December 16, 2025

พร้อมโชว์ความเข้มแข็งด้วย EBITDA ที่เพิ่มขึ้น 6 ไตรมาสต่อเนื่อง อันเป็นผลจากแนวทางดำเนินธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน นำเทคโนโลยียกระดับบริการลูกค้ามุ่งสู่บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับหนึ่ง

ฮาตาริ จัดกิจกรรม Cheer Stadium กลางกรุงฯ Kick off มหกรรมการส่งเสียงเชียร์ของคนไทยให้ดังไกลถึงโอลิมปิก ปารีส2024 ในชื่อ “ฮาตาริ "#พัดไทยให้ไกลกว่าเดิม" เพื่อส่งเสียงเชียร์จากคนไทยให้แก่เทนนิส - พาณิภัค พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักเทควันโดทีมชาติไทย และทัพนักกีฬาไทยทั้งหมด โดยมี คุณทัศน์ลักษณ์ พานิชตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานการวิจัยและพัฒนา คุณชัญญา พานิชตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานขายและการตลาด คุณวรันธร วนวิทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจ คุณปีย์วรา ชุณหวงศ์ Head of Brand & Marketing บริษัท ฮาตาริ อิเลคทริค จำกัด หมอเจี๊ยบ-ลลนา ก้องธรนินทร์ คุณหมอและนักแสดง เตย-หัตถยา บำรุงสุข นักกีฬาวอลเล่ย์บอลอาชีพ ดีเจดาว - ณัฐภัสสร สิมะเสถียร, มาร์คคริส - มาร์ค กฤษณ์ กัญจนาทิพย์, จูดี้ - เดี่ยว จารุกิตติ์  และกองทัพอินฟลูฯ ขนขบวนร่วมกิจกรรมพร้อมส่งเสียงเชียร์กระหึ่ม ณ บริเวณหน้า Center Point สยามสแควร์ เมื่อวันก่อน

สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) จับมือพาร์ทเนอร์ด้านกฎหมาย รัฐ-เอกชน จัดใหญ่! “e-Transaction Law Moot Court Competition 2024” รอบชิงชนะเลิศ ณ ห้องพิจารณาคดี 304 ศาลแพ่งรัชดา ขอแสดงความยินดีกับ ทีมไก่ย่างสามสหาย คว้าแชมป์ เป็นสุดยอดว่าที่นักกฎหมายรุ่นใหม่ พร้อมเข้าสู่เส้นทางอาชีพนักกฎหมายยุคดิจิทัล รับเงินรางวัล 60,000 บาท โล่รางวัล เกียรติบัตร และโอกาสร่วมเรียนรู้งานกับหน่วยงานชั้นนำของประเทศ

คุณจิตสถา ศรีประเสริฐสุข รองผู้อำนวยการ ETDA กล่าวว่า ประเทศไทยได้มีกฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เข้ามาเป็นกลไกสำคัญในการรองรับสถานะทางกฎหมายของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้มีผลผูกพันและใชับังคับได้ตามกฎหมายมาตั้งแต่ปี 2544 แล้ว ที่ตอนนี้ได้มีหลายๆ หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนต่างก็ได้มีความเข้าใจและนำหลักการของกฎหมายนี้ไปประยุกต์ใช้ในการทำงานกันมากขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายภาคส่วนยังมีความกังวลเกี่ยวกับผลทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น อาจเกิดจากความไม่มั่นใจในความถูกต้องของการตีความทางกฎหมาย จนหลายครั้งต้องพึ่งพาความเห็นจากหน่วยงานราชการหรือบริษัทที่ปรึกษากฎหมายเข้ามาช่วยพิจารณา อีกทั้ง กฎหมายในหลายๆ ฉบับก็ยังมีการเชื่อมโยงมายังกฎหมายธุรกรรมฯ อีกด้วย

ดังนั้น ETDA ในฐานะหน่วยงานที่มุ่งส่งเสริมและสนับสนุนการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ ได้เห็นถึงความสำคัญของการบังคับใช้ตามกฎหมายดังกล่าว จึงได้ร่วมกับพาร์ทเนอร์ ได้แก่ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมสรรพากร สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ และบริษัท สำนักกฎหมาย ดำเนิน สมเกียรติ และบุญมา จำกัด รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายไม่ว่าจะเป็น อัยการ ผู้พิพากษา ทนายความ ในการจัดแคมเปญ “การแข่งขันโต้เถียงปัญหากฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์โดยการแถลงการณ์ด้วยวาจาในชั้นอุทธรณ์ หรือ e-Transaction Law Moot Court Competition 2024” ขึ้นเป็นปีแรก เพื่อเป็นเวทีในการสร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะนิสิต นักศึกษาสายกฎหมาย ได้ฝึกฝนทักษะในการแถลงการณ์ด้วยวาจาในชั้นอุทธรณ์ ภายใต้บริบทของกฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์

กิจกรรม e-Transaction Law Moot Court Competition 2024 เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 หลังเปิดรับสมัครเพียงไม่นานก็มีทีมว่าที่นักกฎหมายจากหลากหลายสถาบันเข้าร่วมสมัครแข่งขันจำนวนมากถึง  59 ทีม ซึ่งทุกทีมได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมอบรมภาคทฤษฎี โดยผู้ทรงคุณวุฒิเฉพาะด้านจากหลากหลายหน่วยงานอย่างเข้มข้นเพื่อเตรียมพร้อมสู่เส้นทางอาชีพนักกฎหมายยุคดิจิทัลในอนาคต ก่อนเข้าสู่การแข่งขันในรอบคัดเลือกทั้ง 2 รอบ โดยรอบที่ 1 เป็นการแข่งขันในรูปแบบ “สรุปย่อคำแถลงการณ์” จากโจทย์ที่ว่าด้วยเรื่องของสัญญาอิเล็กทรอนิกส์ ที่คัดให้เหลือ 8 ทีมจาก 59 ทีม เพื่อไปสู่การอบรมภาคปฏิบัติหรือ Workshop ก่อนที่จะไปแข่งขันกันในรอบที่ 2 ซึ่งเป็นการแข่งขันด้วย “การแถลงการณ์ด้วยวาจาในชั้นอุทธรณ์” ในรูปแบบออนไลน์ ที่คัดให้เหลือ 4 ทีมสุดท้ายจาก 8 ทีม ที่ได้ไปต่อใน “รอบรองชนะเลิศ” ซึ่งจะต้องจับคู่ประลองทักษะ “การแถลงการณ์ด้วยวาจาในชั้นอุทธรณ์” ณ ศาลแพ่งรัชดา เพื่อคัดให้เหลือ 2 ทีมสุดท้ายเข้าสู่ “รอบชิงชนะเลิศ”

วันนี้ (2 ส.ค.) ได้เข้าสู่โค้งสำคัญ ที่ทั้ง  2 ทีมสุดท้าย ซึ่งได้ผ่านเข้าสู่การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ เพื่อช่วงชิงความเป็นสุดยอดนักกฎหมายดิจิทัลยุคใหม่กับเวทีการแข่งขันครั้งนี้ ได้แก่ ทีมไก่ย่างสามสหาย และ ทีม IT Depends ซึ่งในช่วงเช้าที่ผ่านมา ทั้ง 2 ทีมได้เข้าร่วมการแข่งขันโต้เถียงปัญหากฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์โดยการแถลงการณ์ด้วยวาจาในชั้นอุทธรณ์ ณ ห้องพิจารณาคดี 304 ศาลแพ่งรัชดา ต่อคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ คุณวีรภัทร ชัยรัตน์ (ผู้พิพากษาชั้นต้น) ประจำสำนักงานประธานศาลฎีกา, คุณปกรณ์ ธรรมโรจน์ (อัยการผู้เชี่ยวชาญ) สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 2  สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต สำนักงานอัยการสูงสุด และ คุณวรวงศ์ อัจฉราวงศ์ชัย (ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้น) ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ภายใต้ระยะเวลาที่กำหนด พร้อมตอบข้อซักถามจากคณะกรรมการ ก่อนที่คณะกรรมการจะร่วมกันพิจารณาภายใต้โจทย์และเกณฑ์การแข่งขันที่ครอบคลุมในประเด็นการประยุกต์ใช้ข้อกฎหมาย รวมถึงการให้เหตุผลที่มีข้อสนับสนุนที่น่าเชื่อถือ ตลอดจนบุคลิกภาพท่าทาง ความมั่นใจ รวมถึงการควบคุมอารมณ์ภายใต้ภาวะกดดัน เป็นต้น

ในที่สุด เวที e-Transaction Law Moot Court Competition 2024 ก็ได้ทีมสุดยอดว่าที่นักกฎหมายดิจิทัลยุคใหม่ โดยทีมที่ชนะเลิศ ได้แก่ ทีมไก่ย่างสามสหาย ประกอบด้วย คุณวรวรรณตรา น่วมอินทร์ และคุณกานต์พิชชา ราชสีหา ได้รับเงินรางวัล 60,000 บาท ส่วนรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ได้แก่ ทีม IT DEPENDS ได้รับเงินรางวัล 40,000 บาท และ ทีมจริงจังจอมแก่น กับทีม SIXTY THOUSAND BAHT  รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ร่วมกัน รับเงินรางวัลทีมละ 15,000 บาท ทั้งนี้ ทุกทีมจะได้รับโล่รางวัลและเกียรติบัตร นอกจากนี้ยังมีโอกาสในการเข้าร่วมฝึกงานหรือทำงานด้านกฎหมายกับหน่วยงานชั้นนำอีกด้วย

“นับเป็นครั้งแรกของการแข่งขัน Moot Court ที่ได้มีการนำกฎหมายฉบับสำคัญนี้มาเป็นโจทย์หลักในการแข่งขัน ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของการเตรียมความพร้อมให้กับนิสิต นักศึกษาที่ถือว่าเป็นว่าที่นักกฎหมายดิจิทัลที่จะมีส่วนสำคัญในการประยุกต์ใช้กฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้มีความเข้าใจและมั่นใจมากขึ้น พร้อมก้าวสู่สายอาชีพกฎหมายดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยต่อยอดสู่การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ (Community & Networking) ระหว่างบุคลากรในสายกฎหมาย รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการร่วมเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนการทําธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทยในอนาคตต่อไป” คุณจิตสถา กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับผู้สนใจ สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของแคมเปญ ตลอดจนกิจกรรมดีๆ จาก ETDA และพาร์ทเนอร์ รวมไปถึงความรู้สาระดีๆ เกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ที่จะทำให้คนไทยชีวิตดีเมื่อมีดิจิทัล เพิ่มเติมได้ที่เพจเฟซบุ๊ก ETDA Thailand

พร้อมร่วมงาน Nissay Super Grand Prix 2024 และงาน International Grand Prix 2024 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” เป็นแอปพลิเคชันของภาครัฐที่พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชนที่มีการเชื่อมข้อมูล และบริการจากส่วนราชการต่างๆ มาไว้ในที่เดียวกัน เพื่อให้ประชาชนในทุกช่วงวัยสามารถใช้บริการออนไลน์ของภาครัฐได้ในแอปฯ เดียวอย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย โปร่งใส และตรวจสอบได้ รวมถึงเป็นช่องทางในการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet ดังนั้น การที่ประชาชนจะเข้าใช้งานแอปฯ ทางรัฐ จำเป็นต้องมีการพิสูจน์ว่าผู้ที่กำลังจะเข้าใช้งานแอปฯ ทางรัฐ เป็นประชาชนตัวจริงหรือไม่ โดยการให้ประชาชนผู้นั้นถ่ายภาพใบหน้า และภาพบัตรประจำตัวประชาชนของตนเอง เพื่อเอาไปเปรียบเทียบกับภาพใบหน้าและข้อมูลบัตรประชาชนของประชาชนผู้นั้นที่มีอยู่ในระบบของภาครัฐว่าตรงกันหรือไม่ หรือที่เรียกว่าการทำ KYC (Know Your Customer) เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นเข้าถึงข้อมูลของประชาชนผู้นั้น หรือสวมสิทธิ์ ซึ่งเป็นมาตรการการป้องกันและรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือแบบเดียวกับที่ธนาคารในประเทศไทยใช้ (IAL 2.3) ตามประกาศของคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ในปัจจุบัน แอปฯ ทางรัฐเป็นเพียงช่องทางในการเชื่อมโยงข้อมูลและบริการจากหน่วยงานต้นทางโดยไม่ได้เก็บข้อมูลประชาชนจากหน่วยงานต้นทางมาไว้ที่แอปฯ ทางรัฐแต่อย่างใด และข้อมูลส่วนบุคคลที่แสดงในแอปฯ ทางรัฐสามารถเข้าถึงได้เฉพาะเจ้าของข้อมูล และผู้มีอำนาจตามกฎหมายในการเข้าถึงข้อมูลเท่านั้น

นอกจากนี้ แอปฯ ทางรัฐมีมาตรการในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบและข้อมูลต่างๆ ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ และพัฒนาระบบที่มีการเข้ารหัสข้อมูลและใช้เทคโนโลยีการยืนยันตัวตนที่ทันสมัยโดยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA ร่วมกับทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาระบบที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก โดยเน้นเรื่องความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลและระบบเป็นหลัก มีการตรวจสอบและทดสอบระบบอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการทดสอบเจาะระบบและแก้ไขช่องโหว่ต่างๆ ทั้งก่อนให้บริการและระหว่างการให้บริการเพื่อป้องกันการแฮ็กและการเข้าถึงข้อมูลและบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรฐานสากล อีกทั้งยังมีการใช้เทคโนโลยีป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ในระดับสูง (State-of-the-Art Cybersecurity Protection) ตลอดจนการบริหารจัดการและจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้แนวทางที่สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) กำหนด และเป็นไปตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 รวมถึงตามมาตรฐานที่ DGA ได้รับการรับรอง เช่น ISO 27001 (Security Management) เป็นต้น นอกจากแอปฯ ทางรัฐยังให้บริการอยู่ในระบบที่มีความน่าเชื่อถือ มีเสถียรภาพพร้อมทั้งมีการตั้ง war room เฝ้าระวังระบบและภัยคุกคามทางไซเบอร์ด้วยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญของ DGA ร่วมกับ สกมช. และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมตลอด 24 ชั่วโมง โดยสามารถพิสูจน์ได้จากวันแรกที่เปิดรับลงทะเบียนโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet ซี่งมีผู้ไม่ประสงค์ดีพยายามโจมตีระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างหนัก ตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่เปิดรับลงทะเบียน โดยเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนกดเข้าใช้งานแอปฯ ทางรัฐเป็นจำนวนมหาศาลเช่นเดียวกัน  แต่แอปฯ ทางรัฐก็ยังสามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถรองรับการลงทะเบียนฯ ได้ถึง 18.8 ล้านคนภายใน 24 ชั่วโมงโดยระบบไม่ล่มและไม่มีปัญหาเรื่องข้อมูลรั่วไหล

สำหรับประเด็นข้อสงสัยที่ว่า แอปทางรัฐเป็นระบบเปิดที่เชื่อมต่อไปถึงบัญชีธนาคารของทุกคนหรือไม่นั้น ในปัจจุบัน แอปทางรัฐ ยังไม่มีการเชื่อมกับบัญชีธนาคารและไม่มีการเก็บข้อมูลบัญชีธนาคารของประชาชนแต่อย่างใด ทั้งนี้แอปฯ ทางรัฐ อนุญาตให้หน่วยงานของรัฐเชื่อมโยงข้อมูลและบริการของตนเข้าสู่แอปพลิเคชันทางรัฐเท่านั้น ภายใต้วิธีการเชื่อมต่อที่มีการควบคุมกำกับดูแล และมีความมั่นคงปลอดภัยสูง โดยไม่ได้เปิดให้บุคคลทั่วไป หรือภาคเอกชน หรือธนาคารเชื่อมโยงข้อมูลบัญชีและระบบบริการกับแอปฯ ทางรัฐแต่อย่างใด  ซึ่งแอปฯ ของธนาคาร และผู้ให้บริการกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่เข้าร่วมโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet ต้องเชื่อมโยงและรับส่งข้อมูลกับแพลตฟอร์มการชําระเงินกลาง (Payment Platform) ของภาครัฐเพื่อรองรับการชำระเงินซึ่งเป็นคนละระบบกับแอปฯ ทางรัฐ

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ได้รับเชิญจากสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ เป็นวิทยากรบรรยายโครงการพัฒนาศักยภาพผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจระดับสูง (พศส.) ประจำปี 2567 ในหัวข้อ "ถอดสูท แนะเคล็ดลับสร้างความมั่งคั่ง ฉบับผู้บริหาร" โดยแนะเคล็ดไม่ลับ อาทิ เน้นให้ออมระยะยาว และออมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ลงทุนต้องกระจายความเสี่ยง ตรวจเช็คเป้าหมายการเงินตลอดเวลา และไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เป็นต้น

 

โอกาสนี้ ทีม “โค้ชออม” จากธนาคารออมสิน ได้มาจัดกิจกรรม work shop การวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณ เพื่อให้ผู้เข้าอบรมสามารถมีเงินออมสำหรับดูแลพึ่งพาตนเอง และบริหารจัดการเงินได้อย่างคุ้มค่าต่อไป ทั้งนี้ หลักสูตรดังกล่าว สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ร่วมกับธนาคารกรุงเทพ และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยจัดขึ้น เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ ติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับวิวัฒนาการของอุตสาหกรรมด้านการเงิน การลงทุนที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีส่วนสำคัญในยุคปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ผู้สื่อข่าวพัฒนาศักยภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ณ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2567

แอล ดับเบิลยู เอสฯ แนะ 4 แนวทางพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สู้ “โลกร้อน” ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสร้างสุขภาวะที่ดี(Wellbeing) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อในปัจจุบัน

นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) แนะ 4 วิธี ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดขยะจากกระบวนการก่อสร้าง และสร้างสุขภาวะที่ดี (Wellbeing) ในการอยู่อาศัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อในปัจจุบัน และเป็นส่วนหนึ่งที่สนองตอบต่อนโยบายของรัฐบาล ในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี ค.ศ. 2065

“ภายใต้กรอบของการขับเคลื่อนประเทศสู่การเป็นกลางทางคาร์บอน และคาร์บอนเป็นศูนย์ ดังกล่าว ประเทศไทย ได้มีการจัดทำร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน โดยสาระสำคัญของกฎหมาย คือ แนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคธุรกิจมีการจัดเก็บภาษีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อกระตุ้นให้ภาคธุรกิจให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีการจัดเก็บภาษีสูง สำหรับองค์กรที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาก และจะลดลงเมื่อองค์กรสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ ซึ่งครอบคลุมไปถึงห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของธุรกิจด้วย ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2568 เป็นอย่างเร็ว หรือปี 2569 เป็นอย่างช้า ดังนั้นการบริหารจัดการองค์กรให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ จะเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการต้นทุน และ ลดภาระค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว

โดย 4 แนวทางในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประกอบด้วย

  1. การปรับตัวในขั้นตอนการก่อสร้างและออกแบบ โดยใช้การออกแบบที่เรียกว่า Passive Design โดยการจัดวางรูปแบบอาคารโดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อม ทิศทางของแสง และ ลม โดยเราสามารถกำหนดการวางช่องเปิดของอาคาร เพื่อให้แสงและลมธรรมชาติ เข้าสู่อาคารเพื่อลดการใช้พลังงานภายในอาคารและวางการถ่ายเทอากาศที่ดีเพื่อลดการสะสมความร้อนภายในอาคาร
  2. การใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีคุณสมบัติในการสะท้อนแสงหรือลดความร้อน ซึ่งการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมก็อาจจะมาจากผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการผลิตที่ไม่สร้างก๊าซเรือนกระจกหรือสร้างแต่น้อยกว่าผลิตภัณฑ์ปกติอื่นๆ หรือจะเป็นการเลือกใช้วัสดุปิดผิวหรือสีที่มีคุณสมบัติในการสะท้อนแสงหรือความร้อนเพื่อลดความร้อนที่สะสมบนผิวอาคาร
  3. การปลูกต้นไม้ ซึ่งการปลูกต้นไม้อาจจะเป็นวิธีที่ดูพื้นฐานมากที่สุดแต่หากเราออกแบบหรือวางตำแหน่งที่สมควร นอกจากจะช่วยปลูกต้นไม้ทดแทนแล้วยังจะช่วยเรื่องของการเป็นตัวกรองแสงธรรมชาติในการรับแสงอาทิตย์ตรงๆแทนที่จะลงกับอาคารและยังสร้างร่มเงาให้กับพื้นที่โดยรอบของอาคารทำให้ลดการสะสมความร้อนบนผิวของวัตถุ เห็นได้ชัดกับทางสัญจรที่เป็นวัสดุคอนกรีตเปรียบเทียบความร้อนสะสมระหว่าง มีร่มเงากับไม่มีจะต่างกันมากถึง 5 องศากันเลยทีเดียว
  4. การใช้โซล่าเซลล์ ถึงแม้จะต้องลงทุนติดตั้งเพิ่ม ทำให้ต้นทุนค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น แต่ในระยะยาวแล้ว เป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาวสำหรับผู้อยู่อาศัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

จากแนวทางดังกล่าว นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า จะช่วยให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มาก ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ สามารถที่จะลดภาระค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะภาษีจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่อยู่ในร่างกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่อยู่ระหว่างการร่างและรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในปัจจุบัน “ตามร่างกฎหมายว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะคำนวณค่าใช้จ่ายจากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคธุรกิจ ถ้าผู้ประกอบการอสังหาฯ ปรับปรุงกระบวนการก่อสร้าง และเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากกระบวนการทำงานได้ ก็จะลดภาระภาษีที่ต้องจ่าย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าปกติในกระบวนการก่อสร้างบ้าน 1 หลัง มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก  5-7 tCO2eq เท่ากับ เมื่อปรับกระบวนการก่อสร้างสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อปีได้ 1-2 tCO2eq เท่ากับว่าเราจะสามารถลดการจ่ายภาษีคาร์บอนลงจาก  5-7 tCO2eq เหลือ 3-4 tCO2eq ต่อปี เป็นต้น”

ถึงแม้ปัจจุบันกฎหมายว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะอยู่ในกระบวนการพิจารณาร่างและยังไม่มีผลบังคับใช้ก็ตาม แต่ ทันทีที่กฎหมายฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้จะส่งผลกระทบกับภาคธุรกิจทุกกลุ่ม โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเมื่อเทียบกับภาคอุตสาหกรรมอื่น การปรับตัวก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ จึงไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ เพื่อให้สามารถลดภาระค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาวโดยเฉพาะภาระค่าใช้จ่ายจากภาษีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จะมีผลบังคับใช้ และในขณะเดียวกัน ยังเป็นการพลิกโฉมธุรกิจอสังหาฯ สู่การเป็นธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว

จาก “ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ” ในสหรัฐอเมริกาที่ “บ้านปู” บุกเบิกมาตั้งแต่ปี 2558 บ้านปูเติบโตอย่างต่อเนื่องผ่านการบริหารงานของ BKV-BPP Power, LLC (BKV-BPP Power) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนในสหรัฐฯ ระหว่างบริษัทย่อยของบริษัท Banpu Power US Corporation (BPPUS) และ BKV Corporation (BKV) และคืบหน้าเข้าสู่ธุรกิจผลิตไฟฟ้าในปี 2565 และธุรกิจค้าปลีกไฟฟ้าในรัฐเท็กซัสในปี 2566 เดินหน้ากลยุทธ์ทางการตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าค้าปลีกเชิงพาณิชย์ อุตสาหกรรม และครัวเรือน พร้อมกันนี้ ยังต่อยอดสู่ “โครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์” (Carbon Capture, Utilization and Sequestration: CCUS) ผ่านกระบวนการกักเก็บคาร์บอนเพื่อการนำไปใช้ต่อในเชิงพาณิชย์ ภายใต้ชื่อโครงการ Barnett Zero ดำเนินการครั้งแรกโดย BKV ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา นอกจากนั้นยังสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 2.5 เมกะวัตต์ ภายใต้การบริหารจัดการของ BKV-BPP Power พร้อมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนสิงหาคมนี้

แน่นอนว่า การมีธุรกิจครอบคลุมตลอดห่วงโซ่คุณค่าส่งผลให้แต่ละหน่วยธุรกิจของบ้านปูดำเนินงานได้อย่างเชื่อมโยงและมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงการส่งมอบพลังงานไฟฟ้า สามารถบริหารจัดการทรัพยากร ลดต้นทุน ควบคุมความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลกำไร โดยเป้าหมายที่เหนือกว่าการแสวงหาผลกำไร นั่นคือการมุ่งสร้างคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม (Stakeholder) แสดงถึงความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำในธุรกิจพลังงานที่มีการดำเนินงานครบวงจรด้วยรากฐานแข็งแกร่งอย่างแท้จริง

จุดแข็งทางธุรกิจ ที่สร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน

บ้านปูได้สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างแข็งแกร่งหลายปัจจัย เริ่มต้นจากการมีแหล่งก๊าซธรรมชาติ คุณภาพภายใต้การบริหารงานของ BKV ทั้งแหล่งก๊าซบาร์เนตต์ (Barnett) ในรัฐเท็กซัส และแหล่งก๊าซมาร์เซลลัส (Marcellus) ในรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งมีกำลังผลิตรวมกันถึง 860 ล้านลูกบาศก์ฟุตเทียบเท่าต่อวัน ส่งผลให้ BKV ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการผลิตก๊าซธรรมชาติ 20 อันดับแรกของสหรัฐฯ ทั้งนี้ BKV ยังดูแลระบบท่อส่งรวม การแยกก๊าซ และการขนส่ง ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตรากำไรและลดต้นทุนการดำเนินงาน อีกทั้งยังสามารถบริหารเวลา ปรับปรุงพัฒนา และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตก๊าซธรรมชาติได้อย่างเต็มที่

ด้วยการสั่งสมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจ และการแสวงหาโอกาสพัฒนาธุรกิจในห่วงโซ่คุณค่าให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด บริษัทร่วมทุน BKV-BPP จึงได้ขยายพอร์ตธุรกิจสู่การลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าผ่านการเข้าซื้อกิจการของ โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และ Temple II ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (Combined Cycle Gas Turbines: CCGT) ตั้งอยู่ในตลาดไฟฟ้าเสรี ERCOT (Electric Reliability Council of Texas) เขตเหนือ ในเมืองเทมเพิล รัฐเท็กซัส กลยุทธ์การลงทุนในครั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แบ่งปันทรัพยากรและองค์ความรู้ รวมทั้งบริหารต้นทุนจากแหล่งผลิตจนถึงกระบวนการผลิตไฟฟ้า ทำให้สามารถบริหารต้นทุนต่อหน่วยได้ต่ำลง และสร้างผลตอบแทนได้สูงขึ้น (Economies of Scale: EOS) โดยโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่งมีกำลังการผลิตรวมกัน 1,499 เมกะวัตต์ และที่สำคัญ มีทำเลที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน เอื้อต่อการใช้พื้นที่ส่วนกลางเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจ

กระบวนการผลิตไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพ เกิดขึ้นได้ด้วยการมีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยี CCGT ที่ทันสมัยผสมผสานกระบวนการทำงานของกังหันก๊าซ (Gas Turbine) กับกังหันไอน้ำ (Steam Turbine) เพื่อตอบสนองสภาพตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์ ทำให้โรงไฟฟ้ามีความพร้อมในการจ่ายไฟในช่วงเวลาที่มีความต้องการสูง เช่น ในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อน  โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และ Temple II จึงตอบโจทย์ความต้องการในตลาดซื้อขายไฟฟ้าเสรีของ ERCOT และด้วยความพร้อมสู่การเติบโต บ้านปูยังได้เข้าสู่ธุรกิจซื้อขายไฟฟ้า (Power Trading) และธุรกิจค้าปลีกไฟฟ้า (Power Retail) เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าโดยตรงให้แก่ผู้บริโภครายย่อย โดยนับตั้งแต่บริษัทร่วมทุน BKV-BPP Power เริ่มกิจการธุรกิจไฟฟ้าค้าปลีกในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ภายใต้ชื่อ BKV Energy ปัจจุบัน มีลูกค้ารายย่อยกว่า 58,000 ราย

ต่อยอดธุรกิจเดิม สร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อผลตอบแทนระยะยาว 

จากต้นทุนแหล่งก๊าซธรรมชาติเดิมที่มีอยู่ บ้านปูต่อยอดธุรกิจเพื่อสร้างห่วงโซ่คุณค่าที่แข็งแกร่ง โดยมี BKV dCarbon Ventures, LLC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ BKV โดยลงทุนใน โครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS) อีกหนึ่งความสำเร็จจากการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นผลพลอยได้ (Byproduct) จากกระบวนการแยกก๊าซธรรมชาติ โครงการ CCUS ยังช่วยให้เกิดธุรกิจขายก๊าซธรรมชาติที่มีคาร์บอนเป็นกลาง (Carbon-Sequestered Gas: CSG)1 ซึ่งเป็นก๊าซธรรมชาติที่สามารถนำไปจำหน่ายในตลาดด้วยคุณภาพระดับพรีเมียม ทั้งนี้ BKV ได้ทำสัญญากับ ENGIE Energy Marketing NA, Inc ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัทสาธารณูปโภคด้านพลังงานระดับโลก ENGIE S.A. ในเดือนสิงหาคม 2566 และ Kiewit Infrastructure South Co. บริษัทในเครือของ Kiewit Corporation ในเดือนมิถุนายน 2567 สำหรับการขายและการซื้อ CSG หลังจากบรรลุข้อตกลงนี้แล้ว คาดว่าการส่งมอบ CSG จะเริ่มในปลายปี 2567 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ บ้านปูยังมองเห็นโอกาสจากการจัดสรรพื้นที่ที่มีอยู่เดิมในพื้นที่แหล่งก๊าซบาร์เนตต์ รัฐเท็กซัส ก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Ponder Solar) ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทร่วมทุน BKV-BPP Power ซึ่งพร้อมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในเดือนสิงหาคม 2567 BKV-BPP Power ยังพิจารณาโอกาสที่จะเข้าซื้อกิจการเพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจพลังงาน เช่น การขยายธุรกิจสู่โครงการแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงาน (Battery & Energy Storage System: BESS) หากประสบความสำเร็จ ธุรกิจนี้จะรองรับความต้องการการใช้พลังงานทางเลือกในอนาคต ช่วยให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมมุ่งสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ของบ้านปู โดยเฉพาะกับกลุ่มลูกค้าองค์กรธุรกิจและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในสหรัฐฯ

นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บ้านปูขยายและปรับพอร์ตธุรกิจในสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง เรามองสหรัฐฯ เป็นประเทศยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ดังนั้น การพัฒนาห่วงโซ่ธุรกิจพลังงานที่ครอบคลุม และการแสวงหาโอกาสธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน จะเอื้อประโยชน์ต่อการเติบโตทางธุรกิจพลังงานของบ้านปู ทั้งนี้ เรามีการจัดสรรงบฯ ลงทุนธุรกิจในสหรัฐฯ กว่าร้อยละ 50 ของงบลงทุนในปีนี้ พร้อมความมุ่งมั่นที่จะสร้างคุณค่าในเชิงพาณิชย์ให้กับห่วงโซ่ธุรกิจพลังงาน และคุณค่าในเชิงประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตอบโจทย์เป้าหมายทางสิ่งแวดล้อมและการต่อยอดทางธุรกิจอย่างยั่งยืน”

สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จับมือพาร์ทเนอร์ ได้แก่ มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย, เทใจดอทคอม และมูลนิธิคีนันแห่งเอเซีย จัดการแข่งขัน EDC Pitching Season 2 รอบชิงชนะเลิศ ในหัวข้อ “Digital Wellness Lifestyle” เฟ้นหาสุดยอดแคมเปญที่รณรงค์การใช้งานออนไลน์อย่างพอดีและมีสติ ร่วมสร้างสุขภาพสังคมที่ดี ชิงเงินรางวัลรวม 150,000 บาท ถ่ายทอดสดเพื่อร่วมลุ้นพร้อมกัน 7 สิงหาคมนี้ ที่เพจเฟซบุ๊ก ETDA Thailand

ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ ETDA  กล่าวว่า หลังจาก ETDA ได้จัดกิจกรรม ETDA Digital Citizen Pitching หรือ EDC Pitching Season 2  ในหัวข้อ “Digital Wellness Lifestyle” เพื่อเปิดเวทีเฟ้นหาไอเดียแคมเปญรณรงค์จากคนรุ่นใหม่ ที่จะมาร่วมโชว์ศักยภาพออกแบบสื่อหรือกิจกรรมที่มีเนื้อหาเชื่อมโยงกับหลักสูตร EDC ที่มุ่งเน้นให้เกิดการใช้งานออนไลน์อย่างเหมาะสม (Digital Use) พอดี มีสติ และมีความรับผิดชอบ เพื่อสร้างสุขภาพสังคมที่ดีกับชีวิตดิจิทัลที่เกิด Impact ต่อสังคมได้จริง ภายใต้โจทย์การแข่งขันสุดท้าทาย 3 โจทย์สำคัญ! ได้แก่ 1. Screen Time Management-การบริหารจัดการหรือจัดสรรเวลาในโลกออนไลน์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด 2. Digital Detox-การสร้างสมดุลระหว่างชีวิตจริงและชีวิตออนไลน์ ลดหรือหยุดพักการใช้งานอย่างไร? ให้ส่งผลบวกต่อสุขภาพจิตใจ และ 3. Digital Mindfulness-การใช้งานออนไลน์แบบส่งเสริมการดำรงชีวิตที่มีความสุขและมีสุขภาพดี เพิ่มความเชื่อมโยงและการมีส่วนร่วมในโลกแห่งความเป็นจริง

โดยหลังจากเปิดรับสมัครแล้ว ทาง ETDA จึงได้จับมือพาร์ทเนอร์สำคัญ ได้แก่ มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย, เทใจดอทคอม และมูลนิธิคีนันแห่งเอเซีย เพื่อร่วมคัดเลือกกันอย่างเข้มข้น ในที่สุดก็ได้ 10 ทีมสุดท้าย จากทั้งหมด 69 ทีม ได้แก่ 1. ทีมหน้าจอไม่ใช่โลกทั้งใบ 2. ทีมสตูดิโออยู่ในบ้าน 3. ทีมนอยด์อ่า 4. ทีมนางฟ้านางสวรรค์ 5. ทีม Play Spirit 6. ทีมขวัญตามหาชน (ไก่) 7. ทีม Yappy Yappah Aha!  8. ทีมทอมแอนด์เจอร์ รี 9. ทีม KSR Green-White Power และ 10. ทีม MANTA RAY  ที่ได้ไปต่อในกิจกรรม Workshop สุด Exclusive กับเหล่า กูรู ผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลตัวจริง! ที่ร่วมกันช่วยลับคมไอเดีย เทคนิคการสร้างสรรค์แคมเปญเพื่อตอบโจทย์การแข่งขันและสอดคล้องกับ Lifestye ของคนไทย ก่อนไปต่อกับกิจกรรมการให้คำปรึกษา กับ Mentor จากองค์กรชั้นนำของไทย ที่มาช่วยในการแนะนำแนวทางการสร้างและพัฒนาแผนงานและเทคนิคดีๆ ในการ Pitching ก่อนก้าวสู่การแข่งขันจริงในรอบไฟนอล

ดังนั้น เพื่อเฟ้นหาสุดยอดแคมเปญที่รณรงค์การใช้งานออนไลน์อย่างพอดีและมีสติ ร่วมสร้างสุขภาพสังคมที่ดี ภายใต้แนวคิด “Digital Wellness Lifestyle”  ETDA จึงเตรียมจัดการแข่งขัน EDC Pitching Season 2 รอบชิงชนะเลิศขึ้น ในวันที่ 7 สิงหาคม 2567 เวลา 10.30-16.00 น. ณ SCBX NEXT TECH ชั้น 4 สยามพารากอน โดยรอบนี้ทั้ง 10 ทีม จะต้อง Pitching เพื่อนำเสนอแผน แนวคิดและแคมเปญหรือสื่อที่พัฒนาขึ้น ทีมละ 7 นาที ต่อหน้าคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้แก่ คุณอัจฉราพร หมุดระเด่น ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร ETDA และหัวหน้าโครงการ ETDA Digital Citizen (EDC), คุณศรีดา ตันทะอธิพานิช กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย, คุณสิรินาท ต่อวิริยะเลิศชัย Social Impact & Partnership Director เทใจดอทคอม และ คุณกันฐพงศ์ เจียวก๊ก ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กรมูลนิธิคีนันแห่งเอเซีย ที่จะมาร่วมตัดสิน และซักถามทีมผู้เข้าแข่งขันเพื่อเฟ้นหาทีมเจ้าของสุดยอดแคมเปญไปกับ EDC Pitching Season 2 ในปีนี้

ปีนี้ทีมที่ชนะเลิศ จะได้รับเงินรางวัล 80,000 บาท สำหรับรางวัลรองชนะเลิศ อันดับที่ 1 รับเงินรางวัล 40,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศ อันดับที่ 2 รับเงินรางวัล 20,000 บาท โดยทีมที่ชนะเลิศ อันดับที่ 1-3 จะได้รับโล่รางวัล และเกียรติบัตร นอกจากนี้ ยังมีในส่วนของรางวัลชมเชย จำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 5,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร รวมเป็นมูลค่ากว่า 150,000 บาท  พร้อมกันนี้ ภายในงานยังมีพิธีมอบประกาศนียบัตรให้กับเหล่า EDC Trainer รุ่นที่ 3 ที่ผ่านการพัฒนาทักษะเทรนเนอร์ดิจิทัลภายใต้หลักสูตร EDC ที่พร้อมส่งต่อความรู้สู่คนไทยทั่วประเทศต่อไป

ผู้สนใจสามารถรับชมการแข่งขัน เพื่อร่วมลุ้น ร่วมเชียร์ และเป็นกำลังใจให้กับทั้ง 10 ทีม ไปกับเวทีการแข่งขัน EDC Pitching Season 2 รอบชิงชนะเลิศ พร้อมๆ กันได้ในวันพุธที่ 7 สิงหาคม เวลา 10.30-16.00 น. ถ่ายทอดสด ที่เพจเฟซบุ๊ก “ETDA Thailand” สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ LINE: @edctrainer อีเมล: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

โออิชิ แจกหนัก จัดใหญ่ ในโอกาสฉลองครบรอบ 25 ปี กับแคมเปญพิเศษขอบคุณลูกค้า “โออิชิ เบิร์ทเดย์ 25 ปี มีแต่ไฮ้!“ ทั้งลด แลก ลุ้นของรางวัลมากมายที่โออิชิเตรียมไว้ “ไฮ้” สำหรับลูกค้าคนพิเศษ รางวัลใหญ่ทองคำแท่งหนัก 25 บาท และของรางวัลอีกมากมาย เพียงสะสมพ้อยท์แลกรับ-แลกลุ้น รวมทั้งดีลส่วนลดสุดคุ้มจากร้านอาหารในเครือโออิชิและเครื่องดื่มชาเขียวโออิชิ

  • ไฮ้! 1: อิ่มอร่อย รับส่วนลดแบบสุดปัง! กับเครื่องดื่ม อาหารพร้อมทาน และร้านอาหารญี่ปุ่นในเครือโออิชิตลอดแคมเปญ
  • ไฮ้! 2: สะสมพ้อยท์ แลกรับ-แลกลุ้น ของรางวัลสุดว้าว! แลกลุ้น ทองคำแท่งหนัก 25 บาท มูลค่า 1 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัล และทองคำมูลค่า 10,000 บาท 75 รางวัล หรือ แลกรับ กระบอกน้ำโออิชิ ดีไซน์สุดลิมิเต็ด โดยร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 - 9 กันยายน 2567 ประกาศผล วันที่ 10 กันยายน 2567 ผ่านการสะสมพ้อยท์ใน 3 ช่องทาง ดังนี้
  • ช่องทางที่ 1 อิ่มอร่อยกับร้านอาหารญี่ปุ่นในเครือโออิชิ ได้แก่ โออิชิ แกรนด์, โฮว ยู, ซาคาเอะ, โออิชิ อีทเทอเรียม, โออิชิ บุฟเฟต์, ชาบูชิ, นิกุยะ, โออิชิ ราเมน, คาคาชิ, โออิชิ บิซโทโระ และ โออิชิ คิทเช่น ทั้งรับประทานที่ร้านและซื้อกลับบ้าน รวมทั้งการสั่งซื้อออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ oishidelivery.com แล้วสะสมคะแนนผ่าน แอปพลิเคชัน BevFood โดยการสั่งผ่านช่องทางดังกล่าว สามารถกรอกข้อมูลเชื่อมโยงรหัสสมาชิกในระบบได้ ยอดการใช้จ่ายทุก 25 บาท เท่ากับ 1 BevFood Point สามารถกดแลกคะแนนผ่าน แอปพลิเคชัน เพื่อลุ้นรางวัลได้ 1 สิทธิ์
  • ช่องทางที่ 2 เมื่อซื้อเครื่องดื่มโออิชิ กรีนที, โออิชิ โกลด์, ชาคูลล์ซ่า, จับใจ (ยกเว้นแบบขวดแก้ว) และผลิตภัณฑ์แบบกล่อง UHT ทุกขนาดทุกรสชาติ แล้วส่งรหัสชิงโชคใต้ฝาหรือในกล่องผลิตภัณฑ์ผ่าน แอปพลิเคชัน OISHI CLUB โดย 1 รหัสใต้ฝาโออิชิกรีนทีเท่ากับ 1 OISHI Point ลุ้นรับรางวัลได้ 1 สิทธิ์
  • ช่องทางที่ 3 เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ โออิชิ อีทโตะ ซอสและซุป ตรา โออิชิ ทุกขนาด ทุกรสชาติ แล้วลงทะเบียนพร้อมแนบใบเสร็จร้านค้าที่ร่วมรายการ ที่เว็บไซต์ oishigroup.com หรือ สแกน QR บนซองสินค้า โออิชิ โดยยอดซื้อผลิตภัณฑ์ทุก ๆ 25 บาท เท่ากับ 1 OISHI Point ลุ้นรางวัลได้ 1 สิทธิ์

*เงื่อนไขกิจกรรมเป็นไปตามบริษัทฯกำหนด

 

  • ไฮ้! 3: ‘โออิชิ ฟัน เฟสติวัล’ สนุกแบบจัดเต็มกับอิเวนต์เจแปนนิส เฟสติวัล อิ่มอร่อยกับอาหารญี่ปุ่นจากยอดเชฟแนวหน้าของเมืองไทย เติมความสดชื่นกับชาเขียวโออิชิ สูตรพิเศษ จาก Tea Master พร้อมพบกับเหล่ากองทัพดาราศิลปิน คริส พีรวัส - สิงโต ปราชญา, ออฟ จุมพล - กัน อรรถพันธ์ และ กลัฟ คณาวุฒิ ที่จะมาสร้างสีสัน ให้กับแฟน ๆ โออิชิ ในวันที่ 8 กันยายน 2567

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ FACEBOOK.COM/OISHIDRINKSTATION และไม่พลาดทุกข่าวสาร-กิจกรรมดี ๆ จากโออิชิ กดติดตามแฟนเพจ FACEBOOK.COM/OISHIFOODSTATION และ FACEBOOK.COM/OISHIDRINKSTATION

X

Right Click

No right click