December 16, 2025

กลุ่มบริษัทวิวาลดี้ นำโดยนายบุรินทร์ นาคเจริญ ประธานบริษัท เข้าร่วมโครงการ Latin Link ประจำปี 2567 เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและผู้แทนระดับสูง เป็นผู้แทนนำคณะนักธุรกิจไทยเดินทางไปเยือนประเทศในภูมิภาคลาตินอเมริการวม 3 ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐชิลี สาธารณรัฐเปรู และสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนไทยได้สำรวจโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ตลอดจนเข้าพบปะหารือกับหน่วยงานสำคัญได้โดยตรง พร้อมเยี่ยมชมตลาดการค้าต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยพัฒนาภาคธุรกิจการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ตลอดจนส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศภาคีได้อย่างยั่งยืน

นายบุรินทร์ นาคเจริญ ประธานบริษัทวิวาลดี้ ซีซั่นส์ จำกัด กล่าวว่า “ต้องขอขอบคุณกระทรวงการต่างประเทศที่ได้ริเริ่มโครงการลาตินลิงค์ (Latin Link) และเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนได้เดินทางไปพบปะหารือกับหน่วยงานต่าง ๆ ของลาตินอเมริกาซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพด้านการลงทุนในหลาย ๆ ภาคธุรกิจ ทั้งการขนส่ง วัสดุก่อสร้าง การท่องเที่ยว ตลอดจนถึงการผลิตไวน์”

โครงการ Latin Link จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2557 และดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการครั้งที่ 4 ในปีนี้ประกอบด้วยกิจกรรมสำคัญ อาทิ การเข้าพบหารือหน่วยงานภาครัฐบาลและเอกชนชั้นนำ เช่น สถานเอกอัครราชทูต หอการค้า ท่าเรือ บริษัทผู้ประกอบการรายใหญ่ ฯลฯ ของแต่ละประเทศ การสำรวจตลาดสินค้าหลัก การเยี่ยมชมไร่องุ่นและแหล่งผลิตไวน์ชั้นนำ งานเลี้ยงสังสรรค์เพื่อการสร้างเครือข่ายธุรกิจ ตลอดจนการเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูล กระชับความสัมพันธ์ ตลอดจนสร้างเครือข่ายภาคีความร่วมมือกับผู้ประกอบการและหน่วยงานด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพในระดับภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กลุ่มบริษัทวิวาลดี้ ในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจการค้าและบริการในประเทศไทย พร้อมให้การสนับสนุนโครงการความร่วมมือด้านธุรกิจและการค้าระหว่างประเทศทั้งของหน่วยงานภาครัฐบาลและภาคเอกชน เพื่อร่วมขยายศักยภาพทางการค้าการลงทุน และส่งเสริมเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศไทยต่อไป

“ดีโด้” น้ำผลไม้พร้อมดื่มยอดขายอันดับ 1 ของไทย ไม่ปล่อยให้รอนาน กลับมาจัดบิ๊กแคมเปญให้ได้ลุ้นตำแหน่งเศรษฐีหน้าใหม่คนต่อไปอีกครั้ง กับแคมเปญพารวย “เศรษฐีดีโด้ เศรษฐี 4 ภาค” ปี 2 ที่จัดหนัก แจกยิ่งใหญ่กว่าเดิม มีสิทธิ์ลุ้นรวย ถึง 3 ต่อ ต่อที่ 1  ลุ้นรางวัลสร้อยคอทองคำ หนัก 25 สตางค์ รวมทั้งสิ้นจำนวน 308  รางวัล รวมมูลค่า 3,443,902 บาท จับรางวัลทุกสัปดาห์ ต่อที่ 2 ลุ้นรางวัลทองคำแท่ง หนัก 5 บาท รวมทั้งสิ้น 4 รางวัล รวมมูลค่า 877,400 บาท (*หมายเหตุ ราคาทองคำ ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2567) และ ต่อที่ 3 ลุ้นรางวัลใหญ่  รถกระบะ TOYOTA Smart Cab Prerunner  จำนวน 1 รางวัล  รวมมูลค่า 911,000 บาท รวมจำนวนของรางวัลทั้งรายการ 313 รางวัล รวมมูลค่าทั้งสิ้น 5,232,302 บาท โดยสามารถร่วมลุ้นเป็นเศรษฐีง่าย ๆ เพียงซื้อผลิตภัณฑ์ดีโด้ ทุกรสชาติ ขนาด 450 ml.และ 225 ml. และสแกน QR Code และกรอกรหัสใต้ฝาดีโด้ ลงทะเบียน ชื่อ นามสกุล หมายเลขโทรศัพท์ จังหวัด (โปรดระบุตามหน้าบัตรประชาชนเท่านั้น)  ดีโด้ยิ่งบิดเยอะยิ่งมีสิทธิ์รวย อย่ารอช้า!! เพียงเท่านี้ก็มีสิทธิ์ได้เป็นเศรษฐีคนต่อไป

เตรียมตัวมาลุ้นรวย พร้อมเป็นเศรษฐีกันได้ตั้งแต่ วันที่ 1 กันยายน 2567 – 30 พฤศจิกายน 2567 ติดตามข้อมูลรายละเอียดแคมเปญเพิ่มเติมได้ที่ https://deedojuice.com/login.php และติดตามการประกาศรายชื่อผู้โชคดีได้ที่ Facebook Fanpage : DeeDo

โรงเรียนนานาชาติ DLTS  โรงเรียนนานาชาติสามภาษา เน้นปูพื้นฐานความพร้อมทั้งด้านวิชาการและทักษะแห่งอนาคตให้แก่นักเรียน ล่าสุดเปิดแผนลงทุน 600 ล้านบาท สร้างอาคารเรียนและอาคาร Club House (Gymnasium /Sport Center)  พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตอบโจทย์การเรียนและการใช้ชีวิตในโรงเรียน  เปิดรับนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นเตรียมอนุบาลถึงมัธยมศึกษาตอนต้น (Preschool Grade 9) ซึ่งเป็นโรงเรียนนานาชาติหลักสูตร อเมริกันเน้น STEM Education เพื่อเป็นการวางรากฐานความรู้ทางด้านเทคโนโลยีสู่อนาคต

ดร.เต็มยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมการบริหารเด่นหล้ากรุ๊ป เปิดเผยว่า DLTS  ได้ขยายเปิดชั้นเรียนเกรด 7- เกรด 9 (มัธยมศึกษาปีที่ 1-3) อายุระหว่าง 12-15 ปี ตามแผนงานที่วางไว้ เพื่อตอบโจทย์การเรียนการสอนของเด็กนักเรียนปัจจุบัน และนักเรียนที่ต้องการเปลี่ยนมาเรียนหลักสูตรนานาชาติจากโรงเรียนอื่น  ล่าสุดในปี 2567 DLTS ได้ลงทุน 600 ล้านบาทในการเพิ่มเนื้อที่ และสร้างอาคารเรียนใหม่  ปัจจุบัน DLTS มีอาคารทั้งหมด 2 อาคาร ขณะนี้ DLTS กำลังก่อสร้างอาคารเรียนที่ 3 และอาคาร Club House เพิ่มเติม กำหนดเปิดใช้อาคารใหม่ ปีการศึกษา 2568

จากปีการศึกษา 2558 ที่โรงเรียนนานาชาติ DLTS ได้เปิดทำการเรียนการสอน ปัยยจุบันเปิดรับนักเรียนตั้งแต่อายุ 2 ถึง 12 ปี หรือตั้งแต่ระดับชั้น Toddler ถึง Grade 6  มีนักเรียนทั้งหมดประมาณ​ 600 คน  และเพิ่มระดับชั้นการสอนมัธยม (Grade 7-9) ในปี 2025 นี้

ดร. แมทธิว เฟย์ ครูใหญ่โรงเรียนนานาชาติ DLTS เปิดเผยต่อว่า DLTS เป็นหลักสูตรนานาชาติ 3 ภาษา อังกฤษ-ไทย-จีน อิงหลักสูตรอเมริกัน เน้นวิชาการ และ STEM (Science/Technology/Engineer/Mathamatic) ที่เสริมการบูรณาการในรูปแบบ Project-Based เพื่อให้นักเรียนได้สามารถคิด วิเคราะห์ และลงมือสร้างสรรค์อย่างมีระบบครบทั้งกระบวนการได้ เน้นการลงมือปฏิบัติการค้นคว้าหาข้อมูลด้วยตนเอง ควบคู่กับการเรียนเชิงทฤษฎีเพื่อให้มั่นใจว่านักเรียนไม่เพียงสามารถเข้าใจในสิ่งที่เรียนแต่มีองค์ความรู้ความเข้าใจลึกซึ้งสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้ในอนาคต และมีวิชา AI and Innovation เพื่อนักเรียนได้เรียนรู้การเขียน Coding, Programming เป็นการต่อยอดการศึกษาต่อในนาคต นอกจากนั้นทางโรงเรียนยังมีหลักสูตรพิเศษหล้งเลิกเรียนอีกกว่าสามสิบคอร์สให้เลือก

พร้อมด้วยจุดแข็งด้านบุคลากรที่ทาง DLTS คัดสรรครูผู้สอน ผู้ช่วยสอนและเจ้าหน้าที่ตรงตามมาตรฐานสากล โดยมีการคัดเลือกบุคลากรผู้สอนที่เป็น Native Speaker ทุกคน และเป็นครูที่มีวุฒิตรง และมีประสบการณ์การสอนไม่ต่ำกว่า 2 ปี โดยสัญชาติของคุณครู จะมีทั้งอเมริกัน, สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และอื่นๆ

ทางด้าน ดร. เต็มยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมการบริหารเด่นหล้ากรุ๊ป เปิดเผยต่อว่า สำหรับ DLTS วาง กลยุทธ์ทางการตลาดในรูปแบบของการสร้างความเชื่อมั่น และความไว้วางใจ จากประสบการณ์การสอนและการดูแลนักเรียนของโรงเรียนในเครือเด่นหล้ากรุ๊ป ที่ยาวนานกว่า 45 ปี “ผมเชื่อว่าถึงแม้ปัจจุบันการแข่งขันของโรงเรียนนานาชาติจะสูง แต่ด้วยประสบการณ์และความตั้งใจของเด่นหล้ากรุ๊ป ที่ประสบความสำเร็จในการสอนและพัฒนารากฐานทางการศึกษาให้กับนักเรียนมายาวนาน ศิษย์เก่าของเรากว่า 2 หมื่นคนก็ประสบความสำเร็จในอาชีพการงานในสาขาต่าง ๆ มากมาย”

สำหรับหลักสูตรนานาชาติ DLTS เปิดการเรียนการสอนที่ 2 สาขา ประกอบด้วย 1. อนุบาลเด่นหล้า เพชรเกษม เปิดตั้งแต่ระดับชั้น Toddler - EY3 (เตรียมอนุบาล -  อนุบาล 3) 2. โรงเรียนเด่นหล้า พระราม 5 เปิดตั้งแต่ระดับชั้น Toddler -  Grade 9 (เตรียมอนุบาล - มัธยมปีที่ 3) นอกจากนี้ ทางโรงเรียนยังมีคอร์สเรียนพิเศษ เสาร์-อาทิตย์ และคอร์สหลังเลิกเรียนอีกมายมายจาก Denla Academy ที่มีคอร์สเรียนทั้งด้านวิชาการ ดนตรี และกีฬา ให้เลือกเรียนมากมาย นับเป็นอีกหนึ่งความโดดเด่นของ DLTS International School ที่รองรับการเรียนรู้ของนักเรียนได้อย่างครบถ้วน

ทั้งนี้โรงเรียนนานาชาติ DLTS  กำลังเปิดรับสมัครนักเรียนในระดับชั้นตั้งแต่เตรียมอนุบาล ประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น ในปีการศึกษา 2568 และกำลังเปิดรับการสมัครสอบเพื่อชิงทุนการศึกษาของนักเรียนชั้น Grade 2 - Grade 7 (ป.2 - ม.1) หากสนใจสามารถติดตามกิจกรรมต่างๆ ได้ทาง website: https://www.denlatrilingual.com/ FB: DLTS International School rama5 และสอบถามข้อมูลได้ที่ โทร. 02-459-5691-5 อีเมล์ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือ Line: @dlts

มะเร็งต่อมลูกหมากเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยในผู้ชายสูงวัยและมีแนวโน้มว่าจะพบมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการที่ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีทางการแพทย์ในการวินิจฉัยและรักษาโรคเกี่ยวกับมะเร็งต่อมลูกหมากมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง นอกจากทำให้การวินิจฉัยมีความแม่นยำมากขึ้นแล้ว ยังทำให้การรักษามีความปลอดภัย ลดภาวะแทรกซ้อน และช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีหลังการรักษา

ปัจจุบัน มีทางเลือกการรักษามะเร็งต่อมลูกหมากหลายหลายวิธี ซึ่งเหมาะสมกับอาการของผู้ป่วยที่แตกต่างกันไป ได้แก่

  1. การเฝ้าระวังเชิงรุก (Active Surveillance) เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มะเร็งเติบโตช้าและยังไม่แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น แต่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง
  2. การผ่าตัด (Radical Prostatectomy) มี 3 วิธี คือ การผ่าตัดแบบเปิด (Open Radical Prostatectomy), การผ่าตัดโดยใช้วิธีส่องกล้อง (Laparoscopic Radical Prostatectomy) และการผ่าตัดโดยใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic-Assisted Da Vinci Surgery)
  3. การใช้รังสีรักษา (Radiation Therapy) มี 2 รูปแบบ คือ การฉายรังสีและการฝังแร่ มักใช้ในมะเร็งต่อมลูกหมากระยะที่ยังไม่ลุกลามออกนอกต่อมลูกหมาก (Localized Prostate Cancer) ซึ่งในขณะฉายรังสีอาจทำให้แสงไปโดนอวัยวะที่อยู่รอบต่อมลูกหมาก เช่น ลำไส้ตรง (Rectum) ซึ่งกว่าร้อยละ 10 ของผู้ป่วยจะเกิดอาการแทรกซ้อนค่อนข้างมาก คือท้องเสียหรือปวดหน่วงทวารจนต้องใช้ยา และอาจพบลำไส้ทะลุหรือมีเลือดออก ทำให้ต้องผ่าตัดแก้ไขหรือให้เลือด

ไฮโดรเจล (Hydrogel) เป็นนวัตกรรมที่ผลิตจากสารโพลีเอธิลีน ไกลคอล (Polyethylene Glycol: PEG) ช่วยลดผลแทรกซ้อนจากการรักษาด้วยการฉายรังสีและการฝังแร่ ซึ่งได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้วว่ามีความปลอดภัย ร่างกายสามารถดูดซึมและย่อยสลายได้ โดยโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้นำนวัตกรรมไฮโดรเจลเข้ามาใช้ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อเดือนมีนาคม 2566

ทั้งนี้ ไฮโดรเจลจะทำหน้าที่เหมือนเป็นหมอนคั่นระหว่างต่อมลูกหมากและลำไส้ตรง ด้วยการเพิ่มช่องว่างระหว่างอวัยวะทั้งสอง ซึ่งปกติอยู่ห่างกันประมาณ 2-3 มม. ให้มีระยะห่างเพิ่มขึ้นประมาณ 1 ซม. ทำให้ลำไส้ตรงไม่ได้รับรังสีหรือได้รับรังสีน้อยมาก

โดยก่อนการทำหัตถการ แพทย์จะฉีดยาชาหรือยานอนหลับให้กับผู้ป่วย แล้วจึงใช้น้ำเกลือฉีดเข้าไปในช่องว่างระหว่างต่อมลูกหมากกับลำไส้ตรงเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของตำแหน่ง จากนั้นแพทย์จะฉีดสารไฮโดรเจลซึ่งอยู่ในรูปแบบน้ำเข้าไปที่ช่องว่างนั้น เมื่อไฮโดรเจลเข้าสู่ร่างกาย จะเปลี่ยนสภาพเป็นเจลและช่วยขยายช่องว่างระหว่างต่อมลูกหมากกับลำไส้ตรงให้มีขนาดกว้างยิ่งขึ้น ซึ่งกระบวนการดังกล่าวจะใช้เวลาเพียง 10-20 นาที ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้หลังจากทำหัตถการ โดยร่างกายจะดูดซึมไฮโดรเจลไปตามธรรมชาติจนหมดภายในเวลา 6 เดือน

นพ. ธีระพล อมรเวชสุกิจ แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์ยูโรวิทยา โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ศูนย์ทางเดินปัสสาวะ เป็นหนึ่งในศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ที่มีทีมแพทย์เฉพาะทางและทีมสหสาขาวิชาชีพที่มีประสบการณ์สูง ซึ่งปัจจุบัน ได้ให้การรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งในระบบทางเดินปัสสาวะไปแล้วกว่า 1,500 รายต่อปี และประมาณ 300 รายในนั้น คือผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ที่รักษาด้วยการใช้รังสีรักษา เรามุ่งมั่นและไม่หยุดพัฒนาที่จะนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในการดูแลรักษาโรคเฉพาะทางได้อย่างครอบคลุม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ตลอดจนยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้ป่วย

อูเล่ บีโยร์น ชูลสตาด์ ถือเป็นผู้บริหารมากประสบการณ์ที่อยู่บนเส้นทางโทรคมนาคมมากว่า 25 ปีทั้งในภาคพื้นเอเชียและยุโรป ปัจจุบัน เขามีบทบาทสำคัญ โดยถือเป็นหัวเรือหลักในการกำหนดแนวทางการลงทุนในประเทศไทยจากฝั่ง “เทเลนอร์ เอเชีย” ในฐานะผู้ถือหุ้นรายสำคัญและเจ้าของร่วมของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

“เทเลนอร์” บริษัทโทรคมนาคมระดับโลกสัญชาตินอร์เวย์ ดำเนินกิจการในภาคพื้นเอเชียเป็นระยะเวลารวมเกือบ 3 ทศวรรษ จากความเชื่อที่ว่า ทุกคนจะได้รับประโยชน์จากการสื่อสารไร้สาย ด้วยเหตุนี้ เทเลนอร์ จึงทุ่มเทขยายบริการระดับแมสผ่านกลยุทธ์การตลาด พร้อมกับสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง-เฉพาะตัวเพื่อสอดรับกับความต้องการของตลาดนั้นๆ ของภาคพื้นเอเชีย

ด้วยจิตวิญญาณแห่งการเป็น First Mover เพื่อช่วงชิงความเป็นผู้นำและคว้าโอกาสแห่งการเติบโตใหม่ๆ ในช่วงปี 2565-2566 เทเลนอร์ เอเชีย ได้ประกาศความเคลื่อนไหวที่สำคัญที่สร้างแรงกระเพิ่มไปทั้งวงการ นั่นคือ ดีลการควบรวมกิจการของ 2 ยักษ์ใหญ่ทั้งในตลาดมาเลเซียและไทย ทำให้ปัจจุบัน การดำเนินงานของเทเลนอร์ เอเชีย ครอบคลุมผู้ใช้งานกว่า 200 ล้านคน ครอบครองสถานะผู้นำทั้งในไทย มาเลเซีย และบังคลาเทศ

True Blog ได้รับโอกาสในการพูดคุยกับ อูเล่ บีโยร์น ชูลสตาด์ ถึงมุมมอง ความคาดหวัง ประสบการณ์ของเทเลนอร์ เอเชียต่อตลาดโทรคมนาคมในประเทศไทย

บทเรียนสำคัญจากการทำงานร่วมกันกว่า 1 ปี

เป้าหมายสำคัญของผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้ง 2 ของ ทรู คอร์ปอเรชั่น เทเลนอร์ และเครือเจริญโภคภัณฑ์ คือ การสร้างผู้นำแห่งโทรคมนาคม โดยอาศัยจุดแข็งจากขนาด ทรัพยากร และความเชี่ยวชาญ เพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ส่งมอบบริการและนวัตกรรมที่น่าดึงดูดแก่ลูกค้าชาวไทย ก้าวสู่โอกาสแห่งการเติบโตใหม่ๆ

“ตั้งแต่การควบรวมกิจการสำเร็จและดำเนินการภายใต้ ทรู คอร์ปอเรชั่น โฟกัสหลักของเราคือ การสร้างความมั่นใจว่าบริษัทใหม่นี้ ได้มีการรักษาโมเมนตัมทางธุรกิจในตลาด มีการทำงานร่วมกันอย่างแท้จริง สร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งชัยชนะ จากจุดเริ่มต้นถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลา 1 ปีครึ่ง เราประสบความสำเร็จผ่านเป้าหมายการดำเนินงานต่างๆ ทั้งกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อผนึกน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่างพนักงาน และการดำเนินงานให้ทันสมัยมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า ยังคงมีงานอีกจำนวนมากที่อยู่ระหว่างการพิชิตเป้าหมายและความสำเร็จ แต่ผมมั่นใจว่า บริษัทกำลังก้าวไปข้างหน้าในทิศทางที่ถูกต้อง” ชูลสตาด์ กล่าว

กัปตันทีมการลงทุนจากเทเลนอร์เอเชีย ยังย้ำอีกว่า เป้าหมายสำคัญของ ทรู คอร์ปอเรชั่น คือ การรับรู้ผลประโยชน์จากการซินเนอร์ยี่และสร้างผลกำไร ดังนั้น พื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อความต่อเนื่องในการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโครงข่ายสมรรถนะสูง โครงการวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดจนบริการที่ล้ำสมัย-ตอบสนองความต้องการที่แม่นยำจากดาต้า

“ที่ผ่านมา ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ทางการเงินที่แข็งแกร่ง และเรามั่นใจว่า ทรู คอร์อปเรชั่น จะพิชิตเป้าหมายพลิกฟื้นสู่กำไรได้ภายในงบการเงินปี 2567” ชูลสตาด์ กล่าวเสริม

 

จากผู้นำเทเลคอมเทคสู่ AI-First

“เทเลนอร์ได้เล็งเห็นถึงประโยชน์และความก้าวหน้ามหาศาลที่เทคโนโลยีการสื่อสารจะเข้ามาเปลี่ยนประเทศไทยเป็นรายแรกๆ และปัจจุบัน ประชากรไทยสามสารถเข้าถึงบริการดังกล่าวได้อย่างทั่วถึง ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้เต็มที่ และมีความสนใจในบริการใหม่ๆ ตลอดเวลา ทั้งนี้ ความต้องการในการใช้ดาต้าของไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และนั่นจึงเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินงานของ ทรู คอร์ปอเรชั่น เพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว รวมถึงนำเสนอบริการด้านดาต้าที่ล้ำสมัย เพื่อประโยชน์แก่ลูกค้า” ชูลสตาด์ อธิบาย

เขาเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า เทคโนโลยีใหม่ๆ จะนำมาซึ่งผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงต่อชีวิตประจำวันของผู้คนในมิติต่างๆ ด้วยพัฒนาการที่รวดเร็วและความก้าวหน้าทางนวัตกรรมจากเทคโนโลยี 5G ปัญญาประดิษฐ์​ IoT และคลาวด์คอมพิวติ้ง ทำให้โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ที่ไม่เพียงเชื่อมคนหลายล้านคนเข้าด้วยกันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุปกรณ์หลายพันล้านชิ้น

“เราอยู่ในธุรกิจของการสร้างบริษัทโทรคมนาคมเพื่ออนาคต การสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจเพื่อโอกาสใหม่ๆ เหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยสมรรถนะและความสามารถใหม่ๆ ซึ่งรวมถึงความร่วมมือผ่านโมเดลธุรกิจต่างๆ ปัจจุบัน เทเลนอร์ทั้งในภาคพื้นยุโรปเหนือและเอเชียกำลังดำเนินโครงการทดลองต่างๆ นับร้อยโครงการ เพื่อหาหนทางและความเป็นไปได้สู่บริการใหม่ๆ รวมถึงปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพในฟังก์ชั่นงานต่างๆ ทั้งนี้ AI ถือเป็นอีกหนึ่งพื้นที่สำคัญที่เทเลนอร์มุ่งมั่นพัฒนา สร้างการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้กลายเป็น AI-First Company ซึ่งหนึ่งในความเคลื่อนไหวที่สำคัญที่ผ่านมาคือ การร่วมเป็นพันธมิตรกับผู้นำบริษัทผลิตชิปยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง NVIDA และการร่างหลักจริยธรรมแห่ง AI” ชูลสตาด์ เผย

เขายังอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า โครงการ AI-First ของเทเลนอร์นั้นพร้อมแล้วที่ปลดล็อกศักยภาพและคุณค่าเชิงโครงสร้างของ AI และ Gen AI ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวถือถือเป็นหัวใจและมีความสำคัญลำดับต้นๆ ของการสร้างองค์กรที่มีดาต้าเป็นตัวผลักดัน ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลก และกำหนดแนวทางเพื่อการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ รวมไปถึงการเพิ่มพูนทักษะแก่พนักงาน โดยเทเลเนอร์เชื่อในแนวทางการพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI ที่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ยกระดับมาตรฐานทางจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงในเทคโนโลยีดิจิทัล ความยั่งยืน และความมั่นคง ตลอดจนการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

กำกับดูแลผ่านกลไกกรรมการ

จากการควบรวมกิจการระหว่างดีแทคและทรู ทำให้ความสัมพันธ์และสถานะของเทเลนอร์เปลี่ยนจากผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ในดีแทคสู่ผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ร่วมและพาร์ทเนอร์รายสำคัญของทรู คอร์ปอเรชั่น นั่นหมายถึง เทเลนอร์และเครือเจริญโภคภัณฑ์ มีสิทธิอันชอบธรรมในการดำเนินกิจการด้วยกลไกกำกับดูแลผ่าน “คณะกรรมการ” (Board of Directors) ใน ทรู คอร์ปอเรชั่น

การมีผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ที่มีขนาดเท่ากันถึง 2 รายทำให้ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้รับประโยชน์จากประสบการณ์และมุมมองจากยักษ์ใหญ่ทั้งสอง อันหมายรวมถึงข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำอันล้ำค่าจากประสบการณ์อันเชี่ยวกรากในแวดวงธุรกิจต่างๆ จากคณะกรรมการอิสระและผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ในการกำกับดูแลกิจการ อันเป็นที่ประจักษ์ชัดจากเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่มีข้อมูลความรู้ความเข้าใจในบริบทท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง ครอบคลุมธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศไทย

“เทเลนอร์ ถือเป็นเจ้าอุตสาหกรรมที่มีประวัติศาสตร์และประสบการณ์ในวงการโทรคมนาคมมาอย่างยาวนาน มีฟุตปริ๊นท์ครอบคลุม 8 ประเทศในภาคพื้นเอเชียและยุโรปเหนือ ด้วยเหตุนี้ ทำให้เราเข้าถึงผู้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลระดับโลก นำมาซึ่งบทเรียนความรู้จากการดำเนินงานจากที่อื่นและการจับมือเป็นพันธมิตรกับบิ๊กเทคระดับโลกมาสู่ไทย” กรรมการบริษัทจากฝั่งเทเลนอร์ กล่าว

ทั้งนี้ สำนักงานของเทเลนอร์ เอเชียที่ตั้งอยู่ที่สิงคโปร์จะทำหน้าที่ดูแล สนับสนุนการดำเนินธุรกิจในตลาดต่างๆ ตลอดจนปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทในภาคพื้นเอเชีย โดยมีทีมคณะบริหารและผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนทำหน้าที่สนับสนุนการดำเนินงานของทรูคอร์ปอย่างเต็มที่ สร้างความเข้มแข็งกับพาร์ทเนอร์ ตลอดจนการบริหารความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้เสียต่างๆ

“ด้วยความรับผิดชอบจากการดำรงตำแหน่งคณะกรรมการ ทำให้ผมต้องเดินทางมายังกรุงเทพฯ อยู่บ่อยครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าเราทำงานกับพาร์ทเนอร์และคณะผู้บริหารอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนที่จำเป็นต่อบริษัท ผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย และมีความรับผิดชอบต่อการทำธุรกิจ” เขาอธิบาย

นอกจากนี้ เขายังเชื่อ อีกว่าคณะกรรมการบริษัททุกท่านยังมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อทรู คอร์ปอเรชั่น ในการสร้างดิจิทัลอีโคซิสเต็ม เปลี่ยนผ่านโครงสร้างอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมสู่ดิจิทัล และที่สำคัญ สนับสนุนและมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาสังคมไทยให้เจริญก้าวหน้า

“มีการประมาณการณ์ว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีมูลค่าราว 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2573 ประเทศไทยจะช่วงชิงเม็ดเงินการลงทุนขนาดมหึมาเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจดได้นั้น จำเป็นต้องมีดิจิทัลอีโคซิสเต็มที่แข็งแกร่ง ซึ่งทรู คอร์ปอเรชั่น กำลังทำภารกิจดังกล่าว นับเป็นบทบาทที่สำคัญและท้าทายอย่างมาก” ชูลสตาด์ กล่าวทิ้งท้าย

เมื่อเร็วๆ นี้ นายกิตติศักดิ์ ทองฟุก  รองผู้จัดการฝ่ายพัฒนาการตลาด บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนเดินทางเข้ามอบเงินบริจาคพร้อมสิ่งของเครื่องใช้อุปโภค บริโภคที่จำเป็น ในโครงการ "ร่วมใจสานฝันน้อง"  กับกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ร่วมกับภาคธุรกิจประกันวินาศภัยและประกันชีวิต เพื่อร่วมบริจาคเครื่องอุปโภค บริโภค ให้แก่สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการบ้านราชาวดี ชายและหญิง จังหวัดนนทบุรี  โดยมี นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานในพิธีส่งมอบ พร้อมด้วย นายพิสิฐ พูลพิพัฒน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ นายวินัย เก่งสุวรรณ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมสิทธิและสวัสดิการคนพิการ และตัวแทนจากบ้านราชาวดีชายและบ้านราชาวดีหญิง จังหวัดนนทบุรี เป็นผู้รับมอบ  ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่นำไปสู่การพัฒนาสังคมและการแบ่งปัน รวมถึงสร้างความร่วมมือในภาคธุรกิจประกันวินาศภัยและประกันชีวิตอย่างยั่งยืน  

ชี้กระแสอาร์ตทอยดันอุตสาหกรรมคาแรกเตอร์ขยายตัว ส่วนเกม - แอนิเมชันยังน่าห่วง หดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่สอง

นางสมพรรษ เพ็งจันทร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการธนาคารออมสิน สายงานกำกับและควบคุม พร้อมด้วยผู้บริหาร และพนักงาน ร่วมงานวันต่อต้านคอร์รัปชัน ประจำปี 2567 โกงแบบโปร่งใส ESG... G เหมือนมีแต่มองไม่เห็น ซึ่งองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)

 

จัดขึ้น เพื่อสร้างการรับรู้ กระตุ้นให้คนในสังคมตระหนักถึงปัญหาคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และสร้างความร่วมมือที่จะช่วยกันขจัดปัญหาคอร์รัปชันให้หมดไป โดยในปีนี้ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจร่วมกันต่อต้านคอร์รัปชัน ผ่านหลักเกณฑ์การดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG โดยเน้นเรื่อง G (Governance) เป็นหลัก

 

ซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนที่ทั่วโลกให้การยอมรับ โดยมี นายวิเชียร พงศธร ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เป็นประธานเปิดงาน ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567

ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ความรู้และทักษะใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง  ในมิติของการศึกษา การเรียนรู้การปรับตัวจึงกลายเป็นทักษะจำเป็น ถือเป็นยุคที่ท้าทาย แต่ก็สร้างโอกาสให้กับคนที่พร้อมปรับตัว และปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อเทคโนโลยีมีความสำคัญ ตลาดแรงงานมีความต้องการบัณฑิตวิศวกรรมที่มีทักษะและความรู้ที่สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) หนึ่งในสถาบันการศึกษาที่ปรับหลักสูตรคณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีตอบโจทย์ความต้องการอุตสาหกรรม ได้แก่ หลักสูตรเทคโนโลยีดิจิทัลและสารสนเทศ, หลักสูตรวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และปัญญาประดิษฐ์,  หลักสูตรวิศวกรรมการผลิตยานยนต์, หลักสูตรวิศวกรรมอุตสาหการและการผลิตอัจฉริยะ, หลักสูตรวิศวกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ  และหลักสูตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (โครงการจัดตั้ง)

ชูจุดแข็งรูปแบบการเรียนการสอนผ่าน Work-based Education (WBE) หรือการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง มุ่งเน้นการผลิตวิศวกรผู้เชี่ยวชาญปฏิบัติงานได้จริงและตอบโจทย์เทคโนโลยี อุตสาหกรรมสมัยใหม่ ทั้งด้าน IT, AI, ยานยนต์, หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ผ่านการฝึกงานทั้งในและต่างประเทศด้วยเครือข่ายที่แข็งแกร่ง เรียนจบพร้อมทำงานอย่างมืออาชีพทันที (Ready to Work) ตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย ทั้ง First S-Curve และ New S-Curve  ขยายโอกาสในการสร้างรายได้และการจ้างงานใหม่ๆ เพราะกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้เปรียบเสมือนกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth)

วิศวกรรมฯ ปัญญาภิวัฒน์ หลักสูตรเจ๋ง ทุนแจ๋ว

ไทเกอร์- วสลักษณ์ พงโศธร  บัณฑิตสาขาวิชาวิศวกรรมการผลิตยานยนต์ คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ปัจจุบันก้าวสู่ วิศวกรเทคนิค บริษัท ICS Sakabe Co.,Ltd. ประเทศญี่ปุ่น เล่าจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในสายวิชาชีพนี้ว่า  ช่วงใกล้จบม.6 ทีมแนะแนว PIM ได้เข้าไปให้ข้อมูลที่โรงเรียนสายปัญญา รังสิต จึงเกิดความสนใจในสาขาวิชาวิศวกรรมการผลิตยานยนต์ เพราะพ่อแม่ทำงานด้านยานยนต์และสนใจรูปแบบการสอนของที่นี่ ซึ่งตนเองก็สนใจเรื่องเครื่องยนต์และมองเห็นโอกาสจากรูปแบบการเรียนคือฝึกงานไปด้วย เรียนไปด้วย หรือ Work-based Education  มีเครือข่ายภาคธุรกิจที่เป็นองค์กรชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศ จึงเกิดความตั้งใจที่จะเรียนที่นี่ พร้อมตั้งเป้าหมายการไปฝึกงานและทำงานที่ต่างประเทศ ที่สำคัญคือได้รับทุนการศึกษา 50%   

สำหรับการเรียนตลอด 4 ปีของสาขาวิชาวิศวกรรมการผลิตยานยนต์ จะได้เรียนรู้พื้นฐานทางวิศวกรรม 3 ศาสตร์สำคัญๆ “วิศวกรรมเครื่องกล + วิศวกรรมยานยนต์ + วิศวกรรมการผลิต”  โดย 1.วิศวกรรมเครื่องกล เกี่ยวข้องกับการออกแบบ การผลิต และการดูแลรักษาเครื่องจักร รวมถึงการควบคุมและการจัดการการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย  2.วิศวกรรมยานยนต์ เกี่ยวข้องกับการออกแบบ การพัฒนา และการผลิตยานพาหนะทั้งรถยนต์ รถบัส รถไฟ รถจักรยานยนต์ และยานอวกาศ เฉพาะเรื่องของระบบการเคลื่อนที่และส่วนประกอบที่เกี่ยวข้อง และ 3.วิศวกรรมการผลิต เกี่ยวข้องกับการออกแบบและการจัดการกระบวนการผลิต เมื่อมีความรู้พื้นฐานที่สำคัญแล้ว จึงต่อยอดไปสู่เทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ โดยมีการเรียนรู้ในเรื่องของอีโค่คาร์ รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฮบริด รถยนต์ไร้คนขับ ตลอดจนเครื่องยนต์สำหรับยานยนต์สมัยใหม่  นำเทรนด์การเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจยานยนต์ ด้วยการนำหุ่นยนต์ ระบบออโตเมชั่น และระบบการผลิตอัจฉริยะ มาใช้พัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมยานยนต์ ไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ

เรียนแล้วเวิร์ค ทำงานแล้วเวิร์ค

ไทเกอร์เล่าต่อว่า ปี 1 ได้ฝึกงานที่ 7-Eleven เป็นแคชเชียร์ เติมของ สั่งของ จัดสต๊อก สิ่งที่ได้คือฝึกความอดทน มนุษยสัมพันธ์ที่ดี และการเข้าใจงานบริการ  ปี 2 ฝึกงานที่ บจก.เค้งหงษ์ทอง เป็นการฝึกงานซ่อมบำรุงรถ Mercedes-Benz ทำให้ได้เรียนรู้และทำความเข้าใจวิชาที่เรียนมาใช้ลงมือปฏิบัติจริง ปี 3 – ปี 4 มีโอกาสได้ไปฝึกงานที่ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ MTEC ศึกษาเกี่ยวกับถ่านกัมมันตภาพรังสีที่กักเก็บประจุไฟฟ้าในระบบรถยนต์ 3 เดือน แล้วกลับมาทำโปรเจ็คต์ ก่อนจะเดินทางไปฝึกงานที่คิตะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น 4 เดือน ที่บริษัท ICS Sakabe Co.,Ltd.ในตำแหน่งวิศวกรฝ่ายผลิต เพราะสนใจเรื่องการผลิต ระบบไฟฟ้า ระบบอัตโนมัติในโรงงาน ที่เลือกโรงงานนี้เพราะทำเกี่ยวกับหุ่นยนต์และมีรุ่นพี่ไปทำงานที่นี่ อีกทั้งบริษัทมีแพลนมาเปิดสาขาที่เมืองไทย ก่อนฝึกงานจบบริษัทก็รับเข้าทำงานในตำแหน่งวิศวกรเทคนิค ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยไทเกอร์วางแผนทำงานที่ญี่ปุ่นยาว 5 ปี แล้วกลับเมืองไทยตามที่บริษัทแพลนไว้ ถึงตอนนั้นอาจจะทำธุรกิจของครอบครัวควบคู่ไปด้วย

“มาถึงวันนี้ผมคิดว่าเกินเป้าหมายครับ ตั้งแต่เข้ามาเรียนที่ PIM ก็ได้รับโอกาสในการพัฒนาตัวเองผ่านกิจกรรม ผ่านการฝึกงาน เมื่อได้งานที่ ICS Sakabe ประเทศญี่ปุ่น ทั้งครอบครัวก็ดีใจกันมากๆ ขอบคุณซีพี ออลล์ ที่เข้ามาสร้างโอกาสผ่านการศึกษา สนับสนุนความฝันเยาวชน ผมเชื่อว่าบัณฑิตที่จบจาก PIM เป็นคนเก่ง มีความสามารถ พร้อมทำงานได้ทันที” ไทเกอร์บอกเล่าอย่างภูมิใจ

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า ซีพี ออลล์ ให้ความสำคัญกับนโยบาย “สร้างคน” โดยส่งเสริมการศึกษาพัฒนาเยาวชน เพื่อ  “สร้างคนเก่ง คนดี มีความสามารถผ่านการศึกษา”  ซึ่งเป็นฐานรากที่สำคัญของประเทศ การสร้างคนเป็นเรื่องหนึ่งที่ซีพี ออลล์ มุ่งมั่นดำเนินการอย่างต่อเนื่องผ่านสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ และอีกหลากหลายช่องทาง ในแต่ละปีจึงมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนนักศึกษาจำนวนมาก รวมถึงจับมือพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในสาขาที่เกี่ยวข้อง มาร่วมขับเคลื่อนการสร้างคนอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2568 ซีพี ออลล์ ตั้งเป้ามอบทุนการศึกษามากกว่า 37,000 ทุน คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,181 ล้านบาทเพื่อช่วยให้สังคมและเศรษฐกิจของไทยขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็ง ตามปณิธานองค์กร Giving and Sharing

ภายใต้แนวคิด Highway to Net Zero มุ่งสู่การเป็นองค์กรไร้คาร์บอน

X

Right Click

No right click