

รถยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่มาแรงและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในบรรดาผู้ใช้รถยนต์ โดยเฉพาะในหมู่ผู้ซื้อรถยนต์หน้าใหม่ เพราะโดดเด่นทั้งเรื่องความสะดวกสบายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ก่อนจะตัดสินใจซื้อรถไฟฟ้าสักคันควรเช็กให้รอบคอบ fintips by ttb #เรื่องเงินที่รู้จริงแบบเพื่อนที่รู้ใจ อยากชวนทุกคนมาเช็กและทำความเข้าใจเรื่องที่จำเป็นต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ทุกการใช้เงินของคุณคุ้มค่ามากที่สุด
1. ประเภทรถยนต์ไฟฟ้า
ประเภทของรถยนต์ไฟฟ้าจะแบ่งตามวิธีการทำงานและพลังงานที่ใช้ในการขับเคลื่อน โดยสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้

2. สำรวจความพร้อมด้วยเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าน่ารู้
หลายคนอาจกังวลเรื่องความพร้อมและบริการต่าง ๆ เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่ แต่ปัจจุบันตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเราสามารถติดตามเทรนด์และความเคลื่อนไหว เพื่อให้ไม่พลาดข่าวสาร รวมทั้งช่วยเสริมความมั่นใจและไขข้อสงสัยต่าง ๆ ได้อีกด้วย โดยเทรนด์ที่น่าสนใจล่าสุด มีดังนี้
3. ไลฟ์สไตล์เราเป็นแบบไหน เหมาะกับรถยนต์ไฟฟ้าหรือไม่
แน่นอนว่าไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตและการทำงานก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่ควรพิจารณาควบคู่ เช่น

4. ข้อมูลสำคัญ เพื่อการดูแลรักษารถยนต์ไฟฟ้า
ก่อนที่เราจะตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เราควรจะต้องทราบข้อมูลที่สำคัญในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า เช่น

ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้ามีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ซึ่งก่อนตัดสินใจซื้อควรต้องศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ให้เข้าใจก่อนว่า รถยนต์ไฟฟ้านั้นมีกี่ประเภท ไลฟ์สไตล์การใช้งานแบบไหนที่เหมาะกับตัวเอง รวมไปถึงการดูแลรักษาต่าง ๆ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อได้อย่างคุ้มค่า และขับขี่อย่างปลอดภัยตลอดอายุการใช้งาน
และเมื่อเลือกรถยนต์ไฟฟ้าที่ตอบไลฟ์สไตล์ได้แล้ว ก็อย่าลืมวางแผนการเงินก่อนตัดสินใจซื้อ โดยหากคุณกำลังมองหา ไฟแนนซ์รถ หรือ สินเชื่อเพื่อซื้อรถใหม่สักคัน สินเชื่อรถยนต์ใหม่ ทีทีบีไดรฟ์ มีโซลูชัน หรือสินเชื่อที่ตอบโจทย์คุณได้ ให้คุณรู้ผลอนุมัติเบื้องต้นไว ภายใน 30 นาที ผ่อนได้นาน สูงสุด 84 เดือน และสมัครได้ง่าย ๆ เพียงใช้แค่บัตรประชาชนใบเดียว (ลูกค้าทีทีบีไดรฟ์)
มาร่วมวางแผนชีวิตทางการเงิน เพื่อสุขภาพทางการเงินที่ดีขึ้นไปพร้อมกัน ด้วยเคล็ดลับทางการเงินดี ๆ ได้ที่ “fintips by ttb” เรื่องเงินที่รู้จริงแบบเพื่อนที่รู้ใจ
มื้อกลางวันของ โรงเรียนบ้านหนองโบสถ์ อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์ ภายใต้ “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ดำเนินการโดยมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ในการสนับสนุนของ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของไข่เจียว เมนูโปรดของนักเรียนทุกคน โดยมีเด็กๆร่วมกับครูผู้รับผิดชอบกำลังช่วยกันปรุงเป็นอาหารกลางวันในวันนี้ ที่สำคัญไข่ไก่ที่นำมาปรุงเป็นเมนูต่างๆ ทั้งไข่ตุ๋นทรงเครื่อง ไข่พะโล้ และไข่ลูกเขย ที่เด็กๆ โหวตให้เป็นเมนูแสนอร่อยในดวงใจ ก็ได้มาจากฝีมือการเลี้ยงของทุกคน ไข่ไก่จึงไม่ใช่แค่ “อาหารกลางวัน” ของน้องๆ แต่ยังเป็น “ความภูมิใจ” ที่พวกเขาได้ลงมือเลี้ยงแม่ไก่ไข่ให้ได้ผลผลิตไข่ไก่คุณภาพปลอดภัยสำหรับทุกคน
ประเสริฐศรี ฉิมปาน ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหนองโบสถ์ บอกว่า สุขภาพร่างกายของเด็กนักเรียนเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะสุขภาพที่ดีย่อมทำให้เด็กๆมีกำลังกายในการศึกษาเล่าเรียน และอาหารโปรตีนคุณภาพดีอย่างไข่ไก่ก็จะเป็นผู้ช่วยชั้นดีในการบำรุงร่างกายและสมองของพวกเขา จึงเป็นที่มาของการสมัครเข้าร่วม “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน”
โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนขนาดเล็กมีนักเรียน 60 กว่าคน และมีเด็กๆในศูนย์เด็กเล็กก่อนวันเรียนอีก 50 คน จึงได้รับการพิจารณาให้เข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ โดยรุ่นแรกได้รับการสนับสนุนแม่พันธุ์ไก่ไข่ 100 ตัว พร้อมอาหารไก่ไข่ รวมทั้งการสร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่มาตรฐาน และมีนักสัตวบาลผู้เชี่ยวชาญจากซีพีเอฟมาให้ความรู้สนับสนุนวิชาการด้านการเลี้ยงไก่ไข่ การดูแลตั้งแต่เริ่มต้นเลี้ยงจนถึงปลดแม่ไก่ เพื่อให้ครูผู้ดูแลและน้องๆ นักเรียนมีพื้นฐานที่สามารถบริหารจัดการโครงการได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งแนะนำการขาย การตลาด และบริหารให้มีเงินทุนส่งให้รุ่นต่อไป ทำให้โรงเรียนพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนและดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่อง

“ปัจจุบันเราเลี้ยงไก่ไข่เป็นรุ่นที่ 2 โดยรุ่นแรกได้รับการสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์แม่พันธุ์และอาหารสัตว์ฟรีจากโครงการฯ ในแต่ละวันผลผลิตไข่ไก่ที่ได้จะจำหน่ายเข้าสู่ระบบสหกรณ์ เพื่อจำหน่ายต่อให้กับโครงการอาหารกลางวัน สำหรับใช้ปรุงประกอบเป็นอาหารกลางวันนักเรียน ส่วนที่เหลือจะจำหน่ายให้กับผู้ปกครองและชาวชุมชน โครงการฯ นี้จึงไม่เพียงเป็นแหล่งอาหารที่มั่นคงของนักเรียนทุกคน แต่ยังเป็นคลังอาหารของชุมชนด้วย” ผอ.ประเสริฐศรี กล่าว
โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน รุ่นแรกสร้างรายได้กลายเป็นเงินทุนสะสมสำหรับดำเนินโครงการได้ถึงกว่า 50,000 บาท สามารถนำไปต่อยอดการเลี้ยงไก่รุ่นใหม่ โดยขยายการเลี้ยงไก่เป็น 150 ตัว รองรับความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้น ส่วนแม่ไก่รุ่นแรกที่เลี้ยงมาแล้ว 1 ปี ซึ่งได้อายุปลดระวางแล้ว ผอ.ประเสริฐศรี ครูและนักเรียน มีความเห็นตรงกันว่าควรทำการศึกษาต่อจากสมมุติฐานที่ว่า แม่ไก่ยังคงให้ผลผลิตที่ดี น่าจะสามารถเลี้ยงต่อไปได้ จึงย้ายแม่ไก่ทั้งหมดลงเลี้ยงในโรงเรือนใหม่ในรูปแบบปล่อยพื้น เป็นแม่ไก่ไข่อารมณ์ดี พร้อมบันทึกการให้ผลผลิตต่อเนื่อง และวางแผนเลี้ยงต่อให้ได้ 1 ปีครึ่ง จึงจะปลดแม่ไก่ นี่จึงไม่ใช่เพียงการสร้างคลังอาหารในโรงเรียน แต่ยังเป็นการศึกษาทดลอง จากการเด็กๆรู้จักสังเกต เกิดการตั้งคำถาม และพิสูจน์สมมุติฐาน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในการเรียนรู้ ที่ประยุกต์สู่การเรียนการสอนและการทดลองอย่างแท้จริง

ขณะเดียวกัน นักเรียนยังได้ฝึกความรับผิดชอบ โดยมีพี่ๆชั้นประถมปีที่ 6 เป็นพี่ใหญ่นำน้องๆ แบ่งเวรกันเก็บไข่ไก่ในเวลา 09.00 น. ของทุกวัน จากนั้นเวลา 15.00 น. จึงช่วยกันเกลี่ยอาหารและให้อาหารเพิ่ม ทักษะเหล่านี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและพัฒนาทักษะด้านอาชีพได้ และไข่ไก่คุณภาพดีที่ผลิตได้ ทำให้เด็กๆได้รับประทานไข่ไก่สด สะอาด ปลอดภัย นอกจากนั้น ยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับโรงเรียนและชุมชน ทั้งไข่ไก่ และผักต่างๆที่นักเรียนรับผิดชอบในการปลูก ดูแล และเก็บเกี่ยวผลผลิต ทั้งผักบุ้ง ผักสวนครัว พืชสมุนไพร และเห็ดนางฟ้า ที่นำเข้าโครงการอาหารกลางวัน และส่วนที่เหลือนำไปจำหน่ายแก่ชาวชุมชนในราคาย่อมเยา เกิดเป็นกิจกรรมสร้างเสริมหลักการประกอบอาชีพ รู้จักการขาย การตลาด ซึ่งรายได้ที่เกิดขึ้นนำมาเป็นกองทุนหมุนเวียนโครงการฯ ต่อยอดเป็นกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญนักเรียนยังมีเงินออมจากการขายไข่ กลายเป็นเงินออมเพื่อศึกษาต่อ โดยหลังจากปลดแม่ไก่รุ่นแรก สามารถจัดสรรเงินทุนเพื่อการศึกษาต่อให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทุนละ 1,500 บาท ได้ถึง 6 ทุน

นอกจากนี้ เด็กๆยังนำไข่ไก่ไปแปรรูปเป็นขนมโดนัทและขนมวาฟเฟิล เพื่อจำหน่ายให้กับนักเรียนและชุมชน เกิดเป็นกิจกรรมเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียน ช่วยส่งเสริมทักษะอาชีพ และโรงเรียนยังส่งเสริมให้นักเรียนนำผลิตภัณฑ์แปรรูป ร่วมมอบในงานบุญ โรงทาน และงานการกุศลต่างๆ เป็นการฝึกให้พวกเขารู้จักการแบ่งปันแก่ผู้อื่น
ด.ช.พงศธร ก้อนทอง หรือน้องปอน นักเรียนชั้นป.6 บอกว่า ดีใจที่ได้ร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ทำให้นักเรียนได้รับประทานไข่ไก่สด สะอาด ที่เด็กๆเป็นผู้ดูแลด้วยตัวเอง ช่วยให้ได้ฝึกทักษะอาชีพที่สามารถนำไปต่อยอดในชีวิตประจำวัน และเป็นพื้นฐานอาชีพในอนาคตได้ ส่วน ด.ช.ธีวสุ บุรินทร์ หรือน้องภูผา นักเรียนชั้นป.5 เสริมว่า โครงการฯนี้ ช่วยฝึกความซื่อสัตย์ มีวินัย และรู้จักการทำงานเป็นทีม ทางด้าน ด.ญ.ศุภาพิชญ์ มหาพันธ์ หรือน้องออย กล่าวขอบคุณเครือซีพี ซีพีเอฟ และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ที่ช่วยสนับสนุนโครงการฯ พวกเราจะดูแลโครงการฯนี้ให้ดีที่สุด ให้มีความต่อเนื่องไปถึงน้องๆรุ่นต่อไป เราภูมิใจที่ได้เป็นต้นทางอาหารปลอดภัย และดีใจที่โรงเรียนของเรากลายเป็นแหล่งศึกษาดูงานของโรงเรียนต่างๆ

โรงเรียนบ้านหนองโบสถ์ กลายเป็นต้นแบบของความสำเร็จในการบริหารจัดการโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ที่บรรลุวัตถุประสงค์ในการสร้างแหล่งอาหารมั่นคงในโรงเรียนเพื่อสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนมีสุขภาพดีจากการได้บริโภคไข่ไก่ และยังสามารถต่อยอดความสำเร็จของโครงการฯ สู่โครงการเกษตรอื่นๆ และยังเป็นแหล่งอาหารของชุมชนได้อย่างยั่งยืน.
ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ร่วมกับ LinkedIn เผยผลงานวิจัย Work Trend Index 2024 เปิดข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับสถานะความคืบหน้าของคนทำงานในประเทศไทยและทั่วโลก ในการนำนวัตกรรม AI มาใช้ในที่ทำงาน
รายงาน Work Trend Index 2024 รวบรวมข้อมูลจากการสำรวจพนักงานและผู้บริหารกว่า 31,000 คน ใน 31 ประเทศทั่วโลก* รวมถึงประเทศไทย พร้อมด้วยแนวโน้มตลาดแรงงานและเทรนด์การจ้างงานผ่านทาง LinkedIn รวมถึงข้อมูลที่เก็บรวบรวมมานับล้านล้านรายการจากการใช้งาน Microsoft 365 และการศึกษาวิจัยลูกค้าของบริษัทที่อยู่ใน Fortune 500 เพื่อแสดงให้เห็นว่า ในช่วงระยะเวลาเพียง 1 ปีที่ผ่านมา นวัตกรรม AI ได้มีอิทธิพลต่อรูปแบบการทำงาน การบริหาร และการจ้างงานของผู้คนทั่วโลก
ปี 2024 ถือเป็นปีของ AI เพื่อการทำงานอย่างแท้จริง หลังจากที่มีพนักงานทั่วโลกนำ Generative AI มาใช้ทำงานเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ผู้ใช้ LinkedIn จำนวนไม่น้อยได้นำเอาทักษะความสามารถที่เกี่ยวกับ AI มาเพิ่มเติมลงในเรซูเม่ของตนมากขึ้น ทางด้านผู้บริหาร ส่วนใหญ่มีมุมมองว่าจะไม่จ้างผู้สมัครที่ไม่มีทักษะด้าน AI แต่ขณะเดียวกัน ผู้บริหารจำนวนมาก ทั้งในเอเชียและทั่วโลก ยังคงกังวลเกี่ยวกับการขาดวิสัยทัศน์ด้าน AI ของบริษัท และการที่พนักงานนำเครื่องมือ AI ส่วนตัวมาใช้ในสถานที่ทำงาน ด้วยเหตุนี้ ผู้บริหารในหลายองค์กรจึงต้องเผชิญความยากลำบากกับการปรับตัว เมื่อการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ต้องเปลี่ยนผ่านจากช่วงการทดลองใช้งาน ไปสู่การสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น
นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในปัจจุบัน Generative AI เป็นเครื่องมือที่ได้รับการยอมรับและนำไปใช้งานอย่างแพร่หลายในที่ทำงาน จะเห็นได้ว่าพนักงานส่วนใหญ่เลือกนำ AI มาช่วยสะสางภาระงานในแต่ละวัน โดยที่ไม่ได้รอดูว่าองค์กรจะมีเครื่องมือ บริการ วิสัยทัศน์หรือแนวทางการใช้งานอย่างไร ดังนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้บริหารจะต้องเร่งตอบสนองต่อปรากฎการณ์นี้ เพื่อให้องค์กรและพนักงานได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้งาน AI ทั้งในเชิงประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น และการพัฒนาขีดความสามารถใหม่ๆ ควบคู่ไปกับความปลอดภัยที่เพิ่มสูงขึ้นจากแนวทางและนโยบายด้านการใช้ AI ที่ชัดเจน”
ทั้งนี้ รายงานการสำรวจ Work Trend Index 2024 ได้สรุปข้อมูลเชิงลึกใน 3 ประเด็นที่มีความสำคัญอย่างมากต่อทั้งผู้บริหารและพนักงานในประเทศไทย และสะท้อนถึงผลกระทบของ AI ที่มีต่อการทำงานและตลาดแรงงานตลอดทั้งปีนี้
ผลสำรวจ Work Trend Index เผยว่าพนักงานคนไทยกว่า 92% นำนวัตกรรม AI มาใช้ในการทำงานแล้ว ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 75% โดยในกลุ่มผู้ใช้งาน AI ยังพบอีกว่า 81% เลือกนำเครื่องมือ AI ของตนเองมาใช้งาน จนเกิดเป็นกระแสที่เรียกได้ว่า Bring Your Own AI (BYOAI) ซึ่งอาจทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากการใช้งาน AI อย่างไม่เต็มที่ เนื่องจากยังขาดทิศทางและกลยุทธ์ในระดับองค์กร และยังเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล
แนวโน้มการนำ AI มาใช้ในที่ทำงานนี้ อาจเป็นผลมาจากภาระงานที่พนักงานแต่ละคนต้องแบกรับ โดย 68% ของพนักงานทั่วโลกระบุว่าพวกเขาต้องเจอกับปัญหาในการทำงานจำนวนมากให้เสร็จทันเวลา ดังนั้น AI จึงเป็นตัวช่วยประหยัดเวลา เสริมความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งทำให้มีเวลาจดจ่อกับเนื้องานในส่วนที่สำคัญที่สุดได้มากขึ้น
ทางด้านผู้บริหาร พบว่า 91% ของผู้บริหารในประเทศไทยเชื่อว่าบริษัทของตนจำเป็นต้องนำนวัตกรรม AI มาใช้เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันกับตลาด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 79% แต่ยังมีผู้บริหารในประเทศไทยกว่า 64% ที่มีความกังวลว่าองค์กรของตนยังขาดแผนงานและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในด้านการนำ AI มาใช้ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกเล็กน้อยที่ 60% นอกจากนี้ ผู้บริหารจำนวนไม่น้อยยังพบกับอุปสรรคในการประเมินผลลัพธ์ที่ได้รับจากการใช้ AI ออกมาเป็นตัวเลขหรือตัวเงิน ซึ่งเป็นหนึ่งในโจทย์ที่ผู้บริหารและองค์กรยังต้องก้าวผ่านไปให้ได้
ผลสำรวจได้เผยให้เห็นถึงความแตกต่างในพฤติกรรม AI ของกลุ่มพนักงานที่เป็น AI Power Users หรือผู้ใช้งาน AI ระดับสูง มักจะนำเครื่องมือและบริการ AI ต่างๆ มาปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงานในแต่ละวัน และสามารถลดเวลาที่ใช้ทำงานที่มีอยู่เดิมลงได้วันละ 30 นาที หรือเฉลี่ยออกมาเป็น 10 ชั่วโมงต่อเดือน
ในประเทศไทย กว่า 86% ของพนักงานกลุ่มนี้เลือกที่จะเริ่มและจบวันทำงานด้วย AI สอดคล้องกับค่าเฉลี่ยของ AI Power Users ทั่วโลกที่ 85% แต่ในทางกลับกัน ผู้ใช้ AI ระดับสูงในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะทดลองใช้ AI ในรูปแบบหรือวิธีการใหม่ๆ เพียง 45% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระดับโลกที่ 68%
นอกจากนี้ โครงสร้างในการสนับสนุนการใช้งาน AI ในองค์กรไทยมีความแตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลจากทั่วโลก โดยกลุ่ม AI Power Users ในไทย มีเพียง 28% เท่านั้นที่มีโอกาสได้ฟังเนื้อหาสาระหรือความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับบทบาทของ AI ในการทำงานจากแผนกหรือฝ่ายที่ตนเองทำงานอยู่ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 40% ขณะที่ด้านการเรียนรู้และฝึกอบรมทักษะเพิ่มเติม พบว่ามีผู้ใช้งาน AI ระดับสูงในประเทศไทยเพียง 22% เท่านั้นที่ได้รับโอกาสจากองค์กรให้ฝึกฝนทักษะด้าน AI เพิ่มเติม เทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 42%
ทักษะการใช้งาน AI ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในตลาดแรงงานไปแล้ว ทั้งในประเทศไทยและในระดับโลก โดยผู้บริหารในไทยกว่า 74% ไม่ต้องการจ้างพนักงานที่ไม่มีทักษะทางด้าน AI ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 66% นอกจากนี้ หากต้องเลือกระหว่างทักษะ AI กับประสบการณ์การทำงาน ผู้บริหารไทยกว่า 90% ก็เลือกที่จะจ้างพนักงานที่มีประสบการณ์น้อย แต่มีทักษะด้านการใช้ AI แทนที่จะเลือกพนักงานที่มีประสบการณ์สูงกว่า แต่ขาดทักษะในด้านนี้ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 71%
ในด้านแนวโน้มการจ้างงาน ผลสำรวจระบุว่าผู้บริหารทั่วโลกราว 55% มีความกังวลว่าจะเผชิญสภาวะการขาดแคลนแรงงานที่มีความสามารถในปีนี้ โดยเฉพาะในสาขาความปลอดภัยทางไซเบอร์ วิศวกรรม และการออกแบบเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นสาขาที่กังวลว่าจะขาดแคลนมากที่สุด
ข้อมูลจากผู้ใช้ LinkedIn ทั้งในระดับองค์กรและคนทำงาน ยังเผยอีกว่า
นายธนวัฒน์ กล่าวเสริมอีกว่า “เราต้องเริ่มที่จะนำ AI เข้ามาเป็นตัวช่วยในการทำงานและใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูลหรือไอเดียต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มผลิตภาพ และความคิดสร้างสรรค์ ให้ AI เป็นหนึ่งในผู้ช่วยของเรา ดังนั้น องค์กรจึงควรที่จะตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนในการนำ AI มาใช้ช่วยแก้ปัญหาและปลดล็อคอุปสรรคต่างๆ ในการทำงานของพนักงาน ในขณะเดียวกัน ผู้บริหารจะต้องคิดว่าควรทำอย่างไรที่จะช่วยเพิ่มทักษะด้าน AI ให้กับบุคลากรของเรา และเตรียมความพร้อมในการจัดหาเครื่องมือ AI ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการใช้งาน รวมถึงให้ผู้บริหารและพนักงานทุกระดับทำงานร่วมกันในการกำหนดนโยบายหรือทิศทางการใช้งาน AI ในองค์กรเพื่อให้เกิดความชัดเจนและเห็นผลสำเร็จได้จริงในทุกตำแหน่งและสายงาน”
ในโอกาสนี้ ไมโครซอฟท์ยังได้เผยคุณสมบัติใหม่ๆ ในบริการ Copilot for Microsoft 365 ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยสนับสนุนการเริ่มต้นใช้งาน AI ในที่ทำงาน
ขณะเดียวกัน LinkedIn ก็นำเสนอคอร์สอบรมเกี่ยวกับ AI กว่า 600 รายการ เพื่อให้คนทำงานสามารถก้าวต่อไปบนเส้นทางในสายอาชีพได้อย่างมั่นใจ โดยล่าสุดได้เปิดให้ผู้ใช้ LinkedIn ทุกคนสามารถร่วมเรียนรู้จากคอร์สเกี่ยวกับ AI จำนวน 50 หลักสูตรโดยไม่มีค่าใช้จ่าย นับตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 8 กรกฎาคมนี้
ผู้สนใจสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายงาน Work Trend Index 2024 ได้ที่บล็อกของไมโครซอฟท์ พร้อมด้วยบทความสรุปรายงานฉบับเต็ม หรือพบกับบทวิเคราะห์เพิ่มเติม จาก LinkedIn โดย คาริน คิมเบรอ หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์
*การสำรวจครั้งนี้ครอบคลุมประเทศและเขตปกครองพิเศษต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกดังนี้: ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม
โรงแรมม็อกซี่ แบงคอก ราชประสงค์ อัดโปรโมชั่นชวนฟิน กับประสบการณ์การเข้าพักที่ไม่เหมือนใคร มอบสิทธิพิเศษแบบครบทุกไลฟ์สไตล์การเข้าพัก ให้นักเดินทางยุคใหม่แฮปปี้กับพักผ่อนที่นานขึ้นกว่าเดิม สร้างความประทับใจด้วยซิตี้ทัวร์ ตะลอนย่านชอปปิ้ง และตามรอยของอร่อยรอบกรุงฯ พร้อมอิ่มอร่อยมื้อพิเศษในสไตล์ม็อกซี่
พบกับโปรโมชั่นห้องพักพิเศษ “Moxy Madness” อำนวยความสะดวกครบครบทุกไลฟ์สไตล์ ถูกใจนักเดินทางยุคใหม่ ให้ผู้เข้าพักสามารถพักผ่อนหย่อนใจในห้องพักของโรงแรมได้นาน 24 ชั่วโมง ชาร์จพลังก่อนออกไปค้นพบประสบการณ์การเที่ยวเมืองกรุงฯ ได้ตลอดวัน ด้วย BTS 1 Day Pass เที่ยวสนุกแบบจัดเต็ม พร้อมอิ่มท้องด้วยเครดิตอาหารและเครื่องดื่มมูลค่า 500 บาท ต่อการเข้าพัก นอกจากนี้ผู้เข้าพักยังสามารถสะสมคะแนนโบนัสแมริออท บอนวอยกว่า 5,000 คะแนนต่อคืนอีกด้วย โดยต้องจองเข้าพักขั้นต่ำ 2 คืนต่อเนื่อง ราคาเริ่มต้น 3,600++ บาท ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2567 – 30 กันยายน 2567 โดยเริ่มจองตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 กันยายน 2567 สามารถดูรายละเอียดโปรโมชั่นเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/BookMoxyMadness

พิเศษ! ในเดือนนี้ยังสามารถชวนเพื่อนหรือครอบครัวมาฉลองวันหยุดสุดสัปดาห์ ด้วยมื้ออาหารสไตล์ปิ้งย่าง Grill O'clock ในราคาเริ่มต้นเพียง 199 บาท ทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป ดูเมนูเพิ่มเติมได้ทาง Grill O'clock menu
นอกจากนี้ ห้ามพลาดโปรโมชั่น Eat Out by Marriott Bonvoy ที่มอบประสบการณ์การรับประทานเซตอาหารที่แมชต์ความอร่อยมาให้แล้ว พิเศษสำหรับสมาชิก Marriott Bonvoy เท่านั้น และสามารถสะสมคะแนน Marriott Bonvoy เพื่อรับสิทธิประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย
สำหรับโปรโมชั่นห้องพักและโปรโมชั่นอาหาร สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.moxybangkokratchaprasong.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 02-209-5999 อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. แชทผ่านไลน์ @moxybangkok ติดตามอัปเดตกิจกรรมและโปรโมชั่นก่อนใคร ได้ที่ Facebook: Moxy Bangkok Ratchaprasong และ Instagram: @moxybangkok หรือแฮชแท็ก #AtTheMoxy
มูลนิธิเฮอริเทจ (ประเทศไทย) ภายใต้การดูแลของเครือเฮอริเทจ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ นำโดย วลัยทิพย์ ซื่อตรงมั่นคง ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร เครือเฮอริเทจ จัดโครงการ “ห้องเรียนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ครั้งที่ 4” ณ โรงเรียนวัดเชิงเลน (นครใจราษฎร์) ตำบลบางช้าง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เพื่อให้นักเรียนระดับระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 – 4 ได้รับความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับสาเหตุและผลกระทบที่เกิดจากภาวะโลกร้อน ทำอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการทำลายสิ่งแวดล้อม รู้จักแยกขยะแต่ละประเภท และหลักการ 5Rs เพื่อการรักษาสิ่งแวดล้อม ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ พร้อมทั้งมอบผลิตภัณฑ์อัลมอนด์ บรีซ โยเกิร์ตพร้อมดื่ม และ ถั่วอัลมอนด์พร้อมทาน แบรนด์ บลูไดมอนด์ ให้กับนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ