

แม้สถานการณ์เศรษฐกิจไม่นิ่ง แต่สำหรับใครอยากมีบ้านในฝันใจกลางเมืองไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับบริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR โดยหัวเรือใหญ่ พี่แจ้ - ไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ ล่าสุดจับ 5 คอนโดมิเนียม ใจกลางมหานคร ติดแนวรถไฟฟ้าสุดฮอต! มอบดีลเด็ดโปรโมชั่น Star on Top จัดหนักส่วนลดสูงสุดถึง 500,000 บาท* ไม่ต้องกลัวเรื่องค่าใช้จ่าย ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอนทั้งหมด พร้อมแถมเฟอร์นิเจอร์แบบจุกๆ ไม่ว่าจะเป็น โครงการควินทารา ภูม สุขุมวิท 39, โครงการควินทารา มาย‘เซน พร้อมพงษ์, โครงการ ควินทารา มาย'เจน รัชดา-ห้วยขวาง, โครงการ ควินทารา มาย’เดน โพธิ์นิมิต และโครงการควินทารา อาเท่ สุขุมวิท 52 โอกาสดีสำหรับชาวออฟฟิศ คนวัยทำงาน นักศึกษามหาวิทยาลัย ที่อยากมีชีวิตลงตัวห้ามพลาด ผ่อนสบายๆ เพียงเดือนละ 3,000 บาท/ล้านเท่านั้น!* เฉพาะเดือนกันยายนนี้เท่านั้น
สำหรับลูกค้าผู้สนใจเยี่ยมชมโครงการ จาก Eastern Star คลิก : www.estarpcl.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ LINE : @estarpcl หรือเบอร์โทรศัพท์ 091-949-0000
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนดและธนาคารกำหนด
นายณัฐสิทธิ์ สุนทราณู ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ช้อปออนไลน์เป็นหมวดใช้จ่ายที่คนไทยมีความคุ้นเคยและใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยเติบโตสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแพลตฟอร์มหลักที่ครองส่วนแบ่งตลาดมากเป็นอันดับหนึ่งในไทย คือ ช้อปปี้ หรือ Shopee ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับเคทีซีมายาวนานนับตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย และเติบโตด้วยกลยุทธ์ของการจัดวันมหกรรมแห่งการช้อปปิ้งออนไลน์ 9.9 จนกลายเป็นกระแสความนิยมแบบก้าวกระโดดในหมู่นักช้อปออนไลน์และขยายวงกว้างในกลุ่มผู้บริโภค และธุรกิจอื่นๆ”
“สำหรับลักษณะการใช้จ่ายออนไลน์ของสมาชิกเคทีซีในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-กรกฎาคม 2567) เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดียวกันของปี 2566 โดยสมาชิกมีพฤติกรรมในการซื้อสินค้าบ่อยครั้งขึ้น ในขณะที่ยอดการซื้อต่อครั้งน้อยลง โดยสังเกตจากจำนวนรายการใช้จ่ายบัตรเครดิตผ่านแพลตฟอร์มอีมาร์เก็ตเพลสยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเกือบ 40% และทางอีมาร์เก็ตเพลสเอง ก็มีรายการส่งเสริมการขายต่างๆ มากมาย เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคเข้าใช้บริการในแพลตฟอร์มมากขึ้น อาทิ การแจกโค้ดส่วนลดในช่วงเทศกาล Double Date, PAYDAY ต่างๆ รวมถึงการไลฟ์ขายสินค้าในราคาพิเศษ เพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น พร้อมสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่ามากขึ้น”
เคทีซีได้ร่วมกับช้อปปี้คัดสรร 3 สิทธิพิเศษ สำหรับการใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น เพื่อร่วมแบ่งเบาภาระใช้จ่ายให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี และสมาชิกบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ในแคมเปญ 9.9 โดยสิทธิพิเศษที่ 1 รับส่วนลดสูงสุด 2,500 บาท เมื่อช้อปสินค้า 12,000 บาท ที่แอปฯ Shopee และทำรายการผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท สิทธิพิเศษที่ 2 รับส่วนลดสูงสุด 1,200 บาท เมื่อช้อปผ่านบัตรเครดิตเคทีซีหรือบัตรเคทีซีพราว มาสเตอร์การ์ด เฉพาะวันที่ 9 กันยายน 2567 สิทธิพิเศษที่ 3 ใช้คะแนน KTC FOREVER แลกรับโค้ด Shopee มูลค่าสูงสุด 500 บาท ผ่านแอปฯ KTC Mobile ระหว่างวันที่ 2-16 กันยายน 2567 และใส่นำโค้ดส่วนลดในแอปฯ Shopee ก่อนชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซีที่ร่วมรายการ
นายการัน อำบานี ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ บริษัท ช้อปปี้ ประเทศไทย กล่าวว่า “จากแนวโน้มการเติบโตของอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคชาวไทยมีการปรับตัว และหันมาใช้ช่องทางออนไลน์ในการจับจ่ายสินค้าและบริการมากขึ้นเป็นอย่างมาก โดยนักช้อปนิยมจับจ่ายสินค้าประเภท Home & Living สูงสุดผ่านบัตรเครดิตเคทีซี บนแอปพลิเคชั่นช้อปปี้ สำหรับกลยุทธ์ที่เรามุ่งมั่นจะเดินหน้าพัฒนาให้ช้อปปี้เป็นมากกว่าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซผ่าน 3 โมเมนต์ (3S Moments) คือ ความเซอร์ไพรส์ (Surprise) ความคุ้มค่า (Saving) และความสำเร็จ (Success) ยังคงเป็นแนวทางที่เราให้ความสำคัญตลอดทั้งปีนี้”
“ช้อปปี้ ในฐานะอีคอมเมิร์ซเบอร์หนึ่งครองใจนักช้อปชาวไทย มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับเคทีซีตลอดมา เพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่สะดวกสบายและเป็นการแบ่งเบาภาระทางการเงิน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ท้าทายทางเศรษฐกิจอย่างปัจจุบัน เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยส่งเสริมให้ผู้บริโภคชาวไทยได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่ดียิ่งขึ้น และเราจะพัฒนาบริการของเราต่อไปเพื่อให้ตรงกับความต้องการและความคาดหวังของผู้บริโภคในอนาคต”
ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดโปรโมชันแคมเปญ Shopee 9.9 วันช้อปแห่งปีได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/online/shopping/shopee99 สมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท คลิก https://ktc.today/apply-card สมัครบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” คลิก https://ktc.today/KTC-PROUD หรือติดต่อ KTC PHONE โทร. 0-2123-5000 หรือศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี สำหรับผู้ถือบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” ควรกู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว
ไมตรี ตรีกิจการมงคล ประธานกรรมการบริหาร และ ดร.วรพจน์ กันตพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็ม.ที.นครหลวงก่อสร้างและที่ดิน จำกัด ร่วมลงนามสัญญาเปิดโรงแรม เบสท์ เวสเทิร์น แมทเทอร์ ติวานนท์ (Best Western Matter Tiwanon Hotel) จากเครือเบสท์ เวสเทิร์น โฮเทลแอนด์รีสอร์ท กับคณะผู้บริหารของบีดับเบิลยูเอช โฮเทล กรุ๊ป (BWH Hotels Group) ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นำโดย โอลิเวียร์ แบร์ริแวง รองประธานบริหารฝ่ายปฏิบัติการ ไซริล เซอร์วอนคา กรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ และดวงแก้ว นพพรพรหม ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ โดยมี ปฐม ศิริวัฒนประยูร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท พีซีแอล ฮอสปิทาลิตี้ จำกัด ในฐานะผู้บริหารโรงแรมเข้าร่วมด้วย
โครงการโรงแรม เบสท์ เวสเทิร์น แมทเทอร์ ติวานนท์ เป็นโรงแรมแนว Business Hotel ขนาด 68 ห้อง 7 ชั้น ตั้งอยู่บนถนนติวานนท์ ปากเกร็ด ตกแต่งในสไตล์ Modern Classic โดยเน้นจับกลุ่มผู้ประกอบการและผู้จัดอีเวนท์ที่มาจัดงานที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานี ผู้จัดและผู้เข้าร่วมงานสัมมนาจากหน่วยงานราชการ และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่นิยมเล่นกอล์ฟ ซึ่งคาดว่าจะมี occupancy rate หรืออัตราการเข้าพักตลอดทั้งปีไม่ต่ำกว่า 80% โครงการฯ มีกำหนดเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม 2568
“แอล ดับเบิลยู เอสฯ” ระบุ สิทธิในการถือครอง ที่มาของเงินลงทุน ภาษีและค่าธรรมเนียมการโอน ใบรับรองการถือครองทรัพย์สิน และ กฏหมายประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติ เป็น 5 ประเด็นหลักที่ผู้ประกอบอสังหาฯ ต้องให้ความสำคัญในการขายห้องชุดให้ชาวต่างชาติ
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด บริษัท วิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในเครือ บริษัท แอล พี เอ็น ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “นโยบายกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล โดยเฉพาะประเด็นที่จะเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติสามารถถือครองทรัพย์สินประเภทอาคารชุดพักอาศัยได้เพิ่มขึ้นจาก 49% เป็น 75% ของพื้นที่อาคารชุดทั้งหมด โดยจะมีการกำหนดเงื่อนไขอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของนิติบุคคลอาคารชุด เช่นการจำกัดสิทธิการออกเสียงของคนต่างด้าว และนิติบุคคลต่างด้าวที่ได้เข้ามาถือกรรมสิทธิ์ในภายหลังจากที่เกินอัตราส่วน 49% เพื่อที่จะไม่กระทบกับผู้ถือกรรมสิทธิของคนไทย เป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มกำลังซื้อที่อยู่อาศัยภายในประเทศ หลังจากที่กำลังซื้อภายในประเทศชะลอตัวลง ตามภาวะเศรษฐกิจที่มีอัตราการเติบโตแบบชะลอตัว กำลังซื้อจากต่างชาติเป็นส่วนหนึ่งที่จะกระตุ้นภาคอสังหาฯ ในประเทศไทย ในภาวะที่กำลังซื้อภายในประเทศชะลอตัว” นายประพันธ์ศักดิ์กล่าว

จากข้อมูลศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ระบุว่าพื้นที่การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของชาวต่างชาติในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 มีจำนวนทั้งหมด 173,007 ตารางเมตร จากพื้นที่การโอนทั้งหมด 818,489 ตารางเมตร หรือคิดเป็น 21.13% ซึ่งเพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและถ้าหากเทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อ 2 ปีก่อน (ปี 2565) พบว่าพื้นที่การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของชาวต่างชาติ ใน ปี 2567 จะเพิ่มขึ้นถึง 78.30% โดยสัญชาติที่ถือครองกรรมสิทธิ์ในคอนโดมากที่สุดคือ จีน คิดเป็น 40.5% รองลงมาเป็น เมียนม่า 10.0% รัสเซีย 7.5% และยังพบว่าทำเลที่คนจีนนิยมซื้อลงทุนมากที่สุดตามลำดับคือ พัทยา-ชลบุรี คิดเป็น 46% รองลงมาเป็นเชียงใหม่ 32% และภูเก็ต 29.4% ในส่วนของกรุงเทพฯคิดเป็น 14.4% จากข้อมูลที่กล่าวมานี้สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจของชาวต่างชาติในการถือครองกรรมสิทธิ์ของอาคารชุดในเมืองหลักและเมืองท่องเที่ยว แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบกับสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดของชาวต่างชาติทั่วประเทศในปัจจุบันยังอยู่เพียง 21.13% เท่านั้น จึงมีช่องว่างและโอกาสในการขยายการลงทุนอสังหาฯ จากชาวต่างชาติ เพื่อกระตุ้นภาคอสังหาฯ ภายในประเทศให้มีอัตราการเติบโตทดแทนกับกำลังซื้อภายในประเทศที่ลดลง
ถึงแม้นโยบายกระตุ้นภาคอสังหาฯ ที่เพิ่มกำลังซื้อของชาวต่างชาติจะยังไม่มีผลบังคับใช้ก็ตาม แต่ปัจจุบัน สัดส่วนการถือครองที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดของชาวต่างชาติ ยังอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่า 49% ตามกฏหมายกำหนด จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่จะกระตุ้นกำลังซื้อจากต่างชาติ โดยต้องคำนึงถึงข้อกฎหมายในปัจจุบัน เพื่อที่จะสื่อสารและทำความเข้าใจกับชาวต่างชาติในสิทธิประโยชน์ที่จะได้จากการถือครองอาคารชุดในประเทศไทย โดยมี 5 ประเด็นหลักที่ต้องให้ความสำคัญได้แก่

1. ข้อจำกัดในการถือครอง
วัตถุประสงค์เพื่อรักษาสัดส่วนการถือครองอสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศให้อยู่ในมือของคนไทยส่วนใหญ่ และเพื่อควบคุมการลงทุนของคนต่างด้าวในอสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศไทย อ้างอิงพระราชบัญญัติอาคารชุด(ฉบับที่ 4) พ.ศ.2551 มาตรา19 ชาวต่างชาติสามารถถือครองอาคารชุดได้ไม่เกิน 49% ของพื้นที่ขายทั้งหมดในโครงการนั้น ๆ ส่วนที่เหลือจะต้องเป็นของคนไทย หากสัดส่วนการถือครองของคนต่างชาติในโครงการถึง 49% แล้ว คนต่างชาติจะไม่สามารถจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ในโครงการนั้นได้อีก ซึ่งการตรวจสอบสัดส่วนการถือครองของคนต่างชาติ ตรวจสอบจากนิติบุคคลอาคารชุดโครงการ สอบถามสำนักงานที่ดินที่รับผิดชอบดูแลพื้นที่โครงการ กรณีที่โครงการยังอยู่ระหว่างการพัฒนาหรือเพิ่งเปิดขายสามารถติดต่อผู้พัฒนาโครงการ หรือการใช้บริการจากทนายความหรือที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์

2. แหล่งที่มาของเงินทุน
คนต่างด้าวต้องใช้เงินทุนที่นำเข้ามาจากต่างประเทศในการซื้ออาคารชุด และเงินดังกล่าวจะต้องถูกแปลงเป็นเงินบาทผ่านธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย โดยธนาคารจะออกหนังสือรับรองการนำเงินเข้าประเทศ (Foreign Exchange Transaction Form) ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญในการโอนกรรมสิทธิ์

3. ภาษีและค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์
การโอนกรรมสิทธิ์จะต้องดำเนินการที่สำนักงานที่ดิน ซึ่งต้องมีเอกสารครบถ้วน ได้แก่ หนังสือเดินทางของคนต่างด้าว, หนังสือรับรองการนำเงินเข้าประเทศ, สัญญาซื้อขาย และเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ชำระค่าธรรมเนียมและภาษี ลงนามเอกสารร่วมกันทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย และสำนักงานที่ดินจะออกหนังสือรับรองการโอนกรรมสิทธิ์ให้กับผู้ซื้อ ซึ่งค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ โดยทั่วไปคิดเป็น 2% ของราคาประเมินหรือราคาซื้อขาย (แล้วแต่อย่างใดสูงกว่า) ภาษีธุรกิจเฉพาะ คิดเป็น 3.3% ของราคาซื้อขายหรือราคาประเมิน (หากถือครองอสังหาริมทรัพย์น้อยกว่า 5 ปี) ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย คำนวณตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบขั้นบันได

4. การขอใบรับรองการถือครอง
คนต่างด้าวจำเป็นต้องขอใบรับรองการถือครองจากสำนักงานที่ดิน เพื่อยืนยันว่าการซื้อขายเป็นไปตามกฎหมาย รวมถึงการนำเงินเข้าประเทศอย่างถูกต้องโดยมีธนาคารพาณิชย์ออกหนังสือรับรองการนำเงินเข้าประเทศ

5. กฎหมายและข้อบังคับอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ กฏหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542
นอกจากพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ที่กำหนดข้อจำกัดเกี่ยวกับการถือครองอาคารชุดโดยคนต่างด้าวแล้ว ยังมีพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวพ.ศ.2542 แม้ว่าอาคารชุดไม่ถือเป็นธุรกิจที่ถูกควบคุมโดยตรงภายใต้กฎหมายนี้ แต่ในบางกรณีที่คนต่างด้าวเข้ามาทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในไทย กฎหมายนี้กำหนดเงื่อนไขและข้อจำกัดในการประกอบธุรกิจเพื่อป้องกันไม่ให้คนต่างด้าวเข้ามาครอบครองทรัพย์สินในประเทศอย่างไม่เป็นธรรม ข้อบังคับท้องถิ่นในบางพื้นที่อาจมีข้อบังคับเพิ่มเติมจากกฎหมายหลัก เช่น การจำกัดการถือครองอาคารชุดในบางเขตพื้นที่ หรือข้อกำหนดเกี่ยวกับการพัฒนาและการใช้ประโยชน์จากที่ดินและอาคารชุด เป็นต้น
“ปัจจุบันราคาที่อยู่อาศัยในประเทศไทย มีการปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าความสามารถในการซื้อของผู้ซื้อภายในประเทศ การเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย จึงมีความจำเป็นที่จะเพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นภาคอสังหาฯ ในประเทศไทย และในขณะเดียวกันเราจำเป็นต้องมีความชัดเจนในข้อกฏหมาย และสร้างความเข้าใจกับนักลงทุนชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฏระเบียบใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นภายใต้กรอบของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่จะเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเป็นเจ้าของอสังหาฯ ในไทยได้มากขึ้น ยิ่งจำเป็นที่จะต้องมีกฏระเบียบที่ชัดเจน เพื่อลดประเด็นขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว
ออเนอร์ (HONOR) ผู้ให้บริการอุปกรณ์อัจฉริยะชั้นนำระดับโลก เปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ HONOR X6b ภายใต้คอนเซ็ปต์ "ถึก ทน คุ้ม" โดยรุ่นนี้ชูจุดขายด้วยประสิทธิภาพการใช้งานที่ยาวนานด้วยแบตเตอรี่ความจุ 5200 mAh ผสานกับพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่ 6GB+128GB ขยายได้ถึง 12GB ด้วยเทคโนโลยี HONOR RAM Turbo ทำให้การจัดเก็บข้อมูลทำได้แบบเต็มพิกัด พร้อมมอบประสบการณ์การใช้งานที่เหนือชั้นกับนวัตกรรมสุดล้ำเฉพาะจาก HONOR ที่ได้การรับรองโดย SGS ระดับ 5 ดาว โดยตัวเครื่องสามารถทนต่อการตกกระแทกจากความสูงถึง 1.5 เมตร ตลอดจนกล้อง AI Ultra-Clear 50MP เพื่อยกระดับการถ่ายภาพที่ดีที่สุด เป็นเจ้าของ HONOR X6b ในราคาคุ้มค่าเพียง 3,999 บาท เริ่มจำหน่ายวันแรกตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2567 เป็นต้นไป
HONOR X6b สมาร์ตโฟนรุ่นเล็กใหม่ล่าสุดในกลุ่ม X Series ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานเริ่มต้นอย่างครอบคลุม ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัย เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป และมีราคาที่ใครก็จับต้องได้ โดยรุ่นนี้เน้นเจาะกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องเดินทางหรือทำงานนอกสถานที่เป็นประจำ ด้วย 3 จุดเด่นหลัก ดังนี้

ประสิทธิภาพแบตเตอรี่ที่อึดทนทาน ความจุ 5200 mAh
HONOR X6b มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5200mAh ที่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานถึง 2 วันต่อการชาร์จเพียงครั้งเดียว มีความหนาแน่นพลังงานสูงถึง 731wh/L โดยสามารถดูหนังและฟังเพลงได้นานถึง 26 ชั่วโมง หรือใช้งานบนโซเชียลมีเดียได้นานถึง 27 ชั่วโมง พร้อมได้รับการการันตีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ยาวนาน 4 ปี ตัวเครื่องน้ำหนักเบาเพียง 192 กรัม และบางเพียง 8.39 มิลลิเมตร ทั้งยังมาพร้อม HONOR Super Charge 35W ที่ช่วยให้ชาร์จเพียง 10 นาที ได้แบตเตอรี่ถึง 20% ด้วยโหมด HONOR Super-Charging Boost นอกจากนี้ โหมดประหยัดพลังงานพิเศษ HONOR Super Power-Saving ในตัวเครื่องยังรองรับเวลาสแตนบายได้นานกว่า 19 ชั่วโมง แม้แบตเตอรี่จะเหลือเพียง 10% เท่านั้น

ที่สุดของพื้นที่การจัดเก็บขนาดใหญ่ เต็มพิกัดกับความจุ 6GB+128GB
สำหรับ HONOR X6b มาพร้อมพื้นที่จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ 12GB (6GB+6GB)+128GB สามารถรองรับการเก็บภาพถ่ายได้มากกว่า 60,000 ภาพ และเพลงมากกว่า 24,000 เพลง หรือภาพยนตร์มากกว่า 200 เรื่อง (รูปภาพ เพลง และภาพยนตร์คำนวณเป็นขนาด 4MB, 10MB และ 1GB ต่อรายการ) อีกทั้งยังมาพร้อมเทคโนโลยี HONOR RAM Turbo ซึ่งเพิ่ม RAM ที่มีอยู่เป็นสองเท่าจาก 6GB เป็น 12GB ทำให้การใช้งานลื่นไหลยิ่งขึ้น นอกจากนี้ HONOR X6b ยังมีชิปเซ็ต MediaTek Helio G85 และ 8Cores Processor สุดทรงพลัง ที่พร้อมรองรับการทำงานในทุก ๆ ด้านได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ความทนทานต่อการตกกระแทกที่ระดับความสูงถึง 1.5 เมตร
HONOR X6b สร้างมาตรฐานใหม่ด้านความทนทาน ด้วยคุณภาพการทนทานต่อการตกหล่นระดับ 5 ดาว ที่ได้รับการรับรองโดย SGS ซึ่งออกแบบมาเพื่อทนต่อการตกจากที่สูงถึง 1.5 เมตร ให้การปกป้องแบบ 360 องศา ครอบคลุมทั้งหกด้านและมุมทั้งสี่ของสมาร์ตโฟน แม้ว่าจะตกลงบนพื้นผิวหินอ่อนแข็งก็ยังอยู่ในสภาพปกติดีเยี่ยม
นอกจากนี้ HONOR X6b ยังมีกลไกป้องกันการตกหล่นที่ซับซ้อนถึง 3 กลไก เพื่อให้มั่นใจถึงความทนทานสูงสุดและลดความเสียหายระหว่างการตกหล่นโดยไม่ตั้งใจ พร้อมมีฟีเจอร์ Reinforced Corners ที่ได้รับการสนับสนุนโดยโครงสร้าง robust rhinoceros ที่แข็งแกร่ง เพื่อเพิ่มความเสถียรเป็นพิเศษและเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างโดยรวมของสมาร์ตโฟน อีกทั้งสถาปัตยกรรมการกันกระแทกและการป้องกันการตกที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ได้รับการออกแบบมาเพื่อดูดซับและกระจายพลังงานจากการกระแทกอย่างสม่ำเสมอ ช่วยป้องกันความเสียหายของหน้าจอและต้านทานการเสียรูป ตลอดจนการออกแบบการกระจายแรงยังใช้โครงสร้างแบบขั้นบันไดหลายระดับที่กระจายแรงกระแทกทั่วทั้งอุปกรณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายต่อสมาร์คโฟนได้เป็นอย่างดี
HONOR X6b ยังเสริมการใช้งานด้านอื่น ๆ อย่างการยกระดับการถ่ายภาพได้แบบมืออาชีพด้วยกล้อง AI Ultra-Clear ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล รองรับในโหมด HIGH-RES ที่ให้รายละเอียดคมชัดและสีสันสดใส และอีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง Magic Capsule เพียงแตะที่การแจ้งเตือนที่แสดงด้านบนของหน้าจอ ข้อมูลก็จะขยายออกเพื่อนำทางไปยังแอป ฯ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างรวดเร็วให้แก่ผู้ใช้งาน อีกทั้งยังมาพร้อมกับโหมด E-Book และ Dynamic Dimming Display ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้สามารถช่วยลดการกระพริบของหน้าจอซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้ผู้ใช้มีอาการตาล้า ด้วยจุดเด่นและฟีเจอร์ทั้งหมดนี้ทำให้ HONOR X6b เป็นสมาร์ตโฟนที่ถึก ทน และคุ้มราคาที่สุด

HONOR X6b มีทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีเขียว (Forest Green) และดำ (Midnight Black) สามารถเป็นเจ้าของได้ในราคาคุ้มค่าเพียง 3,999 บาท จำหน่ายวันแรกตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2567 เป็นต้นไป โดยจะมีโปรโมชันพิเศษ เมื่อซื้อสินค้าระหว่างวันที่ 6 – 30 กันยายน 2567 รับฟรี! HONOR Sport Bottle มูลค่า 899 บาท สามารถซื้อสินค้าและรับสิทธิ์ได้ที่ร้าน HONOR Experience Store ทุกสาขา และร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.honor.com/th/ หรือติดตามข่าวสารและกิจกรรมได้ที่เฟซบุ๊ก HONOR Thailand
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เร่งยกระดับศักยภาพเครื่องดื่มไทยที่ผลิตจากชุมชนใน 3 ผลิตภัณฑ์ที่สำคัญ คือ กาแฟ โกโก้ และสุราพื้นบ้าน พร้อมผลักดันเครื่องดื่มชุมชนสู่ตลาดในวงกว้าง ด้วยการจัดงาน “CRAFT DRINK BY DIPROM ศาสตร์และศิลป์เครื่องดื่มไทย นำธุรกิจไกลสู่สากล” ณ ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ระหว่างวันที่ 5 – 10 กันยายน 2567 โดยนำผู้ประกอบการเครื่องดื่มชุมชน โกโก้ กาแฟ และสุราชุมชน นำสินค้าเข้าร่วมจัดแสดง และจำหน่ายให้กับผู้ที่เข้าชมงานกว่า 120 ร้านค้า ตั้งเป้ามีผู้ร่วมงานมากกว่าแสนคน และต่อยอดมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 140 ล้านบาท

นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เดินหน้านโยบาย "RESHAPE THE FUTURE: โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต" ด้วยการมุ่งยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนเครื่องดื่มไทย ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ให้สามารถเติบโตได้ในระดับสากลและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต จึงได้จัดงาน “CRAFT DRINK by DIPROM ศาสตร์และศิลป์เครื่องดื่มไทย นำธุรกิจไกลสู่สากล” ขึ้น ระหว่างวันที่ 5 - 10 กันยายน 2567 เวลา 10.00 – 22.00 น. ณ ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมเกษตรอุตสาหกรรม และเครื่องดื่มไทยสู่ตลาดโลกอย่างเต็มที่ และตอกย้ำเจตนารมณ์ในการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทยให้สามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเป็นเอกลักษณ์ เพื่อแข่งขันในตลาดสากลได้อย่างยั่งยืน โดยชูสินค้า 3 กลุ่มหลักสำคัญ ได้แก่ 1) กาแฟ 2) โกโก้ และ 3) สุราพื้นบ้าน หวังยกระดับสินค้าชุมชน สร้างงาน สร้างอาชีพ พร้อมพัฒนาตลาดสินค้าเครื่องดื่มชุมชนเหล่านี้ให้เป็นที่แพร่หลายไปสู่ระดับโลก

โดยงานนี้ เป็นการสร้างปรากฏการณ์การรวมผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มของไทย ที่มีความหลากหลายและมีอัตลักษณ์ของชุมชนท้องถิ่น เพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้เป็นส่วนหนึ่งของซอฟต์พาวเวอร์ในด้านอาหารของไทย อีกทั้งยังได้ร่วมนำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มจากกลุ่มผู้ประกอบการ และวิสาหกิจชุมชนจากทุกภูมิภาค เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ ตั้งเป้ามีผู้ร่วมงานมากกว่าแสนคน และต่อยอดมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 140 ล้านบาท ตลอดการจัดงาน 6 วัน
ณรงค์ฤทธิ์ ผลห้า ผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลิตภัณฑ์โกโก้ เจ้าของแบรนด์ Singora chocolate หนึ่งในผู้ประกอบการโกโก้ที่เข้าร่วมออกบูธในงาน “CRAFT DRINK BY DIPROM” เปิดเผยว่า ตลาดเครื่องดื่มโกโก้ หรือช็อกโกแลต ยังมีโอกาสอีกมากในประเทศไทย เนื่องจากคนไทยหันมาสนใจเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น ซึ่งเครื่องดื่มโกโก้เข้ามาตอบโจทย์ในเรื่องนี้ได้ดี เพราะโกโก้เป็นแหล่งสำคัญของ polyphenol ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นประสาท ช่วยบรรเทาภาวะของโรคเครียด โรคซึมเศร้า ช่วยลดระดับไขมันในเลือด ช่วยลดความดันโลหิต และช่วยระดับลดน้ำตาลในเลือด รวมทั้งยังเป็นเครื่องดื่มที่ทานได้ทุกเวลา และทุกช่วงวัย

จากการแสความนิยมโกโก้ที่เพิ่มขึ้น ทำให้เราขยายธุรกิจจากวิสาหกิจชุมชนไปสู่การเป็นเอสเอ็มอีโดยใช้จุดเด่นของผงโกโก้ที่มีโกโก้บัตเตอร์ซึ่งเป็นไขมันดีมีประโยชน์ต่อร่างกายสูงถึง 22% มากกว่าผงโกโก้ทั่วไปในท้องตลาดที่มีเพียง 10 – 12% รวมทั้งที่โรงงานยังมีการผลิตอย่างครบวงจรตั้งแต่เครื่องจักร อุปกรณ์ที่ใช้ผลิตโกโก้ ไปจนถึงผงโกโก้ ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ได้จากโกโก้ และยังมีมีคอร์สสอนแปรรูปตั้งแต่ผลสดจนเป็นผลิตภัณฑ์
ทั้งนี้ โกโก้ของไทยก็มีจุดเด่นที่เกิดจากพื้นที่และภูมิอากาศที่แตกต่างจากที่อื่น ทำให้โกโก้ของไทยจะมีความเปรี้ยวปลายนิด ๆ สดชื่นคล้ายผลไม้เมืองร้อน เป็นรสชาติใหม่ที่ต่างประเทศไม่มี ทำให้โกโก้ของไทยสามารถพัฒนาไปสู่เกรดพรีเมียมได้ รวมทั้งโกโก้ยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นช็อกโกแลตที่เป็นขนมหวานราคาสูง และแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่หลากหลาย เป็นที่นิยมของคนทั่วโลก และยังเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพที่เข้ากับเทรนด์ความต้องการในโลกยุคใหม่ จึงเหมาะกับประเทศไทยที่เป็นผู้แปรรูปอาหารชั้นนำของโลก เป็นโอกาสในการสร้างสินค้าใหม่ทำรายได้เข้าประเทศได้อีกมาก
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังต้องนำเข้าโกโก้จากต่างประเทศเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยผลผลิตเมล็ดโกโก้แห่งภายในประเทศมีไม่ถึง 1 พันตันต่อปี ทำให้ต้องนำเข้ากว่า 5 พันตันต่อปี ดังนั้นยังมีโอกาสขยายกำลังการผลิตได้มากกว่า 5 เท่าตัว โดยพื้นที่เหมาะสมในการปลูกโกโก้จะอยู่ในภาคใต้ ซึ่งโกโก้เป็นพืชที่ปลูกแซมในสวนยาง และสวนผลไม้ต่าง ๆ ได้ดี เพราะไม่ต้องการแสงแดดมาก จึงเหมาะกับเกษตรกรทั่วไปที่จะปลูกโกโก้เพิ่มรายได้ให้มากขึ้นกว่าการปลูกพืชหลักเพียงอย่างเดียว

โดยภายในงาน “CRAFT DRINK BY DIPROM” นี้ จะมีการเปิดตัวเครื่องดื่มโกโก้ในรูปแบบใหม่ คือ ช็อกโกแลตน้ำตาล เป็นการนำน้ำตาลโตนดที่ผลผลิตขึ้นชื่อท้องในถิ่นเข้ามาประยุกต์สร้างเป็นเครื่องดื่มรูปแบบใหม่ทีดีต่อสุขภาพ เพราะน้ำตาลโตนดมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำทำให้ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดช้า บวกกับคุณประโยชน์ของโกโก้ จึงเป็นเครื่องดื่มรูปแบบใหม่ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพสูง รวมทั้งยังนำผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ ลิบบาล์ม หรือ ลิปสติก ซึ่งเป็นการแปรรูปนำบัตเตอร์โกโก้มาผลิต จึงมีคุณสมบัติในการบำรุงริมฝีปากได้ดี โดยมองว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะโตได้อีกมากในอนาคต รวมทั้งยังมีแผนที่จะร้านช็อกโกแลตคราฟท์ ที่เป็นโกโก้คาเฟ่เต็มรูปแบบ เป็นทางเลือกใหม่ที่ทานได้ทุกวัย ซึ่งในปัจจุบันมีร้านโกโก้คาเฟ่แท้ ๆ ทั่วประเทศไม่ถึง 50 ร้าน ดังนั้นจึงมองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง เพราะเป็นทางเลือกใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ที่รักสุขภาพ
ด้าน สุรีรัตน์ สิงห์รักษ์ ผู้ประกอบการกาแฟแบรนด์ “ลองเลย” เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นในการดำเนินธุรกิจ มาจากแนวคิดที่จะส่งเสริมให้ชาวบ้านใน อ.นาแห้ว จ.เลย เข้ามาร่วมปลูกป่าชุมชนพร้อมกับการปลูกพืชต่าง ๆ เข้ามาเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว ซึ่งส่งผลดีให้กับทุกฝ่าย และยังได้ปรับสภาพ อ.นาแห้ว จากภูเขาหัวโล้นไปสู่ป่าที่อุดมสมสมบูรณ์ด้วยความร่วมมือของคนในท้องถิ่น โดยได้นำกาแฟพันธ์อราบิก้า มาเป็นพืชหลักในการส่งเสริมเพาะปลูกร่วมกับป่า

โดยในช่วงแรกในปี 2557 มีเพียง 5 ครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการนี้ แต่ในปัจจุบันได้ขยายไปเป็น 125 ครัวเรือน และในปี 2560 ได้สร้างโรงคั่วกาแฟ เพื่อแปรรูปกาแฟให้กับชุมชน และในปีนี้ก็มีชาวบ้านเข้ามาร่วมอบรมเข้าโครงการนี้เพิ่มอีก 116 ครัวเรือน จึงทำให้คาดว่าจะมีครัวเรือนที่เข้าร่วมแตะ 300 ครัวเรือนได้ในปีหน้า เนื่องจากชาวบ้านได้เห็นตัวอย่างของผู้ที่เข้าโครงการได้รับรายได้เพิ่มเป็นกอบเป็นกำทุกปี จึงมีผู้สนใจมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดย กาแฟลองเลย ในช่วงแรก เป็นเพียงการนำผลผลิตกาแฟจากชาวบ้านมาแปรรูปจำหน่ายเป็นเมล็ดกาแฟคั่ว และกาแฟคั่วบด ที่มีจุดเด่นในเรื่องของการเป็นกาแฟพรีเมียมที่มีรสชาตเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น แต่ในช่วงการระบาดของโควิด 19 ทำให้ยอดขายลดลงไปมาก จึงได้ร่วมกับ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) เข้ามาช่วยปรับปรุงผลิตภัณฑ์ และพัฒนาการผลิตไปสู่การผลิตเป็นแคปซูลกาแฟที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่ รวมทั้งยังได้ช่วยปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้มีรูปแบบสวยงามที่เล่าเรื่องราวการสร้างป่า สร้างรายได้ เปลี่ยนภูเขาหัวโล้นให้เป็นป่าที่สมบูรณ์ นำไปสู่การสร้างผลิตที่มีคุณภาพสูงควบคู่กับการสร้างป่าและพัฒนาชุมชน นอกจากนี้ ดีพร้อมยังเข้ามาช่วยพัฒนามาตรฐาน สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ จึงทำให้สินค้าขายได้มากขึ้น และเป็นที่จดจำในตลาดวงกว้าง
“หลังจากที่ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ ก็ได้รับการตอบสนองจากลูกค้าดีขึ้น ยอดขายเพิ่มขึ้น และคนทั่วไปก็รู้จักสินค้าของเรามากขึ้น โดยในก้าวต่อไปจะมุ่งไปสู่การผลิตเชิงอุตสาหกรรม ที่ตั้งเป้าหมายจะส่งเข้าไปขายในโมเดิร์นเทรดให้ได้ในอนาคต ทำให้คนทั่วไปรู้จักแบรนด์ลองเลยมากขึ้น”

สำหรับการร่วมงาน “CRAFT DRINK BY DIPROM” ในครั้งนี้ ได้นำผลิตภัณฑ์ใหม่ อเมริกาโนฮันนี่เลมอน หรือ กาแฟน้ำผึ้งป่า ซึ่งเป็นการนำผลผลิตจากป่าชุมชน เช่น น้ำผึ้ง และมะนาว เข้ามาประยุกต์ร่วมกับกาแฟของท้องถิ่น ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ลงตัวรสชาติดีจนทำให้ได้รับความนิยมอย่างสูง และเป็นเมนูใหม่ที่ไม่เหมือนใคร สะท้อนอัตลักษณ์ของกาแฟชุมชนของเรา
นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาเพื่อพัฒนาไปสู่การผลิตเป็นกาแฟฮันนีเลมอนสำเร็จรูป ที่เก็บได้นาน และสะดวกในการกระจายสินค้าไปสู่วงกว้าง รวมทั้งการทำธุรกิจแฟรนไชส์ เพื่อขยายแบรนด์ร้านกาแฟลองเลยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไปสู่พื้นที่อื่น ๆ ซึ่งขณะนี้กำลังพัฒนาให้การผลิตในจำนวนมากให้มีรสชาติคงที่ ตั้งเป้าหมายที่จะเปิดร้านกาแฟสาขาในจังหวัดเลย และที่กรุงเทพฯ และยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมที่เป็นเมล็ดกาแฟคัว, กาแฟคั่วบด, กาแฟสกัดเย็น, กาแฟแคปซูล ให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่เพิ่มขึ้น และการเพิ่มจุดจำหน่าย และเพิ่มยอดขายผ่านออนไลน์ให้มากขึ้น
เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC ผู้นำธุรกิจพอลิเมอร์ครบวงจรเพื่อความยั่งยืน ร่วมกับ บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคและเคมีภัณฑ์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ภายใต้แบรนด์สินค้า อาทิ แอทแทค บิโอเร ไฮเตอร์ มาจิคลีน ลอรีเอะ แฟซ่า ฯลฯ พัฒนาบรรจุภัณฑ์รีไซเคิลรักษ์โลกสำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม “แฟซ่า” (Feather) ผลิตจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง SCGC GREEN POLYMERTM ด้วยเทคโนโลยีรีไซเคิลจาก SCGC เพื่อผลิตเป็น บรรจุภัณฑ์ที่มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่ำ และสามารถรีไซเคิลได้ 100% มุ่งใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สู่วิถีสังคมคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม โดยยังคงรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายในและให้ความสะดวกกับผู้บริโภคได้เช่นเดิม

นายยูจิ ชิมิซึ ประธานกรรมการ บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “หากพูดถึงคาโอ หนึ่งในสินค้าที่ทุกคนต้องรู้จักคือ แชมพูแบรนด์ “แฟซ่า” ที่อยู่คู่คนไทยมานานกว่า 60 ปี ซึ่งแฟซ่าเป็นสินค้าแรกที่คาโอจำหน่ายในประเทศไทย โดยมีวิวัฒนาการมาตั้งแต่แฟซ่าแบบซองซึ่งอยู่ในรูปแบบผง และได้พัฒนามาตามยุคสมัยจนกลายมาเป็นรูปแบบปัจจุบัน ซึ่งนอกจากการพัฒนาสูตรเองแล้ว คาโอยังไม่หยุดยั้งในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อม โดยในปี 2024 นี้ คาโอได้ปรับโฉมบรรจุภัณฑ์ใหม่โดยร่วมมือกับ SCGC ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีพลาสติกรีไซเคิลครบวงจร เพื่อพัฒนาขวดบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกสำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม “แฟซ่า” โดยเลือกใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิลประเภทพอลิเอทิลีนชนิดความหนาแน่นสูง (High Quality PCR HDPE Resin) นับเป็นการชุบชีวิตพลาสติกใช้แล้วให้กลับมามีคุณค่าใหม่อีกครั้ง”

นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC กล่าวว่า “SCGC มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีรีไซเคิล และมีโซลูชันด้าน Green Polymer ที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น บรรจุภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น โดย SCGC จะพัฒนาสูตรการผลิตและเทคโนโลยีให้เหมาะกับความต้องการโดยคำนึงถึงคุณภาพและสิ่งแวดล้อมควบคู่กัน สำหรับความร่วมมือกับคาโอนั้น SCGC ได้พัฒนาสูตรเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงประเภทพอลิเอทิลีนชนิดความหนาแน่นสูง (High Quality PCR HDPE Resin) จาก SCGC GREEN POLYMERTM ให้กับขวดแชมพูแฟซ่า เพื่อผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ที่มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่ำ สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ 100% และมีความปลอดภัย สามารถสัมผัสกับเนื้อผลิตภัณฑ์ภายในได้โดยไม่ส่งผลต่อคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์”
ทั้งนี้ “ขวดแชมพูรักษ์โลกของแฟซ่า” เป็นดีไซน์ซึ่งสอดคล้องกับวิถีสังคมคาร์บอนต่ำ สามารถนำกลับมารีไซเคิลใหม่ได้ทุกชิ้นส่วน 100% เนื่องจากไม่มีการเติมแต่งสีในเนื้อพลาสติก นอกจากนี้ ในส่วนของฉลากยังออกแบบให้สามารถฉีกแยกออกได้ง่ายตามรอยประ เพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ง่ายยิ่งขึ้น ช่วยลดปริมาณขยะพลาสติก และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
TECNO เตรียมมอบประสบการณ์สุดคุ้มให้กับนักช้อปในมหกรรม 9.9 ที่กำลังจะมาถึง ด้วยโปรโมชั่นสุดพิเศษสำหรับสมาร์ตโฟนรุ่นยอดนิยมอย่าง TECNO POVA 6 NEO ที่มาพร้อมส่วนลดสูงสุดถึง 20% บนแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ชั้นนำอย่าง Shopee, TikTok, และ Lazada รายละเอียดดังนี้
Shopee จัดโปรโมชั่น ตั้งแต่วันที่ 9-11 กันยายน 2567 มอบส่วนลดสูงสุดถึง 20% โดยสามารถซื้อ TECNO POVA 6 NEO ในราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 4,599 บาท จากราคาปกติ 8,499 บาท นอกจากนี้ ยังสามารถกดเก็บโค้ดส่วนลดพิเศษได้ที่ TECNO Mobile Official Store
TikTok Shop เริ่มจัดโปรโมชั่น ตั้งแต่วันที่ 6-9 กันยายน 2567 นักช้อปสามารถเพลิดเพลินไปกับส่วนลดพิเศษและคูปองจากไลฟ์สตรีมของ TikTok TECNO Official ด้วยราคาที่เห็นแล้วต้องร้องกรี๊ด เริ่มต้นเพียง 4,759 บาท จากราคาปกติ 8,499 บาท โดยคูปองมีจำนวนจำกัด
และ ในช่วงเวลาเดียวกัน วันที่ 9-11 กันยายน 2567 นักช้อปบน Lazada จะได้พบกับโปรโมชั่นสุดคุ้ม TECNO POVA 6 NEO ในราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 4,999 บาท จากราคาปกติ 8,499 บาท เมื่อกดรับคูปองส่วนลดจาก TECNO Mobile Official Store อีกด้วย
และพิเศษสำหรับทุก ๆ คำสั่งซื้อ รับทันทีของแถม Handle Joystick เพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมสำหรับทุกๆคำสั่งซื้อ (หรือจนกว่าของแถมจะหมด)

สำหรับ TECNO POVA 6 NEO มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 7,000 mAh หมดกังวลเรื่องแบตหมดระหว่างวัน ด้วยพลังแบตเตอรี่ขนาดยักษ์ที่ให้การใช้งานยาวนานต่อเนื่อง เล่นเกมหรือดูหนังได้ทั้งวันไม่ต้องชาร์จบ่อย แถมยังรองรับชาร์จไว 33W ให้คุณกลับไปใช้งานได้อย่างไม่มีสะดุด ด้านหน้าจอมีขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ มาพร้อมกับรีเฟรชเรต 120Hz ให้ภาพที่คมชัดและลื่นไหลทุกการสัมผัส ตอบโจทย์การเล่นเกมและการใช้งาน ส่วนกล้องหลังคู่ 50MP มีโหมดกันสั่นและเทคโนโลยี AI ให้ภาพถ่ายคมชัดทุกมุมมอง แม้ในสภาพแสงน้อย กล้องหน้า 8MP พร้อมโหมดกันสั่น ตอบโจทย์สายเซลฟี่และถ่ายวิดีโอได้อย่างไร้กังวล
อย่ารอช้า! สินค้ามีจำนวนจำกัด หมดแล้วหมดเลย รับประกันความคุ้มค่าในช่วงมหกรรม 9.9 ที่คุณไม่ควรพลาด สั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์อย่างเป็นทางการได้ที่
Shopee : https://bit.ly/3X4ZH9N
TikTok Shop: https://bit.ly/3Xiop7I
Lazada: https://bit.ly/3MjDsYP