

บริษัท อบาคัส ดิจิทัล จำกัด ผู้ให้บริการสินเชื่อดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชันมันนี่ทันเดอร์ (MoneyThunder) ต่อยอดความสำเร็จร่วมกับ บริษัท แมกซ์ โซลูชัน เซอร์วิส บริษัทในเครือพีทีจี (PTG) ขยายช่องทางการให้บริการสินเชื่อผ่านร้านกาแฟพันธุ์ไทยกว่า 900 สาขาทั่วประเทศ ภายใต้แคมเปญ “รอกาแฟอยู่ก็กู้ได้” ตอกย้ำจุดมุ่งหมายในการขยายแหล่งเงินทุนที่ปลอดภัย ช่วยให้คนไทยเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ทุกที่ ทุกเวลา
นางสาวพรณภัสร์ เฉลิมเตียรณ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท อบาคัส ดิจิทัล จำกัด (ABACUS digital) กล่าวว่า อบาคัส ดิจิทัล มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตทางการเงินของคนไทย ผ่านการให้บริการสินเชื่อแก่ผู้ที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อธนาคาร และกลุ่มผู้ประกอบการที่ต้องการเงินทุนต่อยอดธุรกิจ ผ่านแอปฯ มันนี่ทันเดอร์ ซึ่งบริษัทเล็งเห็นว่า ร้านกาแฟพันธุ์ไทยภายใต้เครือ PTG มีการขยายสาขาต่อเนื่องและมีฐานลูกค้าที่สอดคล้องกับเป้าหมายของมันนี่ทันเดอร์ ดังนั้น การขยายช่องทางความร่วมมือไปยังร้านกาแฟพันธุ์ไทย ภายใต้แคมเปญ “รอกาแฟอยู่ก็กู้ได้” จะช่วยต่อยอดโอกาสให้กับลูกค้าของพันธมิตรได้กว้างมากยิ่งขึ้น และมีส่วนช่วยให้คนไทยเข้าถึงแหล่งสินเชื่อถูกกฎหมายได้ทุกที่ ทุกเวลา
นายพร้อมศักดิ์ จรัญญากรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมกซ์ โซลูชัน เซอร์วิส จำกัด บริษัทในเครือพีทีจี กล่าวว่า การขยายต่อความร่วมมือเพื่อนำบริการสินเชื่อไปยังร้านกาแฟพันธุ์ไทยในครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยให้ลูกค้าพันธุ์ไทย และสมาชิกบัตร Max Card ที่ต้องการสภาพคล่องทางการเงิน เข้าถึงสินเชื่อถูกกฎหมาย ปลอดภัย และยังมีส่วนช่วยปัญหาหนี้นอกระบบในประเทศอีกด้วย
ผู้ที่สนใจสามารถสแกนคิวอาร์โค้ด ลงทะเบียน และสมัครสินเชื่อมันนี่ทันเดอร์ ได้ที่ร้านกาแฟพันธุ์ไทยทุกสาขา (ยกเว้นสาขาท่าอากาศยาน) พร้อมรับโค้ดส่วนลดสูงสุด 1,000 บาท สำหรับลูกค้าพันธุ์ไทยและสมาชิกบัตร Max Card ที่สมัครและทำสัญญาตามเงื่อนไขของกิจกรรมที่บริษัทฯ กำหนด ตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2567 - 31 ธันวาคม 2567
การ์ทเนอร์ บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศชั้นนำของโลก เผยรายงาน Market Share: IT Services, Worldwide 2023 ชี้หัวเว่ยทำรายได้ขึ้นแท่นอันดับ 2 ในตลาด IaaS ของจีน และทำรายได้ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 3 ในประเทศไทย
นอกจากนี้ รายงาน Emerging Asia-Pacific Hybrid Cloud Market Report 2022 โดยฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน, องค์กรวิจัยตลาดชั้นนำ, เผยว่าหัวเว่ย คลาวด์ทำรายได้อันดับ 1 ในตลาดไฮบริดคลาวด์ในประเทศไทย

ในปี พ.ศ. 2566 หัวเว่ย คลาวด์ ทำรายได้ทั่วโลกประมาณห้าหมื่นห้าพันล้านหยวน โดยรายได้จากบริการคลาวด์สาธารณะนอกประเทศจีนเติบโตเพิ่มขึ้น 110% เมื่อเทียบกับปีก่อน ทำให้หัวเว่ยเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการคลาวด์ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยหัวเว่ย คลาวด์ครองตำแหน่งผู้ให้บริการคลาวด์ที่น่าเชื่อถือสำหรับลูกค้าและพาร์ทเนอร์หลากหลายองค์กรในประเทศไทย
หัวเว่ย คลาวด์ขยายขอบเขตการดำเนินงานทั่วโลกผ่านคูเวิร์ส (KooVerse) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ระดับโลก โดยมุ่งมั่นให้บริการคลาวด์ประสิทธิภาพสูงที่มอบประสบการณ์ใช้งานที่มีความเสถียรให้แก่ผู้ใช้บริการทั่วโลก หัวเว่ย คลาวด์มุ่งดำเนินการตามพันธกิจ “บริการในท้องถิ่น เพื่อท้องถิ่น” (In Local, For Local) และนำเสนอเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมและบริการที่สอดรับกับความต้องการของลูกค้าในพื้นที่เพื่อปูทางสู่ยุคดิจิทัลสำหรับหลากหลายอุตสาหกรรม ปัจจุบัน หัวเว่ย คลาวด์มีศูนย์ข้อมูล (Availability Zone – AZ) 93 แห่ง พร้อมโครงสร้างพื้นฐานระดับภูมิภาค (Region) 33 แห่ง มอบบริการคลาวด์เปี่ยมประสิทธิภาพให้กับลูกค้าในกว่า 170 ประเทศและดินแดนทั่วโลก
หัวเว่ยเป็นผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลกรายแรกที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย นับตั้งแต่การเปิดตัวหัวเว่ย คลาวด์ในไทยเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2561 บริษัทได้เปิดตัวบริการคลาวด์มากกว่า 100 รูปแบบ พัฒนาความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในท้องถิ่นมากกว่า 300 ราย และให้บริการลูกค้าหลายพันราย หัวเว่ย คลาวด์เปิดตัวศูนย์ข้อมูล (Availability Zone – AZ) จำนวน 3 แห่งในประเทศไทย โดยศูนย์ข้อมูลล่าสุดเริ่มดำเนินการในวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2565 โดยปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการดำเนินงานในประเทศไทยโดยสมบูรณ์ และรองรับการชำระเงินและการเรียกเก็บเงินในสกุลเงินท้องถิ่นอีกด้วย นอกจากนี้ หัวเว่ยยังจัดตั้งศูนย์นวัตกรรม OpenLab ในประเทศไทยเพื่อผนึกกำลังกับลูกค้าและพาร์ทเนอร์ มุ่งขับเคลื่อนนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในพื้นที่
หัวเว่ยวางรากฐานอันแข็งแกร่งในประเทศไทย เป็นเวลากว่า 25 ปี โดยมีพนักงานคนไทยเป็นจำนวน 77% ของพนักงานทั้งหมด หัวเว่ย คลาวด์ ในประเทศไทย ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์คลาวด์ในไทยกว่า 300 ราย และสตาร์ทอัพ 120 ราย เพื่อปลูกฝังอีโคซิสเต็มในท้องถิ่นที่เจริญรุดหน้า นอกจากนี้ หัวเว่ยยังผนึกกำลังกับมหาวิทยาลัยในประเทศไทยกว่า 40 แห่ง และฝึกอบรมนักพัฒนาคลาวด์กว่า 10,000 ราย โดยบริษัทมีเป้าหมายที่จะฝึกอบรมนักพัฒนาคลาวด์ให้ถึง 20,000 คนในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า เพื่อบ่มเพาะทักษะด้านเทคนิคที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) มอบรางวัลการประกวดบรรจุภัณฑ์ไทย ประจำปี 2567 (ThaiStar Packaging Awards 2024) ในงาน ProPak Asia 2024 พร้อมดัน 54 สุดยอดบรรจุภัณฑ์ แนวคิด “วิถีไทย (Being Thai)” ที่มีความโดดเด่นด้านการออกแบบ (Design) ประโยชน์การใช้งาน (Functionality) หรือการใช้วัสดุ (Material) ที่ส่งเสริม“ซอฟต์พาวเวอร์ : Soft Power” เพื่อสื่อสารอัตลักษณ์ความเป็นไทยผ่านบรรจุภัณฑ์

นางดวงดาว ขาวเจริญ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลไทยมีนโยบายสนับสนุนการสร้างพลังสร้างสรรค์ หรือ Soft Power ของประเทศ เพื่อยกระดับและพัฒนาความสามารถด้านความรู้ ความสามารถ และความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยให้สร้างมูลค่าและสร้างรายได้ รวมทั้งการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาต่อยอดศิลปวัฒนธรรม และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น อีกทั้ง ภายใต้การบริหารงานของ นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไทยในการปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในบริบทต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจและพร้อมรับกับอนาคต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสร้างสรรค์มีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยยุคใหม่บนพื้นฐานของการใช้องค์ความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเชื่อมโยงกับทุนทางวัฒนธรรมและเทคโนโลยี นวัตกรรมสมัยใหม่ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรม เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และบริการ

นางดวงดาว กล่าวต่อว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) โดยนายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้กำหนดทิศทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันภาคอุตสาหกรรม ตามนโยบาย RESHAPE THE FUTURE : โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต ผ่านกลยุทธ์การปรับตัวให้ก้าวทันอุตสาหกรรมยุคใหม่ (RESHAPE THE INDUSTRY) เร่งยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ผ่านนโยบายการขยายความร่วมมือ (DIPROM Connection) โดยได้บูรณาการกับสมาคมบรรจุภัณฑ์กระดาษลูกฟูกไทย สมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทย สถาบันรหัสสากล และสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมจัดการประกวดบรรจุภัณฑ์ไทย ประจำปี 2567 (ThaiStar Packaging Awards 2024) ภายใต้แนวคิด “วิถีไทย (Being Thai)” โดยมุ่งเน้นการสรรหาบรรจุภัณฑ์ที่มีการออกแบบ (Design) ประโยชน์การใช้งาน (Functionality) หรือการใช้วัสดุ (Material) ที่ส่งเสริม “Soft Power” ความเป็นไทยในบรรจุภัณฑ์ โดยมีผลงานส่งเข้าประกวดถึง 247 ผลงาน โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทรางวัล คือ 1) ประเภทนักเรียน และ 2) ประเภทบริษัท โดยมีผู้ผ่านการคัดเลือกได้รับรางวัลจำนวน 54 รางวัล ซึ่งได้จัดงานมอบรางวัลดังกล่าวร่วมกับงาน ProPak Asia 2024 โดยผู้ได้รับรางวัลสามารถสมัครเข้าร่วมการประกวดบรรจุภัณฑ์ระดับเอเชีย (AsiaStar Awards 2024) และระดับโลก (WorldStar Packaging Awards) ได้ในอนาคตต่อไป

ในปีนี้ ดีพร้อม ได้รับการสนับสนุนเงินรางวัลสำหรับกลุ่มนักเรียน - นักศึกษา ได้แก่ สมาคมบรรจุภัณฑ์กระดาษลูกฟูกไทย และสมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทย อีกทั้ง ยังมีการสนับสนุนรางวัลพิเศษ “การออกแบบบาร์โค้ดบนบรรจุภัณฑ์” จากสถาบันรหัสสากล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และรางวัลพิเศษ “การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” จากสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยอีกด้วย

ทั้งนี้ การประกวดบรรจุภัณฑ์ไทย ประจำปี 2566 ที่ผ่านมา นักออกแบบไทยสามารถคว้ารางวัลจากการประกวดบรรจุภัณฑ์ระดับเอเชีย (AsiaStar Awards 2023) ซึ่งจัดโดย สหพันธ์การบรรจุภัณฑ์แห่งเอเชีย (Asian Packaging Federation : APF) จำนวน 24 รางวัล นับเป็นประเทศที่ได้รับรางวัลมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย และได้รับรางวัลจากการประกวดบรรจุภัณฑ์ระดับโลก (WorldStar Packaging Awards) ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา รวมจำนวนทั้งสิ้น 26 รางวัล นางดวงดาว กล่าวทิ้งท้าย
“บิ๊กซี” ชวนลูกค้าสมาชิกบิ๊กพอยต์เล่นเกมกับพี่หมี บิ๊กกี้ “Goal เกมวัดดวงยิงวัดใจ” ชิงรางวัลมูลรวมกว่า 4 ล้านบาท เล่นง่ายๆ เพียงเข้า LINE Big C TH กดเกมวัดดวงยิงวัดใจ และกดปุ่มเล่นเกม จากนั้นให้กดปุ่มเลือกตำแหน่งเป้าหมายที่ต้องการยิง และกดยิง ทันที (มีสิทธ์ 3 ครั้ง / การเล่น 1 ครั้ง) สำหรับท่านที่ได้รับรางวัล ให้กดยืนยันรับคูปอง ร่วมสนุกตั้งแต่วันนี้ – 26 มิถุนายน 2567
เงื่อนไข
นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า เมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้มีโอกาสนำคณะผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เข้าร่วมการประชุมประจำปีนายทะเบียนประกันภัยของประเทศสหรัฐอเมริกา (2024 NAIC International Insurance Forum) ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งการจัดประชุมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีให้หน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยและบริษัทประกันภัยระดับนานาชาติได้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมประกันภัย โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานกำกับดูแลภาคการเงินและธุรกิจประกันภัยจาก 56 มลรัฐในประเทศสหรัฐอเมริกาเข้าร่วม พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานวิชาการด้านการประกันภัยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล อาทิ สมาคมผู้กำกับดูแลธุรกิจประกันภัยนานาชาติ (The International Association of Insurance Supervisors: IAIS) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) European Insurance and Occupational Pensions Authority (EIOPA) ผู้แทนจากหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยจากประเทศไอร์แลนด์ ประเทศอังกฤษ ประเทศเบลเยียม ประเทศโมร็อกโก ประเทศอาร์เจนตินา และประเทศไทย ตลอดจนผู้แทนจากสมาคมและหน่วยงานภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและจากภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่สำนักงาน คปภ. จะได้รับทราบข้อมูล รวมทั้งแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับธุรกิจประกันภัยของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านผลกระทบของความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมเชิงมหภาคที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจประกันภัยในอนาคต เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับบริบทของประเทศไทยอย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยของประเทศไทย

ในโอกาสนี้ เลขาธิการ คปภ. ได้รับเกียรติจาก National Association of Insurance Commissioners (NAIC) ให้ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษภายใต้หัวข้อ “การระบุช่องว่างความคุ้มครองด้านการประกันภัยในประเทศไทย” โดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า ความท้าทายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งความไม่แน่นอน หรือที่เรียกกันว่า V-U-C-A World ซึ่งส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อภูมิทัศน์ของภาคธุรกิจประกันภัยไทย โดยได้ยกตัวอย่างความท้าทายที่เกิดขึ้นใหม่ทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ภัยธรรมชาติ และโรคอุบัติใหม่ การเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่พึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น ความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจ และความท้าทายที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยฉายภาพความท้าทายที่สำนักงาน คปภ. เห็นว่าเป็นปัจจัยหลักในการส่งเสริมและผลักดันให้ธุรกิจประกันภัยมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ประกอบด้วย ประชาชนขาดความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัย ประชาชนไม่มีการวางแผนทางการเงิน และข้อจำกัดด้านรายได้ส่งผลต่อการเข้าถึงประกันภัย ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลโดยตรงต่อการเข้าถึงการประกันภัยของประชาชนทำให้เกิดเป็นช่องว่างความคุ้มครองด้านประกันภัย (Protection Gap) ในประเทศไทย

ซึ่งสำนักงาน คปภ. ตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาและส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการประกันภัย เพื่อเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้มีความมั่นคง ทนทาน พร้อมรับมือกับความเสี่ยงและการเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยที่ผ่านมา สำนักงาน คปภ. ได้มีการดำเนินการที่สำคัญ เพื่อลดช่องว่างในการเข้าถึงประกันภัยของประชาชนผ่านมาตรการที่สำคัญ อาทิ การประกันภัยพืชผล การประกันภัยรายย่อย (Microinsurance) และการประกันภัยสุขภาพผู้สูงอายุ ซึ่งล้วนแล้วแต่มุ่งเน้นพัฒนาคุณภาพชีวิตและความมั่นคงให้แก่ประชากรในกลุ่มที่มีความเปราะบาง

เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันธุรกิจประกันภัยโลกกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงรูปแบบใหม่ ๆ ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง สภาวะโลกร้อน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ระบบเศรษฐกิจและการเงินของโลกที่ผันผวน รวมถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด ซึ่งสำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยต้องมีการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยในภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อให้สามารถปรับตัวและนำเอากลยุทธ์ที่ทันต่อเหตุการณ์มาใช้ในการกำกับ ดูแล และส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยให้มีความเข้มแข็ง และยั่งยืน ซึ่งการประชุมนายทะเบียนประกันภัยของประเทศสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาความร่วมมือระหว่างสำนักงาน คปภ. และหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยของแต่ละมลรัฐในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยนอกจากการประชุมดังกล่าวแล้ว ตนยังได้มีโอกาสประชุมหารือเป็นการส่วนตัว (Bilateral Meeting) ร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยของรัฐนิวยอร์ก (New York Insurance Department) และสำนักงานของ NAIC ประจำรัฐนิวยอร์ก (Capital Markets & Investment Analysis Office) เพื่อจะได้นำเอาองค์ความรู้มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อภาคธุรกิจประกันภัยของประเทศไทยต่อไป
‘อินโน พรีคาสท์’ มุ่งสู่ Net Zero ใช้เทคโนโลยีสีเขียว ‘คาร์บอนเคียว’ ผลิตพรีคาสท์คาร์บอนต่ำ รายแรกในวงการอสังหา ล่าสุด คว้า ‘ฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์’ รายแรกและรายเดียวในอุตสาหกรรมพรีคาสท์ในไทย และ ‘ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์’ ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำที่สุดในอุตสาหกรรมเดียวกัน ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดูแลสิ่งแวดล้อม พร้อมเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมต่อเนื่อง ควบคู่การปรับกระบวนการทำงาน เพื่อตอบสนองความต้องการและแก้ปัญหาของลูกค้า
นายพรเทพ ศุภธราธาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโน พรีคาสท์ จำกัด กล่าวว่า อินโน พรีคาสท์ ที่มุ่งมั่นก้าวสู่ Net Zero โดยได้นำเทคโนโลยีคาร์บอนเคียว (CarbonCure) มาใช้ในการผลิตพรีคาสท์คาร์บอนต่ำเป็นรายแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่รวบรวมจากโรงงานปิโตรเคมีฉีดเข้าไปในขั้นตอนการผสมคอนกรีต ซึ่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกที่เป็นตัวการทำลายสิ่งแวดล้อม การผลิตแผ่นพรีคาสท์ด้วยเทคโนโลยีคาร์บอนเคียวจึงช่วยลดปัญหาโลกร้อนได้อีกทางหนึ่ง
“เทคโนโลยีคาร์บอนเคียวสามารถลดปริมาณการใช้ซีเมนต์ได้ 5% แต่ยังคงประสิทธิภาพความแข็งแกร่งของคอนกรีตได้ตามมาตรฐาน ทำให้ได้บ้านที่มีคุณภาพและแข็งแรง พร้อมกันนี้ ยังลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศได้ถึง 3,000 ตันต่อปี” นายพรเทพ กล่าว
นอกจากจะสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนด้าน Heart to Earth ของกลุ่มพฤกษาแล้ว อินโน พรีคาสท์ ได้พัฒนากระบวนการผลิต เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการมาอย่างต่อเนื่อง เช่น การนำเทคโนโลยี CarbonCure เข้ามาใช้ในการผลิต, การพัฒนาสูตรผสมคอนกรีต, การใช้แนวคิด “ขยะเหลือศูนย์” (Zero Waste) สำหรับเครื่องผลิตเหล็กเสริมอัตโนมัติ และระบบ Concrete Recycling System, การพัฒนาการก่อสร้างด้วยระบบ Hybrid Slab ช่วยลดนํ้าหนักในการขนส่ง และการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในโรงงานผลิต เพื่อประหยัดพลังงาน เป็นต้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ อินโน พรีคาสท์ ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ถึง 2 ประเภท ในเดือนพฤษภาคม 2567 ได้แก่ ฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint Reduction) ซึ่งนับเป็นรายแรกและรายเดียวในอุตสาหกรรมพรีคาสท์ในประเทศไทย และ ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product) ซึ่ง อินโน พรีคาสท์ เป็นผู้ผลิตพรีคาสท์ที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยการผลิตต่ำที่สุด เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์เดียวกันของผู้ผลิตรายอื่น ที่ได้รับฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งชิ้นงานผนังคอนกรีตสำเร็จรูป (Product Wall) ได้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 426.34 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (kgCO2e) ต่อผนังคอนกรีต 1 ลูกบาศก์เมตร (m3) โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวน 3,700 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e)
นายพรเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า กลุ่มพฤกษาได้กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 30% ภายในปี 2573 และมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อินโน พรีคาสท์ มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนานวัตกรรมและปรับกระบวนการทำงานอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหาของลูกค้า อีกทั้งยังมีเป้าหมายที่ต้องการส่งมอบการอยู่อาศัยที่มีคุณภาพ ยกระดับชีวิตของผู้คนในสังคม ซึ่งสอดคล้องตามกรอบแนวคิด อยู่ดี มีสุข ของกลุ่มพฤกษาด้วยเช่นกัน