

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) ให้คุณเลือกออกแบบความคุ้มครองได้ตามใจกับกรุงศรีประกันอุบัติเหตุตามใจ รับประกันภัยโดย บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ที่ให้ความคุ้มครองสูงสุด 1,000,000 บาท ค่ารักษาสูงสุด 100,000 บาทต่อครั้ง พร้อมชดเชยรายได้สูงสุด 1,000 บาทต่อวัน พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่ซื้อแผนประกันกรุงศรีประกันอุบัติเหตุตามใจ และชำระค่าเบี้ยประกันผ่านช่องทางออนไลน์ของธนาคาร ได้แก่ KMA krungsri app หรือ www.krungsri.com รับส่วนลด 15% ทันที ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 – 30 มิถุนายน 2567
ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungsri.com/th/promotions/personal/apply-and-pay-online-pa-tamjai
*ศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้จากสื่อต่าง ๆ ของธนาคาร
สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) โดย พลอากาศตรี อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ และ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (DGA) โดย นางไอรดา เหลืองวิไล รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้และยกระดับทักษะด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ทั้งในรูปแบบการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ และการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ e-learning รวมถึงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและตระหนักถึงสถานการณ์ที่เกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ ตลอดจนการดำเนินการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ร่วมกัน เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2567 ณ ห้อง Confidential สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถ.แจ้งวัฒนะ
พลอากาศตรี อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ กล่าวว่า “หนึ่งในภารกิจหลักของ สกมช.คือการมุ่งมั่นลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์เพื่อยกระดับประเทศให้มีความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยยังคงเผชิญกับปัญหาภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งประเด็นเรื่องข้อมูลรั่วไหลและการโจมตีทางไซเบอร์ที่มีจำนวนครั้งที่เกิดถี่ขึ้นเรื่อย ๆ และมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น รวมถึงปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำด้านองค์ความรู้และทักษะ ทางดิจิทัลเริ่มส่งผลกระทบกับองค์กรต่าง ๆ อย่างรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ดังนั้น สกมช. จึงเพิ่มความเข้มข้นของการทำงานโดยบูรณาการร่วมมือกับหน่วยงานทุกภาคส่วนในการทำงานเพื่อวางรากฐานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ของประเทศให้แก่บุคลากรผู้ปฏิบัติงานเพื่อให้สามารถป้องกันและสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้และทักษะด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ให้เข้าถึงประชาชนทุกระดับทุกช่วงวัย ผ่านเครือข่ายของ สกมช. ในรูปแบบของการทำงานเชิงรุก ไม่ว่าจะเป็นการจัดโครงการหรือการจัดอบรมต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับภูมิภาคไปจนถึงระดับประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้ศึกษาเพิ่มพูนองค์ความรู้ด้านไซเบอร์ โดยท่านสามารถติดตามรายละเอียดโครงการดีๆ จาก สกมช. ได้ที่ Facebook NCSA Thailand

สุดท้ายนี้ สกมช. มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกับ สพร. โดยหวังว่าความร่วมมือกันของทั้ง 2 หน่วยงาน จะนำพาไปสู่การเดินหน้ายกระดับทักษะและองค์ความรู้แก่ภาครัฐในการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์และก้าวสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลอย่างมั่นคงปลอดภัย”
นางไอรดา เหลืองวิไล รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัลกล่าวว่า การรู้เท่าทันด้านเทคโนโลยีดิจิทัลในเชิงลึกของบุคลากรภาครัฐมีความจำเป็นอย่างยิ่งในยุคที่ต้องตอบสนองความต้องการของประชาชนที่คาดหวังว่าจะสามารถใช้บริการภาครัฐได้ตลอดเวลาแม้ไม่ใช่เวลาราชการ ซึ่งปัจจุบันหน่วยงานราชการก็มีการปรับตัวสามารถให้ประชาชนหลากหลายช่องทางมากขึ้นทั้งแบบออนไลน์และให้บริการผ่านศูนย์บริการร่วมภาครัฐในวันเสาร์และอาทิตย์ การให้บริการภายในห้างสรรพสินค้า เป็นต้น ดังนั้นการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ รวมถึงการสร้างความตระหนักถึงสถานการณ์เกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ความร่วมมือในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่สถาบัน TDGA ได้ร่วมจัดฝึกอบรมหลักสูตรสำคัญด้านความมั่นคงปลอดภัย อาทิ หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงภาครัฐในด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัย หรือ Chief Information Security Officer: CISO หลักสูตรการอบรมเชิงปฏิบัติการที่เกี่ยวกับการโจมตีทางไซเบอร์ หรือ Cyber war game และหลักสูตรทางด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์อื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อาทิ หลักสูตร CISO สำหรับผู้ปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงการผลักดันขับเคลื่อนให้ทุกหน่วยงานเล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาทักษะของบุคลากรภาครัฐด้านความมั่นคงปลอดภัยไซบอร์ ผ่านการสำรวจระดับความพร้อมรัฐบาลดิจิทัลหน่วยงานภาครัฐของประเทศไทย

นอกจากนี้ สถาบัน TDGA มีความยินดีที่จะแลกเปลี่ยนสื่อการเรียนรู้ออนไลน์ในหลักสูตรที่เกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และหลักสูตรด้านดิจิทัลอื่น ๆ ร่วมกับ สกมช. เพื่อการยกระดับทักษะด้านการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล Digital Literacy ไปสู่ Cyber Security Literacy ซึ่งจะช่วยสร้างความรู้ความเข้าใจและตระหลักถึงการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ผู้ที่สนใจสามารถเรียนรู้หลักสูตรดังกล่าวผ่านระบบ Digital Government Learning Platform ซึ่งเป็นระบบการเรียนรู้ออนไลน์ผ่านสื่อ e-Learning ที่ผู้เรียนสามารถเข้าเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา ปัจจุบันแพลตฟอร์มนี้เปิดให้บริการหลักสูตรด้านดิจิทัลแบบออนไลน์ ให้แก่บุคลากรภาครัฐ ตลอดจนประชาชนที่ ต้องการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลโดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยหน่วยงานที่เป็นเครือข่ายความร่วมมือ ก็สามารถใช้ประโยชน์จากศูนย์กลางการเรียนรู้นี้เพื่อการยกระดับทักษะความรู้ด้านดิจิทัลให้แก่กลุ่มเป้าหมายของหน่วยงานได้ด้วย ปัจจุบันมีผู้เข้าอบรมหลักสูตร e-Learning และได้รับใบประกาศนียบัตรดิจิทัลจากสถาบัน TDGA รวมแล้วมากกว่า 1.9 ล้านครั้ง สำหรับผู้ที่ต้องการ Upskill และ Reskill สามารถเข้าเรียนหลักสูตรการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลตามความสนใจได้ที่เว็บไซต์ tdga.dga.or.th
ในโลกยุคดิจิทัล วิถีชีวิตของคนก็พัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่เว้นแม้แต่เทรนด์การทำงานที่ก็ได้รับอิทธิพลด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะกับคนยุคใหม่อย่างคน Gen-Z ที่เริ่มก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานผลสำรวจต่างๆ หรือแม้แต่ใน World Economic Forum ของปีที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า เทรนด์การทำงานในปัจจุบัน เน้นให้ความสำคัญกับคนที่สามารถทำงานได้ในหลายด้านมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับแพสชันของคน Gen-Z ที่ให้ความสนใจค้นหาและพัฒนา Skill ใหม่ๆ ให้ตนเอง ที่สำคัญ คนกลุ่มนี้ยังต้องการให้นายจ้างช่วยพัฒนาทักษะเพิ่มเติมหลากหลายที่ช่วยให้สามารถปรับตัวในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ดียิ่งขึ้น และสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ที่ผสมผสานความรู้จากหลายสาขาเพื่อการพัฒนาตนเองและเติบโตในหน้าที่การงาน สามารถสนับสนุนการเติบโตของบริษัทได้ทันท่วงที รวมทั้งสามารถนำองค์ความรู้เหล่านั้นไปพัฒนาสังคมและโลกได้อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพ (Capacity Development) “คนบ้านปู” อย่างเต็มกำลัง ทั้งในด้านดิจิทัลและเทคโนโลยี การบริหารจัดการ และการคิดเชิงนวัตกรรม เพื่อสร้างบุคลากรคุณภาพที่มีความหลากหลาย รองรับการขยายตัวและปรับเปลี่ยนธุรกิจอย่างฉับไวและมีประสิทธิภาพ

นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เผยว่า “ที่บ้านปูให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพคน (Human Empowerment) โดยเฉพาะพนักงานทุกคนที่ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนและสร้างการเติบโตขององค์กร เรามุ่งเน้นการเตรียมพนักงานให้พร้อมกับโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (Disruptive World) ทั้งการสร้างทักษะใหม่ที่จำเป็น (Reskill) และพัฒนาทักษะเดิมให้แข็งแกร่ง (Upskill) รวมทั้งสร้างทักษะด้านดิจิทัล ผ่าน “สถาบัน” ที่แข็งแกร่งด้วยมรดกของวัฒนธรรมองค์กร ทรัพยากร และองค์ความรู้ที่รวบรวมมากว่า 40 ปี ภายใต้ชื่อ ‘Banpu Academy’ ”
สิ่งหนึ่งที่บ้านปูได้เปรียบ คือ องค์ความรู้ที่ตกผลึก สู่การพัฒนา “คนบ้านปู” ผ่านการทำงานของหน่วยงาน ‘Banpu Academy’ สถาบันแห่งการเรียนรู้ที่บ่มเพาะความรู้รอบด้านตามความเหมาะสมและตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของพนักงาน เพื่อให้เกิดความสร้างสรรค์และเกิดการนำไปใช้งานได้จริง รวมถึงการถ่ายทอดประสบการณ์จากรุ่นสู่รุ่น ที่มุ่งสร้างผู้นำรุ่นใหม่ให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์และโลกที่เปลี่ยนแปลง เพื่อสอดรับการเปลี่ยนผ่านทางธุรกิจขององค์กรได้อย่างอย่างยั่งยืน (Sustainable Transition)”

Banpu Academy สถาบันปลดล็อกศักยภาพคนบ้านปู
แม้ว่าเดิมบ้านปูจะมีหน่วยงานภายใต้สายงานทรัพยากรบุคคลที่ดูแลการจัดอบรมและพัฒนาทักษะให้แก่พนักงานอย่างจริงจังมาอย่างยาวนาน แต่ในช่วงที่บ้านปูเริ่มเปลี่ยนผ่านองค์กร (Banpu Transformation) ในช่วงปี 2561 ซึ่งมีการใช้กรอบการทำงานที่เรียกว่า “Triple Transformation” ประกอบด้วย การเปลี่ยนผ่านทางธุรกิจ (Business), การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี (Technology) และ การเปลี่ยนผ่านด้านทรัพยากรบุคคล (People) เพื่อทำให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมและมีความต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นได้ว่าการพัฒนาศักยภาพของพนักงานมีส่วนสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านองค์กรเป็นอย่างมาก บ้านปูจึงเริ่มผนวกหน่วยงาน People Capability Development (การพัฒนาศักยภาพพนักงาน) กับหน่วยงานด้าน Digital เพื่อส่งเสริมการพัฒนาความสามารถ จากนั้นพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนก่อตั้งเป็น Banpu Academy อย่างเป็นทางการเมื่อปี 2565

นางสาวจรียา เชิดเกียรติศักดิ์ Head of Banpu Academy กล่าวว่า “ ‘Banpu Academy’ ถือเป็นสถาบันปลดล็อกศักยภาพคนบ้านปู ที่มีกว่า 6,000 คน ใน 9 ประเทศ และปรับเปลี่ยน Mindset ให้ทุกคนเชื่อว่าสามารถพัฒนาและเติบโตหากพยายามและตั้งใจ และเป็นแหล่งรวมศาสตร์มาไว้ในที่เดียว ทั้ง มรดกความสำเร็จ (Legacy of Success) ที่รวบรวมเอาเรื่องราวต่างๆ ในอดีตของบ้านปู หยิบยกมาเป็นกรณีศึกษาและเป็นตัวอย่างการแก้ไขปัญหาจริง องค์ความรู้ (Knowledge) ในด้านต่างๆ รอบด้าน ทั้ง Hard Skill ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานเฉพาะทาง และ Soft Skill เพื่อส่งเสริมการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และความเป็นมาอย่างยาวนาน (Longevity) ที่เราสั่งสมมากว่า 40 ปีของบ้านปู”
Coaching & Mentoring กุญแจสำคัญสู่ความแข็งแกร่งของบ้านปู
คอร์สอบรมต่างๆ ที่ Banpu Academy พัฒนาขึ้นมานั้นมีความหลากหลายเพื่อเสริมทักษะให้แก่คนบ้านปูอย่างรอบด้านและสามารถนำไปใช้ได้จริงกับการทำงาน ซึ่งคอร์สการอบรมต่างๆ เหล่านั้นล้วนมีเอกลักษณ์ (Uniqueness) ตามสไตล์ของ Banpu Academy ที่แตกต่างจนโดดเด่น โดยหลักๆ มี 3 ประเด็น ทั้ง Resolution Design มีการออกแบบหลักสูตรให้เหมาะสมกับธุรกิจที่หลากหลาย และสามารถประยุกต์รองรับการขยายพอร์ตโฟลิโอธุรกิจในอนาคต อีกทั้งส่วนของ Coaching & Mentoring เราเลือกใช้โค้ช (Coach) มาจากภายในและภายนอก โดยเฉพาะภายในคือพนักงานที่มีประสบการณ์และองค์ความรู้มาถ่ายทอดให้พนักงานด้วยกัน หรือที่เรียกว่า “พี่สอนน้อง” และ Business Case การยกตัวอย่างการบริหารโครงการ การทำแบบจำลองทางธุรกิจเชิงปฏิบัติการที่ถูกบันทึกจากประสบการณ์กว่า 4 ทศวรรษของบ้านปูเอง ซึ่งถูกสอนกันรุ่นต่อรุ่นจากเอกลักษณ์ในการออกแบบและพัฒนาคนบ้านปูของ Banpu Academy ที่มีมาอย่างจริงจังต่อเนื่องและสามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงการพัฒนาศักยภาพพนักงานได้อย่างแท้จริง Banpu Academy ได้รับการยอมรับรวมทั้งรางวัลด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคลต่างๆ มากมาย อาทิ Employee Experience Awards 2024 และ “NEWS Compass®️ Global Award - Excellence in Coaching and Mentoring” ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับองค์กรที่สนับสนุนการเรียนรู้ของพนักงานอย่างต่อเนื่องในระดับสากล
หนึ่งในผลงานชิ้นโบว์แดงของ Banpu Academy คือ International Business Leader Program (IBLP) หลักสูตรที่คัดสรรผู้บริหารรุ่นใหม่ที่มีความสามารถจากหลากหลายหน่วยธุรกิจของบ้านปูใน 9 ประเทศ มาเข้าร่วมการอบรมและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ รวมถึงแชร์องค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการ ด้านธุรกิจและเทคโนโลยี เพื่อติดอาวุธให้กับผู้นำรุ่นใหม่และเตรียมความพร้อมให้พวกเขาได้กลายเป็นฟันเฟืองสำคัญ ในการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสำเร็จในอนาคต ซึ่งผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมชัดเจนคือผู้บริหารที่มีศักยภาพเหล่านี้ ได้รับโอกาสเติบโตในตำแหน่งงานได้จริง

“ตั้งเป้าหมายสูงเข้าไว้ แล้วไปให้ถึง” ข้อคิดของผู้ประสบความสำเร็จตัวจริงจาก Banpu Academy
นายนิติ พิทักษ์ธีระธรรม Country Head - Japan หนึ่งในผู้บริหารรุ่นใหม่ของบ้านปูที่เคยเข้าร่วมหลักสูตร IBLP ปัจจุบันได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้บริหารระดับสูงที่ดูแลธุรกิจของบ้านปูในประเทศญี่ปุ่น เล่าให้ฟังว่า “ก่อนหน้านี้ผมดูแลงานในส่วนการขยายการลงทุนในญี่ปุ่นให้กับบ้านปู โดยเป้าหมายที่ผมตั้งไว้ให้ตัวเองคือการเป็นผู้อำนวยการของหน่วยงานและไม่เคยนึกถึงการขึ้นมาสู่ตำแหน่งนี้ จนกระทั่งมีโอกาสได้พูดคุยกับคุณสมฤดี CEO ในขณะนั้น ท่านบอกให้ปรับวิธีคิดใหม่ ตั้งเป้าให้สูงที่สุดที่คิดว่าจะเป็นไปได้ และอย่ายอมแพ้ “Aim high, and never give up” จึงลองเปิดโอกาสให้ตัวเอง ประกอบกับการเข้าโปรแกรม IBLP ของบริษัทฯ ได้ช่วยให้เราสามารถก้าวข้ามความคิดที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ เริ่มปรับตัว ทำความเข้าใจความหลากหลายของวัฒนธรรมการทำงานที่แตกต่างกันได้มากขึ้น รวมถึงการได้องค์ความรู้ต่างๆ จากรุ่นพี่ผู้บริหารระดับสูงที่มาโค้ช (Coaching) เราด้วยตัวเอง ผมได้นำความรู้ที่ได้มาพัฒนาและปรับใช้ในการทำงาน ทำให้ได้รับความไว้วางใจมาดำรงตำแหน่งนี้
หนึ่งในปัจจัยที่ช่วยให้มาถึงจุดนี้คือความเป็นสถาบันของบ้านปู ช่วงแรกของการรับตำแหน่ง มีโอกาสได้เรียนรู้จากผู้ใหญ่ในองค์กรที่ช่วยสอนงาน ตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นในการทำความเข้าใจหน้าที่และความรับผิดชอบในส่วนต่างๆ การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยบริหารจัดการงาน และการดูแลสัญญาต่างๆ จนกลายเป็นผู้มีส่วนร่วมโครงการสำคัญๆ ของบ้านปูมากมาย แม้จะมีอุปสรรคในช่วงแรก เช่น วัฒนธรรมการทำงานแบบญี่ปุ่นที่ยึดตามกระบวนการเป็นหลัก แต่เราก็พยายามพูดคุยกันให้มีความยืดหยุ่น (Resilience) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพเท่ากันแต่ใช้เวลาที่น้อยกว่า นับเป็นอีกความสำเร็จหลังจากการได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนี้” นายนิติ กล่าว
องค์กรการเรียนรู้ตลอดชีวิต บนภารกิจส่งมอบอนาคตพลังงานเพื่อความยั่งยืน
“บ้านปู นับเป็นองค์กรที่มีการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด (Lifelong Learning Organization) ที่มีภารกิจส่งมอบอนาคตพลังงานเพื่อความยั่งยืน หน้าที่ของหน่วยงาน Banpu Academy คือปลดล็อกความสามารถของพนักงานและส่งเสริมให้พวกเขาเติบโต ซึ่งเมื่อทุกคนพัฒนาตนเองและเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันองค์กรให้ไปสู่เป้าหมาย ในอนาคต พวกเขาก็จะสามารถนำองค์ความรู้ต่างๆ เหล่านี้ ไปคิดต่อยอด หรือสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ เพื่อเดินหน้าเป็นผู้ให้สังคมและสร้างประโยชน์ต่อโลกใบนี้ต่อไป” นายสินนท์ กล่าวทิ้งท้าย
กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี จัดงาน “DiverCity Talk” ปีที่ 3 ภายใต้หัวข้อ “ความหลากหลายทางเพศ และการตลาดแบบมีส่วนร่วม” มุ่งมั่นส่งเสริมความหลากหลาย ความเสมอภาค และการมีส่วนร่วมในองค์กร โดยได้รับเกียรติจาก นายอัศวิน-นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี เป็นประธานกล่าวเปิดงาน โดยมีพนักงาน พันธมิตร และคู่ค้า เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก ณ อาคารบิ๊กซีเฮ้าส์ สำนักงานใหญ่

ภายในงานได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์มาร่วมแบ่งปันความรู้และลงลึกถึงเนื้อหาด้านการเข้าใจถึงความหลากหลายที่แท้จริงเพื่อนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจได้ โดย คุณทิป - มัณฑิตา จินดา ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องมือทางการตลาด ผู้ก่อตั้ง Digital Tips Academy และเจ้าของเพจ Digital Tips Academy และ คุณทอย - กษิดิศ สตางค์มงคล ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูล และเจ้าขอเพจ Data Rockie และ คุณเฟี๊ยต - ธัชนนท์ จารุพัชนี ดีเจจากคลื่นวิทยุกรีนเวฟ ทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการตลอดทั้งงาน

คุณทิป - มัณฑิตา จินดา กล่าวถึงแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคซึ่งรวมถึงผู้มีความหลากหลายทางเพศ รวมทั้งพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคที่มีความหลากหลายมากขึ้น และในฐานะผู้ผลิตและผู้จำหน่ายสินค้าและบริการนั้นองค์กรควรมีการปรับตัวอย่างไร และใช้เครื่องมือทางการตลาดแบบไหนให้เหมาะสมเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้มากที่สุด
ทางด้าน คุณทอย - กษิดิศ สตางค์มงคล แชร์ประสบการณ์ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้องค์กรเข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคที่นับวันยิ่งมีความแตกต่างและหลากหลายมากยิ่งขึ้น ตลอดจนแนะนำถึงเครื่องมือใหม่ๆ ด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่องค์กรสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางธุรกิจได้

นับเป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นของ กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ในการมุ่งมั่นส่งเสริมความหลากหลาย ความเสมอภาค และการมีส่วนร่วมในทุกมิติ เพื่อให้ทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคทั้งในและนอกองค์กร ทั้งต่อพนักงาน ลูกค้า คู่ค้า และทุกๆ คน เพื่อตอกย้ำว่า กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี เป็นพื้นที่สำหรับทุกคน
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อผลักดันประเทศไทยสู่ศูนย์กลางการลงทุนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของทั้งสององค์กร ผ่านการให้คำปรึกษาด้านการลงทุนในไทยอย่างครบวงจร โดยอาศัยความแข็งแกร่งของเครือข่ายธุรกิจของธนาคารเอชเอสบีซีใน 62 ประเทศและเขตการปกครอง ความเชี่ยวชาญในการสนับสนุนองค์กรข้ามชาติในการขยายธุรกิจระหว่างประเทศ พร้อมทั้งแพลตฟอร์มด้านการเงินดิจิทัลของธนาคารเอชเอสบีซี เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนต่างชาติเข้าถึงโอกาสในการลงทุนและขยายธุรกิจในประเทศไทย
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า “ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีความโดดเด่นมากที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคอาเซียน ด้วยศักยภาพและความพร้อมหลายด้านที่เอื้อต่อการลงทุน ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ดี บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและทักษะขั้นสูง รวมทั้งมีมาตรการสนับสนุนเชิงรุกจากภาครัฐ ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยที่ผ่านมารัฐบาลและบีโอไอได้เดินหน้าออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนด้านต่างๆ รวมถึงกิจกรรมชักจูงการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดการลงทุนในโครงการสำคัญของบริษัทรายใหญ่จากต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีตัวเลขการลงทุนทำสถิติสูงสุดในรอบ 9 ปี ด้วยมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนกว่า 8.48 แสนล้านบาท เติบโตร้อยละ 43 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) กว่า 6.63 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 72 ทั้งนี้ บีโอไอเชื่อว่ากระแสการลงทุนจากต่างประเทศจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาสแรก ปี 2567 มียอดขอรับส่งเสริมการลงทุน จำนวน 724 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 94 มูลค่าเงินลงทุนรวม 228,207 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อประเทศไทย ซึ่งบีโอไอมั่นใจว่าการลงนามเป็นพันธมิตรกับธนาคารเอชเอสบีซีในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการเข้าถึง เข้าใจ และความสามารถในการประสานงานกับนักลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อเร่งการดึงดูดการลงทุนเข้าสู่ประเทศไทยให้มากยิ่งขึ้นในอนาคต”
ความร่วมมือครั้งนี้ธนาคารเอชเอสบีซีจะใช้เครือข่ายลูกค้าธุรกิจระดับโลก และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการลงทุนในประเทศไทย เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันและสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจ ผ่านการสนับสนุนบริษัทต่าง ๆ ที่ต้องการขยายธุรกิจมาสู่ประเทศไทย ทั้งในรูปแบบของโซลูชันทางการเงินและการให้คำปรึกษา นอกจากนี้ ธนาคารเอชเอสบีซีจะจัดกิจกรรมโรดโชว์ในตลาดสำคัญ เช่น จีน ฮ่องกง อินเดีย ซาอุดิอาระเบีย อาเซียน ยุโรป และสหราชอาณาจักร เป็นต้น เพื่อส่งเสริมประเทศให้เป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค
“ความร่วมมือระหว่างบีโอไอและธนาคารเอชเอสบีซีจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่บริษัทรายใหญ่ระดับโลกมีความต้องการที่จะขยายธุรกิจและมองหาโอกาสใหม่ ๆ ซึ่งวันนี้อาเซียนถือเป็นภูมิภาคที่มีความโดดเด่น และไทยเป็นหนึ่งในประเทศอาเซียนที่มีความเหมาะสมจะเป็นฐานลงทุนแห่งใหม่ของตลาดโลก บีโอไอมั่นใจว่าเครือข่ายระดับโลกของธนาคารเอชเอสบีซี จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและเร่งการลงทุนใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมตามยุทธศาสตร์ของบีโอไอ ได้แก่ ยานยนต์ไฟฟ้า เซมิคอนดักเตอร์ ดิจิทัล อุตสาหกรรมชีวภาพและพลังงานสะอาด และสนับสนุนการตั้งสำนักงานภูมิภาคในประเทศไทย เพื่อขยายการเข้าถึงกลุ่มนักลงทุนกว้างขึ้น โดยบีโอไอและธนาคารเอชเอสบีซีจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อผลักดันการลงทุนผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ร่วมกัน” นายนฤตม์ กล่าว

นายจอร์โจ กัมบา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญที่ธุรกิจระหว่างประเทศต้องการลงทุน โดยบทวิจัย HSBC Global Connections ระบุว่า ร้อยละ 37 ของบริษัทที่เป็นกลุ่มตัวอย่างมีการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยแล้วในปัจจุบัน ซึ่งแรงงานที่มีทักษะเป็นปัจจัยที่ทำให้ไทยเป็นตลาดที่น่าสนใจ ตามมาด้วยเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเติบโตและจำนวนประชากรที่มีรายได้ปานกลาง นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของภูมิภาคมาอย่างยาวนาน และยังคงเป็นส่วนสำคัญของซัพพลายเชนของโลก ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยถือเป็นผู้ผลิตยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของอาเซียน โดยมียอดการผลิตคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 50 ของประเทศทั้งหมดในภูมิภาค ส่งผลให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่มีศักยภาพสำหรับการลงทุนขนาดใหญ่จากประเทศเศรษฐกิจสำคัญทั้งในภูมิภาคและทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี)”
“ธนาคารเอชเอสบีซีเป็นหนึ่งในธนาคารระหว่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งดำเนินธุรกิจอยู่ใน 62 ประเทศและเขตการปกครอง และเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งแรกของไทยซึ่งมีประสบการณ์ในการธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 135 ปี เราจึงเชื่อมั่นในศักยภาพขององค์กรในการเชื่อมโยงประเทศไทยกับนักลงทุนทั่วโลก ผ่านการนำเสนอโซลูชันด้านการเงินที่ครบวงจรและแพลตฟอร์มนวัตกรรมด้านการเงินดิจิทัล โดยธนาคารฯ พร้อมให้การสนับสนุนบีโอไอในกิจกรรมโรดโชว์ต่าง ๆ และพัฒนาความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และเศรษฐกิจดิจิทัล”
“รายงานของธนาคารเอชเอสบีซียังชี้ให้เห็นว่า ธุรกิจระหว่างประเทศร้อยละ 18 ที่ยังไม่ได้ดำเนินธุรกิจในไทยมีแผนจะขยายธุรกิจเข้ามาในประเทศไทยภายใน 2 ปีข้างหน้า สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยยังคงเป็นตลาดนักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจและมองว่ามีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค เราเชื่อว่าความร่วมมือครั้งนี้และโซลูชันด้านการเงินระหว่างประเทศชั้นนำของเอชเอสบีซีจะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายในการร่วมปลดล็อคโอกาสการลงทุน เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของการลงทุนจากต่างประเทศได้อย่างมั่นคง” นายกัมบา กล่าวปิดท้าย

ภายหลังพิธีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือ ยังมีการเสวนาในหัวข้อ “ปลดล็อคโอกาสการลงทุนในไทย” โดยมีตัวแทนจากภาครัฐและเอกชนเข้าร่วม ได้แก่ นางสาวฐนิตา ศิริทรัพย์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ บีโอไอ, นายกฤษฎา แพทย์เจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มลูกค้าธุรกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย, นายแฟรงค์ คอนสแตนต์ ผู้ร่วมก่อตั้ง คอนสแตนท์ เอนเจอร์จี ผู้ให้บริการโซลูชันพลังงานหมุนเวียน และนายยี่ เสี่ยวผิง รองประธาน ไฮเซ่นส์ อาเซียน โดยผู้ร่วมเสวนาได้แลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับโอกาสของประเทศไทยในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อเจาะตลาดไทยควบคู่ไปกับการตั้งฐานการผลิตในไทยเพื่อส่งออกไปยังตลาดอื่น ๆ ในอาเซียน โดยการสนับสนุน อาทิ ฟรีวีซ่าและความตกลงการค้าเสรี ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะยกระดับความสามารถในการแข่งขันของไทย นอกเหนือไปจากสิทธิประโยชน์ทางภาษี

ภายในงานยังมีบุคคลสำคัญและผู้แทนจากสถานทูตและหอการค้าระหว่างประเทศเข้าร่วมงาน เช่น สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย สถานเอกอัครราชทูตเวียดนาม องค์กรส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน สถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย สำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง หอการค้าอเมริกันในประเทศไทย หอการค้าเกาหลี – ไทย และหอการค้าอังกฤษ-ไทย
สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) โดยด้านกำกับคนกลางและประกันภัยภูมิภาค เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. เล็งเห็นความสำคัญในการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ที่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน โดยการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ให้สามารถทำงานได้ทุกที่ ทุกเวลา และทุกอุปกรณ์ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในระบบการให้บริการออกใบอนุญาตตัวแทนนายหน้าประกันภัยและผู้ประเมินวินาศภัย สำนักงาน คปภ. จึงได้ดำเนินโครงการพัฒนาแพลตฟอร์ม ระบบการให้บริการการออกใบอนุญาตตัวแทน/นายหน้าประกันภัยและผู้ประเมินวินาศภัย ทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Licensing) แบบครบวงจร ด้วยการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ให้สามารถเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลของสำนักงาน คปภ. ที่เกี่ยวข้องกับคนกลางประกันภัยเข้าด้วยกัน เช่น ข้อมูลการอบรม ข้อมูลการสอบ ระบบการเงิน และเชื่อมโยงกับระบบฐานข้อมูลภายนอกของภาครัฐอื่น ๆ เช่น ข้อมูลทะเบียนราษฎร์กับกรมการปกครอง ข้อมูลทะเบียนนิติบุคคลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อลดขั้นตอนและเป็นการเพิ่มความคล่องตัวและความถูกต้องแม่นยำในกระบวนการทำงานระหว่างหน่วยงานมากขึ้น
E-Licensing เป็นการพัฒนากระบวนการทำงานตั้งแต่การให้บริการข้อมูล การขอรับใบอนุญาต การขอต่ออายุใบอนุญาต การนำส่งข้อมูลตามที่สำนักงาน คปภ. กำหนดให้มีความรวดเร็ว รวมถึงการชำระค่าธรรมเนียมที่มีความสะดวกยิ่งขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาตของคนกลางประกันภัย และเป็นการอำนวยความสะดวกให้คนกลางประกันภัยสามารถยื่นคำขอและ/หรือเอกสารต่าง ๆ ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยระบบ E-Licensing สามารถให้บริการผ่านรูปแบบเว็บแอปพลิเคชัน (Web Application) และรูปแบบโมไบล์แอปพลิเคชัน (Mobile Application) นอกจากนี้ ประชาชนทั่วไปยังสามารถเข้าถึงข้อมูลของคนกลางประกันภัยที่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนได้อย่างครบถ้วน ถูกต้อง และสะดวกรวดเร็ว โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลคนกลางประกันภัยผ่านทางเว็บไซต์ (Website) ได้ด้วยตนเอง เช่น ข้อมูลใบอนุญาตของคนกลางประกันภัย สถานะใบอนุญาต ชื่อต้นสังกัดผู้เสนอขาย เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันสำนักงาน คปภ. ได้ดำเนินการเปิดใช้งานระบบ E-Licensing เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2567 ในส่วนของวิธีการใช้งานและช่องทางการใช้งานผ่านระบบ E-Licensing ดังกล่าว คนกลางประกันภัย บริษัทประกันภัย และประชาชนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมจากคู่มือการใช้งานและคลิปวิดีโอแนะนำการใช้งานต่าง ๆ ตลอดจนเอกสารเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ได้ที่เว็บไซต์สำนักงาน คปภ. (www.oic.or.th) Facebook สำนักงาน คปภ. (oicthailand) Mobile Application (OIC คนกลาง For Sure) Line Official (@oicconnect) และสายด่วน คปภ. 1186
สำนักงาน คปภ. มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบประกันภัยได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และทั่วถึง โดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาพัฒนาการให้บริการด้านประกันภัยอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อยกระดับและอำนวยความสะดวกในการทำงาน รวมถึงการวิเคราะห์การดำเนินธุรกิจของคนกลางประกันภัยเพื่อกำหนดแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนากฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับคนกลางประกันภัย ตลอดจนวางแผนในการพัฒนาการกำกับดูแลคนกลางประกันภัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนอย่างยั่งยืน โดยสำนักงาน คปภ. จะติดตามการใช้งานระบบ E-Licensing อย่างต่อเนื่อง พร้อมรับฟังความคิดเห็นและข้อแนะนำจากผู้ใช้งานเพื่อนำมาปรับปรุงระบบงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
หลังจากทั่วโลกได้รับผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19 ประกอบกับความแปรปรวนของสภาพอากาศที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและผลผลิต รวมไปถึงเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการใช้ชีวิตของมนุษย์ในสังคมปัจจุบัน ส่งผลให้ผู้คนจำนวนมากเริ่มตระหนักถึงอันตรายของโรคภัย และหันมาใส่ใจกับการดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้น จึงทำให้เทรนด์อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง

นายชัชศรัณย์ เตชะเรืองจิต กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนซ์เบทเตอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผงปรุงรสคลีนสำเร็จรูปเพื่อสุขภาพ แบรนด์ ไนซ ซีซันนิ่ง กล่าวว่า “แม้ว่าการระบาดของโควิด-19 ครั้งใหญ่ได้จบไปแล้ว แต่เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพยังคงมาแรงต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และได้ส่งผลให้พฤติกรรม ทัศนคติ เรื่องการดูแลสุขภาพของคนทั่วโลกและคนไทยเปลี่ยนไปอย่างมาก โดยเฉพาะผู้บริโภคคนไทยปัจจุบันนี้ให้ความใส่ใจเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ควบคู่กับการตระหนักถึงในเรื่องการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง บริษัทเราจึงมีความมุ่งมั่นในการเป็นส่วนหนึ่งที่อยากสนับสนุนให้คนไทยหันมาบริโภคอาหารให้ครบมื้อและครบคุณค่าทางสารอาหาร รวมทั้งได้รับโภชนาการที่ดีต่อสุขภาพแต่ยังคงไว้ด้วยรสชาติที่อร่อยกลมกล่อม”

ล่าสุด บริษัทจึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ผงปรุงรสสายคลีน ภายใต้แบรนด์ “ไนซ ซีซันนิ่ง (Nize Seasonings Brand)” ผงปรุงรสคลีนสำเร็จรูป 100% “เจ้าแรกในไทย” ที่มีความโดดเด่นและแตกต่างจากแบรนด์อื่น ๆ ตรงที่ ไนซ ซีซันนิ่งเราไม่ใส่ผงชูรส ทั้งยังลดปริมาณโซเดียมและน้ำตาล รวมทั้งเลือกใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ 100% ไร้สารปรุงแต่งอันตรายจากสารเคมี แต่ยังสามารถทำให้รสชาติอาหารอร่อยกลมกล่อม หอมกลิ่นเครื่องเทศ จัดจ้านถึงเครื่องตามฉบับของอาหารไทย สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนูทั้ง หมัก ผัด โรย ปรุงน้ำซุป ได้แก่ ผงปรุงรสสูตรต้มยำน้ำข้น, ผงปรุงรสสูตรต้มยำน้ำใส, ผงปรุงรสสูตรพะโล้, ผงปรุงรสสูตรข้าวผัด, ผงปรุงรสสูตรต้มข่า, ผงปรุงรสสูตรแกงเขียวหวาน, ผงปรุงรสสูตรผัดกะเพรา, ผงปรุงรสสูตรลาบ, ผงปรุงรสสูตรยำ เป็นต้น เจาะกลุ่มคนรักสุขภาพ ผู้ที่ต้องการลดโซเดียมและลดน้ำตาล ผู้ที่ไม่ทานผงชูรส รวมทั้งสายสุขภาพที่ชื่นชอบอาหารไทย หอมเครื่องเทศ ที่ต้องการลดปริมาณโซเดียมและลดน้ำตาล แต่ยังคงอยากให้เมนูอาหารที่ตนเองชื่นชอบไม่จืดชืด อร่อยกลมกล่อม ปรุงง่าย สะดวก ประหยัดเวลา และไม่ทำร้ายสุขภาพ ตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่มีวิถีชีวิตเร่งรีบมากขึ้น

ด้านนางสาวรวิยุพาภัทร อนันตศานต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนซ์เบทเตอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผงปรุงรสคลีนสำเร็จรูปเพื่อสุขภาพ แบรนด์ ไนซ ซีซันนิ่ง กล่าวเพิ่มเติมว่า “ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าตลาดอาหารและเครื่องดื่มสุขภาพในปี 2024 ยังขยายตัวได้ 6% หรือมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 34,000 ล้านบาท จึงถือเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการและแบรนด์ต้องจับตามอง เพื่อสร้างโอกาสเติบโต โดยถ้าพูดถึงตลาดเครื่องดื่มและอาหารเพื่อสุขภาพในไทย เป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีมูลค่ากว่า 2.9 ล้านล้านบาท จากเทรนด์รักสุขภาพที่ส่งผลให้คนหันมาออกกำลังกาย รวมถึงเลือกดื่มเครื่องดื่มและทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพกันมากขึ้น”

ดังนั้น ทางบริษัทจึงมีความใส่ใจพฤติกรรมของผู้บริโภคมาโดยตลอด ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก ตลอดจนกำหนดเกณฑ์โภชนาการและเป้าหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของโลกอยู่เสมอ โดยการคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่ลดปริมาณน้ำตาล โซเดียม และไขมันอิ่มตัวลง เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนมีพฤติกรรมด้านสุขภาพที่ดี รวมทั้งสามารถเข้าถึงอาหารที่อร่อยและมีประโยชน์ ด้วยเหตุนี้ทางบริษัทจึงได้ออกผลิตภัณฑ์ “ไนซ ซีซันนิ่ง (Nize Seasonings Brand)” ซึ่งเป็นผงปรุงรสคลีนสำเร็จรูป 100% ทั้งยังเป็นผงปรุงรสสายคลีนเจ้าแรกของประเทศไทย สำหรับคนรักสุขภาพ และผู้ป่วยที่ต้องการรับประทานอาหาร ลดเค็ม ลดหวาน ไม่ใส่ผงชูรส แต่รสชาติอาหารยังคงความอร่อย ตามแบบฉบับของอาหารไทย ได้แก่ ผงปรุงรสสูตรต้มยำน้ำข้น, ผงปรุงรสสูตรต้มยำน้ำใส, ผงปรุงรสสูตรพะโล้, ผงปรุงรสสูตรข้าวผัด, ผงปรุงรสสูตรต้มข่า, ผงปรุงรสสูตรแกงเขียวหวาน, ผงปรุงรสสูตรผัดกะเพรา, ผงปรุงรสสูตรลาบ และ ผงปรุงรสสูตรยำ เป็นต้น ด้วยรูปแบบแพ็กแกจที่ใช้สะดวก ปรุงง่าย ประหยัดเวลา ราคาเริ่มต้นเพียง 38 บาทเท่านั้น จัดจำหน่ายในช่องทางออนไลน์ อาทิ
Shopee: https://shopee.co.th/nize_seasonings, Lazada: https://www.lazada.co.th/shop/nize-seasonings-/, TikTok: https://www.tiktok.com/@nize_seasonings_official และ ซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วประเทศ
สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์ผงปรุงรส แบรนด์ ไนซ ซีซันนิ่ง เพิ่มเติมได้ที่ โทร: 099-193-9598 หรือ 063-423-4994 และ Line ID: @NIZE_SEASONINGS (https://lin.ee/xsgljFm) หรือ Facebook: Nize Seasonings เครื่องปรุงรสสุขภาพ (https://www.facebook.com/profile.php?id=61553562274497) และ Instagram: https://www.instagram.com/nize_seasonings/
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย (World Animal Protection Thailand) ขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ไฟไหม้ ตลาดศรีสมรัตน์ ตลาดค้าสัตว์ภายในพื้นที่สวนจตุจักร กรุงเทพฯ เมื่อรุ่งสางของวันที่ 11 มิถุนายน 2567 ซึ่งส่งผลให้ร้านค้าถึง 118 คูหา ได้รับความเสียหาย และคาดว่ามีสัตว์ตายจากเหตุไฟไหม้กว่า 1,000 ตัว ความเสียหายและโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับสัตว์นับพันชีวิตในครั้งนี้นับเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สัตว์หลากหลายชนิด ทั้งสัตว์เลี้ยงทั่วไป สัตว์ป่า สัตว์หายาก และ สัตว์แปลก ตายเป็นจำนวนมาก สร้างความสูญเสียและสลดใจ แก่ผู้เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนทั่วไป สัตว์ต่างๆ เหล่านี้ เช่น สุนัข แมว นก ไก่ งูสวยงาม ฯลฯ อยู่ในกรงเพื่อเตรียมซื้อขายในพื้นที่สวนจตุจักร ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองจากการถูกกักขังต้องทนทุกข์ทรมานจากเพลิงไหม้ และตายไปในที่สุด

องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ขอตั้งข้อสังเกตและข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้

องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ดับเพลิง และผู้ที่มีส่วนในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยและสัตว์ จากเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้ องค์กรฯ มีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการปกป้องสวัสดิภาพสัตว์และยุติการทารุณกรรมสัตว์อย่างถาวร เราส่งเสริมให้ทุกคนมีความตระหนักและความเอื้ออาทรต่อสัตว์ และเราทำงานร่วมกับชุมชนและหน่วยงานต่างๆ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมและสังคมที่สัตว์และผู้คนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเกื้อกูล
เครดิตภาพถ่าย
ภาพลิง © Andrew Skowron
ภาพอื่นๆ © World Animal Protection