

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ร่วมฉลองการเปิดตัวของ The EM District อย่างเต็มรูปแบบ ด้วย 2 แคมเปญที่มอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรเครดิต ttb เมื่อจับจ่ายที่ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ และเอ็มสเฟียร์ ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2566 – 21 มกราคม 2567 ดังนี้
แคมเปญ 7 Days Countdown : เมื่อมียอดใช้จ่ายสะสมครบ 19,000 บาทขึ้นไปในหมวดช้อปปิ้ง และรวม ยอดใช้จ่ายสะสมครบ 1,000 บาทขึ้นไปในหมวดร้านอาหาร ระหว่างวันที่ 25 ธันวาคม 2566 – 31 ธันวาคม 2566 รับบัตรกำนัลศูนย์การค้า มูลค่า 4,800 บาท รับสิทธิ์ด้วยการนำบัตรประชาชนและบัตรเครดิตที่มีชื่อสกุลตรงกัน ณ EM Privilege Counter ชั้น M ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์ จำกัด 1 สิทธิ์ / หมายเลขบัตรตลอดรายการ และจำกัดรวม 50 สิทธิ์ตลอดรายการ
แคมเปญ Mission Possible : เมื่อใช้จ่ายที่ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ และเอ็มสเฟียร์ ระหว่างวันที่ 11 มกราคม 2567 - 21 มกราคม 2567 ช้อปครบตามเงื่อนไข
จำกัด 1 สิทธิ์ / หมายเลขบัตร / วัน และจำกัดรับบัตรกำนัล สูงสุด 6,000 บาท จำกัดรวม 50 สิทธิ์ตลอดรายการรับบัตรกำนัลโดยนำเซลล์สลิปพร้อมบัตรเครดิต ลงทะเบียน ณ EM Privilege Counter ชั้น M ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์
SCB WEALTH ผนึก 4 พันธมิตรทางธุรกิจเปิดมุมมองวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2567 ด้านKTAM คาดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ น่าจะลดลงช่วงครึ่งหลังของปี 2567 การลงทุนในหุ้น คาดว่าจะให้ผลตอบแทน 5-10% ตลาดจะผันผวนมากขึ้น ก่อนจะค่อยๆ ดีขึ้นในช่วงปลายปี InnovestX มองเป็นปีแห่งความไม่แน่นอน จับตา 3 เศรษฐกิจ 2 สงคราม 2 เลือกตั้ง บล.ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ แนะควรมีหุ้น 7 นางฟ้า อยู่ในพอร์ต หุ้นกลุ่มนี้มีเงินสดในมือมาก มีต้นทุนทางการเงินต่ำ มีโอกาสทำผลการดำเนินงานโดดเด่นกว่าตลาด ส่วนอินเดีย และ ญี่ปุ่น ก็มีความน่าสนใจ และบลจ.ไทยพาณิชย์มอง ช่วง Fed เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย แนะลงทุนตราสารหนี้ระยะยาว เลือกตราสารหนี้ที่มีคุณภาพสูง ส่วนการลงทุนในหุ้น เลือกหุ้นเติบโตจะทำผลงานชนะหุ้นคุณค่าได้
SCB WEALTH จัดเสวนาในหัวข้อ ‘Economic & Investment Outlook 2024 ตามล่าโอกาสการลงทุน ยุคดอกเบี้ยสูง พร้อมรับมือสงครามหลายรูปแบบ’ เพื่อเปิดมุมมองวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุน ในปี 2567โดยได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและการลงทุนจากสถาบันการเงินชั้นนำระดับประเทศและระดับโลกมาร่วมเสวนา โดยมี ดร.สมชัย อมรธรรม (ที่ 3 ขวา) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนและลูกค้าสัมพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย, คุณอิทธิพล ประสงค์ทรัพย์ (ที่2 ขวา) ที่ปรึกษาด้านการลงทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด, ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ (ที่1ขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด คุณวโรฤทธิ์ จีระชน (ที่1 ซ้าย) Head of Investment Research บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด และ ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ (ที่2 ซ้าย) ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ ณ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ เมื่อเร็วๆนี้
ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในปี 2567 SCB CIO มีมุมมองเศรษฐกิจโลกน่าจะชะลอตัวลง แต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจในแต่ละประเทศจะไม่เหมือนกัน (Uneven slowdown) ส่วนดอกเบี้ย มองว่าจะอยู่ระดับสูงนาน และคาดว่าจะเห็น Fed เริ่มลดดอกเบี้ยช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 สำหรับ ความเสี่ยงที่นักลงทุนควรติดตาม ได้แก่ 1) ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโตช้าแต่เงินเฟ้อสูง (Stagflation) 2) ความเสี่ยงจากการที่ภาคธุรกิจมีหนี้ใกล้ครบกำหนดจำนวนมาก มีความเสี่ยงที่จะต้องกู้ยืมใหม่ (Rollover risk) ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมาก และ 3) ความไม่แน่นอนด้านการเมืองและนโยบาย จากการเลือกตั้งในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ ที่อาจนำมาสู่ความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบาย รวมถึงความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ได้ ด้วยภาวะเช่นนี้ SCB CIO จึงแนะนำการลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพสูง ได้แก่ หุ้นกู้ Investment Grade การลงทุนในหุ้น แนะนำทยอยสะสมหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย และไทย ที่เป็นกลุ่ม Quality Growth มีกำไรเติบโตสม่ำเสมอ มีงบดุลที่แข็งแกร่ง
ดร.สมชัย อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนและลูกค้าสัมพันธ์ บบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) (บลจ.) ริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) กรุงไทย กล่าวว่า ปัจจัยเรื่องอัตราดอกเบี้ยจะมีผลกระทบต่อการลงทุนมากขึ้น โดยตลาดเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ จะไม่ปรับขึ้นแล้ว และมองว่าจะเริ่มปรับลดลงในเดือน พ.ค. 2567 (ข้อมูลประมาณการ ณ วันที่ 27 พ.ย. 2566) แต่เรา มองว่า อาจเร็วเกินไป อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ น่าจะลดลงช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ขณะที่รูปแบบการลดดอกเบี้ยมีความสำคัญค่อนข้างมาก หากเศรษฐกิจค่อยๆ ชะลอตัว อัตราดอกเบี้ยลดลงค่อยเป็นค่อยไป ก็ไม่น่าเป็นกังวล การลงทุนในหุ้นน่าจะยังมีโอกาสปรับขึ้นได้อยู่ แต่ถ้าเศรษฐกิจโลกชะลอตัวเร็ว ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยปรับลดลงเร็ว อาจทำให้การลงทุนผันผวน ตลาดหุ้นปรับตัวลงแรงได้
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจ มองว่า ความกังวลเกี่ยวกับการเกิดเศรษฐกิจถดถอย (recession) ยังไม่หายไป โดยในส่วนของสหรัฐฯ ความต้องการผู้บริโภคมีแนวโน้มชะลอตัวลง เริ่มมีตัวเลขที่เกี่ยวข้องติดลบ และเศรษฐกิจยังมีความเสี่ยงอยู่ จากการชะลอการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่ ประเด็นการเมือง ในปี 2567 เป็นอีกเรื่องที่ต้องติดตาม เพราะจะมีการเลือกตั้งในหลายพื้นที่สำคัญ ได้แก่ ไต้หวัน อินโดนีเซีย อินเดีย และสหรัฐฯ โดยในสหรัฐฯ จากสถิติพบว่า ช่วงที่มีการเลือกตั้ง 15 ครั้ง ส่วนใหญ่ตลาดหุ้นจะปรับตัวเป็นบวก มีเพียง 2 ครั้ง ที่ติดลบ คือช่วง ปี ค.ศ. 2000 และวิกฤตแฮมเบอเกอร์ ในปี ค.ศ. 2008
โดยรวมมองว่า การจัดพอร์ตต้องเน้นความสมดุลมากขึ้นระหว่างการลงทุนในตราสารหนี้และหุ้น โดยในส่วนของตราสารหนี้ เน้นลงทุนเพื่อคาดหวังกระแสเงินสด ส่วนหุ้น เรามองว่ายังมีโอกาสสำหรับการลงทุนระยะยาว ยกเว้นกรณีที่ดอกเบี้ยปรับลดลงแรง ซึ่งในปี 2566 เราคาดว่าตลาดหุ้นโลกจะให้ผลตอบแทนประมาณ 15% ส่วนปี 2567 คาดว่าจะให้ผลตอบแทน 5-10% ซึ่งผลตอบแทนยังเป็นบวกอยู่ แต่ตลาดจะผันผวนมากขึ้น ก่อนจะค่อยๆ ดีขึ้นในช่วงปลายปี
ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า ปี 2567 จะเป็นปีแห่งความไม่แน่นอน มีประเด็นสำคัญที่มีผลต่อการลงทุนที่ต้องจับตา คือ “3 เศรษฐกิจ 2 สงคราม 2 เลือกตั้ง” โดย 3 เศรษฐกิจ ได้แก่ สหรัฐฯ จีน และไทย โดยเรามองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเผชิญภาวะถดถอยเล็กน้อยช่วงครึ่งปีหลัง แต่ภาพรวมทั้งปี 2567 จะเป็นบวกเล็กน้อย ส่วนเศรษฐกิจจีน มีโอกาสปรับตัวดีขึ้นจากปี 2566 ได้ ขณะที่ เศรษฐกิจไทย ต้องติดตามมาตรการดิจิทัล วอลเล็ต ว่าจะออกมาได้หรือไม่ เพราะจะมีผลกระตุ้นการบริโภค มีผลต่อตัวเลขเศรษฐกิจ รวมทั้งติดตามการดำเนินการอื่นๆ ของรัฐบาล เช่น การสร้าง Soft Power และการดึงนักลงทุนต่างชาติ
ส่วน 2 สงคราม คือ สงครามอิสราเอล-ฮามาส ที่เริ่มเห็นภาพการเจรจากันมากขึ้น โดยเราคาดว่าสงครามน่าจะจบได้ในไตรมาสแรกของปี 2567 ซึ่งไม่ใช่การยุติ แต่เป็นในลักษณะที่ไม่มีพัฒนาการใหม่ๆ และสงครามรัสเซีย-ยูเครน เพราะ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ท้าชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่สนับสนุนงบให้ยูเครน หากทรัมป์ มีคะแนนนิยมมากขึ้น อาจทำให้ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ต้องเร่งผลักดันให้เกิดการเจรจาเพื่อให้สงครามจบ
ขณะที่ 2 การเลือกตั้ง คือ การเลือกตั้งในไต้หวัน ซึ่งมีแนวโน้มที่พรรคที่ไม่ได้ต่อต้านจีนจะได้รับเลือกตั้ง ทำให้ความเสี่ยงของสงครามมีไม่มาก และการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ระหว่าง ทรัมป์ และไบเดน หากทรัมป์ ได้รับเลือก แม้จะดีต่อประเด็นสงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่จะสร้างความเสี่ยงต่อโลกด้านอื่น เช่น ด้านการดำเนินการตามเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก เพราะทรัมป์ ไม่สนับสนุนพลังงานหมุนเวียน อีกทั้ง สงครามการค้ากลับมา และทรัมป์ยังเข้าข้างอิสราเอล ซาอุดิอารเบีย แต่แบนอิหร่าน ดังนั้นอาจมีความรุนแรงมากขึ้นในตะวันออกกลางได้ ขณะเดียวกัน ทรัมป์ เน้นลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ อาจกระทบหุ้นเกี่ยวกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในสหรัฐฯ ส่วนตราสารหนี้ มีโอกาสที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (bond yield) จะเด้งขึ้นได้ หากนักลงทุนไม่เชื่อมั่นการดำเนินงานของทรัมป์
คุณอิทธิพล ประสงค์ทรัพย์ ที่ปรึกษาด้านการลงทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด กล่าวว่า ในปี 2567 น่าจะเป็นปีที่ดีกับการลงทุนทั้งตราสารหนี้และหุ้น ประเด็นความกังวลเรื่องเงินเฟ้อจะเบาบางลง เศรษฐกิจคงจะชะลอตัว ส่วนการขึ้นดอกเบี้ยก็คงจะไม่เกิดขึ้นอีก แต่จะเป็นการคงดอกเบี้ยไว้ ขณะที่ การลดดอกเบี้ย คาดว่าจะเกิดขึ้น 3 ครั้ง เริ่มต้นในเดือน พ.ค. 2567 เป็นการลดอย่างช้าๆ ซึ่งปัจจัยเรื่องดอกเบี้ยเป็นสิ่งที่ต้องติดตาม เพราะกระทบการลงทุนได้ ในกรณีที่ไม่เกิดเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง เราเชื่อว่า ความจำเป็นที่จะต้องปรับลดดอกเบี้ยเร็วคงไม่มี
ในสภาวะนี้ เราแนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ และหุ้นที่ได้ประโยชน์ในช่วงดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว เรามองว่า การลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวมีโอกาสขาดทุนน้อยมาก โดยกรณีที่ลงทุนในหุ้นกู้คุณภาพสูง อยู่ในระดับลงทุนได้ (Investment Grade) ก็มีโอกาสรับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยรับค่อนข้างสูง และยังมีโอกาสได้ผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาด้วย ขณะที่ ความเสี่ยงของเศรษฐกิจชะลอตัวยังมีอยู่ จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงสูง (High Yield)
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น เรามองว่า ควรมีหุ้น 7 นางฟ้า หรือหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 7 บริษัท ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในพอร์ต เนื่องจากกลุ่มนี้ยังมีการเติบโตที่ดีมีคุณภาพ (Quality Growth) ได้ประโยชน์จากกระแสการตื่นตัวและลงทุนด้าน A.I. นอกจากนี้ยังมีเงินสดในมือมาก มีต้นทุนทางการเงินต่ำ หากเศรษฐกิจไม่แย่มาก กลุ่มนี้ก็มีโอกาสทำผลการดำเนินงานโดดเด่นกว่าตลาด ส่วนตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ตลาดหุ้นจีนยังมีปัญหาด้านโครงสร้างและเศรษฐกิจทำให้ตลาดหุ้นอื่นเช่นอินเดียยังมีความน่าสนใจมากกว่าจากพื้นฐานเศรษฐกิจที่ยังมีการเติบโต และยังมีตลาดหุ้นญี่ปุ่น ที่น่าสนใจ เพราะมีเงินลงทุนไหลเข้าไปอย่างต่อเนื่อง จากการปฏิรูปโครงสร้างธรรมาภิบาล มีโครงการซื้อหุ้นคืน สนับสนุนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROEs) และสินทรัพย์นอกตลาด (Private Asset) ที่น่าจะเริ่มกลับมาดีขึ้นในปี 2567 หากไม่มีเศรษฐกิจถดถอยเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้การระดมทุนนอกตลาดกลับมาเพิ่มขึ้น
คุณวโรฤทธิ์ จีระชน Head of Investment Research บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะค่อยๆ ลดดอกเบี้ยนโยบายปลายปี 2567 เศรษฐกิจทั่วโลกน่าจะชะลอตัวลงอย่างช้าๆ ส่วนความเสี่ยงที่เริ่มเพิ่มขึ้น ได้แก่ เริ่มเห็นผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ช่วงที่ผ่านมา ทำให้รายจ่ายดอกเบี้ยของบริษัทสหรัฐฯเพิ่มขึ้น โดยบริษัทที่มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนสูง ความสามารถทำกำไรต่ำ จะได้รับผลกระทบก่อน ขณะที่ประเด็นความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว จากความกังวลเรื่องการบริหารจัดการสินทรัพย์และหนี้สิน เป็นสิ่งที่ต้องติดตามใกล้ชิด
ทั้งนี้ ในช่วงที่ Fed เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย จะทำให้ตราสารหนี้ระยะยาวได้ประโยชน์มากกว่าตราสารหนี้ระยะสั้น จาก yield ที่มีแนวโน้มปรับลดลง โดยก่อนการลดดอกเบี้ย เป็นช่วงที่ควรเข้าสะสมตราสารหนี้ระยะยาว เพื่อรอรับประโยชน์จาก yield ที่ลดลงในอนาคต รวมทั้งควรเลือกตราสารหนี้คุณภาพสูง ที่ให้อัตราดอกเบี้ยในระดับสูง และมีความสามารถบริหารความเสี่ยงจัดการสินทรัพย์และหนี้สินได้ดี ส่วนการลงทุนในหุ้นช่วงที่ Fed ลดดอกเบี้ย หุ้นเติบโตจะทำผลงานชนะหุ้นคุณค่าได้
นายยูเซฟ อิล คัมริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ที่ 2 จากซ้าย) และนางสาววรมน อิงคตานุวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่การเงิน (ที่ 1 จากซ้าย) บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ลงทุนและพัฒนาธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น ประกอบธุรกิจโรงแรมด้วยมาตรฐานระดับสากลครอบคลุมตั้งแต่โรงแรมระดับ 5 ดาว จนถึงโรงแรมระดับบัดเจ็ท ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ นายอรรถพงศ์ สถิตมโนธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ที่ 3 จากซ้าย) และนายอภิเชษฐ นุ้ยตูม รองประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ (ที่ 4 จากซ้าย) บริษัท เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ จำกัด ผู้ให้บริการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบครบวงจรกับกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม โรงแรม โรงพยาบาล และห้างสรรพสินค้า เพื่อนำเทคโนโลยีด้านพลังงานไฟฟ้าระบบ Smart Energy มาใช้ในโรงแรมและรีสอร์ตในเครือ “ดิ เอราวัณ กรุ๊ป” ยกระดับการใช้พลังงานหมุนเวียนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรม
ภายใต้ความร่วมมือนี้ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป และเอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ จะร่วมกันศึกษาและวางแผนการใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยเทคโนโลยีระบบเครือข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ที่บริหารจัดการด้วย SCG Cleanergy Platform เพื่อนำมาใช้ภายในโรงแรมและรีสอร์ตในเครือ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ทั้งยังวางแผนเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ และสอดคล้องต่อเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Emission ที่ประเทศไทยได้ให้คำมั่นไว้ว่าจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวภายในปี ค.ศ. 2065
ความร่วมมือด้านพลังงานสะอาดนี้ เป็นก้าวที่สำคัญของแผนการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ในการเป็นผู้ลงทุนและพัฒนาธุรกิจโรงแรม ด้วยมาตรฐานการให้บริการระดับสากล ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างมืออาชีพ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
การวางแผน “ภาษี” เป็นเรื่องใกล้ตัวที่คนวัยทำงานต้องไม่ลืม เมื่อใกล้สิ้นปีแล้ว! ควรรีบคำนวณรายได้ปี 2566 ว่าต้องเสียภาษีเท่าไหร่ และควรใช้ตัวช่วยอะไรมาลดหย่อนภาษีให้ได้คุ้มค่า สำหรับใครที่นิยมซื้อกองทุน อย่าลืมว่านอกจาก SSF และ RMF ตัวช่วยที่คุ้ม 2 ต่อ ทั้งลดหย่อนค่าภาษีเซฟเงินในกระเป๋า และต่อยอดเงินลงทุนแล้ว ในปีนี้ยังมีตัวช่วยใหม่เพื่อการลดหย่อนภาษีอย่างยั่งยืนกองทุน “ThaiESG” เพิ่มมาอีกด้วย
วันนี้ fintips by ttb #เรื่องเงินที่รู้จริงแบบเพื่อนที่รู้ใจ จะชวนมาทำความรู้จักกองทุนใหม่ ThaiESG พร้อมวิธีช่วยคำนวณในการซื้อกองทุนต่าง ๆ เพื่อลดหย่อนภาษีปลายปีกัน
รู้จักกองทุน ThaiESG
กองทุน ThaiESG หรือ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund) มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์ไทยที่เป็น ESG ประกอบด้วย ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) เป็นกองทุนลดหย่อนภาษีเช่นเดียวกับ SSF และ RMF แต่มีเงื่อนไขแตกต่างกัน โดยการลงทุนในกองทุน ThaiESG จะต้องลงทุนระยะยาว 8 ปีเต็มนับจากวันที่ซื้อ หรือ 10 ปีปฏิทิน ซื้อปีไหน ลดหย่อนได้ปีนั้น และไม่จำเป็นต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี สามารถลดหย่อนภาษีไม่เกิน 30% ของเงินได้ สูงสุด 100,000 บาท ซึ่งจะเป็นการแยกวงเงินออกจากกองทุน SSF และ RMF
ในขณะที่กองทุน SSF ลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท และกองทุน RMF ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท แต่เมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน ประกันชีวิตบำนาญแล้ว ต้องรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท
พูดง่าย ๆ ก็คือ จะสามารถใช้ กองทุน ThaiESG ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท และเมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ จะสามารถลดหย่อนได้สูงสุด 600,000 บาท

คำนวณดี ๆ รายได้เท่านี้ ควรซื้อกองทุนเท่าไหร่?
STEP 1 : คำนวณหาเงินได้สุทธิ
อันดับแรกต้องคำนวณหาเงินได้สุทธิเพื่อนำมาใช้ในการคำนวณภาษีก่อน โดยคำนวณจากการนำเงินได้ทั้งปี 2566 มารวมกัน แล้วหักด้วยค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อน
รายได้ทั้งปี - ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ
หากมีเงินเดือน 100,000 บาท รวมรายได้ทั้งปี 1,200,000 บาท จะสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท หักค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท และค่าลดหย่อนประกันสังคม 9,000 บาท เมื่อคิดเงินได้สุทธิแล้วจะอยู่ที่ 1,031,000 บาท

STEP 2 : คำนวณภาษีที่ต้องจ่าย
หลังจากคำนวณเงินได้สุทธิแล้วให้นำมาเทียบกับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบขั้นบันได โดยนำเงินได้สุทธิคูณกับอัตราภาษีแต่ละขั้น เพื่อหาว่าต้องจ่ายภาษีท่าไหร่
[(เงินได้สุทธิ - เงินได้สุทธิสูงสุดของขั้นก่อนหน้า) x อัตราภาษี ]
+ ภาษีสะสมสูงสุดของขั้นก่อนหน้า = ภาษีที่ต้องจ่าย
จากจำนวนเงินได้สุทธิ 1,031,000 บาท จะอยู่ระหว่างฐาน 1,000,001 - 2,000,000 บาท อัตราภาษี 25% ทำให้จะต้องเสียภาษี (1,031,000 - 1,000,000) x 25% + 115,000 เท่ากับภาษีที่ต้องจ่าย 122,750 บาท

STEP 3 : คำนวณเงินที่ควรซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี
หากต้องการเปลี่ยนเงินที่ต้องจ่ายภาษีมาเป็นเงินออมไว้ใช้ในอนาคต สามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมลดหย่อนภาษีอย่าง SSF RMF และ ThaiESG ได้ ซึ่งจะคำนวณจาก
เงินได้สุทธิ – เงินได้สุทธิที่ได้รับการยกเว้น = เงินที่ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีได้สูงสุด
ดังนั้น จำนวนเงินที่สามารถนำไปซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีให้พอดี จะคิดจากเงินได้สุทธิ 1,031,000 บาท หักเงินได้สุทธิที่ได้รับการยกเว้น 150,000 บาท จะได้เท่ากับ 881,000 บาท แต่เนื่องจากเงื่อนไขของกองทุน SSF และ RMF ซื้อได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ และรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท ดังนั้น เมื่อรวมกับกองทุน ThaiESG อีก 100,000 บาท จะเท่ากับว่าสามารถซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีได้ทั้งหมด 600,000 บาทเท่านั้น

แล้วควรซื้อกองทุนไหนดี จำนวนเท่าไหร่บ้างนั้น ก็ให้ดูตามความเหมาะสม ได้แก่ เป้าหมายการลงทุนและความเสี่ยงที่รับได้ เช่น หากต้องการลงทุนระยะยาว 10 ปี ก็สามารถลงน้ำหนักไปที่กองทุน SSF จำนวน 200,000 บาท และกองทุน RMF อีก 300,000 บาท หรือหากต้องการลงทุนเพื่อเกษียณอายุก็สามารถลงน้ำหนักไปที่กองทุน RMF จำนวน 360,000 บาท แล้วที่เหลืออีก 140,000 บาท จึงนำไปซื้อ SSF ก็ได้เช่นกัน
สรุป หากซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี 600,000 บาท จะทำให้เหลือเงินได้สุทธิ (1,031,000 – 600,000) เท่ากับ 431,000 บาท ซึ่งจากเดิมจะเสียภาษีฐาน 25% มาเหลือเพียงฐาน 10% เท่านั้น และเมื่อคำนวณภาษีใหม่ จะเสียภาษี (431,000 - 300,000) x 10% + 7,500 เท่ากับ 20,600 บาท ซึ่งประหยัดได้ถึง 102,150 บาท เลยทีเดียว

จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นได้ว่าหากไม่มีตัวช่วยลดหย่อนภาษี จะทำให้มนุษย์เงินเดือนเสียภาษีหลักพันไปจนถึงหลักแสน แต่ถ้าย้ายเงินไปลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี นอกจากจะช่วยเซฟเงินในกระเป๋าแล้ว ยังช่วยสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีอีกด้วย
หากยังเลือกไม่ได้ ไม่รู้จะซื้อกองทุนไหนดี ทีทีบีคัดกองทุนลดหย่อนภาษีเด่น สร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี พร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีมาให้แล้ว โดยมีให้เลือกหลากหลายทั้ง SSF และ RMF กับกองเด่นลดหย่อนภาษี ปี 2566 และยังมีกองทุน ThaiESG ตัวใหม่เพื่อการลดหย่อนภาษีอย่างยั่งยืน ที่คัดมาให้แล้ว คลิกดูรายละเอียดได้ที่ https://www.ttbbank.com/th/personal-invest
มาวางแผนลดหย่อนภาษีกันแต่เนิ่น ๆ ไปกับ “fintips by ttb” เรื่องเงินที่รู้จริงแบบเพื่อนที่รู้ใจ เพื่อการเงินที่ดีขึ้นกัน!
เอสซีจี มอบทุนการศึกษาในโครงการ Sharing the Dream ประจำปี 2566 ให้กับนักเรียนมัธยมตอนปลาย และนักศึกษาระดับปริญญาตรีกว่า 4,000 คน ในประเทศไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และสปป. ลาว มุ่งสนับสนุนเยาวชนที่ตั้งใจเรียน ความประพฤติดี และมีจิตอาสา เป็นทุนที่ไม่มีภาระผูกพัน ซึ่งเอสซีจีดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ตามกลยุทธ์ ESG 4 Plus โดยมุ่งหวังให้เยาวชนใช้ความรู้ในการเลี้ยงดูตนเอง ครอบครัว และเป็นประโยชน์ต่อสังคม

เอสซีจี เชื่อว่าการสนับสนุนการศึกษา ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาสังคมได้ในระยะยาว ซึ่ง SCG ได้ร่วมกับหน่วยงานทางการศึกษาแต่ละประเทศ ดำเนินการมอบทุนการศึกษาในโครงการ Sharing the Dream ให้กับนักเรียนทั่วภูมิภาคอาเซียนมาแล้วกว่า 50 ปี ปัจจุบันมีเยาวชนที่จบการศึกษาแล้วประกอบอาชีพต่าง ๆ อาทิ แพทย์ วิศวกร ครู สถาปนิก นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ นักโฆษณา และอื่น ๆ อีกมากมาย ถือเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาสังคม และประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าต่อไปในอนาคต

สำหรับกลยุทธ์ ESG 4 Plus ของเอสซีจีเป็นแนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย 1. มุ่ง Net Zero 2. GO Green 3. Lean เหลื่อมล้ำ และ 4. ย้ำร่วมมือ โดยยึดหลักความเชื่อมั่นและโปร่งใส เป็นหัวใจในการดำเนินธุรกิจ เพื่อส่งมอบโลกที่น่าอยู่และยั่งยืนให้คนรุ่นต่อไป
ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มั่นใจมาถูกทางกับการสร้างโซลูชันทางการเงินเพื่อคนรักบ้าน หลังยอดสมัครบัตรเครดิต ttb Global House เติบโตทะลุเป้าที่ตั้งไว้เกือบเท่าตัว ตอกย้ำการขับเคลื่อนธุรกิจที่มุ่งสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นรอบด้านให้กับคนไทย มั่นใจสามารถบรรลุเป้าหมายการขึ้นเป็น Top 4 ผู้นำตลาดบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลได้ภายใน 3 ปี
จากที่ ทีทีบี มุ่งมั่นขับเคลื่อนพันธกิจให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น ผ่านกลยุทธ์หลัก Ecosystem Play ต่อยอดจุดแข็งของผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าสู่โซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์สำหรับลูกค้า หลังจากเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทีทีบีได้จับมือกับสยามโกลบอลเฮ้าส์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์บัตรเครดิต และบัตรกดเงินสดร่วม ttb Global House เพื่อส่งมอบสิ่งดี ๆ และสิทธิประโยชน์ให้กับทั้งลูกค้าของทั้งสองฝ่าย พร้อมเพิ่มกำลังซื้อให้กับลูกค้าโกลบอลเฮ้าส์ผ่านบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด ด้วยข้อเสนอที่คุ้มค่าและตรงใจ โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้า ซึ่งได้ช่วยสร้าง Brand Loyalty ให้กับทั้งโกลบอลเฮ้าส์ และทีทีบี จนถึงปัจจุบัน พบว่า มีจำนวนผู้สมัครบัตรเครดิต ttb Global House มากกว่า 50,000 ราย สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ที่ 40,000 บัตร
การตอบรับที่ดีจากตลาดต่อบัตรเครดิตร่วม ttb Global House สะท้อนว่า ทีทีบี สร้างสรรค์โซลูชันการเงินได้ตอบโจทย์และตรงใจกลุ่มคนรักบ้านอย่างแท้จริง ส่งผลให้ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรในหมวดบ้านเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับหมวดอื่น ๆ ผู้ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ดี ๆ เพื่อบ้านที่รักควรสมัครบัตรเครดิต ttb Global House เพื่อรับสิทธิประโยชน์เหนือระดับที่ให้ความคุ้มค่ายิ่งกว่า ซึ่งบัตรเครดิต ttb Global House นี้ ยังถือเป็นหนึ่งในโซลูชันการเงินหลักที่จะช่วยให้ ทีทีบี ขับเคลื่อนกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Top 4 ผู้นำตลาดบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลได้ภายใน 3 ปี
บัตรเครดิต ttb Global House เป็นบัตรเครดิตที่ผนวกจุดแข็งระหว่าง ทีทีบี และโกลบอลเฮ้าส์ เพื่อสร้าง Home Owner Ecosystem ส่งมอบโซลูชันการเงินที่ตอบโจทย์และตรงใจ ช่วยสร้างประสบการณ์การช้อปเพื่อบ้านที่คุ้มค่าที่สุดให้กับลูกค้า รวมถึงสิทธิประโยชน์อีกมากมายที่ผู้ถือบัตรจะได้รับจากโกลบอลเฮ้าส์ ทั้งส่วนลดพิเศษ สิทธิประโยชน์จากรายการส่งเสริมการขาย หรือจากรายการแบ่งชำระค่าซื้อสินค้า เพื่อให้ลูกค้าที่มีบ้านมีชีวิตที่ดีขึ้นรอบด้าน
สำหรับสิทธิประโยชน์ที่โดดเด่น บัตรเครดิต ttb Global House มอบส่วนลดเพิ่ม 3% เมื่อช้อปผลิตภัณฑ์ใด ๆ ยกเว้นวัสดุก่อสร้าง ส่วนลด 5% เมื่อใช้บริการใดๆ ที่โกลบอลเฮ้าส์ สิทธิประโยชน์จากการผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 10 เดือน ที่โกลบอลเฮ้าส์ และยังทำรายการแบ่งจ่าย 0% นาน 3 เดือน ได้ด้วยตัวเองผ่านแอป ttb touch ได้ทุกรายการใช้จ่ายที่มียอดตั้งแต่ 1,000 บาท ขึ้นไป / เซลล์สลิป กับบริการ ttb so goood สิทธิประโยชน์จากการสะสมคะแนน ทุก 25 บาท รับ 1 คะแนน รวมถึงวัสดุก่อสร้าง และรับสิทธิประโยชน์จากการใช้จ่ายที่ร้านค้าอื่น ๆ อีกมากมาย
ผู้สนใจสามารถสมัครบัตรได้ 3 ช่องทาง คือสมัครที่สยามโกลบอลเฮ้าส์ หรือทีทีบี ทุกสาขา สมัครทางแอป ttb touch และสมัครทางเว็บไซต์ ttbbank.com ผู้สมัครบัตรใหม่ทั้งลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่ รับฟรี กระเป๋าเดินทางมูลค่า 3,990 บาท และคูปองส่วนลด สยามโกลบอลเฮ้าส์ มูลค่า 500 บาท เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตร 5,000 บาทขึ้นไป ภายใน 30 วันหลังบัตรอนุมัติ นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชันต้อนรับลูกค้าใหม่ ให้ใช้จ่ายที่โกลบอลเฮ้าส์ได้คุ้มที่สุด คุ้ม 1 ทุกยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ttb Global House ที่สยามโกลบอลเฮ้าส์ จนถึง 31 ธันวาคม 2566 นี้ รับคะแนนสะสมเพิ่ม 3 เท่า และคุ้ม 2 รับเครดิตเงินคืนเพิ่ม 5,000 บาท / เดือน เพียงมียอดใช้จ่ายสะสมที่โกลบอลเฮ้าส์ผ่านบัตรเครดิต หรือ บัตรกดเงินสด ttb Global House ครบ 200,000 บาทขึ้นไป / เดือน จำกัดเครดิตเงินคืนสำหรับบัตรเครดิต 5,000 บาท / บัญชีบัตรหลัก / เดือน สูงสุด 30,000 บาทตลอดรายการ และสำหรับบัตรกดเงินสด 5,000 บาท / เดือน สูงสุด 30,000 บาทตลอดรายการ
แม้ว่าตลาดโมเดิร์นเทรดในปัจจุบันจะมีการแข่งขันสูง แต่ก็มีผู้ประกอบการ SME จำนวนไม่น้อยที่เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และยังสามารถกวาดยอดขายได้หลัก 100 ล้านบาทต่อปี เซเว่น อีเลฟเว่นในฐานะผู้ให้การสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการ SME ในทุกมิติ จึงได้หยิบยกส่วนหนึ่งของสินค้า SME ที่มียอดขายสุดปัง ในปี 2566 มาเป็นตัวอย่างให้กับผู้ประกอบการ SME ได้ศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์การพัฒนาสินค้าและการทำตลาด
“Happy Chef” รสชาติเหมือนต้นตำรับ แพ็กเก็จจิ้งสะดวก
“Happy Chef” ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ SME ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ เพราะเชื่อว่าหลายคนคงเป็นแฟนพันธุ์แท้ในหลายๆ เมนูอาหาร ที่ผลิตโดย บริษัท แฮปปี้เชฟ (ประเทศไทย) จำกัด ปัจจุบัน Happy Chef มีสินค้าวางจำหน่ายทั้งหมด 16 รายการ สำหรับสินค้าไฮไลต์ของปีนี้เป็นเมนูอาหารเกาหลีและอาหารไทย อาทิ ไส้กรอกต๊อกบกกีชีส,ไส้กรอกต๊อกบกกีลาวาชีส, รามยอนสไปซี่โซซิจิชิคเก้น, จาจังมยอน,ไก่สะเต๊ะ, หมูคลุกฝุ่น เป็นต้น เหตุผลที่แฮปปี้เชฟได้รับความนิยม นอกจากเรื่องรสชาติที่เหมือนต้นตำรับแล้ว ยังใช้วัตถุดิบคุณภาพ รวมถึงแพ็กเก็จจิ้งที่ตอบโจทย์ความสะดวกสบายต่อการรับประทานและดึงดูดความสนใจ เช่น ถาดทรงกระทะเกาหลี สำหรับหมวดเส้น ถาดทรงเหลี่ยมมน เพื่อง่ายต่อการคลุกซอส และถือรับประทานง่าย ไม่ร้อนมือ ซอง Standy Pouch เหมาะสำหรับคลุกหรือเขย่าได้สะดวก ไม่หกเลอะเทอะ ถือรับประทานได้ง่าย

“เบอร์แมน/เวนเจอร์” เน้นฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์
ใครจะคิดว่าแปรงสีฟัน “เบอร์แมน” ที่ผลิตโดย บริษัท รินทร์โชคชัย จำกัด จะเป็นสินค้าที่ผลิตโดยคนไทย เห็นทีแรกนึกว่าแบรนด์สินค้านอก แถมเป็นไอเท็มที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มแปรงสีฟันในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ปัจจุบันมีสินค้าที่วางจำหน่ายรวม 15 รายการ แบ่งออกเป็น 2 แบรนด์ คือ แบรนด์เบอร์แมนและเวนเจอร์ มีจุดเด่นอยู่ที่ขนแปรงปลายเรียวแหลม จับกระชับมือ ราคาไม่แพง และไม่จำเป็นต้องมีรุ่นสินค้าที่หลากหลาย เน้นผลิตสินค้าตอบโจทย์ฟังก์ชันการใช้งานของผู้บริโภค พร้อมกลยุทธ์การตลาดกระตุ้นยอดขายในรูปแบบแพ็ก 3 ชิ้น

“Handy Herb” ส่งนวัตกรรมนำสมุนไพรครองใจคนทุก Gen
นับว่า แฮนดี้เฮิร์บ เป็นหนึ่งใน SME ที่ลุกขึ้นมาปฏิวัติสมุนไพรไทย ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี จนมีสินค้ายอดฮิตมากมาย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ ที่ต้องการดูแลสุขภาพในราคาที่เข้าถึงได้ ปัจจุบันแฮนดี้เฮิร์บ โดย บริษัท แซนด์-เอ็ม โกลบอล จำกัด มีผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อดูแลสุขภาพหลากหลายรูปแบบ ภายใต้หลากหลายซับแบรนด์ อาทิ G'nite (จีไนท์) สารสกัดจากดอกคาโมมายล์และเห็ดหลินจือในรูปแบบแคปซูล ช่วยแก้ปัญหาการนอนไม่หลับ, Night Night (ไนท์ไนท์) เครื่องดื่มสมุนไพรช่วยให้หลับง่าย, Ener-G เครื่องดื่มสมุนไพรเพิ่มความสดชื่น ล่าสุด ยังกวาดกระแสตอบรับจากสินค้าใหม่ HandyHerb Functional Gummy กัมมี่ เคี้ยวสนุก ได้ประโยชน์ แถมรสชาติอร่อย อีกด้วย

เครื่องดื่มผง “เพรส แอนด์ เชค” Display โดดเด่น หยิบง่าย สะดวกพกพา ราคาคุ้มค่า
ต้องยอมรับว่าสีสันและแพ็กเก็จจิ้งที่โดดเด่นของ เครื่องดื่มผง “เพรส แอนด์ เชค” เครื่องดื่มฟังก์ชันนัลที่สามารถผสมในเครื่องดื่มต่างๆ ได้ตามที่ต้องการ โดย บริษัท เฮฟเว่น ดรอปส์ จำกัด สามารถสร้างความน่าสนใจและแรงดึงดูดให้กับผู้บริโภคได้ไม่น้อย ประกอบกับคุณสมบัติของสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มรักสุขภาพได้เป็นอย่างดี เพราะมีแคลลอรี่ต่ำ ไม่ผสมน้ำตาล ไขมัน 0% ทำให้มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้ง 5 รายการ ประกอบด้วย คอลลาเจน 2000 มก.+วิตามิน เอ อี ซี, คอลลาเจน 2000 มก.+กลูต้า วิตามิน ซี, คอลลาเจน 2000 มก.+ซิงค์ วิตามิน ซี,คอลลาเจน 2000 มก.+แอลธีอะนีน วิตามิน บีรวม และแอล-คาร์นิทีน ฟูมาเรท 500 มก.

“Hooray!” ชูนวัตกรรมสร้างความต่าง
Hooray! ผลิตโดย บริษัท ครอสแม็กซ์ รีเทล จำกัด เป็นที่รู้จักในฐานะผลิตภัณฑ์นมโปรตีนสูงพร้อมดื่มเจ้าแรกของประเทศที่ปราศจากน้ำตาลแลคโตส ปัจจุบันมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นสินค้าในกลุ่มนมโปรตีนสูงที่มียอดขายสูงสุดในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ความโดดเด่นของ Hooray! คือ การใช้กระบวนการทางเทคโนโลยี Enzymatic ในการสกัดน้ำตาล Lactose ออกมา ส่งผลให้มีโปรตีนสูง 29-31 กรัมต่อขวด ล่าสุดคิดค้น Hooray! Complete Plant Protein เพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่มองหาสินค้ากลุ่มนมพืชโปรตีนสูง โดยโปรตีนพืชที่นำมาใช้ได้รับการรับรองจากห้องทดลองมาตรฐานระดับสากลว่าเป็น Complete Protein คือมีกรดอะมิโนที่จำเป็นครบทั้ง 9 ชนิด (Histidine, Leucine, Methionine, Threonine, Valine, Isoleucine, Lysine, Phenylalanine และ Tryptophan) มีส่วนผสมของ MCT Oil ที่ได้จากการสกัดจากน้ำมันมะพร้าว ซึ่งเป็นไขมันดี มีรสชาติอร่อย ด้วยเทคโนโลยี การผลิตขั้นสูง ช่วยให้ได้รสชาติที่ทานง่าย ไม่เหม็นเขียว ลื่นคอ เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการบริโภคสินค้าที่ทำมาจากสัตว์ มีโปรตีนเฉลี่ยอยู่ที่ 27-30 กรัมต่อขวด

“ปังสยาม” ปรับตัวพร้อมพัฒนาต่อเนื่อง
แม้ตลาดเบเกอรี่จะมีการแข่งขันสูง แต่แบรนด์ “ปังสยาม” ของบริษัท สยามรุ่งเรืองฟู้ด แอนด์ เบเกอรี่ จำกัด ก็ยังสามารถยืนหยัดครองใจผู้บริโภคมาได้ถึง 50 ปี เพราะเรียนรู้ที่จะปรับตัวและพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง แต่ยังสามารถคงไว้ซึ่งคุณภาพที่หวนให้นึกถึงวัยเด็กได้อย่างสมบูรณ์ โดยสินค้าที่ถือเป็นไฮไลท์ของปี 2566 คือ เค้กโบราณ (เค้กถ้วยหน้าแยมส้ม) เป็นการพัฒนาเค้กโบราณที่เป็นที่นิยม แต่หาทานยากผลิตเป็น mass product ปรับรสชาติให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เนื้อเค้กนุ่ม ราดด้วยแยมส้มรสชาติหอมหวาน แต่งหน้าด้วยครีม ตามแบบฉบับของเค้กโบราณ, เค้กไข่นุ่มสูตรโบราณ และ เค้กชิฟฟ่อนเนื้อนุ่ม หอมกลิ่นใบเตย

“พิซซ่า อัลเฟรโด” สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว เน้นคุณภาพ ราคาคุ้มค่า
ด้วยรูปลักษณ์ รสชาติ และราคาที่เริ่มต้นเพียง 29 บาท ทำให้หลายคนไม่คิดว่าสินค้าภายใต้แบรนด์ “อัลเฟรโด” จะเป็นสินค้าที่ผลิตโดยผู้ประกอบการ SME ในนามของ บริษัท อัลเฟรโด เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด สิ่งที่ทำให้ “อัลเฟรโด” ได้รับการตอบรับที่ดี คือ การคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ แป้งพิซซ่านุ่มไม่หนาเกินไป หน้าแน่น ราคาคุ้มค่า รสชาติของซอสในแต่ละหน้า มีเอกลักษณ์เฉพาะของอัลเฟรโด ที่ร่วมพัฒนากับเซเว่น อีเลฟเว่น จนได้ซอสที่รสชาติลงตัว ไม่ต้องบีบซอสเพิ่ม สินค้าได้รับมาตรฐาน Halal สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม โดย 3 เมนูฮิตคือ ฮาวาเอี้ยน สุพรีม และค็อกเทลกุ้ง จากทั้งหมด 8 รายการ ล่าสุดได้ออกสินค้าตัวใหม่ แร็พเอ็นโรลไก่ทอด พร้อมแป้งตอร์ติญ่า นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น แผ่นบาง ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค
ทั้งนี้ 7 แบรนด์สินค้า SME ฮอตฮิตที่นำเสนอ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสินค้าที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภคและส่งผลให้มียอดขายทะลุหลัก 100 ล้านบาทในปี 2566 เท่านั้น ยังมีผู้ประกอบการ SME อีกจำนวนไม่น้อยที่มียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง