December 06, 2025

SCGP เติบโตอย่างมีคุณภาพและสร้างความยั่งยืนระดับโลก จากการประเมินดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ หรือ DJSI ขึ้นแท่น Top 1% S&P Global กลุ่มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ (Containers & Packaging) ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 จากความมุ่งมั่นดำเนินงานตามกลยุทธ์ รวมถึงเข้าร่วมในดัชนี MSCI Global Small Cap ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า บริษัทฯ สามารถสร้างการยอมรับในระดับโลกด้านการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยได้รับการประเมินดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ หรือ Dow Jones Sustainability Index – DJSI ล่าสุดในปีนี้ ซึ่ง S&P Global ได้จัดอันดับให้ SCGP อยู่ในระดับสูงสุด Top 1% S&P Global ของกลุ่มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ (Containers & Packaging) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3

 

ความสำเร็จครั้งนี้มาจากความมุ่งมั่นและร่วมมือกันของทุกฝ่ายผ่านกลุทธ์เพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืน โดยมีคะแนนโดดเด่นใน 2 มิติ คือ มิติด้านบรรษัทภิบาล (Governance) การพัฒนาและกำหนดกลยุทธ์ใน 3 ประเด็น ได้แก่มุ่งเน้นการขับเคลื่อน Net Zero (Net Zero Initiatives) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และให้ความสำคัญกับลูกค้า ผู้บริโภค ชุมชน พนักงาน และคู่ธุรกิจตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Customer Centricity & Stakeholder Engagement) และมิติด้านสังคม (Social) การพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะสอดคล้องกับทิศทางขององค์กร และพร้อมในการตอบสนองต่อความท้าทายใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ SCGP ได้รับการเข้าร่วมในดัชนี MSCI Global Small Cap ซึ่งเป็นเกณฑ์เทียบเคียงระดับโลก จัดทำโดย Morgan Stanley Capital International (MSCI) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าบริษัทฯ มีการดำเนินงานที่ดี คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล โดยพิจารณาจากองค์ประกอบการต่าง ๆ เช่น สภาพคล่องซื้อขาย, มูลค่าการซื้อขายหุ้น, จำนวนหุ้นที่สามารถซื้อขายได้ตลาดทุน (Free Float) เป็นต้น

“SCGP มุ่งสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรม การดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมถึงการบริหารงานที่ได้รับการยอมรับและสอดคล้องกับมาตรฐานระดับโลก เพื่อส่งมอบคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง” นายวิชาญ กล่าว

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดงาน วันสตรีสากล ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด “3 ทศวรรษปฏิญญาปักกิ่งฯ: โอกาสและความท้าทายสู่ความเสมอภาคของสตรีและเด็ก” โดยมี นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวรายงาน สำหรับการจัดงานครั้งนี้เป็นการร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสวันสตรีสากลและเพื่อเชิดชูเกียรติบทบาทของสตรีในด้านต่าง ๆ สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศของรัฐบาลไทย ผ่านการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ การพัฒนาสตรี ที่เร่งดำเนินการส่งเสริมสิทธิและโอกาสเพื่อให้สตรีและเด็กได้รับความเสมอภาค ยกระดับการพัฒนาสตรีให้สอดคล้องกับหลักสากล อีกทั้งยังมุ่งมั่นผลักดันพลังสตรีให้มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ด้วยการเพิ่มศักยภาพให้สตรีทุกกลุ่ม ทุกระดับ มีความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตัวเองได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

นายวราวุธ กล่าวว่า “วันสตรีสากล” (International Women's Day) นับว่าเป็นวันที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ เพื่อรำลึกถึงการต่อสู้ของสตรีเพื่อให้ได้มาซึ่งความยุติธรรม ความเสมอภาค สันติภาพ และการพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมถึงความก้าวหน้าของสตรี ทั้งนี้ประเทศไทยได้มุ่งเน้นการพัฒนาสถานภาพสตรีและการสร้างความเสมอภาคระหว่างเพศ โดยกระทรวง พม. ได้จัดกิจกรรมวันสตรีสากลมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2568 นี้ ได้จัดงานภายใต้แนวคิด “3 ทศวรรษปฏิญญาปักกิ่งฯ: โอกาสและความท้าทายสู่ความเสมอภาคของสตรีและเด็ก” ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศของรัฐบาล ด้านการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ด้วยนโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการทันที คือ ด้านการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ และด้านการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ สร้างความเท่าเทียมทางโอกาสและเศรษฐกิจ และจัดสวัสดิการสังคมให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การจัดการเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและดิจิทัล โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางทางสังคม ซึ่งกลุ่มสตรีและเด็กเป็นหนึ่งในนั้น เพื่อให้สตรีและเด็กกลุ่มนี้ได้รับความเสมอภาคอย่างแท้จริง

โดยกระทรวง พม. มุ่งส่งเสริมโอกาสในการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีให้แก่สตรี โดยสนับสนุนให้สตรีสามารถนำศักยภาพที่มีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตัวเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคม ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาล ผ่านนโยบายการพัฒนาสถานภาพสตรีและความเสมอภาคระหว่างเพศ ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยเป็นสมาชิก อาทิ อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ ปฏิญญาปักกิ่งและแผนปฏิบัติการเพื่อความก้าวหน้าของสตรี รวมถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ 5 การบรรลุความเท่าเทียมระหว่างเพศ และส่งเสริมความแข็งแกร่งให้แก่สตรีและเด็กหญิง ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรี โดยการเพิ่มบทบาทของสตรีและเด็กหญิงทุกคน

นายวราวุธ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยในฐานะสมาชิกสหประชาชาติได้แสดงเจตนารมณ์และปฏิบัติตามพันธสัญญาต่อเวทีโลก โดยการให้ความสำคัญต่อการพัฒนาสถานภาพสตรีและความเสมอภาคระหว่างเพศ กระตุ้นให้สังคมไทย ได้ตระหนักถึงศักยภาพและสิทธิมนุษยชนของสตรี รวมทั้งยกระดับการพัฒนาสตรีให้สอดคล้องกับหลักสากล และยังมุ่งมั่นผลักดันพลังสตรีให้มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของกระทรวง พม. ที่ได้เร่งรัดขับเคลื่อนพันธกิจสำคัญ 9 ด้าน ต่อยอดจาก “นโยบาย 5x5 ฝ่าวิกฤตประชากร” ด้านการสร้างงาน สร้างรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนเปราะบาง อาทิ คนจน คนพิการ ผู้สูงอายุ และสตรี การส่งเสริมสถานภาพสตรีไทยจึงเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ

ทั้งนี้ กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การนำเสนอวีดิทัศน์คำปราศรัยจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เนื่องในวันสตรีสากลประจำปี 2568 การกล่าวแสดงความยินดีแก่ผู้ได้รับรางวัล พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่สตรี บุคคล และหน่วยงานองค์กรที่มีผลงานดีเด่น จำนวน 16 สาขา 84 รางวัล และรางวัลเกียรติคุณพิเศษ 3 รางวัล โดยมีผู้ร่วมงาน ได้แก่ ผู้เข้ารับรางวัล ผู้บริหารกระทรวง พม. คณะกรรมการดำเนินงานวันสตรีสากล คณะคู่สมรสเอกอัครราชทูต คณะคู่สมรสคณะรัฐมนตรี สื่อมวลชน ฯลฯ จำนวนทั้งสิ้นกว่า 300 คน และยังได้เปิดตัวโครงการ “กล่องของขวัญ (Pink Box) แทนความห่วงใย เสริมพลังใจเพื่อสตรีไทยมั่นคง” ด้วยการมอบกล่องของขวัญที่บรรจุด้วยสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันและการดูแลสุขอนามัย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้นให้กับสตรีกลุ่มผู้เปราะบางที่ถูกซ้อนทับด้วยปัญหาต่าง ๆ อาทิ กลุ่มผู้หญิงที่มีรายได้น้อย ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หรือเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ผู้หญิงสูงอายุ และผู้หญิงที่มีความพิการ ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและภูมิภาคต่าง ๆ จำนวน 4,500 ชุด ตลอดเดือนมีนาคม 2568 ซึ่งนอกจากจะสร้างเสริมกำลังใจและความหวังในการดำเนินชีวิตให้แก่สตรีกลุ่มเปราะบางกลุ่มเหล่านี้ ยังเป็นการกระตุ้นให้ผู้คนและภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคมได้ตระหนักถึงปัญหาของสตรี นำไปสู่ความคิดริเริ่มในการสนับสนุนสตรีในรูปแบบต่าง ๆ ให้เข้าถึงสิทธิและสวัสดิการ ให้มีโอกาสและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อเป็นการยืนยันว่า รัฐบาลและภาคีทุกภาคส่วนได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่มีการสอดแทรกประเด็นสตรีและความเสมอภาคระหว่างเพศเข้าไปในการพัฒนากระแสหลัก (Gender Mainstreaming) ซึ่งเป็นหนทางแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อให้สตรีได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม ปลอดภัยจากความรุนแรงทุกรูปแบบ ภายใต้สังคมที่ตระหนักและเข้าใจ พร้อมสนับสนุนพลังสตรีเป็นพลังสำคัญในการมีส่วนร่วมพัฒนาสังคมทุกมิติต่อไป

เมื่อเราเดินทางมาถึงยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ธุรกิจไม่ควรมองข้ามการนำนวัตกรรมและปัญญาประดิษฐ์มาใช้ ซึ่งจะช่วยผู้ประกอบการให้สามารถขับเคลื่อนธุรกิจไปได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น และตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างตรงใจ ตรงจุด 

finbiz by ttb จะพาไปดูว่า AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ จะเข้ามาช่วยให้ธุรกิจ SME ได้เปรียบในการแข่งขันได้อย่างไร

1.การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า

 AI สามารถช่วยร้านค้า SME วิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อของลูกค้าได้ ทำให้สามารถเสนอโปรโมชันหรือสินค้าที่ตรงกับความต้องการได้ เช่น การใช้เครื่องมืออย่าง Google Trend ที่ SME สามารถเข้าถึงได้ง่ายมาช่วยดูพฤติกรรมลูกค้าในเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย ช่วยให้เข้าใจว่าปัจจุบันลูกค้ากำลังค้นหาอะไร หรือการใช้ AI วิเคราะห์การยิงโฆษณา ซึ่งอาจจะมีค่าใช้จ่ายอยู่บ้าง แต่คุ้มค่ากว่าการส่งออกโฆษณาโดยไม่มีการวิเคราะห์ซึ่งอาจไม่ตรงเป้าหมาย มีสถิติระบุว่า อัตราการคลิกผ่าน (CTR) เพิ่มขึ้น 11% เมื่อใช้ AI ในแคมเปญโฆษณา และอัตราการแปลง (Conversion Rate) เพิ่มขึ้น 7.6%

2.การบริหารสต็อกสินค้า

ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มในการบริหารสต็อกสินค้าที่ใช้ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์จากหลายแบรนด์ให้เลือกใช้โดยสามารถช่วยคาดการณ์ยอดขายและจัดการสต็อกสินค้าได้อย่างแม่นยำ ลดปัญหาของขาดหรือของเหลือ โดย AI เหล่านี้สามารถปรับแต่งได้หลากหลาย เชื่อมต่อกับแหล่งข้อมูลหลายแหล่ง ช่วยให้การสต็อกสินค้ามีความแม่นยำ ลดปัญหาสินค้าขาดสต็อกได้กว่า 90% ลดการสต็อกสินค้าเกินได้กว่าครึ่ง และช่วยลดเวลาการทำงานของมนุษย์

3. การบริการลูกค้าอัตโนมัติ AI Chatbot

เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ร้านค้าสามารถให้บริการลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง เช่น การใช้ Google Dialogflow หรือ Chatbot ของ LINE OA ที่สามารถตอบคำถามอัตโนมัติและช่วยปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว โดย Chatbot จะมีความเหมือนมนุษย์มากกว่าการใช้ Auto Reply โดยการสร้าง Chatbot ผู้ใช้จะต้องออกแบบคาแรกเตอร์ของบอทตัวนั้น ๆ ด้วย Chatbot ที่มี AI หรือ NLP (Natural Language Processing เทคโนโลยีประมวลผลภาษาธรรมชาติ) สามารถเข้าใจภาษาได้มากกว่า Keyword เช่น ถ้าลูกค้าพิมพ์ “หวัดดี” Chatbot ก็สามารถเรียนรู้ได้ว่า คือ สวัสดี และสามารถโต้ตอบได้เหมือนที่มนุษย์ตอบกัน เพราะ AI มีการเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง Machine Learning แตกต่างจากการทำโปรแกรมแบบเก่าที่ต้องคอยออกคำสั่ง มันจึงเรียนรู้ และฉลาดมากขึ้นได้

4. การทำการตลาดและโฆษณาแบบอัจฉริยะ

AI สามารถช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าและเลือกยิงโฆษณาที่เหมาะสมได้แบบอัตโนมัติ เช่น การใช้ฟีเจอร์ Smart Bidding ฟีเจอร์ที่มีให้บริการผ่าน Google Ads และใช้ข้อมูลจากเครื่องมือวัด Conversion ของ Google Ads เพื่อให้ได้รับ Conversion เพิ่มขึ้นโดยลดค่าใช้จ่ายลง ฟีเจอร์จะเก็บข้อมูลนี้ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในการประมูลเพื่อแสดงโฆษณาแต่ละครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการคลิกที่ไม่มีประโยชน์ หรือพวก Ad Targeting ในเฟซบุ๊กที่ช่วยเลือกกลุ่มเป้าหมายโฆษณาได้อย่างแม่นยำ การใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลและทำนายแนวโน้มยังช่วยให้นักการตลาดสามารถสร้างแคมเปญที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. ระบบแนะนำสินค้าอัจฉริยะ

 AI สามารถเรียนรู้พฤติกรรมลูกค้าและแนะนำสินค้าที่เหมาะสม เช่น ร้านค้าออนไลน์สามารถใช้ Recommendations AI เพื่อช่วยแนะนำสินค้าบนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของตัวเอง ยกตัวอย่าง Recommendation AI บน Google Cloud ที่ทำงานอย่างไร้รอยต่อกับ Marketing Platform ทำให้สามารถแนะนำสินค้าที่ตรงใจลูกค้าได้มากขึ้น

นี่คือตัวอย่างในการใช้งาน AI ในธุรกิจ SME ที่มีทั้งแบบที่มีค่าใช้จ่าย และไม่มีค่าใช้จ่าย แต่สำหรับธุรกิจ SME ที่มีหน้าร้าน และต้องการวิเคราะห์ข้อมูลที่หน้าร้านแบบง่าย ๆ โดยไม่ต้องไปหาแอปพลิเคชันเสริมเพิ่มเติม หรือไม่ต้องการใช้คนบันทึกข้อมูลให้ยุ่งยาก ก็สามารถเริ่มง่าย ๆ ด้วยการใช้ระบบจัดการร้านค้า ทีทีบี สมาร์ทช็อป (ttb smart shop) ที่ร้านค้าต้องใช้กันอยู่แล้วในการสร้าง QR Code เพื่อรับชำระเงินจากทุกธนาคาร

เริ่มง่าย ๆ ด้วยระบบจัดการร้านค้า ทีทีบี สมาร์ทช็อป (ttb smart shop)

จากที่ปัจจุบันลูกค้าส่วนหนึ่งไม่พกเงินสด ร้านค้าจึงต้องพร้อมสำหรับการรับชำระเงินด้วยรูปแบบที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง QR Code ที่สามารถรับชำระเงินได้จากทุกธนาคาร แต่จะดีขึ้นไปอีกหากระบบนี้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมลูค้าได้อีกด้วย โดย ทีทีบี สมาร์ทช็อป (ttb smart shop) นอกจากจะสร้าง QR Code เพื่อรับชำระเงินง่าย สะดวก จากทุกธนาคาร ยังเป็นระบบที่ "รับไว รู้ลึก ธุรกิจปังปัง"

  • รู้ยอดรับชำระเงินได้ทันที ด้วยระบบแจ้งเตือนรับเงินเข้าบัญชีในแอปพลิเคชันระบบจัดการร้านค้า ทีทีบี สมาร์ทช็อป (ttb smart shop) เมื่อมีการชำระเงินผ่าน QR Code ทำให้เจ้าของธุรกิจมั่นใจได้ว่าเงินเข้าบัญชีเรียบร้อยแล้ว รู้ทุกยอดขาย ไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหวของบัญชี ดูได้ผ่านแอปพลิเคชันระบบจัดการร้านค้า ทีทีบี สมาร์ทช็อป (ttb smart shop) ทุกที่ ทุกเวลา แม้ไม่ได้อยู่หน้าร้าน
  • สร้าง QR Code ได้หลายรูปแบบ เพื่อรับชำระเงินจากลูกค้าได้ง่าย ๆ
  • เข้าถึงข้อมูลการขายที่สามารถนำไปวิเคราะห์ วางแผน และต่อยอดโอกาสทางธุรกิจ ด้วย Analytic Report รายงานวิเคราะห์การขายเชิงลึก ครบทุกมิติ ไม่มีค่าใช้จ่าย
  • มีรายงานสรุปการขาย สามารถเลือกดูตามช่วงเวลาได้ตลอดตามความต้องการ และมีรายงานสรุปยอดขายรายวันที่มีข้อมูลครบรอบด้าน ส่งให้ทางอีเมลของเจ้าของธุรกิจโดยอัตโนมัติ
  • กำหนดและเพิ่มสิทธิ์ให้พนักงานร้านในการช่วยรับเงิน พร้อมสามารถจัดการสิทธิ์ใช้งาน และดูแลร้านค้าให้แก่พนักงานร้านได้ไม่จำกัด

นวัตกรรมและปัญญาประดิษฐ์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับธุรกิจ SME อีกต่อไป ด้วยเครื่องมือที่ใช้งานง่ายและมีต้นทุนที่เข้าถึงได้ ทำให้ร้านค้าสามารถนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มยอดขาย ลดต้นทุน และยกระดับการให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใครที่ยังไม่ได้เริ่มต้น ลองศึกษาและนำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับธุรกิจ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน

บริษัท ออร์กานอน (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับมูลนิธิคีนันแห่งเอเซีย กระทรวงสาธารณสุขแห่งประเทศไทย และกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (United Nations Population Fund - UNFPA) จัดการประชุมโต๊ะกลมภายใต้หัวข้อ "นวัตกรรมเพื่อสุขภาพสตรี" เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 ณ ห้องสมุด เนียลสัน เฮส์ (Neilson Hays) กรุงเทพฯ  เพื่อเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของสุขภาพสตรีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน

การประชุมนี้จัดขึ้นเนื่องในโอกาสวันสตรีสากล (International Women’s Day - IWD) เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นร่วมกันของทุกภาคส่วนในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals - SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 3 การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี และเป้าหมายที่ 5 ความเท่าเทียมทางเพศ พร้อมทั้งส่งเสริมโครงการครอบครัวคุณภาพของเอเปค (APEC Smart Families)

บทสนทนาจากการประชุมมุ่งตอบโจทย์ประเด็นความต้องการด้านสุขภาพสตรีที่เร่งด่วน ที่พบเห็นทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนในวงกว้าง อาทิ อัตราการผ่าคลอดที่น่ากังวลของประเทศไทย (34.8% ของการคลอดทั้งหมด) อัตราการเสียชีวิตของมารดาที่สูงในประเทศกัมพูชา (218 รายต่อการเกิดมีชีพ 100,000 ราย) และอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นที่สูงในประเทศลาว (82 รายต่อเด็กหญิงอายุ 15-19 ปี 1,000 คน) เป็นต้น โดยคำนึงถึงความเชื่อมโยงระหว่างการลงทุนในสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้หญิง กับการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาสังคม

ข้อมูลเชิงประจักษ์จากสถาบันชั้นนำระดับโลก อาทิ World Economic Forum, McKinsey Health Institute[1] และ World Bank[2] ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product - GDP) ของโลกได้ถึงหลายล้านล้านดอลลาร์ต่อปี และเพิ่มอัตราการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานของผู้หญิงได้ถึงร้อยละ 20 หากผู้หญิงสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพมากขึ้น บริษัท อินซูลาร์ ไลฟ์ (Insular Life Assurance Company, Ltd. - inLife) ในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งได้ขยายสวัสดิการสุขภาพให้ครอบคลุมการตั้งครรภ์และคลอดบุตรอย่างครบวงจร ส่งผลให้มีพนักงานหญิงสูงถึง 64% และอัตราการลาออกลดลง เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรมจากการลงทุนในสุขภาพสตรีได้อย่างชัดเจน

 

นายคุง คาเรล เคราท์บ๊อช (Koen C. Kruijtbosch) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออร์กานอน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดการเสวนา โดยเน้นย้ำถึงผลกระทบในวงกว้างของสุขภาพสตรีต่อการพัฒนาประเทศ พร้อมชี้ให้เห็นว่าความท้าทายด้านสุขภาพสตรีที่เร่งด่วนของประเทศไทย อาทิ อัตราการเกิดที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง อัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นที่สูงขึ้น และอัตราการผ่าคลอดที่สูง ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งต่อสุขภาพสตรี ตลาดแรงงาน ระบบสาธารณสุข และการพัฒนาประเทศในระยะยาว “ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพส่วนบุคคล แต่ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัว ชุมชน และอนาคตของประเทศ หากเราต้องการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เราต้องนำนวัตกรรมในด้านต่าง ๆ มาปรับใช้ ทั้งด้านการแพทย์ เทคโนโลยี นโยบาย การให้บริการ และการศึกษา เพื่อให้ทุกคน โดยเฉพาะเด็กและสตรี สามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการที่จำเป็นในการตัดสินใจด้านสุขภาพได้อย่างรอบคอบ

 

ดร.ณหทัย ทิวไผ่งาม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า “สุขภาพสตรีเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เสริมสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ ความเสมอภาคทางสังคม และความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน การรับรองการเข้าถึงบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ ไม่ได้เป็นแค่เรื่องสุขภาพส่วนบุคคล แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง ส่งเสริมตลาดแรงงานแบบยืดหยุ่นและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน” ดร. ณหทัย ยังเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในด้านความร่วมมือระดับภูมิภาค โดยเฉพาะโครงการครอบครัวคุณภาพของเอเปค ซึ่งนำเสนอนวัตกรรมในการจัดการกับความท้าทายด้านประชากรศาสตร์ พร้อมทั้งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศและความเป็นอยู่ที่ดีของครอบครัว "การลงทุนในสุขภาพสตรีคือการลงทุนในอนาคตของครอบครัว ชุมชน และประเทศของเราอย่างแท้จริง" ดร. ณหทัย กล่าว

 

การประชุมโต๊ะกลม ซึ่งดำเนินการอภิปรายโดย คุณสิริลักษณ์ เชียงว่อง หัวหน้าสำนักงานกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) มุ่งเน้นไปที่แนวทางแก้ไขและการดำเนินงานที่นำไปปฏิบัติได้จริง โดยในระหว่างการเสวนาโต๊ะกลม ผศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้กล่าวถึงการขยายเวลาให้บริการของศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร รวมถึงคลินิกวางแผนครอบครัว โดยในวันจันทร์-ศุกร์ ขยายเวลาให้บริการจนถึง 20.00 น. และเพิ่มเวลาให้บริการในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ เพื่อให้ประชาชนทุกช่วงวัยสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพและอนามัยการเจริญพันธุ์ได้มากขึ้น ลดอุปสรรคในการเข้ารับบริการ ทั้งนี้ การขยายเวลาให้บริการดังกล่าวถือเป็นก้าวสำคัญของยุทธศาสตร์ชาติในการลดการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ผ่านการเพิ่มความตระหนักรู้และขยายการเข้าถึงทางเลือกในการวางแผนครอบครัว

จากการเสวนา สามารถระบุข้อสรุปสำคัญได้ 4 ประการ หนึ่ง ผู้ร่วมประชุมเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการส่งเสริมความครอบคลุมของการวางแผนครอบครัว การเรียนการสอนเรื่องเพศวิถีศึกษา และบริการด้านสุขภาพทางเพศและอนามัยการเจริญพันธุ์ สอง การอภิปรายชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของการใช้ดิจิทัลโซลูชัน (digital solutions) เช่น แพลตฟอร์มออนไลน์ แอปพลิเคชันมือถือ ปัญญาประดิษฐ์ (AI)  และการแพทย์ทางไกล (telemedicine) เพื่อการรายงาน การร้องทุกข์ การให้คำปรึกษา รวมถึงการขยายการเข้าถึงของบริการ สาม นโยบายที่เป็นมิตรต่อครอบครัวในสถานที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็น สิทธิวันลาสำหรับมารดาและบิดา สิทธิวันลาสำหรับการดูแลสมาชิกครอบครัว และการสนับสนุนด้านการดูแลบุตร  เป็นปัจจัยสำคัญในการรับมือกับความท้าทายด้านประชากรของไทย ประการสุดท้าย ผู้เข้าร่วมประชุมแสดงให้เห็นถึงความต้องการและความเต็มใจในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคส่วน เพื่อปิดช่องโหว่ ลดความกระจัดกระจายของการดำเนินงาน และผลักดันความร่วมมือที่เป็นเอกภาพในการเสริมสร้างระบบสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้หญิงในะระยะยาว 

 

คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา กรรมการและกรรมการบริหาร มูลนิธิคีนันแห่งเอเชีย กล่าวปิดงาน โดยสนับสนุนให้เกิดความร่วมมืออย่างต่อเนื่องภายหลังการประชุม “วันนี้ เราได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ แนวทางการแก้ไขปัญหาแบบใหม่ และได้พบเพื่อนใหม่ ซึ่งทำให้เรารู้ว่ายังมีพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อีกมากมาย งานวันนี้มิใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นต่อไป”

ข้อมูลที่ได้จากการประชุมโต๊ะกลมนี้จะถูกนำไปใช้เพื่อพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ที่จะจัดทำขึ้นภายใต้โครงการ "Her Promise Grant" ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจาก บริษัท ออร์กานอน และดำเนินการโดยมูลนิธิคีนันแห่งเอเชีย อันจะเป็นแนวทางสำคัญในการขยายความร่วมมือและเสริมสร้างการลงทุนในนวัตกรรมด้านสุขภาพที่ยั่งยืนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป


[1] https://www.mckinsey.com/mhi/our-insights/closing-the-womens-health-gap-a-1-trillion-dollar-opportunity-to-improve-lives-and-economies#/

[2] https://www.worldbank.org/en/topic/gender/brief/gender-strategy-update-2024-30-accelerating-equality-and-empowerment-for-all

นายสมพร มูลศรีแก้ว ผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจ พร้อมคณะผู้บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM  มอบรางวัลจากการจัดกิจกรรม LUCKY DRAW BAM ครบรอบ 25 ปี ให้ลูกค้าที่ซื้อทรัพย์ BAM และโอนกรรมสิทธิ์ภายในปี 2567 จำนวน 14 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 6 ล้านบาท ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว หมู่บ้านนันทนา 2 อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ รถยนต์ไฟฟ้า Tesla ทาวน์เฮ้าส์ หมู่บ้านป้อมปราการ จ.สมุทรปราการ และที่ดินเปล่า โครงการอยุธยาวังทอง อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา  พร้อมทั้งมอบ Apple watch se จำนวน 10 รางวัล ให้กับลูกค้าที่กดติดตาม Social Media ทั้ง 5 ช่องทางของ BAM Thailand และดาวน์โหลด BAM Choice แอปฯ ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการลูกค้า NPL และ NPA ณ โชว์รูม BAM   สำนักงานใหญ่

บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โดย นางสาวอรนาฎ นชะพงษ์ ผู้บริหารสายงานกลยุทธ์การตลาดและบริหารจัดการลูกค้า รับมอบรางวัล Top Influential Brand Award 2024 สาขา Life Insurance จากงาน 2024 Asia CEO Summit & Award Ceremony ตอกย้ำถึงการเป็นสุดยอดแบรนด์ประกันชีวิตที่ครองใจผู้บริโภค ด้วยแนวทางการดำเนินงานที่เข้าใจ ใส่ใจ และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวมาจากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคในกลุ่ม Gen Y และ Gen Z จากหลากหลายอาชีพและอุตสาหกรรม เพื่อรวบรวมความคิดเห็นและความชื่นชอบของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ต่าง ๆ ในเอเชียและประเทศไทย โดยพิธีมอบรางวัลจัดขึ้น ณ ห้องบอลรูม โรงแรมคอนราด กรุงเทพ เมื่อเร็ว ๆ นี้  

“เรารู้สึกเป็นเกียรติ และภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัล Top Influential Brand Awards 2024 ประเภท Top Brand  ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าที่ไว้วางใจให้ กรุงเทพประกันชีวิตเป็นสุดยอดแบรนด์ที่สามารถครองใจผู้บริโภค และยังตอกย้ำถึงการเป็นองค์กรที่เข้าใจ ใส่ใจ ลูกค้า ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงใจผ่าน แบรนด์แคมเปญ“กรุงเทพประกันชีวิตเชื่อมั่นในพลังของความใส่ใจ” กิจกรรมทางการตลาดต่างๆ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภค บริการเสริม BLA EveryCare ดูแล ใส่ใจทุกการเจ็บป่วยของลูกค้าให้ราบรื่นมากยิ่งขึ้น และ กิจกรรมสิทธิพิเศษต่างๆ จาก BLA Happy Life Club เพื่อสร้างความผูกพันสร้างความสุขในทุกวันให้กับลูกค้าได้ ผ่านสิทธิพิเศษที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ที่เราตั้งใจทำให้มาตลอดในช่วงเวลาที่ผ่านมา เพราะเราเชื่อว่า เมื่อเราใส่ใจลูกค้ามากพอ นานพอ ลูกค้าจะรักเรา วางใจเรา และให้โอกาสกรุงเทพประกันชีวิตได้เป็นแบรนด์ที่ครองใจตลอดไปค่ะ” นางสาวอรนาฎกล่าว

รางวัล Top Influential Brand Awards 2024 เป็นรางวัลระดับภูมิภาคเอเชียที่จัดโดย บริษัท อินฟลูเอ็นเชี่ยล แบรนด์ จำกัด ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำระดับโลกที่เชี่ยวชาญด้านการวิจัยและสำรวจข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคในเอเชีย ร่วมกับบริษัท นิโอ ทาร์เก็ต จํากัด ประเทศไทย ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการสื่อสารการสร้างชื่อเสียงและการสื่อสารครบวงจร

ลุ้นสุดยอดทีมแชมป์ประเทศไทย บินลัดฟ้าร่วมแข่งขันรอบสุดท้ายที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี

บาโนบากิ (BANOBAGI) มาสก์หน้าและสกินแคร์ที่คิดค้นและพัฒนาสูตรเพื่อผิวคนไทย โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลบาโนบากิ ผู้นำด้านศัลยกรรมและความงามอันดับต้นๆ ของประเทศเกาหลีใต้ เดินหน้าคว้ารางวัลใหญ่จากเวที Watsons Health, Wellness and Beauty Awards 2025 (หรือ HWB Awards 2025) ที่ช่วยสะท้อนความเป็นตัวจริงและการเป็นที่สุดแห่งแวดวงสุขภาพและความงามที่ได้รับการยอมรับถึงคุณภาพ ตั้งแต่ปีแรกที่วางขาย และต่อเนื่องมาถึง 6 ปีซ้อน ตอกย้ำความสำเร็จของแบรนด์ และการันตีความนิยมของผลิตภัณฑ์ยอดฮิตตลอดกาลอย่าง #มาสก์คุณหมอ Vita Genic Jelly Mask และ #สลีปปิ้งมาสก์คุณหมอ Final Sleeping Mask ในฐานะแชมป์มาสก์หน้าขายดีอันดับหนึ่งขวัญใจผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างสวยงาม ภายในงานมี

นางสาวยศพร สุวรรณวิเชียร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บียอนด์ บิวตี้ เทรด จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านความงามชั้นนำจากต่างประเทศ พร้อมด้วย 6 หนุ่มสุดฮอตวง PROXIE เรียกเสียงกรี๊ดสนั่นฮอลล์ เป็นตัวแทนขึ้นรับรางวัล ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความภาคภูมิในสไตล์มหาราณี มหาราชา ณ โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

นางสาวยศพร สุวรรณวิเชียร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บียอนด์ บิวตี้ เทรด จำกัด กล่าวถึงการรับรางวัลในครั้งนี้ว่า “รู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจมากที่บาโนบากิได้รับรางวัล HWB Awards 2025 จากวัตสัน ประเทศไทย เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน ซึ่งการันตีถึงคุณภาพและความนิยมที่ได้รับการยอมรับในกลุ่มผู้บริโภคทั่วประเทศได้เป็นอย่างดี รางวัลนี้ทำให้เรามีพลังในการเดินหน้าคิดค้นพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ผิวคนไทยต่อไปอีกเรื่อย ๆ ในอนาคต”

ทั้งนี้ รางวัล HWB Awards 2025 ถือเป็นอีกหนึ่งรางวัลอันทรงเกียรติที่สื่อถึงความเชื่อมั่นและไว้วางใจของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม ได้รับการยอมรับทั้งจากร้านวัตสันทั่วประเทศและวัตสันออนไลน์ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่รางวัลด้านความงามทั่วไป แต่เป็นการคัดเลือกเพื่อเฟ้นหาสุดยอดผลิตภัณฑ์ด้านความงามที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากผู้บริโภคที่ใช้งานจริง ผ่านบททดสอบทั้งการวิเคราะห์ยอดขาย ความพึงพอใจของลูกค้า การซื้อซ้ำ และเสียงตอบรับจากทุกแพลตฟอร์มความงามชั้นนำ ดังนั้นรางวัลนี้จึงเปรียบเสมือน “บทพิสูจน์จากผู้ใช้จริง” ที่การันตีว่าสินค้าที่ได้รับรางวัลคือไอเทมยอดนิยมที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการดูแลผิวพรรณของตัวเอง

โดยผลิตภัณฑ์บาโนบากิ: มาสก์คุณหมอชื่อดังที่ได้รับรางวัล HWB Awards 2025 และสามารถครองใจผู้บริโภคต่อเนื่องมากว่า 6 ปีซ้อน ได้แก่

- บาโนบากิ ไวต้าจีนิคเจลลี่ มาสก์  (BANOBAGI Vita Genic Jelly Mask) คว้ารางวัล สุดยอดสินค้าขายดี ประเภทแผ่นมาสก์บำรุงผิวหน้า ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6

- บาโนบากิ ไฟนอล สลีปปิ้ง มาสก์ (BANOBAGI Final Sleeping Mask) ได้รับรางวัลแชมป์สินค้าขายดี ประเภทมาสก์ครีมบำรุงผิวหน้า ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3

นอกจากนี้บาโนบากิยังได้เสริมทัพความสำเร็จด้วยการรับรางวัลยอดขายสูงสุดกับ Best Sleeping Mask ของ บาโนบากิ ไฟนอล สลีปปิ้ง มาสก์ คาเฟอีน จากเวที KONVY Best of Beauty Awards 2024 จัดโดย KONVY ผู้นำบิวตี้อีคอมเมิร์ซอันดับหนึ่งของไทย และสวนดุสิตโพล ผู้เชี่ยวชาญด้านการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคอันดับหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งช่วยยืนยันถึงคุณภาพและรับประกันความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ในตลาดสกินแคร์ได้เป็นอย่างดี

“เรายังคงเชื่อมั่นในแนวคิดที่ว่า บาโนบากิไม่ใช่แค่ ‘มาสก์เกาหลี’ แต่คือ ‘สกินแคร์’ เพื่อผิวคนไทยที่ Made in Korea 100% และออกแบบมาให้เหมาะกับสภาพอากาศและความต้องการของผิวคนไทยอย่างแท้จริง โดยผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นของเราได้รับการพัฒนาจากทีมแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญของประเทศเกาหลี ปราศจากสารระคายเคือง เช่น น้ำหอม แอลกอฮอล์ ซิลิโคน และพาราเบน จึงมั่นใจได้ว่าแม้แต่ผิวที่แพ้ง่าย หรือคุณแม่ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร ก็สามารถใช้ผลิตภัณฑ์บาโนบากิได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้เรายังเดินหน้าขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ ‘Non-Mask Products’ เพื่อตอบโจทย์การดูแลผิวอย่างครบวงจร พร้อมสร้างการจดจำในฐานะแบรนด์ที่ทุกคนต้องนึกถึงเมื่อต้องการผิวโกลว์ใส ดูสุขภาพดีแบบสาวเกาหลี” นางสาวยศพร กล่าวเพิ่มเติม

สัมผัสประสบการณ์ใหม่ของการปลอบประโลมผิวด้วยผลิตภัณฑ์บาโนบากิทุกสูตรได้แล้ววันนี้ ในทุกช่องทางจัดจำหน่าย อาทิ ร้านวัตสันทุกสาขา วัตสันออนไลน์, Konvy และช่องทางออนไลน์ของแบรนด์ ได้แก่ BBT Cosmetics และ Banobagi

หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าหรือกิจกรรมได้ที่ FB: Banobagi Thailand – Cosmetic, X: Banobagi Thailand – Cosmetic, IG: banobagithailand หรือทาง TikTok: @banobagithailand

ฮับที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ที่จะเปลี่ยนโฉมย่านบางบ่อ เชื่อมต่อทุกไลฟ์สไตล์ สู่การใช้ชีวิตเหนือระดับ เปิดจองครั้งแรก 15-16 มีนาคมนี้

จุดประกายอนาคต Digital ID สำหรับนิติบุคคลและคนต่างด้าว

X

Right Click

No right click