December 20, 2025

บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ผสานความร่วมมือกับโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดำริโครงการส่วนพระองค์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี สานต่อโครงการดิจิทัลบัส จัดกิจกรรมแรกของปี 2567 ณ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนค็อกนิสไทยฯ จังหวัดสกลนคร ตามเป้าหมายด้านการลดความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงองค์ความรู้ด้านดิจิทัลในประเทศไทย ผ่านการฝึกอบรมให้แก่บุคลากรให้ได้อีก 2,000 คน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 6 จังหวัดทั่วประเทศไทยในปีนี้

โครงการดิจิทัลบัสครั้งนี้ถือเป็นการร่วมมือระหว่างหัวเว่ย ประเทศไทย กับโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนค็อกนิสไทยฯ จังหวัดสกลนคร ซึ่งถือว่าศูนย์การศึกษาในพื้นที่ห่างไกล รองรับนักเรียนจาก 9 พื้นที่เขตหมู่บ้าน ทั้งหมด 262 คน ตั้งแต่ระดับการศึกษาชั้นอนุบาล 1 จนถึงประถมศึกษาชั้นปีที่ 6 โดยการจัดโครงการดิจิทัลบัสร่วมกับโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ครั้งนี้ได้มีการปรับเนื้อหาหลักสูตรให้มุ่งเน้นเรื่องการน้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียง และการนำเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนส่งเสริมความตระหนักรู้ด้านการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของหัวเว่ยในการลดความเหลื่อมล้ำและพัฒนาบุคลากรดิจิทัลในประเทศไทย โดยเฉพาะเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล

หัวเว่ยได้จัดโครงการดิจิทัลบัสผ่านการร่วมมือกับโรงเรียนต่าง ๆ ในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 เพื่อนำความรู้ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาให้เยาวชนได้ประยุกต์ใช้กับความรู้จากสถาบันการศึกษา ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม และวัฒนธรรมในพื้นที่ห่างไกล จนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ เราพบว่าประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำทางด้านดิจิทัลยังเป็นปัญหาที่พบได้ในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงพื้นที่ห่างไกลในไทยซึ่งมีการพัฒนาและขยายตัวทางเทคโนโลยีค่อนข้างต่ำ ทำให้เกิดช่องว่างในการเข้าถึงองค์ความรู้และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล

ทั้งนี้ หัวเว่ยตั้งเป้าหมายฝึกอบรมนักเรียนและบุคลากรในประเทศไทยจำนวน 2,000 คน ผ่านโครงการดิจิทัลบัส ในปี 2567 ครอบคลุมในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ นครพนม กระบี่ กาญจนบุรี ชัยภูมิ นครนายก และระยอง โดยโครงการในจังหวัดนครนายกและระยองเป็นความร่วมมือระหว่างหัวเว่ยกับองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO และเป็นการต่อยอดจากโครงการที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2566 โดยในปีนี้ หัวเว่ยยังได้ปรับหลักสูตรดิจิทัลบัสให้เข้ากับโรงเรียนในพื้นที่มากยิ่งขึ้น เช่น การสร้างความตระหนักรู้เรื่องการนำเทคโนโลยีประยุกต์ใช้ภาคการเกษตร การนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาเกษตรกรรมในครัวเรือนให้ได้ผลผลิตที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการมอบความรู้เรื่องภัยคุกคามทางไซเบอร์ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้เยาวชนในการป้องกันภัยที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์

ดร.อภิสิทธิ์ พึ่งพร ผู้อำนวยการโครงการส่วนพระองค์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ได้กล่าวถึงโครงการดิจิทัลบัสของหัวเว่ยว่า “ผมต้องขอขอบคุณหัวเว่ยที่ให้การสนับสนุนเยาวชนและบุคลากรในประเทศไทยด้วยการส่งมอบองค์ความรู้ดิจิทัลผ่านโครงการดิจิทัลบัสมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในครั้งนี้ยังเสริมด้วยกิจกรรมสันทนาการให้แก่เด็กนักเรียนชั้นอนุบาล 1-3 การมอบอาหารกลางวัน ร่วมปลูกต้นไม้ ปรับแต่งทัศนียภาพสถานศึกษา เป็นต้น โครงการดิจิทัลบัสถือเป็นโครงการที่สร้างแรงบันดาลใจที่ดี รวมทั้งช่วยสร้างโอกาสและสร้างความฝันให้กับเด็ก ๆ ในพื้นที่ห่างไกลของประเทศไทย”

ตลอดช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา โครงการดิจิทัลบัสของหัวเว่ยได้ให้การฝึกอบรมองค์ความรู้ด้านดิจิทัลให้แก่นักเรียนช่วงชั้นประถมศึกษาตอนปลายถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น รวมทั้งเจ้าหน้าที่พาณิชย์จังหวัด แพทย์อาสา และแรงงานท้องถิ่นรวมแล้วกว่า 4,500 คน ครอบคลุมพื้นที่ 14 จังหวัด ได้แก่ สิงห์บุรี สงขลา พระนครศรีอยุธยา เชียงใหม่ นครราชสีมา พิจิตร พะเยา กรุงเทพมหานคร ชลบุรี เชียงราย ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสาคร นครศรีธรรมราช และนครนายก

นอกจากนี้หัวเว่ยยังมีโครงการให้การสนับสนุนด้านการศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล ร่วมมือกับโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนโครงการส่วนพระองค์ฯ อย่างต่อเนื่อง อาทิ การสนับสนุนอุปกรณ์หน้าจออัจฉริยะ Ideahub จำนวน 24 เครื่องให้แก่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สุขศาลาพระราชทานทั่วประเทศไทย ตลอดจนโครงการนำร่อง Huawei Smart PV solution สนับสนุนโซลาร์เซลล์และอุปกรณ์กักเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านหม่องกั๊วะ จังหวัดตาก เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงไฟฟ้าและการเรียนการสอนผ่านห้องเรียนดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยโครงการดิจิทัลบัสถือเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจ “เติบโตพร้อมกับประเทศไทย ร่วมสนับสนุนประเทศไทย” ของหัวเว่ย ในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งการสนับสนุนเรื่องความเท่าเทียมทางดิจิทัลผ่านภารกิจของหัวเว่ยเรื่อง ‘นำทุกฝ่ายก้าวไปข้างหน้า โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง’ (Lead Everyone Forward, Leave No One Behind)

บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) นำทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ร่วมงานมหกรรมการลงทุนที่สุดแห่งปี SET in the city 2024 วันที่ 15-16 มิถุนายน 2567 ณ บูธ S25 สามย่านมิตรทาวน์ ฮอลล์ ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์ ตั้งแต่เวลา 10.00 – 19.00 น.

เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC ผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ครบวงจรเพื่อความยั่งยืน เดินหน้าภารกิจพิทักษ์ทะเลเพื่อฟื้นฟูและเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพให้กับระบบนิเวศทางทะเล ตามแนวทาง ESG (Environmental, Social and Governance) ที่ส่งเสริมด้าน Low Waste & Low Carbon โดยได้ขับเคลื่อน นวัตกรรมเพื่อพิทักษ์ทะเล (Innovation for Better Marine) อาทิ นวัตกรรมทุ่นกักขยะลอยน้ำ บ้านปลาเอสซีจีซี รวมทั้งได้ร่วมก่อตั้งเครือข่าย “Nets Up” โมเดลการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อทะเลยั่งยืน เปลี่ยนอวนประมงที่ไม่ใช้แล้ว สู่ Marine Materials วัสดุทางเลือกใหม่จากนวัตกรรมรีไซเคิล 

ในโอกาสวันทะเลโลก (World Oceans Day) ประจำปี 2567 ภายใต้แนวคิด “ปลุกกระแส แก้วิกฤตมหาสมุทร” (Awaken New Depths) SCGC ได้มอบ “ทุ่นกักขยะลอยน้ำโมเดลใหม่ : SCGC - DMCR Litter Trap Gen3” จำนวน 25 ชุด ให้กับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปกักขยะลอยน้ำบริเวณปากแม่น้ำลำคลองสาขาต่าง ๆ ไม่ให้หลุดรอดสู่ทะเล โดยมีพลตํารวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รับมอบ ณ Sea Life Bangkok Ocean World สยามพารากอน  ทั้งนี้ SCGC ได้ร่วมกับ ทช. ติดตั้งทุ่นกักขยะลอยน้ำไปแล้วกว่า 47 ชุด ใน 17 จังหวัดชายฝั่งทะเลทั่วประเทศ สามารถกักขยะได้กว่า 86 ตัน (ข้อมูล ณ ธันวาคม 2566)

นางสาวน้ำทิพย์ สำเภาประเสริฐ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารแบรนด์และกิจการเพื่อสังคม บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวว่า “วิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเล โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาขยะในทะเล เป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมแรงร่วมใจแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม SCGC ได้ขับเคลื่อนภารกิจพิทักษ์ทะเลร่วมกับภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชน รวมถึง ชุมชน เยาวชน และพนักงานจิตอาสามาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้นำความเชี่ยวชาญมาออกแบบนวัตกรรมทุ่นกักขยะลอยน้ำ SCGC - DMCR Litter Trap ตั้งแต่ปี 2562 โดยร่วมมือกับสำนักงานบริหารทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 และกลุ่มประมงพื้นบ้าน จ.ระยอง สำหรับทุ่นกักขยะลอยน้ำ SCGC - DMCR Litter Trap ที่มอบให้กับ ทช. ในโอกาสวันทะเลโลกปีนี้นั้น เป็นโมเดล Generation ที่ 3 ซึ่งออกแบบโดยเพิ่มประสิทธิภาพ และปรับเปลี่ยนวัสดุใหม่ สามารถลดน้ำหนักทุ่นได้ถึง 50% ประกอบติดตั้งได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการขนส่ง นอกจากนี้ SCGC ยังได้นำทีมพนักงานจิตอาสาร่วมกิจกรรมวันทะเลโลกที่จัดขึ้น ณ จังหวัดระยอง อีกด้วย

นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า “องค์การสหประชาชาติ (United Nations) ได้กำหนดวันทะเลโลกขึ้น เพื่อกระตุ้นจิตสำนึกให้คนทั้งโลกหันมาใส่ใจร่วมกันอนุรักษ์ท้องทะเล กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจึงได้จัดกิจกรรมในหัวข้อรณรงค์ Awaken New Depths หรือ “ปลุกกระแส แก้วิกฤตมหาสมุทร” มุ่งเน้นถึงความเชื่อมโยงระหว่างมนุษยชาติและมหาสุมทร อีกทั้งความรับผิดชอบร่วมกันในการปกป้องระบบนิเวศที่สำคัญ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของคนรุ่นปัจจุบันและรุ่นอนาคต พร้อมเผยจัดกิจกรรมร่วมกับองค์กร และแพร่ความรู้และรณรงค์ส่งต่อไปยังประชาชนทั่วโลกผ่านเครือข่ายต่าง ๆ ซี่งทุ่นกักขยะลอยน้ำดีไซน์ใหม่ นวัตกรรมเพื่อพิทักษ์ทะเลจาก SCGC เป็นอีกหนึ่งโซลูชันที่จะช่วยขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาขยะทะเลได้ตั้งแต่ต้นทาง เพื่อให้พร้อมรับมือกับความท้าทายเร่งด่วนที่มหาสมุทรกำลังเผชิญ” 

งานวันทะเลโลก ประจำปี พ.ศ. 2567 จัดขึ้นโดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ณ Sea Life Bangkok Ocean World สยามพารากอน มีหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรภาคีเครือข่าย สถาบันการศึกษา และประชาชน ร่วมงานเป็นจำนวนมาก มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้และรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญของท้องทะเล อีกทั้งกระตุ้นจิตสำนึกให้คนทั้งโลกหันมาใส่ใจและร่วมกันอนุรักษ์ท้องทะเลสืบไป

อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร (Food for the Future) เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพและมีความสำคัญกับประเทศไทย ซึ่งล่าสุดไทยได้ก้าวขึ้นมาอยู่อันดับที่ 12 ของผู้ส่งออกอาหารของโลก จากข้อมูลของ สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป ที่รายงานว่า ในปี 2566 ยอดการส่งออกสินค้าอาหารของไทย มีอัตราเติบโตถึง 3.2% คิดเป็นมูลค่า 1.31 ล้านล้านบาท ส่วนสถานการณ์การส่งออกอาหารในอนาคตมีมูลค่าราว 1 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.2% ของอาหารทั้งหมด และคาดว่าในปี 2567 จะมีแนวโน้มที่ดีและคาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องด้วย

และด้วยอานิสงส์การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารนี้เอง ที่ทำให้อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ หรือแพคเกจจิ้ง มีอัตราการเติบโตควบคู่ไปด้วย ทำให้ในปัจจุบันมีการวางแนวทางการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ใส่ใจกับทุกรายละเอียด ตั้งแต่การออกแบบและการเลือกใช้วัตถุดิบที่ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ย่อยสลายง่าย การเลือกใช้วัสดุ ออกแบบบรรจุภัณฑ์ เพื่อกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยีการผลิต การแปรรูป รวมถึงการต่อยอดไปถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)

ในวันนี้ จึงกล่าวได้ว่าทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ของไทยได้หมุนไปตามเทรนด์โลกที่ให้ความสำคัญกับภารกิจ Net Zero Emissions และเทรนด์ความยั่งยืน ดังที่เกริ่นมานี้อย่างเป็นรูปธรรม และเพื่อให้เห็นภาพที่กล่าวมานี้อย่างชัดเจนขึ้น ต้องขอยกตัวอย่างการสร้างสรรค์โซลูชันนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน หรือ Innovative Solutions for Sustainability ของบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ผู้ผลิตและให้บริการบรรจุภัณฑ์ครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งโซลูชันนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนของ SCGP นี้ เปิดตัวแล้วในงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2024 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน พ.ศ. 2567 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ที่ผ่านมา โดยได้รับความสนใจและเสียงตอบรับที่ดีจากผู้บริโภครุ่นใหม่จำนวนมาก

คุณเอกราช นิโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กิจการบรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูง และ Enterprise Marketing Director บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงโซลูชันนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน หรือ Innovative Solutions for Sustainability ของ SCGP ว่า  “สำหรับผู้ผลิตสินค้าในยุคนี้ บรรจุภัณฑ์ไม่ได้เป็นเพียงแค่เพื่อบรรจุสินค้า แต่ยังเป็นส่วนสำคัญของการสร้างประสบการณ์ผู้บริโภค ลูกค้าต้องการบรรจุภัณฑ์ที่สร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำและสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่ได้รับ และยิ่งในยุคนี้ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันของลูกค้าอย่างสะดวกสบาย และมีความปลอดภัยในการบรรจุอาหารเพื่อบริโภคด้วย”

“SCGP จึงตั้งใจนำเสนอ โซลูชันนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน แก่ลูกค้าและธุรกิจ จากมุมมองของผู้ผลิตที่ใส่ใจรอบด้าน เพื่อตอบโจทย์องค์รวมของห่วงโซ่คุณค่าของบรรจุภัณฑ์ (Packaging Value Chain) กับการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์และสร้างความโดดเด่นให้กับสินค้าของลูกค้า ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยในกระบวนการออกแบบและผลิตบรรจุภัณฑ์ โดยการใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรขั้นสูง ทำให้สามารถผลิตบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและเป็นไปตามความต้องการของลูกค้าทุกระดับขณะเดียวกัน SCGP ยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้วัสดุรีไซเคิลและวัสดุที่มีคุณสมบัติในการย่อยสลายตัวได้ หรือการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้”

จากแนวทางที่ชัดเจนนี้เองที่นำมาสู่การออกแบบโซลูชันนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน หรือ Innovative Solutions for Sustainability ที่ได้มาเปิดตัวในงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2024 โดย คุณเอกราช ได้หยิบเอาไฮไลต์ของ “นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์” ภายใต้แบรนด์ SCGP มาบอกเล่าให้ฟังว่า

"ในงาน THAIFEX-ANUGA ASIA 2024 เราได้นำเสนอนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ของ SCGP ที่มีความหลากหลาย สอดรับกับเทรนด์และตอบโจทย์ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม โดยเราพร้อมเป็นคู่ธุรกิจที่ร่วมพัฒนานวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศร่วมกัน"

และตัวอย่างโซลูชันนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนภายในงานปีนี้ของ SCGP ได้แก่

  • บรรจุภัณฑ์อาหารประเภท Foodservice จาก Fest by SCGP ที่ตอบโจทย์ความต้องการและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น Fest Fresh Pak (Frozen) นวัตกรรมถาดกระดาษสำหรับเนื้อสัตว์แช่แข็ง สามารถใช้งานได้ในอุณหภูมิต่ำถึง -40 องศาเซลเซียส โดยที่บรรจุภัณฑ์ยังคงความแข็งแรงตลอดกระบวนการบรรจุและการขนส่งจนถึงมือผู้บริโภค ผลิตจากวัตถุดิบหมุนเวียนที่สามารถปลูกใหม่ทดแทนได้อย่างน้อย 94%
  • บรรจุภัณฑ์กระดาษ จาก SCGP ที่มีการนำเสนอโซลูชันช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจ เช่น Heat seal-able paper บรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว (Flexible packaging) ผลิตจากกระดาษที่มีคุณสมบัติปิดผนึกได้ด้วยความร้อน สามารถนำไปรีไซเคิลได้ เป็นทางเลือกของผู้ประกอบการที่ต้องการใช้บรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว (Flexible packaging) ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

  • บรรจุภัณฑ์รักษ์โลกที่รีไซเคิลได้ง่าย หรือทำมาจากวัสดุรีไซเคิล จาก SCGP เช่น บรรจุภัณฑ์ R1+ นวัตกรรม Mono-material flexible packaging ที่ผลิตจากพลาสติกเพียงชนิดเดียว สามารถนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ง่าย และยังคงคุณภาพและความแข็งแรงทนทานต่อการใช้งาน บรรจุภัณฑ์มีคุณสมบัติในการป้องกันการซึมผ่านของอากาศและความชื้น ที่ช่วยปกป้องสินค้าประเภทอาหารได้ดี

นอกจากนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์หลากหลายประเภทที่ตอบสนองการใช้งานได้อย่างครอบคลุมแล้ว ภายในงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2024 ยังมีโซลูชันด้าน Healthcare จาก SCGP ที่ช่วยควบคุมคุณภาพกระบวนการผลิตอาหาร และตรวจสอบอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ PATHfinder – Microbiology Contaminants ชุดน้ำยาตรวจเชื้อจุลินทรีย์ในอาหารและน้ำ และนวัตกรรมที่ต่อยอดจากความเชี่ยวชาญด้านการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของ SCGP ที่สามารถผลิตออกมาเป็นผลิตภัณฑ์อย่างแบรนด์ ALMIND by SCGP ผลิตภัณฑ์สำหรับคุณแม่และลูกน้อย ที่มีความปลอดภัย อ่อนโยน ผ่านการรับรองจากหน่วยงานผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนัง

ที่สุดแล้ว คุณเอกราช ได้เน้นย้ำถึงเป้าหมายสำคัญที่ SCGP ต้องการจะขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นในอนาคต ในการพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจว่า

“เป้าหมายหลักในการพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์และโซลูชันด้านต่าง ๆ ในอนาคตของ SCGP จะสอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ และยังมุ่งเน้นการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้วัสดุรีไซเคิลและวัสดุที่มีคุณสมบัติในการย่อยสลายตัวได้ หรือการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยในปี 2566 สัดส่วนปริมาณบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิล ใช้ซ้ำ หรือสลายตัวได้อยู่ที่ 99.7% ซึ่ง SCGP ยังคงมุ่งมั่นก้าวต่อไปในการออกแบบบรรจุภัณฑ์ เพื่อมุ่งสู่การผลิตบรรจุภัณฑ์ทั้งหมด 100% ที่สามารถใช้ซ้ำ นำกลับมาใช้ใหม่ หรือสลายตัวได้ ภายในปี 2573 ต่อไป

บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำโดยนายโชน โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล Bangkok Life Honor Awards ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติ พนักงานที่ทำงานให้บริษัทมาอย่างยาวนานเป็นเวลา 10 ปี 15 ปี 20 ปี 25 ปี และ 30 ปี ขึ้นไป รวมทั้งพนักงานที่ได้รับเกียรติบัตร The Fellow, Life Management Institute (FLMI) จากสมาคม Life Office Management Association (LOMA) โดยมีพนักงานเข้าร่วมรับรางวัล ทั้งหมด จำนวน 80 คน

พิธีมอบรางวัลนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อขอบคุณและยกย่องความทุ่มเทของพนักงานผู้เป็นตัวอย่างและแรงบันดาลใจ ให้เพื่อนพนักงานและพนักงานรุ่นน้องในการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสำเร็จ โดยในงานมีผู้บริหารระดับสูง และพนักงานเข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง ณ ห้องประชุม ชิน โสภณพนิช เมื่อเร็ว ๆ นี้

พฤกษา โฮลดิ้ง แตกไลน์ธุรกิจรับเทรนด์ตลาดซูเปอร์มาร์เก็ต็ต็Hออนไลน์ ปั้น ‘Clickzy Mart’ แพลตฟอร์มเดลิเวอรีรวมสินค้าอุปโภค บริโภค ของกินของใช้ เชื่อมต่อผู้บริโภคและร้านค้าใกล้บ้าน ให้ซื้อขายได้ง่ายขึ้นใน ‘คลิก’ เดียว จัดส่งรวดเร็ว แก้ Pain Points ผู้บริโภคกลุ่ม Millennials หรือ Gen Y ที่มีเวลาจำกัด ต้องเผชิญปัญหาการจราจร ความแออัดของร้านค้า เครียดกับการแพลนเรื่องมื้ออาหาร และระบบการจัดส่งแบบเก่าที่ต้องเลือกเวลารวมทั้งมีค่าจัดส่งที่สูง พร้อมส่งเสริมร้านค้าหรือผู้ประกอบการรายเล็กในท้องถิ่นให้มีรายได้เพิ่ม คาดผลตอบรับดี ปี 67 ตั้งเป้าโกยรายได้ 70 ล้านบาท

นายบุญไทย แก้วโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซินเนอร์จี โกรท จำกัด ผู้บริหารกลุ่มงานสตาร์ทอัพ ในเครือ พฤกษา โฮลดิ้ง กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าราว 50 ล้านล้านบาท ในปี 2570  ขณะที่ผู้บริโภคกลุ่ม Millennials หรือ Gen Y (อายุ 25-40 ปี) ซึ่งเป็นฐานผู้บริโภคสำคัญ อยู่ในวัยทำงาน และมีกำลังซื้อ มักต้องเผชิญกับปัญหาการขาดเวลา ปัญหาการจราจรบนท้องถนน ความแออัดของร้านค้า ความเครียดที่เกิดจากการตัดสินใจว่าจะทำอาหารอะไรในแต่ละวัน ตลอดจนปัญหาจากการจัดส่งแบบเก่าที่ต้องเลือกเวลาในการจัดส่ง และมีค่าจัดส่งที่สูง ขณะที่ผู้บริโภคกลุ่มนี้ซึ่งเติบโตมาในยุคดิจิทัล ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบาย การประหยัดเวลา และสนใจสิ่งแวดล้อม โดยมีการใช้เวลาบนโลกออนไลน์เฉลี่ย 8 ชั่วโมง 55 นาทีต่อวัน และพร้อมที่จะลงทุนในสินค้าและประสบการณ์ที่เพิ่มคุณภาพชีวิตและความสุขของตนเอง จึงเป็นที่มาที่ทำให้ พฤกษา โฮลดิ้ง ตัดสินใจเพิ่มบริการเดลิเวอรี Clickzy Mart (คลิกซิมาร์ท) ภายใต้แนวคิด Local Market and Premium Healthy Groceries’ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนยุคใหม่และมุ่งเน้นส่งเสริมร้านค้าท้องถิ่นให้มีรายได้เพิ่มขึ้น พร้อมการจัดส่งที่รวดเร็วภายใน 1 ชั่วโมง*  ซึ่งสอดคล้องตามกรอบแนวคิด ‘อยู่ดี มีสุข’ ของกลุ่มพฤกษา โฮลดิ้ง  

Clickzy Mart เป็นส่วนหนึ่งของเว็บไซต์ www.clickzy.com ในรูปแบบ Hyperlocal Marketplace ที่รวบรวมสินค้าเอาไว้มากมาย เพียงคุณมีคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือโทรศัพท์มือถือ ก็สามารถช้อปปิงที่ Clickzy Mart ได้จากทุกที่ตลอด 24 ชม. และเรายังมีระบบบริการจัดส่งสินค้าที่รวดเร็วทันใจ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอะไร จะสั่งเยอะ สั่งน้อย Clickzy Mart ก็พร้อมบริการจัดส่งให้ถึงมือ นอกจากนั้น เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจ เลือกช็อปสินค้าได้แบบไร้กังวล Clickzy Mart ยังมีฟังก์ชันดีๆ ไว้ให้บริการ ซึ่งจะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋า เพียงแค่เลือกสินค้าที่ต้องการแล้วกดเปรียบเทียบราคาได้เลยง่ายๆ ทั้งนี้ สำหรับ Clickzy Mart นอกจากจะมุ่งมั่นช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้แก่ผู้บริโภค เรายังมุ่งเน้นที่จะส่งเสริมให้ร้านค้าหรือผู้ประกอบการรายเล็กในท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากการที่ผู้บริโภคเข้ามาใช้บริการบนแพลตฟอร์มของเราด้วย” นายบุญไทย กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซินเนอร์จี โกรท ยังกล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับสินค้าที่นำมาให้เลือกสรรบนแพลตฟอร์มของ Clickzy Mart มีทั้งสินค้าจากร้านค้าในท้องถิ่นใกล้บ้านลูกค้า ตลอดจนสินค้าอุปโภค บริโภค  ระดับพรีเมียมจาก Villa Market ซึ่งเป็นพันธมิตรกับ Clickzy Mart โดยกลุ่มลูกค้าของ Clickzy Mart หลักๆ คือผู้บริโภคกลุ่ม Millennials หรือ Gen Y รวมถึงผู้ที่ต้องการใช้บริการซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ที่มีคุณภาพ สะดวก รวดเร็วทันใจ ซึ่งในปีนี้ Clickzy Mart จะเริ่มให้บริการลูกค้าในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ตอนกลางก่อน และจะปูพรมขยายบริการไปยังพื้นที่ต่างๆ ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล (รวม 79 พื้นที่) ในปี 2568  

“จากการที่ Clickzy Mart สามารถช่วยแก้ Pain Points ของลูกค้าในด้านต่างๆ รวมถึงจุดเด่นในเรื่องของสินค้าที่มีความหลากหลายในราคาที่เหมาะสม การจัดส่งที่รวดเร็วทันใจ และยังเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมให้ร้านค้าหรือผู้ประกอบการรายเล็กในท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มขึ้น เชื่อว่า Clickzy Mart จะได้รับผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค โดยในปี 2567 คาดว่า Clickzy Mart จะสร้างรายได้ประมาณ 70 ล้านบาท และคาดว่าจะโตขึ้นอีก 200% ในปีหน้า สอดคล้องกับเทรนด์ของตลาดซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว” นายบุญไทย กล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์บนแพลตฟอร์มที่รวมสินค้าอุปโภค บริโภค ของกินของใช้จากร้านค้าใกล้บ้าน พร้อมการจัดส่งที่รวดเร็ว สามารถสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิก Clickzy Mart ได้ที่ https://clickzymart.com/ ซึ่งสำหรับลูกค้าใหม่ รับส่วนลดทันที 50 บาท ไม่มียอดสั่งซื้อสินค้าขั้นต่ำ เพียงใส่โค้ด "CMNM50" ตั้งแต่วันนี้-31 ส.ค. 2567

กระทรวงพาณิชย์ เผยความสำเร็จของการจัดงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม THAIFEX – ANUGA ASIA 2024 ซึ่งจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2567 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีผู้ซื้อและผู้นำเข้าจากทั่วโลกเดินทางมาชมงานกว่า 138,000 คน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยมูลค่าการสั่งซื้อกว่า 96,000 ล้านบาท

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า งาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2024 ซึ่งกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ หอการค้าไทย และโคโลญเมสเซ่ เยอรมนี ได้ร่วมกันจัดงานและผลักดันทำให้งานนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ยกระดับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มไทย เพิ่ม GDP ประเทศ และเน้นย้ำการเป็นศูนย์กลางทางด้านอาหาร ตามวิสัยทัศน์ ‘ไทยแลนด์ วิชัน’ ที่รัฐบาลตั้งเป้าหมาย

โดยผลการจัดงาน THAIFEX – ANUGA ASIA ปีนี้ มีผู้ประกอบการด้านอาหารและเครื่องดื่มเข้าร่วมแสดงสินค้า 3,133 บริษัท (บริษัทไทย 1,109 บริษัท บริษัทต่างประเทศ 2,024 บริษัท) รวมทั้งสิ้น 6,238 คูหา จาก 52 ประเทศ ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก อาทิ เอเชียตะวันออก อาเซียน สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง

สำหรับผู้เข้าชมงานมีจำนวน 138,508 คน เป็นผู้เข้าร่วมเจรจาการค้า 85,850 คน (ชาวต่างประเทศ 19,984 คน ชาวไทย 65,866 คน) ส่วนวันจำหน่ายปลีกมีประชาชนเข้าชมงานมากถึง 52,658 คน

ทางด้านการซื้อขายมีมูลค่ารวม 96,265.80 ล้านบาท เป็นมูลค่าการค้าในวันเจรจาธุรกิจ 96,041.41 ล้านบาท (มูลค่าการสั่งซื้อทันที 651.67 ล้านบาท มูลค่าคาดการณ์ในการสั่งซื้อภายใน 1 ปี 95,389.74 ล้านบาท) ประเทศที่มีการสั่งซื้อมากที่สุด ได้แก่ ไทย จีน อินเดีย เกาหลีใต้ และมาเลเซีย ตามลำดับ และหมวดสินค้าที่มีการซื้อขายมากที่สุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ อาหารสำเร็จรูป ขนมและของขบเคี้ยว เครื่องดื่ม อาหารแช่แข็ง และอาหารทะเล ส่วนมูลค่าการค้าในวันจำหน่ายปลีก รวมทั้งสิ้น 224.39 ล้านบาท ซึ่งจากมูลค่าการค้าที่เกิดขึ้นในงานทั้งหมด เป็นมูลค่าการค้าของผู้ประกอบการไทย 71,359.86 ล้านบาท

“เราตั้งเป้าหมายว่าปีนี้การส่งออกสินค้าอาหารของไทยจะมีมูลค่ากว่า 1.4 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 1.37 ล้านล้านบาท ซึ่งความสำเร็จของงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2024 นับเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้การส่งออกอาหารของไทยในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้” นายภูมิธรรม กล่าว

สำหรับการจัดงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2025 กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 27 – 31 พฤษภาคม 2568 โดยผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมแสดงสินค้า สามารถสมัครได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป ผ่านระบบ THAIFEX Online ที่ https://thaifex.thaichamber.org และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารอื่น ๆ ได้ที่ www.thaifex-anuga.com

เดินเกมแตกไลน์ธุรกิจนำเข้าสมาร์ตเฟอร์นิเจอร์จาก ซันเรย์ แบรนด์ใหญ่สิงคโปร์

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานเปิด “โครงการสัมมนาผู้ไกล่เกลี่ยและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาทักษะและถอดบทเรียนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย” ระหว่างวันที่ 7-8 มิถุนายน 2567 ณ โรงแรม Riverton Amphawa จังหวัดสมุทรสงครามโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ไกล่เกลี่ยและพนักงานของสำนักงาน คปภ. ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านประกันภัย ใช้เป็นเวทีในการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ ปัญหาอุปสรรค แนวทางการพิจารณาและเทคนิคการไกล่เกลี่ย

ข้อพิพาทต่าง ๆ เพื่อนำไปแก้ไข ปรับปรุง การดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาจำนวน 121 คน ประกอบด้วยผู้ไกล่เกลี่ยจำนวน 78 คน ผู้บริหารและพนักงานของสำนักงาน คปภ. จำนวน 43 คน โดยได้รับเกียรติจาก นายบุญรอด ตันประเสริฐ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา บรรยายในหัวข้อ “เทคนิคการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและการเพิ่มประสิทธิภาพการไกล่เกลี่ยโดยผู้ชำนาญการ สำนักงาน คปภ.” และนายโชติช่วง ทัพวงศ์ อดีตผู้พิพากษาอาวุโส ศาลอุทธรณ์ ภาค 7 และผู้ทรงคุณวุฒิด้านการจัดการความขัดแย้งและไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ให้เกียรติเป็นวิทยากรถอดบทเรียนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและแลกเปลี่ยนความรู้ ระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นปัญหาข้อพิพาทด้านการประกันภัย รวมถึงการเพิ่มเติมองค์ความรู้ในหัวข้อ “สัญญาประกันภัยสุขภาพมาตรฐานใหม่” โดย นางปรียานุช จีระศิลป์ หัวหน้ากลุ่ม กลุ่มนโยบายการกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย และหัวข้อ “กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าและกรณีศึกษา” โดยนายคณานุสรณ์ เที่ยงตระกูล ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ และนายพงศกร ภาณุสานต์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ กลุ่มกำกับผลิตภัณฑ์ประกันวินาศภัยสำหรับบุคคล

เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า นับแต่สำนักงาน คปภ. เปิดศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัย เป็นเวลา 8 ปี มีเรื่องร้องเรียนที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยโดยผู้ชำนาญการทั้งสิ้น 1,691 เรื่อง โดยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทสำเร็จจำนวน 1,320 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 78.06 ดังนั้น หากมีการถอดบทเรียนเพื่อรับทราบประเด็นปัญหาและอุปสรรคในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในทุก ๆ ปี รวมทั้งหาแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขก็เชื่อว่าจะทำให้การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทสัมฤทธิผลและมีสถิติเรื่องร้องเรียนที่สามารถยุติประเด็นข้อพิพาทได้มากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ได้ดำเนินการเพื่ออำนวยความสะดวกและสนับสนุนการปฏิบัติงานให้แก่ผู้ไกล่เกลี่ยและพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ในขณะเดียวกันก็เพื่อยกระดับการให้บริการประชาชน โดยจัดทำแอปพลิเคชันติดตามกระบวนการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านการประกันภัย คือ แอปพลิเคชัน “OIC Protect” เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านการประกันภัยในทุกมิติครอบคลุมครบทุกกระบวนการ และเป็นช่องทางในการเข้าถึงระบบจัดการเรื่องร้องเรียน การไกล่เกลี่ยออนไลน์ การติดตามเรื่องร้องเรียน การนัดหมาย และการแจ้งผลการดำเนินการ พร้อมทั้งการบริการแจ้งข้อมูลข่าวสาร โดยประชาชน ผู้ไกล่เกลี่ย และอนุญาโตตุลาการ สามารถเข้าใช้งานผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบสมาร์ตโฟน (Smart Phone) ทั้งระบบ IOS และ Android เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางให้ประชาชนทุกคน สามารถเข้าถึงบริการของสำนักงาน คปภ. อย่างสะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยสามารถดาวน์โหลดใช้งานได้ตั้งแต่ต้นปี 2567 ที่ผ่านมา

อีกโครงการหนึ่ง คือ โครงการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนงานด้านคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัย ผ่านระบบ PPMS (Policyholder Protection Management System) ระยะที่ 2 ซึ่งสำนักงาน คปภ. ได้จัดทำระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนงานด้านคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานในกระบวนการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยให้กับประชาชน ตั้งแต่กระบวนการให้คำปรึกษาด้านการประกันภัย กระบวนการรับเรื่องร้องเรียนด้านการประกันภัยโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยโดยผู้ชำนาญการ และกระบวนการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีอนุญาโตตุลาการ นอกจากนี้ได้มีการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนงานด้านคุ้มครองสิทธิประโยชน์ ให้เป็นช่องทางหรือตัวกลางในการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างบริษัทประกันภัย และสำนักงาน คปภ. โดยให้มีช่องทางรับ – ส่งข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนจากระบบสารสนเทศ ทำให้ประชาชนได้รับการบริการด้านการประกันภัยอย่างสะดวก รวดเร็ว โปร่งใส ประหยัด เป็นธรรม และอำนวยความสะดวกให้กับอุตสาหกรรมประกันภัยในภาพรวม โดยคาดว่าจะเริ่มใช้งานได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2568

“เวทีการสัมมนาผู้ไกล่เกลี่ยและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการระงับข้อพิพาทด้านประกันภัยในครั้งนี้ มีความสำคัญต่อการแลกเปลี่ยนเทคนิค วิธีการ องค์ความรู้ และประสบการณ์เกี่ยวกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านการประกันภัยจากการถอดบทเรียน รวมทั้งข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงและพัฒนากระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยผู้ชำนาญการ อันจะเป็นการยกระดับกระบวนการระงับข้อพิพาทด้านประกันภัยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

โตชิบา จัดแคมเปญขอบคุณลูกค้า “โตชิบาฉลอง 55 ปี ลุ้นรับเครื่องซักผ้าฟรี 55 เครื่อง มูลค่ากว่า 1.5 ล้านบาท” เมื่อซื้อสินค้าโตชิบาที่ร่วมรายการระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2567 - 31 กรกฎาคม 2567 ครบทุก 5,000 บาท ต่อ 1 ใบเสร็จ จะได้รับสิทธิ์ เพื่อร่วมลุ้นรับเครื่องซักผ้าโตชิบา จำนวน 55 เครื่อง มูลค่ารวมกว่า 1.5 ล้านบาท โดยต้องลงทะเบียนพร้อมส่งใบเสร็จร่วมกิจกรรมผ่าน http://www.toshiba-luckydraw-campaign.com ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 เวลา 23.59 น. สินค้าที่ร่วมแคมเปญประกอบด้วยตู้เย็น ตู้แช่ เครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า เครื่องซัก-อบผ้า เตาอบไฟฟ้า เตาอบไมโครเวฟ เตาแม่เหล็กไฟฟ้า หม้อไฟฟ้าอเนกประสงค์ หม้อหุงข้าว กระติกน้ำร้อน กาต้มน้ำ เครื่องปั่นอเนกประสงค์   เครื่องล้างจาน เครื่องกรองน้ำ ตู้กดน้ำ เครื่องทำน้ำอุ่น พัดลม และเครื่องฟอกอากาศ สอบถามเงื่อนไขและรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ facebook.com/ToshibaLifestyleThailand หรือ โทร.02-511-7999

X

Right Click

No right click