December 18, 2025

ภายใต้งานมหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์ อววน. เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ด้วยพลังสหวิทยาการ (อว.แฟร์ : Sci Power For Future Thailand) รอบชิงชนะเลิศ ระดับประเทศ ในวันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร ที่ผ่านมา

อว. ขับเคลื่อน Soft Power ด้านดนตรี ผ่านการจัดประกวดวงดนตรีฯ “MHESI MUSIC VARIETY AWARDS 2024” ภายใต้งาน อว.แฟร์ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้จัดงานมหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์ อววน. เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนด้วยพลังสหวิทยาการ (อว.แฟร์ : Sci Power For Future Thailand) ตั้งแต่วันที่ 22 - 28 กรกฎาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร เพื่อแสดงพลังและศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ยกระดับศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ โดยใช้หลักการ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” จากองค์ความรู้ และการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. มีแนวคิดส่งเสริมศักยภาพด้านศิลปะการดนตรีของ นิสิต/นักศึกษา ในสถาบันอุดมศึกษา ที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีด้านศิลปวิทยา อีกทั้งยังเป็นการขับเคลื่อน Soft power ด้านดนตรี ตามนโยบายของรัฐบาลผ่านกิจกรรมการประกวดวงดนตรีผสมผสานประกอบการแสดงวัฒนธรรมพื้นถิ่นไทย ระดับอุดมศึกษา “MHESI MUSIC VARIETY AWARDS 2024” ภายใต้งาน อว.แฟร์ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินรางวัลกว่า 640,000 บาท โดยมีการจัดประกวดฯ ในรอบภูมิภาค 4 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคกลาง - ตะวันออก เพื่อเฟ้นหาตัวแทนในแต่ละภูมิภาคมาประกวดฯ รอบชิงชนะเลิศ ระดับประเทศ ในวันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม 2567 ภายในงาน อว.แฟร์ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร

สำหรับวงดนตรีที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ระดับประเทศ ทั้งหมด 11 วง ดังนี้

1.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่

-NRRU : มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา

-หลานย่าโม : วิทยาลัยนาฏศิลปนครราชสีมา

-พนมรุ้ง : มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์

2.ภาคเหนือ ได้แก่

-KPRU Phetpikul : มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร

-SAFA Band : มหาวิทยาลัยพะเยา

3.ภาคใต้ ได้แก่

-ดอกปาริฉัตร : มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา

-WU Band : มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์

4.ภาคกลาง - ตะวันออก ได้แก่ 

-ศิษย์ลูกแม่ไท้ (รำไพพรรณี) : มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี

-Labha Land Symphonic Band (ลพแลนด์ ซิมโฟนิค แบนด์) : มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี

-BUU Big Band : มหาวิทยาลัยบูรพา

5.3rd Best Score ได้แก่ นครอุดรเมืองงาม : มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี

ผลการประกวดรอบชิงชนะเลิศ ระดับประเทศ ในวันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม 2567 ภายในงาน อว.แฟร์ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร

1.รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ศิษย์ลูกแม่ไท้ (รำไพพรรณี) จากมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี ได้รับถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมประกาศนียบัตรและเงินรางวัล 100,000 บาท

2.รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ดอกปาริฉัตร จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา ได้รับถ้วยรางวัลจาก นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. พร้อมประกาศนียบัตรและเงินรางวัล 50,000 บาท

3.รางวัลรองชนะเลิกอันดับ 2 ได้แก่  Labha Land Symphonic Band (ลพแลนด์ ซิมโฟนิค แบนด์) จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี ได้รับถ้วยรางวัลจาก นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. พร้อมประกาศนียบัตรและเงินรางวัล 30,000 บาท 

4.รางวัล POPULAR VOTE ได้แก่ ศิษย์ลูกแม่ไท้ (รำไพพรรณี) จากมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี ได้รับประกาศนียบัตรและเงินรางวัล 20,000 บาท โดยรางวัลนี้ได้จากยอดการกด Like กด Share คลิปการประกวดฯในระดับภูมิภาค ผ่านทาง Facebook และ TikTok ที่มากที่สุด โดยได้ คะแนนรวม 79,781 คะแนน

นางสาวปิยะสุดา แคว้นนนทรีย์ (กลางขวา) ผู้บริหารสูงสุด สายงานทรัพยากรบุคคล “เคทีซี หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เชิญชวนพนักงานร่วมกิจกรรม “เปลี่ยนชุดชั้นในเก่า ให้เป็นพลังงานสะอาด” โดยร่วมกันบริจาคชุดชั้นใน กางเกงบ็อกเซอร์ (Boxer) เสื้อทับ ชุดว่ายน้ำที่ไม่ใช้แล้ว รวม 1,200 ชิ้น เพื่อส่งต่อให้ซาบีน่า นำไปจัดการด้วยวิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดปริมาณขยะฝังกลบ นำของเสียมาใช้เป็นพลังงานอย่างยั่งยืน โดยมีนางสาวพิชชา ธนาลงกรณ์ (กลางซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาด บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA เป็นผู้รับมอบ และนายณัฐสิทธิ์ สุนทราณู (ขวา) ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี ร่วมเป็นเกียรติ ณ บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) ถนนอรุณอมรินทร์ เมื่อเร็วๆ นี้

เคทีซีจัดกิจกรรมเพื่อสังคมร่วมกับพนักงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งหมายให้พนักงานได้มีส่วนในการร่วมจรรโลงสังคมและขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน ตามแนวทาง ESG (Environment, Social, Governance)

โรงเรียนเตรียมธุรกิจเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน

บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) ได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 100 บริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment Social Governance: ESG) จากการประเมินหลักทรัพย์จดทะเบียนจำนวนทั้งสิ้น 920 บริษัท และเป็น 1 ใน 4 จาก 21 บริษัทจดทะเบียนที่ได้รับรางวัลในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (Property & Construction) โดยได้รับประกาศนียบัตร ESG100 Company จากสถาบันไทยพัฒน์ เป็นปีที่ 4 

นายรานจัน ซาซเดอวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม กลุ่มบริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง หรือ ปูนอินทรี กล่าวว่า กลุ่มบริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง ให้ความสำคัญในการดำเนินงานเพื่อสิ่งแวดล้อม สังคม ด้วยการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี (Good Corporate Governance) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของวัฒนธรรมองค์กร บริษัทฯ ให้การสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของชุมชน และสังคมในทุกพื้นที่ที่กลุ่มบริษัทปูนซีเมนต์นครหลวงมีการประกอบกิจการ พร้อมกับการอนุรักษ์ และใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีคุณค่า

โดย สถาบันไทยพัฒน์ เป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ มุ่งเน้นงานด้านการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของกิจการและความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคเอกชน โดยหน่วยงาน ESG Rating ของสถาบันไทยพัฒน์ ได้จัดทำรายการหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) จำนวน 100 บริษัท จากการประเมินข้อมูลหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจในประเทศไทย เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนมีการบริหารงานด้วยหลักธรรมาภิบาลที่ดี

ทั้งนี้การพิจารณาคัดเลือกและรับรองบริษัท ESG100 ของสถาบันไทยพัฒน์ ใช้ข้อมูล ESG ที่บริษัทเผยแพร่ในแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในหัวข้อความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR)
เป็นสำคัญ รวมถึงข้อมูล ESG ที่มีการเปิดเผยหรือปรากฏต่อสาธารณะ ในรายงานประจำปี (แบบ 56-2) หรือในรายงานแห่งความยั่งยืน (Sustainability Report) โดยการประเมินหลักทรัพย์ ESG100 จะประกอบด้วยเกณฑ์เบื้องต้นสำหรับการคัดกรอง (Screening Criteria) และเกณฑ์หลักสำหรับการประเมิน (Rating Criteria) ซึ่งได้นำหลักการ 12 ประการของ CORE Framework ตามแนวทางการประเมินความยั่งยืนของ Global Initiative for Sustainability Ratings (GISR) มาใช้พัฒนาระเบียบวิธีการประเมิน (Rating Methodology) ทั้งในด้านกระบวนการ (Process) และด้านเนื้อหา (Content)

“กลุ่มบริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง ยังคงรักษามาตรฐานในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมที่ดำเนินธุรกิจตามนโยบายการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยหลักธรรมาภิบาลที่ดี รับผิดชอบต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของกลุ่มบริษัทภายในปี 2573 (INSEE Sustainability Ambition 2030)” นายรานจัน กล่าวปิดท้าย

เอสซีจี ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับบริษัทเดอะ ลีฟวิ่ง โอเอส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (The LivingOS) ผู้นำระบบ On Cloud ERP (Enterprise Resource Planning) ในการบริหารงานหลังบ้านจัดการคอนโดมิเนียมและหมู่บ้านทั่วประเทศไทย  ผ่านการควบรวมกิจการและแลกเปลี่ยนหุ้นกับ Urbanice บริษัทสตาร์ตอัปของเอสซีจี พร้อมตั้งเป้าส่งแพลตฟอร์ม The LivingOS ให้บริการและเข้าถึงผู้อยู่อาศัยครบ 1 ล้านรายภายในปี 2569 ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นการผนวกจุดแข็งของเอสซีจีในฐานะผู้นำด้านวัสดุก่อสร้าง กับเทคโนโลยีของ The LivingOS ซึ่งจะทำให้สามารถตอบสนองความต้องการด้านการอยู่อาศัยและการดูแลบ้านได้ครบวงจรยิ่งขึ้น ตามกลยุทธ์การขยายธุรกิจค้าปลีกและการจัดการชุมชนในอาเซียนของเอสซีจี นอกจากนั้น ความร่วมมือดังกล่าวยังส่งผลให้ The LivingOS มีมูลค่าสูงเกือบ 1 พันล้านบาท ขึ้นแท่นเบอร์ 1 แพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับการบริหารงานหลังบ้านจัดการคอนโดมิเนียมและหมู่บ้าน ที่เข้าถึงเจ้าของบ้านและผู้อยู่อาศัยกว่า 3 แสนรายต่อเดือนได้โดยตรงมากที่สุดในประเทศอีกด้วย

นายวิโรจน์ รัตนชัยสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล กล่าวว่า “เอสซีจีลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่องตามกลยุทธ์การพัฒนานวัตกรรมขององค์กร โดยเล็งเห็นว่าเทคโนโลยีดิจิทัลจะเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมก่อสร้างและการอยู่อาศัยอย่างก้าวกระโดด ซึ่งการร่วมมือกับ The LivingOS จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับ Ecosystem ของธุรกิจดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล และเติมเต็มความต้องการของผู้ใช้บริการแพลตฟอร์ม อาทิ ‘SCG HOME Online’ แพลตฟอร์มจำหน่ายสินค้าและบริการที่มีมาตรฐาน และ ‘คิวช่าง’ แพลตฟอร์มสำหรับหาช่าง ทั้งงานติดตั้ง ต่อเติม และบริการหลังการเข้าอยู่อาศัย เป็นต้น

การลงทุนครั้งนี้เป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ในการเติบโตด้วยนวัตกรรมของเอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล ที่มุ่งเน้นการยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้อยู่อาศัยตลอด Ecosystem ผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล ครอบคลุมตั้งแต่การก่อสร้าง จัดจำหน่าย และอยู่อาศัย อีกทั้งจะช่วยเสริมให้เอสซีจีสามารถต่อยอดธุรกิจผ่านแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่มี และสามารถขยายเครือข่ายไปยังต่างประเทศได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การนำความแข็งแกร่งของเอสซีจีในด้านการเป็นผู้นำนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างของไทยและอาเซียน มาผนวกกับนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีของ The LivingOS จะช่วยตอบสนองความต้องการด้านการอยู่อาศัยและการดูแลบ้านได้อย่างสมบูรณ์”

นางสาวธนาวดี เชี่ยวชาญโชคชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเดอะ ลีฟวิ่ง โอเอส คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “ภายหลังการลงทุนของเอสซีจี การผนวกกันของ 2 แพลตฟอร์ม ทำให้บริษัทฯ มีส่วนแบ่งตลาดของธุรกิจระบบบริหารงาน Property & Community Management มากกว่าร้อยละ 50 ในไทย และยังมีแผนขยายการเข้าถึงผู้อยู่อาศัยครบ 1 ล้านรายภายในปี 2569 โดยแพลตฟอร์มของเราจะสร้างคุณค่า 3 ระยะ คือ ระยะแรก - ต่อยอดโดยนำเทคโนโลยีใหม่ อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) มาพลิกโฉมการบริหารโครงการแบบ Smart Property Management รวมถึงยกระดับความปลอดภัยภายในโครงการด้วยระบบ Smart Security  ระยะที่ 2 - พัฒนาให้ The LivingOS เป็น ‘Smart Life Buddy’ ของลูกบ้าน ที่จะใช้ Data Analytics ประมวลผลและนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใน Ecosystem ของเอสซีจี มาตอบสนองความต้องการเรื่องบ้านและการใช้ชีวิตในชุมชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ และระยะที่ 3 - มีแผนเพิ่มโอกาสการเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มเจ้าของบ้านและผู้เช่าด้วยแนวคิด Smart Property Matching ในอนาคต โดยนำฐานข้อมูลคอนโดมิเนียมและบ้านกว่า 1 ล้านยูนิตในระบบ มาสร้างโอกาสซื้อ-ขาย-เช่า ให้กับเจ้าของ นักลงทุน และผู้ซื้อผู้เช่าที่ต้องการ ทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค”

The LivingOS สตาร์ตอัปสัญชาติไทย เป็นผู้นำในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการจัดการอาคารคอนโดมิเนียมและหมู่บ้าน โดยเชื่อมต่อตั้งแต่ระบบหลังบ้าน อาทิ ระบบวางแผนทรัพยากรในองค์กร (ERP) ไปจนถึงการเชื่อมต่อกับลูกบ้านผ่านโมบาย แอปพลิเคชัน โดยได้รวบรวมและประมวลผล Big Data จากกว่า 2,500 โครงการ ครอบคลุมที่อยู่อาศัยกว่า 1 ล้านยูนิต มาพัฒนาเป็นฟีเจอร์ที่แก้ปัญหาให้นิติบุคคลและผู้ดูแลอสังหาริมทรัพย์ ช่วยลดต้นทุนในการบริหารโครงการ ซึ่งตลอด 5 ปีที่ให้บริการ The LivingOS บริหารโครงการ ดูแลการเงินผ่านระบบแล้วกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี ปัจจุบันมีลูกบ้านที่ใช้งานแอปพลิเคชันเพื่อจัดการที่อยู่อาศัยและเลือกซื้อสินค้าและบริการ ประมาณ 1 แสนรายต่อเดือน

ด้าน Urbanice เป็นธุรกิจสตาร์ตอัปที่เอสซีจีลงทุนมาตั้งแต่ปี 2561 จากการเล็งเห็นถึงปัญหาของผู้อยู่อาศัยในหมู่บ้านและคอนโดมิเนียมที่ขาดช่องทางติดต่อสื่อสารและการบริหารงานด้านอื่น ๆ  Urbanice จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นแอปพลิเคชันสำหรับลูกบ้านในการจัดการชุมชน ทั้งงานพัสดุ การสื่อสารในชุมชน รวมถึงฟีเจอร์อื่น ๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาความเป็นอยู่ของลูกบ้าน ปัจจุบันมีผู้ใช้งาน (Active User) กว่า 200,000 รายต่อเดือน จากประมาณ 1,000 โครงการทั่วประเทศ ถือเป็นเบอร์ 1 แพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับบริหารชุมชนคอนโดมิเนียมและหมู่บ้าน ที่มีลูกบ้านและนิติบุคคลใช้งานมากที่สุด

ทุกจอ ทุกเวลา ทุกแพลตฟอร์ม ทั้ง แอปทรูวิชั่นส์ นาว (ใหม่) ทรูวิชั่นส์ ระบบจานดาวเทียมและเคเบิ้ล และทรูไอดี เริ่มส่งตรงความมันส์ตลอดการแข่งขัน 26 ก.ค. นี้

ระดมทุนสนับสนุนธุรกิจอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล และ Blue Economy พัฒนาระบบนิเวศที่ยั่งยืนและสังคมคาร์บอนต่ำ

หากมองถึงภาพรวมของสื่อและความบันเทิงในประเทศไทย จะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีแพลตฟอร์มใหม่ ๆ ที่เสนอแหล่งข้อมูลที่หลากหลายสำหรับการเชื่อมต่อ ข่าวสาร ความบันเทิง และข้อมูล ซึ่งทั้งหมดนี้ ล้วนแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงความสนใจของผู้ชมและเม็ดเงินโฆษณา

ผลจากการศึกษาพฤติกรรมการใช้สื่อของคนไทย จำนวน 700 คนทั่วประเทศ จัดทำโดย Marketbuzzz  ได้แสดงให้เห็นการใช้สื่อต่างๆ ท่ามกลางสื่อที่มีความหลากหลายและสภาพแวดล้อมสื่อที่เปลี่ยนแปลงไป โดยผู้เข้าร่วมการสำรวจจะบันทึกข้อมูลการใช้สื่อตลอดหนึ่งสัปดาห์ ทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึกถึงการใช้สื่อของคนไทยบนแพลตฟอร์มต่างๆ ในช่วงเวลาที่แตกต่างกันในแต่ละวัน และเปรียบเทียบการใช้สื่อในวันธรรมดาและวันหยุดสุดสัปดาห์ 

ผลการสำรวจแสดงให้เห็นถึงผลกระทบของโควิด-19 ต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้สื่อของคนไทย ทั้งในแง่ของการปรับตัวของธุรกิจ พฤติกรรมประจำวัน และสันทนาการความบันเทิงต่างๆ โดยรวมแล้ว ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีปริมาณการใช้สื่อของคนไทยเพิ่มขึ้น สาเหตุหลักมาจากการที่ผู้คนหันมาใช้สื่อเพื่อติดต่อกับเพื่อนและครอบครัว หาข้อมูลข่าวสาร ความบันเทิง และแม้กระทั่งการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น และเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลงในปี 2022 ผู้คนก็เริ่มกลับไปใช้ชีวิตวิถี ‘หลังโควิด’ ส่งผลให้จำนวนการใช้สื่อเหล่านี้ก็ค่อยๆ ลดลง

ยุคสื่อดิจิทัลครองเมือง

ผลการศึกษาโดย Marketbuzzz ชี้ให้เห็นว่า ช่องทางสื่อที่คนไทยนิยมใช้มากที่สุด ได้แก่ โซเชียลมีเดีย (70%) การท่องอินเทอร์เน็ต (50%) และการรับชมสตรีมมิ่งวิดีโอคอนเทนต์ (47%) อย่างไรก็ตาม วิธีการเข้าถึงและบริโภคสื่อเหล่านี้มีความหลากหลายมากขึ้น ผู้คนต่างแสวงหาช่องทางสื่อที่หลากหลายเพื่อเชื่อมต่อกับสังคม บันเทิง ช้อปปิ้ง และติดตามข่าวสาร สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้แบรนด์ต่างๆ ต้องพยายามรักษาและดึงดูดผู้เข้าชมให้อยู่กับแบรนด์ให้นานขึ้น

การใช้โซเชียลมีเดียยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยแพลตฟอร์มที่คนไทยใช้ติดต่อสื่อสารและสร้างความสัมพันธ์มากที่สุด คือ Line (78%) และ Facebook (68%) ตามมาด้วย Messenger (34%), TikTok (29%), Instagram (21%) และน้องใหม่มาแรงอย่าง Threads (14%) จากการเปิดตัวของแพลตฟอร์มใหม่อย่าง Threads สะท้อนให้เห็นว่าผู้คนจำนวนมากกำลังมองหาคอนเทนต์ที่เฉพาะเจาะจงและตรงกับความสนใจมากขึ้น การใช้เว็บไซต์ครอบคลุมกิจกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่การค้นหาข้อมูลทั่วไป การอ่านข่าวสาร ไปจนถึงการเข้าเว็บไซต์เพื่อหาความรู้และช้อปปิ้งออนไลน์ ด้านการรับชมวิดีโอสตรีมมิ่งมีความหลากหลายมากขึ้น โดย YouTube (62%) ยังคงเป็นผู้นำ แต่ก็ต้องเผชิญกับคู่แข่งจากแพลตฟอร์ม Netflix (35%), TrueID (27%) , AISPlay (20%) และ Disney+ (14%) ซึ่งเป็นตัวเลือกคอนเทนต์วิดีโอที่เพิ่มขึ้น ทำให้การแข่งขันระหว่างแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเหล่านี้ค่อนข้างจะดุเดือด

สำหรับความนิยมในการฟังเพลงผ่านสตรีมมิ่งก็เช่นเดียวกัน YouTube Music ยังคงครองความเป็นผู้นำที่คนไทยมีการใช้งานถึง 71% ตามมาด้วย JOOX (42%), Spotify และ Apple Music และยังมีแพลตฟอร์มน้องใหม่เกิดขึ้นเรื่อยๆ ช่วยเพิ่มความหลากหลายในการรับฟังเพลงแบบสตรีมมิ่ง

มร.แกรนท์ บาร์โทลี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มาร์เก็ตบัซซ (Marketbuzzz) กล่าวว่า หากมองภาพรวมของสื่อและความบันเทิง เราจะเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเสมอ แม้จะมีความขัดแย้งกันอยู่ ในขณะที่สื่อมีความหลากหลายมากขึ้น มีแพลตฟอร์มใหม่ๆ และคอนเทนต์ที่สร้างขึ้นโดยผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น ขณะที่ด้านหนึ่งก็มีการผสมผสานเกิดขึ้นภายในแพลตฟอร์มเดียวกัน โดยมีผู้เล่นหลายรายพยายามดึงดูดผู้ชมมากขึ้นด้วยการลดเส้นแบ่งระหว่างโซเชียล การช้อปปิ้ง คอนเทนต์ ภาพยนตร์ และเกมส์"

มือถือครองเมือง: คอนเทนต์โดน ใช้งานง่าย เข้าถึงได้ทุกที่

มือถือกลายเป็นอุปกรณ์หลักในการเข้าถึงสื่อสาร ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า การสร้างคอนเทนต์และแพลตฟอร์มที่ใช้งานบนมือถือได้อย่างสะดวก (mobile-friendly) มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเข้าถึงผู้ใช้งานคนไทย ความคล่องตัวและสะดวกสบาย ทำให้การบริโภคสื่อผ่านมือถือกลายเป็นศูนย์กลาง ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานโซเชียลมีเดียและแชท ฟังเพลง หรือด้านอีคอมเมิร์ซ

สื่อดั้งเดิมยังยืนหยัดในกลุ่มผู้สูงวัย

แม้คนไทยจะมีการใช้งานโซเชียลมีเดีย อินเทอร์เน็ต วิดีโอสตรีมมิ่ง และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว แต่สื่อแบบดั้งเดิมอย่างวิทยุ หนังสือพิมพ์ หนังสือ และนิตยสารกลับมีการใช้งานลดลง อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้สูงวัยที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ยังคงนิยมบริโภคสื่อเหล่านี้มากกว่า ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่ากลยุทธ์การใช้สื่อแบบดั้งเดิมจำเป็นต้องได้รับการปรับเปลี่ยน เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคสื่อของคนไทยกำลังเปลี่ยนไปสู่รูปแบบดิจิทัลและเน้นการใช้งานบนมือถือมากขึ้น แบรนด์ต่างๆ ควรปรับกลยุทธ์ให้มีความยืดหยุ่นและตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าหลักได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จับจังหวะคนไทยบริโภคสื่อในช่วงเวลาใดนอกจากประเภทของสื่อแล้ว "ช่วงเวลา" ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญในการพิจารณาการบริโภคสื่อของคนไทย โดยไม่น่าแปลกใจที่การใช้สื่อต่างๆ และความถี่ในการใช้จะแตกต่างกันไปในช่วงเช้า บ่าย และเย็น ด้วยกิจวัตรประจำวันส่งผลต่อพฤติกรรมของคนไทย จะเห็นว่าโซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชันอื่นๆ มักถูกใช้งานมากขึ้นในช่วงเช้า ขณะที่การรับชมวิดีโอสตรีมมิ่งและทีวี จะมีแนวโน้มพุ่งสูงในช่วงเย็น ซึ่งสอดคล้องกับช่วงเวลาว่างหลังเลิกงานหรือเลิกเรียน

  • ช่วงเช้า: การใช้งานวิดีโอสตรีมมิ่งค่อนข้างน้อย เนื่องจากผู้คนมักมีภาระกิจประจำวัน ทั้งการทำงาน การเรียน หรืออื่นๆ ทำให้มีเวลาน้อยในการรับชมสื่ออย่างต่อเนื่อง
  • ช่วงบ่าย: แอปพลิเคชันสั่งอาหารเดลิเวอรี่ จะได้รับความนิยมสูง เนื่องจากเป็นช่วงเวลาพักกลางวันและสะดวกต่อการใช้งาน แม้จะมีการใช้งานในช่วงเย็นด้วย แต่ปริมาณการใช้งานจะน้อยกว่าช่วงบ่าย
  • ช่วงเย็น: เป็นช่วงเวลาที่การรับชมวิดีโอสตรีมมิ่งและทีวี มีแนวโน้มสูงสุด เนื่องจากเป็นช่วงเวลาว่างพักผ่อน

มร.แกรนท์ กล่าวเสริมว่า โดยปกติแบรนด์ส่วนใหญ่จะทราบช่วงเวลาที่กลุ่มเป้าหมายมักจะใช้งานสื่ออยู่แล้ว แต่การนำเสนอสื่อที่หลากหลายควบคู่กับการเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม จะช่วยให้วางแผนการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เทคนิคการกำหนดช่วงเวลาตามประเภทของสื่อ จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด ส่งผลให้การโฆษณาสามารถสร้างมูลค่าได้สูงสุด

ขณะที่ปี 2024 กำลังดำเนินไป ผลกระทบในระยะยาวของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริโภคสื่อของคนไทย เริ่มชัดเจนมากขึ้น ภูมิทัศน์สื่อที่ หลากหลายและมีการแบ่งแยก (fragmentation) เป็นเสมือนเหรียญสองด้าน นำเสนอทั้ง ความท้าทาย และ โอกาส สำหรับแบรนด์และนักการตลาด วิถีชีวิต พฤติกรรม และกิจวัตรประจำวันของผู้คนน่าจะยังคงเปลี่ยนแปลงต่อไป โดยคนไทยจำนวนมากเปิดรับช่องทางสื่อและแพลตฟอร์มดิจิทัลที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ ความเข้าใจ ต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึง มีความสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อและการตลาด เพื่อให้สามารถ ปรับตัว และสร้างกลยุทธ์ที่เหมาะสม เพื่อความอยู่รอด ในสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ ด้วยรูปแบบของการบริโภคสื่อที่หลากหลาย จึงจำเป็นที่จะต้องมีการวางกลยุทธ์ที่แปลกใหม่ มีความริเริ่มสร้างสรรค์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย เน้นการใช้งานบนมือถือ และปรับเปลี่ยนตามช่วงเวลา สิ่งนี้จะช่วยให้สื่อยังคงเข้าถึงได้ง่าย มีความเกี่ยวข้อง และสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคต่อไป

สร้างฝันเยาวชนไทยสู่เวทีระดับโลก พร้อมมอบรางวัลสุดพิเศษให้กับผู้ชนะ

วิ่งเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ในวันที่ 17 สิงหาคม 2567 ณ สวนพฤกษชาติศรีนครเขื่อนขันธ์ (บางกระเจ้า)

X

Right Click

No right click