

เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) นำทัพผู้บริหารตัวแทนจำหน่ายกว่า 200 ชีวิต จัดงานประชุมครั้งยิ่งใหญ่ "AGENCY LEADERS MID-YEAR PLAN 2024" มอบแนวคิดการดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์ “RIGHT LEADER” และจัดกิจกรรมเวิร์คช้อปการสร้างทีมเพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสำเร็จ พร้อมเปิดตัวโครงการ LION FP เตรียมยกระดับตัวแทนฝ่ายขายให้เป็นนักวางแผนทางการเงินมืออาชีพ

นายสมศักดิ์ อรรถเสรีพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายช่องทางจัดจำหน่ายผ่านตัวแทน บมจ. เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) นำทีมผู้บริหารช่องทางตัวแทน ร่วมแชร์กลยุทธ์ และเสริมความรู้ในการสร้าง ทีม พร้อมทั้งได้เปิดตัว โครงการ LION FP ยกระดับตัวแทนฝ่ายขายให้เป็นนักวางแผนทางเงินมืออาชีพ เพื่อมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมในการพัฒนาแผนการเงินให้ตอบโจทย์ความต้องการและสร้างความมั่นคงทางการเงินให้ลูกค้าอย่างยั่งยืน โดยภายในงาน ได้รับเกียรติจาก นายอาร์ช คอลมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ให้กรอบการดำเนินงานแก่ช่องทางการจำหน่ายผ่านตัวแทน ภายใต้แนวคิด “Lifetime Partner 24: Driving Growth” ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการเป็นพันธมิตรที่ยั่งยืนและการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดปัจจุบัน ร่วมด้วย นางสาวช่อฟ้า ยุกตะนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาดและบริหารลูกค้า ที่มาแชร์แผนการดูแลลูกค้า รวมถึงกิจกรรมที่จะช่วยสนับสนุนกลุ่มตัวแทนยกระดับการบริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น พร้อมส่งกำลังใจให้ทีมผู้บริหารตัวแทน มุ่งมั่นทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ

นอกจากนี้ ยังได้เชิญผู้บรรยายพิเศษ นายกฤษฏ์ วนิชเดโชชัย ผู้อำนวยการหลักสูตร FChFP & ChLP จาก Thaifa ร่วมให้ความรู้กับทีมผู้บริหารตัวแทนในหัวข้อ “การสรรหาตัวแทนอย่างไรให้ตรงใจลูกค้า” ที่ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้เข้าร่วม ก่อนปิดท้ายด้วยงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จ โดยมีศิลปิน “ปู แบล็คเฮด” มาร่วมสร้างความสนุกสนาน เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ โรงแรมเดอะซายน์ พัทยา
ในปัจจุบัน การแพทย์จีโนมิกส์ (Genomic Medicine) หรือ เวชศาสตร์จีโนม นับเป็นความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มาพลิกโฉมวงการแพทย์ทั่วโลก โดยใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมมนุษย์มาวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลทางคลินิกและข้อมูลแวดล้อมอื่น ๆ เพื่อการตรวจวินิจฉัยและการพยากรณ์โรคที่แม่นยำ การเลือกรูปแบบการรักษาและการใช้ยาแบบมุ่งเป้าเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ตรงจุด รวมไปถึงการทำนายความเสี่ยงในการเกิดโรค และการสร้างเสริมสุขภาพโดยใช้ข้อมูลในเชิงป้องกัน

ดร. อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า เรามุ่งมั่นพัฒนาการรักษาในระดับจตุตถภูมิ (Quaternary Care) และเป็นสถาบันด้านวิชาการทางการแพทย์ (Academic Hospital) มีฝ่ายวิจัยและศึกษา ที่มีบุคลากรระดับปริญญาเอก เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง ทั้งการสร้างองค์ความรู้ใหม่ รวมถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัยและปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการดำเนินความร่วมมือกับสถาบันทางวิชาการและมหาวิทยาลัยในระดับประเทศ รวมถึงบริษัทเอกชนต่างประเทศ เพื่อส่งมอบการดูแลรักษาตามมาตรฐานสากลและความปลอดภัยสูงสุด โดยมุ่งหวังให้ผู้ป่วยและผู้ที่มารับบริการของเราทุกคนมีสุขภาพแข็งแรงและมีอายุที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพ

ผศ.นพ. พลกฤต ทีฆคีรีกุล Chief Scientific Officer โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้ยกระดับจาก คลินิกพันธุศาสตร์เชิงป้องกัน (Preventive Genomic Clinic) เป็น “ศูนย์เวชศาสตร์จีโนม บำรุงราษฎร์ (Bumrungrad Genomic Medicine Center)” ซึ่งเป็นผู้นำในการนำเทคโนโลยีและความรู้ด้านพันธุกรรมมาใช้ในเชิงป้องกันให้แก่ผู้ป่วยอย่างครบวงจรเป็นที่เดียวในประเทศไทย โดยส่งมอบการดูแลรักษาสุขภาพในระยะยาว ที่มุ่งเน้นมาตรฐานคุณภาพในทุก ๆ ด้าน ตั้งแต่การตรวจวิเคราะห์พันธุกรรมในเชิงป้องกันเพื่อค้นหาความเสี่ยงในการเกิดโรค ภายใต้ห้องปฏิบัติการของตนเองที่ได้การรับรองมาตรฐานในระดับสากล จากวิทยาลัยพยาธิแพทย์อเมริกัน College of American Pathologists (CAP) โดยทีมแพทย์เฉพาะทาง ผู้เชี่ยวชาญในห้องปฏิบัติการ และผู้ชำนาญคุณวุฒิระดับปริญญาเอก ที่ร่วมกันกำหนดแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่ดีและเหมาะสมที่สุด ตลอดจนการวิจัยและพัฒนาคุณภาพการดูแลรักษาผู้ป่วยด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง จนทำให้โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกที่ได้รับการรับรองเป็น ผู้ให้บริการด้านเวชศาสตร์จีโนม จากกระทรวงสาธารณสุข

นพ. ชนินทร์ ลิ่มวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านเวชพันธุศาสตร์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ตระหนักถึงความสำคัญของการบริบาลทางการแพทย์ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งสามารถตรวจวิเคราะห์ถอดรหัสยีนได้อย่างแม่นยำ เพื่อบ่งบอกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยเฉพาะการรักษาโรคซับซ้อน และเพื่อประเมินความเสี่ยงของการเกิดโรคบางชนิดที่สามารถส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคอื่น ๆ ที่มีสาเหตุจากพันธุกรรมและถ่ายทอดทางพันธุกรรม ในปัจจุบันมีการตรวจรหัสพันธุกรรมเชิงลึก โดยการถอดรหัสพันธุกรรมของยีนทั้งหมดในมนุษย์ (Whole Exome Sequencing) ที่ช่วยค้นหายีนในโรคทางพันธุกรรมที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหายาก
นอกจากนี้ การตรวจยีนของคู่สมรสที่วางแผนการตั้งครรภ์ จะช่วยคัดกรองและป้องกันความเสี่ยงของการเกิดโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ที่อาจส่งผลกระทบต่อบุตรได้ โดยโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มีการตรวจยีนแฝงที่สามารถช่วยเรื่องการวางแผนการมีบุตร ไม่ว่าจะเป็น การตรวจหาความผิดปกติของยีนคู่สมรสที่สามารถส่งต่อโรคไปยังบุตร การตรวจหาความผิดปกติของยีนก่อเกิดโรคในทารก การตรวจหาโรคทางพันธุกรรมในทารกที่ยังอยู่ในครรภ์มารดา รวมถึงการตรวจหาความผิดปกติของยีนในตัวอ่อนก่อนฝังเข้าสู่โพรงมดลูก ในกรณีที่ผสมตัวอ่อนด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว

ศ.ดร.ภก. ชลภัทร สุขเกษม ที่ปรึกษาด้านเภสัชพันธุศาสตร์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ปัจจุบันโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มีการนำนวัตกรรม “การตรวจยีนเพื่อเลือกใช้ยาเฉพาะบุคคล” หรือที่เรียกว่า “เภสัชพันธุศาสตร์และการแพทย์แม่นยำ (Pharmacogenomics and Precision Medicine)” มาใช้เพื่อการดูแลผู้ป่วยและผู้มารับบริการ เพื่อลดความเสี่ยงในการแพ้ยา รวมถึงเพื่อให้แพทย์สามารถจ่ายยาได้ในปริมาณที่เหมาะสม และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดกับผู้ป่วยแต่ละบุคคล โดยโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้นำนวัตกรรมการตรวจยีนเพื่อการปรับขนาดยาเฉพาะบุคคลมาใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยในกลุ่มโรคต่าง ๆ ด้วยการดำเนินงานภายในห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลในระดับสากล ที่มีจุดเด่นในการตรวจวิเคราะห์ยีนที่ครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร ในกลุ่มผู้ป่วยทุกเชื้อชาติ และสามารถแปลผลได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ตามมาตรฐานคุณภาพความปลอดภัยและมอบความมั่นใจอย่างสูงสุดให้กับผู้ป่วย
นอกจากนี้ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ยังเป็นแหล่งฝึกอบรมเภสัชกรเฉพาะทางด้านเภสัชพันธุศาสตร์และการแพทย์แม่นยำ รวมถึงเป็นสถาบันร่วมในการเสริมสร้างและสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทางที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเวชพันธุศาสตร์ที่หลากหลาย เช่น แพทย์ นักเทคนิคการแพทย์ และผู้ให้คำปรึกษาด้านพันธุกรรม (Genetic Counselor) ไม่เพียงเท่านั้น ศูนย์เวชศาสตร์จีโนมของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ยังมีการศึกษาวิจัยทางเภสัชพันธุศาสตร์เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ เพื่อพัฒนาระบบการให้บริการด้านเภสัชพันธุศาสตร์อย่างต่อเนื่อง และยังสามารถต่อยอดไปใช้ในการแพทย์เชิงป้องกันในผู้มารับบริการที่มีสุขภาพดี เพื่อให้ผู้มารับบริการมีข้อมูลพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อยาติดไว้กับตัว และสามารถเชื่อมโยงกับระบบบริการสุขภาพแบบองค์รวมได้ นอกจากนี้ยังดำเนินการขยายการเข้าถึงการตรวจโดยระบบ Home Healthcare และร้านยาใกล้บ้าน ให้ได้รับการรักษาด้วยยาที่มีความปลอดภัยสูงสุดและเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนไทย

ผศ.นพ. พลกฤต ทีฆคีรีกุล กล่าวปิดท้ายว่า โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เป็นผู้นำในการนำเทคโนโลยีและความรู้ด้านพันธุกรรมมาใช้ในการวินิจฉัย ร่วมกับการรักษา ป้องกันโรค และดูแลสุขภาพองค์รวม นอกเหนือจากเรื่องเวชศาสตร์จีโนมแล้ว เรายังนำความรู้เรื่องมัลติโอมิกส์ (Multi-omics) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย มาใช้ในการตรวจรักษา โดยช่วยให้ทราบถึงความเสี่ยงของการเกิดโรคจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ รวมถึงการใช้ประโยชน์จาก AI ในการแปรผลยีนเพื่อให้มีความแม่นยำมากขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นการต่อยอดความรู้ด้านจีโนมิกส์ สู่การพัฒนาด้านเวชศาสตร์เชิงป้องกัน เพื่อส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดีอย่างยืนยาวและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้คนอย่างยั่งยืน
นับเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ที่ไม่เคยหยุดยั้งในการพัฒนาองค์ความรู้ และการแสวงหาการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อส่งมอบการบริบาลด้วยความเอื้ออาทรและเพื่อผลลัพธ์การรักษาในเชิงบวก โดยคำนึงถึงคุณภาพการรักษาที่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากลและความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด
สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการรักษาได้ที่ศูนย์เวชศาสตร์จีโนม บำรุงราษฎร์ (Bumrungrad Genomic Medicine Center) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ชั้น 3 อาคาร B (โรงพยาบาล) โทร. 02 011 4890 หรือ 02 011 4891 (เวลาทำการ 8:00-18:00 น.)
นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการ MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง เปิดเผยในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนา MEA ครบรอบ 66 ปี วันที่ 1 สิงหาคม 2567 ณ อาคารวัฒนวิภาส การไฟฟ้านครหลวง สำนักงานใหญ่ ว่า MEA ได้จัดกิจกรรม ครบรอบ 66 ปี สู่เส้นทางการเป็นองค์กรพลังงานที่ยั่งยืน “66th Year : To be Sustainable Energy Utility” โดยมีรูปแบบการจัดงานที่ออกแบบโดยคำนึงถึงแนวคิดการเป็นองค์กรลดคาร์บอน (Decarbonization) ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งตกแต่งสถานที่ด้วยวัสดุที่ไม่สร้างขยะ จัดโซนนิทรรศการวันดินโลก แสดงความสำคัญของดิน “ดินดี น้ำดี ชีวีมีสุข อย่างยั่งยืน” พร้อมร่วมบริจาคเงินให้กับ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร จำนวน 328,700 บาท และมูลนิธิอนุเคราะห์คนพิการ ในพระราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จำนวน 378,800 บาท รวมถึงผู้เข้าร่วมงานสามารถร่วมสนับสนุนสินค้าจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน MEA ได้ดำเนินกิจการด้วยความตระหนักต่อประเด็นทางสังคมและสิ่งแวดล้อมตามแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึง 3 ปัจจัยหลัก คือ ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) ผ่านการดำเนินโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการ MEA GO (Green Organization) สร้างความตระหนักให้แก่พนักงานในการใส่ใจด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม (CSR) ผ่านกิจกรรม Zero waste การนำขยะที่สามารถนำไปแปลงเป็นพลังงาน (Waste to energy) การจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Procurement) การจัดประชุมที่มีการคำนึงถึงการใช้พลังงานและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (Green Meeting) การเปลี่ยนอุปกรณ์ประหยัดพลังงานที่ใช้ในอาคารของ MEA เพื่อให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โครงการ Pickup Retrofit นำรถยนต์เก่ามาทดสอบดัดแปลงแทนที่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมอุปกรณ์ประกอบ เพื่อใช้งานภายใน MEA ช่วยลดมลพิษ PM 2.5 ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง เพื่อก้าวไปสู่การเป็นองค์กรชั้นนำด้านธุรกิจพลังงานไฟฟ้าในระดับสากล และเป็นองค์กรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน (MEA Organization) ภายในปี 2570 ควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านงานบริการให้เข้าถึงและตอบโจทย์ประชาชาชนมากยิ่งขึ้นตามมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก (GECC) ด้วยระบบการให้บริการออนไลน์ ลดการเดินทางมาติดต่อ ณ ที่ทำการ รวมถึงโครงการ MEA e-Bill ที่รณรงค์ลดการใช้เอกสารกระดาษ ไปแล้วกว่า 12 ล้านแผ่นต่อปี

ในด้านระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าของ MEA ยังคำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาด้านสิ่งแวดล้อม จากการรื้อถอนอุปกรณ์ที่เสื่อมสภาพจำนวนมาก โดย MEA ได้ริเริ่มกระบวนการ upcycle ลูกถ้วยฉนวนไฟฟ้า (Insulators) ที่หมดอายุการใช้งาน ให้นำไปใช้งานในหลายรูปแบบ อาทิ การนำไปบดหยาบเพื่อทำวัสดุกันลื่นบนถนน (Anti skid road ceramic particles) สำหรับลูกถ้วยที่บดละเอียด สามารถนำไปผลิตเป็นแผ่นรองดูดซึมน้ำประสิทธิภาพสูง ซึ่งได้นำมาทดสอบนำร่องการใช้งานภายในองค์กร ก่อนขยายพื้นที่การใช้งานไปยังเครือข่ายพันธมิตรและชุมชนอื่น ๆ ส่วนเสาไฟฟ้าที่ถูกรื้อถอนจากโครงการสายไฟฟ้าใต้ดิน ได้มาปักเป็นแนวป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า และชายฝั่งย่านบางขุนเทียน รวมระยะทางกว่า 2,500 เมตร พร้อมสนับสนุนการดำเนินการปลูกป่าชายเลนและดูแลบำรุงรักษามาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ ปี 2547 – ปัจจุบัน จนสัมฤทธิ์ผลเกิดเป็นพื้นที่ป่าชายเลนหลังแนวป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งกว่า 380 ไร่

สำหรับด้านระบบนิเวศน์ยานยนต์ไฟฟ้า MEA เป็นรัฐวิสาหกิจหน่วยงานแรกที่นำรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มาใช้ในกิจการ และได้นำเทคโนโลยีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในองค์กรกว่า 10 ปี มีการต่อยอดสร้างนวัตกรรม PLUG ME EV ระบบอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะกับพื้นที่อาคารสำนักงาน หรืออาคารชุดที่ต้องการรองรับผู้ใช้งานรถ EV จำนวนมาก ช่วยลดต้นทุนกว่าร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับเครื่องอัดประจุไฟฟ้า AC ทั่วไปในท้องตลาด รวมถึงการจัดทำตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐานเครื่องอัดประจุไฟฟ้าที่มีความปลอดภัย และเที่ยงตรง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค หรือ Charge Sure by MEA รวมถึงดำเนินโครงการที่สนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสู่การใช้พลังงานจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบัน MEA รับซื้อไฟฟ้าจากกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) จำนวน 13,735 ราย คิดเป็นกำลังผลิตกว่า 238 เมกะวัตต์ และมีการติดตั้งระบบ Solar Cell ให้กับหน่วยงานต่าง ๆ รวมเป็นจำนวนกว่า 84 เมกะวัตต์ ทั้งหมดนี้ ช่วยส่งผลลดคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 190,000 tonCo2/ปี

เพื่อมุ่งสู่การใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าสูงสุด MEA ยังมีโครงการที่มุ่งเน้นการสร้างองค์ความรู้ให้กับประชาชน ภายใต้โครงการ MEA Energy Mind Award ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2550 เพื่อปลูกฝังให้นำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะกลุ่มบุคลากร และเยาวชนในสถานศึกษาต่าง ๆ สร้างเยาวชนรุ่นใหม่หัวใจสีเขียว (Green Youth) ส่งมอบสู่สังคมไทย ในส่วนของผู้ประกอบการ โครงการ MEA Energy Award เป็นโครงการที่มอบรางวัลให้กับอาคารในประเภทต่าง ๆ ภายใต้แนวคิด “ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และคุณภาพอากาศได้มาตรฐาน” ซึ่งได้ดำเนินโครงการปีที่ 7 มีอาคารผ่านเกณฑ์ประเมินมาตรฐานอาคารประหยัดพลังงานของ MEA ไปแล้วทั้งสิ้น 313 แห่ง ช่วยให้เกิดผลประหยัด 46.33 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นมูลค่า 180.93 ล้านบาทต่อปี ลดคาร์บอนไดออกไซด์ 26,589 tonCo2 ต่อปี ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโครงการที่ MEA กำหนดเป้าหมาย Carbon Neutrality ความเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี พ.ศ. 2593 และ กำหนดเป้าหมาย Net Zero Emission การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี พ.ศ. 2608 ดำเนินการขับเคลื่อนจากภายในองค์กรขยายไปสู่ภายนอก และเดินหน้าผลักดันให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ตามนโยบายของรัฐบาลในอนาคตต่อไป
บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมสนับสนุนการจัดงานประเพณีบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช ประจำปี 2567 เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมเกี่ยวกับพญานาคของชาวลุ่มน้ำโขง โดยมีนายทวี ขวัญทอง ผู้จัดการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ธุรกิจสาขาและการร่วมทุน เป็นผู้แทนบริษัทฯ ร่วมงานแถลงข่าวการจัดงาน พร้อมทีมงานร่วมออกบูทกิจกรรมแจกของที่ระลึกและมอบน้ำดื่มให้แก่ผู้ร่วมงาน โดยมีประชาชนให้ความสนใจมาเที่ยวชมและร่วมกิจกรรมที่บูทกรุงเทพประกันภัยเป็นจำนวนมาก ณ ลานพญาศรีสัตตนาคราช ริมโขง จังหวัดนครพนม เมื่อเร็วๆ นี้

สำหรับงานบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช เป็นอีกหนึ่งงานใหญ่ประจำปีของจังหวัดนครพนม ที่ประชาชนจะมาสักการะขอพรองค์พญาศรีสัตตนาคราชเพื่อความเป็นสิริมงคล จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-13 กรกฎาคม 2567 ภายในงานมีกิจกรรมมากมาย เช่น ขบวนแห่เครื่องบวงสรวง ขบวนรำบูชาพญาศรีสัตตนาคราช การแสดงโขนและการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม การแสดงวิถีชีวิต 9 ชนเผ่า 2 เชื้อชาติ เป็นต้น
กองประกวด Miss Golf Thailand นำโดย ชนะ วนิชพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท กอล์ฟ สเฟียร์ จำกัด ในฐานะผู้ถือลิขสิทธิ์ Miss Golf Thailand พร้อมเหล่าพาร์ทเนอร์ จัดงานแถลงข่าวการประกวด Miss Golf Thailand 2024 ปรากฏการณ์แห่งความงามบนสนามกอล์ฟ เฟ้นหาสาวงามนักกอล์ฟที่ตรงตามคอนเซ็ปต์ 3S – SWING SMART SMILE พร้อมร่วมชิงมงในระดับอินเตอร์ในเวที Miss Golf International ในปี 2025 ที่ประเทศเวียดนาม

ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายภพพสิษฐิ์ มีสมานยนต์ กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้ง RoboAcademy นายกันต์พจน์ กิตติรัฐศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กอล์ฟ ชาแนล ไทยแลนด์ นายธนภูมิ เกียรติสงคราม ประธานบริหารบริษัท SCA Superstar นายธานัท จารุฤทธิไกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Shopgenix และนายณกุล วิจิตรยุทธศาสตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Golf Channel Academy ผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของการจัดประกวด พร้อมเหล่าเซเลบริตีในวงการกอล์ฟ และวงการนางงาม ตบเท้าเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ณ CDC Ballroom คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์

นายชนะ วนิชพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กอล์ฟ สเฟียร์ จำกัด กล่าวว่า “การประกวด Miss Golf Thailand เป็นการจัดประกวดครั้งแรกในประเทศไทย เป็นเวทีแรกและเวทีเดียวที่ดึงศักยภาพในตัวผู้หญิงมารวมกับความสามารถในกีฬากอล์ฟ เพื่อร่วมเฟ้นหาสาวงามพร้อมใช้เป็นตัวแทนร่วมขับเคลื่อนธุรกิจ Golf & Luxury Life Style ในคอนเซ็ปต์ 3S คือ SWING มีทักษะความสามารถในกีฬากอล์ฟ SMART เก่งในธุรกิจและมีความรู้ด้าน E Commerce และ SMILE สวยสง่าด้วยบุคลิกภาพที่ดี ทั้งนี้สาวงามที่ได้รับคัดเลือกจะทำหน้าที่ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับอุตสาหกรรมกีฬากอล์ฟและร่วมสร้างปรากฏการณ์แห่งความงามบนสนามกอล์ฟร่วมกัน”

Miss Golf Thailand 2024 เปิดรับสมัครสาวงาม อายุระหว่าง 20 - 35 ปี จากทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1 – 31 สิงหาคม 2567 โดยสามารถติดตามข่าวสารการรับสมัครได้ที่เฟสบุ๊ก Miss Golf Thailand รอบออดิชั่นคัดเลือก 40 คนสุดท้าย วันที่ 31 สิงหาคม 2567 ผู้ที่ผ่านเข้ารอบจะได้ทำกิจกรรมเก็บตัวแบบ Exclusive เพื่อเพิ่มทักษะ 3S – SWING SMART SMILE และรอบตัดสินจะจัดขึ้นในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ณ CDC Ballroom คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์

ผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศตำแหน่ง Miss Golf Thailand 2024 จะได้รับมงกุฎเพชร ถ้วยรางวัล สายสะพายประจำตำแหน่ง และบัตรกำนัลจากผู้สนับสนุน รางวัลรวมมูลค่ากว่า 3,000,000 บาท และเดินทางไปร่วมการประกวด Miss Golf International 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นที่ ประเทศเวียดนาม
สามารถติดตามความเคลื่อนไหว ข่าวสาร กิจกรรมการประกวดได้ที่เฟสบุ๊ก Miss Golf Thailand
เริ่มแล้ว! “InterCare Asia 2024” และ "Medical & Wellness Travel Fair 2024" งานแสดงสินค้าและนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตสำหรับทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ อัดแน่นทั้ง นวัตกรรมการดูแลสุขภาพ ศูนย์ดูแลสุขภาพและความงาม สปา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ พร้อมบริการตรวจสุขภาพฟรี ตั้งแต่วันที่ 1-3 สิงหาคม 2567 ณ ฮอลล์ 5 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)
ณ ฮอลล์ 5 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด จับมือพันธมิตร รัฐและเอกชน ได้เปิดงาน “InterCare Asia 2024” และ“Medical & Wellness Travel Fair 2024” ระหว่างวันที่ 1-3 สิงหาคม 2567 เพื่อส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจด้านสุขภาพของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ เชื่อมโยงกับตลาดทั้งในและต่างประเทศ

นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการบริหาร บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า เอ็น.ซี.ซี.เล็งเห็นถึงโอกาสในการเติบโตของธุรกิจสุขภาพ ซึ่งการจัดงาน “InterCare Asia” และ“Medical & Wellness Travel Fair” ในปีที่ 2 นี้ จะเป็นเวทีสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจสุขภาพให้ก้าวหน้า และสร้างเชื่อมโยงผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสุขภาพ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงเป็นศูนย์กลางในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ เทคโนโลยีใหม่ๆ ด้านสุขภาพ ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างผู้เชี่ยวชาญ
นายศักดิ์ชัย กล่าวต่อไปว่าธุรกิจสุขภาพของประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจสุขภาพของกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มที่ใส่ใจสุขภาพ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 2.99 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 7.5% ต่อปี ซึ่งการมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีโรคภัยไข้เจ็บน้อยลง ไม่ป่วย ไม่จน เป็นสิ่งที่ทุกๆ คนควรจะได้รับ โดยเฉพาะผู้สูงอายุของไทยที่สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มติดสังคม กลุ่มติดบ้าน และกลุ่มติดเตียง อยากให้มีกลุ่มติดสังคมมมากขึ้น และกลุ่มติดเตียงน้อยลง
“เทรนด์คนไม่แต่งงาน แต่งงานแล้วไม่มีลูกทำให้อัตราเด็กเกิดน้อยลงส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเหมือนกันทั่วโลก และถือว่าน่าเป็นห่วงในเรื่องของการวางแผนชีวิต เพราะคนส่วนใหญ่ที่อายุ 60 ปีขึ้นไปมักไม่ทันได้วางแผน เตรียมตัวกับชีวิตสูงวัย ยิ่งคนอายุ 70 ปีขึ้นไปยิ่งไม่มีการวางแผนมากขึ้น ดังนั้น “InterCare Asia 2024” งานแสดงสินค้าและนวัตกรรมเพื่อสุขภาพแล้วนั้น จะช่วยให้ทุกคนได้วางแผนชีวิต วางแผนการเกษียณโดยไม่พึ่งพาลูกหลาน ช่วยให้วัย 50 ปีขึ้นไปได้วางแผนชีวิต การเงิน และการประกันชีวิต มีคุณภาพชีวิตที่ดี”นายศักดิ์ชัย กล่าว

ทั้งนี้ ภายในงาน InterCare Asia 2024 จะมีกิจกรรมที่น่าสนใจหลากหลาย เช่น การแสดงนิทรรศการสินค้าและบริการด้านสุขภาพจากผู้ประกอบการชั้นนำ การสัมมนาและเวิร์กชอปจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ การให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แพกเกจตรวจสุขภาพและรักษากับโรงพยาบาลชั้นนำ การสาธิตการใช้งานเทคโนโลยีและอุปกรณ์ด้านสุขภาพใหม่ๆ แพกเกจท่องเที่ยวโดนใจสไตล์วัยเก๋า เป็นต้น
นอกจากนั้น ได้ร่วมกับทางสมาคมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพไทยในการจัดงาน Medical & Wellness Travel Fair 2024 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพของ ผนึกกำลังระหว่างสองอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงสร้างโอกาสทางธุรกิจและส่งเสริมการเติบโตของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพในปไทย พร้อมทั้งขยายสู่การเป็นศูนย์กลางธุรกิจและนวัตกรรมทางด้านสุขภาพของอาเซียน

พญ.ประภา วงศ์แพทย์ นายกสมาคมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพไทย กล่าวว่า การจัดงาน Medical & Wellness Travel Fair 2024 ได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และจากสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) TCEB เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพของไทยผ่านการนำเสนอสินค้าและบริการที่มีคุณภาพสูงจากผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้ รวมทั้งเป็นการเชื่อมโยงและสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการ นักท่องเที่ยว และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ อีกทั้งยังเป็นโอกาสของผู้ประกอบการ SME ในการเข้ามาสู่ตลาดท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพให้กับนักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจ เพิ่มโอกาสในการขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ
พญ.ประภา กล่าวต่อว่า Wellness & Medical tourism ของประเทศไทยจะขับเคลื่อนใน 6 เสาหลัก ได้แก่ 1.ThaiWellness & นวดไทย 2. Medical tourism for all (ใครๆ ก็สามารถเข้าถึงการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ได้) 3. Herbal Products Wellness (เน้นเรื่องผลิตภัณฑ์สมุนไพร แพทย์แผนไทย) 4. Health Exhibition Center(ศูนย์กลางนิทรรศการสุขภาพ)5. Senior Living Destination (ส่งเสริมให้เป็นผู้สูงอายุติดสังคม) และ6. Medical& Wellness relay (การถ่ายทอด) ซึ่งในงาน InterCare Asia 2024 และ Medical & Wellness Travel Fair 2024 มีสินค้านวัตกรรม และกิจกรรมมากมายเพื่อนพัฒนาสุขภาพและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีแบบองค์รวม

นายปรัชญา เพิ่มทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาโอกาสทางธุรกิจ สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) กล่าวว่า ธุรกิจสุขภาพผู้สูงอายุ เป็น 1 ในเมกะเทรนด์ที่ต้องศึกษา เนื่องจากสังคมไทยเปลี่ยนเป็นสังคมผู้สูงอายุ จึงต้องมีการเตรียมกิจกรรม หรือการดำเนินการต่างๆ เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งรัฐบาลได้ผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME อย่างเร่งด่วน เช่น สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. ได้สนับสนุนงบประมาณผ่าน โครงการส่งเสริมผู้ประกอบการผ่านระบบ BDS หรือที่รู้จักในชื่อ “SME ปัง ตังค์ได้คืน” ซึ่งเป็นการสนับสนุนเงิน 50–80% ผ่านการอบรม การโค้ชชิ่งการให้คำปรึกษาแนะนำ และการจัดทำหลักสูตรร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการให้มีศักยภาพมากขึ้น ตามเทรนด์ตามโลกได้ทัน
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) หนุน บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด จัดงาน OEM Manufacturer & e-BIZ Expo 2024 หวังสร้างสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ ให้เริ่มต้นธุรกิจได้ง่ายยิ่งขึ้น และตอบโจทย์ทุกความต้องการของทุกธุรกิจทั้งด้านการผลิตและเทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมช่วยต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน คาดจะมีผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 12,000 คน เกิดการจับคู่ทางธุรกิจกว่า 570 คู่ และสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 500 ล้านบาท

นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยีดิจิทัล ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินชีวิต รวมไปถึงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ และการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการในทุกระดับ ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม นำโดย นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้เล็งเห็นความสำคัญของการส่งเสริมและพัฒนาสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ ให้เริ่มต้นธุรกิจได้ง่ายยิ่งขึ้น และตอบโจทย์ทุกความต้องการของทุกธุรกิจทั้งด้านการผลิตและเทคโนโลยีดิจิทัล โดยได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ดำเนินการตามนโยบาย RESHAPE THE FUTURE : โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต ผ่านการผนึกกำลังความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน หรือ "DIPROM CONNECTION" ร่วมผลักดันพัฒนาผู้ประกอบการรุ่นใหม่ได้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากการพัฒนาธุรกิจเอสเอ็มอี จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายเข้ามาเติมเต็มในทุกด้าน เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการที่มีความหลากหลายในด้านต่าง ๆ อาทิ ด้านการผลิต ด้านการบริหารจัดการ ด้านการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยเข้ามาเสริมศักยภาพ รวมถึงการบุกเบิกตลาดในน่านน้ำใหม่ ๆ ซึ่งการจัดงาน OEM Manufacturer & e-BIZ Expo 2024 มหกรรมแสดงสินค้าและนวัตกรรมที่ครบวงจรที่สุดสำหรับธุรกิจ OEM และ e-Commerce ในประเทศไทย โดยบริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด จะเป็นส่วนสำคัญในการติดอาวุธด้านเทคโนโลยีดิจิทัลให้กับผู้ประกอบการ และยังเป็นทางลัดเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพรุ่นใหม่ได้สร้างธุรกิจของตัวเองได้เร็วยิ่งขึ้น ผ่านการจ้างธุรกิจที่รับการผลิตแบบ OEM ให้ผลิตสินค้าที่ตรงกับความต้องการของตลาด
นอกจากนี้ ความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการหน้าใหม่กับธุรกิจ OEM ยังเป็นการแชร์การเพิ่มผลผลิต (Productivity) ทำให้ช่วยลดต้นทุนจากการรวมความต้องการ (Demand) ที่ผลิตสินค้าจำนวนมาก และโรงงานก็สามารถเพิ่มประสิทธิผลจากการใช้สายการผลิตได้อย่างเต็มกำลัง ที่สำคัญยังเป็นตัวช่วยให้ผู้ประกอบการรายใหม่ผลิตสินค้าได้ตามมาตรฐานอุตสาหกรรม รวมทั้งการจัดร่วมกับงาน eBiz Expo ยังเป็นการสนับสนุนช่องทางตลาดออนไลน์ให้กับธุรกิจรายย่อย จึงทำให้การจัดงานในครั้งนี้มีความครบสมบูรณ์ และยังเป็นการสนับสนุนการสร้างอาชีพสำรอง หรือรายได้เสริมให้กับประชาชน

นายปรนนท์ ฐิตะวรรโณ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธานสถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่ออุตสาหกรรมสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท. ให้การสนับสนุนการจัดงาน OEM Manufacturer & e-BIZ Expo มาอย่างต่อเนื่อง และในปีนี้ได้นำผู้ประกอบการในกลุ่มรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) ที่เป็นสมาชิกของ ส.อ.ท. มาร่วมจัดแสดงสินค้ากว่า 19 ราย ซึ่งครอบคลุมสินค้าทุกประเภท เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารเสริม, อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง, อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม, อุตสาหกรรมเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า และเครื่องหนัง อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์และแพ็คเกจจิ้ง, อุตสาหกรรมโรงงานที่ผลิตแบรนด์, อุตสาหกรรมสินค้าสำเร็จรูป เป็นต้น ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการที่ต้องการสินค้าจำหน่ายภายใต้แบรนด์ของตนเอง และเพื่อให้ได้สินค้าคุณภาพสูงจากผู้รับจ้างผลิตชั้นนำของประเทศไทย
“อุตสาหกรรม OEM เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ซึ่งในปัจจุบัน ส.อ.ท. มีสมาชิกที่เป็นผู้ผลิตที่มีศักยภาพสูง และได้มาตรฐานกว่า 16,000 ราย ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศพร้อมเข้ามาช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการหน้าใหม่ให้สามารถสร้างธุรกิจของตัวเองได้ง่าย และรวดเร็วขึ้น”
โดยในงาน OEM Manufacturer & e-BIZ Expo 2024 ในครั้งนี้ผู้ที่เขาร่วมงานจะได้พบปะผู้ประกอบการ OEM ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และร่วมฟังสัมมนาจากกูรูผู้เชี่ยวชาญด้านการทำธุรกิจ รวมทั้งการจัดกิจกรรมเจรจาธุรกิจ (Business Matching) เพิ่มโอกาสในการมองหาพาร์ทเนอร์ที่มีศักยภาพเข้ามาร่วมต่อยอดและขยายธุรกิจต่อไปในอนาคต

ด้าน นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการบริหาร บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า การจัดงาน OEM Manufacturer & e-BIZ Expo 2024 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-3 สิงหาคม 2024 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) ซึ่งภายในงานจะแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก คือ OEM Manufacturer Expo และ e-BIZ Expo สำหรับงาน OEM Manufacturer Expo จะเน้นการแสดงสินค้าจากผู้ผลิตในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลความงาม อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ สินค้าออร์แกนิค สินค้าอุปโภคบริโภค แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ บรรจุภัณฑ์และการพิมพ์ และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด รวมไปถึง อาหารเสริมสำหรับสัตว์เลี้ยงและอาหารแห่งโลกอนาคตที่กำลังเป็นเทรนด์ในปัจจุบัน

โดยผู้ผลิตในอุตสาหกรรมเหล่านี้ พร้อมที่จะช่วยผู้ประกอบการหน้าใหม่ในการผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐาน และตรงกับความต้องการ จึงทำให้ไม่ต้องกังวลในเรื่องการผลิตที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง และเทคนิคในการผลิตมากมายทำให้เริ่มต้นทำธุรกิจได้ง่าย โดยผู้ประกอบการหน้าใหม่เพียงแต่มุ่งไปที่การสร้างแบรนด์ การวางแผนการตลาด การบริหารจัดการ และการจัดส่งสินค้า
ในส่วนของ e-BIZ Expo จะเน้นการจัดแสดงเทคโนโลยีบริการดิจิทัลและโซลูชั่นทางธุรกิจ เช่น การตลาดดิจิทัล โซลูชั่นทางธุรกิจ (SAP, ERP, MRP) FinTech โลจิสติกส์และการจัดการ ระบบความปลอดภัยการชำระเงินออนไลน์ คลาวด์ AI IoT และ 5G ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับประสบการณ์และโอกาสในการพบปะกับผู้ให้บริการที่สามารถสนับสนุนการเติบโตในยุคดิจิทัล
นอกจากนี้ งาน OEM Manufacturer & e-BIZ Expo 2024 ยังเป็นช่องทางที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงเครื่องมือที่จำเป็นในการพัฒนาธุรกิจ ทั้งการเรียนรู้เทรนด์ใหม่ ๆ การพบปะกับผู้เชี่ยวชาญและพันธมิตรทางธุรกิจ และการได้รับคำแนะนำในการปรับตัวพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้งยังมีการจัดการเสวนาเกี่ยวกับวิธีการขยายธุรกิจ การหาตลาดใหม่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมงานยังสามารถพบปะกับนักลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพ ซึ่งสามารถนำไปสู่การร่วมทุนและการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จึงทำให้ในงานครั้งนี้เหมาะสมกับผู้ที่กำลังเริ่มต้นธุรกิจ หรือผู้ที่กำลังมองหาโอกาสในการต่อยอดธุรกิจ
สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 12,000 คน เกิดการจับคู่ทางธุรกิจ 570 คู่ และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 500 ล้านบาท
‘กรุงศรี ออโต้’ ผู้นำธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ครบวงจร เครือธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เดินหน้าเปิดตัว ‘แพลตฟอร์ม PromptBuy ศูนย์รวมสินค้ารักษ์โลก’ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้ใช้รถ ผ่าน LINE Official Account ของ กรุงศรี ออโต้ นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ส่งเสริมเรื่องสิ่งแวดล้อมและการใช้รถแบบครบวงจร จากผู้จัดจำหน่ายที่มีคุณภาพ ตอกย้ำเป้าหมายการเป็นที่ 1 ในใจผู้ใช้รถ และผู้นำตลาดที่เป็นมากกว่าผู้ให้บริการสินเชื่อยานยนต์ (Beyond Auto Finance)
นายคงสิน คงคา ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เผยว่า “จากกลยุทธ์ ‘SEE Beyond’ ภายใต้แผนธุรกิจระยะกลางปี 2567-2569 ของ กรุงศรี ออโต้ ที่ประกาศไปเมื่อต้นปี เราปักธงเป็น Aggregator หรือผู้สร้างอีโคซิสเต็มที่เป็นศูนย์รวมทุกเรื่องของผู้ใช้รถไว้ในที่เดียว มองหาโอกาสในการผนึกพันธมิตรที่แข็งแกร่งเพื่อสร้างธุรกิจใหม่ ตอบสนองความต้องการที่แตกต่างของผู้บริโภค โดยเล็งเห็นถึงแนวโน้มธุรกิจที่สามารถต่อยอดบนแพลตฟอร์มดิจิทัลของ กรุงศรี ออโต้ ที่นอกเหนือไปจากบริการด้านสินเชื่อ จึงเป็นที่มาของการเปิดตัว ‘แพลตฟอร์ม PromptBuy ศูนย์รวมสินค้ารักษ์โลก’ จากผู้จัดจำหน่ายที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ซื้อสามารถเลือกสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดและการใช้รถในมิติต่าง ๆ พร้อมติดต่อกับผู้จัดจำหน่ายได้โดยตรง บนแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ครบครัน ปลอดภัย และใช้งานง่าย เราเชื่อมั่นว่า แพลตฟอร์ม PromptBuy จะเพิ่มโอกาสให้กับพันธมิตร พร้อมยกระดับประสบการณ์ที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นให้กับผู้ใช้รถในอีโคซิสเต็มของ กรุงศรี ออโต้ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป”

‘แพลตฟอร์ม PromptBuy ศูนย์รวมสินค้ารักษ์โลก’ บน LINE Official Account ของ กรุงศรี ออโต้ ได้รวบรวมผู้จัดจำหน่ายสินค้าและบริการด้านพลังงานสะอาดและการใช้รถ จากพันธมิตรผู้จัดจำหน่ายสินค้า 7 ราย จำนวนสินค้า 119 รายการ ครอบคลุมสินค้าไลฟ์สไตล์ใน 5 หมวดหมู่สำหรับผู้ที่รักษ์โลกและผู้ใช้รถ ได้แก่
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปเลือกซื้อสินค้าและบริการได้ที่ ‘แพลตฟอร์ม PromptBuy ศูนย์รวมสินค้ารักษ์โลก’ บน LINE Official Account ของ กรุงศรี ออโต้ โดยมีโปรโมชันในช่วงเปิดตัวจากพันธมิตรทางธุรกิจ มอบบัตรของขวัญกรุงศรี (Krungsri Gift Card) มูลค่าสูงสุด 20,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้าที่ร่วมรายการผ่านแพลตฟอร์ม PromptBuy อาทิ แท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า CS Energy DC Charger 20 kW และเซ็ตแผงโซลาร์เซลล์สำหรับที่อยู่อาศัย ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2567 – 31 ตุลาคม 2567* ทั้งนี้ กรุงศรี ออโต้ เตรียมขยายบริการนี้ต่อไปในอนาคต บนแอปพลิเคชัน GO by Krungsri Auto เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้รถได้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
*เงื่อนไขเป็นไปตามร้านค้าและบริษัทกำหนด
บริษัท เวอร์ซุนิ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้า และจำหน่ายหม้อทอดฟิลิปส์อย่างเป็น ทางการ จัดงาน “ฟิลิปส์หม้อทอดที่ใช่ เหมือนเจอคู่ใจที่ชอบ” RapidAir Technology สิทธิบัตรเฉพาะของฟิลิปส์ ชวนพิสูจน์เทคโนโลยีแห่งความกรอบนอกนุ่มในที่มีเฉพาะในหม้อทอดฟิลิปส์ เทคโนโลยี RapidAir สิทธิบัตรแผ่นกระจายความร้อนดีไซน์รูปปลาดาว ที่ช่วยให้อาหารกรอบนอกนุ่มใน สุกทั่วถึง ลดน้ำมันได้สูงสุดถึง 90% (เทียบกับการทอดมันฝรั่งสดในน้ำมันท่วม) ทำให้การทำอาหารอร่อยเป็นเรื่องง่าย กรอบ อร่อย แต่ดีต่อสุขภาพกว่า ภายในงานพบกับแขกรับเชิญพิเศษ "แอฟ ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ" และ "นนกุล ชานน สันตินธรกุล" ที่มาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ในการทำอาหาร พร้อมลงมือทำเมนูสุดพิเศษให้กับคนพิเศษ ร่วมพิสูจน์ความกรอบฟินในแบบหม้อทอดฟิลิปส์ ที่สามย่านมิตรทาวน์

นายวุฒิชัย รัตนสุมาวงศ์ Country Manager, Versuni (Thailand) Co, Ltd. กล่าวว่า “ฟิลิปส์ เป็นแบรนด์ผู้นำในการริเริ่มทำตลาดหม้อทอดไร้น้ำมัน ภายใต้ชื่อ Philips Airfryer โดยเริ่มวางขายในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2554 โดยปัจจุบันผู้บริโภคคนไทยหันมาสนใจในเรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ผ่านการออกกำลังกาย รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ และทำอาหารเองมากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายของหม้อทอดฟิลิปส์เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหม้อทอดฟิลิปส์ยังได้รับความนิยมไปทั่วโลกในฐานะเครื่องทอดอาหารไขมันต่ำอันดับ 1 ของโลก (ที่มา Euromonitor International Ltd. หมวดสินค้าหม้อทอดไร้น้ำมัน มูลค่าการขายปลีกข้อมูลปี 2566 จากการวิจัยที่ ดำเนินการในเดือนกุมภาพันธ์ 2567) ด้วยเทคโนโลยี RapidAir สิทธิบัตรเฉพาะของเฉพาะของฟิลิปส์ ที่ทำให้อาหารอร่อย กรอบนอกนุ่มใน สุกทั่วถึงโดยไม่ต้องใส่น้ำมัน ทำให้อาหารที่ได้อร่อยและดีต่อสุขภาพกว่า นอกจากนี้ยังใช้วัสดุ ที่ทนทาน ปลอดภัยกับอาหาร ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยกับอาหารระดับโลกทั้งในยุโรป อเมริกา และแคนาดา เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าเราใส่ใจในทุกรายละเอียด พร้อมฟังก์ชันที่ครบครันทำได้มากกว่าหม้อทอดสูงสุด 22 ฟังก์ชัน เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่เป็น Serious Cooker หรือเป็น Casual Cooker รวมถึงผู้บริโภคที่สนใจหม้อทอดในระดับราคาที่แตกต่างกันให้เหมาะสมกับการใช้งานของแต่ละท่าน ซึ่งจะเห็นได้จากการพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ของเราตลอดระยะเวลา 14 ปีที่ผ่านมา และเราจะยึดหลักการนี้ในการดำเนินธุรกิจต่อไป เพื่อให้สอดคล้องและตอบสนองวิสัยทัศน์ของบริษัทคือ Turn Houses into Homes หรือ เปลี่ยน บ้านของผู้บริโภคทุกท่านให้เป็นบ้านที่เปี่ยมด้วยความสุขทั้งร่างกายหรือจิตใจ เป็นบ้านที่อบอุ่น เป็นบ้านที่เต็มไปด้วย ความรัก”

สำหรับ RapidAir Technology เป็นสิทธิบัตรเฉพาะของหม้อทอดฟิลิปส์ โดยมีลักษณะเฉพาะเป็นแผ่นกระจาย ความร้อนที่มีฐานเป็นรูปปลาดาวซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยทำให้ร้อนเร็วและอาหารสุกอย่างทั่วถึง รสชาติอร่อยเหมือน ทอดในน้ำมัน กรอบนอกฉ่ำใน รวมไปถึงยังรีดไขมันส่วนเกินออกจากอาหารได้ สูงสุด 90% ช่วยให้คุณทำอาหารได้เร็วขึ้น 50% และประหยัดพลังงานสูงสุด 70% และยังใช้วัสดุที่ทนทาน ปลอดภัยกับ อาหาร โดยเฉพาะเมื่ออาหารโดนความร้อน ซึ่งต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ ถือว่าหม้อทอดเป็นหนึ่งใน นวัตกรรมที่โดดเด่นของฟิลิปส์ เพื่อช่วยดูแลด้านสุขภาพ นอกจากนี้ยังสร้างแรงบันดาลใจในการทำอาหารอร่อย ได้ง่ายๆแค่ ปลายนิ้วผ่านแอปพลิเคชัน HomeID (https://link.home.id/adKhtRDSGHb) มีสูตรอาหารกว่า 1,000 สูตรที่อร่อยและดีต่อสุขภาพจากเชฟและนักโภชนาการทั่วโลก รวมทั้ง เคล็ดลับการทำอาหาร และอื่นๆ อีกมากมายที่เหมาะกับหม้อทอดของคุณโดยเฉพาะ ใครๆก็สามารถทำอาหารอร่อยได้ง่ายๆ แม้ไม่เคยใช้หม้อทอดมาก่อน

ภายในงานพบไฮไลท์พิเศษจากนางเอกสาวสายหวาน "แอฟ ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ" ที่ควงคู่มากับพระเอกรุ่นน้องคนสนิท "นนกุล ชานน สันตินธรกุล" ที่มาร่วมแชร์ทริค และประสบการณ์ในการทำอาหาร พร้อมโชว์ลีลาการเข้าครัวด้วยหม้อทอดไร้น้ำมัน Philips AirFryer หม้อทอด 2 ตะกร้า ให้ทั้งคู่ร่วมกันรังสรรค์สุดยอดเมนูกรอบอร่อยทั้งอาหารคาวและอาหารหวานได้ในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ข้าวมันไก่ทอด และพายสตรอเบอรี่ ให้กับแฟนๆ ผู้โชคดีภายในงานขึ้นมาร่วมพิสูจน์ความอร่อย กรอบนอกนุ่มใน ชิมรสชาติ รับความสุข ความอร่อย และความฟิน กลับบ้าน

ที่สุดแห่งความกรอบ อร่อยกรอบนอก นุ่มใน สุกทั่วถึง ได้ง่ายๆทุกมื้อ หม้อทอดตัวจบต้องหม้อทอด Philips AirFryer ที่มี RapidAir Technology เท่านั้น นวัตกรรมสุดล้ำแบบนี้ เป็นเจ้าของก่อนใครได้ที่ Central, Robinson, Homepro, Powerbuy ช่องทางออนไลน์ Lazada, Shopee และร้านค้าตัวแทนอย่างเป็นทางการ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ www.philips.co.th และ Facebook: Philips Home Living
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต นำโดยคุณบุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายทรัพยากรบุคคล และภาพลักษณ์องค์กรและการสื่อสารองค์กร ตอกย้ำจุดยืนผู้นำบริษัทประกันชีวิตและสุขภาพ ส่งแคมเปญโฆษณาระดับโลก “อาชีพอิสระ ไม่ควรต้องเสี่ยง” เพื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์ถึงการให้ความสำคัญเรื่องความเสี่ยงต่อกลุ่มคนประกอบอาชีพอิสระ ที่ต้องเผชิญโดย เน้นถึงความเสี่ยงของกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งมักจะไม่ได้รับผลประโยชน์หรือความคุ้มครองที่ถูกต้องและเหมาะสม โดยเป็นแคมเปญโฆษณาต่อเนื่องจากปีที่แล้ว “เป็นผู้หญิง ไม่ควรต้องเสี่ยง” กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จึงมุ่งมั่นที่จะช่วยให้กลุ่มคนที่ประกอบอาชีพอิสระเหล่านี้ ก้าวผ่านความท้าทายในชีวิตประจำวันของพวกเขา และยังมองว่าผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ เป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจโลกของเราอีกด้วย จะเห็นได้ว่าทาง กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ให้ความสำคัญและปกป้องอนาคตของกลุ่มคนที่ประกอบอาชีพอิสระ โดยการสร้างผลิตภัณฑ์และแคมเปญที่เหมาะสำหรับกลุ่มคนเหล่านี้

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแคมเปญ “คุ้มเว่อร์” ที่ตอบโจทย์กลุ่มคนประกอบอาชีพอิสระ ประกอบไปด้วย
โดยลูกค้าสามารถสอบถามข้อมูลแคมเปญดังกล่าวได้ที่ตัวแทนของบริษัทฯ และที่สำนักงานตัวแทนทั่วประเทศ นอกจากนี้ แคมเปญโฆษณา “อาชีพอิสระ ไม่ควรต้องเสี่ยง” จะเริ่มออกอากาศทางสื่อออนไลน์ สื่อนอกสถานที่ และกิจกรรมการตลาดในหลายพื้นที่ทั่วประเทศระหว่างเดือนสิงหาคม ถึงเดือนกันยายน 2567 นี้ หรือ สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตาม หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ได้ที่ โทร 1159 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง