December 18, 2025

บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต นำโดยคุณแซลลี่ โอฮาร่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แอกซ่า ภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ และประเทศเกาหลีใต้ (คนกลาง) และคุณบุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ และภาพลักษณ์องค์กรและการสื่อสารองค์กร (คนทซ้าย) พร้อมด้วยคุณสรัสวดี คุปตพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานทรัพยากร บุคคลเพื่อพันธมิตรธุรกิจ (คนขวา) คว้าสุดยอดรางวัลระดับนานาชาติ กับรางวัล Top Employer Thailand 2024 จากองค์กรชั้นนำ Top Employers Institute ซึ่งเป็นองค์กรระดับโลกที่รับรองความเป็นเลิศขององค์กรต่างๆ ทั่วโลก

โดยบริษัทฯ ถือเป็นบริษัทแรกของ แอกซ่า ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ ความสำเร็จดังกล่าวเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลที่ดีเยี่ยม ผ่านความมุ่งมั่นและความตั้งใจอย่างยิ่งในการสร้างให้ กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต เป็นสถานที่ทำงาน ที่สนับสนุนให้พนักงานมีความสุขในการทำงาน และเติบโตไปพร้อมกับองค์กร พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานอย่างสูงสุด  ในเรื่องสวัสดิการ การเติบโตในอาชีพ การพัฒนาศักยภาพ และความเป็นอยู่ของพนักงานที่ครบถ้วนรอบด้าน ซึ่งครอบคลุมการดูแลครอบครัวของพนักงาน ภายใต้แนวคิดการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม และยอมรับความแตกต่างที่หลากหลายของพนักงานเป็นสิ่งสำคัญ ภายใต้วัฒนธรรมองค์กร Inclusive Workplace ซึ่งสอดคล้องกับคำมั่นสัญญาของ AXA’s Employer Brand Promise คือ “ปลุกศักยภาพในตัวพนักงาน มุ่งสู่ความสำเร็จ”ซึ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่พร้อมทั้งเคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป

นำโดย แอฟ ทักษอร- คุณแม่ออฟ - น้องปีใหม่ สะท้อนภาพความรักที่ยิ่งใหญ่ของแม่ อัดโปรโมชันกระตุ้นกำลังซื้อไตรมาส 3

กระทรวงดีอี และ ดีป้า ลงพื้นที่เมืองเชียงใหม่ เพื่อตรวจติดตามกิจกรรมของโครงการสำคัญตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของกระทรวง พร้อมร่วมพูดคุยกับผู้ประกอบการท้องถิ่น และพ่อค้าแม่ขายในจังหวัดเชียงใหม่

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมพบปะพูดคุยกับผู้ประกอบการท้องถิ่นและอินฟลูเอนเซอร์ในกิจกรรม ‘Digital Content-Driven E-Commerce Workshop: การอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มยอดขายด้วยดิจิทัลคอนเทนต์’ กิจกรรมต่อยอดความสำเร็จของโครงการ CONNEXION โดยมี ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า และ ดร.สักกเวท ยอแสง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัล พร้อมทีมงานร่วมให้การต้อนรับ

นายประเสริฐ กล่าวว่า จากการหารือกับผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคเหนือทำให้ทราบถึงปัญหาและอุปสรรค ทั้งการปรับตัวเข้าสู่โลกออนไลน์ ความรวดเร็วของเทคโนโลยี ตลอดจนกลยุทธ์การขายที่ยังไม่เท่าทันสินค้าประเภทอื่น รวมถึงปริมาณการผลิตที่ไม่เพียงพอกับความต้องการ ในนามของ กระทรวงดีอี โดย ดีป้า มุ่งให้ความสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสินค้าและชุมชน อีกทั้งส่งเสริมองค์ความรู้ด้านดิจิทัลให้กับผู้ประกอบการเพื่อสร้างโอกาสทางการตลาด รองรับช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าในตลาดใหม่ ๆ ควบคู่กับการเตรียมความพร้อมระบบนิเวศดิจิทัล ผสานกับแนวทางการส่งเสริมจากทางภาครัฐ เพื่อช่วยยกระดับธุรกิจและสินค้าชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ CONNEXION คือโครงการส่งเสริมการยกระดับองค์ความรู้และชุดทักษะด้านดิจิทัลแก่ผู้ประกอบการชุมชนที่จำหน่ายสินค้าและให้บริการภายในจังหวัดและพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อสร้างยอดขายบนแพลตฟอร์ม E-Commerce อย่างมีประสิทธิภาพผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อต่าง ๆ อาทิ เทคนิคการถ่ายภาพสินค้า การสร้าง Storytelling การ Live ขายสินค้า การเปิดร้านค้าใน Social Commerce อย่าง TikTok และ Facebook รวมถึงการนำข้อมูลการค้าออนไลน์จาก e-Marketplace ของไทยจากแพลตฟอร์ม eTailligence มาประยุกต์ใช้วางแผนประกอบการตัดสินใจด้านการตลาด ทั้งหมดเพื่อผลักดันสินค้าและบริการท้องถิ่นสู่โลกออนไลน์ ก่อให้เกิดความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน ทั้งในด้านคุณภาพและความคิดสร้างสรรค์ อีกทั้งยังเป็นการสร้าง Content Creator และ Micro Influencer หน้าใหม่ให้กับท้องถิ่น

จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี ยังให้เกียรติเป็นประธานเปิดกิจกรรม ‘ตลาดต้นแบบต่อยอดสู่ ความยั่งยืน’ ณ กาดวรุณ อำเภอเมืองเชียงใหม่ กิจกรรมภายใต้โครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ (ขยายผล) โดยมี นายจุลนภ ศานติพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมและธุรกิจ ดีป้า พร้อมทีมงาน และ นายวรพรรธน์ ชุติมา ผู้บริหารกาดวรุณ ร่วมให้การต้อนรับ

นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอี โดย ดีป้า ได้ดำเนินโครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2565 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อติดอาวุธดิจิทัลให้กับผู้ประกอบการ พ่อค้าแม่ค้า หาบเร่ แผงลอย ซึ่งถือเป็นกลุ่มเศรษฐกิจฐานรากที่มีความสำคัญต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำธุรกิจพร้อมพัฒนาสู่การแข่งขันรูปแบบใหม่ โดยโครงการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจและการค้าขาย นำไปสู่การสร้างตลาดต้นแบบที่มีการนำเครื่องมือดิจิทัลมาใช้บริหารจัดการ ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัล และสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับประเทศ

สำหรับกิจกรรม ‘ตลาดต้นแบบต่อยอดสู่ความยั่งยืน’ ภายใต้โครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ (ขยายผล) เป็นการติดตามและประเมินผลการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลจากดิจิทัลสตาร์ทอัพไทยแก่ผู้ประกอบการตลาด ผู้ประกอบ SMEs และผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้าแม่ค้า หาบเร่ แผงลอยผ่านบัญชีบริการดิจิทัล ควบคู่กับการลงพื้นสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับการบริหารจัดการธุรกิจ สร้างช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภค เพิ่มรายได้และลดรายจ่ายจากการนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจในยุคดิจิทัล โดยโครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ และโครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ (ขยายผล) ดำเนินการใน 75 ตลาด 25 จังหวัด รวมกว่า 100,000 แผงค้า

อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี พร้อมคณะได้ร่วมพบปะพ่อค้าแม่ค้าและเจ้าของตลาดอื่น ๆ เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อเป็นแนวทางพัฒนาการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ โดยกาดวรุณถือเป็นแหล่งรวมร้านค้า ร้านอาหารหลากหลายรูปแบบ มีทำเลที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ทั้งคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว ซึ่งกาดวรุณได้เลือกใช้ Chaoperty ระบบบริหารจัดการแผงเช่า เทคโนโลยีดิจิทัลจาก ‘เช่าเพอร์ตี้’ ดิจิทัลสตาร์ทอัพจังหวัดเชียงใหม่ที่ขึ้นทะเบียนกับ ดีป้า เพื่อยกระดับการบริหารจัดการพื้นที่เช่าในตลาด และเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารจัดการด้านบัญชี อีกทั้งขับเคลื่อนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ส่งเสริมการขายให้กับพ่อค้าแม่ค้า ซึ่งถือเป็นการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นตลาดต้นแบบในพื้นที่ภาคเหนือต่อไป

แพทย์หญิงเพชรดาว โต๊ะมีนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประธานพิธีเปิดการประชุมสัมมนาวิชาการระดับนานาชาติ  International Conference on Islam in Malay World (ICON – IMAD) ครั้งที่ 13 ภายใต้หัวข้อ ความกลมเกลียวและการพัฒนา: บทบาทของอิสลามในโลกมลายูเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน   เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนของนักวิชาการโลกมลายู การสร้างความร่วมมือทางวิชาการและการวิจัยเพื่อพัฒนาความรู้และนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยมีผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เถกิง วงศ์ศิริโชติ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและวิเทศสัมพันธ์  มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวต้อนรับ   เมื่อวันที่ 30  กรกฎาคม 2567 ณ  คณะวิทยาการอิสลาม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี  

การประชุมสัมมนาวิชาการระดับนานาชาติ  International Conference on Islam in Malay World (ICON – IMAD) ครั้งที่ 13 ในครั้งนี้จัดขึ้นโดยคณะวิทยาการอิสลาม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เป็นเจ้าภาพ โดยมีคณะผู้บริหารและนักวิชการจากมหาวิทยาลัยมาลายา มหาวิทยาลัย Sultan Sharif Ali, Brunei Darussalam และ มหาวิทยาลัย UIN Sunan Gunung Djati Bandung, Indonesia เข้าร่วมการการประชุมสัมมนาวิชาการนานาชาติ ภายในกิจกรรมมีเวทีพบปะเสวนากับวิทยากรผู้ปฏิบัติงานที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการวิจัยและการปฏิบัติ และหารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทอิสลามกับมรดกทางวัฒนธรรมมลายู ประกอบด้วย ศาสตราจารย์ ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน ศาสตราจารย์ ดร.อิบรอฮีม ณรงค์รักษาเขต และพบปะกล่าวแนะนำบทบาท ICESCO ในโลกมลายู นอกจากนั้นมีการสรุปการสัมมนาโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มูหัมมัดรอฟลี แวหะมะ และมีการมอบรางวัล Paper awards จากนั้นได้มีการมอบธง ICON – IMAD ให้กับเจ้าภาพครั้งต่อไปประเทศบรูไนดารุสสลาม พร้อมกล่าวเชิญชวนเข้าร่วมงาน ICON – IMAD ครั้งที่ 14 ต่อไป

แพทย์หญิงเพชรดาว โต๊ะมีนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า ประชุมสัมมนา"ICON-IMAD" จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2011 ที่บันดุง ประเทศอินโดนีเซีย และดำเนินการต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ครั้งที่ 3 โดยสลับกันเป็นเจ้าภาพระหว่าง ประเทศไทย มาเลซีย บูรไน และอินโดนีเซีย นอกจากนำเสนอผลงานทางวิชาการแล้ว ยังเป็นวทีการแลกเปลี่ยนระหว่างสหสาขาวิชา ผู้เชี่ยวชาญอิสลามศึกษาและมุสลิมศึกษา ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และความร่วมมือระดับภูมิภาค สำหรับการสัมมนาที่จังหวัดปัตตานีประเทศไทย ได้นำเสนอกรอบนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ที่มุ่งมั่นที่จะยกระดับการศึกษาและการวิจัยโดยเน้นที่ความครอบคลุม นวัตกรรม และความยั่งยืนของพื้นที่ ที่มุ่งเน้นด้านการศึกษาที่ครอบคลุมและการเข้าถึง การปรับปรุงระบบหลักสูตรและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต  ด้านการสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม เน้นการพัฒนาที่ยั่งยืน พลังงานสะอาด และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ด้านความร่วมมือและการสร้างเครือข่าย การสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งระหว่างมหาวิทยาลัยไทยและสถาบันนานาชาติ และด้านโครงการพิเศษสำหรับโลกมลายู ส่งเสริมการศึกษาศาสนาอิสลามและบทบาทในการพัฒนาภูมิภาคการมีส่วนร่วมและความร่วมมือที่สำคัญ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เถกิง วงศ์ศิริโชติ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและวิเทศสัมพันธ์  มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  กล่าวว่า  มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งได้รับการยกระดับให้เป็นมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ ได้จัดการสัมมนานานาชาติร่วมกับพันธมิตรชั้นนำจากนานาชาติ อาทิ คณะวิทยาการอิสลาม มหาวิทยนาลัยสงขลานครินทร์ วิทยเขตปัตตานี , Universiti Malaya (UM), Postgraduate Program, Universitas Islam Negeri Sunan Gunung Djati Bandung (UIN Bandung), และ Faculty of Usuluddin, Sultan Sharif Ali Islamic University (UNISSA) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการระดับนานาชาติ และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกี่ยวกับบทบาทของกลุ่มประเทศโลกมลายูในการส่งเสริมความสามัคคีและการพัฒนาในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนา นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับสถาบันชั้นนำระดับนานาชาติ เพื่อยกระดับการวิจัยและพัฒนาในสาขาที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการหารือเกี่ยวกับแนวทางในการสร้างสังคมที่ยั่งยืน

“มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความเป็นเอกภาพ การจัดสัมมนาในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างและเอื้อต่อการเรียนรู้ร่วมกัน  มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มุ่งมั่นที่จะสานต่อความร่วมมือกับพันธมิตรนานาชาติ เพื่อดำเนินงานวิจัยและพัฒนาที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคม และสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เถกิง วงศ์ศิริโชติ  กล่าวเพิ่มเติม

เพื่อยกระดับบริษัทประกันภัยให้มีการปฏิบัติงานอย่างรอบคอบภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีมีการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินประสบความสำเร็จได้รับรางวัลโล่เกียรติยศ ITA Awards 2024 สำหรับหน่วยงานที่มีคะแนนผลการประเมินสูงสุดของกลุ่มรัฐวิสาหกิจ ด้วยคะแนน 98.96 ระดับผ่านดีเยี่ยม สูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ของรัฐวิสาหกิจที่เข้าร่วมรับการประเมินทั้งหมด 51 หน่วยงาน จากพลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประธานในงานประกาศผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 และพิธีมอบรางวัล ITA Awards 2024 (ITA DAY 2024 : Transparency with Quality) และยังได้รับรางวัลประกาศนียบัตรเกียรติคุณ ITA Awards สำหรับหน่วยงานที่มีผลการประเมิน “ผ่านดีเยี่ยม” ด้วย ซึ่งนับเป็นเกียรติของธนาคารออมสิน ในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงการคลัง ที่มีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยหลักธรรมาภิบาล มีการกำหนดนโยบายการกำกับดูแลกิจการที่ดี ประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณ นโยบายป้องกันและปราบปรามการทุจริต นโยบายป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และประกาศเจตจำนงสุจริต รวมถึงประกาศนโยบายไม่ให้ ไม่รับกระเช้าของขวัญ หรือสิ่งตอบแทนรูปแบบใด ๆ แก่ผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้างธนาคารออมสิน ตลอดจนผู้มีส่วนได้เสียของธนาคารด้วย

สำหรับกลยุทธ์สู่ความสำเร็จของธนาคารออมสินจนได้รับคะแนนสูงสุดในครั้งนี้ เกิดจากความมุ่งมั่นตั้งใจของคณะกรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้างธนาคารทุกคนได้ร่วมแรงร่วมใจกันปฏิบัติหน้าที่ด้วยความโปร่งใส เต็มความสามารถ อย่างมีความรับผิดชอบ ไม่มีการเรียกรับสินบนเพื่อแลกกับการปฏิบัติหน้าที่ ขณะที่แบบสอบถามจากลูกค้า ผู้รับบริการ ผู้มาติดต่อ หรือผู้มีส่วนได้เสีย ตอบตรงกันว่าเจ้าหน้าที่ของธนาคารปฏิบัติงานเป็นไปตามมาตรฐาน ขั้นตอน และระยะเวลาที่กำหนดอย่างเท่าเทียมกัน ไม่เลือกปฏิบัติ รวมทั้งธนาคารมีการสื่อสารข้อมูลต่อสาธารณชนผ่านช่องทางต่าง ๆ สามารถเข้าถึงได้ง่าย ครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน รวมถึงเปิดโอกาสให้สามารถรับฟังคำติชม ความคิดเห็น และข้อเสนอแนะในการปฏิบัติงาน หรือข้อมูลการทุจริต นอกจากนี้ ธนาคารมีการพัฒนาด้านการให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์มีความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น บุคคลภายนอกสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการปรับปรุงพัฒนาการดำเนินงานให้เกิดความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น และมีการเปิดเผยข้อมูลความโปร่งใสครบถ้วนตามตัวชี้วัดที่ สำนักงาน ป.ป.ช. กำหนด ผ่านหน้าเว็บไซต์ให้สาธารณชนได้รับทราบ การได้รับรางวัลครั้งนี้จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าธนาคารออมสินสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินงานอย่างมีคุณธรรมและโปร่งใส สมบทบาทธนาคารเพื่อสังคมที่มุ่งสร้างผลลัพธ์เชิงบวกทั้งต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ตามกรอบแนวคิด ESG

ทั้งนี้ การมอบรางวัลดังกล่าวสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) จัดขึ้น เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศได้รับทราบถึงสถานะและปัญหาการดำเนินงานด้านคุณธรรมและความโปร่งใสขององค์กร สามารถนำผลการประเมินไปใช้ในการปรับปรุงพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน การให้บริการ และยกระดับมาตรฐานการดำเนินงาน โดยในปีนี้มีหน่วยงานภาครัฐเข้าร่วมการประเมิน ITA ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 8,325 แห่งทั่วประเทศ

การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม จัดโครงการ “Easy Pass New Member เปิดประสบการณ์สดใหม่ให้คุณ” โดยผู้ใช้บริการทางพิเศษที่ไม่เคยเป็นสมาชิกบัตร Easy Pass (ลูกค้าใหม่) สมัครสมาชิกบัตร Easy Pass ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม – 30 กันยายน 2567 และมีการใช้บริการทางพิเศษโดยชำระค่าผ่านทางพิเศษด้วยบัตร Easy Pass ไม่น้อยกว่า 500 บาท ภายในวันที่ 30 กันยายน 2567 ได้รับเงินคืนลงในบัตร Easy Pass มูลค่า 50 บาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้

- ยอดชำระค่าผ่านทางพิเศษจะนับเฉพาะทางพิเศษในความรับผิดชอบของ กทพ. เท่านั้น ไม่รวมทางยกระดับอุตราภิมุข และทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสาย 7 และ 9

- จำนวนสิทธิ์ตลอดโครงการฯ จำนวน 40,000 สิทธิ์

- ประกาศผลผู้ได้รับสิทธิ์ในวันที่ 11 ตุลาคม 2567 ผ่านทาง www.exat.co.th และ www.thaieasypass.co.th สื่อสังคมออนไลน์ Facebook : exatsociety และ Facebook : expresswaythailand และ Line official Account @exatsociety

- ผู้ใช้บริการทางพิเศษจะได้รับเงินคืนภายในวันที่ 30 ตุลาคม 2567

 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการข้อมูล ผู้ใช้ทางพิเศษ (EXAT Call Center) โทร 1543 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถดาวน์โหลด Application “EXAT Portal” เพื่อตรวจสอบยอดเงินคงเหลือและการใช้บัตร Easy Pass รับข่าวสารโปรโมชั่นและสิทธิประโยชน์ รวมทั้งสามารถขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน (SOS) ได้อีกช่องทางหนึ่งด้วย

FLYING SPARK (ฟลายอิ้ง สปาร์ค) บริษัทที่มีนวัตกรรมทางเทคโนโลยีชีวภาพ ไทย-อิสราเอล ได้ร่วมมือกับทีมนักวิจัย เปิดตัว น้ำมันสกัด Bio.P7 ส่วนผสมหลักเพื่อการชะลอวัยที่ปฏิวัติวงการดูแลผิว พร้อมการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวทั่วโลก ด้วยกระบวนการสกัดจากเทคโนโลยีชีวภาพที่ล้ำสมัย ซึ่งดำเนินการที่โรงงานผลิตของ บริษัท ฟลายอิ้ง สปาร์ค ประเทศไทย นวัตกรรมนี้ถือเป็นก้าวสำคัญ ในด้านประสิทธิภาพ และความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติเพื่อการดูแลผิว

น้ำมัน Bio.P7 ผ่านกระบวนการสกัดจากดักแด้พันธุ์พื้นเมืองในประเทศไทย โดยถือเป็นน้ำมันชนิดแรกของโลกที่สกัดผ่านกระบวนการที่มีความยั่งยืนสูง อีกทั้งยังช่วยลดผลกระทบต่อระบบนิเวศ สะท้อนให้เห็นถึงนวัตกรรมเทคโนโลยีและความมุ่งมั่นของ บริษัท ฟลายอิ้ง สปาร์ค ในการส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อม

7 สารสกัดสำคัญของน้ำมัน Bio.P7 (100ml) ที่มีส่วนช่วยแก้ปัญหาผิวอย่างเห็นผล:

  • โอเมก้า 7: 17% - เปี่ยมด้วยคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบ รวมถึงช่วยสมานแผล และลดริ้วรอย โดยหลังจากการค้นคว้าหลายปี นักวิจัยของบริษัทฟลายอิ้ง สปาร์ค ได้พบแหล่งโอเมก้า 7 ทางชีวภาพชนิดใหม่ซึ่งพบได้ยากในธรรมชาติ
  • กรดปาล์มมิติก: 41% - ช่วยในการเติมเต็มและฟื้นฟูเกราะป้องกันตามธรรมชาติของผิว
  • โอเมก้า 9: 26% - ช่วยให้ความชุ่มชื้นและบำรุงผิว
  • โอเมก้า 6: 5% - เติมเต็มความชุ่มชื้นได้ล้ำลึก ให้ผิวสวย สดใส สุขภาพดี
  • กรดสเตียริก: 5% - เพิ่มความชุ่มชื้นและเกราะป้องกันผิว
  • กรดไมริสติก 2% - มีชื่อเสียงในคุณสมบัติช่วยขจัดสิ่งสกปรก และปรับสภาพผิวให้ชุ่มชื้นนานขึ้น
  • โอเมก้า 3: 4% - ช่วยในการต้านการอักเสบ ต่อต้านการเกิดริ้วรอย และฟื้นฟูผิว

ปริมาณสารอาหารที่สูงของน้ำมันสกัด Bio.P7 เป็นผลมาจากวงจรชีวิตของดักแด้ ที่มีการเก็บสะสมสารอาหารในปริมาณที่สูง ส่งผลให้สารประกอบต่าง ๆ มีความเข้มข้นขึ้นตามธรรมชาติ เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยกรดไขมัน และสารอาหารอื่น ๆ ที่สำคัญต่อสุขภาพผิว โดยกลไกทางชีวภาพของการกักเก็บสารอาหาร ช่วยให้เเน่ใจว่าน้ำมันสกัด Bio.P7 มีสารอาหารที่มีประโยชน์ทางชีวภาพ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเมื่อนำไปเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว

น้ำมันสกัด Bio.P7 ได้ผ่านการทดสอบทางคลินิก แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการดูแลผิว เพื่อชะลอวัย โดยผลลัพธ์ที่สังเกตได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน

การวิจัยทางคลินิกได้แสดงให้เห็นถึงคุณประโยชน์หลายประการของน้ำมันสกัด Bio.P7 อาทิเช่น:

  • 100% ของผู้เข้าร่วมการวิจัยรู้สึกผิวชุ่มชื้นขึ้นในทันที
  • 95% รู้สึกว่าผลิตภัณฑ์เติมความชุ่มชื้นให้ผิว ลดปัญหาภาวะผิวขาดน้ำได้ทันที
  • 95% พบว่าผิวกระจ่างใสขึ้นทันทีหลังใช้
  • 82% รายงานว่าผิวกระจ่างใสและรอยดำ รอยแดงลดน้อยลง
  • 86% พบว่าริ้วรอยลดลง และผิวหน้ากระชับมากชึ้น
  • 100% ของผู้เข้าร่วมการวิจัยสังเกตเห็นว่าผิวมีความเรียบเนียนอย่างเห็นได้ชัด

น้ำมันสกัด Bio.P7 สามารถดูแลและบำรุงผิวอย่างล้ำลึก โดยผ่านการทดลองในระดับเซลล์ผิวหนัง  (in vitro studies) แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ที่เป็นเอนไซม์หลักในการสร้างเมลานินในเซลล์ผิวหนังได้ถึง 10% และแสดงประสิทธิภาพบรรเทาการอักเสบโดยสามารถยับยั้งการหลั่งไนตริกออกไซด์ของเซลล์ ซึ่งการวิจัยพบว่าน้ำมันสกัด Bio.P7 สามารถเปลี่ยนวัฏจักรของเซลล์ไปสู่ระยะที่ส่งเสริมการสังเคราะห์ DNA และการแบ่งเซลล์ ซึ่งบ่งบอกถึงศักยภาพในการกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแสดงประสิทธิภาพในการป้องกันความเครียดจากปฎิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidative Stress) ที่เหนือกว่าประสิทธิภาพของกรดแอสคอร์บิก นอกจากนั้นยังเกิดประสิทธิภาพในการแทรกซึมเซลล์ไฟโบรบลาสต์ในผิวหนังของมนุษย์ ซึ่งบ่งชี้ถึงการดูดซึมที่เหมาะสมของเซลล์ผิวหนัง

นักวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของบริษัท ฟลายอิ้ง สปาร์ค ผู้อยู่เบื้องหลังการศึกษาและวิจัย:

ดร. ชิโนไท พูน ผู้จัดการฝ่ายวิจัยและพัฒนาของบริษัท ฟลายอิ้ง สปาร์ค ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก  สาขาชีวเคมีจากมหาวิทยาลัยโอทาโก ประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านชีววิทยาโครงสร้างและชีววิทยาระดับโมเลกุล ได้เน้นย้ำถึงเบื้องหลังการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของน้ำมันสกัด Bio.P7 ว่า "การค้นพบน้ำมันสกัด Bio.P7 แสดงถึงก้าวสำคัญในด้านวิทยาศาสตร์การดูแลผิว โดยงานวิจัยของเราได้เผยให้เห็นถึงสรรพคุณตามธรรมชาติของน้ำมันสกัด Bio.P7 ในการดูแลผิวเพื่อชะลอวัย ซึ่งการทดลองทางคลินิกชี้ให้เห็นถึงผลลัพธ์ในการฟื้นฟู เพิ่มความกระจ่างใสให้ผิว ความกระชับ และความเรียบเนียน นับเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่อุตสาหกรรม”

ปัจจุบัน ดร. ชิโนไท เป็นผู้ดูแลโครงการวิจัยต่าง ๆ ที่บริษัท ฟลายอิ้ง สปาร์ค ซึ่งรวมถึงการทดลองแบบ In Vitro และการวิจัยทางคลินิกของน้ำมันสกัด Bio.P7 เพื่อหาคุณประโยชน์อื่นๆ สำหรับการนำมาประยุกต์ใช้ในด้านผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ร่วมกับบริษัท ฟลายอิ้ง สปาร์ค เพื่อผลักดันนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ด้านการดูแลผิว นอกจากนี้ ดร. ชิโนไท ยังเป็นผู้นำโครงการพัฒนาเปปไทด์ที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและโภชนเภสัชซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากทางรัฐบาลอีกด้วย

ดร. สิริลักษณ์ ธรรมศาสตร์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัยและพัฒนาชีววิทยาของบริษัท ฟลายอิ้ง สปาร์ค สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาวิชาวิศวกรรมชีวภาพ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า (มจธ.) ประเทศไทย ได้เน้นย้ำถึงการขับเคลื่อนนวัตกรรมของบริษัท ฟลายอิ้ง สปาร์ค ว่า "ผลวิจัยน้ำมันสกัด Bio.P7 ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพในการปฏิวัติอุตสาหกรรมการดูแลผิว โดยเราได้ค้นพบสารบำรุงต่างๆ ภายในน้ำมันสกัด Bio.P7 ซึ่งรวมถึงสารโอเมก้า 7 ที่ไม่เพียงมีประสิทธิภาพในการดูแลจัดการปัญหาผิว ตั้งแต่รอยดำไปจนถึงการอักเสบเท่านั้น แต่ยังเป็นการสกัดแบบยั่งยืนซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย”

ดร.สิริลักษณ์ ธรรมศาสตร์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัยและพัฒนาชีววิทยา ได้ใช้ความรู้และความเชี่ยวชาญในด้านวิศวกรรมชีวภาพและประสาทวิทยาศาสตร์เพื่อขับเคลื่อนการวิจัยที่บริษัท ฟลายอิ้ง สปาร์ค โดยงานเชิงนวัตกรรมของ ดร.สิริลักษณ์ มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพอาหารของดักแด้ เพื่อเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพสูงสุดของน้ำมันสกัด Bio.P7

น้ำมันสกัด Bio.P7 ไม่เพียงเป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการสกินแคร์เท่านั้น แต่ยังมุ่งสนับสนุนแนวคิดด้านความงามที่ยั่งยืน เพื่อสร้างประสิทธิภาพและจริยธรรม โดยบริษัท ฟลายอิ้ง สปาร์ค มุ่งมั่นในการเป็นส่วนหนึ่งของความก้าวหน้าในด้านผลิตภัณฑ์ดูแลผิวด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ ที่ผู้บริโภคสามารถเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนโดยได้รับการสนับสนุนวิจัยอย่างเต็มที่ และความตั้งใจมุ่งมั่นเพื่อความเป็นเลิศ

นายอีราน โกรนิช (Eran Gronich) ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ฟลายอิ้ง สปาร์ค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "เราวางแผนที่จะผสานน้ำมันสกัด Bio.P7 รวมเข้ากับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่กำลังจะเปิดตัวในปลายปีนี้ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับบริษัท ฟลายอิ้ง สปาร์ค และอุตสาหกรรมโดยรวม การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์นี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราต่อความยั่งยืนและประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจในการสร้างแนวทางการดูแลผิวที่เป็นนวัตกรรมใหม่ โดยเรามุ่งหวังที่จะสนับสนุนความก้าวหน้าของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเพื่อการชะลอวัยที่มีประสิทธิผลและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านการใช้ประโยชน์จากสรรพคุณตามธรรมชาติของน้ำมันสกัด Bio.P7" โดยบริษัท ฟลายอิ้ง สปาร์ค จะยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความก้าวหน้าในนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ดูแลผิวต่อไป  ซึ่งสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้เร็ว ๆ นี้

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดงาน อว.แฟร์ : SCI POWER FOR FUTURE THAILAND มหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์ อววน. เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ด้วยพลังสหวิทยาการ หรือ “อว.แฟร์” ชวนทุกท่านร่วมสัมผัสพลังแห่งอนาคต ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยในงานพบกับนิทรรศการหลากหลาย อาทิ ‘นิทรรศการเมืองแห่งการเรียนรู้’ นำเสนอผลิตภัณฑ์เด่นจาก 20 จังหวัด ‘Culture Connex’ แสดงผลผลิตจากทุนทางวัฒนธรรมทั่วประเทศ ‘The Treasures of Herbal Health’ นำเสนอการต่อยอดงานวิจัยสมุนไพร โซนนำเสนอแบบจำลองสถานีอวกาศและดาวเทียม Theos2 การจัดแสดง ‘ดินดวงจันทร์จากยานฉางเอ๋อ 5’ ครั้งแรกในไทย นิทรรศการ ‘Hub of Talents and Hub of Knowledge For All’ และ ‘Irradiation for Sustainable Future’ นอกจากนี้ ยังมีการแข่งขัน AI Hackathon การประกวดวงดนตรี MHESI Music Variety Awards 2024 รอบชิงแชมป์ประเทศไทย มินิคอนเสิร์ตจากศิลปินวง ซีซันไฟฟ์ และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย พร้อมลุ้นรับรางวัลรถมอเตอร์ไซค์ EV ภายในงาน

สำหรับไฮไลต์ ZONE E: SCIENCE FOR ALL WELL-BEING มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์เด่นจาก 20 จังหวัด ผ่านการจัดนิทรรศการแสดงผลงานวิจัยและนวัตกรรมท้องถิ่น ครอบคลุมด้านสุขภาพ ความงาม อาหาร และวัฒนธรรม เริ่มด้วย ‘นิทรรศการเมืองแห่งการเรียนรู้’ ที่จำลองกิจกรรมเด่นจากทั้ง 20 เมือง แบ่งเป็น 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1) ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ 2) สิ่งแวดล้อม 3) การพัฒนาเมืองและออกแบบพื้นที่ ซึ่งผู้เข้าชมสามารถเรียนรู้และทดลองทำเวิร์กช็อปเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น โคมล้านนา ผ้าขาวม้า และอาหารพื้นถิ่น เป็นต้น นอกจากนี้ยังมี ‘นิทรรศการ Culture Connex’ ที่นำเสนอระบบจัดการพื้นที่กลางสำหรับผลผลิตจากทุนทางวัฒนธรรมทั่วประเทศ แบ่งเป็น 4 โซน ได้แก่ 1) จำหน่ายผลิตภัณฑ์จากงานวิจัย 2) พื้นที่เวิร์กช็อป 3) การแสดงบนเวที 4) นิทรรศการ Culture Connex และ Cultural Map Thailand & Metaverse มีการจัดแสดงสินค้าวัฒนธรรมและกิจกรรมการแสดงตลอดวัน เป็นกลไกเชื่อมต่อทุนทางวัฒนธรรมของไทย อีกหนึ่งบูธที่โดนเด่นไม่แพ้กันคือ ‘นิทรรศการ The Treasures of Herbal Health Cohesive Ecosystem’ ที่เป็นการต่อยอดงานวิจัย เพิ่มคุณค่าสมุนไพรด้านการแพทย์และสุขภาพ เพื่อพัฒนาสู่เชิงพาณิชย์ ภายในโซนนิทรรศการยังมีการจัดแสดงพร้อมจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เวชสำอาง และยาที่พัฒนาจากสารสกัดธรรมชาติหรือสมุนไพรอีกด้วย

นอกจากนี้ ZONE F: SCIENCE FOR FUTURE THAILAND ยังมีการแสดงสถานีดาวเทียมจำลอง โดยนำเสนอ ‘แบบจำลองสถานีอวกาศขนาดเสมือนจริง’ เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านอวกาศขนาดใหญ่ที่ใช้เป็นฐานปฏิบัติการสำรวจ ทดลอง และวิจัยในอวกาศ แบบจำลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงถึงความสำเร็จด้านเทคโนโลยีอวกาศ สร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนโดยเฉพาะเยาวชน และเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านเทคโนโลยีอวกาศ อีกทั้งยังมีกิจกรรมพิเศษ Special Talk: ร่วมพูดคุยกับทีมผู้สร้างภาพยนตร์ URANUS 2324 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม 2567 เป็นโอกาสดีที่จะได้เรียนรู้เบื้องหลังการสร้างภาพยนตร์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทีมงานมืออาชีพ ตลอดจนมีการนำเสนอแบบจำลองดาวเทียม Theos2 ซึ่งเป็นดาวเทียมสำรวจทรัพยากรธรรมชาติรุ่นล่าสุดของไทย เพื่อให้ผู้เข้าชมได้เห็นถึงความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีอวกาศของประเทศ แบบจำลองนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการสำรวจและติดตามทรัพยากรธรรมชาติของไทย ซึ่งจะช่วยในการวางแผนและบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของประเทศไทย ยิ่งไปกว่านั้นมีการนำ ‘ดินดวงจันทร์จากยานฉางเอ๋อ 5’ มาจัดแสดงในประเทศไทยเป็นครั้งแรก และยังเป็นเป็นครั้งแรกที่นำออกมาจัดแสดงนอกประเทศจีน แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างไทย-จีน ที่มีมาอย่างยาวนาน โดยกิจกรรมนี้ได้แสดงอุปกรณ์ปฏิบัติภารกิจวิทยาศาสตร์ของไทยที่จะติดตั้งบนยานฉางเอ๋อ 7 ชื่อ MATCH เพื่อตรวจวัดอนุภาคพลังงานสูงในอวกาศ รวมถึงยังจัดแสดงผลงานการพัฒนาเทคโนโลยีและวิศวกรรมขั้นสูงด้านต่าง ๆ โดยใช้โจทย์ทางดาราศาสตร์ เพื่อกระตุ้นความสนใจด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของคนไทยด้วยเช่นกัน อีกหนึ่งนิทรรศการที่โดดเด่นคือ ‘Hub of Talents and Hub of Knowledge For All’ นำเสนอนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์หลากหลาย ได้แก่ 1) Agricultural: เทคโนโลยีเกษตรและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง 2) Economy: นวัตกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ 3) Environmental: เทคโนโลยีรักษาสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาด 4) Future Tech: เทคโนโลยีล้ำสมัยสำหรับอนาคต 5) Health: นวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพ 6) Society: งานวิจัยเพื่อสังคมปลอดภัยและน่าอยู่ แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์อนาคตอย่างเป็นรูปธรรม ส่วนสุดท้ายคือ นิทรรศการ ‘Irradiation for Sustainable Future’ ที่นำเสนอผลงานวิจัยด้านเทคโนโลยีการฉายรังสีใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ 1) อุตสาหกรรมการแพทย์: การฆ่าเชื้อ วัสดุทางการแพทย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ 2) อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร: การยกระดับคุณภาพอาหารและวัสดุจากธรรมชาติ 3) อุตสาหกรรมสิ่งแวดล้อม: การกักเก็บพลังงานและบำบัดน้ำเสีย 4) การปรับปรุงคุณสมบัติวัสดุด้วยรังสี นอกจากนี้นิทรรศการมีบูธจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากงานวิจัย รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปอาหารที่ผ่านการฉายรังสี โดยเฉพาะแหนมหลากหลายรูปแบบ เช่น แหนมตุ้มติ๋ว แหนมสไลซ์ และแหนมแท่งพร้อมทาน ซึ่งเป็นตัวอย่างการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์ในอุตสาหกรรมอาหาร

อย่างไรก็ตาม ยังมีการแข่งขัน “AI Hackathon Final Pitching” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KMITL) และ University of Queensland พร้อมจัดเต็มความบันเทิงกับมินิคอนเสิร์ตสุดพิเศษจากวงซีซันไฟฟ์ (SEASON FIVE) ที่มามอบความสุขและความสนุกบนเวทีด้วยเพลงฮิตและการแสดงสดที่ทำให้ทุกคนได้ผ่อนคลายหลังจากตลอดทั้งวันเต็มไปด้วยสาระความรู้

ทั้งนี้ ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นการจัดงานประกวดวงดนตรีระดับอุดมศึกษา “MHESI Music Variety Awards 2024” ซึ่งให้ผู้เข้าแข่งขันนำเสนอผลงานดนตรีที่ผสมผสานประกอบการแสดงวัฒนธรรมพื้นถิ่นไทย เพื่อชิงถ้วยพระราชทานอันทรงเกียรติ ต่อด้วยการบรรยายพิเศษด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมโดยผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าของประเทศ เรื่อง “Functional Thin Films for Thailand: Solar Cell, Light Emitting Diode, and Photodetector” และยังมีการบรรยายเรื่อง “Rapid Survey” ความหลากหลายทางชีวภาพในลุ่มน้ำโขงตอนล่างและแม่น้ำสาขาในภาวะวิกฤตแม่น้ำโขง นอกจากนี้ยังมี “Seafood Chefs Table” ที่สาธิตการใช้วัตถุดิบผลผลิตจากทะเล เพื่อรังสรรค์เมนูอาหารทะเลของเชฟ ซึ่งเป็นผลผลิตจากงานวิจัยคุณภาพอาหารทะเล ยกระดับคุณภาพและรสชาติของอาหาร พร้อมทั้งนำเสนอแนวคิดการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารทะเลไทยอย่างยั่งยืน

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) เดินหน้าสนับสนุนผู้ประกอบการ SME ด้วยผลิตภัณฑ์สินเชื่อ “Krungsri SME Boost Up” ภายใต้โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB Boost Up สำหรับผู้ประกอบการ SME ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ในรูปแบบของวงเงินสินเชื่อ ดอกเบี้ยพิเศษ 3.5% ในช่วง 2 ปีแรก ให้วงเงินสูงสุด 40 ล้าน ระยะผ่อนสูงสุด 7  ปี เพื่อให้ SME นำไปใช้เป็นเงินทุนสำหรับลงทุนขยายกิจการหรือปรับปรุงกิจการ หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ ซึ่งเป็นการช่วยเสริมสภาพคล่อง ลดต้นทุนทางการเงิน และใช้ลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ

นางสาวดวงกมล ลิมป์พวงทิพย์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจ SME ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “จากภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ที่ต้นทุนการผลิตปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้นและยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ SME ทำให้กำไรลดลงและอาจประสบปัญหาด้านสภาพคล่อง สถานการณ์นี้ทำให้ SME มีความต้องการเงินทุนดอกเบี้ยต่ำอย่างเร่งด่วนเพื่อเสริมสภาพคล่องและปรับปรุงธุรกิจ กรุงศรีจึงได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์สินเชื่อ Krungsri SME Boost Up’ ซึ่งเป็นสินเชื่อภายใต้โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB Boost Up โดยมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายผู้ประกอบการ SME ทุกขนาด ครอบคลุมทั้งธุรกิจรายย่อย ธุรกิจขนาดเล็กและกลาง ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล โดยผลิตภัณฑ์นี้มีจุดเด่นที่อัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3.5% สองปีแรก พร้อมวงเงินสูงสุดถึง 40 ล้านบาท และระยะเวลาการผ่อนชำระสูงสุดถึง 7 ปี โดยกรุงศรีได้ออกแบบผลิตภัณฑ์นี้เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการ SME ในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เป็นเงินทุนสำหรับการขยายกิจการ การปรับปรุงธุรกิจ หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเสริมสภาพคล่อง ลดต้นทุนทางการเงิน และสนับสนุนการลงทุนเพื่อยกระดับศักยภาพการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถให้แก่ธุรกิจ”

“ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นตั้งใจของกรุงศรีในการสนับสนุนภาคธุรกิจ SME ทุกขนาด ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและการแข่งขันที่สูงขึ้น ทั้งนี้ กรุงศรีได้วางเป้าหมายสนับสนุนสินเชื่อนี้ไว้ที่ 15,000 ล้านบาท ซึ่งนอกเหนือการสนับสนุนทางการเงินแล้ว ยังเสริมโอกาสทางธุรกิจให้กับลูกค้า SME ด้วยเครือข่ายแข็งแกร่งของกรุงศรีและ MUFG ผ่านแพลตฟอร์มจับคู่ธุรกิจออนไลน์ Krungsri Business Link ที่ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 6,000 บริษัท และเสริมด้วยกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจ Krungsri Business Matching และบริการที่ปรึกษา Krungsri ASEAN LINK สำหรับการขยายธุรกิจในอาเซียนอีกด้วย” นางสาวดวงกมล กล่าวปิดท้าย

X

Right Click

No right click