อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร (Food for the Future) เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพและมีความสำคัญกับประเทศไทย ซึ่งล่าสุดไทยได้ก้าวขึ้นมาอยู่อันดับที่ 12 ของผู้ส่งออกอาหารของโลก จากข้อมูลของ สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป ที่รายงานว่า ในปี 2566 ยอดการส่งออกสินค้าอาหารของไทย มีอัตราเติบโตถึง 3.2% คิดเป็นมูลค่า 1.31 ล้านล้านบาท ส่วนสถานการณ์การส่งออกอาหารในอนาคตมีมูลค่าราว 1 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.2% ของอาหารทั้งหมด และคาดว่าในปี 2567 จะมีแนวโน้มที่ดีและคาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องด้วย

และด้วยอานิสงส์การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารนี้เอง ที่ทำให้อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ หรือแพคเกจจิ้ง มีอัตราการเติบโตควบคู่ไปด้วย ทำให้ในปัจจุบันมีการวางแนวทางการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ใส่ใจกับทุกรายละเอียด ตั้งแต่การออกแบบและการเลือกใช้วัตถุดิบที่ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ย่อยสลายง่าย การเลือกใช้วัสดุ ออกแบบบรรจุภัณฑ์ เพื่อกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยีการผลิต การแปรรูป รวมถึงการต่อยอดไปถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)

ในวันนี้ จึงกล่าวได้ว่าทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ของไทยได้หมุนไปตามเทรนด์โลกที่ให้ความสำคัญกับภารกิจ Net Zero Emissions และเทรนด์ความยั่งยืน ดังที่เกริ่นมานี้อย่างเป็นรูปธรรม และเพื่อให้เห็นภาพที่กล่าวมานี้อย่างชัดเจนขึ้น ต้องขอยกตัวอย่างการสร้างสรรค์โซลูชันนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน หรือ Innovative Solutions for Sustainability ของบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ผู้ผลิตและให้บริการบรรจุภัณฑ์ครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งโซลูชันนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนของ SCGP นี้ เปิดตัวแล้วในงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2024 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน พ.ศ. 2567 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ที่ผ่านมา โดยได้รับความสนใจและเสียงตอบรับที่ดีจากผู้บริโภครุ่นใหม่จำนวนมาก

คุณเอกราช นิโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กิจการบรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูง และ Enterprise Marketing Director บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงโซลูชันนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน หรือ Innovative Solutions for Sustainability ของ SCGP ว่า  “สำหรับผู้ผลิตสินค้าในยุคนี้ บรรจุภัณฑ์ไม่ได้เป็นเพียงแค่เพื่อบรรจุสินค้า แต่ยังเป็นส่วนสำคัญของการสร้างประสบการณ์ผู้บริโภค ลูกค้าต้องการบรรจุภัณฑ์ที่สร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำและสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่ได้รับ และยิ่งในยุคนี้ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันของลูกค้าอย่างสะดวกสบาย และมีความปลอดภัยในการบรรจุอาหารเพื่อบริโภคด้วย”

“SCGP จึงตั้งใจนำเสนอ โซลูชันนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน แก่ลูกค้าและธุรกิจ จากมุมมองของผู้ผลิตที่ใส่ใจรอบด้าน เพื่อตอบโจทย์องค์รวมของห่วงโซ่คุณค่าของบรรจุภัณฑ์ (Packaging Value Chain) กับการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์และสร้างความโดดเด่นให้กับสินค้าของลูกค้า ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยในกระบวนการออกแบบและผลิตบรรจุภัณฑ์ โดยการใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรขั้นสูง ทำให้สามารถผลิตบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและเป็นไปตามความต้องการของลูกค้าทุกระดับขณะเดียวกัน SCGP ยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้วัสดุรีไซเคิลและวัสดุที่มีคุณสมบัติในการย่อยสลายตัวได้ หรือการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้”

จากแนวทางที่ชัดเจนนี้เองที่นำมาสู่การออกแบบโซลูชันนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน หรือ Innovative Solutions for Sustainability ที่ได้มาเปิดตัวในงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2024 โดย คุณเอกราช ได้หยิบเอาไฮไลต์ของ “นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์” ภายใต้แบรนด์ SCGP มาบอกเล่าให้ฟังว่า

"ในงาน THAIFEX-ANUGA ASIA 2024 เราได้นำเสนอนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ของ SCGP ที่มีความหลากหลาย สอดรับกับเทรนด์และตอบโจทย์ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม โดยเราพร้อมเป็นคู่ธุรกิจที่ร่วมพัฒนานวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศร่วมกัน"

และตัวอย่างโซลูชันนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนภายในงานปีนี้ของ SCGP ได้แก่

  • บรรจุภัณฑ์อาหารประเภท Foodservice จาก Fest by SCGP ที่ตอบโจทย์ความต้องการและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น Fest Fresh Pak (Frozen) นวัตกรรมถาดกระดาษสำหรับเนื้อสัตว์แช่แข็ง สามารถใช้งานได้ในอุณหภูมิต่ำถึง -40 องศาเซลเซียส โดยที่บรรจุภัณฑ์ยังคงความแข็งแรงตลอดกระบวนการบรรจุและการขนส่งจนถึงมือผู้บริโภค ผลิตจากวัตถุดิบหมุนเวียนที่สามารถปลูกใหม่ทดแทนได้อย่างน้อย 94%
  • บรรจุภัณฑ์กระดาษ จาก SCGP ที่มีการนำเสนอโซลูชันช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจ เช่น Heat seal-able paper บรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว (Flexible packaging) ผลิตจากกระดาษที่มีคุณสมบัติปิดผนึกได้ด้วยความร้อน สามารถนำไปรีไซเคิลได้ เป็นทางเลือกของผู้ประกอบการที่ต้องการใช้บรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว (Flexible packaging) ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

  • บรรจุภัณฑ์รักษ์โลกที่รีไซเคิลได้ง่าย หรือทำมาจากวัสดุรีไซเคิล จาก SCGP เช่น บรรจุภัณฑ์ R1+ นวัตกรรม Mono-material flexible packaging ที่ผลิตจากพลาสติกเพียงชนิดเดียว สามารถนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ง่าย และยังคงคุณภาพและความแข็งแรงทนทานต่อการใช้งาน บรรจุภัณฑ์มีคุณสมบัติในการป้องกันการซึมผ่านของอากาศและความชื้น ที่ช่วยปกป้องสินค้าประเภทอาหารได้ดี

นอกจากนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์หลากหลายประเภทที่ตอบสนองการใช้งานได้อย่างครอบคลุมแล้ว ภายในงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2024 ยังมีโซลูชันด้าน Healthcare จาก SCGP ที่ช่วยควบคุมคุณภาพกระบวนการผลิตอาหาร และตรวจสอบอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ PATHfinder – Microbiology Contaminants ชุดน้ำยาตรวจเชื้อจุลินทรีย์ในอาหารและน้ำ และนวัตกรรมที่ต่อยอดจากความเชี่ยวชาญด้านการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของ SCGP ที่สามารถผลิตออกมาเป็นผลิตภัณฑ์อย่างแบรนด์ ALMIND by SCGP ผลิตภัณฑ์สำหรับคุณแม่และลูกน้อย ที่มีความปลอดภัย อ่อนโยน ผ่านการรับรองจากหน่วยงานผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนัง

ที่สุดแล้ว คุณเอกราช ได้เน้นย้ำถึงเป้าหมายสำคัญที่ SCGP ต้องการจะขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นในอนาคต ในการพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจว่า

“เป้าหมายหลักในการพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์และโซลูชันด้านต่าง ๆ ในอนาคตของ SCGP จะสอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ และยังมุ่งเน้นการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้วัสดุรีไซเคิลและวัสดุที่มีคุณสมบัติในการย่อยสลายตัวได้ หรือการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยในปี 2566 สัดส่วนปริมาณบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิล ใช้ซ้ำ หรือสลายตัวได้อยู่ที่ 99.7% ซึ่ง SCGP ยังคงมุ่งมั่นก้าวต่อไปในการออกแบบบรรจุภัณฑ์ เพื่อมุ่งสู่การผลิตบรรจุภัณฑ์ทั้งหมด 100% ที่สามารถใช้ซ้ำ นำกลับมาใช้ใหม่ หรือสลายตัวได้ ภายในปี 2573 ต่อไป

เอสซีจี องค์กรนวัตกรรมชั้นนำระดับอาเซียน เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาออนไลน์ชุดใหม่ “SCG The Possibilities” ชวนก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ #เป็นไปได้ไปด้วยกัน ด้วยนวัตกรรมกรีน จากพลังความร่วมมือทุกภาคส่วน โดยออกแบบกระบวนการผลิตให้ลดคาร์บอนไดออกไซด์ ควบคู่กับเพิ่มฟังก์ชันใช้งานที่ตอบโจทย์ลูกค้า สังคม สิ่งแวดล้อม ตามความมุ่งมั่น Passion for Inclusive Green Growth สร้างการเติบโตร่วมกันบนสังคมคาร์บอนต่ำ คุณภาพชีวิตดี เศรษฐกิจโต สังคม สิ่งแวดล้อมน่าอยู่ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

สำหรับภาพยนตร์โฆษณาออนไลน์ชุด “SCG The Possibilities” บอกเล่าเรื่องราวของเด็กชายช่างคิดช่างสงสัยที่สนใจวิกฤตและสิ่งรอบตัว ถึงเหตุการณ์ในบ่ายวันหนึ่งซึ่งอากาศร้อนกว่าที่เคยเป็นมา จนแม่ที่มองออกไปนอกหน้าต่างเอ่ยถามถึงสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ เด็กชายที่นั่งวาดรูปต่อเติมจินตนาการอยู่จึงตอบแม่ทันควันว่า “ภาวะโลกเดือด เกิดจากก๊าซคาร์บอนฯ เยอะเกินไป เราต้องช่วยกันลดคาร์บอนนะ” แต่คำตอบดังกล่าวทำให้แม่สงสัยว่าจะเป็นไปได้อย่างไร เราจะลดคาร์บอนฯ และสร้าง “สังคมคาร์บอนต่ำ” ได้จริงหรือ?

เด็กชายในภาพยนตร์โฆษณาออนไลน์ชุดนี้ จึงเริ่มอธิบายให้แม่ฟังจากจินตนาการเล็ก ๆ บนกระดาษ สู่การสร้างสรรค์ “นวัตกรรมกรีน” จากเอสซีจี ที่ช่วยให้ภารกิจการลดคาร์บอนฯ ครั้งนี้เป็นไปได้ ด้วยการชวนทุกภาคส่วนมามีส่วนร่วม ทั้งนักวิจัย ผู้รับเหมาก่อสร้าง สตาร์ทอัพ แม่บ้าน คนทั่วไป หรือตัวเด็กเอง อาทิ การจับแสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงมาเปลี่ยนเป็นพลังงานสะอาดสำหรับภาคอุตสาหกรรม ทั้งยังแบ่งกันใช้ได้ทั้งวันทั้งคืน การทำให้บ้านหรืออาคารก็ช่วยลดคาร์บอนฯ ได้ตั้งแต่ขั้นตอนก่อสร้างจนถึงการอยู่อาศัย การทำธุรกิจค้าขายที่ต้องขนส่งสินค้าเป็นประจำก็เลือกใช้แพคเกจจิ้งและการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ หรือการใช้ชีวิตของคนทั่วไปที่เคยก่อให้เกิดขยะพลาสติกที่ใช้แล้วทิ้งก็สามารถนำมาหมุนเวียนให้เกิดเป็นพลาสติกใหม่ได้กรีนกว่าเดิม ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องการสะท้อนให้เห็นว่าไม่ว่าใครก็ช่วยสร้าง “สังคมคาร์บอนต่ำ” ให้ “เป็นไปได้ไปด้วยกัน” ด้วย “นวัตกรรมกรีน”

หากสนใจอยากสร้าง #สังคมคาร์บอนต่ำ ให้ #เป็นไปได้ไปด้วยกัน กับเอสซีจี สามารถรับชมภาพยนตร์โฆษณาออนไลน์ชุด “SCG The Possibilities” นี้ได้แล้วที่ YouTube : SCG Channel https://bit.ly/scgthepossibilities Facebook: www.facebook.com/SCGofficialpage หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.scg.com/innovation/the-possibilities

เมื่อเร็ว ๆ นี้ “วินด์เซอร์” (WINDSOR) ผู้นำตลาดประตูหน้าต่างไวนิล ในกลุ่มธุรกิจเอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ เอสซีจีซี (SCGC) เปิดตัวนวัตกรรมสินค้าประตู หน้าต่างไวนิล ยกระดับบ้านอยู่สบาย ด้วย “Ultimate Protection” ป้องกันความร้อน ฝุ่น เสียง ไม่รั่วซึม พร้อมชูรักษ์โลกประหยัดพลังงาน และผลิตจากวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เปิดประสบการณ์การอยู่อาศัยไร้รอยต่อ ภายใต้แนวคิด Seamless Living Experience” ตอบโจทย์งานดีไซน์ทุกสไตล์ ในงาน “สถาปนิก’67” (ASA 2024) ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ที่ผ่านมา

“วินด์เซอร์” (WINDSOR) เดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าและบริการคุณภาพ พร้อมมุ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่งมอบแรงบันดาลใจแก่ผู้เข้าร่วมชมงานในพื้นที่บูทสองชั้น ยิ่งใหญ่กว่าที่เคย ตอกย้ำศักยภาพด้านงานออกแบบที่พร้อมตอบโจทย์งานดีไซน์ได้ทุกสไตล์ ชวนมาพิสูจน์คุณสมบัติ Ultimate Protection’ ปกป้องบ้านและผู้อยู่อาศัยอย่างสูงสุด ด้วยมุมทดสอบประสิทธิภาพการป้องกันความร้อน ให้บ้านเย็นกว่า ประหยัดการใช้พลังงานในระยะยาว โดยสามารถประหยัดค่าไฟได้สูงสุด 9,144 บาท/ปี (คำนวณจากบ้านเดี่ยวพื้นที่ใช้สอย 150 ตารางเมตร) ป้องกันมลภาวะและฝุ่นจากภายนอกเข้าสู่ตัวบ้านได้ดีกว่าวัสดุทั่วไป 3 เท่า ป้องกันเสียงรบกวนได้ดีกว่าอลูมิเนียมทั่วไปถึง 40% รวมทั้งป้องกันการรั่วซึม มั่นใจว่าบ้านอยู่สบาย นอกจากนี้ วินด์เซอร์ยังมุ่งพัฒนาวัสดุและกระบวนการประกอบประตูหน้าต่างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยทุก ๆ การใช้ประตูหน้าต่างไวนิล วินด์เซอร์ 1 หลัง สามารถลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 39 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 5 ต้น ตอบโจทย์เจ้าของบ้านสายกรีนได้เป็นอย่างดี

วินด์เซอร์ได้นำเสนอนวัตกรรมอื่น ๆ ภายในงาน อาทิ ระบบบานเลื่อนรูปแบบใหม่ ‘SIGNATURE PRO’ ที่ทำความกว้างได้ถึง 5.6 เมตร ความสูงได้ถึง 3 เมตร เชื่อมต่อพื้นที่ภายในสู่ภายนอกอย่างอิสระ มอบสัมผัสแห่งการอยู่อาศัยที่เปิดกว้าง เหมาะสำหรับงานออกแบบที่ต้องการความปลอดโปร่ง เช่น บ้านพักประเภทรีสอร์ต และพูลวิลล่า ที่ต้องการบรรยากาศใกล้ชิดธรรมชาติ พร้อมเปิดตัวดีไซน์วงกบรูปแบบใหม่ในตระกูล RIGHT Series กับRIGHT XTEND’ ที่มีขนาดวงกบ 10 เซนติเมตร เรียบเสมอกับระดับผนัง ใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ แต่ยังคงกลิ่นอายโมเดิร์นที่เป็นเอกลักษณ์ของ RIGHT Series ตอบครบ จบทุกความต้องการเรื่องประตูหน้าต่าง

เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน ชูนวัตกรรมกรีน เปิดตัวปูนคาร์บอนต่ำรายแรกของไทย แสดงความเป็นผู้นำและร่วมรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่กระบวนการผลิต ด้วยคุณภาพมาตรฐานสิ่งแวดล้อมระดับนานาชาติ โดยส่งออกปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำไปยังสหรัฐอเมริกาได้มากกว่า 1 ล้านตัน พร้อมแผนการส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050

นายนพพร กีรติบรรหาร Chief Marketing Officer – Marketing and Branding เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน กล่าวว่า “เอสซีจีให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจควบคู่กับการดูแลใส่ใจชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม และโลก ตามแนวทาง Inclusive Green Growth ธุรกิจอยู่ได้ โลกก็อยู่ได้ด้วย นอกจากส่งเสริมการใช้ “ปูนคาร์บอนต่ำ” ภายในประเทศ ซึ่งมีแนวโน้มการใช้งานทดแทนปูนมาตรฐานเดิม ที่มีประสิทธิภาพในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 15-20 เรายังพัฒนาคุณภาพปูนซีเมนต์ผงสำหรับส่งออก “ปูนเอสซีจี Type IL: Hydraulic Cement” โดยได้รับฉลากรับรอง Environmental Product Declaration (EPD) North America รายแรกของไทย ตามมาตรฐาน ISO 14020, 14025, 21930 และ ASTM International General Program Instructions จาก ASTM สร้างความมั่นใจในการใช้งานทั้งคุณภาพและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สะท้อนจากผลสำเร็จที่เอสซีจี มียอดการส่งออกปูนซีเมนต์ผง Type I/II และ Type IL ไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากว่าล้านตัน ตั้งแต่เริ่มส่งออกปูนซีเมนต์ผง Type I/II ในปี 2020 ไปยังรัฐแคลิฟอร์เนีย และขยายฐานลูกค้าต่อเนื่องสำหรับปูนซีเมนต์ผง Type IL (ปูนคาร์บอนต่ำ) ไปยังรัฐวอชิงตันและรัฐฮาวาย โดยในอนาคตเรามีแผนที่จะขยายตลาดไปยังรัฐอื่น ๆ ในอเมริกาอย่างต่อเนื่อง”

เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน ไม่หยุดที่จะพัฒนานวัตกรรมปูนซีเมนต์ เพื่อยกระดับงานก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น พร้อมมุ่งสร้างสังคม Net Zero ที่น่าอยู่สำหรับทุกคน ควบคู่ไปกับการทำธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในประเทศและตลาดต่างประเทศต่อไป

เอสซีจีได้รับรางวัล Top 1% S&P Global Corporate Sustainability Assessment ในงาน “S&P Global Sustainability Yearbook 2024 Distinction Ceremony in Bangkok” โดยเป็นบริษัทแรกในอาเซียนที่ได้รับคัดเลือกให้อยู่ในดัชนี DJSI World  ตั้งแต่เริ่มจัดทำ Sustainability Yearbook เมื่อปี พ.ศ.2547 สะท้อนความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน (ESG) มาต่อเนื่องยาวนาน 20 ปี คู่กับ DJSI นอกจากนั้นยังร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแบ่งปันประสบการณ์ สร้างแรงบันดาลใจให้บริหารงานตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนแก่บริษัทจดทะเบียนอื่นๆ  ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนของไทยอยู่ใน DJSI 47 บริษัท มากเป็นลำดับต้นๆ ของโลก ทั้งนี้ รางวัลดังกล่าวจัดขึ้นในงานเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปี รายงานความยั่งยืน “S&P Global Sustainability Yearbook 2024 Distinction Ceremony in Bangkok”

ดร.ชนะ ภูมี ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การบริหารความยั่งยืน เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจี รู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตลอด 20 ปีที่ผ่านมา จนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางให้เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในระดับโลก  รางวัลนี้เป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จของเอสซีจีในการดำเนินงานด้านความยั่งยืนที่ครอบคลุมทั้งมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (ESG) สะท้อนผ่านผลการประเมินความยั่งยืนขององค์กร (Corporate Sustainability Assessment: CSA) ซึ่ง S&P Global คัดเลือกจาก 9,400 บริษัท ใน 62 อุตสาหกรรมทั่วโลก เอสซีจีเป็นองค์กรที่เปิดรับโอกาสและความท้าทายที่ไม่เคยหยุดนิ่ง นำมาปรับเปลี่ยนพัฒนาให้องค์กรสามารถปรับตัว มีความยืดหยุ่น พร้อมรับกับวิกฤตและโอกาสที่จะเกิดขึ้น

เอสซีจีพร้อมเดินหน้าต่อไปสู่เป้าหมายการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ผ่านแนวคิด Passion for Inclusive Green Growth สร้างสังคม Net Zero ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยนวัตกรรมกรีนโดยไม่ทิ้งใครข้างหลัง ด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อม สร้างโอกาสและคุณค่าที่ยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วน และร่วมขับเคลื่อนสังคมไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน”  

นอกจากนี้ ธุรกิจแพคเกจจิ้งในเอสซีจีติดอันดับด้านการประเมินความยั่งยืนตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทชั้นนำระดับโลก Top 1% S&P Global Corporate Sustainability Assessment ในกลุ่มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ (Containers & Packaging Industry) จากทั้งหมดกว่า 51 บริษัททั่วโลก

ตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 เอสซีจี ได้รับการประเมินเป็นอันดับ 1 ของโลก 10 ปี และอยู่ใน 3 อันดับแรกของโลกต่อเนื่อง 14 ปี ในกลุ่มอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง (Construction Material) รวมทั้งได้รับการประเมินให้เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนระดับโลกผ่าน 2 ดัชนีชั้นนำ ได้แก่ ESG Risk Ratings ระดับ ESG Industry Top Rated กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมจาก Morningstar Sustainalytics และ MSCI ESG Ratings ระดับ AA กลุ่มอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างจาก Morgan Stanley Capital International (MSCI)

X

Right Click

No right click