

นายธีรัชย์ อัตนวานิช ประธานกรรมการ และนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน พร้อมด้วยคณะกรรมการ และผู้บริหาร ร่วมกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้เสีย (บวร) "ปันสุข ปันน้ำใจ ให้สังคม" ณ โรงเรียนบ้านคลองดินดำ ต.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ในโอกาสเดินทางมาประชุมคณะกรรมการธนาคารออมสินและผู้บริหารระดับสูงสัญจรในพื้นที่ ต.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

โดยได้ส่งมอบการปรับปรุงอาคารเรียน สนามเด็กเล่น อุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา ถังขยะแยกประเภท ให้กับโรงเรียนบ้านคลองดินดำ พร้อมมอบเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ ในโครงการคอมพิวเตอร์เพื่อสังคม จำนวน 20 เครื่อง เพื่อส่งเสริมและพัฒนาให้เด็กนักเรียนได้รับโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยี ข้อมูลข่าวสารอย่างเท่าเทียม อีกทั้ง มอบทุนการศึกษา เครื่องอุปโภค-บริโภค แว่นตาให้แก่ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ และผู้สูงอายุ ตลอดจนถวายปัจจัยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้แก่วัดคลองดินดำ เมื่อเร็ว ๆ นี้
เมื่อเร็วๆ นี้ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง ได้รับผลประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดย MEA ได้รับผล 97.05 คะแนน สูงที่สุดอันดับ 1 ในกลุ่มรัฐวิสาหกิจสาขาพลังงาน และเป็น TOP 3 ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย
ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) ซึ่งรางวัลนี้ ถือเป็นสิ่งที่ยืนยันความสำเร็จของการดำเนินงาน ภายใต้ค่านิยม CHANGE G: Governance โปร่งใสคุณธรรม จากหน่วยงานภาครัฐที่เข้ารับการประเมินทั้งสิ้น 8,325 หน่วยงาน
MEA ในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงมหาดไทยที่มุ่งเน้นการดำเนินงานด้วยความสุจริตโปร่งใส เป็นธรรม และประพฤติตนเป็นต้นแบบที่ดี รวมทั้งเสริมสร้างวัฒนธรรมในการไม่ยอมให้บุคคลใดกระทำการทุจริต ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต โปร่งใส พร้อมส่งมอบคุณภาพงานบริการที่ดีแก่ผู้ใช้ไฟฟ้า ทั้งนี้ MEA ขอขอบคุณ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภายนอกและภายในเป็นอย่างยิ่งที่มีส่วนร่วมและให้ความร่วมมือในการประเมินผล ITA ในครั้งนี้
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ โดยแบรนด์ CP และสายการบินเวียตเจ็ทไทยแลนด์ ลงนามความร่วมมือในการพัฒนาเมนูอาหารพร้อมรับประทาน กับ Sky Cafe เพื่อสร้างประสบการณ์การเดินทางให้แก่ผู้โดยสารของสายการบินเวียตเจ็ทไทยแลนด์ ด้วยอาหารคุณภาพ รสชาติอร่อย ซึ่งพัฒนาสูตรอาหารเฉพาะจากฝีมือเชฟผู้เชี่ยวชาญระดับโลกของซีพีเอฟ นำร่อง 5 เมนูเด่น ได้แก่ ข้าวกะเพราไก่ ข้าวแกงเขียวหวานไก่ ข้าวไก่เทอริยากิ บะหมี่ไก่ และข้าวผัดมังสวิรัติ เริ่มจำหน่ายวันที่ 5 สิงหาคม 2567 ครอบคลุมจุดหมายมากกว่า 50 เส้นทางบินทั่วเอชีย โดยมี นายหลวง ทรุง อัน รองประธานกรรมการบริหาร พร้อมด้วย นายปิ่นยศ พิบูลสงคราม ผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์ สายการบินเวียตเจ็ทไทยแลนด์ นางศุภรา ศรีบูรณ์ ผู้อำนวยการ ธุรกิจการค้าในประเทศ และนางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง ซีพีเอฟ ร่วมในพิธีลงนาม
นางศุภรา ศรีบูรณ์ ผู้อำนวยการ ธุรกิจการค้าในประเทศ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ความร่วมมือกับสายการบินเวียตเจ็ทไทยแลนด์ครั้งนี้เป็นการต่อยอดจากธุรกิจในประเทศเวียดนาม และขอขอบคุณที่ได้รับความไว้วางใจในคุณภาพสินค้าของซีพีเอฟ จึงประสานกับทีมศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหาร ซีพีเอฟ (CPF RD Center) ในการศึกษาและพัฒนาเมนูที่เหมาะสำหรับการบริการบนเครื่องบิน ภายใต้โจทย์เป็นเมนูที่มีความหลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย และที่สำคัญคือ รสชาติต้องอร่อย ถูกปากผู้โดยสารทั้งไทยและต่างชาติ จนได้เป็น 5 เมนูเด่น สำหรับ เมนูข้าวกะเพราไก่ ยังเป็นเมนูที่ได้รับรางวัล 'Superior Taste Award ปี 2023' การันตีด้วยเชฟระดับนานาชาติกว่า 200 ท่าน

“ซีพีเอฟ มุ่งมั่นพัฒนาอาหารที่มีคุณภาพและความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลก โดยบริษัทฯ ให้ความสำคัญต่อการประยุกต์ใช้นวัตกรรม (INNOVATION) และเทคโนโลยีที่ทันสมัยในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิตอาหาร เพื่อส่งมอบอาหารที่สะอาด ปลอดภัย และสามารถคงความสดเหมือนได้รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดี ส่งผลให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีขึ้น (WELLNESS) อย่างวัตถุดิบที่เลือกใช้ คือ เนื้อไก่สด CP ที่มีความปลอดภัยสูงสุด ปราศจากสารตกค้าง ตรวจสอบย้อนกลับได้ และเป็นแบรนด์ไทยหนึ่งเดียวที่ได้การรับรองมาตรฐานระดับอวกาศ ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงสุด ระดับเดียวกับนักบินอวกาศรับประทาน ซึ่งตลอดห่วงโซ่คุณค่าของซีพีเอฟมาจากขั้นตอนและกระบวนการผลิตเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (PLANET) เพื่อให้ลูกค้าสายการบินเวียตเจ็ทไทยแลนด์ได้อิ่มอร่อยกับเมนูอาหารที่ดีต่อกาย ดีต่อใจ และดีต่อโลก” นางศุภรา กล่าว

ด้าน นายปิ่นยศ พิบูลสงคราม ผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์ สายการบินเวียตเจ็ทไทยแลนด์ เปิดเผยว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นพันธมิตรกับซีพีเอฟ เพื่อยกระดับคุณภาพของอาหารบนเที่ยวบิน โดยเรามุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์การเดินทางที่เป็นเลิศแก่ผู้โดยสาร ด้วยความคิดสร้างสรรค์อันยอดเยี่ยมและความเชี่ยวชาญในการรังสรรค์เมนูอาหาร ทำให้มั่นใจว่าการนำเสนอเมนูใหม่ๆ จะสร้างความประทับใจเหนือความคาดหมายให้แก่ผู้เดินทาง ควบคู่ไปกับการสร้างมาตรฐานใหม่ของบริการอาหารและเครื่องดื่มบนเที่ยวบินอีกด้วย
“สำหรับผู้โดยสารที่มีไฟล์ทบินในวันที่ 5 สิงหาคม เป็นต้นไป จะได้พบกับเมนูความอร่อยที่หลากหลายจากแบรนด์ CP ซึ่งพร้อมให้บริการตลอดเที่ยวบิน จนถึงจุดหมายปลายทาง โดยสามารถสั่งจองล่วงหน้าได้ที่ Website เวียตเจ็ทแอร์ดอทคอม พร้อมบัตรโดยสาร หรือที่ Manage Booking ภายหลังการจองบัตรโดยสาร รวมถึงแจ้งกับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินในแต่ละไฟล์ท” นายปิ่นยศ กล่าวเพิ่มเติม

สำหรับ ความร่วมมือฯ ในครั้งนี้ ยังต่อยอดไปเฟสที่ 2 โดยซีพีเอฟได้พัฒนาอาหารเพิ่มเติมอีก 2 เมนู คือ เส้นใหญ่ผัดซีอิ้วและเพนเนไวท์ซอส มีแผนจะวางจำหน่ายในเดือนตุลาคม 2567 อย่างไรก็ตาม เตรียมพบกับเมนูความอร่อยนานาชาติอีกหลายหลายเมนูจากแบรนด์ CP ที่จะมาเติมความสุขให้ทุกการเดินทางไปกับสายการบินเวียตเจ็ทไทยแลนด์
บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ขอเชิญชวนภาคธุรกิจและบุคคลทั่วไปร่วมงาน “InterCare Asia 2024” (อินเตอร์แคร์ เอเชีย) งานแสดงสินค้าและนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่สำหรับคนทุกวัยครบวงจร ครั้งที่ 9 ซึ่งปีนี้จัดควบคู่กับงาน "Wellness & Travel Fair 2024" ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยสมาคมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพไทย โดยได้รวบรวมสินค้าและบริการเพื่อสุขภาพที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนทุกวัยในปัจจุบัน อาทิ ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลสุขภาพและความงาม อาหารเครื่องดื่มสุขภาพ ศูนย์ดูแลสุขภาพ สปา โรงแรม สินค้าและบริการรองรับผู้สูงวัย ฯลฯ เตรียมความพร้อมเพื่อคุณภาพชีวิตที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ มีกิจกรรมการเจรจาธุรกิจ บริการให้คำปรึกษาจากแพทย์และตรวจสุขภาพฟรีโดยโรงพยาบาลชั้นนำ การสัมมนาและเวิร์คช็อปจาก O-lunla, Go Mamma และหน่วยงานอื่น ๆ อาทิ เสวนาพิเศษ "วิธีฮีลใจ ในวันที่อะไร ๆ ก็ไม่เป็นใจ" จากคุณหมอเจี๊ยบ ลลนา, ฟังเพลงไพเราะพร้อมพูดคุยหัวข้อ "สูงวัยสุขใจ ใช้ชีวิตแบบชื่นบาน" กับแม่เม้า สุดา ชื่นบาน, เสวนา “มิตรจริงหรือมิจจี้ - เทคนิคสแกนคนร้ายในวันที่มิจฉาชีพเต็มเมือง" โดยเพจมนุษย์ต่างวัย และกิจกรรมทำลูกบีบกุ๊กไก่บริหารมือ เป็นต้น
โดยงาน InterCare Asia 2024 และ Medical & Wellness Travel Fair 2024 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 - 3 สิงหาคม 2567 เวลา 10.00-19.00 น. ณ ฮอลล์ 5 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ www.intercare-asia.com หรือติดตามข่าวสารและกิจกรรมต่างๆ ได้ทาง www.facebook.com/intercareexpo สอบถามโทร. 0-2229-3503, 0-2229-3513, 0-2229-3515
ส่องเทรนด์ OEM ทางเลือกสำหรับคนต้องการสร้างแบรนด์ 3 อันดับ สินค้ามาแรง ได้แก่ อาหารเสริม เครื่องสำอาง สินค้าสุขภาพ ซื้อง่าย ขายคล่อง กำไรสูง ขณะที่ “อาร์ตทอย” ดึงความสนใจผู้ผลิต เจาะตลาดมากขึ้น ภาพรวม OEM เติบโตก้าวกระโดดตลอด 5-10 ปีที่ผ่านมา ท่ามกลาง Red Ocean การแข่งขันสูง ทั้งด้านนวัตกรรม ราคา การตลาด การผลิตรูปแบบใหม่ บริการข้อมูลซัพพอร์ตลูกค้า แนะผู้ประกอบการปรับตัวรับความท้าทาย

นายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เผยว่า เทรนด์การรับผลิตสินค้าให้กับผู้ที่ต้องการสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง หรือ OEM (Original Equipment Manufacturer) เรียกว่าได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากบริษัทที่ต้องการมีสินค้าของตนเองส่วนใหญ่จะเน้นการขายสินค้าเป็นหลัก และไม่มองเรื่องของกระบวนการผลิต จึงเลือก OEM ที่เหมาะสม วัตถุดิบที่เหมาะสม นอกจากจะเลือก OEM แล้ว ยังเลือกซัพพลายเออร์ที่จะนำวัตถุดิบมาให้ OME ผลิตด้วย กลายเป็นเครือข่ายที่ใหญ่ขึ้น และ OEM กลายเป็นทางเลือกสำหรับคนที่อยากจะมีสินค้าของตนเอง เป็นเทรนด์ที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับ 3 อันดับ สินค้ามาแรงใน OEM ได้แก่ อันดับ 1 อาหารเสริม อันดับ 2 เครื่องสำอาง และ อันดับ 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ เกี่ยวกับสุขภาพ เช่น ยาดม ยาหม่อง ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มเสื้อผ้า เครื่องหนัง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องประดับ เป็นกลุ่มซื้อง่ายขายคล่อง สร้างแบรนด์ง่าย และได้กำไรเฉพาะตัวเยอะ ทำให้ผู้เริ่มต้นชื่นชอบในกลุ่มนี้ อีกทั้ง “อาร์ตทอย” ยังได้รับความนิยมสูงขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ผู้ผลิตหันมาจับกลุ่มนี้มากขึ้น

“การเติบโตของ OEM หากเทียบกับ 5-10 ปีที่ผ่านมา เรียกว่าเติบโตหลายเท่าตัว และมีโรงงาน OEM เกิดใหม่ค่อนข้างเยอะ แข่งขันกันในเชิง Red Ocean หรือพื้นที่ทางธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง ทุกโรงงานค่อนข้างรับงานเยอะขึ้น ส่งผลให้มีการแข่งขันด้านราคา เพราะสินค้าใหม่ที่ผลิตออกมา น้อยรายที่จะผลิตด้วยตนเอง ส่วนใหญ่จึงจ้าง OEM เป็นหลัก”
อย่างไรก็ตาม แม้ OEM จะมีการเติบโตสูงและโอกาสอีกมาก แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายของตลาด “นาคาญ์” กล่าวต่อไปว่า ตลาด OEM ต้องพัฒนาตัวเองให้มากขึ้น หากเป็นเพียงแค่ OEM อย่างเดียว หรือมีการทำตลาดที่ลิงค์ไปกับลูกค้าน้อย อาจจะเสียลูกค้าให้กับ OEM รายอื่นที่พัฒนาตัวเองมากขึ้นได้ ดังนั้น จำเป็นต้องมีบริการมากขึ้น เช่น การหาข้อมูลเพื่อซัพพอร์ตลูกค้า เทคโนโลยีใหม่ๆ หรือการผลิตสินค้ารูปแบบใหม่
“สิ่งที่ OEM ต้องทำ คือ การพัฒนานวัตกรรมของตนเองและลดต้นทุนในกระบวนการผลิตเพื่อให้ลูกค้าได้สินค้าที่ถูกลงกว่าเดิม มองว่า 2 อย่างนี้มีความจำเป็นมาก คือ มีสินค้าที่มีนวัตกรรม คุณภาพดี และราคาถูกไปด้วยกัน นี่จึงเป็นโจทย์สำคัญที่ว่า จะทำอย่างไรให้ผลิตได้เยอะ ราคาถูก และต่อรองวัตถุดิบมาได้ในราคาถูก ต้องมองเป็นเชนในตลาด สามารถตอบโจทย์ลูกค้า ให้ขายของในตลาดได้ง่ายขึ้น ของคุณภาพดี คนซื้อ ใช้ซ้ำ มีการตลาดที่ดี มีนวัตกรรมที่ดี และต้นทุนที่ถูก การแข่งขันของ OEM จะอยู่ตรงนี้”
ขณะเดียวกัน “ธุรกิจอาหารเสริม” ซึ่งนับว่าเป็นเบอร์ 1 ใน OEM มีการแข่งขันสูงขึ้นมากจากเดิมที่มีโรงงานราว 600-700 แห่ง ปัจจุบันมีเพิ่มขึ้นมากกว่าพันแห่ง ส่งผลให้การแข่งขันเข้มข้นขึ้น ผู้เล่นที่เข้ามาในตลาดบางรายนำเข้าสารสกัดโดยเปิดเป็นโรงงานเล็กๆ ของตัวเอง ในทางกลับกัน โรงงานเองก็อาจจะนำเข้าสารบางตัวมาเพื่อที่จะให้ลูกค้าของตนเองด้วย
นาคาญ์ กล่าวต่อไปว่า การแข่งขันที่มากขึ้น ผู้เล่นมากขึ้น เป็น Red Ocean แต่หากมองในแง่ดี เราจะกลายเป็นแหล่งผลิตสำคัญให้กับภูมิภาค ดังนั้น จะทำให้มีความโดดเด่นและเติบโต นอกจากนี้ ประเทศไทย ถือเป็นแหล่งผลิตอาหารที่ดีในตลาดโลก และอาหารเสริมอาจจะได้อานิสงส์การผลิตในตลาด เติบโต เป็นประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาว

“ภาพรวมตลาดยังโตได้อีก ยังไม่ถึงจุดสูงสุด ยังมีผู้เล่นเยอะ และมีความเหนื่อยในการแข่งขันประมาณหนึ่ง การที่จะลดต้นทุนอย่างไรอาจเป็นโจทย์ที่สำคัญ ที่ผู้ประกอบการด้านอาหารเสริม จะต้องพยายามพัฒนาตนเองไม่เช่นนั้นก็จะสู้ไม่ไหวเช่นกัน เพราะกำลังเข้าสู่ Red Ocean อย่างที่กล่าว”
สำหรับคนที่เริ่มต้นมองหาธุรกิจและต้องการผู้ผลิต OEM ที่น่าเชื่อถือ สามารถร่วมหาไอเดียได้ที่งาน OEM Manufacturer & e-BIZ Expo 2024 มหกรรมที่ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการมีเริ่มต้นธุรกิจ และต้องการเพิ่มยอดขายออนไลน์โดยเฉพาะ โดย บริษัท โควิก เคทท์ อินเตอร์เนชั่นแนล ในฐานะผู้ผลิต OEM กลุ่มอาหารเสริม เครื่องสำอาง และสมุนไพร นับเป็นหนึ่งในบริษัทที่เข้าร่วมงาน OEM Manufacturer Expo มาอย่างต่อเนื่องทุกปี
นาคาญ์ เผยในฐานะ กรรมการผู้จัดการ ว่า ตลอดการดำเนินกิจการมากว่า 30 ปี มีลูกค้าหลายรายเริ่มต้นธุรกิจจากศูนย์ จนกระทั่งสามารถตั้งโรงงานผลิตและเติบโต ซึ่งในฐานะผู้ผลิต OEM รู้สึกภูมิใจที่สามารถช่วยให้ลูกค้าประสบความสำเร็จได้ มองว่าตลาดนี้หากคนที่เข้ามาจับแล้วมีมุมมอง มีวิชั่นที่ดี โอกาสโตจะสูงมาก กลุ่มนี้สามารถเติบโตในตลาดได้ระยะยาว นับเป็นจุดแข็งของอุตสาหกรรมนี้
“อยากจะเรียนเชิญผู้ที่สนใจ ไม่ว่าจะผู้ผลิต OEM หรือ ผู้ที่อยากจะมีสินค้าของตนเอง แต่ยังไม่มีไอเดีย สามารถมาร่วมมหกรรม OEM Manufacturer & e-BIZ Expo 2024 เพราะนอกจากจะมีผู้ผลิตอาหารเสริม เครื่องสำอาง แล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์ OEM ด้านอื่นๆ ครอบคลุมทุกความต้องการจบในงานเดียว อีกทั้ง ยังมีงาน e-BIZ Expo เป็นไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้ที่สนใจในการทำธุรกิจออนไลน์ เพิ่มโอกาสในการพบปะกับผู้ให้บริการที่สามารถสนับสนุนการเติบโตในยุคดิจิทัล” นาคาญ์ กล่าว
สำหรับ งาน OEM Manufacturer & e-BIZ Expo 2024 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-3 สิงหาคม 2024 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 19.00 น. ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมงาน สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 02-229-3515, 02-229-3503 หรืออีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. , This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือทาง Facebook : e-Biz Expo , OEM Manufacturer Expo
“เราเป็นลูกค้าที่ชอบทานทุกเมนูของห้าดาว เพราะคุณภาพสินค้า และรสชาติที่อร่อยแบบคงที่ 40 ปีผ่านไป สินค้าเขาก็ยังคงรสชาติความอร่อยไม่เคยเปลี่ยน มีแต่พัฒนายิ่งขึ้น สินค้ามาตรฐานเหมือนกันทุกสาขา และยังเป็นอาหารที่รับประทานได้ง่ายๆ ไก่จ๊อตอนเช้าสำหรับทุกคนในครอบครัวก็อิ่มอร่อยได้ แถมยังมีประโยชน์เพราะมีโปรตีนจากเนื้อไก่แบบ เรามองที่ตัวเองก่อน และน่าจะเป็นสินค้าตอบโจทย์ลูกค้าที่ชอบเหมือนกันกับเรา เมื่อประทับใจ ก็อยากทำร้านของตัวเอง การเริ่มทำแฟรนไชส์ได้ง่าย โดยมีทีมงานห้าดาวเป็นทีมหลังบ้านสนับสนุนที่ดีมาก จากร้านแรกเมื่อปี 2561 ก็ขยายสู่ร้านต่อๆไป จนกระทั่งขยายเป็น 11 สาขาในวันนี้” รุ่งอรุณ ภักดีสูงเนิน หรือ เจ๊รุ่ง เริ่มต้นเล่าที่มาของการเป็นนักธุรกิจแฟรนไชส์ห้าดาวอย่างน่าสนใจ
จากแม่ค้าที่มีร้านขายอาหารในห้าง ที่อยากสร้างธุรกิจใหม่ๆควบคู่กัน เจ้รุ่งเลือกแฟรนไชส์ห้าดาว จากความชอบของตนเอง ที่เปลี่ยนเป็นความรักในอาชีพนี้ อาชีพที่สร้างงาน สร้างรายได้ที่มั่นคง ให้กับตัวเธอตลอด 6 ปีที่ผ่านมา และยังสร้างอาชีพให้กับทีมงานอีก 12 คน ที่ช่วยกันดูแลร้านทั้ง 11 สาขา ทำให้มีรายได้เลี้ยงดูครอบครัว มีเงินส่งเสียลูกหลานได้เรียนหนังสือ

เมื่อถามว่าการมีสาขาร้านมากๆเช่นนี้ การบริหารและดูแลร้านต้องทำอย่างไร เจ๊รุ่งบอกว่า ในทุกๆวันจะต้องเดินทางไปดูร้านให้ครบทั้ง 11 สาขา โลตัสแจ้งวัฒนะ โลตัสรัตนาธิเบศร์ โลตัสศิริชัย โลตัสเรวดี แม็คโครรังสิต วิภาวดี35 บิ๊กซีสี่มุมเมือง แยกเกษตร(ตลาดกินซ่า) โรงพยาบาลทรวงอก พันธุ์ทิพย์งามวงศ์วาน และบิ๊กซีแจ้งวัฒนะ2 กรณีที่ไปด้วยตัวเองไม่ได้ จะดูผ่าน CCTV ที่สามารถสั่งงานได้ด้วยเสียง ทำให้สามารถบริหารจัดการร้านได้อย่างสะดวก พูดคุยกับทีมงานได้ทันที และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทั้งกระบวนการผลิตในร้าน การทำงานของทีมงาน การให้บริการ และจำนวนลูกค้าในแต่ละวัน ส่วนเรื่องผลิตภัณฑ์ก็ไม่ต้องกังวลเพราะทางห้าดาวรับผิดชอบเรื่องนี้ ตั้งแต่พัฒนาผลิตภัณฑ์ จัดส่งสินค้า สนับสนุนด้านการตลาดและโปรโมชันอย่างครบวงจร
“การทำร้านห้าดาวเราไม่คาดหวังว่าต้องได้เยอะตั้งแต่แรก ขอแค่ร้านมั่นคงเลี้ยงตัวเองได้ และตัวเราได้ทีมงานก็ต้องได้ด้วย ที่สำคัญทีมเราทั้ง 12 คน ต้องมีอาชีพ มีรายได้ สร้างงานให้เขา และเติบโตไปพร้อมๆกัน ที่ผ่านมาจะบอกทีมงานเสมอว่าให้คิดว่าเป็นร้านของตัวเอง การทำงานจะมี incentive เป็นแรงจูงใจให้ทุกคน ส่วนสิ่งที่ร้านเราให้ความสำคัญที่สุดคือ การบริการต้องมาที่หนึ่ง ต้องสร้างความประทับใจ จะไม่กดดันเรื่องยอดขาย ขอให้ทุกคนทำให้เต็มที่ ใส่ใจบริการลูกค้าอย่างดีที่สุด หลังจากนั้นลูกค้าจะเป็นคนตัดสินใจเอง” เจ๊รุ่งบอกเทคนิคสร้างความสำเร็จ

เมื่อถามถึงแคมเปญ ‘ลดรายจ่ายคนซื้อ เพิ่มรายได้คนขาย’ ที่ห้าดาวตั้งใจมอบสิ่งดีๆให้กับลูกค้าและแฟรนไชส์ เจ๊รุ่งบอกว่า เห็นด้วยอย่างยิ่งในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ แคมเปญนี้ช่วยกระตุ้นยอดขาย ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าง่ายขึ้น เมื่อเทียบกับคุณภาพมาตรฐานของสินค้าและบริการที่ได้รับ เขาก็พร้อมสนับสนุน เพราะสินค้าห้าดาวถึงแม้ไม่ใช่ช่วงโปรโมชัน ผู้บริโภคก็ยังรู้สึคุ้มค่าคุ้มราคา เรียกว่ามี ‘ความคุ้มค่าเป็นปกติ' ขณะเดียวกัน แฟรนไชส์เองก็มีแคมเปญหลังบ้านที่ทำให้ผลกำไรจากตัวสินค้า และมียอดขายเพิ่มขึ้นจากแคมเปญ เรียกว่าได้ประโยชน์สองต่อทั้งกำไรหลังบ้านและยอดขายที่เพิ่มในแต่ละครั้ง และยังมีระบบการจัดการยอดขายผ่านเครื่อง POS ทุกจุดหลังบ้าน พร้อมระบบเดลิเวอรี่เพื่อช่วยเพิ่มยอดขาย ทุกแพลตฟอร์ม ทุกสาขาอีกด้วย
“วันนี้พูดได้เต็มปากว่า เราเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ครอบครัวห้าดาว’ เป็นห่วงโซ่สุดท้ายที่สำคัญในการส่งมอบอาหารปลอดภัย อาหารที่มีคุณภาพให้กับผู้บริโภค ทุกวันนี้เรามีกินมีใช้ก็เพราะธุรกิจนี้ มีกินมีใช้ เลี้ยงพ่อแม่ เลี้ยงดูหลานๆ ทีมงานมีรายได้ มีเงินปลูกบ้านก็เพราะธุรกิจนี้ พ่อแม่สนับสนุนเต็มที่และภูมิใจที่เราประสบความสำเร็จ รวมถึงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างอาชีพให้คนอื่นๆด้วย” เจ๊รุ่ง กล่าวทิ้งท้ายอย่างภูมิใจ
บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower (ชื่อย่อหลักทรัพย์: CKP) หนึ่งในผู้นำในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคและมีคาร์บอนฟุตพรินต์ที่ต่ำที่สุดรายหนึ่ง ได้รับการคัดเลือกจากสถาบันไทยพัฒน์ให้เป็น 1 ใน 100 บริษัทที่อยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 (Environmental, Social and Governance) ประจำปี 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 (พ.ศ. 2565-2567) โดยคัดเลือกจาก 920 บริษัทจดทะเบียน ถือเป็นการจัดอันดับบริษัทหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนครั้งสำคัญของตลาดทุนไทย

นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ซีเค พาวเวอร์ ได้วางกรอบแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่ขานรับต่อทิศทางโลกจากประเด็นการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ซึ่งขับเคลื่อนผ่าน 3 กลุยทธ์หลัก “C-K-P” ที่ครอบคลุมประเด็นสำคัญทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม (C – Clean Electricity หรือไฟฟ้าสะอาด), มิติสังคม (K – Kind Neighbor หรือ เพื่อนบ้านที่ดี) และมิติบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ (P – Partnership for Life หรือ พันธมิตรที่ยั่งยืน) จากการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG อย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนและพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนพร้อมวางรากฐานทางพลังงานทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ควบคู่กับการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีในชุมชนและสังคม ผ่านการใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมในการคิดค้นนวัตกรรมและโครงการต่างๆ ตลอดจนขยายผลการสร้างองค์ความรู้ด้านพลังงานหมุนเวียนสู่เยาวชน ชุมชน สังคม ซึ่งการได้รับคัดเลือกจากการประเมินของสถาบันไทยพัฒน์ให้
ซีเค พาวเวอร์ เป็นหนึ่งในหุ้น ESG100 ประจำปี 2567 ถือเป็นการตอกย้ำการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับพันธกิจในการให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องกับสิ่งแวดล้อม ชุมชน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่คุณค่า”

นายวรณัฐ เพียรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวว่า “ซีเค พาวเวอร์ ได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 และเป็น 1 ใน 8 บริษัทกลุ่มธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภคที่ได้รับการคัดเลือก จากกลุ่มทรัพยากรทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์ฯ 69 บริษัท สะท้อนให้เห็นว่า บริษัทมีการดำเนินงานด้าน ESG ที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง โดยสะท้อนผ่านผลลัพธ์เชิงประจักษ์จากกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน ซึ่งการจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจ หรือ ESG100 ถือเป็นชุดข้อมูลที่สำคัญ สำหรับรองรับความต้องการข้อมูลของผู้ลงทุนที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ”

สำหรับในปี 2566 โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในกลุ่ม ซีเค พาวเวอร์ สามารถผลิตไฟฟ้าสะอาดส่งให้ประเทศไทยได้กว่า 8.5 ล้านเมกะวัตต์ชั่วโมง (MWh) หรือคิดเป็นกว่าร้อยละ 17 ของไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ใช้ในประเทศ และในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 4.4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี โดยก้าวเดินต่อจากนี้บริษัทได้วางเป้าหมายการเติบโตในด้านการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ที่สามารถหวังผลในระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรมภายในปี 2593