December 20, 2025

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ร่วมกับ Fund House ชั้นนำอย่าง UBS, UOBAM, Franklin Templeton จัดงานสัมมนา Mid-Year Investment Outlook ขึ้นเพื่อให้นักลงทุนทราบถึงกลยุทธ์การจัดพอร์ตลงทุนที่แข็งแกร่งท่ามกลางความไม่แน่นอนทั่วโลก เพื่อรับมือในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 โดยมีบริษัทจัดการกองทุนที่มีชื่อเสียงมากมาย มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับกลยุทธ์เพื่อสร้างพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่งแก่นักลงทุนกลุ่มมั่งคั่งของธนาคาร ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล

ทรู ดิจิทัล พาร์ค ศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดย นายฐนสรณ์ ใจดี (กลาง) กรรมการผู้จัดการใหญ่ และ ดร.ธาริต นิมมานวุฒิพงษ์ (ซ้ายสุด) ผู้จัดการทั่วไป ร่วมกับ นิวเอนเนอร์จี้ เน็กซัส (ประเทศไทย) โดย นายสแตนลี เอิง ผู้อำนวยการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (ที่ 2 จากขวา) จัดสัมมนาครั้งใหญ่แห่งปี "Decarbonize Thailand Symposium 2024 : Path to Net Zero Collaboration" ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 รวมพลังเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ร่วมด้วย เด็นโซ่ อินเตอร์เนชั่นแนล เอเชีย โดย นายประดิษฐ์ มหาศักดิ์ศิริ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายพัฒนานวัตกรรมและธุรกิจเกิดใหม่ และ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น โดย ดร.ปิยาภรณ์ ภาสกานนท์ (ขวาสุด) หัวหน้าสายงานด้านการพัฒนาความยั่งยืนองค์กร พร้อมด้วยหลากหลายพันธมิตรองค์กรชั้นนำจากทั้งในและต่างประเทศ ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ และอัปเดตเทรนด์เทคโนโลยี พร้อมเปิดเวทีให้สตาร์ทอัพร่วมโชว์เคสนวัตกรรม Climate Tech กระตุ้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ดร.ธาริต นิมมานวุฒิพงษ์ ผู้จัดการทั่วไป ทรู ดิจิทัล พาร์ค กล่าวว่า จากความสำเร็จในการจัดงาน Decarbonize Thailand Symposium 2022 ซึ่งเป็นครั้งแรกเพื่อสร้างความร่วมมือในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ได้มีบริษัทยักษ์ใหญ่สนใจร่วมงานเป็นอย่างมาก ทรู ดิจิทัล พาร์ค จึงเดินหน้านำศักยภาพระบบนิเวศครบวงจรสำหรับสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการเทค สร้างคอมมูนิตี้เชื่อมโยงความร่วมมือในแก้ไขปัญหาดังกล่าว จัดงาน "Decarbonize Thailand Symposium 2024 : Path to Net Zero Collaboration" เป็นปีที่ 2 โดยเน้นการอัปเดตนวัตกรรมโซลูชันจากสตาร์ทอัพทั่วโลก นอกจากนี้ ยังผลักดันการเติบโตของสตาร์ทอัพ Climate Tech ผ่านความร่วมมือในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการจัดโครงการและกิจกรรมที่จะสร้างพลังเครือข่าย กระตุ้นให้เกิดการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาดังกล่าวมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยโฟกัส 4 กลุ่มนวัตกรรม Climate Tech ที่น่าจับตามอง ได้แก่ E-Mobility เช่น EV และระบบขนส่ง, Decarbonization เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การบริหารจัดการคาร์บอน และคาร์บอนเครดิต, AgriTech เช่น ระบบบริหารจัดการน้ำ เชื้อเพลิงชีวภาพ และวัตถุดิบทางเลือก และ Energy เช่น การบริหารจัดการพลังงาน และพลังงานหมุนเวียน

โอกาสและความท้าทาย บนเส้นทางสู่ Net Zero

ในงาน "Decarbonize Thailand Symposium 2024 : Path to Net Zero Collaboration" นอกจากการบรรยายพิเศษ อัปเดตเทรนด์โลกและสถานการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตสภาพอากาศ จากเหล่าวิทยากรผู้เชี่ยวชาญแล้ว ยังมีหลากหลายองค์กรชั้นนำและสตาร์ทอัพ Climate Tech ร่วมพูดคุยถึงโอกาสและความท้าทายในการเดินทางสู่ Net Zero โดยในช่วงเสวนาหัวข้อ “Decarbonization 101 Deep Dive: Exploring Cutting-Edge Strategies for a Sustainable Future” ผู้แทนจาก เด็นโซ่ อินเตอร์เนชั่นแนล เอเชีย ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยียานยนต์และนวัตกรรมโมบิลิตี้แห่งอนาคต ได้กล่าวถึงการเลือกวัสดุในขั้นตอนการผลิต ว่า ไม่ได้มองที่ต้นทุนเพียงอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึงการนำกลับมาใช้ใหม่ได้ด้วย ส่วนภาคการผลิตก็ต้องปล่อยคาร์บอนให้ต่ำที่สุดหรือเป็นศูนย์ เมื่อนำผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาประกอบเป็นรถยนต์ก็ต้องช่วยลดคาร์บอนได้ รวมถึงการพัฒนาด้านอีวี หรือ เซลล์เชื้อเพลิง (Fuel cells) ด้วย ด้านผู้แทนจาก เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้เผยถึงอีกด้านของโอกาสว่า ยุคนี้ผู้ที่ปรับตัวได้ก่อนก็สามารถเป็นผู้กำหนดสร้างกฎเกณฑ์ข้อตกลงได้ก่อน เช่น ราคาคาร์บอนเครดิต โดยภาคธุรกิจต้องปรับตัว นำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานร่วมกันกับพันธมิตรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย อีกทั้งความยั่งยืนยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจของคนรุ่นใหม่ในการเลือกทำงาน เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ยั่งยืนที่จะเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค ซึ่งในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสสำหรับสตาร์ทอัพที่มาพร้อมโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เสมอ  สำหรับประเด็นด้านความเสี่ยงขององค์กรและประชาชนทั่วไป เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ ไทยแลนด์ ให้มุมมองถึงปัญหาที่ทุกคนเจอโดยไม่รู้ตัว คือ ภาษีคาร์บอน ผ่านการซื้อรถยนต์ ค่าไฟ และอาหารการกิน เป็นต้น เดลต้าได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2015 ด้วยการประกาศคำมั่นสัญญาผ่านธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่ลดการใช้พลังงานสิ้นเปลือง พร้อมใช้พลังงานสีเขียวและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ เป็นต้น ส่วนองค์กรสตาร์ทอัพ ALTOTECH GLOBAL เผยว่า ในการตั้งเป้าลดการใช้พลังงาน การนำข้อมูลมาใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นสิ่งที่สำคัญ เช่น ระบบอาคาร ที่มีการพัฒนาซอฟต์แวร์ของอาคารที่ใช้ข้อมูลร่วมกัน ก็เป็นอีกโอกาสที่อยากพัฒนาให้เกิดขึ้น ด้าน ALTERVIM เผยถึงมุมของสตาร์ทอัพ คือ มักจะมุ่งสร้างเทคโนโลยีใหม่ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์การแก้ปัญหาระดับประเทศ แต่หลังจากได้ร่วมงานกับคอร์ปอเรต ทำให้เห็นว่าความร่วมมือที่แท้จริงจะต้องช่วยขับเคลื่อนเอสเอ็มอีต่างๆ ซึ่งเป็นหน่วยเล็กๆ ด้วย  มิติเหล่านี้ไม่ได้มองแค่ตัวเลขทางการเงินเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องส่งผลต่อการจ้างงาน สังคม และประเทศชาติ ได้ด้วย

วิกฤต Climate Change ต้องเปลี่ยนที่คนเป็นอันดับแรก

นายบุญรอด เยาวพฤกษ์ กรรมการบริษัท เดอะ ครีเอจี้ จำกัด องค์กรที่ปรึกษาที่มีเป้าหมายเพื่อช่วยประเทศไทยและโลกไปสู่ Net Zero Economy รวมถึงได้ก่อตั้ง Climate Academy เผยว่า แนวโน้มอุณหภูมิโลกสูงขึ้นเรื่อยๆ จากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสะสมมายาวนานทุกปีๆ ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทย โดยเหลือ Carbon Budget อยู่ 380,000 ล้านตัน ก่อนที่อุณหภูมิจะเกิน 1.5 องศาเซลเซียส จนเกิดแคมเปญ Net Zero ทั่วโลกต่างๆ ขึ้นตั้งแต่สนธิสัญญาด้านสิ่งแวดล้อมอย่าง พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) จนถึงปัจจุบันคือ ความตกลงปารีส (Paris Agreement) และยังให้มุมมองเรื่อง Climate Change ว่าอันดับแรกผู้คนต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงที่ตัวเองแต่พฤติกรรมบุคคลนั้นเปลี่ยนได้ยาก อาจจะต้องมีบทลงโทษหากทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยใช้ 2 กลไก ได้แก่ 1. ETS Immigration Trading Screen สำหรับหน่วยงานขนาดใหญ่ที่กำหนดโควต้าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งหากปล่อยเกินต้องไปหาโควต้าจากที่อื่น และ 2. การเก็บภาษีคาร์บอน ที่จะสามารถช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคในอนาคตได้

ทั้งนี้ นายบุญรอด ได้ให้มุมมองในการทำ Net Zero Economy ว่า การทำธุรกิจหากเข้าใจแลนด์สเคปจะได้เปรียบมากกว่า โดยมีสิ่งที่ควรคำนึงถึง คือ เทคโนโลยีไหนกำลังมา ทรัพยากรที่ถูกใช้มากที่สุดคืออะไร โดยในปัจจุบันอันดับแรก ได้แก่ น้ำ และรองลงมาคือ คอนกรีต จะมีวัสดุไหนมาทดแทนได้หรือไม่ หรือแม้แต่ไฟฟ้าทั้งหมดหากมีจุดกำเนิดมาจากพลังงานสะอาดจะต้องทำอย่างไร เป็นต้น

และต้นทุนคงที่เฉลี่ยต่อการใช้งาน กอปรกับความพึงพอใจและข้อจำกัดในการใช้งานของแต่ละปัจเจกชน

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงข่าวมหกรรมไลฟ์คอมเมิร์ซนานาชาติ 2567 และเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU) ระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กับบริษัท Beijing Zhongshi Runpeng Culture Media Technology จำกัด (เป่ยจิง จงซื่อ รุ่นเผิง คัลเชอร์ มีเดีย เทคโนโลยี จำกัด) ผู้นำด้านการ Live Commerce ของจีน ซึ่งนายภูมิธรรมได้หารือกับ Mr.Zhou Jiang ประธานบริษัทฯ ในการผลักดันสินค้าและบริการไทยบุกตลาดจีนผ่านเครือข่าย KOL (บุคคลทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์)ของบริษัทฯ และนำตัวอย่างสินค้าคุณภาพของไทยกว่า 100 รายการมาให้ KOL จีนเลือก โดยภายในงานมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภัณฑิล จงจิตรตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนร่วมด้วย

นายภูมิธรรม กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นวันประวัติศาสตร์แห่งความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและจีนในการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ผ่านช่องทาง Live Commerce เป็นรูปแบบการค้าที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของไทยกับบริษัท Beijing Zhongshi Runpeng Culture Media Technology จำกัด ผู้นำด้าน Live Commerce ของจีน เป็นก้าวสำคัญที่จะเปิดประตูสู่โอกาสทางการค้าใหม่ สร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ

ช่วงที่ผ่านมาจะได้เห็นบทบาทและกิจกรรมของกระทรวงพาณิชย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ถ้าเรายังใช้รูปแบบการค้าแบบเดิมโอกาสที่จะก้าวให้ทันหรือแข่งขันกับประเทศต่างๆก็ลำบาก เราได้ทดลองใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีสมัยใหม่มาส่งเสริมการค้า เริ่มด้วยการเชิญมาย-อาโป กับฟรีน-เบคกี้ ที่เป็นดารานักแสดงที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก จนกระทรวงพาณิชย์ขึ้นเทรนด์อันดับหนึ่งของโลกในหลายประเทศ การใช้โซเชียลมีเดียสามารถเปิดตลาดได้ทั่วถึงทุกมุมโลกในช่วงเวลาไม่ทันข้ามคืน

กระทรวงพาณิชย์เห็นความสำคัญของ E-Commerce ที่เป็นช่องทางที่ทำให้สินค้าไทย ทั้งอาหารและวัฒนธรรมเกิดการรับรู้ที่กว้างขึ้น ตนหวังให้ผู้ประกอบการไทย และ SMEs ได้มีโอกาสเรียนรู้จากบริษัทที่มีศักยภาพ โดยกิจกรรมวันนี้จะเป็นตัวอย่าง ได้นำสินค้าคุณภาพจากผู้ประกอบการ 42 บริษัท กว่า 100 รายการ มาให้ทางบริษัทเลือก ซึ่งเราจะจับมือกับผู้ประกอบการรายเล็ก SMEs ของไทยหาช่องทางการตลาดสร้างรายได้ให้ประเทศ ให้สินค้าไทยได้รับการยอมรับจากทั่วโลกเพิ่มขึ้น

โดยในอีก 2 เดือน จะมีมหกรรม International Live Commerce Expo 2024 เชิญอินฟลูเอนเซอร์ที่มีชื่อเสียง 30-50 ราย ที่บางรายมีผู้ติดตามเป็น 10 ล้าน 100 ล้านคน มาเลือกสินค้าของไทยไปขาย เพราะเขาจะเข้าใจความต้องการของจีน เราจะพิสูจน์ว่าการเปิดตลาดด้วยวิธีใหม่สามารถสร้างรายได้ เพิ่มโอกาสและช่องทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการไทยและ SMEs ไทย โดยกระทรวงพาณิชย์จะเป็นสะพานเชื่อมผู้บริโภคชาวต่างประเทศ ให้ได้รับประสบการณ์ครั้งสำคัญในการหารายได้เข้าประเทศ

“เราเลือกสินค้าที่เป็นพรีเมียมและเห็นว่าเป็นของพื้นที่จะต่อยอดส่งออกได้ กระทรวงพาณิชย์จะไปเพิ่มศักยภาพและเป็นตลาดให้เขา โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและหน่วยงานอื่นๆในกระทรวงฯจะไปส่งเสริม เช่น การจัดงาน THAIFEX-ANUGA ASIA 2024 ที่เรามีศักยภาพใหญ่ที่สุดและครบวงจรที่สุดในเอเชีย เปิดโอกาสให้ SME ได้มีโอกาส หลายสินค้าสามารถขายผ่านอีคอมเมิร์ซได้ง่ายกว่า แต่ต้องพัฒนาคุณภาพให้ถึงระดับหนึ่ง และทำให้สินค้าเป็นที่ต้องการ”นายภูมิธรรมกล่าว

พร้อมเผยรายชื่อ 10 หุ้น ESG Turnaround ดันผลประกอบการพลิกฟื้น

บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPH โดย ดร. สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย นายถิรเจตน์ ศุภวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานกลยุทธ์และการลงทุน ร่วมนำเสนอข้อมูลผลการดำเนินงานในกิจกรรมบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยผ่านทางช่องทางออนไลน์เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 โดยในไตรมาส 1/2567 TIPH มีรายได้รวมที่ 3,991 ล้านบาท และกำไรสุทธิที่ 574 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 14.5% และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ที่ 17.9% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทประกันวินาศภัยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นผลมาจากความสามารถในการครองอันดับ1 อย่างต่อเนื่องในธุรกิจประกันวินาศภัยประเภท Non-motor ของบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทหลักในกลุ่ม TIPH และการเติบโตขึ้นของบริษัทอื่นๆ ที่ TIPH เข้าลงทุน สะท้อนถึงแนวโน้มการเติบโตอย่างยั่งยืนของ TIPH ทั้งนี้ สามารถรับชมย้อนหลังได้ผ่านทาง YouTube Channel และเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ดังนี้

https://www.youtube.com/live/5pgieYWsYHE?feature=shared และ https://listed-company-presentation.setgroup.or.th/vdo/6851

 

ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2  Impact เมืองทองธานี (บูธ U71) บริษัทสหฟาร์ม ผู้ผลิตและส่งออกไก่แช่แข็งรายใหญ่ของไทย ได้เข้าร่วมออกบูธเพื่อประชาสัมพันธ์บริษัท พร้อมเปิดตัวสินค้าใหม่ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภค หลากหลายกลุ่ม ทั้งสายรักสุขภาพ ไก่แปรรูปสำหรับเด็กแพ้อาหาร ไก่พร้อมทานสำหรับคนรุ่นใหม่เน้นความสะดวก พร้อมแตกไลน์สินค้าใหม่ “ปลาดุกอนามัย“ ภายใต้แบรนด์สหฟาร์ม โดยผู้ที่มาร่วมงาน ทั้งในและต่างประเทศ ให้ความสนใจกันอย่างเนืองแน่น

ดร.จารุวรรณ โชติเทวัญ ประธานสายการตลาดต่างประเทศ บัญชี การเงิน และเลขานุการประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหฟาร์ม จำกัด (SAHA FARMS) เปิดเผยว่า เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีของสหฟาร์ม ที่ได้กลับมาอีกครั้ง ในงาน Thaifex Anuga Asia 2024 ในครั้งนี้ ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ เราอยากให้ทุกคนได้ทราบ และรู้จักเราให้มากขึ้นในฐานะบริษัทที่มีศักยภาพและมาตรฐานระดับโลกในการผลิตสินค้าทั้งไก่สดและไก่แปรรูป เพื่อการส่งออก พร้อมประกาศเดินหน้าแผนพัฒนาต่อยอด และทำการปรับองค์กรของเราใหม่ทั้งหมด ในทุกมิติ ทั้งในด้านนโยบาย สินค้า และบุคลากรเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศมากยิ่งขึ้น โดยนำประสบการณ์ 55 ปีที่ผ่านมาในการทำธุรกิจมาต่อยอดพัฒนาสินค้า คุณภาพ รสชาติ และรูปลักษณ์ที่ทันสมัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมา สหฟาร์มยังได้มีผลงานอันเป็นที่ประจักษ์โดยการสร้างยอดขายทะลุ 170,000 ตัน ซึ่งสูงกว่าหลายหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ขึ้นแท่นเป็นบริษัทผู้ส่งออกไก่แช่แข็งอันดับ 1 ของประเทศไทย ในปี 2566

“โดยในงาน นอกจากจะสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค แล้วยังถือโอกาส เปิดตัวและแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ อย่างสินค้าสำหรับเด็กที่แพ้อาหาร อาทิเช่น แป้งสาลี นม ถั่ว ไข่ ปลา และอาหารทะเลเปลือกแข็ง ภายใต้แบรนด์ “โชริโชริ” ฟาร์มไก่อารมณ์ดี ยูริกต่ำ สำหรับคนที่รักสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ พอลดีย์ อาหารปรุงสำเร็จ สำหรับคนรุ่นใหม่ ที่เน้นความสะดวกสบาย ภายใต้แบรนด์ สหฟาร์มอินเตอร์ และน้องใหม่ล่าสุด “ปลาดุกอนามัย” เลี้ยงโดยวิธีการธรรมชาติ ที่ต้องการยกระดับปลาดุกไทยและขยายโอกาสสู่ตลาดโลก เนื้อสัมผัสนุ่ม ชุ่มฉ่ำ ไม่มีกลิ่นคาว ให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคได้ลิ้มลองกันอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็เพื่อเป็นการบอกว่า เราจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาอาหารที่มีคุณภาพ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก และขอขอบคุณทุกคนที่ให้การสนับสนุนสหฟาร์มเสมอมา” ดร. จารุวรรณ กล่าว

ภายในงาน Thaifex Anuga Asia 2024 สินค้าของสหฟาร์มที่นำมาเปิดตัวในงานครั้งนี้ มีทั้งไก่สด เราเป็นฟาร์มไก่เนื้อขนาดใหญ่แบบครบวงจร มีขนาดพื้นที่มากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ด้วยพื้นที่กว่า 40,000 ไร่ มีระบบการจัดการแบบต้นน้ำถึงปลายน้ำ มีฟาร์มปู่ย่าพันธุ์ พ่อแม่พันธุ์ เป็นของตัวเอง เพื่อการดูแลและควบคุมสายพันธุ์ให้ดีที่สุดเพื่อผู้บริโภคทั่วไป และผู้บริโภคชาวมุสลิม มีระบบคอมพาร์ทเม้นขนาดใหญ่ ควบคุมอุณหภูมิ แบบ Evaporative Cooling System ทำให้เราได้รับมาตรฐาน Animal welfare จากองค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ OIE เลี้ยงด้วยธัญพืชคุณภาพสูง และอาหารไก่สูตรที่เราพัฒนาและปรับปรุงเอง เลี้ยงด้วยน้ำสะอาดที่ผ่านกระบวนการพาสเจอร์ไรส์ เรามีสัตวบาลคอยดูแลไก่ทุกตัว ไก่ของเราจึงปลอดโรค และไม่ต้องฉีดยาปฏิชีวนะ ไม่มีสารเร่งโต ปลอดสารปนเปื้อน 

สหฟาร์มผลิตไก่กว่า 700,000 ตัว/วัน มีโรงงานแปรรูปขนาดใหญ่ที่มีกำลังการผลิตไก่เนื้อเพื่อการส่งออก มากกว่า 170,000 ตัน/ปี เพราะเรามีทั้งเครื่องจักรที่ทันสมัย และที่สำคัญเรามีผู้เชี่ยวชาญการตัดแต่งชิ้นส่วนไก่ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า ไม่ว่าลูกค้าจะอยากได้ชิ้นส่วนแบบไหน หรือต้องการความพิเศษแบบใด สหฟาร์มสามารถดูแลและจัดการให้ได้ อีกทั้งยังมีไก่ปรุงสุก โดยสหฟาร์มมีโรงงานอาหารสำเร็จรูปที่เป็นไก่ปรุงสุก สามารถผลิตได้กว่า 5,000 ตัน/เดือน ใช้เครื่องจักรที่ทันสมัยได้มาตรฐาน ทั้ง GMP/ HACCP/ Halal มีแล็บที่ได้มาตรฐานสำหรับตรวจสอบและควบคุมคุณภาพสินค้าด้วยตัวเอง ด้วยโรงงานขนาดใหญ่ จึงสามารถผลิตได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้ทันตามความต้องการของลูกค้า มี OEM ตามความต้องการของลูกค้า เพื่อการผลิตและจำหน่ายภายใต้แบรนด์ของลูกค้าเอง

อีกทั้งในปีนี้สหฟาร์ม ยังต้องการยกระดับปลาดุกไทย ขยายโอกาสสู่ตลาดโลก เพราะปลาดุก ถือว่าเป็นปลาเศรษฐกิจของไทย ที่คนนิยมทานกันหลากหลาย สหฟาร์มจึงอยากยกระดับปลาดุกไทยขึ้นไปอีก ด้วยการพัฒนาปลาดุกสายพันธุ์ของสหฟาร์มเอง ให้มีรสชาติดี เนื้อสัมผัสแน่น ชุ่มฉ่ำ ไม่มีกลิ่นคาว หนังหนา มีไขมันแทรกในเนื้อ ด้วยกรรมวิธีการเลี้ยงในบ่อดินแบบธรรมชาติ ที่ดูแลและใส่ใจในทุกขั้นตอน จะมีการถ่ายน้ำออกจากบ่อทุก 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้น้ำสะอาดและมีคุณภาพที่ดีอยู่เสมอ ขนาดของบ่อเลี้ยงปลา 1 ไร่ จะจำกัดปริมาณปลาเลี้ยงในปริมาณพอเหมาะ ไม่เกิน 20,000 ตัวต่อบ่อ เพื่อลดความแออัด และเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ทำให้ได้ปลาดุกที่มีคุณภาพ แข็งแรง

จนได้รับมาตรฐาน GAP จากกรมประมง (มาตรฐาน GAP คือใบรับรองการปฏิบัติทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดี สำหรับการผลิตสัตว์น้ำ) โดยมีวิธีการจัดการแบบพิเศษ เพื่อให้ปลาขับของเสีย ลดกลิ่นโคลน ลดกลิ่นคาว ทำให้สหฟาร์มได้ปลาดุกอนามัย ที่อร่อย เนื้อมีกลิ่นหอมเวลาย่าง ไม่มีกลิ่นสาบ กลิ่นโคลน และมีขนาดปลาให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ตัวละ 1.5-2 กิโลกรัม ซึ่งจะแบ่งปลาเป็น 2 ประเภท คือแบบหั่นชิ้น เหมาะเอาไว้สำหรับปรุงอาหาร ประเภท แกง ผัด และแบบแล่เนื้อ แบบนี้จะไม่มีก้าง จะได้เนื้อล้วนชิ้นใหญ่ เหมาะกับผู้ประกอบการที่ต้องการเพิ่มมูลค่าให้กับอาหาร โดยเฉพาะร้านอาหารญี่ปุ่น

นอกจากนี้ยังมีโชริ โชริ ผลิตภัณฑ์ไก่แปรรูปสำหรับเด็กแพ้อาหาร (Processed Chicken For child with food allergies) มานำเสนอ สหฟาร์มยังให้ความสำคัญกับข้อจำกัดสำหรับเด็กที่แพ้อาหาร จึงพัฒนาและคิดค้นไก่ปรุงสุก  ทั้งปีกกลางไก่อบซอส และปีกบนไก่อบซอส เพื่อเป็นทางเลือกให้สำหรับเด็กที่แพ้อาหาร ซึ่งปราศจากสารก่อภูมิแพ้หลักในอาหาร 8 ชนิดด้วยกัน อาทิ นม ไข่ ปลา อาหารทะเลเปลือกแข็ง ถั่วต่างๆ และแป้งสาลี รวมถึงไม่มีสารก่อให้เกิดภูมิแพ้ต่างๆ ทำให้โชริโชริ  จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีและถูกปากสำหรับเด็กๆ แน่นอน

อีกหนึ่งไฮไลท์ที่นำมาเปิดตัวในงานคือ พอลดีย์ ฟาร์มไก่อารมณ์ดี ยูริกต่ำ ทางเลือกของคนรักสุขภาพ

พอลดีย์ ฟาร์มไก่อารมณ์ดี ด้วยระบบคอมพาร์ทเม้นขนาดใหญ่ ควบคุมอุณหภูมิด้วยระบบ Evaporative System ทำให้ไก่รู้สึกเย็นสบาย มีพื้นที่กว้าง ทำให้ประชากรไก่ไม่แออัด ไก่มีอิสระที่จะวิ่งเล่น คุ้ยเขี่ยขอนไม้ กองฟาง เพื่อให้ไก่ได้ใช้สัญชาตญาณได้เต็มที่ นอกจากนี้ยังคัดเลือกแต่ธัญพืชคุณภาพสูง และพัฒนาอาหารไก่ให้มีประโยชน์ต่อไก่มากที่สุด บนพื้นฐาน Feed on Plant-Based Proteins และได้รับรองผ่านมาตรฐาน UFAS อีกด้วย มีระบบน้ำดื่มที่ผ่านการทรีทเม้นกรองโลหะหนักออกจากน้ำ อีกทั้งยังมีสัตวบาลคอยดูแลไก่ทุกตัว และเสริมสมุนไพรให้ไก่ได้จิกกิน ซึ่งทำให้ไก่พอลดีย์ ไม่มีสารเร่งโต ไม่ใช้ฮอร์โมน ไม่มียาปฏิชีวนะ มีการเปิดเพลงคลาสสิคให้ไก่ฟัง เพื่อให้ไก่ผ่อนคลาย จึงเป็นที่มาของไก่อารมณ์ดี ผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ว่าไก่ของพอลดีย์มีสุขภาพที่ดีแน่นอน รวมไปถึงพอลดีย์ยังมีมาตรฐานการรับรองจาก Farm First / Biosecurity Animal Welfare อีกด้วย ทำให้ไก่พอลดีย์ จึงเป็นไก่อนามัยที่สด สะอาด ลดการปนเปื้อน เนื้อนุ่ม ชุ่มฉ่ำ ไขมันแทรกในเนื้อน้อย หนังบาง และยูริกต่ำ เป็นวัตถุดิบชั้นดี และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่รักสุขภาพอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันตลาดใหญ่ของสหฟาร์มคือ ตลาด B2B ในต่างประเทศ ซึ่งเป็น ตลาดหลักของสหฟาร์มเกือบ 100% ในขณะที่ตลาดในประเทศก็มีความสำคัญมาก แต่มีรายใหญ่ที่ค่อนข้างแข็งแรงครองตลาดอยู่ การขยายกลับมาในตลาดในประเทศ ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่น่าสนใจ แต่ทั้งนี้ก็ยังเป็นแนวทางการดำเนินงานในอนาคตที่ต้องปรึกษากับบอร์ดผู้บริหารท่านอื่นๆ ทั้งนี้ไก่ไทย ถือว่าโดดเด่นในเวทีโลก ซึ่งปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมไก่เนื้อของไทย เติบโตต่อเนื่อง เนื่องมาจากปัจจัยหนุนด้านความต้องการทั้งจากตลาดในประเทศและตลาดส่งออกที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศคู่ค้า Middle East ที่ให้ความสนใจกับสหฟาร์มในขณะนี้ ทำให้ในปีนี้สหฟาร์มตั้งเป้ายอดส่งออกคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นอีกราว 10% ดร.จารุวรรณ กล่าวทิ้งท้าย

ส่งแคมเปญ "บิ๊กซี มหกรรมดึงราคา ผนึกกำลังถูกจริง" ลดต่อเนื่องตลอดปี 67 และลดยาวถึงปีหน้า

พร้อมแพ็คเกจทัวร์มูลค่า 200,000 บาท จำนวน 1 ที่นั่ง เท่านั้น

X

Right Click

No right click