

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต นำโดย คุณแซลลี่ โอฮาร่า ตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอกซ่า ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ และประเทศเกาหลีใต้ (คนที่ 3 จากขวา) และคุณบุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและภาพลักษณ์องค์กรและการสื่อสารองค์กร (คนที่ 3 จากซ้าย) จัดคอนเสิร์ตครั้งยิ่งใหญ่ “KTAXA FLASHBACK MUSIC FEST 2024 Fulfill Your Happiness เติมเต็มทุกความสุข ย้อนวัยความสนุกไปด้วยกัน” เพื่อเป็นการตอบแทนลูกค้าคนสำคัญที่ให้การสนับสนุน กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต เป็นอย่างดีมาโดยตลอด ตามนโยบายหลักของบริษัทฯ ในการมีลูกค้าเป็นที่หนึ่ง และตอกย้ำพันธสัญญาของเรา 'Know You Can' ที่มุ่งมั่น ส่งเสริม เป็นเพื่อนคู่คิดกับลูกค้าของเรา พร้อมอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป

โดยคอนเสิร์ตดังกล่าว จัดขึ้นใน วันที่ 31 สิงหาคม 2567 ณ ไบเทค บางนา ภายในงานมีศิลปินมากมายที่มาร่วมสร้างความสนุกสุดมันส์ ได้แก่ 2002 ราตรี คุณไอซ์ - ศรัญยู คุณอ๊อฟ - ปองศักดิ์ คุณเป็กกี้ - ศรีธัญญา และคุณโจอี้บอย โดยมีลูกค้าเข้าร่วมงานอย่างคับคั่งกว่า 6,400 คน ที่ได้สัมผัสประสบการณ์ความสนุก สุดเหวี่ยงกับศิลปินคนโปรด

สำหรับลูกค้าที่สนใจกิจกรรมเพื่อลูกค้าของบริษัทฯ สามารถติดตามได้ที่ www.krungthai-axa.co.th หรือ โทร 1159 ทุกวัน ตลอด 24 ชม.
“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับพันธมิตรการตลาดในหมวดกิน (Dining) และหมวดแหล่งท่องเที่ยว (Attraction) จัดกิจกรรม “KTC on Tour : ชิล ชม ชิล @ พัทยา” ชวนอินฟลูเอนเซอร์ สายกิน ดื่ม เที่ยว สัมผัสประสบการณ์ความคุ้มค่า “มื้อนี้มีโปรกับบัตรเครดิตเคทีซี” และ “คะแนนน้อยแลกได้” ที่จังหวัดชลบุรี ตอกย้ำผู้นำด้านการตลาดบัตรเครดิตที่ครอบคลุมทุกหมวดไลฟ์สไตล์
ภายในงานเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ได้ร่วมล่าโปรบัตรเครดิตเคทีซี โดยเริ่มต้นเช็คอินที่ร้าน TEA FACTORY AND MORE คาเฟ่ชาในสวนสวย ตกแต่งบรรยากาศด้วยกลิ่นอายแบบโรงงานชาที่ศรีลังกาผสมผสานกับยุโรป ลิ้มรสชาติชาตามแบบฉบับพิเศษของร้านที่ได้รับรางวัลการันตีความอร่อยเคียงคู่เมืองพัทยามากว่า 10 ปี ต่อด้วยอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารในเครือของ “The Sky” ได้แก่ The Lunar Beach House Pattaya / The Forest by The Sky / The Oxygen Pattaya / The Sky Gallery Pattaya แลนด์มาร์คแห่งใหม่เอาใจสายคาเฟ่ เพลิดเพลินกับอาหารหลากหลายสไตล์เคล้าบรรยากาศริมทะเล และสนุกสนานไปกับโชว์โลมาระดับเวิลด์คลาสที่ดีที่สุดในเอเชียที่ Pattaya Dolphinarium ปิดท้ายด้วยอาหารค่ำที่ร้าน Under The Sun บนชายหาดทอดยาวที่มองเห็นแสงอาทิตย์อัสดง ในโรงแรมสุดหรู Ana Anan Resort and Villas Pattaya
สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่อาศัยในพื้นที่ชลบุรีหรือจังหวัดใกล้เคียง และผู้เดินทางไปท่องเที่ยวพัทยา สามารถรับสิทธิพิเศษมากมายจากการใช้บริการที่ร้านต่างๆ ดังนี้

ร้าน TEA FACTORY AND MORE รับส่วนลด 10% เฉพาะค่าอาหาร (วันจันทร์ - วันศุกร์) รับส่วนลด 5% เฉพาะค่าอาหาร (วันเสาร์ วันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์) พิเศษ แลกคะแนนรับเครดิตเงินคืน 10% เมื่อใช้คะแนน KTC FOREVER เท่ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 - 31 ธันวาคม 2567

ร้านอาหารในเครือ The Sky ได้แก่ The Lunar Beach House Pattaya / The Forest by The Sky / The Oxygen Pattaya / The Sky Gallery Pattaya แลกคะแนนรับเครดิตเงินคืน 200 บาท เมื่อทานครบ 1,000 บาทต่อเซลส์สลิป และใช้ 1,599 คะแนน KTC FOREVER ระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม 2567 - 31 ตุลาคม 2567

Pattaya Dolphinarium ใช้คะแนน KTC FOREVER 999 คะแนน แลกรับ e-Coupon ส่วนลด 150 บาท สำหรับบัตรเข้าชมโลมา ผ่านแอป KTC Mobile ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 - 31 ธันวาคม 2567

ร้านอาหาร Under The Sun รับส่วนลด 15% สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม (ยกเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์) ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 – 31 ธันวาคม 2567
ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th หรือสอบถามที่ KTC PHONE 02 123 5000 สมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท คลิก https://ktc.today/apply-card หรือศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนเต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี
บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) (BCPG) ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และผู้ดำเนินการและลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียน ในปี พ.ศ.2567 โดยสถาบันไทยพัฒน์
นายรวี บุญสินสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานปฏิบัติการ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันไทยพัฒน์ประกาศให้ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) (BCPG) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2567 ด้วยการคัดเลือกจาก 920 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในกลุ่มทรัพยากร และบริษัทได้เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นปีที่ 7 (พ.ศ.2561-2567)
“บริษัทฯ มุ่งมั่นดำเนินงานอย่างรับผิดชอบ ครอบคลุมทั้งมิติสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ และการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยยังตระหนักถึงความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) พร้อมที่จะบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศ ผ่านการดำเนินงานที่หลากหลาย อาทิ โครงการ Energy for Everyone เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนเข้าถึงพลังงานสะอาด กิจกรรมนักคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อปลูกฝังแนวคิดเรื่อง Circular Economy ให้กับนักเรียน โดยมุ่งสร้างการมีส่วนร่วม ดูแลสิ่งแวดล้อม ด้วยปณิธานในการสร้างโลกที่น่าอยู่ร่วมกันด้วยพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน”
ทั้งนี้ การจัดอันดับของสถาบันไทยพัฒน์ พิจารณาข้อมูลจากการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน
สำหรับสถาบันไทยพัฒน์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่ากลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นครั้งแรกในปี 2558 และได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนและดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่สิบในปีนี้
ขณะที่ การจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจนี้ ถือเป็นแหล่งข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน เพื่อรองรับความต้องการของผู้ลงทุนที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ และเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีคุณภาพและได้รับผลตอบแทนที่มิได้ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป
กลายเป็นกระแสในเวลานี้ให้พูดถึงอย่างต่อเนื่อง สำหรับแคมเปญ “Friday ต้องเปย์ด้วยมาสเตอร์การ์ด” หลังเปิดตัวเพียง 3 สัปดาห์ ยอดแลกคะแนนผ่านแอปพลิเคชั่น The 1 เพื่อรับ E-Coupon ส่วนลดแทนเงินสดสูงสุดถึง 300 บาท (จากปกติ 100 บาท) ฮอตอย่างต่อเนื่องและสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่จัดแคมเปญมา!
ง่าย ๆ เพียงแลก 1 คะแนน The 1 ผ่านแอปพลิเคชั่น The 1 รับไปเลย E-Coupon มูลค่าสูงสุด 300 บาท สำหรับใช้เป็นส่วนลดเมื่อช้อป 2,000 บาทขึ้นไป ด้วยบัตรมาสเตอร์การ์ดเท่านั้น
ห้ามพลาดกับ 4 ศุกร์สุดท้าย! (วันศุกร์ที่ 6, 13, 20 และ 27 กันยายน 2567) เตรียมตัวแลกคะแนนให้พร้อม เริ่มตั้งแต่เวลา 08.00 – 22.00 น. และนำ E-Coupon มาช้อปแบบสุดคุ้ม ในเครือเซ็นทรัล รีเทล รวมกว่า 1,000 ร้านค้าทั่วประเทศ ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน, ซูเปอร์สปอร์ต, เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป, ท็อปส์, ท็อปส์ เดลี่, ท็อปส์ ฟู้ด ฮอลล์, ท็อปส์ ไฟน์ ฟู้ด, มัทสึคิโยะ, ไทวัสดุ, บีเอ็นบี โฮม, ออโต้วัน, โก! ว้าว, เพาเวอร์บาย, โก! เพาเวอร์, ออฟฟิศเมท, บีทูเอส, ท็อปส์แคร์, ท็อปส์ วีต้า, เพ็ทแอนด์มี รวมทั้งช่องทางบริการ Chat & Shop และ Call & Shop เป็นต้น
สามารถติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับแคมเปญ ‘“Friday ต้องเปย์ด้วยมาสเตอร์การ์ด” เพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Central Retail หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน The 1 เพื่อรับข้อมูลข่าวสารที่น่าสนใจและสิทธิประโยชน์ดี ๆ ได้จากเซ็นทรัล รีเทล
บริษัท ดาว (Dow) ประกาศรายชื่อผู้เข้ารอบสุดท้ายของรางวัลนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ระดับโลก หรือ Packaging Innovation Awards (PIA) ครั้งที่ 35 โดยมีบรรจุภัณฑ์จากบริษัท สตาร์ปริ๊นท์ จำกัด (มหาชน) จากประเทศไทย เป็นหนึ่งในผู้เข้ารอบสุดท้าย และจะประกาศผลผู้ชนะที่งานโตเกียว แพ็ค (Tokyo Pack) ในวันที่ 24 ตุลาคมนี้
รางวัลนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ระดับโลกนี้ เป็นหนึ่งในการแข่งขันที่สำคัญที่สุดของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ทั่วโลกมานานกว่า 30 ปี โดยเป็นรางวัลที่มีการตัดสินอย่างอิสระเนื่องจากผู้สนับสนุนการประกวดไม่ได้เข้าร่วมการตัดสินและไม่มีอิทธิพลต่อคณะกรรมการแต่อย่างใด
ผู้เข้ารอบสุดท้ายได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากทั่วโลก 18 ท่านจากสาขาวิชาต่างๆ เช่น การวางแผนธุรกิจและกลยุทธ์ การออกแบบ เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา ความยั่งยืน และการศึกษา นอกจากนี้คณะกรรมการยังมีความรู้กว้างขวางในหลากหลายด้านที่เกี่ยวข้อง เช่น การตลาดและการสร้างแบรนด์ การค้าปลีก การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และ วิศวกรรมบรรจุภัณฑ์ โดยในปีนี้การตัดสินผู้เข้ารอบเกิดขึ้นในเอเชียเป็นครั้งแรกที่กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) ที่กรุงเทพฯ ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีเกณฑ์ที่สำคัญประกอบด้วย ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความรับผิดชอบและส่งเสริมความยั่งยืน และ การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภค

“ปีนี้ รางวัล Packaging Innovation Awards มีผู้ส่งผลงานเข้าร่วมมากเป็นประวัติการณ์ถึง 300 ชิ้นงานจากทั่วโลก ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าเกือบสองเท่าจากครั้งก่อน โดยผู้เข้าร่วมได้ยกระดับมาตรฐานการแข่งขันโดยเน้นการใช้นวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในอุตสาหกรรม” นางดาเนียลล่า ซูซา มิรันดา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดระดับโลก บริษัท Dow กล่าว

รายชื่อผู้เข้ารอบสุดท้ายมีดังนี้
การประกาศผลนวัตกรรมรอบชิงชนะเลิศจะเกิดขึ้นวันที่ 24 ตุลาคม 2567 ในงาน Tokyo Pack ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยผลงานทั้งหมดจะถูกจัดแสดงในงานตั้งแต่วันที่ 23-25 ตุลาคม ปีนี้ หรือติดตามผลการตัดสินได้ที่เฟสบุ๊ค Dow Thailand
ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มุ่งขับเคลื่อนองค์กรสู่ธนาคารเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Banking) พร้อมตอกย้ำความเป็นพันธมิตรและที่ปรึกษาทางธุรกิจที่ลูกค้าไว้วางใจ ในการสนับสนุนสินเชื่อระยะยาว และโซลูชันทางการเงินแบบครบวงจร ให้แก่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) นำโดย นายอเล็กซานเดอร์ นนท์ แลงเฟลด์ (ที่ 3 จากซ้าย) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าบริหารความสัมพันธ์ธุรกิจ ทีเอ็มบีธนชาต และนางชนมาศ ศาสนนันทน์ (ที่ 2 จากซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่
ด้านการเงินและบัญชี บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
โดยทีทีบี ได้สนับสนุนสินเชื่อทางธุรกิจระยะยาว รวมวงเงิน 3,000 ล้านบาท และโซลูชันทางการเงิน ให้แก่ บริษัทไทยออยล์ เพื่อให้แผนการดำเนินธุรกิจตอบสนองต่อทิศทางในอนาคตที่มุ่งสู่ธุรกิจพลังงานสะอาดและการปรับกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ตามแนวคิดในการบริหารจัดการองค์กรอย่างยั่งยืน อีกทั้งเป็นการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคม และการรักษาสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านธุรกิจการกลั่นและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูปที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และมีความพร้อมที่จะทรานส์ฟอร์มธุรกิจและแสวงหาโอกาสในธุรกิจใหม่ที่ตอบโจทย์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงโลก (Mega Trend) เพื่อต่อยอดไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนระดับองค์กร 100 ปี ภายใต้วิสัยทัศน์ “สร้างสรรค์คุณภาพชีวิตด้วยพลังงาน และเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน”
ทีทีบีมุ่งมั่นในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และโซลูชันทางการเงิน เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในอุตสาหกรรมหลักอย่างครบวงจร และพร้อมเคียงข้างสนับสนุนให้ลูกค้าธุรกิจสามารถขับเคลื่อนธุรกิจได้ในทุกสถานการณ์ ก้าวผ่านความท้าทายต่าง ๆ จนประสบความสำเร็จและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
การลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดภาวะโลกร้อนและแก้ไขปัญหาสภาพอากาศแปรปรวน ตลอดจนสร้างความยั่งยืนแก่โลกใบนี้ กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ภาคธุรกิจทั่วโลกกำลังตื่นตัว ล่าสุด บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ได้จัดสัมมนา “Sustainable Synergy for Decarbonization” เพื่อเปิดพื้นที่แห่งความร่วมมือทั้ง ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ SMEs และสถาบันการเงิน ในห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ มาแลกเปลี่ยนมุมมองความท้าทายและแนวทางการปฏิบัติ เพื่อร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
Carbon Footprint ปัจจัยสำคัญสู่ความยั่งยืน
“วิชาญ จิตร์ภักดี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดประเด็นว่า โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากธุรกิจไม่ปรับตัวจะไม่สามารถแข่งขันได้ ซึ่ง SCGP ได้ปรับตัวมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ Sustainability Transformation ถือเป็นดีเอ็นเอของเอสซีจี โดย SCGP ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 25% ภายในปี 2030 และ Net Zero ภายในปี 2050 ผ่านการดำเนินงานใน 2 ด้านหลัก ได้แก่ การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรหรือ CFO (Carbon Footprint for Organization) หันมาใช้พลังงานเชื้อเพลิงที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ โดยติดตั้งโซลาร์รูฟ และใช้พลังงานชีวมวลแทนพลังงานถ่านหิน นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อใช้พลังงานน้อยลงและสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1 ล้านตัน ปลูกต้นไม้สะสมจำนวน 2.3 ล้านต้น นำขยะพลาสติกมาหลอมเป็นเมล็ดพลาสติกใหม่ นำเศษเยื่อกระดาษจากกระบวนการผลิตไปทำสารปรับปรุงดิน 24,000 ตันต่อปี เพื่อนำไปปลูกต้นยูคาลิปตัสสำหรับผลิตกระดาษต่อไป

อีกด้านคือ การได้รับการรับรอง Carbon Footprint of Product (CFP) 128 ผลิตภัณฑ์ จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ที่สามารถระบุจำนวนปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในบรรจุภัณฑ์และผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นได้ และได้รับการรับรอง Carbon Footprint จากกระบวนการพิมพ์และขึ้นรูปบรรจุภัณฑ์กระดาษรวม 16 กระบวนการ ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้ากระดาษบรรจุภัณฑ์ โดยลูกค้าสามารถนำ CFP ไปใช้ต่อยอดคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดได้ นอกจากนี้ ยังได้พัฒนา “ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ที่ออกโดย SCGP (Private Declaration Label)” เพื่อแสดงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบรรจุภัณฑ์ และได้พัฒนา “ซอฟต์แวร์คาร์บอนฟุตพริ้นท์” ของผลิตภัณฑ์ พร้อมเอกสารรับรองการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์แก่ลูกค้า ทั้งนี้ได้ตั้งเป้าขอการรับรอง CFP ในกลุ่มสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย 100% ภายในปี 2027 ด้วย
“CFP จะช่วยให้ลูกค้าสามารถดำเนินธุรกิจได้สอดคล้องกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของภาครัฐที่มีการบังคับใช้มากขึ้นในหลายประเทศ ช่วยเพิ่มโอกาสการขาย การเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ ให้ลูกค้าส่งออกกลุ่มต่าง ๆ อีกทั้งยังสามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาและเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ นับเป็นการช่วยเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไทยให้มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมด้วย” วิชาญ กล่าว
ร่วมมือธุรกิจขับเคลื่อนความยั่งยืน
ตัวอย่างขององค์กรที่ดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้น “สุทธิพงค์ ลิ่มศิลา” Head of Corporate Strategy บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า คาโอได้กำหนดกลยุทธ์ทางด้านความยั่งยืน หรือ Kirei Lifestyle Plan ไว้จำนวน 19 แนวทางปฏิบัติด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปรับปรุงคุณภาพชีวิต และการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อทุก ๆ คน และอื่น ๆ คาโอใส่ใจในการพัฒนาและคิดค้นนวัตกรรมสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สะดวกต่อการใช้งาน มุ่งใช้นวัตกรรมเพื่อให้ผู้บริโภคมีชีวิตที่ง่ายขึ้น ทางด้านสิ่งแวดล้อมเองก็เป็นเรื่องที่สำคัญในยุคปัจจุบัน คาโอพัฒนาบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน โดยเลือกใช้ Bio PET และวัสดุที่เป็น Mono Material รวมถึงเพิ่มการใช้ Flexible Packaging (บรรจุภัณฑ์ชนิดถุงหรือฟิล์ม) แทน Rigid Packaging (บรรจุภัณฑ์ชนิดขวด) เพื่อลดปริมาณการใช้พลาสติกลง 50-70% เพิ่มสัดส่วนการใช้ Green Carton by SCGP เป็น 100% ภายในปีนี้ หรือแม้แต่การคัดเลือกแหล่งวัตถุดิบที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ว่าไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและบุกรุกป่า โดยคาโอมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็น 100% ภายในปี 2025 และลดการปล่อยคาร์บอนใน Scope 1 (การปล่อยคาร์บอนทางตรง) และ Scope 2 (การปล่อยคาร์บอนทางอ้อม) ให้ได้ 55% และลด CFP ในผลิตภัณฑ์คาโอ ทั้งหมดให้ได้ 22% ภายในปี 2030 นอกจากนี้ได้ตั้งเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2040 และ Carbon Negative ภายในปี 2050

เสริมเอสเอ็มอีสู่แนวทางลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ตัวแทนหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย “ยุทธนา เจียมตระการ” ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนและสิ่งแวดล้อม เผยว่า หอการค้าไทยมีสมาชิกกว่า 1.4 แสนรายทั่วประเทศ จากผลสำรวจเมื่อ 4 ปีก่อนพบว่า มีสมาชิกเพียง 30% ที่ตระหนักถึง ESG ซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อย มาจากปัจจัยหลายอย่าง เพื่อให้เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน SME ควรเริ่มหาข้อมูล พรบ.การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ที่มีทั้งหมด 14 หมวด 177 มาตรา เพื่อทำความคุ้นเคย ซึ่งจะเป็นทั้งเครื่องมือและกลไกสำคัญในการพาผู้ประกอบการไปสู่จุดหมาย Net Zero รวมถึงมาตรฐานการจัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือ Taxonomy ระบบการซื้อขายสิทธิคาร์บอนเครดิต (Emission Trading System) เป็นต้น
ธุรกิจในห่วงโซ่คุณค่าปรับตัว ลดปล่อยคาร์บอน
“เชวง เศรษฐพร” Head of Credit Product Development ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารสามารถเป็นได้มากกว่าผู้สนับสนุนด้านสินเชื่อ โดยมุ่งให้บริการแก่ลูกค้ากลุ่ม SME แบบจูงมือไปด้วยกัน มีการจัดเตรียม “สินเชื่อธุรกิจเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน” (Krungsri SME Transition Loan) เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ ให้วงเงินกู้สูงสุด 100% ของมูลค่าโครงการ ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 10 ปี โดยมีอัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรกที่ 3.50% ต่อปี ปีที่ 3-5 อัตราดอกเบี้ยคงที่ต่ำสุด 4.75% พร้อมสิทธิ์เข้าสมัครโครงการ Krungsri ESG Academy ให้ลูกค้าได้เรียนรู้และสนับสนุนธุรกิจเปลี่ยนผ่านได้อย่างรู้ลึก ทำได้จริง นอกจากนี้ ธนาคารยังมีกลไกสนับสนุนในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ โครงการ Krungsri ESG Awards มอบรางวัลให้ผู้ประกอบการที่มีโครงการเพื่อความยั่งยืนที่โดดเด่น สร้างการมีส่วนร่วมเพิ่มเติม รวมถึงเครือข่ายพันธมิตรใน ESG ecosystem ของกรุงศรีด้วย
ด้าน “สายชล อนุกูล” ผู้จัดการโรงไฟฟ้าและไบโอแก๊ส บริษัทโชคยืนยงอุตสาหกรรม จำกัด หนึ่งในผู้ประกอบการได้ยกตัวอย่างการปรับแนวทางการดำเนินงานด้านความยั่งยืนกล่าวว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจโรงงานแป้งมันสำปะหลัง ซึ่งต้องใช้พลังงานไฟฟ้าสูงและมีน้ำเสีย จึงจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อนำ “น้ำเสีย” มาผลิตเป็น “ก๊าซชีวภาพ” เพื่อนำกลับไปใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตกระแสไฟฟ้าภายในโรงงาน คิดเป็นสัดส่วน 60% ของการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด โดยน้ำเสียส่วนหนึ่งจะถูกนำไปบำบัดและใช้ปลูกหญ้าเนเปียร์ ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจ โดยผลผลิตที่ได้ 60% จะแบ่งให้ชุมชนโดยรอบ และอีก 40% บริษัทฯ นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงงาน นอกจากนี้ ได้ร่วมกับ SCGP ติดตั้งโซลาร์ฟาร์มขนาด 5 เมกะวัตต์ คิดเป็น 20% ของการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด ในอนาคตมีเป้าหมายให้เป็นโรงงานที่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% โดยจะลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพ หรือติดตั้งโซลาร์ฟาร์มหรือโซลาร์ลอยน้ำเพิ่ม

ส่วน “ธเนศ เมฆินทรางกูร” Commercial Director บริษัทไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE มองว่า ESG เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความยั่งยืน หากไม่เริ่มตั้งแต่วันนี้จะสูญเสียความสามารถการแข่งขันเนื่องจากมีกฎหมายเตรียมบังคับใช้ โดยการลดคาร์บอนในธุรกิจโลจิสติกส์ ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนมาใช้รถ EV เท่านั้น แต่รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพการขนส่งให้ดียิ่งขึ้น เช่น การจัดเส้นทางขนส่งใหม่ ใช้เรือขนส่งที่ใช้เชื้อเพลิงกำมะถันต่ำ ติดตั้งโซลาร์เซลล์ โดยปัจจุบัน WICE อยู่ในระหว่างเตรียมการให้บริการขนส่งเชื้อเพลิงวูดเพลเลท (wood pellets) จาก สปป.ลาว มายังประเทศไทย และส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิต Green Energy
ถือเป็นงานสัมมนาที่ส่งต่อความพร้อมให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในการเตรียมรับกับการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม และร่วมมือกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการเพิ่มมุมมองการดำเนินงานด้าน ESG จะมาช่วยลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อ และเร่งพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน หรือสามารถต่อยอดไปสู่ธุรกิจใหม่ที่สร้างรายได้ให้เติบโตอย่างมั่นคง
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป และยูนิเซฟ จับมือส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนทั่วประเทศไทยเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพและการพัฒนาทักษะได้มากขึ้น ความร่วมมือครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระดับโลกที่เริ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ภายใต้สโลแกน 'Bridge. Educating young people for tomorrow, today.' โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมทักษะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM education) ให้กับเด็กและเยาวชน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต
ภายใต้ความร่วมมือระยะยาวระดับโลกครั้งนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป จะมีส่วนสนับสนุนเป้าหมายระดับโลกของยูนิเซฟเพื่อเข้าถึงเด็กและเยาวชนจำนวน 10 ล้านคนทั่วโลกผ่านการศึกษาในแต่ละปี โดยมุ่งเน้นไปที่การจัดอบรมด้านสะเต็มศึกษา และพัฒนาทักษะให้กับเด็กและเยาวชนในภูมิภาคแอฟริกา เอเชีย และอเมริกากลางและใต้
ในประเทศไทย ความร่วมมือนี้เริ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาการศึกษาด้านสะเต็มในโรงเรียนมัธยมศึกษากว่า 100 แห่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท เป้าหมายคือการเข้าถึงนักเรียน 25,000 คนและครู 500 คนในช่วงสามปีแรกของความร่วมมือ นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการอบรมครูในวิชาด้านสะเต็มศึกษา และจัดกิจกรรมนอกเวลาเรียน ค่ายฝึกทักษะด้านสะเต็มศึกษา งานนิทรรศการวิทยาศาสตร์ และการแนะแนวให้คำปรึกษาแก่เยาวชน โครงการนี้ยังครอบคลุมกลุ่มเยาวชนกลุ่มเปราะบาง และเยาวชนที่ไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษา การจ้างงาน หรือการฝึกอบรม (NEET) เพื่อให้พวกเขามีโอกาสพัฒนาทักษะที่จำเป็น

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายเรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย และนางคยองซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ได้เดินทางไปเยี่ยมโรงเรียนอ่างศิลาพิทยาคม จังหวัดชลบุรี โดยได้เข้าร่วมกิจกรรมด้านสะเต็มศึกษากับนักเรียนที่กำลังสำรวจหัวข้อต่าง ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สภาพอากาศแบบต่าง ๆ และผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ซึ่งกิจกรรมเชิงปฏิบัติและการเรียนรู้นอกห้องเรียนเหล่านี้ ช่วยให้นักเรียนเห็นว่าสะเต็มศึกษาสามารถนำไปปรับใช้เพื่อรับมือกับความท้าทายในชีวิตประจำวันได้อย่างไร

นางคยองซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า “ทุกวันนี้ งานที่เกี่ยวข้องกับสะเต็มถือเป็นกุญแจสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ดังนั้นสะเต็มศึกษาที่มีคุณภาพจึงเป็นสิ่งที่ความสำคัญยิ่งกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม เราพบว่านักเรียนจำนวนมากในประเทศไทยยังคงขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับการศึกษาต่อและการทำงาน ดังนั้น ความร่วมมือกับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในครั้งนี้จะมีส่วนช่วยเติมเต็มช่องว่างนี้ โดยจะช่วยให้เด็กและเยาวชน โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่มักขาดโอกาส ได้รับความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการประสบความสำเร็จในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว”

ด้านนายเรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ตระหนักถึงบทบาทของเราในสังคม โดยเราได้พัฒนาโครงการด้านการศึกษาที่ตอบโจทย์เพื่อมอบโอกาสทางอาชีพในอุตสาหกรรมยานยนต์ให้กับเยาวชน และส่งเสริมทักษะที่จำเป็นให้แก่พวกเขาสำหรับงานในอนาคต เราทราบดีว่าการศึกษาเป็นกลไกที่ขับเคลื่อนสังคมและเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตเศรษฐกิจไทย ตอนนี้เรามียูนิเซฟเป็นพันธมิตรระยะยาวที่จะสนับสนุนความร่วมมือระดับโลกด้านสะเต็มศึกษาสำหรับเยาวชนทั่วประเทศไทย เราจะร่วมกันเติมเต็มช่องว่างระหว่างการศึกษาและชีวิตการทำงานสำหรับเยาวชน และเตรียมพวกเขาเพื่อการเติบโตทางอาชีพในอนาคต”

แม้ว่าเด็กส่วนใหญ่ในประเทศไทยจะได้เข้าเรียนในโรงเรียน แต่เด็กจำนวนมากยังขาดทักษะสำคัญที่จำเป็นสำหรับการศึกษาต่อหรือเข้าสู่ตลาดแรงงาน จากรายงาน PISA 2018 พบว่า มีเพียง 1 ใน 5 ของเด็กผู้ชายและ 1 ใน 7 ของเด็กผู้หญิงในประเทศไทยที่มีความสามารถด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่วางแผนจะประกอบอาชีพในด้านวิศวกรรมศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ก่อนอายุ 30 ปี นอกจากนี้ ยังพบว่า เยาวชนไทยกว่า 1.4 ล้านคนไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษา การจ้างงาน หรือการฝึกอบรม (NEET) โดยส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ซึ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางทักษะมากขึ้น
เด็กหญิงนิพิษฐา จิระธรรมวรวุฒิ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอ่างศิลาพิทยาคม กล่าวว่า เธอชอบการทดลองและหาคำตอบที่คนหลายคนไม่ค่อยรู้ แต่เป็นคำตอบในหลักการวิทยาศาสตร์ “วันนี้ที่ได้ร่วมกิจกรรมก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับความชื้นของพื้นดิน เรียนรู้เกี่ยวกับก้อนเมฆว่าสังเกตยังไง มีลักษณะแบบไหนบ้าง…ทำอะไรมันก็ดูสนุกไปหมดเลยค่ะ แล้วก็มีหลักการทางวิทยาศาสตร์มารองรับ…วิชาวิทย์คณิตสำคัญเพราะพัฒนาการเรียนรู้ทางด้านสมอง เพราะเมื่อเราโตขึ้น เราก็สามารถนำความรู้เหล่านั้นมาใช้ในการทำงานอนาคตอีกเยอะเลย แล้วก็สามารถไปประกอบได้อีกหลายอาชีพอีกค่ะ”