

สกัดแนวคิดจากหนังสือ “เหตุผลที่เรามารวมกัน” ตลอดการเดินทางกว่า 111 ปีของเอสซีจี ชวนย้อนมองอดีตจากจุดเริ่มต้น ถึงปัจจุบัน และอนาคต การทำธุรกิจควบคู่กับดูแลสังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อม พร้อมปรับตัวตามทิศทางโลก
เมื่อความยั่งยืนกลายเป็นกติกาสากล ที่จำเป็นต่อการก้าวไปข้างหน้าของโลกอนาคต ถึงเวลาที่ผู้คนทั่วโลกต้องร่วมมือร่วมใจกันทำอะไรสักอย่างเพื่อโลก เพราะไม่มีใครสามารถเดินไปข้างหน้าได้เพียงลำพัง
หนังสือ “เหตุผลที่เรามารวมกัน” ได้ฉายภาพการเดินทางของเอสซีจีตลอด 111 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในปี 2456 ว่าได้พัฒนาธุรกิจควบคู่กับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง จากจุดเริ่มต้นความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร (Corporate Social Responsibility: CSR) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) มาจนถึงปัจจุบันที่ยกระดับสู่แนวทาง ESG (Environmental, Social, Governance) โดยเอสซีจีได้ทำกิจกรรมเพื่อสังคมมาตั้งแต่แรกเริ่ม และปรับเปลี่ยนไปตามบริบทสังคมโลก ทั้งในแง่ความเป็นอยู่ สภาพแวดล้อม สังคม หรือแม้แต่ยามเกิดวิกฤตต่าง ๆ โดยยึดพื้นที่ชุมชนใกล้โรงงานเป็นโจทย์แรกก่อน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างชุมชน ขยายไปสู่สังคมภายนอก ซึ่งการทำทุกกิจกรรมไม่ได้เกิดขึ้นจากเอสซีจีฝ่ายเดียว แต่มาจากความร่วมมือระหว่างชุมชน หน่วยงาน องค์กรที่มีความเชี่ยวชาญแต่ละด้าน ที่รับรู้และเข้าใจปัญหา มีความเชื่อมั่นศรัทธาเหมือนกัน สามัคคีทำงานด้วยกัน จึงเป็นเหตุผลที่เรามารวมกัน ซึ่งเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้สะท้อนแนวคิดออกมาหลายด้าน ดังจะยกตัวอย่างต่อไปนี้
ธุรกิจที่ดีต้องไม่ทำลายศีลธรรมและสิ่งแวดล้อม
การทำธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม เป็นแนวคิดที่เริ่มมาตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ตามคำบอกเล่าของศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย ประธานคณะกรรมการกิจการสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เอสซีจี ว่าหากย้อนไปในช่วงเริ่มต้นเมื่อร้อยปีก่อน เอสซีจีก่อตั้งขึ้นมาเพื่อผลิตปูนซีเมนต์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ต้องซื้อจากต่างประเทศในสมัยรัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 เมื่อถึงสมัยของรัชกาลที่ 6 พระองค์ทรงไปศึกษาต่างประเทศ และทรงได้รู้ว่าถ้ายังต้องพึ่งพาคนอื่นต่อไป เราก็จะไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ จึงให้มีการสำรวจดูว่าดินที่ไหนทำปูนซีเมนต์ได้บ้าง และต่อมาจึงเกิดการตั้งเอสซีจี พร้อมกับถอดพระราชประสงค์ของในหลวงรัชกาลที่ 6 ออกมาจนเกิดปรัชญา “ต้องรับผิดชอบต่อแผ่นดิน” ซึ่งหมายถึงจะทำอะไรก็ต้องรับผิดชอบต่อสังคมด้วย และสิ่งสำคัญของการทำธุรกิจคือ “ต้องไม่ทำลายศีลธรรมและสิ่งแวดล้อม”
ทั้งนี้ เรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมถือเป็นหนึ่งใน “อุดมการณ์ 4” ที่คนเอสซีจียึดถือเป็นหลักในการทำงาน ประกอบด้วย 1. ตั้งมั่นในความเป็นธรรม ต้องมีความรับผิดชอบ และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต้องได้รับความเป็นธรรม เช่น ผู้บริโภคได้ประโยชน์สูงสุดทั้งด้านคุณภาพและราคา พนักงานมีคุณภาพชีวิตที่ดี 2. มุ่งมั่นในความเป็นเลิศ มุ่งทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความตั้งใจ 3. เชื่อมั่นในคุณค่าของคน โดยเฉพาะพนักงานที่เป็นทรัพยากรที่มีค่า 4. ถือมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคม ต้องปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบในทุกพื้นที่ที่เข้าไปดำเนินงาน
ไม่คบเพื่อนที่ไม่มีจรรยาบรรณ
นอกจากนี้ เอสซีจียังมี “จรรยาบรรณเอสซีจี” เพื่อให้พนักงานทุกระดับใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน มีการทบทวนและปรับให้เข้ากับยุคสมัยและประเด็นที่สังคมให้ความสำคัญ ทั้งความเท่าเทียมทางเพศ สิทธิมนุษยชน ไปจนถึงสิ่งแวดล้อม โดยทำให้ลึกซึ้งยิ่งกว่ากฎหมาย เพราะอะไรก็ตามที่อยู่ในข้อกฎหมาย ถ้าละเมิดก็เท่ากับทำผิด แต่บางเรื่องอาจไม่ผิดกฎหมาย แต่เป็นเรื่องไม่เหมาะสม ไม่ควรทำ ซึ่งพนักงานจะต้องเรียนรู้หลักและแนวปฏิบัติตามจรรยาบรรณเอสซีจี นอกจากนี้ยังมี “จรรยาบรรณคู่ธุรกิจ” สำหรับเครือข่ายธุรกิจนับหมื่นราย เป็นเหมือนหลักการคบเพื่อน ไม่ว่าจะธุรกิจไหนถ้าจะคบกันระยะยาว ก็ควรเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน
การช่วยเหลือสังคม ต้องไม่ใช่การหยิบยื่นให้
ในทุกโครงการที่เอสซีจีช่วยเหลือชุมชน จะต้องทำให้เขาอยู่ได้ด้วยตนเอง โดยเอสซีจีน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ที่ว่า “สอนคนให้ตกปลา หาอาหารได้ด้วยตนเอง มิใช่หยิบยื่นปลาให้” เช่น โครงการ ‘รักภูผามหานที’ สร้างฝายชะลอน้ำ เพื่อฟื้นน้ำคืนป่า แก้ปัญหาไฟไหม้ป่าบ่อย โดยเริ่มต้นจากพื้นที่รอบโรงงานเอสซีจี ซึ่งเอสซีจีจะชวนพนักงาน ชุมชน มาคลายปมว่าสาเหตุไฟป่าคืออะไร จนพบว่าพื้นที่ขาดความชุ่มชื้น เลยเกิดเป็นการสร้างฝายชะลอน้ำ เพื่อชะลอน้ำที่ไหลลงมาจากภูเขา ให้ต้นไม้ได้กักเก็บความชุ่มชื้น ชักชวนชาวบ้านเข้ามาทำฝาย หรือโครงการ ‘พลังชุมชน’ ที่ตั้งใจช่วยให้คนไทยเลิกจน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ให้ชาวบ้านเห็นคุณค่าในตนเอง และเชื่อมั่นว่าสามารถพึ่งพาตนเองได้ และยังเป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้ด้วย ด้วยการให้ความรู้คู่คุณธรรม ใช้หลักการตลาดแปรรูปผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่นให้มีมูลค่าเพิ่ม ตรงใจลูกค้า หาวิธีการและช่องทางจำหน่ายสินค้าที่หลากหลาย
ปรับตัวตลอดเวลา อยู่ที่ไหนเป็นพลเมืองดีของที่นั่น
เอสซีจีมีวัฒนธรรมของการปรับตัวตลอดเวลา ไม่ใช่แค่ในด้านการทำธุรกิจ แต่เมื่อไปอยู่ที่ไหนก็ต้องเป็นพลเมืองดีของที่นั่นด้วย ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ อย่างโครงการ CSR แรก ๆ ก็เป็นการบริจาคเหมือนบริษัทอื่น จากนั้นเริ่มขยายความรับผิดชอบต่อสังคมกว้างขึ้นไปสู่ระดับประเทศ และต่างประเทศที่ดำเนินธุรกิจอยู่ โดยเน้นการมีส่วนร่วมและสร้างความร่วมมือกับคนในพื้นที่และหน่วยงานต่าง ๆ เช่น ร่วมกับโรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์กรมหาชน) ดำเนินโครงการ ‘SCG Sharing the Brighter Vision’ ผ่าตัดรักษาผู้ป่วยต้อกระจกชาวเมียนมา คืนแสงสว่างให้การมองเห็น
“CSR ผ่านไป 30 ปีก็อาจจะต้องปรับ ผ่านไป 50 ปีก็ต้องปรับ แต่มีหลักการที่ต้องเหมือนเดิมคือ ไม่สร้างผลกระทบด้านลบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ในขณะเดียวกันก็ต้องสร้างผลบวก คือ 1. ไม่ทำลาย 2. เพิ่มศักยภาพ เพิ่มคุณภาพชีวิต เพิ่มคุณภาพสิ่งแวดล้อม” ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม กล่าว
เมื่อเกิดวิกฤตเรือต้องแล่นไปข้างหน้า ขณะเดียวกันก็ต้องอุดรูรั่วของเรือไปด้วย
ในหนังสือยกสถานการณ์โควิด 19 ปี 2563 ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ และไม่มีใครมีความเชี่ยวชาญหรือความรู้มากพอ สิ่งที่เอสซีจีทำอย่างแรกคือ ทำความเข้าใจสถานการณ์ และดูว่าวิกฤตนี้จะส่งผลต่อธุรกิจในมิติไหนบ้าง จะลงมือทำอะไรได้บ้าง โดยสิ่งแรกที่ทำคือ ดูแลพนักงานให้ปลอดภัยก่อน แยกพนักงานออกเป็นกลุ่ม ๆ
คุณรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่เอสซีจี ปี 2559-2566 กล่าวว่า การประคับประคองตอนนั้นสถานการณ์ไม่ต่างจากการแล่นเรือที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้า แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องอุดรูรั่วของเรือไปด้วย และนอกจากการดูแลพนักงานในองค์กรแล้ว ได้ต่อยอดไปสู่การช่วยเหลือสังคม ซึ่งจะเห็นว่าในยามวิกฤตนั้น เอสซีจีได้นำนวัตกรรมมากมายออกมาช่วยบุคลากรทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นห้องตรวจหาเชื้อ ห้องไอซียูโมดูลาร์ แคปซูลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ เตียงสนามกระดาษเอสซีจีพี และที่สำคัญคือการประสานเรื่องวัคซีนโควิด 19 กับต่างประเทศ
โลกแปรปรวน หาแนวทางกู้โลก และสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจ
เอสซีจีเริ่มจากธุรกิจปูนซีเมนต์ จากนั้นเป็นวัสดุก่อสร้าง กระดาษ บรรจุภัณฑ์ และปิโตรเคมี ธุรกิจเหล่านี้มีส่วนช่วยในการพัฒนาบ้านเมือง ให้คนมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ใช้ทรัพยากรและปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้ทุก ๆ ปีจะมีการทบทวนกลยุทธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืน และได้ยกระดับสู่ “ESG 4 Plus” ประกอบด้วย มุ่ง Net Zero - Go Green - Lean เหลื่อมล้ำ - ย้ำร่วมมือ Plus เชื่อมั่น โปร่งใส เริ่มจากกู้โลกเดือดโดยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะการเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด ซึ่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดสามารถเป็นได้ทั้งโอกาสและความท้าทาย ถ้าปรับตัวช้า จากความท้าทายจะกลายเป็นปัญหา แต่ถ้าเริ่มตั้งแต่วันนี้จากเล็กไปใหญ่ จากน้อยไปมาก ทำในส่วนที่เอื้ออำนวย จะเป็นโอกาส
ตัวอย่างเรื่องพลังงานสะอาด เช่น ร่วมกับชุมชนรอบโรงงานรับซื้อเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว ใบอ้อย มาแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลใช้ในโรงงานปูนซีเมนต์ ติดตั้งโซลาร์เซลล์ในหลายพื้นที่ของบริษัท ทั้งโซลาร์บนหลังคา โซลาร์ฟาร์ม โซลาร์ลอยน้ำ
ภารกิจบทใหม่ ลุกขึ้นมาร่วมมือ สร้างโลกให้น่าอยู่
ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมไม่เคยเป็นเรื่องเก่า แต่ละปีจะมีประเด็นเร่งด่วนที่แตกต่างกันตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เอสซีจีมีการจัดเวทีความร่วมมือด้านความยั่งยืน หรือ SD Symposium มาตั้งแต่ปี 2553 เพื่อเป็นแพลตฟอร์มรวมพลระดับสากล แต่พอปี 2565 ปัญหาโลกร้อนรุนแรงขึ้น จึงยกระดับเป็น ESG Symposium และยิ่งปี 2566 องค์การสหประชาชาติประกาศว่าโลกเข้าสู่วิกฤตโลกเดือด การหารือจึงยกระดับความเข้มข้นขึ้นอีก
คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่เอสซีจี กล่าวว่า ESG Symposium เป็นพื้นที่ประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง อย่างปี 2566 ได้เปิดเวทีให้ตัวแทนจากภาคส่วนต่าง ๆ มาระดมสมอง หารือเพื่อร่วม เร่ง เปลี่ยนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ผ่าน 4 แนวทาง ประกอบด้วย 1. สร้างสระบุรีแซนด์บอกซ์ เมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของประเทศไทย 2. ผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เป็นวาระแห่งชาติ 3. เปลี่ยนสู่พลังงานสะอาดและยั่งยืน 4. เปลี่ยนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งข้อเสนอจากการหารือได้ถูกเสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อเป็นแนวทางขับเคลื่อนต่อไป
นับเป็นภารกิจบทใหม่ในการเดินทางสู่สังคมคาร์บอนต่ำที่ยังมีความท้าทายอยู่มาก เรื่องราวต่าง ๆ ในหนังสือ “เหตุผลที่เรามารวมกัน” เป็นส่วนหนึ่งของบทเรียนบนเส้นทางการขับเคลื่อนความยั่งยืนของเอสซีจี ที่ร่วมมือกับหลากหลายภาคส่วนตลอดกว่าศตวรรษที่ผ่านมา ซึ่งหวังว่าจะสร้างแรงบันดาลใจและมุมมองใหม่ ๆ ให้กับผู้ร่วมทางทุกคนไม่มากก็น้อย ติดตามอ่านหนังสือเล่มนี้ โดยดาวน์โหลดได้ที่ https://www.scg.com/pdf/th/the-power-of-collaboration.pdf
บริษัท เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ จำกัด ร่วมกับบริษัท ซีเกท เทคโนโลยี ประเทศไทย จำกัด ร่วมลงนามในสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด สำหรับการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ขนาด 20.96 เมกะวัตต์ ณ โรงงานซีเกท จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่สุดตั้งแต่ดำเนินกิจการมา มุ่งสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืนและเดินหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
ภายใต้สัญญาฉบับนี้ จะมีการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาซึ่งสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดสูงสุดได้ถึง 20.96 เมกะวัตต์ บนหลังคาของโรงงานซีเกท จังหวัดนครราชสีมา โดยเอสซีจี คลีนเนอร์ยี่เป็นผู้รับผิดชอบในการลงทุน การบริหารโครงการ และการดำเนินงาน ซึ่งจะทำให้ซีเกทสามารถผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใช้เองได้อย่างยั่งยืน
ความร่วมมือนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองบริษัทในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงสนับสนุนอนาคตที่ยั่งยืนของประเทศไทยและโลก โดยการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการผลิตกระแสไฟฟ้าจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และลดการพึ่งพาการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นสังคมที่ใช้พลังงานอย่างยั่งยืน
นายอรรถพงศ์ สถิตมโนธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ จำกัด กล่าวว่า “เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ มุ่งขับเคลื่อนประเทศไทยและภูมิภาคให้ไปถึงสังคมคาร์บอนต่ำ และ Net Zero ด้วยการสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ลดคาร์บอนไดออกไซด์ในการดำเนินงาน บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับซีเกท ประเทศไทยในการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ซึ่งการลงนามในสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดวันนี้ เป็นอีกก้าวสำคัญของเอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ เนื่องจากเป็นการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาใหญ่ที่สุดตั้งแต่ดำเนินการมา”
นายนรเชษฐ์ แซ่ตั้ง ผู้จัดการประจำประเทศไทย และรองประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “ในฐานะนวัตกรชั้นนำทางด้านการเก็บข้อมูลมวลความจุขนาดใหญ่ทั่วโลก ซีเกทให้ความสำคัญต่อการลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และการสร้างให้เกิดการจัดการข้อมูลอย่างยั่งยืน เราได้เริ่มดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย (moonshot goal) ของเรา โดยการปรับเปลี่ยนการดำเนินงานทั้งหมดของซีเกท รวมถึงโรงงานซีเกทที่ จ.นครราชสีมา และ ต.เทพารักษ์ จ.สมุทรปราการ ให้ใช้พลังงานทดแทน 100% สัญญาฉบับนี้จะช่วยให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้ และยืนยันความมุ่งมั่นของเราในการเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2583”
เอสซีจี ขับเคลื่อน Inclusive Society ปลุกพลังชุมชน จัดงาน SCG “The Possibilities for Inclusive Society – เติบโตไปด้วยกัน…กับโลกที่ยั่งยืน” ชูแนวคิดระเบิดจากข้างใน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ร่วมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี สังคมน่าอยู่ และสิ่งแวดล้อมยั่งยืน ผ่าน 4 ตัวแทนผู้นำชุมชน
นายชนะ ภูมี ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การบริหารความยั่งยืน เอสซีจี กล่าวว่า เอสซีจีมีแนวคิดที่จะทำให้คนในชุมชน สังคม ปรับตัวเพื่อตอบรับกับโลกที่เปลี่ยนแปลง และกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะการขาดแคลนอาหาร โดยการเรียนรู้จากหน่วยงานอื่นที่ทำสำเร็จและไม่สำเร็จ รวมทั้งศึกษาดูงานที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้ดำเนินการอย่างระมัดระวังเพื่อฟื้นฟูป่าสีเขียว สร้าง Inclusive Society ให้เกิดขึ้นจริง มีการเข้าไปพูดคุยกับชุมชน นำความต้องการของคนในพื้นที่มาสานต่อ พร้อมเดินหน้าตามแนวทางการฟื้นน้ำ สร้างป่า พัฒนาอาชีพมั่นคง ส่งเสริมสุขภาวะที่ดี และสนับสนุนสังคมคาร์บอนต่ำ
ที่ผ่านมาเอสซีจีได้ดำเนินโครงการ ‘รักษ์ภูผามหานที’ ตอบโจทย์การฟื้นน้ำ สร้างป่า โดยถ่ายทอดแนวทางการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนให้ชุมชนนำไปปฏิบัติอย่างเหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ เพื่อให้มีน้ำกิน น้ำใช้ และมีน้ำเพียงพอสำหรับทำเกษตรกรรม รวมทั้งจับมือกับชุมชนดูแลระบบนิเวศให้สมบูรณ์และรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ โดยตั้งเป้าหมายปลูก ฟื้นฟู อนุรักษ์ป่า 3 ล้านไร่ในปี 2593 ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 5 ล้านตันต่อปี
อีกหนึ่งโครงการที่เอสซีจีดำเนินการต่อเนื่องคือ ‘พลังชุมชน’ พัฒนาศักยภาพชุมชน แก้จนด้วยความรู้คู่คุณธรรม ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าท้องถิ่น ทำให้สินค้ามีอัตลักษณ์และตอบโจทย์ตลาด จนถึงปัจจุบันสร้างอาชีพไปแล้ว 4,942 คน สร้างรายได้เพิ่มกว่า 4-5 เท่า เกิดเป็นเครือข่ายชุมชนเข้มแข็ง 24 จังหวัดทั่วประเทศ พร้อมทั้งยังพัฒนาอาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด อาทิ โครงการสุภาพบุรุษนักขับของ ‘โรงเรียนทักษะพิพัฒน์’ จัดหลักสูตรฝึกอบรมขับรถบรรทุกให้ผู้ว่างงานเป็นพนักงานขับรถบรรทุกมืออาชีพ ‘แพลตฟอร์มคิวช่าง’ เปิดศูนย์ฝึกอบรมช่าง Q-CHANG ACADEMY เพื่อพัฒนาทักษะและยกระดับอาชีพช่างในด้านต่าง ๆ ครอบคลุมทักษะด้านความรู้ อารมณ์ การเข้าสังคม และธุรกิจ
ขณะเดียวกันเอสซีจียังเดินหน้าสร้างสุขภาวะที่ดี ผ่านโครงการ ‘แพทย์ดิจิทัล ดูแลผู้ป่วยทางไกล’ ด้วยนวัตกรรม DoCare ระบบ Tele-monitoring และ Telemedicine ที่ทำให้คนในชุมชนห่างไกลสามารถเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้โดยไม่ต้องเดินทางไกล
นอกจากนี้ยังสนับสนุนสังคมคาร์บอนต่ำ ผ่านโครงการ ‘สระบุรีแซนด์บ็อกซ์’ ซึ่งเป็นความร่วมมือบูรณาการระหว่างรัฐ-เอกชน-ประชาชน เปลี่ยนจังหวัดสระบุรีให้เป็นเมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย เพื่อสร้างแรงจูงใจให้จังหวัดอื่น ๆ เปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และช่วยให้ประเทศไทยบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2608”
นายชนะ กล่าวเสริมว่า “การดำเนินงานให้เกิดประสิทธิผล ต้องประกอบด้วย 1. มีนโยบายชัดเจน 2. นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เช่น การใช้ AI มาทำการสำรวจตลาด 3. หาแหล่งเงินทุนมาช่วยสนับสนุน พร้อมกันนี้ยังต้องสร้างพฤติกรรมใหม่ให้กับคนในชุมชน ด้วยการลด ละ เลิก เริ่มตั้งแต่หวย แอลกอฮอล์ การพนัน ยาเสพติด เป็นการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อนำเงินมาตั้งหลัก และ 4. ทำให้มีกระบวนการเปลี่ยนผ่านที่สามารถทำซ้ำ ๆ แล้วส่งต่อได้ ด้วยการระเบิดจากข้างใน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา”
ภายในงาน SCG “The Possibilities for Inclusive Society – เติบโตไปด้วยกัน...กับโลกที่ยั่งยืน” ที่จัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่เอสซีจี บางซื่อ นอกจากการนำสินค้าในชุมชนต่าง ๆ ในโครงการ ‘พลังชุมชน’ มาส่งต่อถึงมือผู้บริโภคแล้ว ยังขยายแนวคิดและองค์ความรู้สู่คนในเมือง พร้อมส่งต่อพลังบวก ผ่านเรื่องเล่าจาก 4 ตัวแทนผู้นำชุมชน ใน 4 แนวทาง กับเรื่องราวที่แตกต่างกัน ประกอบด้วย การฟื้นน้ำสร้างป่า การพัฒนาอาชีพมั่นคงจากหัตถกรรม ขยะชุมชนเชื่อมคนสองวัย และแพทย์ดิจิทัลช่วยผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกล
เริ่มจากนางวันดี อินทรพรม กำนันตำบลแกลง จังหวัดระยอง ผู้เปลี่ยนความแห้งแล้งของเขายายดา ให้เป็นป่าต้นน้ำที่หล่อเลี้ยงชุมชนมาบจันทร์ ด้วยการ‘สร้างฝายชะลอน้ำ สร้างแนวกันไฟ ทำงานร่วมกับเอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) และยังเข้าไปให้คำปรึกษา ให้ความร่วมมือกับชุมชนรอบเขายายดาในการสร้างฝายชะลอน้ำ เริ่มต้นจากเพียง 1-2 ชุมชนในปี 2550 ก่อนจะขยายเป็นเครือข่ายการสร้างฝายชะลอน้ำรอบเขายายดา จนชาวบ้านเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของป่าที่กลับมาเขียวชอุ่ม และไม่มีไฟป่าเกิดขึ้นในฤดูแล้ง ขณะเดียวกันก็สร้างกฎกติกาการใช้น้ำด้วยโมเดล 2 สร้าง 2 เก็บ เพื่อให้ชุมชนมีน้ำกินน้ำใช้อย่างยั่งยืน
ด้านนางอำพร วงค์ษา หรือครูอ้อ ประธานศูนย์หัตถกรรมบ้านงานฝีมือบ้านผาหนาม จังหวัดลำพูน หนึ่งในสมาชิก ‘โครงการพลังชุมชน’ ผู้พลิกวิกฤตของชีวิตเป็นแรงผลักดันสร้างโอกาสให้กับตัวเอง พร้อมทั้งเดินหน้าสร้างอาชีพให้คนในชุมชน เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ว่างงาน และผู้หญิงที่ขาดโอกาสในการทำงาน ครูอ้อพลิกวิกฤตในชีวิตตัวเอง สู่การเป็นผู้นำครอบครัว สร้างโอกาสให้ตัวเองด้วยสิ่งที่ถนัดและมีใจรักผ่าน ‘งานหัตถกรรม’ ทำให้สามารถดูแลครอบครัว สร้างอาชีพให้ตัวเองจนเป็นที่พึ่งให้ครอบครัวได้ และยังส่งมอบโอกาสไปยังชุมชนให้ได้ลืมตาอ้าปากไปด้วยกัน
นางจิตรา ป้านวัน ประธานชุมชนวังขรีวิถียั่งยืน ผู้ก่อตั้ง ‘กลุ่มเยาวชนยิ้มแฉ่งให้ด้วยใจ’ แก้ปัญหาขยะ สร้างความร่วมมือและให้ความรู้เรื่องขยะ พร้อมทั้งพาไปปฏิบัติจริง ทัศนศึกษาด้วยการเก็บขยะภายในชุมชน และแวะเยี่ยมบ้านผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ เพื่อกระตุ้นให้เด็ก ๆ ได้เห็นภาพวิถีชีวิตที่แตกต่างของแต่ละครอบครัว รวมถึงความยากลำบาก หลังจากนั้นคือการเชื่อมต่อเยาวชนและผู้สูงวัยให้เกิดการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน นอกจากการพัฒนาชุมชนให้สะอาดน่าอยู่ มุ่งสู่ชุมชนคาร์บอนต่ำ ยังช่วยสร้างอาชีพ เพิ่มพลังชีวิตให้กับเยาวชนและผู้สูงอายุด้วย
หญิงแกร่งคนสุดท้ายคือ นางนิโลบล ลิจุติภูมิ นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ หัวหน้ากลุ่มงานบริการด้านปฐมภูมิและองค์รวม โรงพยาบาลท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ผู้ผลักดันให้ผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลได้รับการรักษาที่ดี ลดความเหลื่อมล้ำด้านสาธารณสุข ด้วยการใช้เทคโนโลยีแพทย์ดิจิทัลจากโครงการ ‘แพทย์ดิจิทัล ดูแลผู้ป่วยทางไกล’ ประสิทธิผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพด้วยชุดบริการส่งเสริมสุขภาพรูปแบบใหม่ สำหรับกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานในหน่วยบริการปฐมภูมิ อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี
Inclusive Society ถือเป็นอีกหนึ่งบทบาทสำคัญของเอสซีจี ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้ทุกคนเติบโตไปด้วยกัน มุ่งสู่เป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ทั้งด้านการศึกษา อาชีพ และสุขภาวะ 50,000 คน ภายในปี 2573 โดยทั้งหมดเกิดจากความร่วมมือของพนักงาน เครือข่าย พันธมิตร และชุมชน ที่มีแนวคิดเดียวกันว่า เส้นทาง ‘การพัฒนา’ ไม่มีวันสิ้นสุด เราต้องเรียนรู้และปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกอยู่เสมอ เพื่อร่วมกันสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้คนในสังคม ควบคู่การสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน