

สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) ผนึกกำลังพาร์ทเนอร์ ภาครัฐ เอกชน ลุยเปิดตัว‘ETDA Hackathon: Unlocking the Future of Digital ID’ ชูแนวคิด ‘จุดประกายความคิด ปลดล็อคอนาคต Digital ID’ เฟ้นหาสุดยอดโซลูชัน นวัตกรรม ต่อยอด Digital ID สำหรับ ‘นิติบุคคลและคนต่างด้าว’ ชวนคนสาย Tech ที่มีไอเดีย มาร่วมพัฒนา Digital Ecosystem เพื่อการทำธุรกรรมออนไลน์ที่มั่นใจปลอดภัยด้วย Digital ID ได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 มีนาคม 2568

ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ ETDA เปิดเผยว่า "ETDA มุ่งมั่นผลักดัน Digital ID หรือการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล สู่การเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นใจให้กับทุกธุรกรรมออนไลน์ที่ทุกคนเข้าถึงได้” โดยที่ผ่านมา ETDA ได้ดำเนินการภายใต้กรอบการขับเคลื่อน Digital ID ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2565 - 2567) ซึ่งได้สร้างรากฐานสำคัญหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนผู้ใช้งาน Digital ID ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ผ่านบริการ ThaID (ไทยดี) ของกรมการปกครองที่เป็น Digital ID หลักของบุคคลธรรมดาสำหรับการทำธุรกรรมออนไลน์กับภาครัฐ รวมถึงการพัฒนาระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าทางดิจิทัล (Face Verification Service: FVS) ที่ช่วยยกระดับความปลอดภัยของการยืนยันตัวตนผ่านข้อมูลชีวมิติ เป็นต้น
ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ETDA ได้ต่อยอดสู่ กรอบแนวคิด Digital ID ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2568 – 2570) โดยมุ่งเน้นให้ Digital ID เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สะดวก ปลอดภัย ไร้รอยต่อ และครอบคลุมทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ผ่านกลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ 1) การอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงบริการภาครัฐผ่าน Digital ID 2) การสร้างความน่าเชื่อถือของ Digital ID เพื่อช่วยลดปัญหาการปลอมแปลงและฉ้อโกง 3) การสนับสนุนการทำธุรกรรมของนิติบุคคลด้วย Digital ID 4) การพัฒนากลไก Data Sharing ระหว่างภาคธุรกิจและหน่วยงานภาครัฐ 5) การวางโครงสร้างพื้นฐานให้คนต่างด้าวสามารถใช้ Digital ID ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 6) สร้างกลไกติดตามและประเมินความเสี่ยงของผู้ให้บริการ Digital ID
ETDA คาดหวังว่า ภายในปี พ.ศ. 2570 ประชาชนจะสามารถใช้ Digital ID ในการเข้าถึงบริการ e-Service ได้ไม่น้อยกว่า 1,000 บริการ ขณะเดียวกัน Digital ID จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการ ลดปัญหาการปลอมแปลงและการฉ้อโกงในแพลตฟอร์มออนไลน์และธุรกรรมทางการเงิน รวมถึงการได้รับการยอมรับและใช้งานอย่างแพร่หลายในภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะ Document Wallet ที่จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของการทำธุรกรรมในอนาคต ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า การขับเคลื่อน Digital ID ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างเต็มรูปแบบ

“ETDA Hackathon” เวทีเฟ้นหาสุดยอดไอเดียปลดล็อก Digital ID
แม้จะมีความก้าวหน้ามากขึ้น แต่ยังพบความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะ กลุ่มนิติบุคคลและคนต่างด้าว ที่ยังคงเผชิญข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการ Digital ID ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการตรวจสอบข้อมูลการมอบอำนาจโดยผู้แทนนิติบุคคลรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือการพิสูจน์และยืนยันตัวตนของคนต่างด้าวที่ยังไม่มีมาตรฐานกลางรองรับในทุกภาคส่วน ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานสอดคล้องกับข้อจำกัดรวมถึงแผนยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องดังกล่าว ETDA จึงจับมือพาร์ทเนอร์ ได้แก่ กรมการปกครอง กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมสรรพากร กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และ บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด จัดการแข่งขัน “ETDA Hackathon: Unlocking the Future of Digital ID” ภายใต้แนวคิด ‘จุดประกายความคิด ปลดล็อคอนาคต Digital ID’ เพื่อมุ่งเฟ้นหานวัตกรรม โซลูชัน Digital ID ที่จะเข้ามาช่วยในการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล สำหรับกลุ่มนิติบุคคลและคนต่างด้าวซึ่งเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจ แต่ยังคงเผชิญความท้าทายในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยมุ่งเน้นในการเฟ้นหานักพัฒนานวัตกรรม โซลูชัน ที่มีความรู้ความสามารถมาร่วมสร้างสรรค์ไอเดียที่ช่วยให้ทุกภาคส่วนเข้าถึงบริการออนไลน์ได้อย่างสะดวกและปลอดภัย พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของทั้งภาคธุรกิจและประชาชน

การแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 โจทย์สำคัญ ได้แก่:
โดยจะเริ่มเปิดรับสมัครผู้เข้าแข่งขัน ตั้งแต่วันนี้ – 31 มีนาคม 2568 ก่อนดำเนินการคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และประกาศรายชื่อทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบ 15 ทีม ในวันที่ 4 เมษายน 2568 จากนั้นผู้เข้าแข่งขันทุกทีมจะต้องไปต่อกับกิจกรรม Workshops และ Mentoring Sessions จากผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าด้าน Digital ID ของประเทศไทย ที่จะได้ ทั้งเทคนิคการออกแบบ Digital ID ที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง หลักการบริหารจัดการข้อมูลและความปลอดภัยในระบบ Digital ID ตลอดจนคำแนะนำเชิงเทคนิคในการพัฒนาโซลูชัน Digital ID ให้มีประสิทธิภาพและขยายผลได้ ก่อนคัดเลือกให้เหลือ 10 ทีมสุดท้ายที่จะไปต่อในรอบไฟนอลกับการแข่งขัน ETDA Hackathon: Unlocking the Future of Digital ID ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนเมษายน 2568

สำหรับสิทธิประโยชน์และเงินรางวัล ที่ทีมเข้าร่วมการแข่งขันจะได้รับ มีมูลค่ารวมกว่า 360,000 บาท โดยทีมที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมรางวัลชนะเลิศในแต่ละโจทย์จะได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 1 ได้รับ 50,000 บาท และรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้รับ 30,000 บาท อย่างละ 2 รางวัล รวมทั้งหมด 6 รางวัล นอกจากนี้ ทุกทีมที่ชนะจะยังได้รับโอกาสในการนำเสนอผลงานบน Tech Showcase Stage ในงาน Techsauce Global Summit 2025 พร้อมประกาศนียบัตร (e-Certificate) รับรองผลงานจาก ETDA พร้อมโอกาสในการต่อยอดนวัตกรรม สร้างความพร้อมก่อนใช้งานจริงไปกับ ETDA Sandbox รวมถึงโอกาสในการในการถึง Venture Capital หรือเหล่านักลงทุนที่จะมาร่วมต่อยอดและพัฒนานวัตกรรม Digital ID สู่การใช้งานในวงกว้าง ไปพร้อมกับ ETDA และเครือข่ายพาร์ทเนอร์ เพื่อสนับสนุนการขยายผลสู่ธุรกิจและขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศด้วย Digital ID

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ “ETDA Hackathon: Unlocking the Future of Digital ID” จะต้องมีคุณสมบัติ คือ อายุ 20 ปีขึ้นไป รวมเป็นทีม ทีมละ 3 - 5 คน ที่สำคัญต้องมีความสามารถในการพัฒนา Digital Solution ตอบโจทย์การแข่งขัน ที่พร้อมเรียนรู้และพร้อมเข้าร่วมกิจกรรมที่ ETDA จัดขึ้นภายใต้การแข่งขัน ETDA Hackathon โดยสามารถสมัครร่วมโครงการได้ ตั้งแต่วันนี้ – 31 มีนาคม 2568 ที่ ลิงก์ https://www.etda.or.th/th/digital-id-hackathon สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. หรือติดตามความเคลื่อนไหวที่เพจ Facebook : ETDA Thailand
"Digital ID คือกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย ETDA ขอเชิญชวนนักพัฒนานวัตกรรม โซลูชัน และผู้มีไอเดีย มาร่วมสร้างโซลูชันที่จะแก้ปัญหาจริง ใช้งานได้จริง และสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับประเทศผ่านเวที ETDA Hackathon มาร่วมปลดล็อกอนาคต Digital ID ไปด้วยกัน!" ดร.ชัยชนะ กล่าวทิ้งท้าย
เนื่องในโอกาสวันสตรีสากล (International Woman’s Day) วัตสัน ประเทศไทย ขอเชิญชวนทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการจุดประกายความมั่นใจ พร้อมเปลี่ยนแปลงสังคมสู่ความเท่าเทียม ผ่านแคมเปญ “Together, We’re Unstoppable” เพราะเราเชื่อมั่นว่าพลังของผู้หญิงเมื่อได้รับการสนับสนุน จะสามารถขับเคลื่อนสังคมให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน ในแบบที่ทุกคนสามารถมีโอกาสในการเติบโตและประสบความสำเร็จ ตามแบบฉบับของตัวเองได้อย่างเท่าเทียมกัน
กว่า 10 ปีที่วัตสันมุ่งมั่นเป็นกระบอกเสียงด้านความเท่าเทียมสำหรับผู้หญิง เข้าใจถึงบทบาทและความท้าทายในชีวิตผู้หญิงทุกคน พร้อมสร้างสังคมที่เท่าเทียมและเป็นมิตรต่อผู้หญิงอย่างแท้จริง ปีนี้ยังคงเดินหน้าส่งเสริมศักยภาพผู้หญิงด้วยกิจกรรม “Green Ribbons” เชิญชวนทุกคนร่วมสมทบทุนช่วยเหลือผู้หญิงในภาวะวิกฤติ รายได้ทั้งหมดไม่หักค่าใช้จ่าย จะนำไปบริจาคให้แก่ “บ้านพักฉุกเฉิน” เพื่อช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กที่ต้องการที่พักพิงและการสนับสนุนพลังกายและใจในการกลับสู่สังคมอย่างมั่นใจอีกครั้ง

โดยกิจกรรม Green Ribbons ในปีนี้ จัดขึ้นที่อาคารซี.พี.ทาวเวอร์ ถนนสีลม นำโดยอิศราวดี มีป้อม Customer Controller วัตสัน ประเทศไทย พร้อมพาร์ทเนอร์แบรนด์สำคัญ ได้แก่ Eucerin, Dove และ SENKA โดยมีไฮไลต์ของงาน ‘เก่ง-น้ำปิง’ (เก่ง หฤษฎ์ บัวย้อย และน้ำปิง นภัสกร ปิงเมือง ) คู่จิ้นสุดฮอต ที่บุกย่านสีลม ร่วมเป็นกระบอกเสียงเชิญชวนทุกคนที่ผ่านไปมา และเหล่าแฟนคลับได้มีส่วนร่วมในการสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมอย่างเท่าเทียม ผ่านการซื้อ Green Ribbons หรือโบว์สีเขียว ในราคาชิ้นละ 100 บาท นอกจากนี้วัตสันยังร่วมมือกับแบรนด์พันธมิตรที่มีเป้าหมายร่วมกันในการเสริมสร้างศักยภาพของผู้หญิงอย่างยั่งยืน

สามารถซื้อโบว์เขียว ได้ที่ร้านวัตสัน ทุกสาขา และทุก ๆ การซื้อผลิตภัณฑ์ Eucerin, Dove หรือ SENKA ที่เข้าร่วมรายการ จำนวน 1 ชิ้นในร้านวัตสัน เท่ากับช่วยบริจาคเพื่อสนับสนุนโอกาสให้ผู้หญิงที่อยู่ในความดูแลของบ้านพักฉุกเฉิน*
*Eucerin 1 ชิ้น = บริจาค 5 บาท (สมทบสูงสุด 100,000 บาท) - Dove 1 ชิ้น = บริจาค 5 บาท (สมทบสูงสุด 50,000 บาท) - SENKA 1 ชิ้น = บริจาค 5 บาท (สมทบสูงสุด 50,000 บาท)

อิศราวดี มีป้อม Customer Controller วัตสัน ประเทศไทย กล่าวถึงการสนับสนุนบทบาทของผู้หญิงในสังคมว่า “วัตสันเชื่อมั่นในพลังของการร่วมมือกัน เพื่อส่งเสริมให้ผู้หญิงได้มีบทบาทสำคัญในสังคมอย่างแท้จริง ปีนี้เรายังคงระดมทุนผ่านการจำหน่ายโบว์สีเขียว ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำ เพื่อส่งเสริมผู้หญิงในสังคมอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากนั้น ความพิเศษของปีนี้ เราได้รับความร่วมมือจากแบรนด์ชั้นนำ อย่าง Eucerin , Dove และ SENKA ที่มีความมุ่งมั่นที่พร้อมส่งเสริมศักยภาพของผู้หญิงพร้อมกันกับเรา ด้วยความเชื่อมั่นว่าเมื่อเราร่วมมือกัน เราจะก้าวข้ามทุกข้อจำกัดไปได้ รวมถึงสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่มีความเท่าเทียมกันได้อย่างยั่งยืน”

วราพร ลิขิตจรรยากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ ประเทศไทย กล่าวว่า “Eucerin เชื่อว่าผิวที่แข็งแรงเป็นรากฐานของความมั่นใจ และเมื่อผู้หญิงมีความมั่นใจ พวกเธอจะสามารถก้าวข้ามทุกข้อจำกัด พร้อมแสดงศักยภาพในตัวเองได้ Eucerin พร้อมสนับสนุนโครงการดีๆ นี้ โดยร่วมบริจาคจากยอดการซื้อผลิตภัณฑ์ยูเซอรินที่ร้านวัตสันทุกชิ้น เพื่อช่วยเหลือผู้หญิงที่ต้องการโอกาสในการสร้างอนาคตที่ดีขึ้น”
นภัสกร อรุณสิทธิ์ Beauty & Well Being Thailand premium & Dcom Lead บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า “Dove ให้การสนับสนุนแนวคิดเรื่อง Real Beauty มาโดยตลอด ซึ่งเราอยากให้ผู้หญิงทุกคนรักตัวเองในแบบที่เป็น เห็นคุณค่า และมั่นใจในศักยภาพของตัวเอง ดังนั้นเราจึงรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ร่วมโครงการดี ๆ จากวัตสัน เพื่อส่งเสริมให้ผู้หญิงทุกคนได้รับการสนับสนุน ได้รับกำลังใจ และส่งพลังบวกทั้งจากภายในและภายนอก”
ด้าน ไศลรัต บุญญวิตร Country Manager บริษัท ไฟน์ ทูเดย์ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า “SENKA เชื่อในพลังของการดูแลตัวเองและการช่วยเหลือผู้อื่น เราจึงสนับสนุนโครงการนี้ผ่านการสมทบทุนจากทุกการซื้อผลิตภัณฑ์ SENKA เพื่อส่งเสริมคุณค่าการใช้ชีวิตของผู้หญิงทุกคนในวันนี้ และคนรุ่นต่อไปในวันหน้า ให้ทุกวันเป็นช่วงเวลาที่ดี รวมถึงผู้หญิงที่ต้องการกำลังใจให้สามารถเริ่มต้นใหม่ได้อย่างมั่นใจในอนาคต”

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเปลี่ยนแปลง ด้วยการเดินหน้าสร้างพลังให้กับผู้หญิงทุกคน เพราะเมื่อเราร่วมมือกัน พลังของเราจะไร้ขีดจำกัด และสามารถสร้างอนาคตที่สดใสให้กับทุกคนได้ เพียงซื้อวัตสันโบว์สีเขียว หรือผลิตภัณฑ์ที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันที่ 8-14 มีนาคม 2568 ที่ร้านวัตสันทุกสาขาทั่วประเทศ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สื่อประชาสัมพันธ์ ณ จุดขาย หรือ Line Official @WatsonsTH, เว็บไซต์ Watsons.co.th หรือผ่านแอป WatsonsTH ดาวน์โหลดได้ที่ Google Play Store และ App Store
ดร.อายุศรี คำบรรลือ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายพัฒนามาตรฐานการกำกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. ได้จัดการประชุมชี้แจงกรอบการจัดทำ OIC Stress Test ประจำปี 2568 ให้กับธุรกิจประกันชีวิตและธุรกิจประกันวินาศภัย เพื่อประเมินความทนทานของระบบประกันภัยภายใต้สถานการณ์ความเสี่ยงจำลอง (Stress Test) ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการกำกับดูแลภาคประกันภัยโดยการทดสอบ Stress Test ของสำนักงาน คปภ. ในปีนี้ เป็นการทดสอบแบบ Top-Down Scenario เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบต่อระบบประกันภัยในภาพรวม โดยเฉพาะผลกระทบที่อาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเงินและก่อให้เกิด ความเสี่ยงเชิงระบบ เราได้บูรณาการการทดสอบร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อให้สามารถประเมินความเสี่ยงของภาคการเงินไทยได้อย่างรอบด้าน
สำหรับในปี 2568 สำนักงาน คปภ. มุ่งเน้นการกำหนดปัจจัยเสี่ยงที่ครอบคลุมทั้งด้านประกันภัยและเศรษฐกิจ โดยพิจารณาผลกระทบจากนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา (Trump 2.0) ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง (Geopolitics) และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ซึ่งล้วนส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย โดยกำหนดสถานการณ์ Adverse ที่สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย รายได้ประชากรลดลง อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นจากต้นทุนค่าแรงและค่าอะไหล่ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน ทำให้อัตราการเข้ารับการรักษาพยาบาลและค่ารักษาพยาบาลสูงขึ้น อีกทั้งภัยธรรมชาติมีความถี่และความรุนแรงเพิ่มขึ้น
“สำนักงาน คปภ. ได้พัฒนาวิธีการกำหนดปัจจัยความเสี่ยงเพื่อให้การประเมินมีความแม่นยำมากขึ้น โดยใช้ Business Profile ของแต่ละบริษัท ซึ่งอ้างอิงจาก Internal OIC Model : Customized Parameters บริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมการทดสอบจะต้องพิจารณาปัจจัยทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตนเอง โดยใช้ข้อมูลในอดีต (Historical Data) แบบจำลองคณิตศาสตร์ประกันภัย (Actuarial Model) และการพิจารณาแบบ Forward Looking ทั้งนี้ เป้าหมายของเราคือการเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงิน (Solvency) และสภาพคล่อง (Liquidity) ของภาคธุรกิจประกันภัยให้มั่นคงยิ่งขึ้นการดำเนินการ OIC Stress Test เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการกำกับดูแลเชิงป้องกัน (Preventive Supervision) ที่สำนักงาน คปภ. ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บริษัทประกันภัยสามารถรับมือกับความเสี่ยงต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างความเชื่อมั่นในระบบประกันภัยไทยในระยะยาว” ผู้ช่วยเลขาธิการ สายพัฒนามาตรฐานการกำกับ กล่าวในตอนท้าย
สมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี (ประเทศไทย) เป็นเจ้าภาพจัดมหกรรมสัมมนาวิชาการและนิทรรศการนานาชาติ IEEE PES GTD Asia 2025 เผยโฉมนวัตกรรมด้านไฟฟ้าและพลังงานล่าสุด และยังมีการจัดสัมมนาเชิงวิชาการระดับโลกที่น่าสนใจ ระดมผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย นักพัฒนา และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและพลังงานชั้นนำจากทั่วโลกกว่า 400 ธุรกิจ และคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานประชุมและเยี่ยมชมงานกว่า 10,000 คน
นายวิลาศ เฉลยสัตย์ นายกสมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี (ประเทศไทย) และผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากความสำเร็จในการจัดงานสัมมนาวิชาการและนิทรรศการนานาชาติ IEEE PES Generation Transmission and Distribution (GTD) Grand International Conference and Exposition Asia 2019 ซึ่งเป็นการจัดงานฯ ครั้งแรกในประเทศไทยและครั้งแรกในเอเชีย เมื่อวันที่ 19 - 23 มีนาคม พ.ศ. 2562 โดยในระหว่างการจัดงานฯ มีผู้ประกอบการด้านไฟฟ้าและพลังงานเข้าร่วมจัดนิทรรศการนานาชาติบนพื้นที่การจัดแสดงงานกว่า 17,000 ตารางเมตร และมีผู้เข้าร่วมการประชุมและเยี่ยมชมนิทรรศการภายในงานกว่า 10,000 คน

จากความสำเร็จดังกล่าว ส่งผลให้ทางสมาคมฯ และประเทศไทยได้รับความไว้วางใจจาก IEEE Power & Energy Society สำนักงานใหญ่ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเจ้าภาพจัดงาน IEEE PES GTD Asia 2025 (งานประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติด้านไฟฟ้าและพลังงาน ไอทริปเปิลอี เอเชีย 2568) ขึ้นอีกครั้ง ในระหว่างวันที่ 26 – 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายใต้หัวข้อหลัก “Accelerating The Energy Transition toward Carbon Neutrality – A Sustainable Energy Future for All” หรือ “การเปลี่ยนแปลงพลังงานสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนเพื่ออนาคตพลังงานที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน” ซึ่งนับเป็นโอกาสอันดีที่งานระดับโลกดังกล่าวได้มาจัดที่ประเทศไทยเป็นครั้งที่สามในเอเชีย และครั้งที่สองในประเทศไทย โดยมีแผนจะจัดงานเป็นประจำในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในระยะยาว หลังจากที่ได้มีการจัดงาน ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา มาเป็นระยะเวลากว่า 40 ปี
ศาสตราจารย์ ดร. วีรกร อ่องสกุล ประธานการจัดงานประชุมและนิทรรศการฯ แนะนำว่าภายในงาน IEEE PES GTD Asia 2025 ในครั้งนี้ จะเป็นการรวม Main Tracks ด้านระบบผลิตพลังงาน ระบบส่งและจำหน่ายพลังงาน ด้านพลังงานทดแทน และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน รวมทั้งยังมีการประชุมวิชาการ และการจัดนิทรรศการนานาชาติจากบริษัทและองค์กรชั้นนำระดับโลก ซึ่งมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิระดับนานาชาติเข้ามาถ่ายทอดความรู้ และเทคโนโลยีล่าสุดด้านพลังงาน นำไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการพัฒนาการวิจัยและนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีไฟฟ้าและพลังงานของประเทศให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม

สำหรับรูปแบบการจัดกิจกรรมภายในงาน จะมีการจัดแสดงผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม (Exhibition and Showcase) , การนำเสนอบทความวิจัย (Oral Session) , การบรรยายปาฐกถาพิเศษ (Keynote Session) , การเสวนา (Panel Session) , การบรรยายสาธิตเชิงวิชาการ (Tutorial and Workshop) , การแสดงผลงานวิจัยผ่านโปสเตอร์ (Poster Session) , การประชุมวิชาการในหัวข้อที่เกี่ยวข้อง (Conference and Meeting) , การศึกษาและดูงานเชิงเทคนิค (Technical Tour) , กิจกรรมทางสังคม (Social Function) และกิจกรรม Networking
นอกจากนี้ สมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี (ประเทศไทย) ยังได้ลงนามความร่วมมือเพื่อจัดงานประชุมและแสดงสินค้าระดับนานาชาติ IEEE PES GTD Asia 2025 สำหรับการศึกษาและพัฒนาบุคคลากรด้านไฟฟ้าและพลังงานกับหน่วยงานพลังงานชั้นแนวหน้าของไทย 4 หน่วยงาน โดยมีผู้แทนจากแต่ละหน่วยงานมาร่วมแสดงพลังและความร่วมมือในงานแถลงข่าวดังนี้ คุณวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ในนามนายกสมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี (ประเทศไทย), คุณธวัชชัย สำราญวานิช รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.), คุณพิศณุ ตันติถาวร รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์องค์กรและความยั่งยืน การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.), คุณพงศกร ยุทธโกวิท รองผู้ว่าการวางแผนและวิศวกรรม การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และ คุณภาสพงษ์ แสงพฤกษ์ Executive Vice President Upstream and Gas Business Group Planning บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ จะเป็นแรงผลักดันสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานและไฟฟ้าของไทย นำไปสู่การสร้างนวัตกรรม พัฒนาทักษะบุคลากรขั้นสูง เสริมสร้างความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรม เปิดโอกาสให้เรียนรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านไฟฟ้าและพลังงานที่ได้มาตรฐานระดับนานาชาติ กระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมบุคลากรในชาติให้เข้าถึงองค์ความรู้ใหม่ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด และยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลก

รศ.ดร.นพพร ลีปรีชานนท์ อุปนายกด้านการจัดประชุมวิชาการ (IEEE PES Thailand Vice Chair Meeting and Conference) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของประเภทสินค้าและบริการที่จัดแสดงภายในงานฯ ได้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 โซน ดังนี้
ภายในโซนนิทรรศการจะเป็นเวทีจัดแสดงนวัตกรรม และเทคโนโลยีด้านไฟฟ้าและพลังงาน โดยมีไฮไลท์ที่สำคัญจากผู้สนับสนุนหลักในการจัดแสดงนำโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.), การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.), การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือปตท. รวมทั้งยังมีการจัดแสดงสินค้าและบริการจากบริษัทชั้นนำระดับนานาชาติ อาทิ บริษัท ฮิตาชิ เอนเนอร์ยี่ (ประเทศไทย) บริษัท ชไนเดอร์ อีเล็คทริค (ประเทศไทย) และบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและพลังงาน จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับประเทศไทยในการแสดงศักยภาพด้านการพัฒนาความเป็นกลางทางคาร์บอนเพื่ออนาคตพลังงานที่ยั่งยืน กระตุ้นการวิจัย ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชน และสร้างเครือข่ายความร่วมมือของด้านไฟฟ้าและพลังงานระหว่างประเทศอย่างยั่งยืนในอนาคต
ส่วนของการจัดประชุมวิชาการนั้น มีหัวข้อที่น่าสนใจตามแนวโน้มด้านไฟฟ้าและพลังงานสู่ความยั่งยืน ซึ่งบรรยายโดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิระดับนานาชาติ นำเสนอในรูปแบบการประชุมต่างๆ ทั้งการบรรยายปาฐกถาพิเศษ (Keynote Session) , การนำเสนอบทความวิจัย (Oral Session) , การเสวนา (Panel Session) , การบรรยายสาธิตเชิงวิชาการ (Tutorial and Workshop) , การแสดงผลงานวิจัยผ่านโปสเตอร์ (Poster Session) ซึ่งมีไฮไลท์การเสวนานำโดย คุณดีน ชาราฟี (Dean Sharafi) ที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Strategic Advisor – Energy Transition) จากองค์กร Australian Energy Market Operator (AEMO) ประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น
ในส่วนของกลุ่มเป้าหมายในการชมงาน จะเป็นหน่วยงานภาครัฐ กลุ่มรัฐวิสาหกิจ กลุ่มธุรกิจพลังงานและหน่วยงานสาธารณูปโภค รวมไปถึงวิศวกร กลุ่มโรงงานและแหล่งผู้ใช้ไฟฟ้าขนาดกลางและใหญ่ กลุ่มอาคารและผู้รับเหมาก่อสร้าง กลุ่มเคมีและปิโตรเคมี นักวิจัยและนักพัฒนา ผู้ให้บริการด้านไฟฟ้าและพลังงาน ที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมและพลังงาน สถาบันการศึกษาและนักวิชาการ โดยคาดว่าในระหว่างการจัดงานตลอด 4 วัน จะมีผู้ประกอบการด้านไฟฟ้าและพลังงานชั้นนำจากทั่วโลกกว่า 400 ธุรกิจ และมีผู้เข้าร่วมการประชุมและเยี่ยมชมนิทรรศการภายในงานกว่า 10,000 คน

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ กล่าวว่า ทีเส็บ มีพันธกิจหลักในการพัฒนาธุรกิจการจัดประชุมและงานแสดงสินค้าหรือธุรกิจไมซ์ของประเทศไทย โดยมีภารกิจสำคัญคือการดึงงานระดับนานาชาติเข้ามาจัดในไทย ดังนั้นจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติด้านไฟฟ้าและพลังงาน IEEE PES GTD Grand International Conference and Exposition Asia 2025 หรือ GTD Asia 2025 ในช่วงวันที่ 26-29 พฤศจิกายน นี้
ทั้งนี้ ทีเส็บจะเดินหน้าผสานความร่วมมือกับ IEEE PES Thailand และร่วมผลักดันการประมูลสิทธิ์งานประชุมนานาชาติสู่ประเทศไทยให้เพิ่มมากขึ้น เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ร่วมประชุมด้านไฟฟ้าและพลังงานที่จะเดินทางมาจากทั่วโลกช่วงปลายปีนี้ จะได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์อันน่าประทับใจกับบุคลากรและผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าและพลังงานชาวไทย และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นในฐานะเจ้าภาพจากคนไทยทุกคน

เตรียมพบกับงานประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติด้านไฟฟ้าและพลังงาน IEEE PES GTD Asia 2025 ภายใต้หัวข้อหลัก “Accelerating The Energy Transition toward Carbon Neutrality – A Sustainable Energy Future for All” ระหว่างวันที่ 26 – 29 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ต่อปี เพื่อให้ภาวะการเงินสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน รวมทั้งช่วยกระตุ้นการเติบโตของภาคธุรกิจ EXIM BANK จึงประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ลง 0.10% ต่อปี เหลือ 6.25% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ EXIM BANK ใช้สำหรับลูกค้าทั่วไปและลูกค้า SMEs เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีหรือ MRR ของธนาคารพาณิชย์ นับเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป
การปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ในครั้งนี้เป็นการขานรับนโยบายของรัฐบาล เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาภาระหนี้และต้นทุนทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่ม SMEs อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับภารกิจของ EXIM BANK ในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้มีสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ สามารถปรับตัวรับมือปัจจัยท้าทายและแข่งขันได้ในเวทีการค้าโลกอย่างยั่งยืน ในสภาวะที่เศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราที่ช้าลง และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก
แพทย์ชี้โรคอ้วนไม่ใช่แค่ปัญหาสุขภาพส่วนตัว แต่เป็นวิกฤตระดับชาติที่กระทบเศรษฐกิจและระบบสาธารณสุข สมาพันธ์โรคอ้วนโลกเผย ประชากรโลกกว่า 988 ล้านคนเข้าข่ายโรคอ้วน ส่งผลให้งบประมาณรักษาโรคเบาหวาน-หัวใจ-มะเร็งพุ่งสูง แนะ 5 พฤติกรรมเสี่ยงที่ต้องเลี่ยง ติดมือถือ-หน้าจอ ขยับร่างกายน้อย กินอาหารไม่ดี นอนไม่พอ เครียดสะสม ย้ำ อย่าประเมินสุขภาพแค่ค่า BMI ต้องดู Body Fat และสัดส่วนร่างกายร่วมด้วย
นายแพทย์ชเนษฎ์ ศรีสุโข โรงพยาบาลศรีสุโข จังหวัดพิจิตร และผู้ก่อตั้งมาลิคลินิกเวชกรรม สีลม กล่าวว่า “ข้อมูลจากสมาพันธ์โรคอ้วนโลกระบุว่า มีประชากรผู้ใหญ่ทั่วโลกกว่า 988 ล้านคนกำลังมีปัญหาโรคอ้วน ส่วนในประเทศไทย ข้อมูลผลสำรวจสุขภาพคนไทยโดยการตรวจร่างกายล่าสุด (ปี 2562-2563) โดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขพบว่า ผู้หญิงไทยร้อยละ 46.4 และผู้ชายไทยร้อยละ 37.8 มีภาวะอ้วนหรือมีค่า BMI ตั้งแต่ 25 ขึ้นไป ในขณะที่ผู้ชายไทยร้อยละ 27.7 และร้อยละ 50.4 ในหญิงไทยมีภาวะอ้วนลงพุง หรือมีรอบเอวตั้งแต่ 32 นิ้ว (80 เซนติเมตร) ขึ้นไปสำหรับผู้หญิง และตั้งแต่ 36 นิ้ว (90 เซนติเมตร) ขึ้นไปสำหรับผู้ชาย นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้หญิงในกรุงเทพมหานครมีความชุกภาวะอ้วนลงพุงสูงสุด

โรคอ้วนไม่เพียงแต่เป็นปัญหาสุขภาพส่วนบุคคล แต่ยังเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อระบบสุขภาพและเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ อย่างมาก นำมาซึ่งค่าใช้จ่ายในระบบสาธารณสุข ในการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องอย่างโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และมะเร็งมีมูลค่ามหาศาล
โรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องการการรักษาเช่นเดียวกับโรคเรื้อรังอื่น ๆ แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ คนที่เป็นโรคอ้วนยังถูกวินิจฉัยและได้รับการรักษาไม่เพียงพอ เพราะจากสถิติจากวิจัยในสหรัฐฯ พบว่า จากจำนวนคนที่เผชิญกับโรคอ้วนทั้งหมดนั้น มีประมาณร้อยละ 40 ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอ้วน และมีไม่ถึงร้อยละ 20 ที่ได้รับการรักษาโรคอ้วนด้วยวิธีที่มีข้อมูลศึกษาชัดเจน และมีเพียงร้อยละ 1.3 เท่านั้นที่ได้รับยาที่มีข้อบ่งใช้ในการรักษาโรคอ้วน”

แนวทางแก้ปัญหาโรคอ้วนในระยะยาว ประชาชนควรปรับเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับโรคนี้ เนื่องจากล่าสุดมีการกำหนดนิยามโรคอ้วน และประเภทของโรคอ้วนทางการแพทย์ใหม่ โดยเน้นความสำคัญของ ‘Preclinical Obesity’ หรือภาวะก่อนเป็นโรคอ้วน ซึ่งควรได้รับการรักษา เช่น คนที่มีภาวะเนื้อเยื่อไขมันมากเกินไป (Excess Adiposity) แต่อวัยวะต่าง ๆ ยังทำงานได้ปกติ
“แม้ค่า BMI จะอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่อาจเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในทางไม่ดี และอาจมีอาการของโรคแทรกซ้อน เช่น ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน เป็นต้น แนวโน้มการรักษาโรคอ้วนควรเริ่มตั้งแต่ระยะแรก แม้ค่า BMI ยังไม่เกินมาตรฐาน ซึ่งค่าที่เหมาะสมสำหรับผู้หญิงไทยเฉลี่ยคือ 24.4 และชาวไทยคือ 23.1” นายแพทย์ชเนษฎ์ กล่าว
การวินิจฉัยภาวะอ้วนรายบุคคลควรใช้เครื่องมือที่วัดสัดส่วนของไขมันในร่างกายเทียบกับน้ำหนักตัว (Body Fat) ที่ช่วยให้รู้รายละเอียดของมวลกล้ามเนื้อหรือมวลไขมันในร่างกายได้ดียิ่งขึ้น หรือหากไม่สามารถวัด Body Fat ได้ ก็อาจเลือกใช้วิธีวัดสัดส่วนของร่างกาย เช่น การวัดเส้นรอบเอว สำหรับผู้ชายถ้ามากกว่า 36 นิ้ว ถือว่าอ้วนลงพุง ส่วนผู้หญิงมากกว่า 32 นิ้ว นอกจากนี้ สามารถใช้การวัดเส้นรอบเอว (เมตร) หารด้วยเส้นรอบสะโพกที่ยาวที่สุด โดยผู้ชายถ้าเกิน 1.0 และผู้หญิงถ้าเกิน 0.8 ถือว่า อ้วนลงพุง

นายแพทย์ชเนษฎ์ กล่าวว่า นอกจากกังวลเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกที่เกิดจากภาวะอ้วนแล้ว คนเราควรต้องตระหนักถึงโรคอื่น ๆ ที่พ่วงมากับความอ้วนด้วย เพราะส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก เพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาอีกมหาศาลสำหรับโรคเรื้อรัง
กลุ่มคนที่มีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จะมีพฤติกรรม 1.ไม่ออกกำลังกาย 2.รับประทานอาหารไม่ดี เช่น มีน้ำตาลสูงเกินไป และรับประทานผัก ผลไม้ที่มีไฟเนอร์น้อยเกินไป 3.พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือนอนไม่หลับ 4.คนที่ติดหน้าจออุปกรณ์มือถือตลอดเวลา 5.มีความเครียดและมีปัญหาโรคทางจิตใจ 6.กลุ่มคนที่ได้รับยาบางประเภท เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาคุมประเภทฮอร์โมนเดียวแบบโปรเจสเตอโรน, ยากันชัก, ยาเบาหวานและความดันบางชนิด และคนที่มียีนโรคอ้วน
“หากใครรู้ว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงดังกล่าว ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยง แต่หากเป็นปัจจัยทางพันธุกรรม หรือภาวะเจ็บป่วยอื่น ๆ ก็จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกวิธี” นายแพทย์ชเนษฎ์ กล่าวทิ้งท้าย
สถาบันกระดูกสันหลัง โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และ มูลนิธิโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ร่วมกับ โรงพยาบาลเซนต์แอนนา ประเทศเยอรมนี จัดประชุมเชิงปฏิบัติการการผ่าตัดกระดูกสันหลังด้วยเทคนิคการผ่าตัดส่องกล้องเอ็นโดสโคป ครั้งที่ 57 (57th International Training Course for Full-endoscopic Operations of the Lumbar, Thoracic and Cervical Spine) ให้กับศัลยแพทย์เฉพาะทางชาวไทยและนานาชาติ เพื่อเพิ่มพูนทักษะความรู้และความชำนาญในการผ่าตัดโดยใช้เทคนิค Full-endoscope ซึ่งนับเป็นการแพทย์สมัยใหม่แบบ Minimal Invasive Surgery (MIS) ช่วยให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กลง ลดอาการเจ็บแผล ลดอาการข้างเคียง และใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นน้อย

ภายในงานมี คณะผู้บริหาร นำโดย คุณแบร์รี่ วอล์ฟแมน Senior Executive Director of Operations โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ พร้อมด้วยทีมแพทย์สถาบันกระดูกสันหลังบำรุงราษฎร์ นำโดย นพ. วีระพันธ์ ควรทรงธรรม ผู้อำนวยการสถาบันกระดูกสันหลังบำรุงราษฎร์, ศ.นพ. เซบาสเตียน รุทเทน ผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมกระดูกสันหลังและบำบัดความปวด โรงพยาบาลเซนต์ แอนนา ประเทศเยอรมนี และ มร. เดิร์ก เกอเธิล ผู้จัดการทั่วไป RIWOspine GmbH ประเทศเยอรมนี ผู้ผลิตเครื่องมือการแพทย์ชั้นนำ ร่วมเปิดการฝึกอบรม โดยมีศัลยแพทย์สนใจเข้าร่วมกว่า 120 ราย จากกว่า 10 ประเทศ เข้าร่วมกิจกรรมฯ ที่โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท เมื่อเร็ว ๆ นี้
