

นายนภดล รมยะรูป กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปูนซีเมนต์เอเซีย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง การเปิดตัว ปูนบัว GO GREEN ปูนรักษ์โลก ลดโลกร้อน
(กาญจนบุรี) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ นำเทคโนโลยีขั้นสูง ทั้งปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) และการจัดเก็บข้อมูลบนระบบคราวด์ (Cloud) มาเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงสุกร พร้อมส่งต่อองค์ความรู้แก่เกษตรกร สู่การเป็น “ฟาร์มอัจฉริยะ” (Smart Farm) ผลิตเนื้อสัตว์คุณภาพ ปลอดภัย ปลอดโรคสู่ผู้บริโภค
นายสมพร เจิมพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจสุกร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ มุ่งมั่นยกระดับระบบการบริหารฟาร์มเลี้ยงสัตว์ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาโดยตลอด ตั้งแต่การทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ (Automation System) การติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) โดยผนึกกำลังกับ TRUE จนถึงการใช้เทคโนโลยี AI และ IoT นำไปสู่การจัดการฟาร์มด้วยระบบฟาร์มอัจฉริยะ (SMART Farm Solution) สามารถควบคุมการเลี้ยงได้จากระยะไกล โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปในระบบการเลี้ยง ดูพฤติกรรม ความเป็นอยู่ สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ผ่านสมาร์ทโฟนได้ทุกที่ทุกเวลา ทำให้บริหารจัดการการเลี้ยงสุกรได้ตลอดเวลา ช่วยให้การทำงานของผู้ปฏิบัติงานมีความสะดวกรวดเร็วขึ้น และยังถ่ายทอดองค์ความรู้ไปสู่เกษตรกรในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสุกร หรือคอนแทรคฟาร์ม นำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ ให้เป็นระบบเดียวกันกับบริษัท เพื่อก้าวสู่การเป็นเกษตรอัจฉริยะ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนในระยะยาว

“ปัจจุบันฟาร์มเกษตรกรได้ติดตั้ง CCTV ทั้งหมดแล้ว 100% รวมถึงการสนับสนุนให้เกษตรกรฟาร์มสุกรขุนใช้ระบบ ออโต้ฟีด หรือ Auto Feeding Systems ที่ช่วยลดคนเข้าไปให้อาหารในโรงเรือน เพื่อให้คนสัมผัสตัวสัตว์น้อยที่สุด ลดความเสี่ยงการนำโรคต่างๆสู่ฝูงสุกร ตามมาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) ทำให้วันนี้ สัตวบาล 1 คน สามารถดูแลสุกรได้ 30,000 ตัว หรือมากกว่าเดิมถึงหนึ่งเท่าตัว ที่สำคัญการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาสนับสนุนการเลี้ยง ทำให้คนรุ่นใหม่ที่เป็นลูกหลานเกษตรกร หันมาสนใจอาชีพนี้มากขึ้น เพราะสามารถควบคุมการทำงาน การจัดการฟาร์ม และยกระดับรายได้ ด้วยเทคโนโลยี” นายสมพรกล่าว
ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟยังใช้ระบบ Sound talk ซึ่งเป็นอุปกรณ์ IOT ติดตั้งในโรงเรือนเลี้ยงสุกรขุน เพื่อตรวจวัดเสียง ไอ แปลงให้เป็นคลื่นเสียง ส่งสัญญาณไปยังส่วนกลาง และจะแจ้งข้อมูลให้คนเลี้ยงทราบได้ทันที ทำให้รู้ความเสี่ยงของสุกร ช่วยในการตัดสินใจรักษาสัตว์อย่างทันท่วงที ช่วยลดการแพร่กระจายโรค ส่งผลให้ปัญหาด้านสุขภาพลดลง และป้องกันการแพร่กระจายในฝูงสัตว์ จึงถือเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยติดตามสุขภาพสุกร เพื่อให้ได้เนื้อสัตว์คุณภาพ ปลอดภัย ปลอดโรค

นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังพัฒนาการเลี้ยงสุกรแบบครบวงจร ด้วยระบบสุกรอัจฉริยะ (SMART PIG) ใช้ในการเลี้ยงสุกรในทุกช่วงวัย ด้วยการเก็บข้อมูล และการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการผลิต ช่วยเพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการของเจ้าหน้าที่ โดยข้อมูลทั้งหมดถูกนำขึ้นไปในระบบคราวด์ ทำให้สามารถการติดตามทั้งเรื่องสุขภาพและการเติบโตของสุกรได้ง่ายผ่านคิวอาร์โค้ด
ขณะที่ระบบรายงานออนไลน์สำหรับเกษตรกร (CHAT BOT) ช่วยในการบันทึกข้อมูลการผลิตได้ทั้งหมด ตั้งแต่จำนวนสุกร ปริมาณอาหาร ประวัติการให้วัคซีน ผ่านสมาร์ทโฟน ที่รวดเร็วกว่าการจดบันทึก และยังสามารถส่งภาพพฤติกรรมสุกรภายในโรงเรือนให้สัตวบาลและสัตวแพทย์ ช่วยวิเคราะห์สุขภาพสุกรได้ทุกที่ทุกเวลา

ด้านกระบวนการแปรรูปเนื้อสุกร ซีพีเอฟนำเทคโนโลยี IoT มาใช้ ด้วยการติดตั้งกล้องอัจฉริยะ ทำงานร่วมกับระบบ AI เพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์อัตราส่วนระหว่างเนื้อแดงกับไขมันในชิ้นเนื้อ ทำให้สินค้าได้มาตรฐาน ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค และสามารถตรวจสอบย้อนกลับมาได้ถึงฟาร์มเลี้ยงต้นทาง เพื่อพัฒนาคุณภาพการเลี้ยงให้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ ตั้งแต่ฟาร์มสุกรซึ่งเป็นต้นน้ำ ทำให้สุกรมีความสุข หรือ Happy Pig ต่อเนื่องไปถึงกระบวนการแปรรูปปลายน้ำ ส่งผลให้ได้เนื้อสุกรที่มีคุณภาพ ปลอดโรค และปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคทุกคน
มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED Foundation) นับเป็นหนึ่งในความร่วมมือครั้งสำคัญของภาคเอกชน 47 องค์กรในการยกระดับคุณภาพการจัดการการศึกษาไทยสู่มาตรฐานสากล แต่ละองค์กรที่เข้าร่วมกับมูลนิธิต่างเดินหน้าลงพื้นที่ร่วมพัฒนาการศึกษาไทยอย่างต่อเนื่อง
เช่นเดียวกับบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP ALL ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ ที่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเข้าไปสนับสนุนโรงเรียนถึงมากกว่า 573 โรงเรียน นับเป็นหนึ่งในองค์กรที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่โรงเรียนต่างๆ ภายใต้ CONNEXT ED ได้อย่างโดดเด่น

นายประสิทธิ์ ฉกาจธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ และ รองประธานคณะกรรมการบริหาร ซีพี ออลล์ คอนเน็กซ์ อีดี (CP ALL CONNEXT ED) เล่าว่า ซีพี ออลล์เข้ามาร่วมขับเคลื่อนโครงการตามปณิธานองค์กร “ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสต่อกัน” นับตั้งแต่ปีแรกของ CONNEXT ED โจทย์ใหญ่ที่สุดของซีพี ออลล์ ไม่ใช่แค่การเข้าไปช่วยยกระดับการศึกษา แต่คือ “การสร้างความยั่งยืน” ทำอย่างไรให้โรงเรียนยังเดินหน้าพัฒนาการศึกษาต่อได้ ในวันที่ทีมงานออกมาแล้ว ทำอย่างไรให้บุคลากรของโรงเรียนเห็นเป้าหมายของการพัฒนาเป็นภาพเดียวกัน ทำอย่างไรให้การพัฒนาการศึกษาสอดคล้องกับวิถีชีวิต อัตลักษณ์ จุดแข็งของโรงเรียนและท้องถิ่นนั้นๆ และทำอย่างไรให้ทั้งโรงเรียนและชุมชนใกล้โรงเรียนเกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต หรือ Life Long Learning
จากโจทย์ดังกล่าว บริษัทจึงดำเนินการหลายอย่างพร้อมกัน คือ 1.สนับสนุนทั้งงบประมาณ องค์ความรู้ อุปกรณ์การศึกษา วัสดุอุปกรณ์ ตลอดจนบุคลากรในบริษัท ที่ผ่านการพัฒนาทักษะและมีจิตสาธารณะ เข้าไปเป็นผู้นำรุ่นใหม่ (School Partner) พร้อมทั้งจัดเวิร์คช้อปที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง 2.แบ่งสาขาการสนับสนุนให้สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละโรงเรียนผ่านโครงการที่โรงเรียนเสนอเข้ามา ทั้งโครงการด้านวิชาชีพ ด้านเกษตรกรรม ด้านวิชาการ ด้านเทคโนโลยี ด้านศิลปวัฒนธรรม ด้านสิ่งแวดล้อม 3.แบ่งกลุ่มตามระดับความสำเร็จของการพัฒนา ได้แก่ โรงเรียนที่เพิ่งเข้าร่วม (Newcomer School) โรงเรียนที่ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Best Practice School) โรงเรียนต้นแบบ (School Model) โรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) และล่าสุดระดับใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นปีนี้ คือระดับวิสาหกิจโรงเรียน (School Enterprise) โดยเพิ่มแรงจูงใจ อาทิ การเพิ่มงบประมาณการสนับสนุนให้ในระดับที่สูงขึ้น

“การแบ่งระดับความสำเร็จ เป็นทั้งการสร้างกำลังใจและสร้างเป้าหมายให้แต่ละโรงเรียนในการเดินหน้ายกระดับการศึกษาของตัวเองอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เมื่อผ่าน 1 ระดับ โรงเรียนจะได้ทั้งความภาคภูมิใจ ได้งบประมาณสนับสนุนเพิ่มขึ้น และได้เป้าหมายใหม่ในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ละระดับจะมีเป้าหมายหรือเกณฑ์การผ่านของตัวเอง ยิ่งระดับสูงก็จะยิ่งมีเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนเข้มข้นขึ้น เมื่อได้รับระดับ School Model ขึ้นไป ก็มีโอกาสได้รับการนำโมเดลไปขยายผลยังโรงเรียนอื่นๆ เพิ่มเติม” นายประสิทธิ์ กล่าว

ด้าน นายตรีเทพ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ประธานคณะทำงานโครงการสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED บมจ.ซีพี ออลล์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา โรงเรียนส่วนใหญ่มีองค์ความรู้ทางวิชาการอยู่แล้ว แต่อาจยังขาดความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการโครงการอย่างยั่งยืน ตลอดจนแนวทางการบูรณาการหลักสูตร สิ่งที่ซีพี ออลล์ ดำเนินการ จึงเป็นการเข้าไปให้แนวทางการบริหารจัดการโครงการอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งตั้งเกณฑ์กรอบความยั่งยืน 3 มิติ ได้แก่ การเป็นโรงเรียนที่พึ่งพาตนเองได้ การบูรณาการความรู้สู่หลักสูตรสถานศึกษาหรือหลักสูตรท้องถิ่น และการพัฒนาสู่ศูนย์การเรียนรู้ชุมชน เพื่อเป็นแนวทางให้โรงเรียนที่ต้องการก้าวขึ้นสู่ระดับ School Model ขึ้นไป นำไปปฏิบัติ เพื่อยกระดับการศึกษา พร้อมทั้งสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้แก่นักเรียน โรงเรียน และชุมชน
“ในปีแรกๆ ยุทธศาสตร์ของเราคือการขยายฐานจำนวนโรงเรียนที่เข้าร่วม CONNEXT ED มุ่งเน้นสนับสนุนโรงเรียนที่ผ่านการกลั่นกรองคัดเลือกตามเกณฑ์ของโครงการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. เป็นหลัก ส่วนในปีนี้เปิดโอกาสให้โรงเรียนอื่นๆ ที่มีศักยภาพความพร้อม ตามบริบทโครงการเพื่อสังคม สิ่งแวดล้อมของบริษัทเช่น การปลูกป่า การจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมซึ่งพิจารณาจากทีมเวิร์คของโรงเรียน ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นสำคัญ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน พร้อมทั้งยกระดับโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการกับเราแล้ว ให้ก้าวสู่ระดับความสำเร็จที่สูงขึ้น คาดว่าสิ้นปีการศึกษา 2566 จะมีโรงเรียนที่เราดูแลรวม 573 โรงเรียน ครอบคลุมจำนวนนักเรียนกว่า 140,000 คน” นายตรีเทพ กล่าว

ล่าสุด เฟสปัจจุบัน มีโรงเรียนที่ผ่านการคัดเลือกสู่ระดับความสำเร็จที่สูงขึ้นทั้งสิ้น 79 แห่ง แบ่งเป็นโรงเรียนที่เพิ่งเข้าร่วม (Newcomer School) 27 แห่ง โรงเรียนที่ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Best Practice School) 18 แห่ง โรงเรียนต้นแบบ (School Model) 13 แห่ง โรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) 9 แห่ง และวิสาหกิจโรงเรียนที่ปลูกฝังอาชีพ สร้างคลัสเตอร์รายได้ (School Enterprise) 12 แห่ง โดยมีหลายโรงเรียนที่ดำเนินโครงการได้อย่างน่าสนใจ อาทิ โครงการอุทยานการเรียนรู้ “Happy School” ความสุขที่ยิ่งใหญ่ของการเรียนรู้และการท่องเที่ยว ของ โรงเรียนบ้านเขาเฒ่า จ.พัทลุง ที่สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวกลับสู่ชุมชนปีละกว่า 90,000 บาท และได้รับการคัดเลือกขึ้นมาเป็น School Model และ โครงการดาวเรืองร้อยใจร้อยล้านของโรงเรียนวังไพรวิทยาคม จ.สระแก้ว ที่ได้รับการคัดเลือกขึ้นมาเป็น Best Practice School

นางวรรณวนา พิทักษ์สงคราม ผู้อำนวยการโรงเรียนวังไพรวิทยาคม จ.สระแก้ว กล่าวว่า ชุมชนโดยรอบของโรงเรียนเป็นพื้นที่ปลูกดาวเรืองเพื่อจำหน่ายดอกสด ซึ่งมีผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมาก ไซส์เล็กขายไม่ได้ หากนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นก็จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มได้ จึงปรึกษาพันธมิตรภาคส่วนต่างๆ ในพื้นที่ อาทิ วิทยาลัยอาชีวะ ปราชญ์ชาวบ้าน โดยแนะนำให้ปลูกแบบออร์แกนิก เพื่อนำมาผลิตเป็นสินค้าออร์แกนิก แนะนำเทคนิคการมัดย้อม จนได้มาเป็นโครงการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากดอกดาวเรือง การได้เข้าร่วมโครงการเป็นการช่วยกระตุ้นให้เกิดพลังในการพัฒนาโครงการ ผ่านการให้การสนับสนุนด้านงบประมาณและองค์ความรู้ ที่สำคัญคือโรงเรียนได้มีการปรับหลักสูตรใหม่ ครูได้มีการคิดนอกกรอบ บูรณาการหลักสูตรแบบ Life Long Learning โดยแบ่งการเรียนรู้ออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแปรรูปเพื่อการบริโภค กลุ่มแปรรูปเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์มัดย้อม และกลุ่มปลูก ปัจจุบันได้มีการพัฒนาต่อยอดสู่เทคนิค Eco Printing ให้ลวดลายที่สวยงามนำวัสดุธรรมชาติ เช่น ใบไม้ มาพิมพ์ลายบนผ้า เด็กได้มีส่วนร่วมทุกขั้นตอน สร้างองค์ความรู้อย่างยั่งยืน สู่อาชีพสร้างรายได้ในอนาคต
เราเป็นกลุ่มชาวสวนทุเรียนขนาดเล็ก ในจังหวัดระยอง ที่ผ่านมา ก็ต่างคนต่างขาย โดยมีพ่อค้าคนกลางเข้ามารับซื้อ หรือขายเองที่หน้าสวน บางครั้งมาส่งขายที่ตลาดผลไม้ หลายครั้งระบายผลผลิตไม่ทัน ราคาตก แต่เมื่อรวมกลุ่มกับเกษตรกรรายเล็กด้วยกัน แล้วนำผลผลิตมาจำหน่ายที่แม็คโคร ก็ทำให้เราพบความแตกต่าง
นี่เป็นเสียงบอกเล่าของ “ธันยาภัทร์ ศิริณทิพย์” เจ้าของสวนทุเรียนในจังหวัดระยอง ตัวแทนกลุ่มเกษตรกรขนาดเล็ก ที่ได้พบโอกาสในการกระจายผลผลิตทุเรียนคุณภาพ สู่ตลาดค้าส่งอย่าง “แม็คโคร”
“เมื่อปีที่แล้ว เรารวมกลุ่มเกษตรกรในท้องถิ่น เพื่อนำผลผลิตมาจำหน่ายที่แม็คโคร ซึ่งเปิดโอกาสให้เรานำผลผลิตคุณภาพ โดยคัดเกรดทุเรียนระดับพรีเมียม สดจากสวน มาส่งตรงถึงมือผู้บริโภค กลุ่มเกษตรกรของเราเป็นพี่น้องชาวสวนขนาดเล็กที่มีพื้นที่เพาะปลูกรายละ 10 – 20 ไร่ แม็คโครทำให้เรามีช่องทางในการกระจายผลผลิตมากขึ้น ผลผลิตก็ได้ราคาดี เพราะไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง ส่วนผู้บริโภค ได้เข้าถึงผลไม้คุณภาพดี ในราคาไม่แพง”
แม็คโครได้ทำงานใกล้ชิดกับเกษตรกร ตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อให้ได้ทุเรียนที่มีคุณภาพดี โดยมีมาตรฐานการรับซื้อจากกำหนดการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ระดับความแก่ 80% ขึ้นไป เพื่อให้มีรสชาติดี ซึ่งทุเรียนที่ขายผ่านสาขาของแม็คโครจะมีหลายรูปแบบ ทั้งแบบชั่งกิโล แกะเนื้อ และบรรจุในแพ็คเกจ สร้างผลตอบแทนที่ดี รวมถึงสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับเกษตรกรหลายคน
ทุกวันนี้ ทุเรียนคุณภาพดีจากสวนของ “ธันยาภัทร์” เป็นหนึ่งในทุเรียนจากหลายสวนของเกษตรกรทีจำหน่ายอยู่ในสาขาของแม็คโคร ซึ่งในยามนี้เป็นหนึ่งในสินค้าขายดี ที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าผู้ประกอบการ ผู้บริโภค ทั่วไป ที่ต้องการลิ้มรสราชาแห่งผลไม้ในช่วงฤดูกาลที่สมบูรณ์ที่สุด
ด้วยเจตนารมณ์อันมุ่งมั่นของแม็คโคร ในการทำธุรกิจเคียงข้างเกษตรกรไทย จึงเดินหน้าสนับสนุนผลผลิตจากเกษตรกรช่วงฤดูกาลผลไม้ออกสู่ตลาด โดยในปี 2566 นี้ ได้วางแผนการรับซื้อผลไม้ฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็น ทุเรียน มะม่วง เงาะ มังคุด ลำไย สละ ฯลฯ กว่า 36 ล้านกิโลกรัม หรือประมาณ 36,000 ตัน เพิ่มขึ้น 20 % จากปีก่อน โดยกระจายไปจำหน่ายผ่านสาขาของแม็คโครทุกสาขาทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์
จากโอกาสที่ “ธันยาภัทร์” ได้รับ ไม่เพียงทำให้เธอมีช่องทางระบายผลผลิตทุเรียนที่กำลังออกผลในตลาดค้าส่งชั้นนำ แต่ “แม็คโคร” ยังแนะนำองค์ความรู้ทางด้านการตลาด รวมถึงมาตรฐานต่างๆ เพื่อสร้างจุดเด่นให้ผลผลิตทุเรียนจากสวนเล็กๆ ในจังหวัดระยองเต็มไปด้วยเสน่ห์ ซึ่งทำให้เธออยากแบ่งปันโอกาสดีๆ นั้นให้เพื่อนชาวสวนทุเรียนในพื้นที่อื่นบ้าง
ธันยาภัทร์ กล่าวอีกว่า “เราอยากให้ลูกค้าได้ลิ้มลองรสชาติที่แตกต่าง ซึ่งเป็นจุดเด่นของทุเรียนในแต่ละจังหวัด ที่ชาวสวนขนาดเล็กพยายามอนุรักษ์จุดเด่นของทุเรียนเอาไว้ เช่น ทุเรียน ระยอง จะมีเนื้อเหนียวนุ่ม หวานกำลังดี ขณะที่ทุเรียนจันท์ จะหวานกว่าและเนื้อไม่ค่อยเหนียว”
ปีนี้กระทรวงพาณิชย์คาดว่าจะมีผลผลิตผลไม้ออกสู่ตลาดไม่ต่ำกว่า 6.7 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 3% จากปีที่ผ่านมา และหนึ่งในแนวทางสำคัญในการบริหารจัดการผลไม้ในประเทศ คือการกระจายผลผลิตผ่านช่องทางโมเดิร์น เทรด รวมถึง แม็คโคร ซึ่งจะเป็นการช่วยระบายผลไม้ตามฤดูกาลให้เกษตรกรชาวสวน ลดปัญหาผลผลิตล้นตลาด หรือผลผลิตราคาต่ำ
เพื่อสนับสนุนเกษตรกรไทย สร้างรายได้ที่ยั่งยืน แม็คโคร ยังได้จัดโปรแกรมส่งเสริมการขายต่อเนื่องทุกเดือน ภายใต้คอนเซ็ปต์ Amazing Thai Taste โดยเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน – เดือนสิงหาคม เป็นการกระตุ้นการบริโภคกับลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ประกอบการร้านอาหาร ที่ต้องการวัตถุดิบไปใช้ในการสร้างสรรค์เมนู รับกระแสการท่องเที่ยวที่กำลังคึกคัก
HUAWEI MatePad 11 2023 แท็บเล็ตรุ่นล่าสุดที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ HarmonyOS 3.1