

เข้าสู่บรรยากาศของเทศกาลปีใหม่ อันเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและส่งมอบความสุขแก่คนที่เรารักผ่านของขวัญชิ้นพิเศษ ซึ่งหากใครที่กำลังมองหาไอเดียของขวัญคริสต์มาสและปีใหม่สำหรับ Coffee Lover ตัวยงอยู่ Beko ขอแนะนำ Caffe Experto เครื่องชงกาแฟที่จะเปิดประสบการณ์กาแฟแก้วโปรดในแบบเฉพาะตัว ด้วยหลากหลายฟังก์ชันที่คิดค้นมาเพื่อคนรักกาแฟโดยเฉพาะ เหมาะสำหรับเป็นของขวัญสุดพิเศษเพื่อคนสำคัญในเทศกาลแห่งความสุขนี้
เครื่องชงกาแฟ Caffe Experto (คาเฟ่ เอ็กซ์เปร์โต) จาก Beko โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นโฮมคาเฟ่ได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส เพราะสามารถรังสรรค์กาแฟได้หลากหลายถึง 10 เมนู ให้คอกาแฟได้เลือกดื่มด่ำแก้วโปรดตามมู้ดในแต่ละวัน ได้แก่ เอสเพรสโซ่, อเมริกาโน่, คาปูชิโน่, แฟลตไวท์, ลาเต้, ริสเตรตโต, ลุงโก้, ลาเต้มัคคิอาโต้, เอสเพรสโซ่มัคคิอาโต้ และ กาแฟดับเบิ้ลช็อต อีกทั้งยังสามารถดึงรสชาติเอสเพรสโซ่และกลิ่นหอมอโรม่าของเมล็ดกาแฟได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยแรงดันน้ำ 19 บาร์[1] พร้อมถาดอุ่นแก้วในตัวเพื่อรักษาอุณหภูมิกาแฟให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด
Caffe Experto มอบประสบการณ์การชงกาแฟแก้วโปรดที่แสนง่ายดายราวกับมีบาริสต้าส่วนตัว โดยมาพร้อมฟังก์ชันเครื่องบดเมล็ดกาแฟที่ปรับความละเอียดได้สูงสุด 13 ระดับ ให้ผู้ชงสามารถกำหนดความละเอียดของเมล็ดกาแฟที่ต้องการได้ในขั้นตอนเดียว และยังใช้งานง่ายด้วยหน้าจอสีระบบสัมผัส Touch Brewing ตอบโจทย์สำหรับสมาชิกทุกวัยในครอบครัว

นอกจากนี้ Caffe Experto ยังเอาใจคอกาแฟนมด้วยฟังก์ชันตีฟองนมที่สามารถเลือกระดับความหนาแน่นได้ตามความชอบ ไม่ว่าจะเป็นนมวัวหรือนมพืช ช่วยเพิ่มสัมผัสรสชาติที่นุ่มนวลให้กับเมนูโปรดอย่างคาปูชิโน่ หรือ มัคคิอาโต้ เสิร์ฟพร้อมฟองนมเนียนนุ่ม และมาพร้อมถังบรรจุนมขนาดใหญ่ 0.6 ลิตร เพิ่มความสะดวกต่อการชงกาแฟหลายแก้วในรอบเดียว โดยเฉพาะในเช้าที่เร่งรีบเพราะมีฟังก์ชันหัวจ่ายกาแฟ 2 ทิศทาง[2] สามารถชงได้พร้อมกัน 2 แก้ว ทั้งสะดวก ประหยัดเวลา และดับเบิ้ลความอร่อยในขั้นตอนเดียว
อีกหนึ่งความโดดเด่นของ Caffe Experto ที่เชื่อว่าคงจะถูกใจหลายๆ คน คือฟังก์ชันทำความสะอาดอัตโนมัติ หรือระบบ Auto Cleaning ช่วยล้างและขจัดคราบตะกรันในเครื่องทำกาแฟ จึงดูแลรักษาง่าย หมดกังวลเรื่องความสะอาดของอุปกรณ์ ตอบโจทย์ทั้งด้านความสะดวกสบายและสุขอนามัย ซึ่งเป็นสิ่งที่ Beko ให้ความสำคัญมาโดยตลอด ตามวิสัยทัศน์ของแบรนด์ที่มุ่งยกระดับการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดีของทุกคน

ด้วยฟังก์ชันที่เข้าใจถึงไลฟ์สไตล์ความต้องการของคนรักกาแฟอย่างแท้จริง ทำให้ Caffe Experto เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของขวัญปีใหม่ที่จะสร้างความประทับใจแก่ผู้รับคนพิเศษอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว ผู้ใหญ่คนสำคัญ เพื่อนสนิท หรือแม้แต่สำหรับตัวคุณเอง โดยเครื่องชงกาแฟ Caffe Experto จาก Beko มาพร้อมหลากหลายตัวเลือก ในราคาเริ่มต้นที่ 6,690 บาท พร้อมการรับประกันสินค้าสูงสุด 2 ปี[3]
ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมของเครื่องชงกาแฟ Caffe Experto ได้ทาง https://www.beko.com/th-th/Coffeemachine
[1] เฉพาะรุ่น CEG7304X, CEG7302B, CEG3194B, CEG3192B
[2] เฉพาะรุ่น CEG7304X, CEG7302B, CEP5304X
[3] ลูกค้าสามารถลงทะเบียนรับประกันสินค้าได้ด้วยตนเองผ่านทางเว็บไซต์ https://e-warranty.beko.com/
เอไอเอ ประเทศไทย คว้ารางวัลจากงานมอบรางวัลพร็อพเพอร์ตี้กูรู ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ 2023 (PropertyGuru Thailand Property Awards 2023) จากความสำเร็จของโครงการอสังหาริมทรัพย์ถึง 2 แห่ง ได้แก่ เอไอเอ คอนเน็คท์ และ เอไอเอ อีสต์ เกตเวย์ โดยนายนิคฮิล แอดวานี (ที่ 2 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายโยฮัน ดีทอย (ขวาสุด) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน นายฮิว เท็ด เชียน (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน และนายปกป้อง ยินดีผล ผู้อำนวยการฝ่ายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทั้ง 2 โครงการได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในหลากหลายสาขา โดย เอไอเอ คอนเน็คท์ ได้รับรางวัลชนะเลิศ สาขาอาคารสำนักงานที่มีภูมิทัศน์สถาปัตย์ยอดเยี่ยม (Best Office Landscape Architectural Design Award) และรางวัลระดับ Highly Commended สาขาอาคารสำนักงานที่มีภูมิสถาปัตย์ยอดเยี่ยม (Highly Commended: Best Office Architectural Design Award) ในขณะที่เอไอเอ อีสต์ เกตเวย์ ได้รับรางวัลชนะเลิศ สาขาอาคารสำนักงานที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดียอดเยี่ยม (Winner: Best Well Being Office Development) นอกจากนี้ เอไอเอ ประเทศไทย ยังได้รับรางวัลชนะเลิศด้าน ESG (Winner: Special Recognition in ESG) โดยรางวัลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในการออกแบบตัวอาคารที่คำนึงถึงความสวยงามควบคู่ไปกับประโยชน์ใช้สอยของผู้เช่า สอดคล้องตามคำมั่นสัญญาของเอไอเอ "Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น”
Amass me (อะแมส มี) ผู้นำเข้าสินค้าแฟชั่น มัลติ ลักซ์ชัวรี แบรนด์ เจ้าแรกในไทย เดินหน้าปลุกกระแสจับจ่ายสิ้นปี 2566 ส่งคอลเลคชั่นใหม่ KAPALIKKO Lucky Set นำเสนอไอเดียของขวัญปีใหม่สุดเอ็กซ์คลูซีฟ แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร จับความเชื่อกับแฟชั่นสายมู ส่งมอบเป็นของขวัญ บนคอนเซ็ปต์ Your Fortune Begins Here

นางสาวยุฤดี ธนะกิตติภูมิ กรรรมการผู้จัดการ บริษัท อะแมส มี จำกัด เปิดเผยว่า Amass me (อะแมส มี) ในฐานะผู้นำเข้าสินค้าแฟชั่น มัลติ ลักซ์ชัวรี แบรนด์ที่หลากหลาย ในปีนี้สินค้าทุกรายการได้รับความนิยมจากลูกค้าอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะแบรนด์ KAPALIKKO ที่ปลุกกระแสแฟชั่นสายมูได้ประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม จึงทำให้ในปลายปีนี้ ที่กำลังเตรียมก้าวเข้าสู่ช่วงเทศกาลสำคัญ นับเป็นช่วงเวลาดีๆ ซึ่งหลายคนกำลังมองหาของขวัญของฝากที่จะเป็นการอวยพรและสื่อความหมายที่ดีให้แก่กัน อะแมส มี จึงอยากนำเสนอของขวัญปีใหม่สุดคลาสสิคที่จะสร้างความประทับใจที่ยืนยาว โดยเปิดตัว KAPALIKKO ส่งท้ายปีด้วย Exclusive Gift Set หรือคอลเลคชั่น KAPALIKKO Lucky Set หนึ่งในของขวัญปีใหม่ที่เป็นสินค้าแฟชั่น พร้อมนำโชคให้สิ่งที่หวังสมปรารถนาทั้งแก่ผู้ให้และผู้รับในปี 2567 นี้ อีกทั้งยังอยู่ในราคาที่จับต้องได้ เพื่อส่งต่อให้กับคนที่คุณรัก
“แบรนด์ KAPALIKKO หรืออ่านว่าคาปาลิกโก้ มาจากชื่อของมหายันต์นำโชค ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศฟินแลนด์ เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีชื่อเรียกขานอย่างเป็นตำนานในยุคต่อๆ มาหลายประเทศ เช่น ยันต์ “St John’s Arms” หรือยันต์ “Hannunvaakuna” ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์บนปุ่มคำสั่ง Command บน Mac book โดยชาวยุโรปจะนำสัญลักษณ์มหามงคลนี้มาเป็นเครื่องรางแห่งการเรียกความโชคดี ดึงดูดทรัพย์ทั้ง 4 ทิศ 8 ทาง ป้องกันสิ่งอันเป็นอัปมงคล เสริมดวงเรื่องการงาน การเงิน เมตตามหานิยม เรียกได้ว่าเป็นมหายันต์ที่เป็นเสมือนแม่เหล็กดึงดูดสิ่งอันเป็นมงคล ความร่ำรวย ความสุข ความสำเร็จ ความสมหวังทุกประการให้กับผู้ที่ได้ครอบครอง ด้วยเรื่องราวอันน่าสนใจนี้เอง ทาง อะแมส มี จึงนำคำว่า “KAPALKKO” ที่เป็นชื่อแรกของมหายันต์ มาตั้งเป็นชื่อแบรนด์และนำเอาสัญลักษณ์แห่งความเชื่อนี้มาผสมผสานกับโลกของแฟชั่น ออกมาเป็นสินค้าหลากหลายคอลเลคชั่นได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นคอลเลคชั่น 7 days God ซึ่งได้แรงบันดาลใจมากจากความเชื่อต่อเทพประจำตัวทั้ง 7 วัน, คอลเลคชั่น Zodiac เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับราศี ทั้ง 12 ราศี ทำให้ผู้ที่สวมใส่พบแต่ความมั่งมีและประสบความสำเร็จในสไตล์ที่เป็นตัวเอง หรือคอลเลคชั่น Elemental ที่นำความสมดุลทางธรรมชาติในแต่ละธาตุ มาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ นอกจากนี้ยังมีคอลเลคชั่นกระเป๋านำโชคเสริมดวงที่มีให้เลือกหลากหลายคอลเลคชั่น”

นางสาวยุฤดี กล่าวต่อว่า เพื่อต้อนรับกระแสนิยมรวมทั้งเทศกาลในช่วงปลายปีนี้ KAPALIKKO ได้จึงได้ออกสินค้าเพื่อต่อยอดความสำเร็จทางธุรกิจ จากความต้องการสินค้าของแบรนด์เป็นจำนวนมาก กับ Exclusive Gift Set หรือคอลเลคชั่น KAPALIKKO Lucky Set เป็นของขวัญที่ไม่เหมือนใครซึ่งออกแบบมาเพื่อ นำความโชคดี ความมั่งคั่ง ความร่ำรวย และความสุขมาสู่ปี 2567 นี้ โดยในเซ็ตนั้นประกอบด้วย เสื้อ KAPALIKKO รุ่น classic ที่ผลิตมาจำนวนจำกัด และกระเป๋า fortune cookies หรือคุกกี้แห่งความโชคดี ซึ่งออกแบบอย่างพิถีพิถัน ด้วยการออกแบบสัญลักษณ์และข้อความต่างๆ ที่จะดึงดูด พลังด้านบวกและโชคลาภมาสู่ผู้ครอบครอง อีกทั้งยังเป็นตัวเลือกที่ดีในการนำของขวัญเซ็ตนี้ไปสวัสดีปีใหม่ให้กับคนที่คุณรัก นอกจากนี้ยังมีคอลเลคชั่นผ้าพันคอ เพื่อต้อนรับลมหนาวที่กำลังมาเยือน กับคอลเลคชั่น LUCKY TO SHINE โดยความพิเศษของผ้าพันคอคอลเลคชั่นนี้ ทำจากซาตินเกรดพรีเมียม นุ่ม ลื่น เรียกได้ว่าจะเพิ่มความหรูหราและความโชคดีให้กับผู้ครอบครอง ควรต้องมีติดตู้เสื้อผ้าอีกด้วย

สำหรับแบรนด์ KAPALIKKO ถูกสร้างมาเพื่อส่งต่อความโชคดีในทุกๆ โอกาส ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้หรือผู้รับ ถ้าได้ครอบครองสินค้าของแบรนด์ KAPALIKKO แล้วล่ะก็ จะได้รับพลังงานที่ดี สิ่งที่ดีจะเกิดขึ้น ช่วยดึงดูดสิ่งมงคลทั้งปวง อีกทั้งทุกๆ คอลเลคชั่นยังนำเอาความสวยงามของโลกแฟชั่นมาผสมผสานให้เป็นสินค้าที่มีเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้น
“ทั้งนี้โปรโมชั่นสุดพิเศษต้อนรับปีใหม่ เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าคอลเลคชั่นใดก็ได้ภายในแบรนด์ KAPALIKKO รับฟรี! กระเป๋าลิมิตรุ่น fortune cookies มูลค่า 2,950 บาท จำนวน 1 ใบเลยทันที หากใครสนใจพบกันได้ที่ช้อปหน้าร้านทั้ง 8 สาขา ได้แก่ เดอะคริสตัล เอสบี ราชพฤกษ์ ชั้น 1, เซ็นทรัล เวิลด์ ชั้น 1, เซ็นทรัล ชิดลม ชั้น 3 (Event Hall), เซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์ ชั้น 1, ศูนย์การค้า พารากอน ชั้น 1, เซ็นทรัลเวสต์วิลล์ ชั้น 1, ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม ชั้น 1, เมกาบางนา ชั้น 1” นางสาวยุฤดี กล่าวทิ้งท้าย
อ.ส.ค.เตรียมจัดงาน "เทศกาลโคนมแห่งชาติ" ประจำปี 2567 เพื่อน้อมรำลึก"พระบิดาแห่งการโคนมไทย" อย่างยิ่งใหญ่
“แอล ดับเบิลยู เอสฯ” คาดการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลปี 2567 มีแนวโน้มเติบโต 5-10% ในขณะที่ราคาที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 5-10% ผลจากราคาที่ดิน ค่าแรง ราคาวัสดุก่อสร้างและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น
ขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์มีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงกับปี 2566 หรือเติบโตไม่เกิน 5% เมื่อเทียบกับปี 2566 เป็นผลมาจากภาระหนี้ครัวเรือนสูง ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย(Mortgage Loan) แนะผู้ประกอบการอสังหาฯ ปรับกลยุทธจากการพัฒนาและขายอสังหาฯ สู่การเป็นที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อการมีที่อยู่อาศัยทั้งเพื่อการอยู่อาศัยและการลงทุน
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LWS) บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) คาดการณ์แนวโน้มการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลในปี 2567 ว่า มีแนวโน้มที่จะเติบโต 5-10% ในขณะที่การโอนกรรมสิทธิมีแนวโน้มใกล้เคียงกับปี 2566 หรือเติบโตไม่เกิน 5% ขึ้นกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ความสามารถในการก่อหนี้ของผู้ซื้อ และการพิจารณาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน

โดยการคาดการณ์ดังกล่าว LWS ได้มีการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการเติบโตของเศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์ใน 3 ฉากทัศน์ (3-Scenarios) กล่าวคือ
การเปิดตัวโครงการใหม่ปี 2566 ติดลบประมาณ 5-8% จากปี 2565
จากการสำรวจของ LWS คาดว่าในปี 2566 จะมีการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในปี 2566 จะมีจำนวนหน่วยเปิดตัวลดลงประมาณ 5-8% ในขณะที่มูลค่าการเปิดตัวปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 10-15% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีจำนวนการเปิดตัวที่ 103,000 หน่วยคิดเป็นมูลค่า 457,000 ล้านบาทโดยมีอัตราขายเฉลี่ยในวันเปิดตัวโครงการในปี 2566 เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 17% ปรับตัวลดลงจากอัตราการขายเฉลี่ยในวันเปิดตัวโครงการที่ 29% ในปี 2565 โดย 52% ของจำนวนหน่วยเปิดตัวใหม่เป็นโครงการบ้านพักอาศัย และที่เหลือ 48% เป็นการเปิดตัวอาคารชุดพักอาศัย โดยระดับราคาที่อยู่อาศัยเฉลี่ยในปี 2566 อยู่ที่ 5.2 ล้านบาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 17.38% จากราคาที่อยู่อาศัยเฉลี่ยที่ 4.43 ล้านบาทต่อหน่วยในปี 2565 เป็นผลมาจากสัดส่วนการเปิดตัวที่อยู่อาศัยในระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทเพิ่มขึ้นคิดเป็นสัดส่วนของมูลค่าสูงถึง 34% ของโครงการที่เปิดตัวใหม่ทั้งหมดในปี 2566
ในขณะที่ที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จพร้อมขายและอยู่ระหว่างการก่อสร้างของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจำนวน 39 บริษัท ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 อยู่ที่ 663,188.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.43% เมื่อเทียบกับมูลค่าที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จพร้อมขายและอยู่ระหว่างการก่อสร้างของบริษัทอสังหาฯ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 600,548.76 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 เมื่อเทียบกับยอดการรับรู้ของบริษัทอสังหาฯ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องใช้เวลาในการระบายสินค้าประมาณ 2 ปี 6 เดือน

4 ปัจจัยเสี่ยงกระทบอสังหาฯ ปี 2567
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 นอกจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยจะส่งผลกระทบกับภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 แล้วมีอีก 4 ปัจจัยเสี่ยงที่กระทบโดยตรงต่อภาคอสังหาฯ ได้แก่
จากปัจจัยเสี่ยงทางธุรกิจดังกล่าว นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า LWS แนะนำให้แนะผู้ประกอบการอสังหาฯ ปรับกลยุทธการขายจากผู้พัฒนาและขายที่อยู่อาศัย สู่การเป็นที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อการมีที่อยู่อาศัยทั้งเพื่อการอยู่อาศัยและการลงทุน โดยเพิ่มการให้คำแนะนำในการบริหารจัดการทางการเงินให้กับลูกค้าเพื่อให้โครงสร้างทางการเงินส่วนบุคคลได้รับการยอมรับและการพิจารณาสินเชื่อจากสถาบันการเงิน เนื่องจากกลุ่มลูกค้าที่มักจะถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีอาชีพอิสระ ทำให้มีฐานรายได้ไม่แน่นอน ถ้าบริษัทอสังหาริมทรัพย์สามารถจับมือกับสถาบันการเงินและให้คำแนะนำกับลูกค้าในการบริหารจัดการทางการเงินก็จะลดความเสี่ยงในการถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
“การวางแผนและการปรับตัวของผู้ประกอบการอสังหาฯ ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ซื้อ เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้สามารถก้าวข้ามความเสี่ยงและความผันผวนที่เกิดขึ้นและรักษาการเติบโตทางธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเผชิญกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว
ปัจจุบันผู้ประกอบการจะสนใจแต่การทำกำไรและทำการตลาดอย่างเดียวไม่ได้ ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย โดยโฟกัสไปที่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งในวันนี้ได้อัปเกรดความรุนแรงจาก “ภาวะโลกรวน” ไปเป็น “ภาวะโลกเดือด” เรียบร้อยแล้ว
finbiz by ttb จึงหยิบยกประเด็นสำคัญจากการจัดงานสัมมนา Sustainable Growth - The Way to Business of the Future ซึ่งได้เชิญ คุณธาดา วรุณโชติกุล ผู้จัดการ สำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO มาให้ความรู้เกี่ยวกับนโยบาย Net Zero ของประเทศ ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการโดยตรง เพื่อก้าวเดินสู่เส้นทางแห่งความยั่งยืนอย่างมั่นใจ
นโยบายและเป้าหมายต่อสู้กับ Climate Change
เทรนด์โลกที่ผ่านมาเราได้เห็นประเทศต่าง ๆ จริงจังกับการบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศตนให้ลดลง โดยมี 97 ประเทศที่ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ตามปีเป้าหมายที่กำหนด เช่น เป้าหมายของสหรัฐอเมริกาคือปี 2050 ส่วน Net Zero ของจีนคือปี 2060 ส่วนประเทศไทย นอกจากจะตั้งใจบรรลุ Net Zero ในปี 2065 เราก็ยังต้องการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 แต่เป้าหมายที่ใกล้กว่านั้น คือปี 2530 ต้องลดก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ 30-40%
สถานการณ์ปัจจุบันของไทย
ผู้ประกอบการสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการตอบสนองนโยบายดังกล่าวของภาครัฐได้ โดยช่วยกันประเมินปริมาณก๊าซเรือนกระจกแบบ Bottom-up ขึ้นไป เพื่อช่วยชาติบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ และยังสามารถขยายผลนำไปสู่การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกในระดับองค์กรของเราได้
สรุป 6 แนวทางขับเคลื่อนภายในประเทศ
มีการบูรณาการและกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) เข้าสู่แผนระดับประเทศ รวมทั้งขับเคลื่อน BCG Model โดยมองเรื่อง Bio-Economy เน้นสร้างมูลค่าเพิ่ม, Circular Economy ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดการสูญเสีย และ Green Economy เน้นดำเนินงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสร้างความยั่งยืน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
นอกจากนี้ ยังส่งเสริมภาคการเกษตรในการลดก๊าซเรือนกระจก ชาวนาต้องปรับตัวมาทำนาวิถีใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ข้อนี้สำคัญมากเพราะข้าวของไทยมีค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงกว่าข้าวของญี่ปุ่นถึง 4 เท่า หากมีการคิดภาษีคาร์บอนในสินค้าการเกษตร จะทำให้ราคาข้าวของเราสูงกว่า การแข่งขันทางการค้าก็จะยากลำบากยิ่งขึ้น จึงได้นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยร่วมกับปราชญ์ชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการปรับค่าปุ๋ยให้เหมาะกับสภาพดิน การปลูกเปียกสลับแห้ง ซึ่งข่าวดี คือ ทาง TGO ได้พัฒนาระเบียบวิธีการประเมินการลดก๊าซเรือนกระจก หรือก๊าซมีเทนในนาข้าว หากลดมีเทนได้เท่าไร ก็นำมาขอขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตได้ จึงอาจเห็นชาวนาขายคาร์บอนเครดิตในอนาคต
ธุรกิจใดที่มีการเผาไหม้อยู่ จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศโดยตรงไม่ได้อีก โดยอาจพิจารณาติดตั้งเทคโนโลยี CCUS ไว้ดักจับคาร์บอน นำมาอัดลงดินหรือหลุมอย่างถาวร แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ไม่คุ้มค่าที่จะลงทุน หากมีการใช้งานมากขึ้น และนำมาขึ้นทะเบียนโครงการลดก๊าซเรือนกระจกระดับประเทศในรูปของคาร์บอนเครดิต บวกกับแรงสนับสนุนจากภาครัฐ คาดว่าค่าใช้จ่ายอาจจะต่ำลงได้
ปัจจุบัน BOI ส่งเสริมเรื่องการลงทุนเพื่อสิ่งแวดล้อมและสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น กรณีโรงงานแยกก๊าซธรรมชาติ ถ้าใช้เทคโนโลยี CCUS จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี กิจการห้องเย็นและขนส่งห้องเย็นที่หันมาเปลี่ยนใช้สารทำความเย็นลดก๊าซเรือนกระจกต่ำ หรือกลุ่มปิโตรเคมีใช้เทคโนโลยี CCUS จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี และ 8 ปี ตามลำดับ อีกมาตรการที่มีผู้ยื่นใช้สิทธิจำนวนมากคือ มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพ ถ้าผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี ร้อยละ 50 ของเงินลงทุน หากต้องการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ควบคู่ไปกับการมีส่วนร่วมลดก๊าซเรือนกระจก ปัจจุบันสามารถบริจาค e-Donation เพื่อสนับสนุนป่าชุมชน ใบเสร็จนำไปยกเว้นภาษีเงินได้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2023 – 31 ธันวาคม 2027
TGO มีการพัฒนาแพลตฟอร์มให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายสามารถทำการซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้ โดย “ผู้ซื้อ” เป็นภาคที่มีการรายงานข้อมูลและต้องการจะชดเชย ส่วน “ผู้ขาย” คือผู้ที่พัฒนาโครงการการลดก๊าซเรือนกระจก
เป้าหมายคือเพิ่มพื้นที่กักเก็บให้ได้ 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ปัจจุบันมีหลายบริษัทเข้าร่วมปลูกและดูแลรักษาป่าในพื้นที่ของรัฐภายใต้โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย T-VER เพื่อช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คำนวณเป็นคาร์บอนเครดิตได้เท่าไร บริษัทผู้พัฒนาโครงการรับไป 90% และแบ่งปันเครดิตให้กับภาครัฐ 10%
ผลักดัน (ร่าง) พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฉบับแรกของไทย ในเบื้องต้นจะบังคับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่สูงก่อน โดยให้มีการรายงานข้อมูล เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก โดยคาดว่าจะมีการประกาศใช้ พ.ร.บ. นี้ในปี 2024 นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เพื่อดูแลด้าน Climate Change โดยตรง
ดังนั้น หากเราจะเดินทางไปถึงเป้าหมายได้ ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน เช่น ภาคเอกชนนำนโยบายของภาครัฐและเรื่องที่เกี่ยวกับ Climate Change เช่น แนวคิด ESG เข้าไปอยู่ในนโยบายขององค์กร ตั้งเป้าหมายระยะยาวและพยายามลดก๊าซเรือนกระจกด้วยตัวเอง เช่น ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอุตสาหกรรม ส่วนที่ลดไม่ได้ก็ชดเชยจากคาร์บอนเครดิตที่ TGO ให้การรับรอง เพื่อมุ่งสู่ Carbon Neutrality และ Net Zero ตามเป้าหมาย