

บริษัท เวียตเจ็ท จอยท์ สต๊อค จำกัด (Vietjet Aviation Joint Stock Company (HoSE: VJC)) รายงานผลประกอบการประจำครึ่งแรกของปี 2567 เผยรายได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ผลประกอบการของเวียตเจ็ทเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ในปี 2562 โดยสายการบินฯ ได้ขนส่งผู้โดยสารกว่า 13.1 ล้านคนด้วยเที่ยวบินคุณภาพสูงถึง 70,154 เที่ยวบิน ภายในครึ่งแรกของปี 2567
เวียตเจ็ทรายงานรายได้จากการขนส่งทางอากาศประจำไตรมาส 2 ของปี 2567 มีมูลค่าอยู่ที่ 15.128 ล้านล้านเวียดนามดอง (ประมาณ 601 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และกำไรก่อนหักภาษี 517,000 ล้านเวียดนามดอง (ประมาณ 20.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 23 และร้อยละ 683 ตามลำดับ
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 รายได้จากการขนส่งทางอากาศมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 32.893 ล้านล้านเวียดนามดอง (ประมาณ 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 31 โดยกำไรก่อนหักภาษีอยู่ที่ 1.174 ล้านล้านเวียดนามดอง (ประมาณ 46.77 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 690
รายได้รวมของเวียตเจ็ทในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 มีมูลค่าอยู่ที่ 34.016 ล้านล้านเวียดนามดอง (ประมาณ 1.35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยกำไรก่อนหักภาษีรวมอยู่ที่ 1.311 ล้านล้านเวียดนามดอง (ประมาณ 52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 15 และร้อยละ 433 ตามลำดับ เวียตเจ็ททำกำไรทะลุเป้าที่วางไว้ในครึ่งแรกของปี 2567 กว่าร้อยละ 21
รายงาน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 สินทรัพย์รวมของเวียตเจ็ทมีมูลค่ามากกว่า 91.755 ล้านล้านเวียดนามดอง (ประมาณ 3.65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ประมาณ 2 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 5 เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดช่วงสิ้นสุดไตรมาส 2 ของปี 2567 มีมูลค่าอยู่ที่ 4.1 ล้านล้านเวียดนามดอง (ประมาณ 163.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
จากการจัดอันดับเครดิตของ Saigon Ratings เวียตเจ็ทยังคงรักษาอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุด (vnBBB-) โดยมีแนวโน้มคงที่เมื่อพิจารณาจากการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญและการวางแผนเชิงรุกในช่วงสองปีที่ผ่านมา คาดการณ์ได้ว่าสายการบินฯ จะเติบโตได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและยั่งยืนมากขึ้นในระยะกลางจนถึงระยะยาว
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 เวียตเจ็ทได้ชำระภาษีและค่าธรรมเนียมทั้งทางตรงและทางอ้อมรวมทั้งสิ้น 3.687 ล้านล้านเวียดนามดอง (ประมาณ 146.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

ผู้นำด้านการขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศ
เวียตเจ็ทให้บริการเที่ยวบินกว่า 149 เส้นทางทั่วทั้งเวียดนามและต่างประเทศ โดยแบ่งเป็นเส้นทางบินภายในประเทศ 38 เส้นทาง และเส้นทางบินระหว่างประเทศ 111 เส้นทาง
สายการบินฯ ได้เปิดตัวเส้นทางบินใหม่เชื่อมต่อระหว่างโฮจิมินห์ซิตี้และซีอาน ฟู้โกว๊กและไถจง ฟู้โกว๊กและเกาสง รวมถึงโฮจิมินห์ซิตี้และเวียงจันทน์
นอกจากนี้ สายการบินฯ ได้เปิดตัวเส้นทางบินระหว่าง ญาจาง และ แทกู ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งจะเริ่มให้บริการในเดือนตุลาคม 2567 เน้นย้ำตำแหน่งสายการบินรายใหญ่ที่สุดในแง่ของบริการบนเส้นทางบินระหว่างเวียดนามและเกาหลีใต้ หลังจากที่สายการบินฯ ได้ให้บริการผู้โดยสารเกือบ 10 ล้านคนบนเส้นทางบินมากกว่า 37 เส้นทาง ระหว่างสองประเทศมาอย่างยาวนานกว่า 10 ปี
พร้อมกันนี้ เวียตเจ็ทได้ขยายบริการเที่ยวบินบนเส้นทางบินข้ามทวีประหว่างเอเชียและออสเตรเลียด้วยเส้นทางบินใหม่ 2 เส้นทาง จาก ฮานอย สู่ เมลเบิร์น และซิดนีย์ ส่งผลให้สายการบินฯ มีเที่ยวบินระหว่างเวียดนามและออสเตรเลียรวม 7 เที่ยวบิน การขยายเส้นทางบินดังกล่าวยกระดับการเชื่อมต่อ การเดินทาง การท่องเที่ยว การลงทุน การค้า การศึกษาในต่างประเทศ และการเยี่ยมเยียมครอบครัว ขณะนี้ เวียตเจ็ทให้บริการเที่ยวบินระหว่างเวียดนามและออสเตรเลียมากที่สุดถึง 58 เที่ยวบินต่อสัปดาห์

เสริมทัพฝูงบินด้วยอากาศยานที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ด้วยฝูงบินที่ประกอบด้วยเครื่องบินกว่า 105 ลำ (รวมเครื่องบินของเวียตเจ็ทไทยแลนด์) และจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี เวียตเจ็ทมุ่งขยายเครือข่ายเส้นทางบินข้ามทวีปอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเสริมทัพฝูงบินด้วยเครื่องบินลำใหม่ที่ทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เวียตเจ็ทมีกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ในการสร้างและพัฒนาบุคลากรด้านการบินให้ได้มาตรฐานสากล Vietjet Aviation Academy (VJAA) หรือ สถาบันฝึกอบรมการบินเวียตเจ็ทได้เป็นพันธมิตรการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 VJAA ได้ฝึกอบรมนักศึกษาไปแล้วกว่า 43,000 คน ผ่านหลักสูตร 3,898 หลักสูตร รวมถึงหลักสูตรนักบินและวิศวกรอากาศยาน (CRS) นอกจากนี้ สถาบันฯ ยังได้สร้างห้องนักบินจำลองแห่งที่ 3 เน้นย้ำตำแหน่งศูนย์ฝึกอบรมนักบินระดับนานาชาติชั้นนำในภูมิภาค
เวียตเจ็ทเปิดรับนักศึกษาฝึกงานจำนวนมากเพื่อเข้าร่วมอบรมในสภาพแวดล้อมการทำงานระดับนานาชาติ พร้อมทั้งให้ความรู้และมอบประสบการณ์จริงแก่ผู้เข้าร่วม นอกจากนี้ เวียตเจ็ทได้จัดกิจกรรมแนะแนวอาชีพในมหาวิทยาลัยหลายแห่งเพื่อจุดประกายนักศึกษา พร้อมมอบโอกาสในการร่วมงานกับสายการบินฯ ในอนาคต
เวียตเจ็ทริเริ่มการวิจัยด้านการพัฒนาและการใช้เชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน มุ่งสู่การเป็นสายการบินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นผู้นำในด้านนวัตกรรมและกิจกรรมด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมสู่ความยั่งยืน
ล่าสุด เวียตเจ็ทได้ร่วมลงนามข้อตกลงกับแอร์บัสเพื่อสั่งซื้อเครื่องบินลำตัวกว้างรุ่นแอร์บัส A330neo จำนวน 20 ลำ มูลค่า 7.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ งาน Farnborough International Airshow เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อรองรับแผนขยายเครือข่ายเส้นทางบินรอบโลก
เวียตเจ็ทได้รับการยกย่องจากนิตยสาร International Finance ซึ่งเป็นนิตยสารการเงินชั้นนำของโลกด้วยรางวัล "สายการบินต้นทุนต่ำที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Best Low-cost Airline in Southeast Asia)" รางวัล "การบริหารการเงินยอดเยี่ยมที่สุดในอุตสาหกรรมการบินเวียดนาม (Best Finance-Management-Aviation-Vietnam)" รางวัล “สายการบินต้นทุนต่ำพิเศษที่ดีที่สุด (Best Ultra Low-cost Airline)" และรางวัล "สายการบินต้นทุนต่ำที่เป็นเลิศด้านบริการบนเที่ยวบิน (Best Low-cost Airline Onboard Hospitality)" โดย AirlineRatings รวมถึงการจัดอันดับให้เป็น 50 บริษัทที่ดีที่สุดประจำปี 2567 โดย Forbes เวียดนาม
ปี 2567 ถือเป็นปีทองและเป็นก้าวสำคัญของเวียตเจ็ทสู่การพัฒนาอย่างครอบคลุม ทั้งเครือข่ายเส้นทางบินระหว่างประเทศที่ขยายอย่างต่อเนื่อง ความพร้อมในการตอบสนองความต้องการเดินทางภายในประเทศ และความมุ่งมั่นในการให้บริการบนเส้นทางบินระหว่างประเทศที่กำลังจะเพิ่มขึ้นในอนาคต
นายอิทธิพล เลิศศักดิ์ธนกุล รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และนายพิศิษฐ์ บูรณะกิจภิญโญ ผู้อำนวยการฝ่าย ผู้บริหารสาขาต่างประเทศ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาพนมเปญ ร่วมลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK จำนวน 5.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในกัมพูชาและผู้ประกอบการกัมพูชาที่ดำเนินธุรกิจนำเข้าสินค้าหรือบริการจากประเทศไทย โดยมีนางวรางคณา วงศ์ข้าหลวง รองกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ กรุงพนมเปญ กัมพูชา เมื่อเร็ว ๆ นี้

ทั้งนี้ การส่งออกของไทยไปกัมพูชาในปี 2566 มีมูลค่าราว 6.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กัมพูชาเป็นเป้าหมายสำคัญด้านการลงทุนของผู้ประกอบการไทยในหลายอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมเกษตร การผลิต การก่อสร้าง การให้บริการด้านสุขภาพ และภาคบริการ การสนับสนุนทางการเงินจาก EXIM BANK ในฐานะธนาคารเพื่อการพัฒนา จะช่วยยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทย-กัมพูชาให้แข่งขันได้มากขึ้นในเวทีการค้าการลงทุนระหว่างประเทศอย่างยั่งยืน
วิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ (CIMw) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ประกาศวิชั่น ‘ผู้นำ’ ผลิตบุคลากรด้าน ‘เวลเนสและไลฟ์สไตล์ เมดิซีน’ ที่มีคุณภาพ และใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ขับเคลื่อนผ่านการประชุมวิชาการระดับชาติ SMART จัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 6 Harmony in Healthcare สุนทรียภาพทางสุขภาพและความงาม ผลักดันผลงานวิจัยเติบโตแบบก้าวกระโดด กางแผนเปิด 10 หลักสูตรใหม่ปี 2568 ปั้นบุคลากรคุณภาพสอดรับอุตสาหกรรมในอนาคต

ดร.ดาริกา ลัทธพิพัฒน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เปิดเผยว่า การประชุมวิชาการระดับชาติ SMART ครั้งที่ 6 Harmony in Healthcare : สุนทรียภาพทางสุขภาพและความงาม จัดขึ้นครั้งแรกในปี 2562 จนถึงปีปัจจุบัน โดยมีวัตถุประสงค์ในการถ่ายทอดผลงานวิชาการ พร้อมทั้งเปิดโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และ ประสบการณ์ด้านวิชาการให้สามารถนำผลงานไปประยุกต์ใช้ได้จริงและเกิดประโยชน์ต่อประเทศ
“บทบาทของ DPU มุ่งขับเคลื่อนการเรียนการสอนด้านเวชศาสตร์ความงาม ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพมาเป็นเวลา 15 ปี จากวันนั้นที่คนยังให้ความสำคัญและพูดถึงกันน้อย จนถึงวันนี้เป็นการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าอุตสาหกรรมด้านนี้เติบโตขึ้นมาก ซึ่ง DPU จะเป็นมหาวิทยาลัยที่มีความพร้อม และเตรียมเปิด 10 สาขา ในปี 2568 ระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก เช่น คอสเมติกส์ เพื่อพัฒนาบุคลากรรองรับธุรกิจที่จะขยายตัวในอนาคต” ดร.ดาริกา กล่าว
‘Wellness & Lifestyle Medicine’ เทรนด์มาแรงในอนาคต
จาก เฮลท์ แอนด์ เวลเนส ในภาพใหญ่เริ่มเคลื่อนไปสู่การใส่ใจดูแลที่มากขึ้นกว่าเดิม ทำให้เทรนด์ของ เวลเนส (Wellness) และ ไลฟ์สไตล์ เมดิซีน (Lifestyle Medicine) ซึ่งเป็นแนวทางของการดูแลรักษาสุขภาพเติบโตเป็นอย่างมากทั้งในปัจจุบัน และในอนาคต เพราะเป็นแนวทางของการป้องกัน และ ลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บ โดย ดร.ดาริกา กล่าวว่า “แนวโน้มของการดูแลสุขภาพ ไม่ได้มองในมุมของการเป็นโรคภัยไข้เจ็บ หรือ Sickness เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการดูแลควบคู่กันไปกับ Wellness ด้วย”

พญ.พักตร์พิไล ทวีสิน ประธานกิตติมศักดิ์หลักสูตรบัณฑิตศึกษา วิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ (CIMw)มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวในงานประชุมวิชาการระดับชาติ SMART ครั้งที่ 6 ว่า เวชศาสตร์ชะลอวัย ไม่ใช่ความงาม แต่เป็นการมีสุขภาพดีจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต ซึ่งการที่ประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุเป็นจำนวนมากซึ่งคนกลุ่มนี้ยังมีความรู้ ความสามารถ และหากมีสุขภาพดีจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป

SMART ยกระดับงานวิชาการ-บุคลากรด้าน Wellness
ผศ.นพ.มาศ ไม้ประเสริฐ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ (CIMw) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) กล่าวว่า การจัดงานประชุมวิชาการระดับชาติ SMART ครั้งที่ 6 : “Harmony in Healthcare :สุนทรียภาพทางสุขภาพและความงาม” ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 20 - 21 กรกฎาคม 2567 ที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ในปีนี้เป็นการเติบโตก้าวกระโดด โดยปีนี้มีผลงานวิชาการมากถึง 40 ชิ้นงาน ขยับจาก 20 ผลงานในปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย บทความด้านวิทยาการชะลอวัยและพื้นฟูสุขภาพ, วิทยาศาสตร์สุขภาพ, วิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช, ด้านนวัตกรรมและผลงานสร้างสรรค์, สังคมศาสตร์ และ ด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ด้านผู้ร่วมงานจากที่ได้รับการตอบรับจาก 200 คนในปีที่ผ่านมา เป็น 350 คนในปีนี้
“จากประสบการณ์การทำงาน 30 ปีที่ผ่านมา ได้เห็นคลื่นเศรษฐกิจที่ขยับตัวขึ้นลงและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ก็พบว่าธุรกิจสุขภาพเป็นธุรกิจที่อยู่รอดได้ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร อีกทั้งเทรนด์ของการรักษาใหม่ ๆ ที่คนไม่ใช่แค่รักษาโรค แต่ต้องการชะลอการเกิดโรค และ ใช้ชีวิตให้นานที่สุด ซึ่ง ทาง CIMw เตรียมเปิดสอนในสาขาใหม่ ๆ ในปีหน้า เพื่อพัฒนาบุคลากรให้รองรับการขยายตัวของธุรกิจ พร้อมกับเป้าหมายการเป็นผู้นำในการผลิตบุคลากรด้านสุขภาพและความงามที่มีคุณภาพและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย” ผศ.นพ.มาศ กล่าว

คนดังจองที่นั่งร่วมคลาสเรียน รับกระแสธุรกิจสุขภาพมาแรง
กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า (เกรซ) นักศึกษาชั้นปีที่1 หลักสูตรปริญญาโท สาขาวิชาวิทยาการชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ วิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ (CIMw) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) กล่าวว่า เหตุผลของการตัดสินใจสมัครเรียน เพราะอาจารย์ผู้สอนมีความเชี่ยวชาญและเป็นผู้รู้จริง อีกทั้งยังเป็นมหาวิทยาลัยรุ่นแรกๆ ที่เปิดสอนหลักสูตรนี้ ซึ่งส่วนตัวไม่มีความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์มาก่อน เมื่อได้มาเรียนปรับพื้นฐานทำให้เข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้น
“บางคนมีความกลัว มีกำแพงว่าถ้าไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์ ไม่ได้มีความรู้ด้านนี้โดยตรงจะเรียนในสาขานี้ได้หรือไม่ ขอบอกว่า เกรซเรียนได้ ทุกคนก็สามารถเรียนได้ เพราะศาสตร์การชะลอวัยเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวและสำคัญมากในอนาคต เราไม่อยากทำงานหาเงิน เพื่อมารักษาตัวเองในตอนที่อายุมากขึ้น”

ณภศศิ สุรวรรณ (มายด์) ในฐานะศิษย์เก่า หลักสูตรปริญญาโท สาขาวิชาวิทยาการชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ วิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ (CIMw) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) กล่าวว่า การเรียน Anti-Aging สามารถนำมาปรับใช้กับธุรกิจได้มาก โดยปัจจุบันทำธุรกิจด้านสุขภาพความงาม เช่น อาหารเสริม ครีมกันแดด คลินิกกายภาพบำบัด
“อยากเห็นทุกคนมีสุขภาพที่ดีด้วยวิธีดูแลตัวเองแบบองค์รวม ไม่ว่าจะเป็นการนอนให้เพียงพอ โดยเฉลี่ยจะนอนวันละ 7 ชั่วโมง ทานอาหารที่มีคุณภาพ และทานโปรตีนเสริม รวมทั้งออกกำลังกาย และ สร้างพลังบวกให้กับตัวเอง ซึ่งทุกอย่างมาจากที่อาจารย์สอน และ เราก็อยากจะเสนอความจริงใจในธุรกิจเพื่อให้คนที่มารับบริการได้สิ่งที่ดีกลับไป”
สำหรับการเรียนการสอน วิทยาลัยการแพทย์บูรณาการ (CIM) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ในปัจจุบันมีเปิดการเรียนการสอนทั้งในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก รวมถึงหลักสูตรระยะสั้น ซึ่งล้วนตอบโจทย์เทรนด์ธุรกิจแห่งอนาคตด้านเวลเนส ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://cim.dpu.ac.th ติดตามข่าวสารได้ที่ Facebook: วิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ College of Integrative Medicine CIMw DPU
ภายใต้แคมเปญ โออิชิ 25 ปี ฉลองอย่างราชา โออิชิ แกรนด์ (OISHI GRAND) ผนึกกำลัง ท็อปเชฟ ประเทศไทย โค้งสุดท้าย !!! กับ เชฟบิ๊ก - อรรถสิทธิ์ พัฒนเสถียรกุล นำเสนออาหารจานพิเศษ ชูวัตถุดิบชั้นยอด มากุโระ ราชันย์แห่งท้องทะเลญี่ปุ่น สู่การสร้างสรรค์รสชาติอันล้ำเลิศในทุก ๆ เมนู สไตล์ เจแปนนิส ทวิสต์ เริ่มแล้ววันนี้

อิ่ม โอ-ร่อย เทศกาล “MONTH OF MAGURO” พร้อมอาหารจานพิเศษในธีม “EAT LIKE A KING” ขอแนะนำ สารพัดเมนูมากุโระ เนื้อแน่น สด ใหม่ แบบฉบับ เชฟบิ๊ก ท็อปเชฟ ประเทศไทย ได้แก่ “Maguro Tartar Sanuki Udon Tsukemen” (มากุโระทาร์ทาร์ซานุกิอุด้งทสึเคเมน) เสิร์ฟมากุโระในรูปแบบทาร์ทาร์ มาบนซอสเมนไทโกะ และซานุกิอุด้ง พอจะรับประทานก็เพียงแค่จุ่มน้ำซุปสาหร่าย – ดาชิ ตามสไตล์ทสึเคเมน ให้รสชาติยิ่งล้ำลึกในทุกคำ, “Maguro Tataki Pesto Sauce” (มากุโระทาทากิซอสเพสโต้) สัมผัสรสชาติมากุโระย่างสไตล์ทาทากิ เนื้อฉ่ำ...หวาน เสิร์ฟมาพร้อมซอสชิโซะเพสโต้ และโฟมจินเจอร์ยูซุ เพิ่มความสดชื่น รับประทานพร้อมกิมจิโคลสลอว์ ช่วยชูรสชาติให้พิเศษขึ้นไปอีก, และที่ถือว่าเป็นทีเด็ด คือ “Hon Maguro Vol Au Vent” (ฮอนมากุโระโวโลวองท์) นำเสนอความพิเศษของฮอนมากุโระ (ปลาทูน่าครีบน้ำเงิน) สด ฉ่ำ พร้อมคาเวียร์ จัดเสิร์ฟบนแป้งพายโวโลวองท์ อัดแน่นด้วยไส้เห็ดดุ๊กเซลล์ ที่ผัดและปรุงรสชาติมาอย่างกลมกล่อม รับประทานกับอะโวคาโดเพียวเร่ และซอสดาชิ ให้รสสัมผัสที่ล้ำเลิศ

พร้อมอิ่มเอมบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่นสุดอลังการ ทั้ง ซูชิสารพัดหน้า คุณภาพระดับโอมากาเสะ ซาชิมิแล่สด ๆ ชิ้นโต เต็มคำ จากวัตถุดิบคุณภาพสูง นำเข้าสด - ใหม่ จากตลาดปลาชั้นนำ และ อาหารญี่ปุ่นต้นตำรับ เมนูยอดนิยมต่าง ๆ รวมแล้วกว่า 200 รายการ

เชิญสัมผัสประสบการณ์ โอ-ร่อย และเพลิดเพลินไปกับรสชาติอันล้ำเลิศของอาหารจานพิเศษ เมนูมากุโระ แบบฉบับท็อปเชฟ ภายใต้แคมเปญ โออิชิ 25 ปี ฉลองอย่างราชา ได้แล้ววันนี้ ที่ โออิชิ แกรนด์ ทั้งสองสาขา โออิชิ แกรนด์ สาขา สยามพารากอน ชั้น 4 โซน ฟู้ด พาสสาจ (ฝั่งนอร์ธ) และ โออิชิ แกรนด์ สาขา เมกาบางนา ชั้น 2 โซน เมกา ฟู้ดวอล์ค โค้งสุดท้าย !!! ตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2567 – 30 กันยายน 2567 (หรือจนกว่าสินค้าจะหมด) ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติม คลิกแฟนเพจโออิชิฟู้ดสเตชั่น : FACEBOOK.COM/OISHIFOODSTATION
หมายเหตุ : สำหรับลูกค้าแพ็กเกจ “PREMIUM Buffet” 1,059++ เลือกรับเมนูพิเศษ 1 รายการ (จาก 2 รายการ) ระหว่าง เมนู (1) Maguro Tartar Sanuki Udon Tsukemen, หรือ (2) Maguro Tataki Pesto Sauce ลูกค้าแพ็กเกจ “PLATINUM Buffet” 1,659++ เลือกรับเมนูพิเศษ 2 รายการ (จาก 3 รายการ) ระหว่าง เมนู (1) Maguro Tartar Sanuki Udon Tsukemen, (2) Maguro Tataki Pesto Sauce, หรือ (3) Hon Maguro Vol Au Vent และ ลูกค้าแพ็กเกจ “PRESTIGE Buffet” 2,659++ เลือกรับเมนูพิเศษ เมนู (1) Maguro Tartar Sanuki Udon Tsukemen, (2) Maguro Tataki Pesto Sauce, หรือ (3) Hon Maguro Vol Au Vent ได้ทุกเมนู และไม่จำกัดจำนวนการสั่ง
ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี จับมือ พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จํากัด มหาชน ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีประสบการณ์มากว่า 30 ปี สนับสนุนให้คนไทยได้เป็นเจ้าของบ้านที่มีคุณภาพ โลเคชันดี ในราคาที่เอื้อมถึง มอบดีลสินเชื่อบ้านสุดพิเศษ ดอกเบี้ย 0% ต่อปี ผ่อนสบายล้านละ 2,800 บาท ได้นานถึง 2 ปี
นายอธิศ วงศ์ศศิธร (ขวา) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าผลิตภัณฑ์สินเชื่อมีหลักประกัน ทีเอ็มบีธนชาต และ นายโดม ศิริโสภนา (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการ พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จำกัด มหาชน ร่วมเติมเต็มความฝันให้คนไทยได้เป็นเจ้าของบ้านคุณภาพดี ในราคาที่เอื้อมถึง จัดแคมเปญสินเชื่อบ้าน ร่วมมอบโปรโมชันสุดพิเศษด้วยอัตราดอกเบี้ยที่คุ้มค่า 0% ต่อปี นาน 2 ปีแรก ผ่อนสบาย ล้านละ 2,800 บาทต่อเดือน และสามารถเลือกผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึง 35 ปี ฟรี ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์และค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย เมื่อกู้ซื้อบ้านกับสินเชื่อบ้านทีทีบี พร้อมทั้งรับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมจาก พีซแอนด์ลีฟวิ่ง อาทิ รับค่าตกแต่งเพิ่มเติมสูงสุด 500,000 บาท สำหรับผู้ที่จองและทำสัญญา พร้อมจดทะเบียนจำนอง บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม ในเครือพีซแอนด์ลีฟวิ่ง ภายใต้ 5 โครงการ CHER สุขสวัสดิ์ – พุทธบูชา, CHER WESTVILLE ราชพฤกษ์, CHER ราชพฤกษ์ - พระราม 5, CHEREA VICINITY ราชพฤกษ์ – เจษฎาบดินทร์ และ CHERENE กรุงเทพกรีฑา - ร่มเกล้า ตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 กันยายน 2567 นี้
ทีทีบี ยังคงเดินหน้ามอบบริการและประสบการณ์ที่ดีที่ช่วยให้คนไทยเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัย เพื่อสานฝันการมีบ้านเป็นของตัวเอง พร้อมหนุนให้กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว เพื่อชีวิตทางการเงินที่ดี ทั้งในวันนี้และอนาคต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ เจ้าหน้าที่ประจำโครงการ พีซแอนด์ลีฟวิ่ง หรือ สมัครสินเชื่อผ่านช่องทางออนไลน์ ได้ที่ https://www.ttbbank.com/link/new-home-pr
***หมายเหตุ: กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว: อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.01% - 5.22% ต่อปี (MRR ปัจจุบัน 7.83% ต่อปี ณ วันที่ 3 ต.ค. 66) ● ผ่อนล้านละ 2,800 บาท คำนวณจากวงเงินกู้ 1,000,000 บาท ระยะเวลา 30 ปี ในอัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี นาน 2 ปีแรก ● อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร ● เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด
ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ระดมผู้เชี่ยวชาญและพันธมิตรจากภาครัฐและเอกชน ร่วมแชร์ความรู้ด้าน ESG และผลกระทบของธุรกิจจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม หนุนส่งเสริมผู้ประกอบการไทยยกระดับอุตสาหกรรมเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำที่เติบโตอย่างยั่งยืน โดยนำประสบการณ์จากภาคเอกชนที่พัฒนาองค์กรด้วยแนวคิด ESG ที่มีทั้งความท้าทายและโอกาสของธุรกิจไทยในเวทีโลก มาปรับใช้ในองค์กรได้อย่างตรงจุด ทั้งลดต้นทุน การใช้พลังงาน และสร้างภาพลักษณ์ที่ดี

ในงานสัมมนา “ttb Business Green Transition Forum 2024” นายศรัณย์ ภู่พัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบีธนชาต ได้ตอกย้ำว่า ทีทีบีเป็นธนาคารที่ผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยหันมาปรับตัวและเปลี่ยนผ่านก้าวสู่ธุรกิจสีเขียวอย่างต่อเนื่อง เพราะเล็งเห็นถึงโอกาสในการต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน แม้ว่าจะมีความท้าทายจากนโยบายหรือกฎระเบียบใหม่ ๆ จากประเทศผู้นำเข้าสินค้า ซึ่งมีความจำเป็นที่ผู้ประกอบการไทยต้องเรียนรู้ และเร่งปรับองค์กร เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่องค์กรคาร์บอนต่ำ จึงได้ระดมผู้เชี่ยวชาญทั้งจากภาครัฐและเอกชนมาแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ เพื่อให้ผู้ประกอบการธุรกิจนำแนวคิด ESG ไปปรับใช้กับองค์กรได้อย่างตรงจุดและง่ายขึ้น

นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมากในประเทศไทย ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ โดยภาคการเกษตรมีความเปราะบางและได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่มีศักยภาพในการรับมือได้น้อยกว่าสาขาอื่นมาก สำหรับร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ พ.ร.บ.Climate Change ที่จะมีผลบังคับใช้ในอนาคตนั้น จะทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจ สังคมคาร์บอนต่ำและยั่งยืน โดยในส่วนของภาคอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการสามารถเตรียมความพร้อมในการประเมินองค์กรเพื่อจัดทำข้อมูลปริมาณก๊าซเรือนกระจก และแผนการลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อปรับเปลี่ยนการทำธุรกิจให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐ และเทรนด์การค้าระดับสากล ซึ่งขณะนี้ผู้ประกอบการเองนับว่ามีความตื่นตัวในการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจสีเขียว และจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนในการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี หากทำได้จะนำไปสู่การลดต้นทุนให้กับธุรกิจได้อย่างมีนัยยะสำคัญ และที่สำคัญเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องดำเนินการร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้ไปสู่เป้าหมายที่กำหนดภายใต้เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 30-40% ในปี 2573

ขณะที่นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยว่า 3 ปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อทิศทางการลงทุนของไทยในอีก 5 ปีข้างหน้า ประกอบด้วย 1) ประเด็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และการมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality & Net Zero 2) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ซึ่งทำให้เกิดการแบ่งขั้วและส่งผลต่อการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานของการลงทุนทั้งระบบ 3) กติกาภาษีใหม่ของโลก (Global Minimum Tax) ซึ่งส่งผลต่อการวางแผนการลงทุนและการเลือกแหล่งลงทุนของบริษัทต่างชาติขนาดใหญ่ ในส่วนของบีโอไอได้ผลักดันให้ภาคธุรกิจมุ่งลงทุนสู่ "ความยั่งยืน" ครอบคลุมทุกภาคอุตสาหกรรม โดยขอบเขตธุรกิจที่บีโอไอให้การส่งเสริมนั้นค่อนข้างกว้างมากกว่า 400 กิจการ ครอบคลุมตั้งแต่ภาคเกษตร ภาคการผลิต และภาคบริการ ซึ่งแต่ละอุตสาหกรรมมีแนวทางการส่งเสริมครบวงจร โดยมีเงินลงทุนขั้นต่ำเพียงแค่ 1 ล้านบาทก็มาขอรับการส่งเสริมได้ หรือ ถ้าเป็นผู้ประกอบการ SMEs เงินทุนขั้นต่ำเพียง 500,000 บาท ก็สามารถเข้าสู่เกณฑ์การพิจารณาได้ ซึ่งบีโอไอมีมาตรการที่จะช่วยภาคอุตสาหกรรมในการลดก๊าซเรือนกระจก ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไปสู่ “Smart & Sustainable Industry” ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สำหรับการเสวนา “เส้นทางการเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ความยั่งยืน โอกาสของธุรกิจไทย” นายสมิทธิพร เศรษฐปราโมทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด ยอมรับว่า Climate Change สำคัญและส่งผลกระทบกับหลากหลายธุรกิจ โดยบ้านปู เน็กซ์ ดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจแบตเตอรี่ ธุรกิจซื้อขายไฟฟ้า ธุรกิจอี-โมบิลิตี้ และธุรกิจจัดการพลังงาน โดยมุ่งมั่นเป็นองค์กรสีเขียว และพร้อมเป็นที่ปรึกษาด้าน Net Zero Solutions ให้แก่ผู้ประกอบการสามารถเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจสีเขียวได้อย่างครบวงจร โดยจับมือกับพาร์ทเนอร์ที่มีนวัตกรรมและความเชี่ยวชาญระดับโลกที่จะนำเทคโนโลยีและ AI มาใช้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ และย้ำว่าผู้ประกอบการต้องเร่งปรับเปลี่ยนวิธีในการทำธุรกิจ เพราะบริษัทที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากจะเสียปรียบในการแข่งขันด้านธุรกิจและการตลาดในอนาคต

ด้านนายพรเทพ ศุภธราธาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโน พรีคาสท์ จำกัด บริษัทในเครือของกลุ่มบริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ มองว่าการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม จะต้องทำทั้งองค์กร จึงมีการให้ความรู้แก่พนักงานและลูกค้าเพื่อเข้าใจถึงคุณค่าของ ESG และให้ความสำคัญกับการลดคาร์บอนด้วยการนำนวัตกรรมมาใช้ เช่น การใช้เทคโนโลยีคาร์บอนเคียว ที่นำคาร์บอนมาผสมกับคอนกรีต เพื่อลดปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ และเพิ่มความแข็งแกร่งให้ผนังพรีคาสท์ การใช้โซลาร์เซลล์ รวมไปถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่ดูแลสิ่งแวดล้อม และย้ำว่าการเปลี่ยนผ่านธุรกิจไม่ใช่การลงทุนเพียงอย่างเดียว แต่อาจใช้วิธีการลดต้นทุน เพื่อให้ได้มาซึ่งการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญคือ ต้องมีการสื่อสารขององค์กรไปในทางเดียวกัน โดยตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่าต้องการลดคาร์บอนเท่าใด เพื่อนำมาปรับเปลี่ยนกระบวนการลดต้นทุนเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งมองผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ที่สามารถนำมาช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมได้

ขณะที่นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บรรจุภัณฑ์บนโลกกว่าร้อยละ 80 ทำจากพลาสติกหรือกระดาษ โดยบริษัทฯ เริ่มต้นจากการผลิตกระดาษและบรรจุภัณฑ์กระดาษ และต่อมาได้มีการเพิ่มบรรจุภัณฑ์พลาสติก เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ครบวงจรมากขึ้น โดยในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา กระแส ESG เริ่มมากขึ้นทั้งในส่วนพฤติกรรมผู้บริโภค กฎหมายและข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อมที่มีความเข้มข้นขึ้น บริษัทได้ยึดหลัก “ESG 4 Plus: มุ่ง Net Zero, Go Green, Lean เหลื่อมล้ำ, ย้ำร่วมมือ Plus การดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส” โดยให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานเป็นพลังงานหมุนเวียน การใช้เทคโนโลยีมาปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต การลงทุนวิจัยและพัฒนานวัตกรรมโดยใช้เงิน 0.5% ของรายได้จากการขาย ซึ่งผลที่ได้คือ บรรจุภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สามารถนำไปรีไซเคิลได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและการดำเนินการด้าน ESG ของบริษัท พร้อมทั้งแนะนำผู้ประกอบการที่ต้องการลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจสีเขียว ให้เริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ ก่อน เช่น การแยกขยะหรือการประหยัดพลังงาน หรือหากต้องการลงทุนในเทคโนโลยีที่สูงขึ้นแล้วลงทุนเพียงบริษัทเดียวไม่คุ้มค่า สามารถแชร์การลงทุนร่วมกับพาร์ทเนอร์ได้ เพื่อให้ธุรกิจสามารถเปลี่ยนผ่านและไปต่อได้
ทีทีบี พร้อมเป็นพันธมิตรเคียงข้างลูกค้าธุรกิจ และสนับสนุนผู้ประกอบการที่ต้องการเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ธุรกิจสีเขียว (Green Transition) ตามกรอบการดำเนินงานในการเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืน ภายใต้แนวคิด B+ESG เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้า คู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจและสังคมสามารถดำเนิน “ชีวิต” และ “ธุรกิจ” ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล (SCG International) เปิดตัวโครงการนวัตกรรม “ไมโครกริด บางซื่อคอมเพล็กซ์” (Microgrid Bangsue Complex) นำทีมโดยผู้บริหารเอสซีจี นายวิโรจน์ รัตนชัยสิทธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล และนายอบิจิต ดัตต้า กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมกับนายพูนพัฒน์ โลหารชุน ประธานบริษัทอีโวลท์ เทคโนโลยี (Evolt Technology) และนางสาวพิชชารีย์ กีรติธากุล นักพัฒนานวัตกรรมอาวุโส สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) โดยโครงการนี้มุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานทดแทน ด้วยการติดตั้งลานชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Carpark) และระบบจัดการพลังงานภายในอาคาร (Energy Management Software) เพื่อบริหารจัดการระบบพลังงานไฟฟ้าที่เอสซีจี สำนักงานใหญ่บางซื่อ ให้เป็นระบบไมโครกริด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งจากการติดตั้งลานชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ด้วยขนาดกำลังการผลิต 735.9 kWp คาดว่าจะทำให้มีการใช้พลังงานทดแทนภายในเอสซีจี สำนักงานใหญ่บางซื่อ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 18 จากปัจจุบันที่มีการใช้อยู่ที่ร้อยละ 10

โครงการไมโครกริด บางซื่อคอมเพล็กซ์ ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เนื่องจากสามารถเชื่อมโยงเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานและการควบคุมขั้นสูงเข้าด้วยกัน ถือเป็นการนำระบบจัดการพลังงานภายในอาคารมาใช้ได้อย่างครบวงจร ในด้านการจับมือเลือกบริษัทอีโวลท์ เทคโนโลยี มาติดตั้งจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถดึงข้อมูลการใช้พลังงานภายในอาคารและการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ได้แบบเรียลไทม์ด้วยระบบ API (Application Program Interface) และมีคุณสมบัติจัดการพลังงานขั้นสูง เช่น การจัดการโหลดแบบไดนามิก การรวมพลังงานทดแทน ตอบสนองความต้องการในการทำงานร่วมกับระบบไมโครกริด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบโดยรวม

การเปิดตัวโครงการดังกล่าวนับเป็นก้าวสำคัญของเอสซีจี ที่จะสร้างโอกาสและเพิ่มศักยภาพในการนำพลังงานสะอาดเข้ามาใช้งานภายในองค์กรได้มากยิ่งขึ้น พร้อมมุ่งสู่การสร้างสังคม Net Zero ตามเป้าหมายองค์กร โดยนอกจากจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการพลังงาน และสร้างประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ของเอสซีจีแล้ว ยังสามารถต่อยอดขยายผลร่วมกับองค์กรอื่น ๆ ที่มุ่งหวังจะใช้พลังงานสะอาดขับเคลื่อนการทำธุรกิจสีเขียวเพื่อสิ่งแวดล้อมยั่งยืน
เคทีซีร่วมกับมาสเตอร์การ์ด (ประเทศไทย) เปิดตัวไกด์บุ๊ค KTC Culinary Collective เล่มที่ 5 ภายใต้แนวคิด “ลิ้มรสความพิเศษเหนือระดับ” (Savor the Exceptional) โดยคัดสรรร้านอาหารระดับไฟน์ไดน์นิ่ง และแคชชวลไฟน์ไดน์นิ่ง (Fine Dining & Casual Fine Dining) กว่า 140 ร้านค้าในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ อาทิ เชียงใหม่ ภูเก็ต และประจวบคิรีขันธ์ หวังขยายฐานสมาชิกกำลังซื้อสูง พร้อมกระตุ้นยอดใช้จ่ายในหมวดร้านอาหารพรีเมียมด้วยสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี มาสเตอร์การ์ด ณ ร้านอาหารที่ร่วมรายการ ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 – วันที่ 31 ธันวาคม 2567

นางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เคทีซีได้วางกลยุทธ์การตลาดในการขยายฐานกลุ่มสมาชิกที่มีกำลังซื้อสูงและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารระดับพรีเมียม ด้วยการคัดสรรพันธมิตรร้านอาหารที่มีคุณภาพทั้งด้านรสชาติและความเป็นเอกลักษณ์ จัดทำไกด์บุ๊ค KTC Culinary Collective ร่วมกับมาสเตอร์การ์ด (ประเทศไทย) เพื่อมอบสิทธิพิเศษให้สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี มาสเตอร์การ์ด ได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ประทับใจและคุ้มค่าควบคู่กัน สำหรับในปีนี้ เคทีซียังคงเดินหน้ากับกลยุทธ์ดังกล่าว เปิดตัวไกด์บุ๊ค KTC Culinary Collective เล่มที่ 5 ภายใต้แนวคิด “ลิ้มรสความพิเศษเหนือระดับ” (Savor the Exceptional) รวบรวมร้านอาหารระดับไฟน์ไดน์นิ่ง และแคชชวลไฟน์ไดน์นิ่ง (Fine Dining & Casual Fine Dining) มากกว่า 140 ร้านค้าทั้งในกรุงเทพมหานคร อาทิ บลู บาย อลัง ดูคาส / เคเดนซ์ บาย แดน บาร์ค / ชิม บาย สยามวิสดอม / กา / ฤดู / นว ไทย คูซีน / เรสเตอรองต์ โพทง และ เรสเตอรองต์ เรโซแนนซ์ รวมถึงหัวเมืองใหญ่ อาทิ เชียงใหม่ ภูเก็ต และประจวบคิรีขันธ์ โดยไม่เพียงแต่นำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับร้านอาหารต่างๆ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเบื้องหลังความอร่อย ปรัชญาและแนวคิดของเชฟแต่ละท่านอีกด้วย ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดไกด์บุ๊ค KTC Culinary Collective เล่มที่ 5 ฟรีได้ตามลิงค์นี้ https://www.ktc.co.th/pub/media/newsletter/Culinary-Collective-Vol-5.pdf

สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี มาสเตอร์การ์ด รับสิทธิพิเศษกับร้านอาหารที่ร่วมรายการ ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 – วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ดังนี้
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE 02 123 5000 หรือเว็บไซต์ https://www.ktc.co.th/promotion/dining/international/culinary-collective สมัครบัตรเครดิตได้ที่ศูนย์บริการสมาชิก เคทีซี ทัช ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือคลิกลิงค์ https://ktc.today/apply-card
หมายเหตุ : บัตรเครดิตใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนดจะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อ
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมมือกับ สยามพิวรรธน์ อคาเดมี (Siam Piwat Academy) บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหารโกลบอลเดสติเนชั่น อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ ไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอ้าท์เล็ต กรุงเทพ เปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยกับหลักสูตร WORLD CLASS SHOPPING MALL ECOSYSTEM DEVELOPMENT: Managing Urban and Facility for Sustainable Society of the Future เพื่อพัฒนาองค์ความรู้สู่ความเป็นเลิศด้านการบริหารศูนย์การค้าระดับโลกสู่ความยั่งยืน สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในธุรกิจการค้าปลีกและยกระดับความสามารถของคนไทยให้พร้อมแข่งขันบนเวทีโลก ตอกย้ำแนวคิดการเป็นแพลตฟอร์มแห่งโอกาสสำหรับทุกภาคส่วน ผ่านการเรียนรู้หลักการและแนวคิดจากนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศและนานาชาติ สู่การเข้าใจถึงบทบาทของศูนย์การค้ากับเศรษฐกิจและความสัมพันธ์กับเมือง และศึกษาดูงานเบื้องหลังการทำงานจริงจากกรณีศึกษาศูนย์การค้าระดับโลก
ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนถึงความสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้และผู้นำในการบริหารจัดการศูนย์การค้าระดับโลกสู่ความยั่งยืน (Facility Management for Sustainability) เพื่อสร้างผลกระทบ (Impact) ด้านการจัดการ ESG ต่อการพัฒนาศูนย์การค้าไทยให้เติบโตไปพร้อมกัน รวมทั้งให้ผู้ประกอบการได้เข้าใจถึงการบริหาร Shopping mall ทั้งระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่มีนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และบุคลากรทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือและตระหนักกับความสำคัญของการจัดการร่วมกัน เนื่องจาก ในปัจจุบัน ศูนย์การค้าไทยติดอันดับหนึ่งในศูนย์การค้าที่ดีที่สุดในโลก เป็นจุดหมายปลายทางที่ถูกปักหมุดให้เป็นสถานที่ที่ต้องมาเยือนสำหรับนักเดินทางจากทั่วโลก ศูนย์การค้าจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของเมือง ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม คณะสถาปัตย์ จุฬาฯ ร่วมกับสยามพิวรรธน์ ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำระดับโลก เล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้ เพื่อพัฒนาผู้นำการบริหารจัดการศูนย์การค้าระดับโลกสู่ความยั่งยืน (Facility Management for Sustainability) เพื่อให้ศูนย์การค้าไทยสามารถร่วมสร้างรากฐานเศรษฐกิจและเติบโตไปพร้อมกับเมืองอย่างยั่งยืน

หลักสูตร World Class Shopping Mall Ecosystem Development: Managing Urban and Facility for Sustainable Society of the Future เป็นโครงการอบรมระยะสั้นเฉพาะทาง จัดขึ้นทุกวันเสาร์ ระหว่างวันที่ 14 ก.ย. – 2 พ.ย. 2567 จัดกิจกรรมโดยศูนย์ออกแบบเพื่อสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU D4S)
เนื้อหาหลักสูตรออกแบบพิเศษ ภายใต้แนวคิดการบริหารย่านศูนย์การค้า จากตึกสู่ย่าน จากย่านสู่เมือง สร้างความเข้าใจระบบนิเวศธุรกิจการค้า ตั้งแต่การริเริ่มโครงการ รู้ทันเทรนด์พัฒนาธุรกิจศูนย์การค้า วิธีการและแนวทางดำเนินธุรกิจการค้าระดับโลก การออกแบบศูนย์การค้า การบริหารทรัพยากรกายภาพ งานบริหารอาคาร การดูแลรักษาระบบวิศวกรรมอาคาร ตลอดจนการจัดการย่านการค้าอย่างมืออาชีพ หลักสูตรได้รับความร่วมมือจากนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น University College London และ Zurich University of Applied Sciences โดยมีคณาจารย์ วิทยากร และผู้นำ ผู้มีประสบการณ์ชั้นนำจากไทยและต่างประเทศ อาทิ Prof. Michel Pitt และ Daniel Von Felten และ ผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญจาก บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด หลักสูตรนี้เหมาะสำหรับ ผู้ประกอบการธุรกิจศูนย์การค้า นักพัฒนาโครงการ นักพัฒนาธุรกิจ ผู้จัดการโครงการ ผู้จัดการอาคาร สถาปนิก วิศวกรประจำอาคาร
โดยการเปิดตัวหลักสูตรครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการศูนย์การค้า และ Community mall ทั่วประเทศ ซึ่งความสำเร็จของโครงการที่คาดว่าจะได้รับนอกจากจะเพื่อพัฒนาบุคลากร ยกระดับมาตรฐานทางวิชาชีพด้านการดำเนินธุรกิจศูนย์การค้าเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในระดับสากลแล้ว คณะสถาปัตย์จุฬาฯและสยามพิวรรธน์อคาเดมี มีแผนการพัฒนาหลักสูตรร่วมกันในระยะยาว เพื่อต่อยอดองค์ความรู้ด้านวิชาการและวิชาชีพ ผนึกกำลังระหว่างสถาบันการศึกษาและภาคเอกชน เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมสู่ความยั่งยืน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์สรายุทธ ทรัพย์สุข คณบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มีนโยบายในการขับเคลื่อนการเรียนรู้นอกหลักสูตรมากขึ้น เพื่อให้ตอบสนองกับอุตสาหกรรมและความต้องการของตลาดแรงงานในระบบเศรษฐกิจของประเทศ สำหรับโครงการการจัดอบรมหลักสูตร World Class Shopping Mall Ecosystem Development ร่วมกับสยามพิวรรธน์ อคาเดมี เพื่อมุ่งหวังที่จะยกระดับในเรื่องของการต่อยอดองค์ความรู้ Upskill & Reskill ให้กับคนที่อยู่ในตลาดแรงงาน เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในอุตสาหกรรมของศูนย์การค้า ที่มีการออกแบบและการจัดการอาคารของสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ที่มีความสลับซับซ้อนเป็นอย่างมากในเมือง โดยเฉพาะการบริหารจัดการศูนย์การค้าในประเทศไทยให้มีการพัฒนาและสามารถอยู่ร่วมกันกับการเติบโตของเมืองอย่างยั่งยืน มิได้สร้างปัญหาและในขณะเดียวกันก็ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของภูมิภาคของเมืองในระดับย่านให้เกิดการเจริญเติบโตมากยิ่งขึ้นอย่างเข้มแข็ง ดังนั้นการมีคนจำนวนมากอยู่ในศูนย์การค้า บุคลากรที่บริหารศูนย์การค้ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในพื้นฐานเรื่องระบบนิเวศศูนย์การค้า (Shopping Mall Ecosystem) ซึ่งหมายรวมถึงบทบาทและความเชื่อมต่อของศูนย์การค้ากับชุมชนและเมือง การออกแบบองค์ประกอบต่างๆ ที่ตอบสนองต่อพฤติกรรมของประชาชนและลูกค้า การบริหารจัดการนอกเวลา เวลาปิดเปิด การออกแบบที่เข้าใจความต้องการของผู้ใช้งาน ตลอดจนจิตวิทยาการบริหารงานต่างๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาและให้บริการประชาชนได้อย่างราบรื่น ด้วยการนี้ คณะสถาปัตย์ฯ จุฬาฯ จึงต้องการสร้างความรู้ความเข้าใจ เพื่อผลิตคนเข้าสู่อุตสาหกรรมด้านศูนย์การค้าของประเทศ”

คุณณัฐวุฒิ เกียรติไชยากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานทรัพยากรบุคคล บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า สยามพิวรรธน์ เป็นผู้พัฒนาโครงการระดับโลกที่ได้ยึดมั่นในหลักการทำธุรกิจสู่ความยั่งยืนมาโดยตลอด และให้ความสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรทั้งภายในและภายนอกองค์กรอย่างต่อเนื่อง โดยครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีทีได้ร่วมผนึกกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนและยกระดับความรู้ความสามารถของบุคลากรในธุรกิจค้าปลีกของประเทศไทยให้ก้าวไปอีกขั้น โดยการสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญในสายงานที่เกี่ยวข้องที่จะมาให้องค์ความรู้ต่างๆ พร้อมทั้งเปิดพื้นที่ศูนย์การค้าเพื่อสร้างประสบการณ์จริงเสมือนการเรียนรู้ที่ไม่มีขีดจำกัด สะท้อนถึงการเป็นแพลตฟอร์มเพื่อการเติบโตที่ดีและมีประสิทธิภาพสำหรับทุกภาคส่วน (Well-growing platform) ของสยามพิวรรธน์อย่างชัดเจน ภายใต้โครงการสยามพิวรรธน์ อคาเดมี (SIAM PIWAT Academy) สถาบันการเรียนรู้และการบริหารจัดการที่นำองค์ความรู้ด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีก แลกเปลี่ยนกับภาคการศึกษาไทย
ส่องไฮไลต์หลักสูตร:
โครงการนี้จัดอบรม ทุกวันเสาร์ ในระหว่างวันที่ 14 ก.ย. – 2 พ.ย. 2567 เวลา 9:00 - 16:00 น. จำนวนรวม 8 วัน ระยะเวลา 64 ชั่วโมง ค่าใช้จ่ายในการอบรม 35,000 บาท/ท่าน สำหรับผู้ที่สนใจเปิดรับสมัครแล้ว ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2567 โปรดติดตามรายละเอียดได้ที่ Facebook: CUD4S สอบถามข้อมูลได้ที่ Line OA: @cud4s โทร 02-218-4316 Email: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.