

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต นำโดย คุณแซลลี่ โอฮาร่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แอกซ่า ภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ และประเทศเกาหลีใต้ (คนซ้าย) และ คุณบุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและภาพลักษณ์องค์กรและการสื่อสารองค์กร (คนขวา) ร่วมรณรงค์วันสากลยุติความเกลียดกลัวคนรักเพศเดียวกัน คนรักสองเพศ คนหลากหลายทางเพศ และคนข้ามเพศ (IDAHOBIT) เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมกันในที่ทำงาน พร้อมผลักดันให้มีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ทุกคนสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างอิสระ และไม่มีข้อจำกัด ผ่านกิจกรรม “IDAHOBIT ปลดปล่อยความเป็นตัวคุณบนพื้นที่ปลอดภัย” ภายใต้ธีมของปีนี้ คือ “Together Always: United in Diversity รวมกันเป็นหนึ่ง เพื่อความแตกต่างที่หลากหลาย” เพื่อเป็นการตอกย้ำว่าทุกคนมีสิทธิในการแสดงออกทางเพศของตนได้อย่างอิสระ โดยปราศจากความรุนแรงทางจิตใจหรือร่างกาย

โดยภายในงานได้รับเกียรติจาก คุณเขื่อน ภัทรดนัย เสตสุวรรณ นักร้อง และนักจิตบำบัดผู้เชี่ยวชาญด้านเพศสภาพ LGBTQ+ มาบอกเล่าประสบการณ์เชิงบวก ความรู้ทางจิตวิทยา รวมถึงทฤษฎีการรักษาสุขภาพทางใจ พร้อมวิธีรับมือกับและจัดการกับความรู้สึกของตนเองเมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายที่รออยู่ ทั้งนี้ กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ขอเป็นอีกหนึ่งองค์กรที่ร่วมเป็นกระบอกเสียง เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องของการเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน ภายใต้แนวคิด I&D (Inclusion and Diversity) ในการสนับสนุนให้ทุกคนเป็นตัวของตัวเองในที่ทำงาน (Be Yourself At Work) เพราะเราเชื่อว่า เมื่อทุกคน ได้เป็นตัวของตัวเอง ได้เป็นอิสระในสิ่งที่อยากเป็น จะส่งผลให้ทุกคนได้แสดงศักยภาพภายในของตัวเองได้อย่างเต็มที่ และพัฒนาองค์กรของเราให้เติบโตอย่างยั่งยืน บริษัทฯ พร้อมอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป
นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลประเทศไทย ลาว เมียนมา ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง กับ นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ในการยกระดับการใช้ระบบอัตโนมัติในการดำเนินธุรกิจ เพิ่มทักษะด้านเทคโนโลยีอัตโนมัติให้กับบุคลากร สนับสนุนอุปกรณ์ เครื่องมือ ผู้เชี่ยวชาญ และร่วมพัฒนาเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ รวมถึงระบบบริหารจัดการ/ประหยัดพลังงานต้นแบบ สำหรับกระบวนการต่างๆ ในฟาร์ม และโรงงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เพื่อช่วยให้องค์กรของลูกค้าสามารถขับเคลื่อนธุรกิจ พร้อมๆ กับการสร้างความยั่งยืน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จึงคิดค้นเทคโนโลยีดิจิทัลแบบเปิดที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกธุรกิจ และอุตสาหกรรม โดยมุ่งเน้นไปสู่การบรรลุเป้าหมายในการสร้างความยั่งยืน สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพในแบบเรียลไทม์ ลดกระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อน ลดต้นทุนด้านการซ่อมบำรุง และที่สำคัญช่วยให้สามารถใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลประเทศไทย ลาว เมียนมา เผยว่า “เรารู้สึกยินดีที่ได้รับความไว้วางใจจาก ซีพีเอฟ ในการร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยีอัตโนมัติด้านอุตสาหกรรมอาหาร โดยการลงนามบันทึกความร่วมมือในครั้งนี้ มุ่งเน้นในการยกระดับระบบอัตโนมัติของซีพีเอฟ ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับกระบวนการต่างๆ ทั้งในฟาร์ม และโรงงาน นอกจากนี้ เรายังมีความพร้อมในการถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านผู้เชี่ยวชาญของเรา ที่มีประสบการณ์จากทั่วโลก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน”
W9 Wellness Center เผยฝุ่นพิษ PM 2.5 ภัยเงียบสะสม คร่าชีวิตประชากรโลก 7 ล้านคนต่อปี พบประเทศไทยเผชิญฝุ่นพิษ อากาศแย่ติดอันดับ 5 ของเอเชีย และอันดับที่ 36 ของโลก ค่า PM 2.5 เฉลี่ย 23.3 ไมโครกรัม สูงกว่าค่าอากาศมาตรฐาน 4.7 เท่า WHO ชี้ค่า PM 2.5 อยู่ในกลุ่มฝุ่นพิษสารก่อมะเร็ง เป็นฉนวนกระตุ้นเกิดโรคภูมิแพ้ และโรคเรื้อรังไม่ติดต่อ (NCDs) โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว และผู้สูงอายุ เปิด 5 กลุ่มเสี่ยง รับพิษจากฝุ่นจิ๋วเข้าสู่ร่างกาย ชี้ 7 สัญญาณเตือนระดับสารพิษสะสมสูง แนะทริคป้องกัน-ดูแลสุขภาพเชิงเวลเนส รับมือปัญหามลภาวะฝุ่นพิษคุกคามจากสารพิษโลหะหนักทางอากาศขนาดเล็ก แนะทางเลือกเร่งการขับสารพิษ ป้องกันและลดการทำลายเซลล์ รวมทั้งเสริมเกราะภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรง
นายแพทย์พิจักษณ์ วงศ์วิศิษฎ์ แพทย์ผู้อำนวยการ W9 Wellness Center กล่าวว่า ปัจจุบันประชากรทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยกำลังเผชิญศึกหนักกับมลภาวะฝุ่นพิษ PM 2.5 สารโลหะขนาดเล็กที่ลอยปนเปื้อนในอากาศแทบจะครอบคลุมทุกพื้นที่ เป็นภัยเงียบร้ายแรง ข้อมูลจาก IQAir Global ผู้ติดตามคุณภาพอากาศทั่วโลกรายงานว่า PM 2.5 คร่าชีวิตประชากรโลกไปกว่า 7 ล้านคนต่อปี โดยพบว่าในปี 2567 คุณภาพอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แย่ลงกว่าปีที่ผ่านมา มีปริมาณฝุ่นพิษ PM 2.5 เพิ่มขึ้นกว่า 20% ขณะเดียวกันพบว่าประเทศไทย เป็นหนึ่งในเมืองที่มีคุณภาพอากาศแย่เป็นอันดับที่ 5 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นอันดับที่ 36 ของโลก ที่มีปริมาณฝุ่นพิษ PM2.5 พุ่งสูงเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ 23.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าค่าแนะนำคุณภาพอากาศของ WHO ถึง 4.7 เท่า
ทั้งนี้ ฝุ่นพิษ PM 2.5 คือภัยเงียบที่กระตุ้นการเกิดโรคร้าย โดยเฉพาะใน 5 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ 1. ผู้ที่สูบบุหรี่ ฝุ่น PM 2.5 เร่งการเกิดโรคถุงลมโป่งพอง และยังเป็นหนึ่งในสารก่อมะเร็งปอด โดยคนทั่วไปสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดได้มากถึง 1.4 เท่า แต่สำหรับคนที่สูบบุหรี่จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงขึ้นเป็น 2 เท่า 2. ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ จะมีความไวต่อการกระตุ้นจากฝุ่น PM 2.5 หรือสารก่อภูมิแพ้ ทำให้สมรรถภาพปอดลดลง และเกิดอาการหอบหืดกำเริบ 3. ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงหรือเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด จากงานวิจัยสรุปว่าฝุ่น PM 2.5 เพิ่มอัตราการเกิดโรคความดันโลหิตสูง ภาวะหลอดเลือดแข็ง ส่งผลให้หลอดเลือดตีบตัน ซึ่งทำให้เกิดอาการหัวใจขาดเลือด หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรืออัมพฤกษ์ อัมพาตได้ 4. ผู้ที่มีความเสี่ยงโรคมะเร็ง ฝุ่น PM 2.5 ถือเป็นสารก่อมะเร็งที่มีความร้ายแรง อาทิ โพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโครคาร์บอน และโลหะหนักบางชนิด ที่จะเข้าไปทำลาย DNA RNA ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์ เกิดเป็นเซลล์มะเร็ง และ 5. ผู้ที่ระบบภูมิต้านทานต่ำ หรือไม่สมบูรณ์ เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรหลีกเลี่ยงฝุ่นขนาดเล็ก ที่สามารถทำลายระบบภูมิคุ้มกันร่างกายได้โดยตรง ทำให้โอกาสติดเชื้อระบบทางเดินหายใจเพิ่มมากขึ้นได้

นายแพทย์พิจักษณ์ กล่าวเสริม “เมื่อมีสารพิษสะสมในร่างกายจำนวนมาก ร่างกายจะพยายามลดพิษในเลือดลง โดยการพยายามนำสารพิษออกจากระบบเลือด แล้วไปสะสมอยู่ในเนื้อเยื่ออื่นของร่างกายแทน เช่น เนื้อเยื่อไขมัน กระดูก หรือกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจไม่แสดงอาการของพิษเฉียบพลัน แต่ส่งผลในระยะยาว ทำให้เกิดอาการผิดปกติเรื้อรังโดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้ สามารถตรวจเช็คสัญญาณที่บ่งบอกอาการผิดปกติได้เบื้องต้นได้ด้วยตนเองจาก 7 อาการ ดังนี้ 1. มีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ไม่สดชื่น 2. นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท 3. มีความรู้สึกว่าสมองล้า คิดช้า โฟกัสงานไม่ค่อยดี ขี้ลืมมากขึ้น 4. ลดน้ำหนักยาก เนื่องจากโลหะหนักจะไปรบกวนระบบเผาผลาญ 5. ควบคุมอารมณ์ยากขึ้น 6. ป่วยติดเชื้อง่ายขึ้น ไอบ่อย เป็นหวัดบ่อย และ 7. เป็นผื่นแพ้ หรือลมพิษ บ่อยขึ้น”
สำหรับแนวทางป้องกันและรับมือกับฝุ่นพิษ PM 2.5 นอกเหนือจากคำแนะนำเบื้องต้น เช่น การลดกิจกรรมนอกบ้านในวันที่ฝุ่น PM 2.5 สูง หรือการใช้หน้ากากป้องกันฝุ่นแล้ว การดูแลสุขภาพเชิงเวลเนสที่เน้นป้องกันจากภายในสู่ภายนอกก็มีความสำคัญเช่นกัน ซึ่งประกอบด้วย 3 การดูแลสุขภาพหลัก ๆ ดังนี้


ดูแลสุขภาพเชิงเชิงเวลเนส พร้อมรับคำปรึกษา วางแผนการดูแลสุขภาพร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม หนึ่งทางเลือกที่ช่วยเสริมวิธีการข้างต้นมีให้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นกับ W9 และ W Ploenchit Wellness Center ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม https://w9wellness.com/th/
กรุงศรี โดย นายไพโรจน์ ชื่นครุฑ (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร และ ดร.วศิน อุดมรัชตวนิชย์ (ซ้าย) ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านทรัพยากรบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดย รองศาสตราจารย์ ดร.สมชาย สุภัทรกุล (ที่ 2 จากขวา) คณบดี และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อรพรรณ ยลระบิล (ขวา) รองคณบดีฝ่ายวิชาการและเครือข่ายพันธมิตร ลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาหลักสูตรและการเรียนรู้จากประสบการณ์การลงมือปฏิบัติจริงในโลกธุรกิจและนวัตกรรม โดยใช้ศักยภาพและความเชี่ยวชาญของทั้งสององค์กร ต่อยอดการพัฒนาผู้นำทางธุรกิจรุ่นใหม่ โดยพิธีลงนามจัดขึ้น ณ ห้อง Learning 5 ชั้น 5 อาคารริมน้ำ กรุงศรี พระรามที่ 3
เอสซีจีซี เร่งตรวจร่างกายทีมและผู้มีส่วนร่วมทั้งหมดที่ช่วยระงับเหตุเพลิงไหม้ถังจัดเก็บสารประกอบไฮโดรคาร์บอน C9+ ของบริษัทมาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด ทั้งนี้ ได้จัดให้มีการตรวจร่างกายอย่างละเอียดหลังเหตุการณ์สงบ โดยร่วมกับโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติฯ ระยอง โรงพยาบาลระยอง และโรงพยาบาลกรุงเทพระยอง เพื่อสร้างความมั่นใจด้านสุขภาพภายหลังการระงับเหตุฯ เบื้องต้นพบว่าผลตรวจร่างกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ
นายมงคล เฮงโรจนโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ SCGC กล่าวว่า “การระงับเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกภาคส่วน ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กร และหน่วยงานท้องถิ่นต่าง ๆ โดยได้รับการสนับสนุนและช่วยเหลือในทุก ๆ ด้านเป็นอย่างดี ขอขอบคุณทีมและผู้มีส่วนร่วมทั้งหมด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สามารถระงับเหตุโดยเร่งด่วน ทำให้เหตุการณ์สงบลงได้ในระยะเวลาอันสั้น”

สำหรับทีมและผู้มีส่วนร่วมในการระงับเหตุทั้งหมด บริษัทฯ ได้เร่งจัดตรวจสุขภาพอย่างละเอียด โดยร่วมกับโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติฯ ระยอง โรงพยาบาลระยอง และโรงพยาบาลกรุงเทพระยอง ซึ่งขณะนี้ได้ทยอยมารับการตรวจสุขภาพแล้ว ในเบื้องต้นพบว่าผลตรวจร่างกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ ทั้งนี้ มีผู้เข้ารับการตรวจร่างกาย รวม 360 คน ประกอบด้วยทีมระงับเหตุฉุกเฉินจากกลุ่มสมาชิก EMAG (Emergency Mutual Aid Group) ทีมระงับเหตุจากบริษัทพันธมิตรในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ทีมเจ้าหน้าที่ดับเพลิงจากเทศบาลเมืองมาบตาพุด และทีมระงับเหตุจากบริษัทในกลุ่มธุรกิจ SCGC
นายวรปัชญ์ พ้องพงษ์ศรี รองผู้ว่าการฝ่ายกฎหมาย การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม เป็นประธานในกิจกรรมการให้ความรู้และฝึกซ้อมการป้องกันและระงับอัคคีภัย และกิจกรรมการสร้างชุมชนเครือข่ายเป็นมิตรกับทางพิเศษในเขตทางพิเศษศรีรัช ประจำปี 2567 ณ สวนหย่อมและลานกีฬาซอยอยู่ดี เขตสาทร กรุงเทพมหานคร

นายวรปัชญ์ พ้องพงษ์ศรี รองผู้ว่าการฝ่ายกฎหมาย กทพ. กล่าวว่า นอกจากภารกิจหลักในการให้บริการทางพิเศษ เพื่ออำนวยความสะดวกรวดเร็วในการเดินทางของประชาชนรวมถึงการขนส่ง และเป็นทางเลือกกในการเดินทางของพี่น้องประชาชนแล้ว กทพ. ยังได้ตระหนักถึงความสำคัญของคุณภาพชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะชุมชนรอบเขตทางพิเศษ จึงได้มีการจัดกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์มาโดยตลอด ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญอีกภารกิจหนึ่ง การจัดกิจกรรมการให้ความรู้การป้องกันและระงับอัคคีภัย และกิจกรรมการสร้างชุมชนเครือข่ายเป็นมิตรกับทางพิเศษในเขตทางพิเศษศรีรัชในวันนี้ นับเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมความสัมพันธ์นดีให้เกิดขึ้นระหว่าง กทพ. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชุมชนรอบเขตทางพิเศษ โดยในวันนี้ ได้รับความร่วมมือจาก สำนักงานเขตสาทร ชุมชนกิ่งจันทน์ ชุมชนกุศลทอง ชุมชนดอนกุศลร่วมใจ ชุมชนพัฒนาวรพจน์ ชุมชนจันทน์ร่ำรวย โรงเรียนวัดดอน และโรงเรียนวัดยานนาวา เข้าร่วมกิจกรรม โดยในวันนี้ ได้มีการให้ความรู้วิธีการดับเพลิง การฝึกซ้อมขั้นตอนอพยพ กรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การช่วยฟื้นคืนชีพ (First Aid & CPR) ให้กับชาวชุมชนรอบเขตทางพิเศษ ในการป้องกันและระงับอัคคีภัยรวมถึงให้ความช่วยเหลือในกรณีเกิดอัคคีภัย ในการนี้ กทพ. ได้มอบถังดับเพลิงเพื่อมอบให้กับชุมชนกิ่งจันทน์ ชุมชนกุศลทอง ชุมชนดอนกุศลร่วมใจ ชุมชนพัฒนาวรพจน์และ ชุมชนจันทน์ร่ำรวย ชุมชนละจำนวน 5 ถัง พร้อมทั้งได้มอบอุปกรณ์กีฬา อุปกรณ์การเรียน และถังดับเพลิง ให้กับโรงเรียนวัดดอน และโรงเรียนวัดยานนาวา โรงเรียนละจำนวน 5 ถัง อีกด้วย

“การทางพิเศษฯ ได้ทำการฝึกซ้อมการป้องกันและระงับอัคคีภัยใต้ทางพิเศษ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และหน่วยงานใกล้เคียง ในการรองรับหากเกิดอัคคีภัยใต้ทางพิเศษ หรือในชุมชนใกล้เคียง แสดงให้เห็นว่าการทางพิเศษฯ กับชุมชนรอบเขตทางพิเศษมีความร่วมมือที่ดีต่อกัน ผมหวังว่ากิจกรรมในวันนี้จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างการทางพิเศษฯ และชุมชนรอบเขตทางพิเศษ ก่อให้เกิดความเข้าใจที่ดีและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ลดพื้นที่เสี่ยงเพื่อให้ชุมชนช่วยกันดูแลพื้นที่รอบเขตทางพิเศษ โดยการทางพิเศษฯ จะจัดกิจกรรมดี ๆ อย่างนี้ต่อไป” นายวรปัชญ์ ฯ กล่าวในท้ายที่สุด