ทรูบิสิเนส ผู้นำบริการสื่อสารและดิจิทัลโซลูชันครบวงจรสำหรับลูกค้าธุรกิจ ร่วมมือกับ อินโฟบิป ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการสื่อสารบนระบบคลาวด์ระดับโลก เปิดตัว “True CPaaS” (True Communications Platform as a Service) โซลูชันอัจฉริยะที่ใช้ AI ช่วยภาคธุรกิจจัดการทุกช่องทางสื่อสารกับลูกค้าแบบครบวงจร ยกระดับประสบการณ์ดิจิทัลของผู้บริโภคชาวไทย
เปลี่ยนความยุ่งยาก ซับซ้อน ในการบริหารการสื่อสารแบบ Omni-Channel และสร้างความสัมพันธ์ได้ต่อเนื่องตลอดการเดินทางของลูกค้า (customer journey) ไว้ในแพลตฟอร์มเดียว พร้อมนำ AI เสริมการทำงานของแพลตฟอร์ม มอบประสบการณ์ให้กับลูกค้าเฉพาะบุคคล โดยใช้ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าและการสื่อสารแบบอัตโนมัติ พร้อมตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทันทีและตลอดเวลา ครอบคลุมทั้งการตลาด การขาย และบริการ เหมาะกับองค์กรธุรกิจทุกขนาดในอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ การเงิน ประกันภัย ค้าปลีก ค้าขายออนไลน์ ท่องเที่ยว และสุขภาพ เริ่มต้นใช้งานได้ทันทีหลังสมัครใช้บริการ ด้วยบริการในรูปแบบ as-a-service ที่ยืดหยุ่นได้ สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการใช้งานและรองรับการขยายตัวของธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและมีความปลอดภัยของข้อมูลขั้นสูง
นายฮาว ริ เร็น หัวหน้าสายงานการพาณิชย์ พันธมิตรเชิงกลยุทธ์และเทเลคอม-เทค บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ทรูบิสิเนส พัฒนาโซลูชันเพื่อการสื่อสารสำหรับลูกค้าธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทำให้เข้าใจความต้องการขององค์กรธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงตามพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่องค์กรธุรกิจต้องการเครื่องมือด้านการสื่อสารที่ไม่เพียงแค่ช่วยจัดการสื่อสารหลากรูปแบบในหลายช่องทางเท่านั้น แต่ยังต้องเสริมความสัมพันธ์อันดีให้กับ แบรนด์ด้วย เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดตลอดการเดินทางของลูกค้า ทรูบิสิเนส จึงร่วมมือกับ อินโฟบิป เปิดให้บริการ “True CPaaS” โซลูชันอัจฉริยะที่ใช้ AI ช่วยภาคธุรกิจจัดการทุกช่องทางสื่อสารกับลูกค้าแบบครบวงจรบนแพลตฟอร์มเดียว เชื่อมโยงการสื่อสารในรูปแบบ Omni-Channel อย่างไร้รอยต่อ ทั้ง การโทร SMS MMS อีเมล์ การแจ้งเตือนผ่านเว็ป การส่งข้อความในแอปพลิเคชัน แชตและโซเชียลมีเดีย ยกระดับประสบการณ์และสร้างความประทับใจลูกค้าเฉพาะบุคคล ผสานศักยภาพ AI ช่วยเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เพิ่มประสิทธิภาพด้านการสื่อสาร นำไปสู่การเพิ่มยอดขายและโอกาสสำเร็จของแคมเปญการตลาดต่างๆ ตลอดจนลดต้นทุนการสื่อสารที่ซ้ำซ้อน โดยองค์กรธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรมสามารถใช้โซลูชันนี้ได้ง่ายๆ ด้วยโมเดลบริการแบบ as-a-service
นายโจฮัน เจนเซ่น หัวหน้าระดับภูมิภาคด้านการเติบโตธุรกิจโทรคมนาคม บริษัท อินโฟบิป (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือเป็นพันธมิตรกับทรูครั้งนี้ ถือเป็นการปฏิวัติวงการตลาดไทย ด้วยการเปิดตัวโซลูชันการสื่อสารบนคลาวด์ขั้นสูง ช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยเรามุ่งหวังว่าให้ความร่วมมือครั้งนี้ ส่งผลให้องค์กรธุรกิจขับเคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมทรานสฟอร์มองค์กรสู่ยุคดิจิทัล ตลอดจนสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า ช่วยให้ธุรกิจสามารถยกระดับการมีส่วนร่วมกับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งการเดินทางของลูกค้า (customer journey) ด้วยการส่งข้อความที่ตรงใจ ผ่านโซลูชันที่ดีที่สุด
True CPaaS ครอบคลุมทุกช่องทางการสื่อสารในแพลตฟอร์มเดียว มาพร้อม 3 จุดเด่น ได้แก่ 1) personalized conversational experience มอบประสบการณ์การสื่อสารระหว่างองค์กรธุรกิจกับลูกค้าที่ออกแบบเฉพาะบุคคล 2) automated & always-on communication - การสื่อสารกับลูกค้าแบบอัตโนมัติ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทันทีและตลอดเวลา 3) empowered customer insight data - เก็บรวบรวมและจัดการข้อมูลลูกค้าในเชิงลึก เพื่อนำมาปรับเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร นอกจากนี้ True CPaaS ยังสามารถผสานกับระบบการทำงานขององค์กรทั้งระบบ CRM และ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เช่น Microsoft Dynamics 365, Service Now, Oracle Responsys, Adobe Commerce, HubSpot และ Meta เพื่อให้ธุรกิจสามารถจัดการประสบการณ์ของลูกค้าตั้งแต่ต้นจนจบ เริ่มจากทีมการตลาดจะเห็นถึงความต้องการของลูกค้า สามารถออกแบบและนำเสนอสินค้าและโปรโมชันตามช่องทางการสื่อสารได้ตรงความสนใจของลูกค้า ซึ่งจะทำการขายผ่านหลากหลายช่องทาง ทั้งกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ, การพูดคุยโต้ตอบ หลังจากนั้นลูกค้าสามารถได้รับบริการจากแชตบอตและเจ้าหน้าที่บริการลูกค้า โดยประวัติการสนทนาและข้อมูลต่างๆ จะถูกเก็บรวบรวมไว้เพื่อใช้ประโยชน์สำหรับธุรกิจ
สำหรับองค์กรธุรกิจที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://truebusiness.info/TrueCPaaS หรือ ติดต่อศูนย์บริการลูกค้าธุรกิจ โทร. 1239
เพราะความหลากหลายคือพลังของโลกยุคใหม่ รายงานล่าสุดของ McKinsey ระบุว่าแนวทางการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึง ความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม (DEI) มีความสำคัญมากยิ่งกว่าที่ผ่านมา โดยความหลากหลายของผู้นำมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญต่อเป้าหมายการเติบโต ผลกระทบต่อสังคม และความพึงพอใจของพนักงาน
และด้วยบรรยากาศของ Pride Month ปีนี้ นับเป็นโอกาสดีสำหรับการชวน Gregoire Glachant ผู้เชี่ยวชาญการสื่อสารด้านความยั่งยืน ในสายงานสื่อสารองค์กรและประชาสัมพันธ์ของทรู คอร์ปอเรชั่น ที่เรียกได้ว่าเป็นผู้มีความหลากหลายในชีวิตแทบทุกมิติมาบอกเล่าเรื่องราวของเขา ตั้งแต่การเป็น “Third Culture Kid” ที่เติบโตจากสองวัฒนธรรม การทำงานในสังคมและแวดวงที่แตกต่าง ไปจนถึงการปักหมุดหมายมาใช้ชีวิตในประเทศไทย และการแสดงออกถึงสิทธิความเท่าเทียมทางเพศ
ต่อไปนี้คือเรื่องเล่าประสบการณ์ชีวิต การมองโลก และการกล้าเป็นตัวของตัวเองที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้จริง
คอมพิวเตอร์เครื่องแรกในวัยเด็กสู่การทำงานเป็นนักพัฒนาวิดีโอเกม
“ผมเกิดในฝรั่งเศส แต่ครอบครัวย้ายไปที่สหรัฐอเมริกาตอนผมอายุ 6 ขวบ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผมอย่างมากเกิดขึ้นในวัยนั้นคือ คอมพิวเตอร์ IBM PCjr ที่พ่อซื้อให้ในวันคริสต์มาส ถือว่าเป็นแรกๆ ของ Personal PC ที่ใช้กันทั่วไปในบ้าน ซึ่งจุดประกายให้ผมได้พัฒนาวิดีโอเกมที่ชื่อว่า ‘Hardline’ ตั้งแต่อายุ 14 ปี เกมนี้ผลิตและวางขายทั่วโลกโดยบริษัท Virgin Interactive Entertainment”
“เมื่อได้ทำงานสายนี้ ผมจึงเลือกเรียนต่อด้านดิจิทัลมีเดีย ซึ่งถือเป็นสาขาใหม่มากในยุค 90 หลังจากเรียนจบก็ทำงานในวงการวิดีโอเกม พร้อมไปกับรับงานเสริมถ่ายทำและตัดต่อวิดีโอให้กับดีไซเนอร์รุ่นใหม่ในวงการแฟชั่น จนกระทั่งอายุ 26 ปีก็ตัดสินใจว่าต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตอีกครั้ง เพราะอยากเป็นนักเขียน แล้วก็มีความคิดแปลกๆ ที่ว่าต้องไปให้ไกลที่สุดจากบ้านเกิดถึงจะมีเรื่องราวที่เล่าได้ และการอยู่ในฝรั่งเศสก็ไม่สามารถเติมเต็มสิ่งที่ผมอยากทำ”
การเป็น Third Culture Kid สู่การเป็น Global Citizen
“การที่ใช้ชีวิตวัยเด็กและวัยรุ่นในต่างวัฒนธรรมทำให้ผมกลายเป็นคนแบบที่เรียกกันว่า ‘Third Culture Kid’ หมายความว่าเมื่ออยู่ในสหรัฐฯ ผมก็รู้สึกไม่เข้ากับที่นั่นเพราะผมเป็นคนฝรั่งเศส แต่พอกลับมาฝรั่งเศส ผมก็เข้ากับที่นี่ไม่ได้อีก เพราะผมคล้ายวัยรุ่นอเมริกันไปแล้ว เหตุผลที่เรียกกันว่า Third Culture ก็เพราะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมใดได้อย่างเต็มที่ กลายเป็นรู้สึกว่าตัวเองไม่มีถิ่นที่เรียกว่า ‘บ้าน’ ที่แท้จริง”
“แต่ข้อดีของประสบการณ์ชีวิตแบบนี้คือ คุณจะมีความยืดหยุ่นมากและเปิดรับต่อวัฒนธรรมอื่นๆ ดังนั้นจึงทำให้ผมไม่ตกใจหรือหวาดกลัวความแตกต่างทางวัฒนธรรม และสามารถปรับตัวได้ดีไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม”
เชื่อในความแตกต่างหลากหลาย และไม่เหมารวม
“การย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ จึงไม่ได้ทำให้ผมต้องปรับตัวอะไรมากเท่ากับการเปลี่ยนสายงาน จากงานแรกในไทยที่ทำอยู่ 10 ปีที่ Asia City Media Group ในตำแหน่ง Editor-in-Chief ของนิตยสารภาษาอังกฤษรายสัปดาห์ชื่อว่า BK มาสู่โลกของคอร์ปอเรทที่ dtac ซึ่งมีวิธีการทำงานที่แตกต่างกันอย่างมากและได้ทำงานร่วมกับคนไทยเป็นส่วนใหญ่”
“ผมเชื่อในความหลากหลาย ดังนั้นจึงไม่เหมารวมว่าคนไทยเป็นอย่างไร เพราะจริงๆ แล้วคนไทยก็มีลักษณะที่แตกต่างหลากหลายสุดขั้ว แต่ถ้าในแง่ของวัฒนธรรมไทยที่เป็นแบบรวมกลุ่ม (Collectivism) นับเป็นหนึ่งในความแตกต่างสำคัญกับวัฒนธรรมตะวันตกที่เน้นในเรื่องของปัจเจกบุคคล (Individualism) ทำให้วิธีการทำงานก็แตกต่างกันมาก คุณเห็นตัวอย่างจากกิจกรรมที่เราจัดกันในทีม เช่น นัดกันใส่เสื้อผ้าสีเดียวกัน”
“ดังนั้นเคล็ดลับในการทำงานร่วมกับผู้คนที่มาจากวัฒนธรรมอื่น หนึ่งคือ ไม่ยึดติดกับว่าพวกเขามาจากวัฒนธรรมใด คำถามที่แท้จริงคือ อะไรทำให้คนคนนี้มีแรงจูงใจ อะไรทำให้เขาหมดไฟ อะไรทำให้เขารู้สึกปลอดภัยทางจิตใจ เพราะทุกคนก็ไม่เหมือนกัน คุณควรมีความยืดหยุ่นในลักษณะนี้ สองคือ ต้องมี EQ สูง ที่สามารถเข้าใจว่ามีคนหลากหลายแบบ ยิ่งเป็นผู้จัดการทีมก็จำเป็นต้องอ่านคนได้”
การเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริงได้ต้องผ่านการฝึกซ้อมให้คุ้นเคย
“การเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริงเหมือนเป็นการฝึกซ้อมที่ต้องทำให้คุ้นเคย ผมเคยกลัวที่ต้องพูดเรื่องตัวเอง ไม่ง่ายเลยที่จะพูดว่า ‘my husband’ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ จึงคอยหาวิธีหลีกเลี่ยงไปใช้คำอื่นหรือไม่พูดถึงได้เสมอ แต่การเป็นตัวเองที่ดีที่สุดคือ ต้องรู้ตัวเวลาที่กำลังปิดกั้นหรือซ่อนสิ่งที่คุณเป็นเอาไว้ และให้ทำตรงข้ามกันไปเลย เช่น เมื่อมีคนถามว่า ‘ซัมเมอร์นี้จะทำอะไร’ แทนที่จะเลี่ยงไม่พูด ก็แค่ตอบไปว่า ‘ผมจะไปเซี่ยงไฮ้กับสามี’ แล้วคุณจะรู้ว่า ไม่ได้มีใครสนใจเราขนาดนั้นหรอก หรือถ้าใครมีปัญหา คุณก็อาจจะเปลี่ยนแปลงมันได้เช่นกัน”
การส่งเสริมให้องค์กรมีความหลากหลาย พนักงานต้องกล้าพูดกล้าบอก และบริษัทก็ต้องรับฟัง
“บริษัทต้องเต็มใจรับฟังเมื่อพนักงานส่งเสียงบอก ส่วนพนักงานก็ต้องกล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็น ถ้าพนักงานไม่พูดออกมา บริษัทก็จะไม่รู้ว่าจะทำอะไร ที่สำคัญคือบริษัทต้องไม่มองพวกเขาเป็นศัตรูหรือปัญหา แต่มองพวกเขาเป็นคนที่มาช่วย มาให้ไอเดียในการปรับปรุงสิ่งที่เป็นอยู่ให้ดีขึ้น”
“ผมเองเป็นคนริเริ่มเรื่องสิทธิเท่าเทียมสำหรับ LGBTQ ที่ dtac โดยไปที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลแล้วบอกว่า ในอเมริกาและหลายประเทศ รวมถึงบริษัทใหญ่ๆ ก็ให้สิทธิเท่าเทียมก่อนที่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียมประกาศใช้ ทำไมเราไม่ทำแบบนั้นบ้าง เช่น เรามีประกันสุขภาพแต่ไม่สามารถซื้อให้กับคู่รักเพศเดียวกันในราคาที่คู่สมรสต่างเพศซื้อได้ ซึ่งฝ่ายบุคคลก็เข้าไปคุยกับบริษัทประกันแล้วสุดท้ายก็สามารถทำได้ หรือบางเรื่องที่เป็นกฎของบริษัทก็เปลี่ยนได้ง่ายกว่า เช่น คุณจะได้วันหยุด 3 วันถ้าแต่งงานกับคู่สมรสเพศเดียวกัน”
การเห็นคุณค่าและความสำคัญในความแตกต่าง สะท้อนถึงการเปิดกว้างขององค์กร
“การเปลี่ยนวัฒนธรรมขององค์กรเป็นเรื่องยาก สิ่งที่บริษัททำได้คือการริเริ่มโครงการใหญ่ๆ เพื่อส่งสารที่มีพลังจากระดับบนสุด นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เกิดเดือนแห่งความภาคภูมิใจสำหรับ LGBTQ ถ้าแสดงให้เห็นว่าเห็นกลุ่มชนกลุ่มน้อยนี้มีความสำคัญและพิจารณาถึงความแตกต่างและสิทธิของพวกเขา ก็เท่ากับแสดงให้เห็นว่าองค์กรเปิดกว้างให้กับทุกคน โดยที่พนักงานไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเข้ากับองค์กร และสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างแท้จริง และได้การยอมรับ นี่เป็นสิ่งสำคัญที่องค์กรทำได้”
เพราะความหลากหลายคือพลังของโลกยุคใหม่
“ผมคิดว่าการที่ยอมรับความแตกต่าง โอบรับความหลากหลาย ด้านหนึ่งคือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ทำให้ผู้คนมีความสุขและใช้ชีวิตที่ได้เป็นตัวของตัวเอง อีกด้านคือ วิธีดำเนินธุรกิจดิจิทัลในปี 2024 ที่ธุรกิจต้องเน้นความคล่องตัวมากขึ้น ทำงานเร็วขึ้น รับฟังและมีความเห็นอกเห็นใจต่อลูกค้ามากขึ้น ซึ่งจะทำให้ธุรกิจในยุคนี้ประสบความสำเร็จได้”
Lessons Learned ในการทำงานท่ามกลางความหลากหลาย
ทรู คอร์ปอเรชั่น เชื่อว่าความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเพศ วัย อายุ เชื้อชาติ ความสนใจ ไลฟ์สไตล์ โดยในเดือนแห่งความภาคภูมิใจในความหลากหลาย (Pride Month) ทรู แสดงจุดยืนในการสนับสนุนให้เกิดความเท่าเทียม จากการผสานความแตกต่าง โอบรับความหลากหลายของทุกคนในทุกมิติ และกล้าแสดงความเป็นตัวเอง ผ่านแคมเปญ #BringYourBest เพราะที่ทำงานคือพื้นที่ให้เราได้เป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด พร้อมนำเสนอเรื่องเล่าของคนทรู ที่สะท้อนความแตกต่างหลากหลายและเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้แสดงศักยภาพและความเป็นตัวเองอย่างแท้จริง
หลายปีที่ผ่านมาอาจสังเกตได้ว่า มีพี่น้องแรงงานเมียนมาและกัมพูชาเข้ามาเป็นกำลังสำคัญในหลากหลายกิจการทั้งเล็กและใหญ่ในประเทศไทย ซึ่งสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางาน เผยสถิติล่าสุดในเดือนเมษายน 2567 ว่ามีแรงงานข้ามชาติที่ได้รับอนุญาตทำงานในประเทศไทยจำนวนทั้งสิ้น 3,326,034 คน โดยเป็นแรงงานชาวเมียนมา 2,302,459 คน และแรงงานกัมพูชา 448,967 คน เห็นตัวเลขแล้วก็ไม่น่าแปลกใจ ที่เราต่างได้เห็นความหลากหลายในสังคมไทยมากยิ่งขึ้น
จากการดูแลกลุ่มลูกค้าแรงงานเมียนมาและกัมพูชากว่า 88 เปอร์เซ็นต์ในตลาด ทีมทำงานของทรูและดีแทคเดินตลาดสำรวจความต้องการของกลุ่มลูกค้า เพื่อนำมาพัฒนาบริการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อย่างต่อเนื่อง และมี Insights ที่สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตไกลบ้านของพี่น้องแรงงานต่างชาติทั้งเมียนมาและกัมพูชา ที่ทำให้เราเข้าใจพวกเขาได้มากกว่าเดิม
ทำงานสู้ชีวิต หาเงินเพื่อครอบครัว และเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น
พวกเขามีความเชื่อในเรื่องการสู้ชีวิต เพื่อให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จึงให้คุณค่ากับการทำงานหนัก ขยันและอดทน โดยมีเป้าหมายที่จะหาเงินให้ได้มาก ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาทำงานอย่างน้อย 6 วันต่อสัปดาห์ จากการเก็บข้อมูลพบว่า แรงงานข้ามชาติมากกว่าครึ่งหนึ่งได้รับค่าจ้างเป็นแบบรายวัน แต่โดยรวมแล้วมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ประมาณ 12,424 บาท ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าการทำงานในประเทศของพวกเขาเอง
โอนเงินกลับบ้านให้ครอบครัวเป็นประจำ
รายได้จากการทำงานพวกเขาจะเก็บออมและส่งเงินกลับไปให้ครอบครัว ซึ่งอาจเป็นพ่อแม่ หรือลูกที่อยู่ในประเทศของตัวเอง เพื่อให้นำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หรือเก็บไว้ซื้อรถ สร้างบ้าน รวมถึงนำไปลงทุนในกิจการส่วนตัว เพราะพวกเขามักเป็นเสาหลักของครอบครัว รายงานจาก UNDP เผยว่า เงินที่ส่งกลับมาจากต่างประเทศเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของครัวเรือนในเมียนมาเสมอมา เนื่องจากโอกาสในการทำอาชีพต่างๆ ลดลง และมีแรงงานออกจากประเทศมากขึ้น
สิ่งที่น่าสนใจคือ การโอนเงินกลับบ้าน พวกเขายังเลือกใช้ช่องทางไม่เป็นทางการที่รู้จักกันในชื่อ “โพยก๊วน” หรือการโอนส่งเงินระหว่างกันโดยอาศัยนายหน้า การศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า แรงงานเมียนมาเลือกใช้ระบบนี้ เพราะคนรับเงินปลายทางสะดวกกว่า จากการที่นายหน้านำเงินส่งให้ถึงบ้าน ไม่เหมือนกับการโอนผ่านธนาคาร ที่ผู้รับเงินต้องเดินทางไปรับเงินเอง รวมถึงระบบนี้ไม่ต้องใช้เอกสารยืนยันใดๆ เช่นเดียวกับการศึกษาของ Regional Center for Social Science and Sustainable Development (RCSD) ที่เผยว่า แรงงานกัมพูชาเลือกส่งเงินจากไทยผ่านช่องทางไม่เป็นทางการ เพื่อให้นายหน้าหรือญาติถอนเงินสดไปให้ครอบครัว ระบบนี้ยังคงได้รับความนิยมเนื่องจากส่วนใหญ่รู้จักนายหน้าจากการแนะนำต่อกัน และจากประสบการณ์ที่ได้รับเงินเต็มจำนวนตามที่ตกลงกันไว้
มีวันหยุด 1 วันต่อสัปดาห์คือ วันอาทิตย์ กิจกรรมยอดฮิตคือ เล่นอินเทอร์เน็ต
วันหยุดประจำสัปดาห์มีเพียงวันเดียวคือ วันอาทิตย์ เนื่องจากพวกเขามักทำงานในกิจการที่เปิดทำการทุกวัน เช่น พนักงานร้านค้า พนักงานร้านอาหาร คนงานก่อสร้าง พนักงานโรงงาน รวมถึงงานรับจ้างต่างๆ
สำหรับกิจกรรมในวันหยุดเป็นไปอย่างเรียบง่าย เน้นการพักผ่อน อยู่กับครอบครัว นัดเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน และเล่นอินเทอร์เน็ต จากการเก็บข้อมูลพบว่า ประเภทของแอปพลิเคชันที่มีการใช้งานสูงสุด 6 อันดับ คือ 1. โซเชียลมีเดีย 2. สตรีมมิง 3. การเงิน 4. ออนไลน์ช้อปปิ้ง 5. เกม 6. การท่องเที่ยว เมื่ออินเทอร์เน็ตมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตและการพักผ่อนของพวกเขา ค่าใช้จ่ายสำหรับการโทรและใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ที่พวกเขายินดีจ่ายอยู่ที่ประมาณ 200 บาทต่อเดือน โดยเลือกใช้เป็นแพ็กเกจแบบเติมเงิน ทรูและดีแทคจึงได้มอบสิทธิพิเศษในการเล่นโซเชียลมีเดีย และสตรีมมิงแอปได้ฟรีทุกเดือน เพียงมียอดการเติมเงินหรือใช้จ่ายต่อเนื่อง
จุดน่าสังเกตคือ แต่เดิมนั้นลูกค้ากลุ่มนี้จะมีความเชื่อว่า การซื้อซิมใหม่ทุกเดือนจะทำให้ได้เล่นอินเทอร์เน็ตที่มีความแรงมากกว่าการใช้ซิมเดิมต่อในเดือนที่ 2 จึงมียอดการทิ้งซิมเดิม และซื้อซิมใหม่ในอัตราที่สูงมาก อย่างไรก็ตามเมื่อลูกค้ากลุ่มนี้ได้ใช้ชีวิตในประเทศไทยนานขึ้น ก็จะมีเริ่มเข้าใจการใช้งานและมียอดการทิ้งซิมเดือนต่อเดือนลดลง
ชอบทำบุญเป็นชีวิตจิตใจ
แรงงานชาวเมียนมาและกัมพูชาส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา การไปวัดถือทำบุญจึงถือเป็นประเพณีสำคัญ แม้ย้ายมาทำงานในประเทศไทย พวกเขายังคงนัดกันไปทำบุญตามวัดที่ศรัทธา ซึ่งเป็นที่พึ่งทางใจยามไกลบ้านเกิด โดยอาจเป็นวัดที่มีพระชาวเมียนมาหรือกัมพูชาจำวัดอยู่ หรือวัดที่มีสถาปัตยกรรมหรือสิ่งปลูกสร้างที่พวกเขาคุ้นเคย ชาวเมียนมาหลายคนยังคงการแต่งตัวด้วยชุดประจำชาติไปวัดอีกด้วย
ในเพจเฟซบุ๊ก of dtac Myanmar, True Myanmar, dtac Cambodia, and True Cambodia ที่ถือเป็นคอมมูนิตี้ของพี่น้องแรงงานจะมีปฏิทินบอกวันสำคัญทางศาสนาทั้งในไทย เมียนมา และกัมพูชา ให้กับกลุ่มลูกค้าเป็นประจำทุกเดือน
อยากพูดไทยได้ และเขินอายที่ออกเสียงภาษาไทยได้ไม่ชัด
พี่น้องแรงงานเมียนมาและกัมพูชาที่เข้ามาทำงานในไทยนานแล้วหรืออยู่ในเขตเมือง จะเข้าใจและสื่อสารภาษาไทยได้คล่องแคล่ว แต่ก็ยังมีส่วนหนึ่งที่ยังออกเสียงภาษาไทยไม่ชัด ซึ่งก็ทำให้พวกเขารู้สึกเขินอายและไม่มั่นใจที่จะพูดกับคนไทย พวกเขาจึงพยายามที่จะฝึกพูดภาษาไทยกับเพื่อน รวมถึงการเรียนรู้จากคนไทยและสื่อบันเทิงของไทย อย่างไรก็ดี พวกเขาก็อาจยังขาดทักษะในการอ่านหรือเขียนภาษาไทย ซึ่งอาจมีผลทำให้เข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้อย่างจำกัด รวมไปถึงความก้าวหน้าทางอาชีพอีกด้วย
มีงานวิจัยพบว่า การรู้ภาษาไทยจะเป็นประโยชน์ต่อแรงงานเมียนมาโดยเฉพาะในเขตเมือง เพราะทำให้พวกเขามีโอกาสได้งานทำมากขึ้นเมื่อเข้าใจสิ่งที่นายจ้างต้องการ รวมถึงการได้ทำงานที่ใช้แรงงานน้อยกว่าเมื่อเทียบกับแรงงานที่พูดภาษาไทยไม่ได้ และหากมีทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทยได้ พวกเขาจะได้รับค่าจ้างและสวัสดิการที่ดีกว่า
จากความเข้าใจลูกค้ากลุ่มนี้ ทรูจึงได้ร่วมมือกับ มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (Labour Protection Network) หรือ LPN เปิดสอนภาษาไทยพื้นฐานให้กับชาวเมียนมาที่สนใจเรียนรู้ ผ่านช่องทาง Live online ที่เพจเฟซบุ๊ก dtac Myanmar ซึ่งมีผู้ติดตามจำนวน 3 ล้านบัญชี และ True Myanmar ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 6 แสนบัญชี ถือได้ว่าเป็น Community ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตและทำงานในประเทศไทยได้ดียิ่งขึ้น
รักพวกพ้อง ไว้ใจเพื่อน และชอบความคุ้นเคย
พวกเขาชอบใช้ชีวิตเรียบง่าย มีใจรักบ้านเกิดและพวกพ้อง การที่ต้องมาทำงานไกลบ้านทำให้รวมตัวติดต่อสื่อสารกันในกลุ่ม คำแนะนำจากเพื่อนที่มาอยู่ไทยก่อนเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อสินค้าและบริการ เรียกได้ว่า เพื่อนหรือคนใกล้ชิด เป็นผู้มีอิทธิพลต่อพวกเขาอย่างมาก เช่น การเลือกแพ็กเกจใช้งาน พวกเขาจะไม่ได้เปรียบเทียบข้อเสนอเป็นหลัก แต่มักเลือกใช้ตามกัน และเลือกตามงบที่จ่ายได้ต่อเดือน
นอกจากนี้ กลุ่มแรงงานต่างชาติชอบที่จะเลือกใช้สินค้าต่างๆ ที่เคยมีในประเทศของตัวเอง เพราะมีความคุ้นเคย และไว้วางใจในสิ่งที่เคยใช้มาแล้ว Insight ที่น่าสนใจในประเด็นนี้ คือ กลุ่มลูกค้าแรงงานเมียนมาคุ้นเคยและวางใจแบรนด์ Telenor ตั้งแต่อยู่ในเมียนมา เมื่อย้ายมาทำงานในไทยจึงเลือกค่ายที่คุ้นเคยก่อนเป็นอันดับแรก
ด้วยความเข้าใจ ใส่ใจ และให้ความสำคัญของพี่น้องแรงงานชาวเมียนมาและกัมพูชา ที่มาทำงานต่างบ้านต่างเมือง ทรู และดีแทค จึงให้บริการพร้อมดูแลเคียงข้างอย่างรู้ใจ ผ่านการพูดภาษาเดียวกันกับคอลเซ็นเตอร์ภาษาเมียนมาและกัมพูชา สร้างคอมมูนิตี้ในเพจ Facebook และ TikTok ในภาษาเมียนมาและกัมพูชา เพื่อเป็นสื่อกลางการติดต่อสื่อสาร สร้างแรงบันดาลใจ และมีคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อย่างแท้จริง
พร้อมไปกับการมอบประสบการณ์การใช้งานที่คุ้มและตรงใจที่สุดกับแพ็กเกจที่คัดสรรให้ตรงความต้องการ โดยตั้งใจมอบให้ลูกค้าชาวเมียนมาและกัมพูชาได้มีความสุขในทุกวันที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย
ข้อมูลดังกล่าว สะท้อนถึงการเติบโตด้านการลงทุนในอีโคซิสเต็มที่เกี่ยวข้องกับ AI เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงกลยุทธ์ขององค์กรที่ต่างใช้ AI เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านทรัพยากรบุคคล
“การประยุกต์ใช้ AI นั้นประกอบด้วยหลากหลายมิติและปัจจัย ไม่ใช่เพียงการลงทุนในฮาร์ดแวร์หรือทุ่มเงินดึงตัวผู้เชี่ยวชาญใน AI เท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว การประยุกต์ใช้ AI ในธุรกิจเริ่มต้นจาก “วัฒนธรรมองค์กร” ต่างหาก ทัศนคติที่เชื่อว่าองค์กรสามารถเปลี่ยนผ่านจากองค์กรแบบ AI-Ready เป็น AI-First” ศรินทร์รา วงศ์ศุภลักษณ์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ฉายภาพการแข่งขันบนสมรภูมิ AI ในงาน AI Gets Real
เธอขยายความว่า ปัจจุบัน มีบริษัทจำนวนมากที่นำ AI มาใช้พัฒนา ‘บางส่วน’ ของธุรกิจ นั่นคือ AI-Ready Organization อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาเรื่อง “บทบาทของ AI เพื่อการเติบโตทางธุรกิจ” จาก McKinsey Analytics แสดงให้เห็นถึงความท้าทายที่อยู่เบื้องหน้า เมื่อบริษัททั่วโลกที่มีมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ จำนวนราว 1,000 บริษัท มีเพียง 8% เท่านั้นที่มีแนวทางการปรับใช้ AI อย่าง “ถ้วนทั่ว” ทั้งองค์กร และนี่จึงเป็นเหตุผลว่า “ทำไมองค์กรจึงต้องเปลี่ยนทิศทางต่อการใช้ AI จาก AI-Ready สู่ AI-First”
“AI-First เป็นกรอบแนวคิดตั้งต้นของทรู เพื่อรับมือและใช้ประโยชน์จากการเกิดขึ้นของ AI อย่างเต็มศักยภาพ โดยมีรากฐานสำคัญจากการเปลี่ยนแปลงในระดับมายด์เซ็ตและวัฒนธรรมองค์กร” ศรินทร์รา กล่าว
ทั้งนี้ การเปลี่ยนรูปแบบสู่องค์กร AI-First นั้นจำเป็นต้องทรานสฟอร์มวิถีการทำงาน 3 ด้านสำคัญ ได้แก่
“หลักการทำงานทั้ง 3 ข้อขององค์กรแบบ AI-First จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการปรับกระบวนทัศน์ทางวัฒนธรรมองค์กรและทักษะ ซึ่งจะเกิดขึ้นในลักษณะบนลงล่าง (Tone from the Top) หรือ “ผู้นำ” และนั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมองค์กรแบบ AI-Ready จำเป็นต้องมีผู้บริหารที่มีมายด์เช็ตแบบ AI-First เพื่อนำพาองค์กรสู่อีกขั้นของการทรานสฟอร์ม” หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล เน้นย้ำ
แล้วผู้บริหารแบบ AI-First เป็นอย่างไร?
ศรินทร์รา อธิบายว่า ผู้บริหารแบบ AI-First ในแบบของทรู ประกอบด้วยลักษณะสำคัญ 4 ประการ ได้แก่
อย่างไรก็ตาม ลักษณะผู้บริหารแบบ AI-First นั้น อาจมีความแตกต่างกันไปตามแต่มุมมองและการนิยามของแต่ละองค์กร สำหรับทรู เราได้จัดเตรียมกลไกต่างๆ ที่ช่วยลับคมมุมมองผู้บริหารระดับสูงให้สามารถรับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นจาก AI ได้ ตัวอย่างเช่น
อย่างไรก็ตาม ในระยะแรก ทรูใช้กลยุทธ์ลักษณะ “บนลงล่าง” เป็นสำคัญ เพราะผู้บริหารเหล่านี้เปรียบเสมือนผู้ทำหน้าที่คัดท้ายเรือ ขณะเดียยวกัน การเปลี่ยนแปลงจาก “ล่างขึ้นบน” ก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ ภายในสิ้นปีนี้ ทรูตั้งเป้าในการเพิ่มขีดความสามารถทางดิจิทัลที่สำคัญแก่พนักงาน 2,400 คนในปีนี้ และเพิ่มเป็น 5,000 คนในปี 2568 โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างทักษะที่สำคัญต่อการพัฒนาธุรกิจแก่พนักงานทุกคน เช่น การวิเคราะห์ดาต้า นวัตกรรมธุรกิจ การตลาดดิจิทัล และระบบออโตเมชั่น
ทั้งนี้ คอร์สเรียนนี้ได้รับการออกแบบโดย General Assembly สถาบันฝึกอบรมระดับโลกสัญชาติอเมริกา มีจุดมุ่งหมายให้พนักงานสามารถนำทักษะเชิงเทคนิคมาผนึกกับความรู้ทางธุรกิจ แก้ไขปัญหาและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กรและลูกค้าต่อไป โดยพนักงานทุกคนจะต้องผ่านการอบรมภาคบังคับ Digital Foundation (12 ชม.) ตามด้วยการทำบททดสอบ สำหรับผู้ที่มีคะแนน 60% ขึ้นไป จะได้รับสิทธิเข้าอบรมในขั้นถัดไปภายใต้โปรแกรม Digital Citizen (35 ชม.) และสำหรับผู้ที่มีคะแนนมากกว่า 70% จะมีสิทธิเข้าอบรมระดับ Expert ซึ่งเนื้อหาก็จะเข้มข้นมากขึ้น เช่น คอร์สสำหรับผู้ประกอบอาชีพ Data Scientist ที่กินระยะเวลา 6 เดือนเต็ม ซึ่งทรูตั้งเป้าในการพัฒนาพนักงานให้อยู่ในระดับ Expert จำนวน 1,000 คน ภายในปี 2568
ที่ผ่านมา ทรูได้มีการประกาศวิสัยทัศน์องค์กรผ่าน “AI Strategy” โดยมีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาประสบการณ์ลูกค้า การเติบโตด้านดิจิทัล และผลประกอบการที่แข็งแรง แต่ไม่ว่ากลยุทธ์อะไรก็ตาม หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นที่ “คน” นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทรูให้ความสำคัญกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรสมรรถนะสูง (Performance-driven Culture) ผ่านองค์ประกอบ 4C ได้แก่ Compassion, Credibility, Co-creation และ Courage
“AI ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อมาทดแทนแรงงานมนุษย์ ในทางกลับกัน AI เป็นโอกาสของมนุษย์ให้พัฒนาความสามารถไปอีกขั้น โดยทักษะที่สำคัญที่นำไปสู่ AI First ได้แก่ การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) การแก้ไขปัญหา (Problem-solving) และการคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical Thinking)” ศรินทร์รา กล่าวทิ้งท้าย