December 20, 2025

บริษัท อบาคัส ดิจิทัล จำกัด ผู้ให้บริการสินเชื่อดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชันมันนี่ทันเดอร์ (MoneyThunder) ต่อยอดความสำเร็จร่วมกับ บริษัท แมกซ์ โซลูชัน เซอร์วิส บริษัทในเครือพีทีจี (PTG) ขยายช่องทางการให้บริการสินเชื่อผ่านร้านกาแฟพันธุ์ไทยกว่า 900 สาขาทั่วประเทศ ภายใต้แคมเปญ “รอกาแฟอยู่ก็กู้ได้” ตอกย้ำจุดมุ่งหมายในการขยายแหล่งเงินทุนที่ปลอดภัย ช่วยให้คนไทยเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ทุกที่ ทุกเวลา

นางสาวพรณภัสร์ เฉลิมเตียรณ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท อบาคัส ดิจิทัล จำกัด (ABACUS digital) กล่าวว่า อบาคัส ดิจิทัล มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตทางการเงินของคนไทย ผ่านการให้บริการสินเชื่อแก่ผู้ที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อธนาคาร และกลุ่มผู้ประกอบการที่ต้องการเงินทุนต่อยอดธุรกิจ ผ่านแอปฯ มันนี่ทันเดอร์ ซึ่งบริษัทเล็งเห็นว่า ร้านกาแฟพันธุ์ไทยภายใต้เครือ PTG มีการขยายสาขาต่อเนื่องและมีฐานลูกค้าที่สอดคล้องกับเป้าหมายของมันนี่ทันเดอร์ ดังนั้น การขยายช่องทางความร่วมมือไปยังร้านกาแฟพันธุ์ไทย ภายใต้แคมเปญ “รอกาแฟอยู่ก็กู้ได้” จะช่วยต่อยอดโอกาสให้กับลูกค้าของพันธมิตรได้กว้างมากยิ่งขึ้น และมีส่วนช่วยให้คนไทยเข้าถึงแหล่งสินเชื่อถูกกฎหมายได้ทุกที่ ทุกเวลา

นายพร้อมศักดิ์ จรัญญากรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมกซ์ โซลูชัน เซอร์วิส จำกัด บริษัทในเครือพีทีจี กล่าวว่า การขยายต่อความร่วมมือเพื่อนำบริการสินเชื่อไปยังร้านกาแฟพันธุ์ไทยในครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยให้ลูกค้าพันธุ์ไทย และสมาชิกบัตร Max Card ที่ต้องการสภาพคล่องทางการเงิน เข้าถึงสินเชื่อถูกกฎหมาย ปลอดภัย และยังมีส่วนช่วยปัญหาหนี้นอกระบบในประเทศอีกด้วย  

ผู้ที่สนใจสามารถสแกนคิวอาร์โค้ด ลงทะเบียน และสมัครสินเชื่อมันนี่ทันเดอร์ ได้ที่ร้านกาแฟพันธุ์ไทยทุกสาขา (ยกเว้นสาขาท่าอากาศยาน)  พร้อมรับโค้ดส่วนลดสูงสุด 1,000 บาท สำหรับลูกค้าพันธุ์ไทยและสมาชิกบัตร Max Card ที่สมัครและทำสัญญาตามเงื่อนไขของกิจกรรมที่บริษัทฯ กำหนด ตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2567 - 31 ธันวาคม 2567

การ์ทเนอร์ บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศชั้นนำของโลก เผยรายงาน Market Share: IT Services, Worldwide 2023 ชี้หัวเว่ยทำรายได้ขึ้นแท่นอันดับ 2 ในตลาด IaaS ของจีน และทำรายได้ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 3 ในประเทศไทย

นอกจากนี้ รายงาน Emerging Asia-Pacific Hybrid Cloud Market Report 2022 โดยฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน, องค์กรวิจัยตลาดชั้นนำ, เผยว่าหัวเว่ย คลาวด์ทำรายได้อันดับ 1 ในตลาดไฮบริดคลาวด์ในประเทศไทย

ในปี พ.ศ. 2566 หัวเว่ย คลาวด์ ทำรายได้ทั่วโลกประมาณห้าหมื่นห้าพันล้านหยวน โดยรายได้จากบริการคลาวด์สาธารณะนอกประเทศจีนเติบโตเพิ่มขึ้น 110% เมื่อเทียบกับปีก่อน ทำให้หัวเว่ยเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการคลาวด์ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยหัวเว่ย คลาวด์ครองตำแหน่งผู้ให้บริการคลาวด์ที่น่าเชื่อถือสำหรับลูกค้าและพาร์ทเนอร์หลากหลายองค์กรในประเทศไทย

หัวเว่ย คลาวด์ขยายขอบเขตการดำเนินงานทั่วโลกผ่านคูเวิร์ส (KooVerse) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ระดับโลก โดยมุ่งมั่นให้บริการคลาวด์ประสิทธิภาพสูงที่มอบประสบการณ์ใช้งานที่มีความเสถียรให้แก่ผู้ใช้บริการทั่วโลก หัวเว่ย คลาวด์มุ่งดำเนินการตามพันธกิจ “บริการในท้องถิ่น เพื่อท้องถิ่น” (In Local, For Local) และนำเสนอเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมและบริการที่สอดรับกับความต้องการของลูกค้าในพื้นที่เพื่อปูทางสู่ยุคดิจิทัลสำหรับหลากหลายอุตสาหกรรม ปัจจุบัน หัวเว่ย คลาวด์มีศูนย์ข้อมูล (Availability Zone – AZ) 93 แห่ง พร้อมโครงสร้างพื้นฐานระดับภูมิภาค (Region) 33 แห่ง มอบบริการคลาวด์เปี่ยมประสิทธิภาพให้กับลูกค้าในกว่า 170 ประเทศและดินแดนทั่วโลก

หัวเว่ยเป็นผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลกรายแรกที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย นับตั้งแต่การเปิดตัวหัวเว่ย คลาวด์ในไทยเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2561 บริษัทได้เปิดตัวบริการคลาวด์มากกว่า 100 รูปแบบ พัฒนาความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในท้องถิ่นมากกว่า 300 ราย และให้บริการลูกค้าหลายพันราย หัวเว่ย คลาวด์เปิดตัวศูนย์ข้อมูล (Availability Zone – AZ) จำนวน 3 แห่งในประเทศไทย โดยศูนย์ข้อมูลล่าสุดเริ่มดำเนินการในวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2565 โดยปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการดำเนินงานในประเทศไทยโดยสมบูรณ์ และรองรับการชำระเงินและการเรียกเก็บเงินในสกุลเงินท้องถิ่นอีกด้วย นอกจากนี้ หัวเว่ยยังจัดตั้งศูนย์นวัตกรรม OpenLab ในประเทศไทยเพื่อผนึกกำลังกับลูกค้าและพาร์ทเนอร์ มุ่งขับเคลื่อนนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในพื้นที่

หัวเว่ยวางรากฐานอันแข็งแกร่งในประเทศไทย เป็นเวลากว่า 25 ปี โดยมีพนักงานคนไทยเป็นจำนวน 77% ของพนักงานทั้งหมด หัวเว่ย คลาวด์ ในประเทศไทย ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์คลาวด์ในไทยกว่า 300 ราย และสตาร์ทอัพ 120 ราย เพื่อปลูกฝังอีโคซิสเต็มในท้องถิ่นที่เจริญรุดหน้า นอกจากนี้ หัวเว่ยยังผนึกกำลังกับมหาวิทยาลัยในประเทศไทยกว่า 40 แห่ง และฝึกอบรมนักพัฒนาคลาวด์กว่า 10,000 ราย โดยบริษัทมีเป้าหมายที่จะฝึกอบรมนักพัฒนาคลาวด์ให้ถึง 20,000 คนในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า เพื่อบ่มเพาะทักษะด้านเทคนิคที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย

พลิกโฉมองค์กรสู่ Green Industry ผ่านโครงการ A’MAZE Green Society ตอกย้ำเส้นทางที่ยั่งยืน ปักธง Fabric Zero Waste ลดขยะเหลือทิ้งเป็นศูนย์ พร้อมผนึกพันธมิตรยกระดับอุตสาหกรรมแฟชั่น

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) มอบรางวัลการประกวดบรรจุภัณฑ์ไทย ประจำปี 2567 (ThaiStar Packaging Awards 2024) ในงาน ProPak Asia 2024 พร้อมดัน 54 สุดยอดบรรจุภัณฑ์ แนวคิด “วิถีไทย (Being Thai)” ที่มีความโดดเด่นด้านการออกแบบ (Design) ประโยชน์การใช้งาน (Functionality) หรือการใช้วัสดุ (Material) ที่ส่งเสริม“ซอฟต์พาวเวอร์ : Soft Power” เพื่อสื่อสารอัตลักษณ์ความเป็นไทยผ่านบรรจุภัณฑ์

นางดวงดาว ขาวเจริญ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลไทยมีนโยบายสนับสนุนการสร้างพลังสร้างสรรค์ หรือ Soft Power ของประเทศ เพื่อยกระดับและพัฒนาความสามารถด้านความรู้ ความสามารถ และความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยให้สร้างมูลค่าและสร้างรายได้ รวมทั้งการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาต่อยอดศิลปวัฒนธรรม และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น อีกทั้ง ภายใต้การบริหารงานของ นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไทยในการปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในบริบทต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจและพร้อมรับกับอนาคต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสร้างสรรค์มีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยยุคใหม่บนพื้นฐานของการใช้องค์ความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเชื่อมโยงกับทุนทางวัฒนธรรมและเทคโนโลยี นวัตกรรมสมัยใหม่ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรม เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และบริการ

นางดวงดาว กล่าวต่อว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) โดยนายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้กำหนดทิศทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันภาคอุตสาหกรรม ตามนโยบาย RESHAPE THE FUTURE : โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต ผ่านกลยุทธ์การปรับตัวให้ก้าวทันอุตสาหกรรมยุคใหม่ (RESHAPE THE INDUSTRY) เร่งยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ผ่านนโยบายการขยายความร่วมมือ (DIPROM Connection) โดยได้บูรณาการกับสมาคมบรรจุภัณฑ์กระดาษลูกฟูกไทย สมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทย สถาบันรหัสสากล และสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมจัดการประกวดบรรจุภัณฑ์ไทย ประจำปี 2567 (ThaiStar Packaging Awards 2024) ภายใต้แนวคิด “วิถีไทย (Being Thai)” โดยมุ่งเน้นการสรรหาบรรจุภัณฑ์ที่มีการออกแบบ (Design) ประโยชน์การใช้งาน (Functionality) หรือการใช้วัสดุ (Material) ที่ส่งเสริม “Soft Power” ความเป็นไทยในบรรจุภัณฑ์ โดยมีผลงานส่งเข้าประกวดถึง 247 ผลงาน โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทรางวัล คือ 1) ประเภทนักเรียน และ 2) ประเภทบริษัท โดยมีผู้ผ่านการคัดเลือกได้รับรางวัลจำนวน 54 รางวัล ซึ่งได้จัดงานมอบรางวัลดังกล่าวร่วมกับงาน ProPak Asia 2024 โดยผู้ได้รับรางวัลสามารถสมัครเข้าร่วมการประกวดบรรจุภัณฑ์ระดับเอเชีย (AsiaStar Awards 2024) และระดับโลก (WorldStar Packaging Awards) ได้ในอนาคตต่อไป

ในปีนี้ ดีพร้อม ได้รับการสนับสนุนเงินรางวัลสำหรับกลุ่มนักเรียน - นักศึกษา ได้แก่ สมาคมบรรจุภัณฑ์กระดาษลูกฟูกไทย และสมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทย อีกทั้ง ยังมีการสนับสนุนรางวัลพิเศษ “การออกแบบบาร์โค้ดบนบรรจุภัณฑ์” จากสถาบันรหัสสากล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และรางวัลพิเศษ “การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” จากสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยอีกด้วย

ทั้งนี้ การประกวดบรรจุภัณฑ์ไทย ประจำปี 2566 ที่ผ่านมา นักออกแบบไทยสามารถคว้ารางวัลจากการประกวดบรรจุภัณฑ์ระดับเอเชีย (AsiaStar Awards 2023) ซึ่งจัดโดย สหพันธ์การบรรจุภัณฑ์แห่งเอเชีย (Asian Packaging Federation : APF) จำนวน 24 รางวัล นับเป็นประเทศที่ได้รับรางวัลมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย และได้รับรางวัลจากการประกวดบรรจุภัณฑ์ระดับโลก (WorldStar Packaging Awards) ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา รวมจำนวนทั้งสิ้น 26 รางวัล นางดวงดาว กล่าวทิ้งท้าย

เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ที่บิ๊กซี ทุกสาขาทั่วประเทศ และ ช่องทางออนไลน์

“บิ๊กซี” ชวนลูกค้าสมาชิกบิ๊กพอยต์เล่นเกมกับพี่หมี บิ๊กกี้ “Goal เกมวัดดวงยิงวัดใจ” ชิงรางวัลมูลรวมกว่า 4 ล้านบาท เล่นง่ายๆ เพียงเข้า LINE Big C TH กดเกมวัดดวงยิงวัดใจ และกดปุ่มเล่นเกม จากนั้นให้กดปุ่มเลือกตำแหน่งเป้าหมายที่ต้องการยิง และกดยิง ทันที (มีสิทธ์ 3 ครั้ง / การเล่น 1 ครั้ง) สำหรับท่านที่ได้รับรางวัล ให้กดยืนยันรับคูปอง ร่วมสนุกตั้งแต่วันนี้ – 26 มิถุนายน 2567

เงื่อนไข

  1. ผู้เล่นจะต้องเป็นเพื่อนใน LINE - Big C TH และเป็นสมาชิกบิ๊กพอยต์เท่านั้น
  2. จำกัดสิทธิ์การเล่นเกม 1 ครั้ง / วัน
  3. จำกัดสิทธิ์การเล่นเกม 1 LINE ID / 1 สมาชิกบิ๊กพอยต์
  4. จำกัดจำนวนรางวัลที่ได้รับ 21 สิทธิ์ / สมาชิก / แคมเปญ
  5. เงื่อนไขการใช้คูปองขึ้นอยู่กับของรางวัลที่ได้รับแตกต่างกันไป
  6. บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิในการเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิก เงื่อนไขหรือรายละเอียดรายการโปรโมชั่น โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า เมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้มีโอกาสนำคณะผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เข้าร่วมการประชุมประจำปีนายทะเบียนประกันภัยของประเทศสหรัฐอเมริกา (2024 NAIC International Insurance Forum) ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งการจัดประชุมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีให้หน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยและบริษัทประกันภัยระดับนานาชาติได้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมประกันภัย โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานกำกับดูแลภาคการเงินและธุรกิจประกันภัยจาก 56 มลรัฐในประเทศสหรัฐอเมริกาเข้าร่วม พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานวิชาการด้านการประกันภัยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล อาทิ สมาคมผู้กำกับดูแลธุรกิจประกันภัยนานาชาติ (The International Association of Insurance Supervisors: IAIS) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) European Insurance and Occupational Pensions Authority (EIOPA) ผู้แทนจากหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยจากประเทศไอร์แลนด์ ประเทศอังกฤษ ประเทศเบลเยียม ประเทศโมร็อกโก ประเทศอาร์เจนตินา และประเทศไทย ตลอดจนผู้แทนจากสมาคมและหน่วยงานภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและจากภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่สำนักงาน คปภ. จะได้รับทราบข้อมูล รวมทั้งแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับธุรกิจประกันภัยของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านผลกระทบของความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมเชิงมหภาคที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจประกันภัยในอนาคต เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับบริบทของประเทศไทยอย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยของประเทศไทย

ในโอกาสนี้ เลขาธิการ คปภ. ได้รับเกียรติจาก National Association of Insurance Commissioners (NAIC) ให้ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษภายใต้หัวข้อ “การระบุช่องว่างความคุ้มครองด้านการประกันภัยในประเทศไทย” โดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า ความท้าทายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งความไม่แน่นอน หรือที่เรียกกันว่า V-U-C-A World ซึ่งส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อภูมิทัศน์ของภาคธุรกิจประกันภัยไทย โดยได้ยกตัวอย่างความท้าทายที่เกิดขึ้นใหม่ทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ภัยธรรมชาติ และโรคอุบัติใหม่ การเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่พึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น ความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจ และความท้าทายที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยฉายภาพความท้าทายที่สำนักงาน คปภ. เห็นว่าเป็นปัจจัยหลักในการส่งเสริมและผลักดันให้ธุรกิจประกันภัยมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ประกอบด้วย ประชาชนขาดความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัย ประชาชนไม่มีการวางแผนทางการเงิน และข้อจำกัดด้านรายได้ส่งผลต่อการเข้าถึงประกันภัย ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลโดยตรงต่อการเข้าถึงการประกันภัยของประชาชนทำให้เกิดเป็นช่องว่างความคุ้มครองด้านประกันภัย (Protection Gap) ในประเทศไทย

ซึ่งสำนักงาน คปภ. ตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาและส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการประกันภัย เพื่อเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้มีความมั่นคง ทนทาน พร้อมรับมือกับความเสี่ยงและการเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยที่ผ่านมา สำนักงาน คปภ. ได้มีการดำเนินการที่สำคัญ เพื่อลดช่องว่างในการเข้าถึงประกันภัยของประชาชนผ่านมาตรการที่สำคัญ อาทิ การประกันภัยพืชผล การประกันภัยรายย่อย (Microinsurance) และการประกันภัยสุขภาพผู้สูงอายุ ซึ่งล้วนแล้วแต่มุ่งเน้นพัฒนาคุณภาพชีวิตและความมั่นคงให้แก่ประชากรในกลุ่มที่มีความเปราะบาง 

เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันธุรกิจประกันภัยโลกกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงรูปแบบใหม่ ๆ ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง สภาวะโลกร้อน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ระบบเศรษฐกิจและการเงินของโลกที่ผันผวน รวมถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด ซึ่งสำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยต้องมีการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยในภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อให้สามารถปรับตัวและนำเอากลยุทธ์ที่ทันต่อเหตุการณ์มาใช้ในการกำกับ ดูแล และส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยให้มีความเข้มแข็ง และยั่งยืน ซึ่งการประชุมนายทะเบียนประกันภัยของประเทศสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาความร่วมมือระหว่างสำนักงาน คปภ. และหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยของแต่ละมลรัฐในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยนอกจากการประชุมดังกล่าวแล้ว ตนยังได้มีโอกาสประชุมหารือเป็นการส่วนตัว (Bilateral Meeting) ร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยของรัฐนิวยอร์ก (New York Insurance Department) และสำนักงานของ NAIC ประจำรัฐนิวยอร์ก (Capital Markets & Investment Analysis Office) เพื่อจะได้นำเอาองค์ความรู้มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อภาคธุรกิจประกันภัยของประเทศไทยต่อไป

‘อินโน พรีคาสท์’ มุ่งสู่ Net Zero ใช้เทคโนโลยีสีเขียว ‘คาร์บอนเคียว’ ผลิตพรีคาสท์คาร์บอนต่ำ รายแรกในวงการอสังหา ล่าสุด คว้า ‘ฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์’ รายแรกและรายเดียวในอุตสาหกรรมพรีคาสท์ในไทย และ ‘ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์’ ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำที่สุดในอุตสาหกรรมเดียวกัน ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดูแลสิ่งแวดล้อม พร้อมเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมต่อเนื่อง ควบคู่การปรับกระบวนการทำงาน เพื่อตอบสนองความต้องการและแก้ปัญหาของลูกค้า

นายพรเทพ ศุภธราธาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโน พรีคาสท์ จำกัด กล่าวว่า อินโน พรีคาสท์ ที่มุ่งมั่นก้าวสู่ Net Zero โดยได้นำเทคโนโลยีคาร์บอนเคียว (CarbonCure) มาใช้ในการผลิตพรีคาสท์คาร์บอนต่ำเป็นรายแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่รวบรวมจากโรงงานปิโตรเคมีฉีดเข้าไปในขั้นตอนการผสมคอนกรีต ซึ่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกที่เป็นตัวการทำลายสิ่งแวดล้อม การผลิตแผ่นพรีคาสท์ด้วยเทคโนโลยีคาร์บอนเคียวจึงช่วยลดปัญหาโลกร้อนได้อีกทางหนึ่ง

“เทคโนโลยีคาร์บอนเคียวสามารถลดปริมาณการใช้ซีเมนต์ได้ 5% แต่ยังคงประสิทธิภาพความแข็งแกร่งของคอนกรีตได้ตามมาตรฐาน ทำให้ได้บ้านที่มีคุณภาพและแข็งแรง พร้อมกันนี้ ยังลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศได้ถึง 3,000 ตันต่อปี” นายพรเทพ กล่าว

นอกจากจะสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนด้าน Heart to Earth ของกลุ่มพฤกษาแล้ว อินโน พรีคาสท์ ได้พัฒนากระบวนการผลิต เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการมาอย่างต่อเนื่อง เช่น การนำเทคโนโลยี CarbonCure เข้ามาใช้ในการผลิต, การพัฒนาสูตรผสมคอนกรีต, การใช้แนวคิด “ขยะเหลือศูนย์” (Zero Waste) สำหรับเครื่องผลิตเหล็กเสริมอัตโนมัติ และระบบ Concrete Recycling System, การพัฒนาการก่อสร้างด้วยระบบ Hybrid Slab ช่วยลดนํ้าหนักในการขนส่ง และการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในโรงงานผลิต เพื่อประหยัดพลังงาน เป็นต้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ อินโน พรีคาสท์ ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ถึง 2 ประเภท ในเดือนพฤษภาคม 2567 ได้แก่ ฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint Reduction) ซึ่งนับเป็นรายแรกและรายเดียวในอุตสาหกรรมพรีคาสท์ในประเทศไทย และ ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product) ซึ่ง อินโน พรีคาสท์ เป็นผู้ผลิตพรีคาสท์ที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยการผลิตต่ำที่สุด เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์เดียวกันของผู้ผลิตรายอื่น ที่ได้รับฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งชิ้นงานผนังคอนกรีตสำเร็จรูป (Product Wall) ได้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 426.34 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (kgCO2e) ต่อผนังคอนกรีต 1 ลูกบาศก์เมตร (m3) โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวน 3,700 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e)

นายพรเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า กลุ่มพฤกษาได้กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 30% ภายในปี 2573 และมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อินโน พรีคาสท์ มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนานวัตกรรมและปรับกระบวนการทำงานอย่างไม่หยุดยั้ง  เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหาของลูกค้า อีกทั้งยังมีเป้าหมายที่ต้องการส่งมอบการอยู่อาศัยที่มีคุณภาพ ยกระดับชีวิตของผู้คนในสังคม ซึ่งสอดคล้องตามกรอบแนวคิด อยู่ดี มีสุข ของกลุ่มพฤกษาด้วยเช่นกัน

เปิดโลกการสื่อสารกับเหล่าวิทยากรชื่อดัง!

X

Right Click

No right click