September 19, 2024
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 7637

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 802

เมอร์ค บริษัทชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากประเทศเยอรมนี จัดฉลองครบรอบ 350 ปีทั่วโลก พร้อมประกาศเดินหน้านำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่อนาคต ภายใต้ธีมหลัก “Always Curious”

นายคริส ซิสเนรอส กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมอร์ค จำกัด (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า “ปี 2561 เป็นปีที่เมอร์คมีอายุครบรอบ 350 ปี นับเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมากที่ “เมอร์ค” กลายเป็นบริษัทวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสัญชาติเยอรมันที่เก่าแก่ที่สุดในโลก จากการวางรากฐานด้านวิทยาศาสตร์ของนายเฟรดริก จาคอบ เมอร์ค มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ​2211 และได้พัฒนาผลงานด้านการวิจัยและพัฒนาที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติมากมายจากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงปัจจุบันนี้ เมอร์คมีสำนักงานตั้งอยู่ใน 66 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งสาขาในประเทศไทย โดยมีธุรกิจหลักเกี่ยวกับยาและสุขภาพ วิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งมีชีวิต และวัสดุและเทคโนโลยีเพื่อประสิทธิภาพ โดยเมอร์คมียอดขายเติบโตในไตรมาสแรกของปี 2561 จำนวน 3.7 พันล้านยูโร โดยกลุ่มธุรกิจด้านยาและสุขภาพ และวิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งมีชีวิต มีอัตราเติบโตขึ้น 3.5% ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย จึงนับได้ว่า เป็นบริษัทด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีเรื่องราวความสำเร็จที่น่าทึ่ง และยังเป็นการเติบโตที่มั่นคง แข็งแกร่ง มาอย่างยาวนานอีกด้วย”

สำหรับประเทศไทย เมอร์ค ได้เข้ามาร่วมลงทุนในไทยยาวนานถึง 27 ปี ในฐานะกิจการร่วมการค้าระหว่างบริษัท เมอร์ค เคจีเอเอ และบริษัท บี กริม (ประเทศไทย) จำกัด โดยดำเนินธุรกิจแบบ B2B ดังเช่นเมอร์คทั่วโลก โดยธุรกิจหลักของประเทศไทยที่มีอัตราเติบโตสูง ได้แก่ กลุ่มยาและสุขภาพ ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางสำหรับผลิตภัณฑ์ด้านชีวเวชภัณฑ์สำหรับการแพทย์ที่ครอบคลุมการรักษาตั้งแต่โรคที่มาจากความผิดปกติของระบบประสาท เนื้องอกหรือมะเร็ง ภาวะมีบุตรยาก โรคหัวใจและหลอดเลือด และยาทั่วไปที่จ่ายโดยแพทย์เท่านั้น รวมไปถึงกลุ่มเวชภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่สามารถซื้อผลิตภัณฑ์ยาของเมอร์คได้จากร้านขายยาที่มีเภสัชกรเป็นผู้ให้การแนะนำ เป็นต้น นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจที่ได้รับการตอบรับดีจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้แก่ กลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งมีชีวิต ซึ่งเมอร์คมีความเชี่ยวชาญ และความพร้อมในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งสามารถส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมทั้งวงการแพทย์ อาหารและยา วิทยาศาสตร์ และวิจัยพัฒนา ได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ ในการร่วมฉลองครบรอบ 350 ปีของเมอร์คนั้น “เมอร์ค ประเทศไทย” ได้ร่วมดำเนินงาน และเข้าร่วมกิจกรรมตาม proof print ของเมอร์คภายใต้ธีมเดียวกันทั่วโลก "Always Curious” ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมที่มุ่งเน้นการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อก้าวเข้าสู่อนาคตดิจิทัลต่างๆ มากมาย อาทิ การจัดงาน “Curious2018 – Future Insight” ที่เมืองดาร์มสตัดท์ ประเทศเยอรมนี ที่รวบรวมนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกกว่า 35 คน มาร่วมอภิปรายเกี่ยวกับอนาคตของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการจัดกิจกรรม “Technology Days” ในงานฉลอง 350 ปีในโซนเอเชีย ที่ประเทศจีน เพื่อยกระดับโครงการนวัตกรรมและการวิจัยของเมอร์ค รวมถึงการประกาศจับมือกับอาลีบาบา เฮลท์ (Alibaba Health) เพื่อให้ผู้ป่วยชาวจีนและครอบครัวได้เข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้ง่ายขึ้นผ่านการใช้แอพพลิเคชั่นออนไลน์ เป็นต้น

“ผมมองว่า เมอร์คมีความตั้งใจหลายอย่างที่จะมอบให้กับโลกนี้ด้วย Proof Point ที่ทำให้เรามายืนได้ในจุดนี้ เรามีการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้โฟกัสในธุรกิจยาที่สั่งโดยแพทย์มากขึ้น รวมถึงการจัดโครงการ 350 Good Deeds ที่รวบรวมกิจกรรม CSR จากเมอร์คทั่วโลกให้ครบ 350 โครงการตลอดทั้งปีนี้ ตลอดจนการรีแบรนด์ดิ้งเมอร์คทั่วโลกให้มีรูปลักษณ์ทันสมัย สนุกสนาน และมีชีวิตชีวา มาตั้งแต่ปลายปี 2558 ซึ่งทำให้วิทยาศาสตร์ไม่ใช่สิ่งที่เข้าถึงยาก และน่าเบื่ออีกต่อไป แต่เป็นวิทยาศาสตร์ที่สนุกและน่าเรียนรู้ ท้าทายความสงสัยใคร่รู้ ที่ทำให้เมอร์ค ช่วยพัฒนาวงการวิทยาศาสตร์มาได้ยาวนานถึง 350 ปี และความอยากรู้อยากเห็นนี้เองที่เป็นแรงผลักดันและกระตุ้นให้องค์กร และบุคลากรของเมอร์คได้ใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเราเพื่อช่วยพัฒนาให้เกิดความก้าวหน้า และอำนวยความสะดวกให้สังคมโลกในด้านต่างๆ ได้ต่อไปในอนาคต" นายคริส กล่าวทิ้งท้าย

โลกยุคดิจิทัลผันเปลี่ยนด้วยเทคโนโลยี ระเบียบการค้าและตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แม้ประเทศไทยจะมีจุดได้เปรียบด้านอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม จากการเป็นดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีผลิตผลการเกษตรหลากหลายตลอดปีแต่โรงงานอุตสาหกรรมผลิตและแปรรูปส่วนใหญ่ ยังประสบกับปัญหาการขาดความรู้ความเข้าใจและการนำองค์ความรู้และเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนายกระดับและสร้างนวัตกรรมอาหารและเครื่องดื่ม
คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง (สจล.) ร่วมกับ EHEDG และ บ.เอ็นเดรส แอนด์ เฮาเซอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด จัดงาน"Technology Sharing Day for Food & Beverage" โดยมี รศ. ดร.คมสัน มาลีสี คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เป็นประธานเปิดงานสัมมนา วันเทคโนโลยีอาหารและเครื่องดื่ม "Technology Sharing Day for Food & Beverage" รศ.ดร.นวภัทรา หนูนาค ประธาน พร้อมด้วยรศ.ดร.ทวีพล ซื่อสัตย์ ประธานร่วม EHEDG Thailand และ คุณคาติกเคยัน เชอลาพัน (Kartikeyan Chellappen) จาก บ.เอ็นเดรส แอนด์ เฮาเซอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำเทคโนโลยีเครื่องมือด้านการวัดที่ใช้อุตสาหกรรม มากว่า 20 ปี ร่วมให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีเครื่องดื่มและอาหารแก่ผู้ประกอบการอาหารและเครื่องดื่มไทย ณ ศูนย์พัฒนานวัตกรรมและบริการวิศวกรรม (EIDTs) คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล.

รศ. ดร.คมสัน มาลีสี คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า การสร้างความเข้มแข็งในอุตสาหกรรมผลิตและแปรรูปอาหาร-เครื่องดื่ม จะช่วยยกระดับคุณภาพ สุขอนามัย คุณค่าทางโภชนาการและภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือ การสัมมนาครั้งนี้มุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการสามารถนำความรู้ไปปฏิบัติใช้ในเรื่องของการออกแบบโครงสร้างการผลิต อุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องจักร รวมไปถึงการเลือกใช้วัสดุที่ไม่ก่อให้เกิดการปนเปื้อนในผลิตถภัณฑ์อาหาร ซึ่งโรงงานส่วนมากมักพบกับปัญหาที่ต้องตามแก้ไขทั้งด้านสถานที่ตั้งเครื่องมือ เครื่องจักรที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ทำให้ต้องเสียเวลาและงบประมาณจำนวนมากในการแก้ไขปรับปรุงเพื่อให้ผ่านการรับรองระบบมาตรฐานต่างๆ

รศ.ดร.นวภัทรา หนูนาค ประธาน EHEDG THAILAND กล่าวว่า ภายในงานสัมมนา "Technology Sharing Day for Food & Beverage" ได้ถ่ายทอดความรู้ด้านการออกแบบและการติดตั้งเครื่องจักรที่ถูกสุขลักษณะและการติดตั้งระบบเซนเซอร์ กล่าวคือ อุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องจักรที่ถูกสุขลักษณะต้องไม่ทำจากวัสดุที่มีปฏิกิริยากับอาหารและเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ไม่ก่อให้เกิดสนิม ทำความสะอาดง่าย และเพียงพอต่อการปฏิบัติงาน รวมไปถึงการประยุกต์ใช้เครื่องมือสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคตามมาตรฐานสากล ในส่วนการดำเนินการทุกขั้นตอนต้องมีการควบคุมตามหลักสุขาภิบาลที่ดีและถูกสุขลักษณะ ตั้งแต่การรับวัตถุดิบ ชนิด ปริมาณ การรับวัตถุดิบและสารเคมีที่ใช้ในการผลิต รวมถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่ผลิตได้ การจัดเก็บ การเตรียมการผลิต การบำบัดด้วยความร้อน การทำความสะอาด การบำรุงรักษา การทำความสะอาดและกำจัดกากของเสีย อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องจักรเป็นประจำ การใช้สารเคมีที่ทำความสะอาด ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ปลอดภัยต่อการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ปลอดภัยและเป็นที่ไว้วางใจของคู่ค้าและผู้บริโภคโดยสอดคล้องกับมาตรฐานสากลและตลาดโลก

สำหรับ EHEDG (European Hygienic Engineering and Design Group) ประจำประเทศไทย หรือ EHEDG Thailand เป็นเครือข่ายของ องค์กรสากล EHEDG ซึ่งเป็นองค์กรด้านสุขอนามัยและวิศวกรรมอาหาร ในสหภาพยุโรปที่ก่อตั้งขึ้น โดย EHEDG เป็นศูนย์รวมเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญการผลิตอาหาร การผลิตเครื่องมือเครื่องจักรที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ผู้เชี่ยวชาญและนักวิจัยจากสถาบันการศึกษาและองค์กรต่างๆ รวมทั้งองค์กรเพื่อสุขภาพ EHEDG มีบทบาทเป็นผู้กำหนดแนวปฏิบัติ (EHEDG guidelines) เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการมีแนวทางที่ถูกต้องและสามารถปฏิบัติตามกฎหมายของยุโรปได้ ทั้งเน้นการส่งเสริมให้ข้อกำหนดและแนวปฏิบัติเป็นหนึ่งเดียวกันทั่วโลก นอกจากนี้ EHEDG ยังกำหนดแนวปฏิบัติและให้การรับรองอุปกรณ์วิศวกรรม เครื่องมือเครื่องจักรในกระบวนการผลิตอาหารอย่างมีคุณภาพและปลอดภัยตามมาตรฐานISO 14159 และ EN 1672-2 โดย EHEDG Thailand ได้จัดทำ คู่มือ EHEDG Guidelines Vol.2 เกี่ยวกับเกณฑ์การออกแบบอุปกรณ์และเครื่องมือตามหลักสุขลักษณะ ประกอบด้วยแนวปฏิบัติด้านการออกแบบอุปกรณ์แปรรูปอาหารเหลวในระบบปิดตามหลักสุขลักษณะ เช่น ปั๊ม ถังผสม ถังเก็บ ระบบเดินท่อ, ข้อกำหนดทางด้านสุขอนามัยของวาล์วสำหรับกระบวนการแปรรูปอาหาร, การต่อท่อแบบคัปปลิงตามหลักสุขลักษณะ และการออกแบบปั๊มโฮโมจิไนเซอร์และอุปกรณ์แดมพ์เพนนิ่งตามหลักสุขอนามัย 
ปัจจุบันองค์กรสากล EHEDG มีสำนักงานในภูมิภาคต่างๆเช่น เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี เนเธอร์แลนด์ กลุ่มประเทศนอร์ดิค โปแลนด์ สเปน สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น และกำลังขยายไปยังประเทศในเอเซียและยุโรปตะวันออก
สำหรับ EHEDG ประเทศไทยนั้น สจล.เป็นตัวแทนในภูมิภาคขององค์กรสากลนี้

ประกันภัยเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากกระแสดิจิทัล โลกเริ่มเห็นความเคลื่อนไหว Insure Tech ตีคู่มากับ Fin Tech ที่เข้ามาอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภค

ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงบทบาทและความสำคัญของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และประสาทวิทยาศาสตรที่มีต่อโลกธุรกิจ โดยจะขอเน้นตัวอย่างไปที่การประยุกต์ใช้ทางด้านการเงิน

สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เดินหน้านโยบายพลังงานฐานนวัตกรรม “Energy 4.0” ยกระดับประสิทธิภาพของระบบพลังงาน ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มมูลค่า ผสานกับการใช้พลังงานสะอาด เปิดตัวคลิปวิดีโอประชาสัมพันธ์เรื่อง “Energy 4.0” ดึงมาสคอต ‘ฮีโร่พลังคิด’ มาเป็นตัวเอกเดินเรื่องด้วยข้อมูลที่ย่อยง่ายเพื่อสร้างการเข้าใจถึงทิศทางพลังงานยุคใหม่ ซึ่งจะมีส่วนช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชน

Page 8 of 8
X

Right Click

No right click