบและประเมินผลประโยชน์ทับซ้อนที่อาจเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการปกป้องคุ้มครองผู้เกี่ยวข้อง ทำให้องค์กรดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน ขณะเดียวกัน ยังคงรักษาไว้ซึ่งปราศจากอคติในการปฏิบัติงาน” เธออธิบาย

เฝ้าระวัง

วรัญญา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การตรวจสอบภายในของ ทรู คอร์ปอเรชั่น ใช้วิธีการตรวจสอบตามฐานความเสี่ยงเป็นแนวทาง ซึ่งจะครอบคลุมตั้งแต่ขั้นตอนการประเมินกระบวนการออกแบบ และความมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ซึ่งพิจารณาทั้งด้านธรรมาภิบาลด้านไอที ความมั่นคงทางไซเบอร์ และการปกป้องข้อมูล

ทั้งนี้ การประเมินความเสี่ยงจะดำเนินงานตามแผนการตรวจสอบภายใน โดยจะมีการทำงานร่วมกันอย่างกับฝ่ายปฏิบัติการ (first line of defense) และฝ่ายบริหาร (second line of defense) ซึ่งการประเมินดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายและแนวปฏิบัติที่ดี

“เราพัฒนาช่องทางสื่อสารแบบเปิดให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกคนได้มีส่วนร่วม โดยจะมีการรายงานผลการตรวจสอบภายใน ต่อคณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการตรวจสอบยัง โดยการรายงาน มุ่งเน้นความครบถ้วนและกระชับรัดกุมของข้อมูล ระบุถึงประเด็น ผลกระทบ ตลอดจนข้อแนะนำ อย่างตรงเป้า ให้มุมมองต่อเคสต่างๆ ที่ค้นพบอย่างรอบด้าน” เธออธิบาย

ทั้งนี้ งานด้านตรวจสอบภายในของ ทรู คอร์ปอเรชั่น จะมีการติดตามผลการปรับปรุงตามข้อแนะนำในประเด็นที่ตรวจพบ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้บริหารดำเนินการตามแผนการปรับปรุงที่ให้ไว้ ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด และมีการสื่อสารกระบวนการดังกล่าวกับผู้บริหารผ่านช่องทางการประชุม Management Committee อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดความสอดคล้องในเป้าหมาย และการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

โลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

“เราอยู่ในโลกที่เทคโนโลยีถูกพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงบริการด้านโทรคมนาคม เพื่อให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว งานตรวจสอบภายในจึงให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี และกำหนดให้มีการพัฒนาความรู้ ความสามารถ ในการตรวจสอบภายใน โดยนำเอาเทคโนโลยีที่จำเป็นมาใช้ ผ่านการอบรมผู้เชี่ยวชาญ รวมไปถึงการนำเทคโนโลยี อาทิ RPA (Robotic Process Automation) ใช้ในงานตรวจสอบ  นอกจากนี้ เรายังมีการประเมินและปรับใช้เทคโนโลยีในแนวทางการตรวจสอบต่างๆ เพื่อให้เท่าทันและสามารถคุมความเสี่ยงที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น” วรัญญากล่าว

วรัญญาและทีม ยืนหยัดต่อการทำหน้าที่พิทักษ์ธรรมาภิบาลและความโปร่งใส ความทุ่มเทเพื่อรักษาไว้ซึ่งความเป็นกลาง ความเป็นอิสระ ความสอดประสานเชิงกลยุทธ์ ตลอดจนความตั้งมั่นและเด็ดเดี่ยวในการประเมิน การควบคุม และการบริหารความเสี่ยง แสดงให้เห็นถึงบทบาทที่สำคัญของงานตรวจสอบภายใน และสืบสวนสอบสวน ต่อการเสริมสร้างความเข้มแข็งธรรมาภิบาลองค์กรในยุคสมัยใหม่ ท่ามกลางพลวัตน์ของเทคโนโลยีที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย งานตรวจสอบภายในและสืบสวนสอบสวน พร้อมแล้วที่จะเดินไปพร้อมความสำเร็จขององค์กร ภายใต้หลักธรรมมาภิบาลที่ดี และพร้อมรับมือกับความท้าทายในโลกยุคดิจิทัลแห่งอนาคต เพื่อมุ่งไปสู่การเป็น Digital Internal Auditor และ Trusted Data & Tech Advisor ของ ทรู คอร์ปอเรชั่น

ฮอตสุดกว่าอากาศในช่วงนี้ก็คงไม่พ้นอีเว้นท์ใหญ่สุดของวงการอสังหาฯ ไทย ต้นปี 2567 เพราะแว่วมาว่า เปิดปีมังกรมหามงคลมาไม่เงียบเหงา เริ่มเปิดจองบูธปุ๊ปก็มีทั้งผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ รายกลาง-เล็ก รวมทั้งสถาบันการเงิน ต่างๆ ให้ความสนใจ ตบเท้าร่วมยื่นข้อเสนอพร้อมขอจองบูธแล้วกว่า 60% ล่าสุดตอนนี้แบรนด์ที่จับจองพื้นที่มากสุด เจ้าใหญ่ตลาด ได้แก่ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ บมจ.แสนสิริ และบมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ เป็นต้น

ด้านบอสมินท์ ภูมิภัทร  พรหมมา ประธานคณะกรรมการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 45 มั่นใจจะสามารถปิดยอดขายบูทได้ในเร็ววัน เนื่องจากงานนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ผู้ประกอบการภาคอสังหาฯ จะได้เร่งทำยอดขาย New high ในช่วงต้นปี พร้อมกันนี้วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 67 จะเริ่มทำการจับฉลากบูธ ณ ห้องประชุม 109 BC&FG ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

“งานนี้รับรองว่าโครงการคุณภาพ เต็มทุกพื้นที่ เตรียมพร้อมรับมือทุกความต้องการเรื่องที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ผู้จัดงานยังยกทัพของรางวัลมาแจกทุกวันภายในงาน รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท อีกทั้งยังลุ้นรางวัลใหญ่แจกรถยนต์ MG 5C และของแถมอื่นๆ ตลอดระยะเวลางาน 4 วัน ระหว่างวันที่ 21 – 24 มีนาคม 2567 ณ Hall 5 ชั้น LG ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์” บอสมินท์ กล่าวชวน

นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา หรือ “ท๊อป จิรายุส” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 10 ผู้นำเทรนด์อนาคตด้านธุรกิจ (Leader of Business) ประจำปี 2567 จาก Future Trends โดยเข้ารับรางวัล “Leader of Business” ในงาน ‘Future Trends Ahead & Awards 2024’ ที่จัดงานประกาศรางวัลครั้งยิ่งใหญ่ สำหรับบุคคลและองค์กรที่มีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมและเป็นที่ยอมรับ โดยมีผู้บริหารและบริษัทชั้นนำต่าง ๆ เข้าร่วม ณ ไบเทค บางนา

ท๊อป จิรายุส เปิดเผยว่า “การได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้นำเทรนด์อนาคตด้านธุรกิจนี้เป็นอีกหนึ่งในความภาคภูมิใจของตน โดยในตลอดระยะเวลา 5 ปี บิทคับเริ่มต้นจากการเป็น FinTech Startup ด้านสินทรัพย์ดิจิทัลและก้าวสู่บริษัทที่เป็นผู้นำในการให้บริการในด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล ผมขอขอบคุณผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จทุกคนที่มอบโอกาสและให้การสนับสนุนกับบิทคับเสมอมา บิทคับขอเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนธุรกิจดิจิทัลและพร้อมเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแรงและมั่นคงให้กับประเทศไทย”

ทั้งนี้ รางวัล “Leader of Business” เป็นรางวัลที่มอบให้กับนักธุรกิจที่มีผลงานการสร้างธุรกิจใหม่อันเป็นที่ประจักษ์ เป็นแบบอย่างที่สามารถถ่ายทอดความรู้ให้ผู้อื่นได้ จนสามารถเป็นผู้นำเทรนด์อนาคตด้านธุรกิจแห่งปี โดยพิจารณาจากการตัดสินของคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและการยอมรับของสังคมผ่านทาง Social Listening Tools

จากการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติครั้งที่ 28 หรือ COP28 ตลอดจนการประชุม World Economic Forum 2024 หรือ WEF ที่เพิ่งเกิดขึ้น ตอกย้ำให้เห็นว่าทั่วโลกให้ความสำคัญกับผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และหารือแนวทางในการจัดการปัญหานี้ จากรายงานความคืบหน้าในการทบทวนสถานการณ์และการดำเนินงานระดับโลก (Global Stocktake Synthesis Report) ของสหประชาติที่เผยแพร่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นความจริงอันน่าตกใจว่า นโยบายการบริหารของภาครัฐทั่วโลกในการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมยังไม่เป็นผลดีนัก ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นถึง 2.6 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าเมื่อเทียบกับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม ตลอดจนการควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงปารีสนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้

ท่ามกลางสถานการณ์โลกเดือด แม้นโยบายภาครัฐต่างๆ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเปลี่ยนแปลง แต่แท้จริงแล้วการปรับตัวของภาคเอกชนไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ก็มีส่วนสำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งการปรับตัวเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่การดำเนินธุรกิจที่มุ่งไปสู่ความยั่งยืนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีควบคู่ไปกับสร้างโลกที่ยั่งยืนนั้น ต้องอาศัยเม็ดเงินมหาศาล อีกทั้งยังต้องอาศัยองค์ความรู้ เทคโนโลยี และโมเดลธุรกิจแห่งอนาคตควบคู่กันไป เช่น การลงทุนในทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานไฟฟ้า และสำหรับนักลงทุนเองนั้นก็จำเป็นต้องวางแผนรับมือกับยุคของการเปลี่ยนผ่านนี้เช่นกัน ด้วยการปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่ให้สอดคล้องและทันกับการเปลี่ยนแปลง เพราะธุรกิจที่เคยดีหรือทำกำไรในอดีต อาจจะไม่สามารถทำแบบเดิมได้อีกต่อไป และหากนักลงทุนไม่สามารถปรับตัวได้ทันก็จะพลาดโอกาสในการลงทุนเช่นกัน

ทำความรู้จักแนวคิด Rethink Sustainability

“Rethink Sustainability” คือแนวคิดจากลอมบาร์ด โอเดียร์ Lombard Odier ไพรเวทแบงก์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกจากสวิสเซอร์แลนด์ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2339 ผ่านวิกฤตทางการเงินกว่า 40 ครั้ง  ปัจจุบันมีทรัพย์สินภายใต้การจัดการ (Asset Under Management: AUM) มูลค่ารวมกว่า 345 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลอมบาร์ด โอเดียร์ เน้นกลยุทธ์ในการสร้างผลตอบที่ยั่งยืนแก่ลูกค้าผ่านโซลูชั่นการลงทุน โดยใช้นวัตกรรมขับเคลื่อนควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต  โดยผู้เชี่ยวชาญที่มีการประเมินความเสี่ยงจากสภาวะเศรษฐกิจ วิกฤตทางการเงิน ตลอดจนภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่วิเคราะห์ถึงปัจจัยรอบด้านอย่างครบถ้วน เพื่อมุ่งออกแบบแผนการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนควบคู่กับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และโลกในอนาคต

ลอมบาร์ด โอเดียร์ เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเพื่อมุ่งไปสู่ความยั่งยืนเป็นแนวคิดที่จะส่งผลกระทบต่อทุกอุตสาหกรรมในอนาคต  โดยจะเปลี่ยนแปลงไปสู่การสร้างเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ คือ CLIC® Economy ที่มีการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน (Circular) ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า (Lean)  ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ (Inclusive) และเป็นธุรกิจที่ช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมที่สะอาด (Clean)  ซึ่งนักลงทุนควรที่จะได้เรียนรู้และเข้าใจแนวคิดนี้ เพื่อสร้างโอกาสในการวางแผนการลงทุน พร้อมลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในยุคที่มีการเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกที่ยั่งยืน

แนวคิดเพื่อความยั่งยืนวิถีใหม่ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันธุรกิจ

การเปลี่ยนผ่านไปสู่ Net Zero ถือเป็นความท้าทาย เพราะทรัพยากรธรรมชาติถูกใช้งานอย่างสิ้นเปลืองจนเกินขอบเขต ทำให้ทุกภาคส่วนทั้งภาคธุรกิจและประชาชนจะต้องปรับตัวอย่างจริงจัง เพื่อให้แต่ละประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายข้อตกลงปารีสในการลดภาวะโลกร้อน เพื่อลดอุณหภูมิโลกให้ไม่เพิ่มเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียส รวมถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปีพ.ศ. 2593 ด้วยความมุ่งมั่นตามข้อตกลงนี้ชี้ให้เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่รูปแบบเศรษฐกิจทั่วโลกควรจะเปลี่ยนแปลงจากเศรษฐกิจรูปแบบเดิมไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน และ CLIC® Economy 

จากการวิจัยที่ผ่านมาของลอมบาร์ด โอเดียร์ เชื่อว่าในอนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ที่ดิน ระบบพลังงาน และภาคการผลิต  จะมีการสร้างแนวทางใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้การกำหนดราคาคาร์บอนจะเป็นปัจจัยหลักในการจัดสรรเงินทุนเพื่อปรับแผนการบริหารให้เหมาะสม รวมถึงการหาแนวทางในการจัดการคาร์บอนสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero Carbon Emissions) จะเป็นพันธกิจหลักที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญ

ปัจจุบันทั่วโลกต่างปรับตัวตามกฎเกณฑ์ใหม่เพื่อหาแนวทางลดอุณหภูมิโลก รวมทั้งรัฐบาลทั่วโลกต่างก็เพิ่มการสนับสนุนการรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้นผ่านหลากหลายโครงการ เช่น การออกนโยบาย EU Green Deal, การออกกฎหมายลดเงินเฟ้อของประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงนโยบายการพัฒนาการใช้พลังงานทดแทนของประเทศจีนที่มุ่งพัฒนาให้เกิดขึ้นจริงใน 5 ปี ข้างหน้า

ด้วยเป้าหมายในการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส ลอมบาร์ด โอเดียร์ คาดการณ์ว่าจะเกิดเม็ดเงินลงทุนมูลค่า 34 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (หรือกว่า 1.2 พันล้านล้านบาท) ภายในปีพ.ศ. 2573 ซึ่งอุตสาหกรรมที่ปรับตัวได้ทันสอดรับกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมนี้จะสามารถสร้างโอกาสการลงทุนมหาศาลและสร้างผลตอบแทนที่มีมูลค่าสูงในอนาคต

ด้วยแนวคิดที่อ้างอิงได้ตามหลักการวิทยาศาสตร์ และวิสัยทัศน์ที่ก้าวหน้า  ลอมบาร์ด โอเดียร์ ได้มีการวางแผนการบริหารพอร์ตการลงทุนตามสภาวะเศรษฐกิจ และเน้นกลยุทธ์ใหม่ๆ ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสอดคล้องกับเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกเป็นสำคัญ เพื่อขานรับแนวคิดเศรษฐกิจใหม่แห่งอนาคต

ส่งผ่านแนวคิดเพื่อความยั่งยืน จากดูไบสู่ดาวอส  

ธรรมชาติ คือหัวใจสำคัญที่สามารถลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ  การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติมีส่วนช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส ภายในปีพ.ศ. 2573 ได้ถึงหนึ่งในสาม ลอมบาร์ด โอเดียร์ ในฐานะผู้นำในการขับเคลื่อนการสร้างความยั่งยืน ได้จัดบรรยายในหัวข้อ re-NATURE Hub  เพื่อเผยแพร่ทิศทางการลงทุนที่สำคัญ เพื่อตอกย้ำบทบาทของภาคการเงิน ภาคเอกชน และภาครัฐ ซึ่งแรงขับเคลื่อนหลักที่จะต้องวางแผนร่วมกันเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายข้อตกลงปารีสในอนาคต  โดยสอดรับกับสาระสำคัญในการจัดประชุมสุดยอดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ ครั้งที่ 28 (COP28) ณ ดูไบ ซึ่งเป็นการประชุมที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนระบบการจัดการอาหาร การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของภาคอุตสาหกรรม ไปจนถึงระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน

 มร. ฮูแบร์ เคลเลอร์  Senior Managing Partner, Lombard Odier  กล่าวว่า “ระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยใช้แนวทางการฟื้นฟูธรรมชาติจะสามารถช่วยให้เราก้าวข้ามระบบเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันได้ ผ่านการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ไปสู่โลกของ Net Zero ซึ่งเป็นโอกาสการลงทุนที่สำคัญที่สุดของยุคนี้” โดยยังตอกย้ำความสำคัญของแนวคิดด้านความยั่งยืนจากงานประชุม World Economic Forum 2024  ที่เมืองดาวอสเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ผู้นำและผู้บริหารจากทั่วโลกต่างลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ทุกองค์กรต้องปรับการบริหารไปสู่การบริหารบนแนวทางแห่งความยั่งยืนว่า “ธรรมชาติคือสินทรัพย์การลงทุนที่มีมูลค่ามหาศาล (Nature As A New Asset Class) เมื่อพูดถึงการจัดการความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศ โลกได้มุ่งความสนใจไปที่การจัดการคาร์บอนมานานกว่า 20 ปี ซึ่งตอนนี้เราทุกคนกำลังหันกลับไปให้ความสำคัญที่ธรรมชาติ จากในอดีตที่ทรัพยากรถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีราคาต่ำที่สุดแต่กลับมีมูลค่ามากที่สุดในยุคปัจจุบัน”

คิดใหม่และเริ่มลงมือทำ เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนในไทย

นอกจากเวทีระดับโลกแล้ว  การหารือแนวทางต่างๆ ภายในประเทศก็มีความสำคัญ เพื่อตอกย้ำความสำคัญของการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับโลกในอนาคต การสร้างการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทย เพื่อมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจไทยไปสู่การสร้างโลกที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริง KBank Private Banking ร่วมกับพันธมิตร ลอมบาร์ด โอเดียร์ เชื่อมั่นในพลังของการลงทุน จึงตอกย้ำบทบาทของไพรเวทแบงก์ ซึ่งเป็นตัวแทนของนักลงทุนที่มีศักยภาพในการช่วยผลักดันเศรษฐกิจของไทยไปสู่ความยั่งยืนได้ อีกทั้งยังเป็นโอกาสให้นักลงทุนเองสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคตด้วยโอกาสการลงทุนใหม่ๆ

นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “นักลงทุนถือเป็นหนึ่งในผู้นำในการขับเคลื่อนโลก และสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคมผ่านการกำหนดกลยทุธ์การลงทุนที่เหมาะสม ฉะนั้นนักลงทุนจะต้องตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ อันเป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาลในการลงทุนในอนาคต และจะเป็นทางรอดสำคัญที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยให้มุ่งไปสู่ยั่งยืนได้”

KBank Private Banking ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน มองว่าแนวคิดการลงทุนอย่างยั่งยืนเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องร่วมกันสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยด้วยการลงมือทำ

นายจิรวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า “เราเล็งเห็นความสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทยเพื่อเปลี่ยนไปสู่สังคมแห่งความยั่งยืน จึงเป็นที่มาของการจัดงาน “Rethink Sustainability: A Call to Action for Thailand" ขึ้นในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 โดยร่วมมือกับพันธมิตรรวบรวมผู้เชี่ยวชาญแนวหน้าระดับโลกและประเทศไทยที่มีความเชี่ยวชาญในการขับเคลื่อนภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมและการวางแผนการลงทุนเพื่อมุ่งไปสู่ความยั่งยืน ซึ่งไม่เพียงตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของความยั่งยืนในเชิงความคิดเท่านั้น แต่เป็นงานสัมมนาที่ต้องการจุดประกายให้เกิดการลงมือทำเพื่อสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง”

ท่านที่สนใจสามารถติดตามข่าวสาร และประเด็นสำคัญในด้านความยั่งยืน (Sustainability) เพื่อเป็นแนวทางสำหรับปรับใช้กับการบริหารธุรกิจของท่านจากสัมมนาแห่งปี “Rethink Sustainability: A Call to Action for Thailand” อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของงานได้ที่ : https://www.kasikornbank.com/en/News/Pages/rethink-sustainability-forum.aspx 

“ช็อกโกแลต” ของขวัญยอดฮิตที่เป็นสื่อแทนใจในการส่งความรัก และความปรารถนาดีที่มีให้กันในช่วงเทศกาลวันแห่งความรัก หรือวันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็นวันที่หลายๆ คนให้ความสำคัญ โดยเฉพาะคู่รัก เพราะถือเป็นวันที่ได้มีโอกาสมอบของขวัญเพื่อแสดงความรู้สึกดีๆที่มีต่อกัน วันนี้ FWD ประกันชีวิต ชวนลูกค้าร่วมค้นหารสชาติ “ช็อกโกแลต” ในแบบที่ตรงใจ พร้อมสร้างประสบการณ์แบรนด์เอฟดับบลิวดีผ่านรสชาติของ Chocolate Bon Bon ทั้ง 8 รสชาติ ในคอลเลคชั่นสุดพิเศษ “Iconic taste of Thailand” ที่ได้ร่วมมือกับ The Chocolate Factory ร้านช็อกโกแลตระดับพรีเมียม หนึ่งในพาร์ทเนอร์ของการ Collaboration ล่าสุด มาดูกันซิว่ารสชาติช็อกโกแลตที่คุณชอบบอกอะไรเกี่ยวกับตัวตนคุณ

  • Coconut Custard คุณคือคนที่โรแมนติก อบอุ่น น่าค้นหา ด้วยรสขนมใส่ไส้ หนึ่งในขนมไทยดั้งเดิม ที่มีความหอมหวาน ให้ความรู้สึกที่คุ้นเคย ที่นำมาซ่อนด้วยการเคลือบช็อกโกแลตอยู่ด้านนอก เพิ่มความน่าค้นหาในทุกคำที่ได้ลอง
  • Summer Dream คุณคือคนที่เต็มไปด้วยความสดใส ร่าเริง อ่อนหวาน เหมือนรสเปรี้ยวที่ให้ความสดชื่นของเสาวรสและความหวานหอมของมะม่วงเมื่อผสมเข้าด้วยกันระหว่างรสชาติของผลไม้ทั้งสองชนิด ชิมแล้วให้ความสดใส และมีรอยยิ้มในทุกคำที่ได้กิน
  • Thai Origin คุณคือคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ สุขุม ลุ่มลึก มีเสน่ห์ ด้วยรสและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของเมล็ดโกโก้ทางภาคเหนือนำมาทำเป็นดาร์กช็อกโกแลตเข้มข้นมีความซับซ้อนในรสชาติที่มาพร้อมกลิ่นหอมของโกโก้ ที่ยิ่งกินยิ่งอยากค้นหาความอร่อยในทุกคำ
  • Siam Chilli คุณคือคนที่พูดจาตรงไปตรงมา ชัดเจน ปากร้ายแต่ก็ใจดี เหมือนรสพริกขี้หนูไทยที่ให้รสเผ็ดร้อนตั้งแต่คำแรกที่เข้าปาก และตามมาด้วยความแซ่บซี้ด จี๊ดต่อไปในทุกคำ เป็นความอร่อยที่หยุดไม่ได้เมื่อได้เริ่มลองชิม
  • Lychee คุณคือคนที่มีรสนิยมดี ช่างพูดช่างเจรจา มีเสน่ห์น่าเข้าหา เหมือนรสชาติหวานซ่อนเปรี้ยวของลิ้นจี่ ที่มาพร้อมกับกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์และเมื่อนำมาผสมกับความเข้มข้นของช็อกโกแลต ทำให้ละมุนลิ้นทุกสัมผัส
  • Thai Coffee คุณคือคนที่มีความอดทน มั่นคง พลังงานล้นเหลือ รักความท้าทาย เหมือนกาแฟโบราณของไทย ที่มีกลิ่นความหอมที่มีความหนักแน่นเป็นเอกลักษณ์ ที่มาพร้อมรสชาติที่ชัดเจนในความเป็นกาแฟ นำมาผสมผสานกับความเข้มข้นของช็อกโกแลตจนกลายเป็นรสชาติที่ลงตัว
  • Thai Bingsul คุณคือคนที่มองโลกในแง่บวก เข้าใจคนอื่น จิตใจดี อ่อนโยน กับรสชาติรสหวานเย็น ที่คุ้นเคยในวัยเด็ก ถูกดัดแปลงมาให้เป็น บิงซู น้ำแข็งไสเกาหลี ที่เมื่อนำเข้ามาผสมกับช็อกโกแลตก็กลายเป็นขนมที่ทำให้อารมณ์ดีในทุกคำที่ได้ลิ้มลอง
  • Thai Crispy Pancake คุณคือคนที่รักสนุก มีอารมณ์ขัน ชอบทำให้คนรอบข้างมีความสุขเมื่อได้อยู่ใกล้ เช่นเดียวกับช็อกโกแลตที่นำมาปรุงแต่งจนได้เป็นรสขนมไทยยอดนิยมอย่าง “ขนมเบื้อง” ที่มีรสหวานกลมกล่อมและมีกลิ่นหอมของกะทิท้ายรสสัมผัสพร้อมสร้างให้เกิดรอยยิ้มเมื่อได้กิน

อร่อยกับรสชาติที่ชอบ ค้นพบตัวตนที่ใช่ แล้วก็อย่าลืมแวะไป Celebrate living สัมผัสความอร่อยที่แตกต่างกับ “Chocolate Bon Bon” ทั้ง 8 รสชาติสไตล์ FWD ประกันชีวิต ได้ที่ร้าน The Chocolate Factory ทั้ง 26 สาขา หรือสั่งผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่ LINE: @Chocfac และแอปเดลิเวอรี่ทุกช่องทาง ตั้งแต่วันที่ วันนี้ – 28 กุมภาพันธ์ 2567

ติดตามการสร้าง Brand Experience ของ FWD ประกันชีวิต กับแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่คุณชื่นชอบได้ใหม่ในเร็วๆนี้

X

Right Click

No right click