December 12, 2024

เอสซีจี ขับเคลื่อน  Inclusive Society ปลุกพลังชุมชน จัดงาน SCG “The Possibilities for Inclusive Society – เติบโตไปด้วยกัน…กับโลกที่ยั่งยืน” ชูแนวคิดระเบิดจากข้างใน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ร่วมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี สังคมน่าอยู่ และสิ่งแวดล้อมยั่งยืน ผ่าน 4 ตัวแทนผู้นำชุมชน

นายชนะ ภูมี ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การบริหารความยั่งยืน เอสซีจี กล่าวว่า เอสซีจีมีแนวคิดที่จะทำให้คนในชุมชน สังคม ปรับตัวเพื่อตอบรับกับโลกที่เปลี่ยนแปลง และกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะการขาดแคลนอาหาร โดยการเรียนรู้จากหน่วยงานอื่นที่ทำสำเร็จและไม่สำเร็จ รวมทั้งศึกษาดูงานที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้ดำเนินการอย่างระมัดระวังเพื่อฟื้นฟูป่าสีเขียว สร้าง Inclusive Society ให้เกิดขึ้นจริง มีการเข้าไปพูดคุยกับชุมชน นำความต้องการของคนในพื้นที่มาสานต่อ พร้อมเดินหน้าตามแนวทางการฟื้นน้ำ สร้างป่า พัฒนาอาชีพมั่นคง ส่งเสริมสุขภาวะที่ดี และสนับสนุนสังคมคาร์บอนต่ำ

ที่ผ่านมาเอสซีจีได้ดำเนินโครงการ ‘รักษ์ภูผามหานที’ ตอบโจทย์การฟื้นน้ำ สร้างป่า โดยถ่ายทอดแนวทางการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนให้ชุมชนนำไปปฏิบัติอย่างเหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ เพื่อให้มีน้ำกิน น้ำใช้ และมีน้ำเพียงพอสำหรับทำเกษตรกรรม รวมทั้งจับมือกับชุมชนดูแลระบบนิเวศให้สมบูรณ์และรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ โดยตั้งเป้าหมายปลูก ฟื้นฟู อนุรักษ์ป่า 3 ล้านไร่ในปี 2593 ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 5 ล้านตันต่อปี

อีกหนึ่งโครงการที่เอสซีจีดำเนินการต่อเนื่องคือ ‘พลังชุมชน’ พัฒนาศักยภาพชุมชน แก้จนด้วยความรู้คู่คุณธรรม ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าท้องถิ่น ทำให้สินค้ามีอัตลักษณ์และตอบโจทย์ตลาด จนถึงปัจจุบันสร้างอาชีพไปแล้ว 4,942 คน สร้างรายได้เพิ่มกว่า 4-5 เท่า เกิดเป็นเครือข่ายชุมชนเข้มแข็ง 24 จังหวัดทั่วประเทศ พร้อมทั้งยังพัฒนาอาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด อาทิ โครงการสุภาพบุรุษนักขับของ ‘โรงเรียนทักษะพิพัฒน์’ จัดหลักสูตรฝึกอบรมขับรถบรรทุกให้ผู้ว่างงานเป็นพนักงานขับรถบรรทุกมืออาชีพ  ‘แพลตฟอร์มคิวช่าง’ เปิดศูนย์ฝึกอบรมช่าง Q-CHANG ACADEMY เพื่อพัฒนาทักษะและยกระดับอาชีพช่างในด้านต่าง ๆ ครอบคลุมทักษะด้านความรู้ อารมณ์ การเข้าสังคม และธุรกิจ

ขณะเดียวกันเอสซีจียังเดินหน้าสร้างสุขภาวะที่ดี ผ่านโครงการ ‘แพทย์ดิจิทัล ดูแลผู้ป่วยทางไกล’ ด้วยนวัตกรรม DoCare ระบบ Tele-monitoring และ Telemedicine ที่ทำให้คนในชุมชนห่างไกลสามารถเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้โดยไม่ต้องเดินทางไกล

นอกจากนี้ยังสนับสนุนสังคมคาร์บอนต่ำ ผ่านโครงการ ‘สระบุรีแซนด์บ็อกซ์’ ซึ่งเป็นความร่วมมือบูรณาการระหว่างรัฐ-เอกชน-ประชาชน เปลี่ยนจังหวัดสระบุรีให้เป็นเมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย เพื่อสร้างแรงจูงใจให้จังหวัดอื่น ๆ เปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และช่วยให้ประเทศไทยบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2608”

นายชนะ กล่าวเสริมว่า “การดำเนินงานให้เกิดประสิทธิผล ต้องประกอบด้วย 1. มีนโยบายชัดเจน  2. นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เช่น การใช้ AI มาทำการสำรวจตลาด  3. หาแหล่งเงินทุนมาช่วยสนับสนุน พร้อมกันนี้ยังต้องสร้างพฤติกรรมใหม่ให้กับคนในชุมชน ด้วยการลด ละ เลิก เริ่มตั้งแต่หวย แอลกอฮอล์ การพนัน ยาเสพติด เป็นการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อนำเงินมาตั้งหลัก และ 4. ทำให้มีกระบวนการเปลี่ยนผ่านที่สามารถทำซ้ำ ๆ แล้วส่งต่อได้ ด้วยการระเบิดจากข้างใน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา”

ภายในงาน SCG “The Possibilities for Inclusive Society – เติบโตไปด้วยกัน...กับโลกที่ยั่งยืน” ที่จัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่เอสซีจี บางซื่อ นอกจากการนำสินค้าในชุมชนต่าง ๆ ในโครงการ ‘พลังชุมชน’ มาส่งต่อถึงมือผู้บริโภคแล้ว ยังขยายแนวคิดและองค์ความรู้สู่คนในเมือง พร้อมส่งต่อพลังบวก ผ่านเรื่องเล่าจาก 4 ตัวแทนผู้นำชุมชน ใน 4 แนวทาง กับเรื่องราวที่แตกต่างกัน ประกอบด้วย การฟื้นน้ำสร้างป่า การพัฒนาอาชีพมั่นคงจากหัตถกรรม ขยะชุมชนเชื่อมคนสองวัย และแพทย์ดิจิทัลช่วยผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกล

เริ่มจากนางวันดี อินทรพรม กำนันตำบลแกลง จังหวัดระยอง ผู้เปลี่ยนความแห้งแล้งของเขายายดา ให้เป็นป่าต้นน้ำที่หล่อเลี้ยงชุมชนมาบจันทร์ ด้วยการ‘สร้างฝายชะลอน้ำ สร้างแนวกันไฟ ทำงานร่วมกับเอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) และยังเข้าไปให้คำปรึกษา ให้ความร่วมมือกับชุมชนรอบเขายายดาในการสร้างฝายชะลอน้ำ เริ่มต้นจากเพียง 1-2 ชุมชนในปี 2550 ก่อนจะขยายเป็นเครือข่ายการสร้างฝายชะลอน้ำรอบเขายายดา จนชาวบ้านเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของป่าที่กลับมาเขียวชอุ่ม และไม่มีไฟป่าเกิดขึ้นในฤดูแล้ง ขณะเดียวกันก็สร้างกฎกติกาการใช้น้ำด้วยโมเดล 2 สร้าง 2 เก็บ เพื่อให้ชุมชนมีน้ำกินน้ำใช้อย่างยั่งยืน

ด้านนางอำพร วงค์ษา หรือครูอ้อ ประธานศูนย์หัตถกรรมบ้านงานฝีมือบ้านผาหนาม จังหวัดลำพูน หนึ่งในสมาชิก ‘โครงการพลังชุมชน’ ผู้พลิกวิกฤตของชีวิตเป็นแรงผลักดันสร้างโอกาสให้กับตัวเอง พร้อมทั้งเดินหน้าสร้างอาชีพให้คนในชุมชน เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ว่างงาน และผู้หญิงที่ขาดโอกาสในการทำงาน ครูอ้อพลิกวิกฤตในชีวิตตัวเอง สู่การเป็นผู้นำครอบครัว สร้างโอกาสให้ตัวเองด้วยสิ่งที่ถนัดและมีใจรักผ่าน ‘งานหัตถกรรม’ ทำให้สามารถดูแลครอบครัว สร้างอาชีพให้ตัวเองจนเป็นที่พึ่งให้ครอบครัวได้ และยังส่งมอบโอกาสไปยังชุมชนให้ได้ลืมตาอ้าปากไปด้วยกัน

นางจิตรา ป้านวัน ประธานชุมชนวังขรีวิถียั่งยืน ผู้ก่อตั้ง ‘กลุ่มเยาวชนยิ้มแฉ่งให้ด้วยใจ’ แก้ปัญหาขยะ สร้างความร่วมมือและให้ความรู้เรื่องขยะ พร้อมทั้งพาไปปฏิบัติจริง ทัศนศึกษาด้วยการเก็บขยะภายในชุมชน และแวะเยี่ยมบ้านผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ เพื่อกระตุ้นให้เด็ก ๆ ได้เห็นภาพวิถีชีวิตที่แตกต่างของแต่ละครอบครัว รวมถึงความยากลำบาก หลังจากนั้นคือการเชื่อมต่อเยาวชนและผู้สูงวัยให้เกิดการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน นอกจากการพัฒนาชุมชนให้สะอาดน่าอยู่ มุ่งสู่ชุมชนคาร์บอนต่ำ ยังช่วยสร้างอาชีพ เพิ่มพลังชีวิตให้กับเยาวชนและผู้สูงอายุด้วย

หญิงแกร่งคนสุดท้ายคือ นางนิโลบล ลิจุติภูมิ นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ หัวหน้ากลุ่มงานบริการด้านปฐมภูมิและองค์รวม โรงพยาบาลท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ผู้ผลักดันให้ผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลได้รับการรักษาที่ดี ลดความเหลื่อมล้ำด้านสาธารณสุข ด้วยการใช้เทคโนโลยีแพทย์ดิจิทัลจากโครงการ ‘แพทย์ดิจิทัล ดูแลผู้ป่วยทางไกล’ ประสิทธิผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพด้วยชุดบริการส่งเสริมสุขภาพรูปแบบใหม่ สำหรับกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานในหน่วยบริการปฐมภูมิ อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี

Inclusive Society ถือเป็นอีกหนึ่งบทบาทสำคัญของเอสซีจี ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้ทุกคนเติบโตไปด้วยกัน มุ่งสู่เป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ทั้งด้านการศึกษา อาชีพ และสุขภาวะ 50,000 คน ภายในปี 2573 โดยทั้งหมดเกิดจากความร่วมมือของพนักงาน เครือข่าย พันธมิตร และชุมชน ที่มีแนวคิดเดียวกันว่า เส้นทาง ‘การพัฒนา’ ไม่มีวันสิ้นสุด เราต้องเรียนรู้และปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกอยู่เสมอ เพื่อร่วมกันสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้คนในสังคม ควบคู่การสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

ส่ง 5 เทรนด์บ้าน – คลินิกหมอบ้าน แก้โจทย์การอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน ตั้งเป้าปี 69 ดูแลเรื่องบ้านครบวงจร ‘คิด-สร้าง-ซ่อม-อยู่’

บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีจีซี (SCGC) พร้อมด้วย บริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด ในกลุ่มธุรกิจ SCGC  ร่วมกับจังหวัดระยอง เทศบาลเมืองมาบตาพุด และกลุ่มประมงเรือเล็กพื้นบ้าน จัดกิจกรรมตลาดนัดชุมชน “ชอป ชิม ริมเล” หวังกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนและการท่องเที่ยวบริเวณปากคลองตากวนและชุมชนใกล้เคียง โดยเปิดตลาดนัดเพื่อเป็นพื้นที่ขาย สร้างรายได้ให้กับกลุ่มประมงเรือเล็กพื้นบ้าน กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ร้านค้า และผู้ประกอบรายย่อย จำนวนกว่า 60 ร้านค้า ระหว่างวันที่ 26 - 30 มิถุนายน 2567 โดยเริ่มเปิดตลาดตั้งแต่เวลา 16.00 – 22.00 น. ณ ปากคลองตากวน หาดสุชาดา จังหวัดระยอง

นายมงคล เฮงโรจนโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวว่า “SCGC มีแนวทางและเจตนารมย์ที่จะช่วยผลักดันและพัฒนาให้จังหวัดระยองเป็นเมืองที่น่าอยู่ อุตสาหกรรมและชุมชนเติบโตไปด้วยกัน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สำหรับปากคลองตากวนซึ่งเป็นสถานที่จัดงานในปีนี้ เป็นหนึ่งในอัตลักษณ์สำคัญของระยอง ซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวของวิถีชีวิตประมงพื้นบ้านจากรุ่นสู่รุ่นสืบต่อกันมายาวนาน พร้อมกับการประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านด้วยจิตสำนึกรักและดูแลสิ่งแวดล้อมทางทะเล ทำให้พื้นที่แห่งนี้อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งอาหารทะเลและแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ จึงขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้ลองมาสัมผัสกับวิถีชีวิตของประมงพื้นบ้านให้มากยิ่งขึ้น พร้อมรับประทานอาหารทะเลสด ๆ จากเมืองระยอง”

นายอนุสรณ์ แสงกล้า นายอำเภอเมืองระยอง กล่าวว่า “จังหวัดระยองพร้อมสนับสนุนส่งเสริมทุกกิจกรรมและทุกช่องทางที่จะช่วยให้ชาวระยองเติบโตทางด้านเศรษฐกิจไปพร้อม ๆ กับภาคอุตสาหกรรม นับเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ช่วยกันสนับสนุนสินค้าจากชาวระยอง รวมทั้งอาหารทะเลที่สด ใหม่ สะอาด และสินค้าจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ ในด้านการท่องเที่ยวนั้น ชายหาดในเมืองระยองมีความสวยงามแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ซึ่งเป็นจุดเด่น และจุดขายที่จะช่วยให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ที่แตกต่าง และกลับมาท่องเที่ยวอีกครั้ง หรือต่อยอดเป็นการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อม”

นายถวิล โพธิบัวทอง นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองมาบตาพุด กล่าวว่า “เทศบาลเมืองมาบตาพุดอยู่คู่กับโรงงานอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนาน คนมาบตาพุดได้ร่วมทำประโยชน์กับภาคอุตสาหกรรมมาโดยตลอด ทั้งการส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อมและการสนับสนุนการสร้างรายได้ให้ชุมชน การจัดงานในวันนี้ พิสูจน์ให้เห็นว่า พื้นที่รอบโรงงานอุตสาหกรรม มีความสวยงามที่สามารถเป็นจุดท่องเที่ยวได้เช่นกัน มาซื้อสินค้าอาหารทะเลที่มีคุณภาพ พร้อมๆ ไปกับการชมวิวธรรมชาติที่สวยงาม เป็นเอกลักษณ์ ไม่แพ้พื้นที่อื่น ๆ ในระยอง  เทศบาลเมืองมาบตาพุดจึงร่วมกับ SCGC จัดตลาดนัดชุมชนครั้งนี้ขึ้น เพื่อให้คนได้มาท่องเที่ยวและซื้อสินค้าของชุมชน ทั้งจากกลุ่มประมงเรือเล็กพื้นบ้าน วิสาหกิจชุมชน และร้านค้ารายย่อยโดยรอบ ซึ่งจะช่วยให้คนรู้จักพื้นที่นี้ รู้จักของดีในมาบตาพุด และมาท่องเที่ยวหลังจากนี้อย่างต่อเนื่อง”

ตลาดนัดชุมชน “ชอป ชิม ริมเล” นอกจากจะมีสินค้าและอาหารจำหน่ายอย่างหลากหลายแล้ว  ยังมีกิจกรรมบนเวทีเพื่อสร้างความสนุกสนานอีกมากมาย อาทิ การแข่งขันทำอาหาร แข่งขันรับประทานอาหารทะเล เป็นต้น รวมทั้งไฮไลต์ที่จัดมาเป็นพิเศษเอาใจสายกิน คือ บุฟเฟต์อาหารทะเล ราคา 99 บาท พร้อมบริการปิ้ง ย่าง ยำ และน้ำจิ้มรสเด็ด (รับจำนวนจำกัด) ซึ่งเงินที่ได้จากการจำหน่ายบุฟเฟต์โดยไม่หักค่าใช้จ่าย SCGC จะมอบให้กับประมงจังหวัดเพื่อนำไปซื้อพันธุ์สัตว์น้ำสำหรับปล่อยสู่ระบบนิเวศทางทะเลเพื่อสร้างสมดุลทางธรรมชาติต่อไป

นอกจากนี้ ในงานดังกล่าว SCGC ยังได้นำพนักงานจิตอาสามาเก็บขยะชายหาดตลอดสัปดาห์ เพื่อทัศนียภาพที่สวยงาม รวมทั้งมีการคัดแยกขยะจากบริเวณงานเพื่อเข้าสู่กระบวนการจัดการที่ถูกต้อง โดยจะนำไปรีไซเคิลเพื่อสร้างประโยชน์ต่อไปตามแนวทาง ESG

เอสซีจี ขับเคลื่อน Inclusive Society สร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อส่งต่อคุณภาพชีวิตที่ดี สังคมน่าอยู่ สิ่งแวดล้อมยั่งยืนให้คนรุ่นถัดไป ชวนทุกภาคส่วนร่วมแลกเปลี่ยน แบ่งปัน และสานต่อภารกิจความยั่งยืนให้อยู่คู่สังคมไทย ในงาน SCG “The Possibilities for Inclusive Society – เติบโตไปด้วยกัน...กับโลกที่ยั่งยืน”

นายชนะ ภูมี ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การบริหารความยั่งยืน เอสซีจี กล่าวว่า “ธุรกิจต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลก สังคม และยุคสมัย เอสซีจีจึงยกระดับการขับเคลื่อนความยั่งยืนสู่ Inclusive Society ร่วมกับพนักงาน เครือข่าย พันธมิตร และชุมชน สร้างการเปลี่ยนแปลง แก้ไขปัญหาอย่างเห็นผลเป็นรูปธรรม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต สังคม สิ่งแวดล้อมยั่งยืน และส่งต่อโลกที่น่าอยู่ให้คนรุ่นต่อไป โดยมุ่งผลักดันสังคมเติบโตไปด้วยกัน 4 ด้าน

ฟื้นน้ำ สร้างป่า ดำเนินงานมาเกือบ 20 ปี อาทิ โครงการ ‘รักษ์ภูผามหานที’ ถ่ายทอดแนวทางการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนให้ชุมชนนำไปปฏิบัติอย่างเหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ เพื่อให้มีน้ำกิน น้ำใช้ น้ำทำเกษตรตลอดปี พร้อมจับมือกับชุมชนดูแลระบบนิเวศให้สมบูรณ์และรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ โดยตั้งเป้าหมายปลูก ฟื้นฟู อนุรักษ์ป่า 3 ล้านไร่ในปี 2593 ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 5 ล้านตันต่อปี

พัฒนาอาชีพมั่นคง พัฒนาทักษะอาชีพ ให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน อาทิ โครงการ ‘พลังชุมชน’ พัฒนาศักยภาพชุมชน แก้จนด้วยความรู้คู่คุณธรรม ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าท้องถิ่นมีอัตลักษณ์และตอบโจทย์ตลาด จนถึงปัจจุบันสร้างอาชีพไปแล้ว 4,942 คน สร้างรายได้เพิ่มกว่า 4-5 เท่า เกิดเป็นเครือข่ายชุมชนเข้มแข็ง 24 จังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งพัฒนาอาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด อาทิ โครงการสุภาพบุรุษนักขับของ ‘โรงเรียนทักษะพิพัฒน์’ จัดหลักสูตรฝึกอบรมขับรถบรรทุกให้ผู้ว่างงานเป็นพนักงานขับรถบรรทุกมืออาชีพ  ‘แพลตฟอร์มคิวช่าง’ เปิดศูนย์ฝึกอบรมช่าง Q-CHANG ACADEMY เพื่อพัฒนาทักษะและยกระดับอาชีพช่างในด้านต่าง ๆ ครอบคลุมทักษะด้านความรู้ อารมณ์ การเข้าสังคม และธุรกิจ

ส่งเสริมสุขภาวะ สนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงระบบสาธารณสุข อาทิ โครงการ ‘แพทย์ดิจิทัล ดูแลผู้ป่วยทางไกล’ ใช้นวัตกรรม DoCare ระบบ Tele-monitoring และ Telemedicine ของเอสซีจี ดูแลผู้ป่วยทางไกลด้วยระบบติดตามสุขภาพ เก็บข้อมูลอย่างแม่นยำและต่อเนื่อง พร้อมระบบปรึกษาแพทย์ทางไกล ผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลจึงสามารถเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดเวลา ประหยัดค่าเดินทาง ปัจจุบันขยายผลใช้กับโรงพยาบาลแล้ว 13 โรงพยาบาล 1 วิสาหกิจเพื่อสังคม ครอบคลุม 12 จังหวัดทั่วไทย พร้อมตั้งเป้าขยายอีก 10 โรงพยาบาล ใน 10 จังหวัด ภายในปี 2567

สนับสนุนสังคมคาร์บอนต่ำ ผ่านโครงการ ‘สระบุรีแซนด์บ็อกซ์’ ความร่วมมือบูรณาการระหว่างรัฐ-เอกชน-ประชาชน (PPP: Public-Private-People Partnership) เปลี่ยนจังหวัดสระบุรีให้เป็นเมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย เพื่อเป็นแรงจูงใจให้จังหวัดอื่น ๆ เปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และช่วยให้ประเทศไทยบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2608 ความร่วมมือในสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ที่เกิดขึ้นแล้ว อาทิ การกำหนดใช้ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำในทุกงานก่อสร้างในจังหวัดสระบุรีตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป การทำนาเปียกสลับแห้ง ช่วยลดการใช้น้ำ ลดก๊าซมีเทน การปลูกหญ้าเนเปียร์พืชพลังงานสูง และนำของเหลือจากการเกษตรและขยะชุมชนไปแปรรูปเป็นพลังงานทดแทน รวมทั้งร่วมกับชุมชนในการสร้างป่าชุมชนต้นแบบของจังหวัดที่ช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจก และต่อยอดสู่การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ สร้างรายได้ให้ชุมชน”

สำหรับงาน SCG “The Possibilities for Inclusive Society – เติบโตไปด้วยกัน...กับโลกที่ยั่งยืน” เป็นการรวมพลคนจากหลากหลายภาคส่วน ที่มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคมในด้านต่าง ๆ โดยมี 4 ตัวแทนผู้นำชุมชน มาร่วมแบ่งปันแนวคิดและประสบการณ์ พร้อมส่งต่อพลังบวก ได้แก่ นางวันดี อินทรพรม กำนันตำบลแกลง จังหวัดระยอง ผู้เปลี่ยนความแห้งแล้งของเขายายดา ให้เป็นป่าต้นน้ำที่หล่อเลี้ยงชุมชนมาบจันทร์ ด้วยการ ‘สร้างฝายชะลอน้ำ’ จากองค์ความรู้ที่ได้จากการเข้าร่วมกิจกรรมกับเอสซีจีซี จนป่าเขายายดากลับมาเขียวชอุ่ม ไม่เกิดไฟป่าในฤดูแล้ง และกลายเป็นหนึ่งในโมเดลตัวอย่างด้านการจัดการน้ำระดับประเทศ โดยเรื่องราวความมุ่งมั่นของนางวันดีและชุมชนมาบจันทร์ในการเรียนรู้และร่วมมือกันบริหารจัดการน้ำเพื่อความอยู่รอดของชุมชน ยังได้ถูกถ่ายทอดผ่านหนังสารคดี ‘The Rain Keepers’ ซึ่งมีกำหนดฉายทางออนไลน์ผ่านช่อง VIPA ของไทยพีบีเอส ในเดือนกรกฎาคมนี้  นางอำพร วงค์ษา ประธานศูนย์หัตถกรรมบ้านงานฝีมือบ้านผาหนาม จังหวัดลำพูน หนึ่งในสมาชิก ‘โครงการพลังชุมชน’ ผู้พลิกวิกฤตของชีวิตเป็นแรงผลักดันสร้างโอกาสให้กับตัวเอง พร้อมทั้งเดินหน้าสร้างอาชีพให้คนในชุมชน เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ว่างงาน และผู้หญิงที่ขาดโอกาสในการทำงาน  นางจิตรา ป้านวัน ประธานชุมชนวังขรีวิถียั่งยืน ผู้ก่อตั้ง ‘กลุ่มเยาวชนยิ้มแฉ่งให้ด้วยใจ’ เพื่อแก้ปัญหาขยะ สร้างความร่วมมือภายในชุมชน เชื่อมเยาวชนและผู้สูงวัยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน พัฒนาชุมชนให้สะอาด น่าอยู่ พร้อมมุ่งสู่การเป็นชุมชนคาร์บอนต่ำ  นางนิโลบล ลิจุติภูมิ นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ หัวหน้ากลุ่มงานบริการด้านปฐมภูมิและองค์รวม โรงพยาบาลท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี บุคคลสำคัญในการขับเคลื่อนให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ดีแม้อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านสาธารณสุข ด้วยการใช้เทคโนโลยีแพทย์ดิจิทัลจากโครงการ ‘แพทย์ดิจิทัล ดูแลผู้ป่วยทางไกล’

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการเปิดตัวหนังสือ ‘เหตุผลที่เรามารวมกัน’ ซึ่งเป็นการรวบรวมเรื่องราวการขับเคลื่อนความยั่งยืนของเอสซีจีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลด E-book ‘เหตุผลที่เรามารวมกัน’ ได้ที่ https://www.scg.com/pdf/th/the-power-of-collaboration.pdf 

นายชนะ ภูมี กล่าวทิ้งท้ายว่า “โครงการต่าง ๆ ที่นำเสนอภายในงานนี้ เป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งของการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ทุกคนเติบโตไปด้วยกัน ที่เอสซีจีร่วมมือกับพนักงาน เครือข่าย พันธมิตร และชุมชน มุ่งมั่นมาตลอดการดำเนินธุรกิจกว่า 111 ปี โดยเอสซีจียังคงเดินหน้ามุ่งสู่เป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ทั้งด้านการศึกษา อาชีพ และสุขภาวะ 50,000 คน ภายในปี 2573  อย่างไรก็ตาม เส้นทาง ‘การพัฒนา’ ไม่มีวันสิ้นสุด เราต้องเรียนรู้และปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกอยู่เสมอ เพื่อร่วมกันสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้คน สังคมที่น่าอยู่ และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน”

X

Right Click

No right click