December 21, 2025

ผนึก HPE Aruba หนุนภาคธุรกิจ ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน Wi-Fi ง่าย-เร็ว-ประหยัด

รถยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่มาแรงและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในบรรดาผู้ใช้รถยนต์ โดยเฉพาะในหมู่ผู้ซื้อรถยนต์หน้าใหม่ เพราะโดดเด่นทั้งเรื่องความสะดวกสบายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ก่อนจะตัดสินใจซื้อรถไฟฟ้าสักคันควรเช็กให้รอบคอบ fintips by ttb  #เรื่องเงินที่รู้จริงแบบเพื่อนที่รู้ใจ อยากชวนทุกคนมาเช็กและทำความเข้าใจเรื่องที่จำเป็นต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ทุกการใช้เงินของคุณคุ้มค่ามากที่สุด

1. ประเภทรถยนต์ไฟฟ้า

ประเภทของรถยนต์ไฟฟ้าจะแบ่งตามวิธีการทำงานและพลังงานที่ใช้ในการขับเคลื่อน โดยสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้

  • Hybrid (HEV) เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ผสมผสานการใช้งานระหว่างพลังงานจากน้ำมันเชื้อเพลิง และพลังงานไฟฟ้า เพื่อขับเคลื่อนรถยนต์ จึงมีทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทำงานร่วมกัน
  • Plug-in Hybrid (PHEV) มีความคล้ายคลึงกับ HEV แต่มีความสามารถในการชาร์จแบตเตอรี่จากแหล่งพลังงานภายนอกด้วยการใช้ปลั๊กไฟฟ้าได้
  • Battery Electric Vehicle (BEV) เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนที่ใช้เฉพาะพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว จึงไม่มีการปล่อยก๊าซที่สร้างมลพิษให้กับโลก ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้ได้รับความสนใจจากอุตสาหกรรมผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก
  • Fuel Cell Electric Vehicle (FCEV) เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซไฮโดรเจนทำปฏิกิริยากับออกซิเจนที่เซลล์เชื้อเพลิงเพื่อสร้างพลังงานให้เกิดการขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้า

2. สำรวจความพร้อมด้วยเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าน่ารู้

หลายคนอาจกังวลเรื่องความพร้อมและบริการต่าง ๆ เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่ แต่ปัจจุบันตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเราสามารถติดตามเทรนด์และความเคลื่อนไหว เพื่อให้ไม่พลาดข่าวสาร รวมทั้งช่วยเสริมความมั่นใจและไขข้อสงสัยต่าง ๆ ได้อีกด้วย โดยเทรนด์ที่น่าสนใจล่าสุด มีดังนี้

  • ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมียอดขายและการจดทะเบียนเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก ส่วนในประเทศไทย สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าแห่งประเทศไทย (EVAT) รายงานว่า มียอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้า BEV รวมทุกประเภท ตั้งแต่มกราคม - ธันวาคมปี 2566 จำนวนกว่าหนึ่งแสนคัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่มีเพียงหลักหมื่นคัน
  • ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแบตเตอรี่พัฒนาขึ้นมาก ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น สามารถวิ่งระยะทางได้ไกลขึ้นเรื่อย ๆ
  • กระแสความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม ทำให้รัฐบาลทั่วโลกหันมาสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น

3. ไลฟ์สไตล์เราเป็นแบบไหน เหมาะกับรถยนต์ไฟฟ้าหรือไม่

แน่นอนว่าไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตและการทำงานก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่ควรพิจารณาควบคู่ เช่น

  • ผู้ที่ห่วงใยใส่ใจสิ่งแวดล้อม : รถยนต์ไฟฟ้าตอบโจทย์สายรักษ์โลก เพราะใช้พลังงานสะอาด ลดภาวะก๊าซเรือนกระจก เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทำให้โลกเราน่าอยู่ขึ้น
  • ผู้ที่ต้องการทางเลือกที่ประหยัด : ค่าน้ำมันนับวันยิ่งแพงขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น รถยนต์ไฟฟ้าจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องพลังงานในระยะยาวมากกว่า
  • ผู้ที่สามารถปรับตัวไปพร้อมกับเทคโนโลยีได้ : จะใช้รถยนต์ไฟฟ้าต้องมีความพร้อมในการปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น สถานีชาร์จภายในบ้าน และต้องหมั่นติดตามอัปเดตซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ให้ทันสมัย

4. ข้อมูลสำคัญ เพื่อการดูแลรักษารถยนต์ไฟฟ้า

ก่อนที่เราจะตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เราควรจะต้องทราบข้อมูลที่สำคัญในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า เช่น

  • ประเภทของแบตเตอรี่ : รถยนต์ไฟฟ้ามีแบตเตอรี่หลายรูปแบบ ซึ่งเราจะต้องทราบรายละเอียดแต่ละประเภท เพื่อการใช้งานและ ดูแลรักษาให้มีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น
    • ลิเทียมไอออน – เป็นแบตเตอรี่ที่ถูกนำมาใช้ในอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าด้วย มีคุณสมบัติที่เหมาะสมและได้รับความนิยมนำมาใช้งานในรถยนต์ไฟฟ้า เพราะมีประสิทธิภาพสูง เก็บพลังงานได้อย่างดี อีกทั้งยังมีน้ำหนักที่เบา ขนาดที่เล็กกว่า เมื่อเทียบกับแบตเตอรี่ที่มีความจุเท่ากัน
    • ลิเธียมไอรอนฟอสเฟต - เป็นแบตเตอรี่ที่ใช้ฟอสเฟสเป็นตัวเก็บประจุไฟฟ้า ทำให้มีความทนทาน มีอายุการใช้งานที่ยาวกว่าลิเทียมไอออน ใช้เวลาชาร์จสั้นลง ปลอดภัยและทนทานในการใช้งานในอุณหภูมิต่างๆ ได้อีกด้วย
    • โซลิดสเตด - เป็นแบตเตอรี่ที่มีการพัฒนาให้ได้คุณภาพที่สูงขึ้น ชาร์จไฟได้อย่างรวดเร็ว สามารถใช้ในรถยนต์ที่มีการขับขี่ในระยะไกล ทำงานได้หลายอุณหภูมิ และมีความปลอดภัยสูง
  • แท่นชาร์จ : มั่นตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์ชาร์จที่บ้านเป็นประจำ เพื่อรักษาความปลอดภัยในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาด การตรวจสอบช่องระบายอากาศ และสายเคเบิล เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย

ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้ามีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ซึ่งก่อนตัดสินใจซื้อควรต้องศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ให้เข้าใจก่อนว่า รถยนต์ไฟฟ้านั้นมีกี่ประเภท ไลฟ์สไตล์การใช้งานแบบไหนที่เหมาะกับตัวเอง รวมไปถึงการดูแลรักษาต่าง ๆ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อได้อย่างคุ้มค่า และขับขี่อย่างปลอดภัยตลอดอายุการใช้งาน

และเมื่อเลือกรถยนต์ไฟฟ้าที่ตอบไลฟ์สไตล์ได้แล้ว ก็อย่าลืมวางแผนการเงินก่อนตัดสินใจซื้อ โดยหากคุณกำลังมองหา ไฟแนนซ์รถ หรือ สินเชื่อเพื่อซื้อรถใหม่สักคัน สินเชื่อรถยนต์ใหม่ ทีทีบีไดรฟ์ มีโซลูชัน หรือสินเชื่อที่ตอบโจทย์คุณได้ ให้คุณรู้ผลอนุมัติเบื้องต้นไว ภายใน 30 นาที ผ่อนได้นาน สูงสุด 84 เดือน และสมัครได้ง่าย ๆ  เพียงใช้แค่บัตรประชาชนใบเดียว (ลูกค้าทีทีบีไดรฟ์)

มาร่วมวางแผนชีวิตทางการเงิน เพื่อสุขภาพทางการเงินที่ดีขึ้นไปพร้อมกัน ด้วยเคล็ดลับทางการเงินดี ๆ ได้ที่ fintips by ttb” เรื่องเงินที่รู้จริงแบบเพื่อนที่รู้ใจ

มื้อกลางวันของ โรงเรียนบ้านหนองโบสถ์ อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์ ภายใต้ “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ดำเนินการโดยมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ในการสนับสนุนของ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของไข่เจียว เมนูโปรดของนักเรียนทุกคน โดยมีเด็กๆร่วมกับครูผู้รับผิดชอบกำลังช่วยกันปรุงเป็นอาหารกลางวันในวันนี้ ที่สำคัญไข่ไก่ที่นำมาปรุงเป็นเมนูต่างๆ ทั้งไข่ตุ๋นทรงเครื่อง ไข่พะโล้ และไข่ลูกเขย ที่เด็กๆ โหวตให้เป็นเมนูแสนอร่อยในดวงใจ ก็ได้มาจากฝีมือการเลี้ยงของทุกคน ไข่ไก่จึงไม่ใช่แค่ “อาหารกลางวัน” ของน้องๆ แต่ยังเป็น “ความภูมิใจ” ที่พวกเขาได้ลงมือเลี้ยงแม่ไก่ไข่ให้ได้ผลผลิตไข่ไก่คุณภาพปลอดภัยสำหรับทุกคน

ประเสริฐศรี ฉิมปาน ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหนองโบสถ์ บอกว่า สุขภาพร่างกายของเด็กนักเรียนเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะสุขภาพที่ดีย่อมทำให้เด็กๆมีกำลังกายในการศึกษาเล่าเรียน และอาหารโปรตีนคุณภาพดีอย่างไข่ไก่ก็จะเป็นผู้ช่วยชั้นดีในการบำรุงร่างกายและสมองของพวกเขา จึงเป็นที่มาของการสมัครเข้าร่วม “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน”

โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนขนาดเล็กมีนักเรียน 60 กว่าคน และมีเด็กๆในศูนย์เด็กเล็กก่อนวันเรียนอีก 50 คน จึงได้รับการพิจารณาให้เข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ โดยรุ่นแรกได้รับการสนับสนุนแม่พันธุ์ไก่ไข่ 100 ตัว พร้อมอาหารไก่ไข่ รวมทั้งการสร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่มาตรฐาน และมีนักสัตวบาลผู้เชี่ยวชาญจากซีพีเอฟมาให้ความรู้สนับสนุนวิชาการด้านการเลี้ยงไก่ไข่ การดูแลตั้งแต่เริ่มต้นเลี้ยงจนถึงปลดแม่ไก่ เพื่อให้ครูผู้ดูแลและน้องๆ นักเรียนมีพื้นฐานที่สามารถบริหารจัดการโครงการได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งแนะนำการขาย การตลาด และบริหารให้มีเงินทุนส่งให้รุ่นต่อไป ทำให้โรงเรียนพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนและดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่อง

“ปัจจุบันเราเลี้ยงไก่ไข่เป็นรุ่นที่ 2 โดยรุ่นแรกได้รับการสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์แม่พันธุ์และอาหารสัตว์ฟรีจากโครงการฯ ในแต่ละวันผลผลิตไข่ไก่ที่ได้จะจำหน่ายเข้าสู่ระบบสหกรณ์ เพื่อจำหน่ายต่อให้กับโครงการอาหารกลางวัน สำหรับใช้ปรุงประกอบเป็นอาหารกลางวันนักเรียน ส่วนที่เหลือจะจำหน่ายให้กับผู้ปกครองและชาวชุมชน โครงการฯ นี้จึงไม่เพียงเป็นแหล่งอาหารที่มั่นคงของนักเรียนทุกคน แต่ยังเป็นคลังอาหารของชุมชนด้วย” ผอ.ประเสริฐศรี กล่าว

โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน รุ่นแรกสร้างรายได้กลายเป็นเงินทุนสะสมสำหรับดำเนินโครงการได้ถึงกว่า 50,000 บาท สามารถนำไปต่อยอดการเลี้ยงไก่รุ่นใหม่ โดยขยายการเลี้ยงไก่เป็น 150 ตัว รองรับความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้น ส่วนแม่ไก่รุ่นแรกที่เลี้ยงมาแล้ว 1 ปี ซึ่งได้อายุปลดระวางแล้ว ผอ.ประเสริฐศรี ครูและนักเรียน มีความเห็นตรงกันว่าควรทำการศึกษาต่อจากสมมุติฐานที่ว่า แม่ไก่ยังคงให้ผลผลิตที่ดี น่าจะสามารถเลี้ยงต่อไปได้ จึงย้ายแม่ไก่ทั้งหมดลงเลี้ยงในโรงเรือนใหม่ในรูปแบบปล่อยพื้น เป็นแม่ไก่ไข่อารมณ์ดี พร้อมบันทึกการให้ผลผลิตต่อเนื่อง และวางแผนเลี้ยงต่อให้ได้ 1 ปีครึ่ง จึงจะปลดแม่ไก่ นี่จึงไม่ใช่เพียงการสร้างคลังอาหารในโรงเรียน แต่ยังเป็นการศึกษาทดลอง จากการเด็กๆรู้จักสังเกต เกิดการตั้งคำถาม และพิสูจน์สมมุติฐาน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในการเรียนรู้ ที่ประยุกต์สู่การเรียนการสอนและการทดลองอย่างแท้จริง

ขณะเดียวกัน นักเรียนยังได้ฝึกความรับผิดชอบ โดยมีพี่ๆชั้นประถมปีที่ 6 เป็นพี่ใหญ่นำน้องๆ แบ่งเวรกันเก็บไข่ไก่ในเวลา 09.00 น. ของทุกวัน จากนั้นเวลา 15.00 น. จึงช่วยกันเกลี่ยอาหารและให้อาหารเพิ่ม ทักษะเหล่านี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและพัฒนาทักษะด้านอาชีพได้ และไข่ไก่คุณภาพดีที่ผลิตได้ ทำให้เด็กๆได้รับประทานไข่ไก่สด สะอาด ปลอดภัย นอกจากนั้น ยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับโรงเรียนและชุมชน ทั้งไข่ไก่ และผักต่างๆที่นักเรียนรับผิดชอบในการปลูก ดูแล และเก็บเกี่ยวผลผลิต ทั้งผักบุ้ง ผักสวนครัว พืชสมุนไพร และเห็ดนางฟ้า ที่นำเข้าโครงการอาหารกลางวัน  และส่วนที่เหลือนำไปจำหน่ายแก่ชาวชุมชนในราคาย่อมเยา เกิดเป็นกิจกรรมสร้างเสริมหลักการประกอบอาชีพ รู้จักการขาย การตลาด ซึ่งรายได้ที่เกิดขึ้นนำมาเป็นกองทุนหมุนเวียนโครงการฯ ต่อยอดเป็นกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญนักเรียนยังมีเงินออมจากการขายไข่ กลายเป็นเงินออมเพื่อศึกษาต่อ โดยหลังจากปลดแม่ไก่รุ่นแรก สามารถจัดสรรเงินทุนเพื่อการศึกษาต่อให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทุนละ 1,500 บาท ได้ถึง 6 ทุน

นอกจากนี้ เด็กๆยังนำไข่ไก่ไปแปรรูปเป็นขนมโดนัทและขนมวาฟเฟิล เพื่อจำหน่ายให้กับนักเรียนและชุมชน เกิดเป็นกิจกรรมเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียน ช่วยส่งเสริมทักษะอาชีพ และโรงเรียนยังส่งเสริมให้นักเรียนนำผลิตภัณฑ์แปรรูป ร่วมมอบในงานบุญ โรงทาน และงานการกุศลต่างๆ เป็นการฝึกให้พวกเขารู้จักการแบ่งปันแก่ผู้อื่น

ด.ช.พงศธร ก้อนทอง หรือน้องปอน นักเรียนชั้นป.6 บอกว่า ดีใจที่ได้ร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ทำให้นักเรียนได้รับประทานไข่ไก่สด สะอาด ที่เด็กๆเป็นผู้ดูแลด้วยตัวเอง ช่วยให้ได้ฝึกทักษะอาชีพที่สามารถนำไปต่อยอดในชีวิตประจำวัน และเป็นพื้นฐานอาชีพในอนาคตได้ ส่วน ด.ช.ธีวสุ บุรินทร์ หรือน้องภูผา นักเรียนชั้นป.5 เสริมว่า โครงการฯนี้ ช่วยฝึกความซื่อสัตย์ มีวินัย และรู้จักการทำงานเป็นทีม ทางด้าน ด.ญ.ศุภาพิชญ์ มหาพันธ์ หรือน้องออย กล่าวขอบคุณเครือซีพี ซีพีเอฟ และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ที่ช่วยสนับสนุนโครงการฯ พวกเราจะดูแลโครงการฯนี้ให้ดีที่สุด ให้มีความต่อเนื่องไปถึงน้องๆรุ่นต่อไป เราภูมิใจที่ได้เป็นต้นทางอาหารปลอดภัย และดีใจที่โรงเรียนของเรากลายเป็นแหล่งศึกษาดูงานของโรงเรียนต่างๆ

โรงเรียนบ้านหนองโบสถ์ กลายเป็นต้นแบบของความสำเร็จในการบริหารจัดการโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ที่บรรลุวัตถุประสงค์ในการสร้างแหล่งอาหารมั่นคงในโรงเรียนเพื่อสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนมีสุขภาพดีจากการได้บริโภคไข่ไก่ และยังสามารถต่อยอดความสำเร็จของโครงการฯ สู่โครงการเกษตรอื่นๆ และยังเป็นแหล่งอาหารของชุมชนได้อย่างยั่งยืน.

ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ร่วมกับ LinkedIn เผยผลงานวิจัย Work Trend Index 2024 เปิดข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับสถานะความคืบหน้าของคนทำงานในประเทศไทยและทั่วโลก ในการนำนวัตกรรม AI มาใช้ในที่ทำงาน

รายงาน Work Trend Index 2024 รวบรวมข้อมูลจากการสำรวจพนักงานและผู้บริหารกว่า 31,000 คน ใน 31 ประเทศทั่วโลก* รวมถึงประเทศไทย พร้อมด้วยแนวโน้มตลาดแรงงานและเทรนด์การจ้างงานผ่านทาง LinkedIn รวมถึงข้อมูลที่เก็บรวบรวมมานับล้านล้านรายการจากการใช้งาน Microsoft 365 และการศึกษาวิจัยลูกค้าของบริษัทที่อยู่ใน Fortune 500 เพื่อแสดงให้เห็นว่า ในช่วงระยะเวลาเพียง 1 ปีที่ผ่านมา นวัตกรรม AI ได้มีอิทธิพลต่อรูปแบบการทำงาน การบริหาร และการจ้างงานของผู้คนทั่วโลก

ปี 2024 ถือเป็นปีของ AI เพื่อการทำงานอย่างแท้จริง หลังจากที่มีพนักงานทั่วโลกนำ Generative AI มาใช้ทำงานเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ผู้ใช้ LinkedIn จำนวนไม่น้อยได้นำเอาทักษะความสามารถที่เกี่ยวกับ AI มาเพิ่มเติมลงในเรซูเม่ของตนมากขึ้น ทางด้านผู้บริหาร ส่วนใหญ่มีมุมมองว่าจะไม่จ้างผู้สมัครที่ไม่มีทักษะด้าน AI แต่ขณะเดียวกัน ผู้บริหารจำนวนมาก ทั้งในเอเชียและทั่วโลก ยังคงกังวลเกี่ยวกับการขาดวิสัยทัศน์ด้าน AI ของบริษัท และการที่พนักงานนำเครื่องมือ AI ส่วนตัวมาใช้ในสถานที่ทำงาน ด้วยเหตุนี้ ผู้บริหารในหลายองค์กรจึงต้องเผชิญความยากลำบากกับการปรับตัว เมื่อการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ต้องเปลี่ยนผ่านจากช่วงการทดลองใช้งาน ไปสู่การสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น

นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในปัจจุบัน Generative AI เป็นเครื่องมือที่ได้รับการยอมรับและนำไปใช้งานอย่างแพร่หลายในที่ทำงาน จะเห็นได้ว่าพนักงานส่วนใหญ่เลือกนำ AI มาช่วยสะสางภาระงานในแต่ละวัน โดยที่ไม่ได้รอดูว่าองค์กรจะมีเครื่องมือ บริการ วิสัยทัศน์หรือแนวทางการใช้งานอย่างไร ดังนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้บริหารจะต้องเร่งตอบสนองต่อปรากฎการณ์นี้ เพื่อให้องค์กรและพนักงานได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้งาน AI ทั้งในเชิงประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น และการพัฒนาขีดความสามารถใหม่ๆ ควบคู่ไปกับความปลอดภัยที่เพิ่มสูงขึ้นจากแนวทางและนโยบายด้านการใช้ AI ที่ชัดเจน”

ทั้งนี้ รายงานการสำรวจ Work Trend Index 2024 ได้สรุปข้อมูลเชิงลึกใน 3 ประเด็นที่มีความสำคัญอย่างมากต่อทั้งผู้บริหารและพนักงานในประเทศไทย และสะท้อนถึงผลกระทบของ AI ที่มีต่อการทำงานและตลาดแรงงานตลอดทั้งปีนี้

  1. พนักงานต้องการนำนวัตกรรม AI มาช่วยในการทำงาน โดยไม่รอให้บริษัทมีความพร้อม

ผลสำรวจ Work Trend Index เผยว่าพนักงานคนไทยกว่า 92% นำนวัตกรรม AI มาใช้ในการทำงานแล้ว ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 75% โดยในกลุ่มผู้ใช้งาน AI ยังพบอีกว่า 81% เลือกนำเครื่องมือ AI ของตนเองมาใช้งาน จนเกิดเป็นกระแสที่เรียกได้ว่า Bring Your Own AI (BYOAI) ซึ่งอาจทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากการใช้งาน AI อย่างไม่เต็มที่ เนื่องจากยังขาดทิศทางและกลยุทธ์ในระดับองค์กร และยังเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล

แนวโน้มการนำ AI มาใช้ในที่ทำงานนี้ อาจเป็นผลมาจากภาระงานที่พนักงานแต่ละคนต้องแบกรับ โดย 68% ของพนักงานทั่วโลกระบุว่าพวกเขาต้องเจอกับปัญหาในการทำงานจำนวนมากให้เสร็จทันเวลา ดังนั้น AI จึงเป็นตัวช่วยประหยัดเวลา เสริมความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งทำให้มีเวลาจดจ่อกับเนื้องานในส่วนที่สำคัญที่สุดได้มากขึ้น

ทางด้านผู้บริหาร พบว่า 91% ของผู้บริหารในประเทศไทยเชื่อว่าบริษัทของตนจำเป็นต้องนำนวัตกรรม AI มาใช้เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันกับตลาด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 79% แต่ยังมีผู้บริหารในประเทศไทยกว่า 64% ที่มีความกังวลว่าองค์กรของตนยังขาดแผนงานและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในด้านการนำ AI มาใช้ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกเล็กน้อยที่ 60% นอกจากนี้ ผู้บริหารจำนวนไม่น้อยยังพบกับอุปสรรคในการประเมินผลลัพธ์ที่ได้รับจากการใช้ AI ออกมาเป็นตัวเลขหรือตัวเงิน ซึ่งเป็นหนึ่งในโจทย์ที่ผู้บริหารและองค์กรยังต้องก้าวผ่านไปให้ได้

  1. ผู้ใช้งาน AI ในระดับ Power Users มีเพิ่มมากขึ้น และอาจช่วยปลดล็อกเส้นทางสู่ความเปลี่ยนแปลงในอนาคต

ผลสำรวจได้เผยให้เห็นถึงความแตกต่างในพฤติกรรม AI ของกลุ่มพนักงานที่เป็น AI Power Users หรือผู้ใช้งาน AI ระดับสูง มักจะนำเครื่องมือและบริการ AI ต่างๆ มาปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงานในแต่ละวัน และสามารถลดเวลาที่ใช้ทำงานที่มีอยู่เดิมลงได้วันละ 30 นาที หรือเฉลี่ยออกมาเป็น 10 ชั่วโมงต่อเดือน

ในประเทศไทย กว่า 86% ของพนักงานกลุ่มนี้เลือกที่จะเริ่มและจบวันทำงานด้วย AI สอดคล้องกับค่าเฉลี่ยของ AI Power Users ทั่วโลกที่ 85% แต่ในทางกลับกัน ผู้ใช้ AI ระดับสูงในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะทดลองใช้ AI ในรูปแบบหรือวิธีการใหม่ๆ เพียง 45% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระดับโลกที่ 68%

นอกจากนี้ โครงสร้างในการสนับสนุนการใช้งาน AI ในองค์กรไทยมีความแตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลจากทั่วโลก โดยกลุ่ม AI Power Users ในไทย มีเพียง 28% เท่านั้นที่มีโอกาสได้ฟังเนื้อหาสาระหรือความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับบทบาทของ AI ในการทำงานจากแผนกหรือฝ่ายที่ตนเองทำงานอยู่ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 40% ขณะที่ด้านการเรียนรู้และฝึกอบรมทักษะเพิ่มเติม พบว่ามีผู้ใช้งาน AI ระดับสูงในประเทศไทยเพียง 22% เท่านั้นที่ได้รับโอกาสจากองค์กรให้ฝึกฝนทักษะด้าน AI เพิ่มเติม เทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 42%

  1. AI กลายเป็นมาตรฐานใหม่ด้านทักษะ และช่วยทำลายขีดจำกัดในสายอาชีพ

ทักษะการใช้งาน AI ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในตลาดแรงงานไปแล้ว ทั้งในประเทศไทยและในระดับโลก โดยผู้บริหารในไทยกว่า 74% ไม่ต้องการจ้างพนักงานที่ไม่มีทักษะทางด้าน AI ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 66% นอกจากนี้ หากต้องเลือกระหว่างทักษะ AI กับประสบการณ์การทำงาน ผู้บริหารไทยกว่า 90% ก็เลือกที่จะจ้างพนักงานที่มีประสบการณ์น้อย แต่มีทักษะด้านการใช้ AI แทนที่จะเลือกพนักงานที่มีประสบการณ์สูงกว่า แต่ขาดทักษะในด้านนี้ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 71%

ในด้านแนวโน้มการจ้างงาน ผลสำรวจระบุว่าผู้บริหารทั่วโลกราว 55% มีความกังวลว่าจะเผชิญสภาวะการขาดแคลนแรงงานที่มีความสามารถในปีนี้ โดยเฉพาะในสาขาความปลอดภัยทางไซเบอร์ วิศวกรรม และการออกแบบเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นสาขาที่กังวลว่าจะขาดแคลนมากที่สุด

ข้อมูลจากผู้ใช้ LinkedIn ทั้งในระดับองค์กรและคนทำงาน ยังเผยอีกว่า

  • ข้อมูลจากช่วงปลายปีที่แล้ว พบว่า จำนวนของสมาชิก LinkedIn ทั่วโลกที่ใส่ข้อมูลเกี่ยวกับทักษะการใช้งาน AI อย่าง ChatGPT และ Copilot ในโปรไฟล์ของตนเอง มีมากขึ้นถึง 142 เท่าตัว
  • ในช่วง 2 ที่ผ่านมา พบว่า ตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครทาง LinkedIn หากมีการระบุถึงทักษะการทำงานที่เกี่ยวกับ AI ด้วย จะมีผู้สมัครเพิ่มขึ้นถึง 17%
  • ในกลุ่ม 10 ตำแหน่งงานที่เพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับทักษะด้าน AI มากที่สุดนั้น พบว่าเป็นตำแหน่งในสายงานด้านเทคโนโลยีโดยตรงเพียง 2 ตำแหน่ง (นักพัฒนา ระบบ Front-End และนักพัฒนาเว็บ) ขณะที่ 3 อันดับแรกเป็นตำแหน่งงานด้านการเขียนคอนเทนต์ กราฟฟิกดีไซน์ และการตลาด

นายธนวัฒน์ กล่าวเสริมอีกว่า “เราต้องเริ่มที่จะนำ AI เข้ามาเป็นตัวช่วยในการทำงานและใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูลหรือไอเดียต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มผลิตภาพ และความคิดสร้างสรรค์ ให้ AI เป็นหนึ่งในผู้ช่วยของเรา ดังนั้น องค์กรจึงควรที่จะตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนในการนำ AI มาใช้ช่วยแก้ปัญหาและปลดล็อคอุปสรรคต่างๆ ในการทำงานของพนักงาน ในขณะเดียวกัน ผู้บริหารจะต้องคิดว่าควรทำอย่างไรที่จะช่วยเพิ่มทักษะด้าน AI ให้กับบุคลากรของเรา และเตรียมความพร้อมในการจัดหาเครื่องมือ AI ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการใช้งาน รวมถึงให้ผู้บริหารและพนักงานทุกระดับทำงานร่วมกันในการกำหนดนโยบายหรือทิศทางการใช้งาน AI ในองค์กรเพื่อให้เกิดความชัดเจนและเห็นผลสำเร็จได้จริงในทุกตำแหน่งและสายงาน”

ในโอกาสนี้ ไมโครซอฟท์ยังได้เผยคุณสมบัติใหม่ๆ ในบริการ Copilot for Microsoft 365 ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยสนับสนุนการเริ่มต้นใช้งาน AI ในที่ทำงาน

  • Copilot จะโต้ตอบกับผู้ใช้งานมากขึ้น โดยระบบจะแนะนำชุดคำสั่งถัดไปหรือถามคำถามเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถตอบสนองคำสั่งของผู้ใช้งานและสร้างผลงานให้ออกมาดีที่สุด
  • หน้าจอแชทแบบใหม่ของ Copilot จะเสนอคำแนะนำตามสถานการณ์ปัจจุบันหรือกิจกรรมล่าสุดของผู้ใช้งาน เช่น อาจมีข้อความแจ้งเตือนว่า “คุณพลาดการประชุมของทีมฝ่ายขายเมื่อวันอังคารนะ อ่านสรุปการประชุมนี้ได้ที่นี่” รวมถึงคัดเลือกอีเมลที่สำคัญมาให้ผู้ใช้งานติดตามอ่าน
  • ช่องพิมพ์คำสั่งของ Copilot จะมีระบบเติมคำอัตโนมัติ (auto complete) เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิมในการป้อนคำสั่ง นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์สำหรับช่วยเขียนคำสั่งที่พร้อมขยายคำสั่งพื้นฐานทั่วไปให้สมบูรณ์และมีรายละเอียดมากขึ้น โดยเขียนขึ้นใหม่ด้วยข้อมูลจากการประชุม เอกสาร และอีเมลของผู้ใช้แต่ละคน
  • อัปเดตใหม่สำหรับ Copilot Lab เปิดให้พนักงานสามารถเขียน แชร์ และจัดการกับคำสั่งสำเร็จรูปที่เขียนขึ้นเพื่อตอบโจทย์เฉพาะทางของแต่ละทีม

ขณะเดียวกัน LinkedIn ก็นำเสนอคอร์สอบรมเกี่ยวกับ AI กว่า 600 รายการ เพื่อให้คนทำงานสามารถก้าวต่อไปบนเส้นทางในสายอาชีพได้อย่างมั่นใจ โดยล่าสุดได้เปิดให้ผู้ใช้ LinkedIn ทุกคนสามารถร่วมเรียนรู้จากคอร์สเกี่ยวกับ AI จำนวน 50 หลักสูตรโดยไม่มีค่าใช้จ่าย นับตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 8 กรกฎาคมนี้

  • นอกจากนี้ LinkedIn ยังมีบริการแนะนำหลักสูตรด้วย AI ที่สามารถคัดเลือกและนำเสนอคอนเทนต์ที่ตรงกับความสนใจและสายงานของผู้ใช้แต่ละคน พร้อมด้วยการเรียนรู้ผ่านบทสนทนากับ AI
  • สำหรับผู้ใช้งาน LinkedIn Premium ยังมีฟีเจอร์ AI สรุปใจความสำคัญใน LinkedIn Feed ที่ช่วยเผยข้อมูล แนะนำไอเดียใหม่ๆ และกิจกรรมที่น่าสนใจ
  • เครื่องมือ AI ของ LinkedIn ช่วยให้คุณสามารถประเมินความเหมาะสมของตนเองเมื่อเทียบกับตำแหน่งงานได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที โดยอ้างอิงจากข้อมูลประสบการณ์และทักษะของคุณ นอกจากนี้ คุณยังสามารถขอคำแนะนำในการเขียนโปรไฟล์ให้โดดเด่น และช่องทางในการพัฒนาทักษะที่สำคัญอีกด้วย

ผู้สนใจสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายงาน Work Trend Index 2024 ได้ที่บล็อกของไมโครซอฟท์ พร้อมด้วยบทความสรุปรายงานฉบับเต็ม หรือพบกับบทวิเคราะห์เพิ่มเติม จาก LinkedIn โดย คาริน คิมเบรอ หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์

*การสำรวจครั้งนี้ครอบคลุมประเทศและเขตปกครองพิเศษต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกดังนี้: ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม

จัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพทางการเงิน Invest in You, We Care for Financial Well-being

โรงแรมม็อกซี่ แบงคอก ราชประสงค์ อัดโปรโมชั่นชวนฟิน กับประสบการณ์การเข้าพักที่ไม่เหมือนใคร มอบสิทธิพิเศษแบบครบทุกไลฟ์สไตล์การเข้าพัก ให้นักเดินทางยุคใหม่แฮปปี้กับพักผ่อนที่นานขึ้นกว่าเดิม สร้างความประทับใจด้วยซิตี้ทัวร์ ตะลอนย่านชอปปิ้ง และตามรอยของอร่อยรอบกรุงฯ พร้อมอิ่มอร่อยมื้อพิเศษในสไตล์ม็อกซี่

พบกับโปรโมชั่นห้องพักพิเศษ “Moxy Madness” อำนวยความสะดวกครบครบทุกไลฟ์สไตล์ ถูกใจนักเดินทางยุคใหม่ ให้ผู้เข้าพักสามารถพักผ่อนหย่อนใจในห้องพักของโรงแรมได้นาน 24 ชั่วโมง ชาร์จพลังก่อนออกไปค้นพบประสบการณ์การเที่ยวเมืองกรุงฯ ได้ตลอดวัน ด้วย BTS 1 Day Pass เที่ยวสนุกแบบจัดเต็ม พร้อมอิ่มท้องด้วยเครดิตอาหารและเครื่องดื่มมูลค่า 500 บาท ต่อการเข้าพัก นอกจากนี้ผู้เข้าพักยังสามารถสะสมคะแนนโบนัสแมริออท บอนวอยกว่า 5,000 คะแนนต่อคืนอีกด้วย โดยต้องจองเข้าพักขั้นต่ำ 2 คืนต่อเนื่อง ราคาเริ่มต้น 3,600++ บาท ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2567 – 30 กันยายน 2567 โดยเริ่มจองตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 กันยายน 2567 สามารถดูรายละเอียดโปรโมชั่นเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/BookMoxyMadness 

พิเศษ! ในเดือนนี้ยังสามารถชวนเพื่อนหรือครอบครัวมาฉลองวันหยุดสุดสัปดาห์ ด้วยมื้ออาหารสไตล์ปิ้งย่าง Grill O'clock ในราคาเริ่มต้นเพียง 199 บาท ทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป ดูเมนูเพิ่มเติมได้ทาง Grill O'clock menu

นอกจากนี้ ห้ามพลาดโปรโมชั่น Eat Out by Marriott Bonvoy ที่มอบประสบการณ์การรับประทานเซตอาหารที่แมชต์ความอร่อยมาให้แล้ว พิเศษสำหรับสมาชิก Marriott Bonvoy  เท่านั้น และสามารถสะสมคะแนน Marriott Bonvoy เพื่อรับสิทธิประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย

สำหรับโปรโมชั่นห้องพักและโปรโมชั่นอาหาร สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.moxybangkokratchaprasong.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.  02-209-5999 อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. แชทผ่านไลน์ @moxybangkok ติดตามอัปเดตกิจกรรมและโปรโมชั่นก่อนใคร ได้ที่ Facebook: Moxy Bangkok Ratchaprasong และ Instagram: @moxybangkok หรือแฮชแท็ก #AtTheMoxy

มูลนิธิเฮอริเทจ (ประเทศไทย) ภายใต้การดูแลของเครือเฮอริเทจ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ นำโดย วลัยทิพย์ ซื่อตรงมั่นคง ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร เครือเฮอริเทจ จัดโครงการ “ห้องเรียนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ครั้งที่ 4” ณ โรงเรียนวัดเชิงเลน (นครใจราษฎร์) ตำบลบางช้าง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม  เพื่อให้นักเรียนระดับระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 – 4 ได้รับความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับสาเหตุและผลกระทบที่เกิดจากภาวะโลกร้อน ทำอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการทำลายสิ่งแวดล้อม รู้จักแยกขยะแต่ละประเภท และหลักการ 5Rs เพื่อการรักษาสิ่งแวดล้อม ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ พร้อมทั้งมอบผลิตภัณฑ์อัลมอนด์ บรีซ โยเกิร์ตพร้อมดื่ม และ ถั่วอัลมอนด์พร้อมทาน แบรนด์ บลูไดมอนด์ ให้กับนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ

ยกระดับบัณฑิตให้เป็นเภสัชกรที่กล้าคิด กล้าสร้างความเปลี่ยนแปลงในวงการ

X

Right Click

No right click