December 06, 2025

สะท้อนความเชื่อมั่นจากนักลงทุน เผยยอดจองซื้อสูงถึง 2.2 เท่า พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

เป็นเวลากว่า 30 ปี ที่โครงการประกวดภาพถ่าย ‘สัตว์มีค่า ป่ามีคุณ’ มุ่งมั่นเดินหน้าปลูกจิตสำนึกเยาวชนและคนไทยทั้งประเทศ สร้างแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์สัตว์ป่าและป่าไม้ ผ่านการประกวดภาพถ่าย…กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผนึกกำลังเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดย ดร.อาชว์ เตาลานนท์ รองประธานอาวุโสฯ สร้างสรรค์และดำเนินโครงการโดยทรูปลูกปัญญา ด้วยการสนับสนุนของ ซีพีเอฟ ซีพีออลล์ โลตัส และทรู คอร์ปอเรชั่น จัดพิธีมอบรางวัลโครงการปลูกจิตสำนึกอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การประกวดภาพถ่าย 'สัตว์มีค่า ป่ามีคุณ' ประจำปี 2567 รางวัลเกียรติยศถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และถ้วยประทานสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พร้อมจัดนิทรรศการภาพถ่ายอันทรงคุณค่า ประจำปี 2567 ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

ระดับบุคคลทั่วไป ผู้ที่ได้รับรางวัลเกียรติยศ ประจำปี 2567 มีดังนี้

  • ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
    ประเภทสัตว์มีค่า ภาพนก
    นายพลวัฒน์ ไทยปิ่นณรงค์ เจ้าของภาพ ครอบครัวนกกระเรียนในสายฝน”
  • ถ้วยประทานสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
    ประเภทป่ามีคุณ ภาพป่ามีคุณ
    นายจามิกร สุขทรามร เจ้าของภาพ “Colorful Khlong Lan” 

สำหรับเกณฑ์การตัดสินการประกวดภาพถ่าย คณะกรรมการพิจารณาจากภาพถ่ายที่สื่อความหมายภายใต้แนวคิด ‘สัตว์มีค่า ป่ามีคุณ’ ความสวยงาม การจัดวางองค์ประกอบตามหลักทัศนศิลป์ และเทคนิคการถ่ายภาพ โดยแบ่งการประกวดเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทสัตว์มีค่า กับประเภทป่ามีคุณ และแบ่งการประกวดออกเป็น 2 ระดับ คือ ระดับบุคคลทั่วไป และระดับนักเรียน นิสิต นักศึกษา ทั้งนี้ ในปี 2567 มีเยาวชนและประชาชนทั่วไปส่งผลงานเข้าร่วมประกวดทั้งสิ้น 465 คน รวม 1,812 ผลงาน เพื่อร่วมถ่ายทอดความงดงาม รวมถึงสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมเรื่องราว เป็นเรื่องเล่าสุดประทับใจในธรรมชาติ และสร้างความตระหนัก ปลูกใจรักสิ่งแวดล้อม รวมถึงการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สมบัติอันล้ำค่าอันเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ให้อยู่คู่กับเมืองไทยอย่างยั่งยืน

 

โครงการนี้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานถ้วยเกียรติยศแก่ผู้ชนะเลิศประเภท “สัตว์มีค่า” และ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ประทานถ้วยเกียรติยศแก่ผู้ชนะเลิศประเภท “ป่ามีคุณ” ด้วยความร่วมมือจากช่างภาพทั่วประเทศ ภาพถ่ายที่ได้รับรางวัลจึงมีทั้งความงดงามและทรงคุณค่า ซึ่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้นำไปเผยแพร่ผ่านช่องทางต่าง ๆ อาทิ เฟซบุ๊กแฟนเพจ “สัตว์มีค่า ป่ามีคุณ” หนังสือภาพ ปฏิทิน ตลอดจนจัดแสดงในนิทรรศการ ‘สัตว์มีค่า ป่ามีคุณ’ ณ โถงนิทรรศการ ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 4-16 มีนาคม 2568 เพื่อให้ผู้ชมได้สัมผัสความงดงามของธรรมชาติผ่านมุมมองของช่างภาพมืออาชีพ พร้อมส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่สืบไป

จะเป็นอย่างไร หากคุณสามารถใช้ AI ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าในบ้าน หรือ คอยแจ้งเตือนว่า ลูกแมวที่แสนจะน่ารักของคุณได้หนีออกไปเล่นนอกบ้านแล้ว  แม้ว่าความอัจฉริยะทั้งหมดเหล่านี้จะอัดแน่นอยู่ในสมาร์ทโฟน แต่กลับกลายเป็นว่า ทั่วๆ ไปแล้ว บ้านก็ยังคงเป็นบ้านธรรมดาๆ ที่นำเอาเทคโนโลยีมาปรับใช้น้อยมาก  เครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่จะเริ่มทำงานก็ต่อเมื่อมีคนมากดปุ่มและยังคงเป็นเช่นนี้ไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนไปหรือมีระบบออนไลน์มาอำนวยความสะดวกแล้วก็ตาม

ในฐานะหัวหน้าสายงานด้านดิจิทัลโฮม “อภิรัตน์ หวานชะเอม” มีวิสัยทัศน์และมุมมองที่แตกต่างออกไป เขาเชื่อว่า โลกพร้อมที่จะเปลี่ยนจากยุคสมาร์ทโฟนไปสู่สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ที่เชื่อมโยงถึงกันได้แบบองค์รวมมากขึ้นโดยเริ่มต้นจากภายในบ้านของเรา และเพื่อสานต่อความมุ่งมั่นนี้ อภิรัตน์ได้ผสมผสานความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค ความเป็นผู้นำที่เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ และแรงผลักดันอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งทำให้เขาเป็นผู้บุกเบิกการปฏิวัติบ้านอัจฉริยะและระบบนิเวศดิจิทัลของประเทศไทย

ด้วยภูมิหลังทางอาชีพและการศึกษาทั้งในเรื่องการออกแบบและวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ และจากความเป็นนักเทคโนโลยีนี้เอง ทำให้เขาสามารถผนวกทักษะที่แข็งแกร่งด้านการวิเคราะห์เข้ากับความคิดสร้างสรรค์ของนักออกแบบได้อย่างลงตัว สะท้อนเป็นพันธกิจที่ชัดเจนในการกำหนดนิยามใหม่ของวิถีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีของคนไทย ที่จะทรานสฟอร์มให้ระบบอัตโนมัติอัจฉริยะสามารถเข้าถึงและใช้งานได้ง่าย

 

ปั้นระบบนิเวศทรูเอ็กซ์

ทรูเอ็กซ์ เป็นแพลตฟอร์มที่ตอกย้ำความมุ่งมั่นของระบบนิเวศทรู ดิจิทัล กรุ๊ป โดยผสานหลากหลายเทคโนโลยีล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็น AI, คลาวด์คอมพิวติ้ง, อุปกรณ์ IoT และเครือข่าย 5G เพื่อส่งมอบนวัตกรรมโซลูชันสำหรับบ้านพักอาศัย ครอบคลุมตั้งแต่สิ่งอำนวยความสะดวกอัจฉริยะภายในบ้าน ไปจนถึงการสั่งการอุปกรณ์ IoT ต่างๆ ทรูเอ็กซ์ช่วยให้การสอดส่องดูแลและควบคุมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ในครัวเรือน การตรวจสอบว่าใครมาอยู่ที่หน้าประตู หรือแม้แต่เชื่อมโยงสื่อสารตลอดเวลากับผู้สูงอายุที่อยู่ที่บ้าน เป็นเรื่องง่ายดายยิ่งขึ้น

“เป้าหมายสูงสุดของทรูเอ็กซ์ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องบ้านอัจฉริยะเท่านั้น แต่เป็นการสร้างชีวิตอัจฉริยะ” อภิรัตน์ย้ำ “เรากำลังสร้างระบบนิเวศที่ผสานเทคโนโลยีเข้ากับการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างไร้รอยต่อ เพิ่มศักยภาพ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้คน”

สำหรับประเทศไทยนั้น  ถือได้ว่าตลาดเทคโนโลยีสมาร์ทโฮมยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ด้วยอัตราการเข้าถึงที่ต่ำกว่า 20% หากจะวิเคราะห์ถึงอุปสรรคของการปรับใช้เทคโนโลยีดังกล่าว อภิรัตน์ ระบุว่า มีหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น ความยุ่งยากซับซ้อนในการติดตั้งและเริ่มต้นใช้งานอุปกรณ์ IoT และวัฒนธรรมความพึงใจในโซลูชันที่มุ่งเน้นด้านการให้บริการมากกว่าแนวทางแบบ DIY เขาอธิบายว่า “ในตลาดอย่างเช่นสหรัฐอเมริกา ผู้บริโภคจะคุ้นเคยกับการตั้งค่าอุปกรณ์ด้วยตนเอง แต่ทว่า ประเทศไทยแตกต่างออกไป ผู้บริโภคต้องการได้รับการดูแลและบริการ” และด้วยความตระหนักในข้อนี้ ทรูเอ็กซ์จึงนำศักยภาพบริการโทรคมนาคมที่เหนือชั้นของทรู คอร์ปอเรชั่น อาศัยความชำนาญของช่างเทคนิคที่ติดตั้งบริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ มาขยายการบริการให้ครอบคลุมถึงการติดตั้งระบบนิเวศบ้านอัจฉริยะอีกด้วย

นอกจากนี้ ทรูเอ็กซ์ ยังให้ความสำคัญในเรื่องการทำให้ลูกค้าเข้าถึงบริการ ทั้งในแง่ของความง่ายในการใช้งาน และการทำความเข้าใจคุณค่าของเทคโนโลยี “การเข้าถึงที่ว่านี้ ไม่ได้หมายถึงแค่ราคาที่จับต้องได้เท่านั้น แต่เป็นการทำให้ผู้บริโภคทั่วไปเข้าใจกระจ่างว่า เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถช่วยเพิ่มความปลอดภัย ยกระดับการดูแลสุขภาพและความสะดวกสบายให้พวกเขาได้อย่างไร” อภิรัตน์ กล่าว

 

ให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ด้วยสมาร์ทโฮมจากทรูเอ็กซ์ 

บริการติดตั้งไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเดียวที่อภิรัตน์ใช้ในการทำให้ผู้คนเข้าถึงบ้านอัจฉริยะได้มากขึ้น  ทรูเอ็กซ์ยังเป็นผู้บุกเบิกโซลูชันแบบครบจบในแอปเดียว โดยรวบรวมแอปพลิเคชันมากมายที่จำเป็นในการควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮมต่างๆ ในปัจจุบัน

“คนส่วนใหญ่ต้องใช้แอปพลิเคชัน 4-5 แอปด้วยกันในการจัดการบรรดาอุปกรณ์สมาร์ทโฮมทั้งหลาย ทรูเอ็กซ์จะเป็นรายแรกในประเทศไทยที่นำเสนอทุกสิ่งผ่านแพลตฟอร์มเดียว” แนวทางนี้ช่วยยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ง่ายขึ้น และกระตุ้นให้เกิดการใช้งานในวงกว้างมากขึ้น อภิรัตน์ เผย

แพลตฟอร์มของทรูเอ็กซ์ไม่ยึดติดกับแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง จึงทำให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อกับหลากหลายอุปกรณ์จากแบรนด์ชั้นนำระดับโลกได้ “ในปีหน้า อุปกรณ์ของเราจะไม่ได้มีแค่แบรนด์ทรูเอ็กซ์อย่างเดียวแล้ว ลูกค้าจะมีอิสระในการเลือกแบรนด์อื่นที่ชื่นชอบ และมั่นใจได้ว่าทุกอย่างจะทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว” เขากล่าวเสริม

ความยืดหยุ่น นับเป็นปัจจัยหลักประการที่สามที่จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงโซลูชันบ้านอัจฉริยะ อภิรัตน์ จึงวางกลยุทธ์ ทั้งในด้านการนำเสนอโมเดลบริการแบบสมัครสมาชิก เพื่อลดอุปสรรคด้านการเงินในการใช้บริการ “แทนที่จะต้องจ่ายเงินก้อนในการซื้ออุปกรณ์ล็อกประตูอัจฉริยะ ลูกค้าสามารถเลือกชำระเงินแบบรายเดือนในราคาที่จับต้องได้ ซึ่งแนวทางนี้สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจแบบสมัครสมาชิก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นการดึงดูดคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญเรื่องประโยชน์ใช้สอยมากกว่าการได้เป็นเจ้าของ” เขากล่าว

 

นิยามใหม่ของบ้านอัจฉริยะ

มากกว่าแค่นำเข้าเทคโนโลยี ทรูเอ็กซ์ยังปรับแต่งโซลูชันให้ตรงกับความต้องการแบบเฉพาะเจาะจงของผู้บริโภคชาวไทย ยกตัวอย่างเช่น กล้อง AI อัจฉริยะสามารถตรวจตราเมื่อสัตว์เลี้ยงออกจากพื้นที่ที่กำหนด หรือแจ้งเตือนเจ้าของร้านอาหารเมื่อต้องเติมอาหารในถาดบุฟเฟ่ต์ “เราไม่ได้เพียงแค่ขายอุปกรณ์ แต่เรากำลังสร้างสรรค์โซลูชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนไทย” อภิรัตน์ เน้นย้ำ

อภิรัตน์เล็งเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากแนวทางเดิมๆอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ “บ้านอัจฉริยะไม่ใช่แค่การควบคุมแสงสว่างหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว บ้านนี่เองที่จะคอยดูแลการใช้ชีวิตของเราในทุกแง่มุม ตั้งแต่การใช้พลังงานไปจนถึงเรื่องสุขภาพและการเรียน” แดชบอร์ดแสดงค่าพลังงานเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงวิสัยทัศน์นี้ของทรูเอ็กซ์ได้เป็นอย่างดี โดยมีการนำเสนอข้อมูลการใช้ไฟฟ้าเชิงลึกแบบเรียลไทม์ และทำให้เกิดฟังก์ชั่นการใช้งานที่มีคุณสมบัติต่างๆ เช่น ระบบทำความเย็นแบบปรับได้ เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน

ท้ายที่สุดแล้ว อภิรัตน์เชื่อว่า ลูกค้าจะเลือกซื้อบริการต่างๆที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของพวกเขามากกว่าเพียงแค่ซื้ออุปกรณ์ เจ้าของบ้านหลังใหญ่ๆอาจเลือกซื้อแพ็กเกจพลังงานแสงอาทิตย์ขั้นสูง ขณะที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงที่อาศัยอยู่ในห้องสตูดิโออาจต้องการแค่แพ็กเกจที่ช่วยให้พวกเขาจับตาดูลูกสุนัขจอมซนได้

 

ผู้นำที่แน่วแน่ด้วยเป้าหมาย

ปรัชญาความเป็นผู้นำของอภิรัตน์ คือ สมดุลระหว่างวิสัยทัศน์ การให้คำปรึกษาแนะนำ และการบริหารจัดการ “ผู้นำต้องกำหนดทิศทางที่ชัดเจน ให้คำปรึกษาแก่ทีม และบริหารจัดการผลงานได้” เขากล่าว

ด้วยแรงบันดาลใจจากบุคคลต้นแบบ อย่างอีลอน มัสก์ และสตีฟ จ็อบส์ อภิรัตน์มุ่งมั่นที่จะผสมผสานนวัตกรรมอันโดดเด่น เข้ากับวิถีที่คำนึงถึงความต้องการของมนุษย์เป็นศูนย์กลาง “จ็อบส์กล่าวว่า ลูกค้าไม่รู้หรอกว่าพวกเขาต้องการอะไรจนกว่าจะได้เห็นสิ่งที่เรานำเสนอ นี่คือวิธีการคิดแบบมองไปข้างหน้าเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายที่เราตั้งใจไว้สำหรับทรูเอ็กซ์” เขากล่าว

ความมุ่งมั่นของอภิรัตน์สำหรับทรูเอ็กซ์นั้นยิ่งใหญ่และกว้างไกลมาก เขามองเห็นอนาคตที่ทรูเอ็กซ์จะเป็นศูนย์กลางของระบบนิเวศไลฟ์สไตล์อัจฉริยะ ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่ทั่วทั้งภูมิภาค “ในอีกสองถึงสามปีข้างหน้า เรามีเป้าหมายที่จะกำหนดนิยามความหมายใหม่ของการใช้ชีวิตอัจฉริยะ ด้วยการบูรณาการ AI เข้ากับงานประจำวัน สร้างความสะดวกสบายและเป็นเสมือนผู้ช่วยที่ไม่มีใครทัดเทียบได้ ทรูเอ็กซ์จะเป็นผู้นำในด้านนี้” เขากล่าว

ขณะที่ อภิรัตน์ หวานชะเอม ยังคงผลักดันศักยภาพเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้ก้าวหน้าอย่างไร้ขอบเขต สายตาที่แน่วแน่และแรงผลักดันอันเด็ดเดี่ยวของเขาเป็นเครื่องเตือนใจว่า ทรูเอ็กซ์ ไม่ใช่เพียงแค่แพลตฟอร์ม แต่จะเป็นความก้าวหน้าของโซลูชันอัจฉริยะที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน

นั่งแท่นแบรนด์ต้นแบบที่พนักงานอยากทำงานด้วย พร้อมเป็นผู้นำสร้างสรรค์ด้านเทคโนโลยี 

อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต และ อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย รายงานผลการดำเนินธุรกิจเติบโตแข็งแกร่งท่ามกลางความท้าทายในปี 2567 เบี้ยทะลุเป้าเหนือตลาด พร้อมสานพลังเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจประกันภัยครบวงจรในไทยภายใต้แบรนด์ One Allianz Ayudhya ทั้ง ประกันชีวิต สุขภาพ รถยนต์ ทรัพย์สิน ธุรกิจSME การเดินทาง และประกันภัยเชิงพาณิชย์ เดินหน้าพัฒนาธุรกิจต่อเนื่อง เสริมศักยภาพตัวแทนและพันธมิตรในทุกช่องทางจัดจำหน่าย พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการลูกค้า สร้างนวัตกรรมดิจิทัล มุ่งยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทยสู่มาตรฐานสากล

ปี 2567 นับเป็นอีกปีที่เศรษฐกิจเผชิญกับความท้าทายในหลากหลายด้าน ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนลดลง อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและประกันภัยยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในยุคปัจจุบัน เนื่องจากผู้บริโภคต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น

ท่ามกลางความท้าทายดังกล่าว อลิอันซ์ อยุธยา ยังคงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยในปี 2567 บมจ. อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต (AZAY) เติบโตแข็งแกร่งเหนือตลาดในทุกช่องทาง สร้างเบี้ยประกันภัยรับรวม (GWP) เติบโต 8% แตะ 3.93 หมื่นล้านบาท ขณะที่เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (ANP) เพิ่มขึ้น 14% แตะ 8.4 พันล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคงของธุรกิจประกันชีวิต แม้ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจชะลอตัว การเติบโตดังกล่าวได้รับแรงสนับสนุนจากช่องทางตัวแทนที่ขยายตัว 17% แตะ 3.8 พันล้านบาท และช่องทางธนาคารที่เติบโตถึง 27% แตะ 3.1 พันล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเครือข่ายการขายหลักของบริษัท ซึ่งสามารถเข้าถึงและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้าน บมจ. อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย (AAGI) มีการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวม เพิ่มขึ้น 7% แตะ 1.09 หมื่นล้านบาท ขับเคลื่อนโดย ประกันอุบัติเหตุและสุขภาพ (A&H) ที่เติบโตสูงถึง 9% แตะ 3.9 พันล้านบาท ขณะที่ ประกันภัยรถยนต์เติบโต 4% แตะ 3.4 พันล้านบาท ประกันวินาศภัยอื่น ๆ เติบโต 7% แตะ 3.6 พันล้านบาท 

นอกจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง อลิอันซ์ อยุธยา ยังภาคภูมิใจในการอยู่เคียงข้างลูกค้าเผชิญหน้ากับความเสี่ยงทั้งด้านชีวิตและทรัพย์สินที่เกิดจากภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะเหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายภูมิภาคทั่วประเทศ ผ่านมาตรการช่วยเหลือและบริการเร่งด่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบริการซ่อมแซมบ้าน การให้บริการยกรถในพื้นที่ประสบภัย รวมถึงการสนับสนุนด้านการเงินให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ อลิอันซ์ อยุธยา ยังมีส่วนร่วมในการระดมทุนและบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูและบรรเทาความเดือดร้อนของชุมชนที่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ ยังเดินหน้าให้ความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ค่ารักษาพยาบาลในไทยที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกำลังเป็นความท้าทายสำคัญที่ส่งผลต่อความยั่งยืนของประกันสุขภาพของไทย นำไปสู่ความรู้ความเข้าใจในเงื่อนไขผลิตภัณฑ์แบบ Co-Payment ที่เพิ่มมากขึ้นในกลุ่มลูกค้าของอลิอันซ์ อยุธยา

 

มร. โทมัส วิลสัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต กล่าวว่า "ในปี 2568 อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จะเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตผ่านกลยุทธ์การพัฒนาเครือข่ายตัวแทนและการขยายความร่วมมือช่องทางธนาคาร อย่างต่อเนื่อง เรามุ่งเน้น การเพิ่มจำนวนและคุณภาพของตัวแทนมืออาชีพ ผ่านโครงการพัฒนาศักยภาพแบบเข้มข้น เพื่อสร้างเครือข่ายตัวแทนที่แข็งแกร่งและสามารถแข่งขันได้ในตลาดผ่านโปรแกรมการแข่งขันและฝึกอบรมต่างๆ นอกจากนี้ เราให้ความสำคัญกับการเสริมความแข็งแกร่งของตัวแทนระดับ ท็อป ผ่านโครงการ Elite โครงการ Blue Star และโครงการ Blue Star X ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาและสนับสนุนตัวแทนให้ก้าวสู่การเป็นที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพ เพื่อช่วยสร้างเครือข่ายผู้นำที่แข็งแกร่งในองค์กร ทั้งหมดนี้จะช่วยยกระดับศักยภาพของเครือข่ายตัวแทนให้สามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืน

ขณะเดียวกัน เราได้กำลังเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งกับพันธมิตรช่องทางธนาคารอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความร่วมมือกับธนาคารกรุงศรี ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับช่องทางนี้ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ครบวงจร รองรับทั้งการออม การลงทุน และการคุ้มครองสุขภาพ พร้อมพัฒนา นวัตกรรมดิจิทัล ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกแผนประกัน จัดการกรมธรรม์ และเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้สะดวกยิ่งขึ้น เราเชื่อมั่นว่าการเสริมความแข็งแกร่งของทั้งสองช่องทางนี้ จะช่วยให้เราสามารถขยายการเข้าถึงลูกค้าและสร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในปี 2568"

 

ด้าน มร. ลาร์ส ไฮบุทสกี้ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย กล่าวเสริมว่า “ในปี 2568 อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย เราจะขยายขีดความสามารถด้วยกลยุทธ์สำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ (1) การกระจายพอร์ตผลิตภัณฑ์ โดยมุ่งขยายโอกาสธุรกิจที่มากไปกว่าประกันรถยนต์ โดยจะเน้นไปที่ประกันสุขภาพ การคุ้มครองความเสี่ยงธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) และการคุ้มครองบ้านและทรัพย์สินอื่นๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตสูง พร้อมเพิ่มโซลูชันที่ตอบโจทย์ธุรกิจรายย่อยและองค์กร (2) การเสริมความแข็งแกร่งของช่องทางการจัดจำหน่าย โดยมุ่งเสริมศักยภาพของทั้งโบรกเกอร์และตัวแทนประกันรถยนต์เดิม ให้มีความสามารถแนะนำประกันภัยชนิดอื่นๆให้กับลูกค้าได้ด้วย เพื่อให้สามารถให้บริการลูกค้าได้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และ (3) ขยายธุรกิจประกันภัยเชิงพาณิชย์ Allianz Commercial ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถให้บริการประกันภัยที่ครอบคลุมสำหรับภาคธุรกิจขนาดใหญ่และกลุ่มองค์กร โดยเฉพาะในกลุ่ม ประกันภัยทรัพย์สิน วิศวกรรม การขนส่ง และความรับผิดทางกฎหมาย เราเชื่อว่าการเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์เหล่านี้ จะช่วยให้อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย สามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดประกันภัยไทยในอนาคต"

ในด้านของภาพรวมธุรกิจ อลิอันซ์ อยุธยา เดินหน้าธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ One Allianz Ayudhya มุ่งสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านประกันภัยแบบครบวงจรที่ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกมิติ ครอบคลุมทั้งประกันชีวิต สุขภาพ รถยนต์ ทรัพย์สิน ธุรกิจSME การเดินทาง และประกันภัยเชิงพาณิชย์ ลูกค้าจะได้รับความคุ้มครองที่หลากหลายและครอบคลุมมากขึ้นผ่านกลยุทธ์การขายต่อเนื่อง (upsell) และการขายผลิตภัณฑ์เสริม (cross-sell) และด้วยโครงสร้างที่ผสานความร่วมมือระหว่างหน่วยธุรกิจต่างๆ อลิอันซ์ อยุธยา สามารถให้บริการที่ไร้รอยต่อ พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งลูกค้าและพันธมิตรมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน อาทิ เช่น ในธุรกิจประกันสุขภาพ โดยมีการพัฒนาระบบการดูแลลูกค้า ได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่การป้องกัน, ก่อนเข้ารับการรักษา ช่วงระหว่างการรักษา จนถึงดูแลฟื้นฟูหลังการรักษาพยาบาล โดยปัจจุบัน อลิอันซ์ อยุธยา มีเครือข่ายโรงพยาบาลมากกว่า 500 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ เรายังใช้ความแข็งแกร่งจากการเป็นผู้ให้บริการประกันสุขภาพอันดับ 2 ของประเทศ เพื่อขยายตลาดและตอกย้ำความเป็นผู้นำในฐานะบริษัทประกันภัยที่เข้าใจและพร้อมดูแลลูกค้าอย่างครบวงจรในประเทศไทย

ด้วย กลยุทธ์ One Allianz Ayudhya ที่ผสานความแข็งแกร่งของ อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต และ อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย บริษัทฯ พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตในปี 2568 ด้วยรากฐานที่แข็งแกร่ง กลยุทธ์ที่ชัดเจน และความมุ่งมั่นของทีมงาน เรามั่นใจว่าอลิอันซ์ อยุธยา จะสามารถก้าวขึ้นเป็นบริษัทประกันภัยที่ลูกค้าไว้วางใจและเลือกใช้บริการมากที่สุดในประเทศไทย โดยเป้าหมายสร้างเบี้ยประกันภัยรับรวมในธุรกิจประกันชีวิต เติบโต 10%  ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท และธุรกิจประกันภัย เติบโต 12% เบี้ยประกันภัยรับรวมแตะ 1.2 หมื่นล้านบาท

อนึ่ง กลุ่มอลิอันซ์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ถือหุ้นหลัก ของ บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต และ บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย ได้รายงานผลประกอบการปี 2024 เติบโต โดยมีมูลค่าธุรกิจรวมเพิ่มขึ้น 11.2% แตะระดับ 1.8 แสนล้านยูโร เมื่อปรับมูลค่าจากอัตราแลกเปลี่ยนและการควบรวมกิจการ โดยกลุ่มธุรกิจ ประกันชีวิตและสุขภาพ เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเติบโต ควบคู่ไปกับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของธุรกิจ ประกันวินาศภัย ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานแตะระดับ 1.6 หมื่นล้านยูโร (12 เดือนปี 2023: 1.47 หมื่นล้านยูโร) เพิ่มขึ้น 8.7% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากทุกกลุ่มธุรกิจ ในขณะเดียวกัน อัตราส่วนเงินกองทุน Solvency II ยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 209% ณ สิ้นปี 2024

ธุรกิจ SME เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย คิดเป็นสัดส่วนมากถึงกว่า 35% ของ GDP และเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่ต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้านในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น กำลังซื้อที่ลดลงจากปัญหาหนี้ครัวเรือน ต้นทุนดำเนินงานที่สูงขึ้น การแข่งขันในช่องทางออนไลน์ที่รุนแรง และการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ ล่าสุด LINE ประเทศไทย จัดงาน BOOTCAMP DAY งานสัมมนาที่มุ่งให้ความรู้กับผู้ประกอบการ SME ไทย เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและปรับตัวให้ทันกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป หนึ่งในประเด็นที่ได้รับความสนใจในงาน คือ พลังของการสร้างแบรนด์ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรับมือความท้าทายเหล่านี้

สองผู้เชี่ยวชาญจาก LINE ประเทศไทย กวินทร์ สวัสดิ์ศรี หัวหน้าทีม LINE OA Campaign & Communication และ จิรพัฒน์ เดชดนู หัวหน้าทีม LINE Ads Product & Marketing Strategy ได้แนะนำแนวทางสำคัญในการสร้าง "แบรนด์ที่แข็งแกร่ง" ผ่านกลยุทธ์ 3+1L ที่ช่วยให้ SME สร้างแบรนด์ให้แตกต่างจากคู่แข่ง ดึงดูดลูกค้า และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาด กลยุทธ์นี้ไม่เพียงช่วยให้ SME ฝ่าฟันอุปสรรคทางธุรกิจ แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญสู่การเติบโตในระยะยาว

เริ่มต้นด้วย L แรก คือ "Look" (ภาพลักษณ์แบรนด์) คือสิ่งที่ผู้บริโภคสัมผัสและจดจำเป็นอันดับแรก ทุกธุรกิจจำเป็นต้องพิถีพิถันกับทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นโลโก้ โทนสี ตัวอักษร และการออกแบบที่สื่อถึงอัตลักษณ์และบุคลิกของแบรนด์อย่างชัดเจนในทุกช่องทางการสื่อสาร ถัดมา "Language" (ภาษาและการเล่าเรื่อง) ควรสอดคล้องกับตัวตนของแบรนด์ นำเสนอคอนเทนต์ที่ดึงดูดความสนใจและตรงความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย สร้างความรู้สึกมีส่วนร่วมและความประทับใจ และ "Long-Term Relationship" (การรักษาความสัมพันธ์ระยะยาว) มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่ตลาดมีทางเลือกมากมาย ความจงรักภักดีต่อแบรนด์ไม่ได้เกิดจากคุณภาพสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการอัปเดตข้อมูล นำเสนอหรือแนะนำสินค้าใหม่ที่ตรงใจ เป็นสิ่งที่ธุรกิจควรดำเนินการเป็นประจำสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

และ 1L สุดท้ายที่ขาดไม่ได้ คือ "LINE" แพลตฟอร์มหลักที่เอื้อให้ SME สร้างประสบการณ์การซื้อขายที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคไทย ด้วยเครื่องมือหลากหลาย พร้อมให้ SME ได้เลือกใช้เพื่อสร้างแบรนด์ ปั้นยอดขาย สร้างความประทับใจให้ลูกค้าได้อย่างครอบคลุม โดยทั้งสองกูรูยังได้แนะนำถึง 4 เทคนิคการใช้เครื่องมือ โซลูชันต่างๆ บน LINE เพื่อพาแบรนด์ SME สู่ความสำเร็จ ตอบโจทย์ความต้องการและดึงดูดลูกค้าตลอดเส้นทางการช้อป (Customer Journey)

(1) การทำความรู้จัก ด้วยการสร้างหน้าร้านแบบมือโปร ผ่านการสมัครใช้ ‘พรีเมียมไอดี’ ช่วยให้ลูกค้าจดจำร้านค้าได้ง่าย ค้นหาได้ไวบนโลกออนไลน์ ในขณะที่การสมัครเป็น บัญชีรับรอง (Verified Account) เป็นอีกหนึ่งวิธีช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าร้านค้ามีตัวตนจริง จากข้อมูลของ LINE พบว่าบัญชีรับรอง ซึ่งจะมีโล่สีน้ำเงินกำกับไว้ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้คนติดตามเพิ่มขึ้นได้ถึง 19 เท่า นอกจากการสร้างหน้าร้านแบบมือโปรแล้ว การเดินหน้าหาลูกค้าที่ใช่ ด้วยการลงโฆษณาผ่าน LINE Ads’ เพื่อโปรโมตสินค้าหรือร้านค้าไปยังกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ได้อย่างแม่นยำ โดยจากตัวอย่างแบรนด์ที่ใช้งานพบว่า ช่วยเพิ่มเพื่อนให้ LINE OA ของร้านได้สูงสุดถึง 10 เท่า เมื่อลูกค้าเพิ่ม LINE OA ของร้านค้าเป็นเพื่อนแล้ว การสร้าง ริชเมนูบน LINE OA ให้มีข้อมูลเบื้องต้นของสินค้า/ร้านค้าได้ครบครัน ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญช่วยสร้างความประทับใจแรกพบ อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าค้นหาข้อมูลสินค้าและบริการเองได้ง่าย โดยช่วยเพิ่ม Engagement ได้สูงถึง 14%

(2) กระตุ้นความสนใจด้วยคอนเทนต์ที่ทำถึง การนำเสนอคอนเทนต์ที่ดึงดูดและตรงใจ จะช่วยเพิ่มโอกาสการขายให้ลูกค้าเข้าใจสินค้าและบริการที่เห็นภาพ โดยการบรอดแคสต์ข้อความบน LINE OA ในรูปแบบ ‘ริชแมสเสจ’ นับว่าช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าคลิกและมีส่วนร่วมกับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี จนร้านค้า SME นิยมใช้งานสูงสุดถึง 3.2 เท่าหากเทียบกับการบรอดแคสต์ข้อความในรูปแบบอื่น ในขณะที่การบรอดแคสต์ข้อความในรูปแบบ ‘คูปอง’ ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ สามารถช่วยเพิ่มอัตราการเปิดอ่านสูงกว่าการบรอดแคสต์ข้อความทั่วไปถึง 3.2 เท่า ในด้านโฆษณา การนำเสนอโฆษณาในรูปแบบวีดีโอ ยังคงเป็นที่สนใจสำหรับผู้บริโภคคนไทย โดยเฉพาะ ‘วีดีโอรีวิวสินค้า’ จากตัวอย่างแบรนด์ที่ใช้งาน ‘LINE Ads’ เผยว่าสามารถสร้างยอดขายบน LINE ให้ร้านค้าเพิ่มขึ้นได้ถึง 2 เท่า

(3) ปิดการขายอย่างง่ายให้โดนใจลูกค้า ด้วยการใช้เครื่องมือ ‘MyShop’ มาช่วยในการจัดการร้านค้าออนไลน์แบบมืออาชีพ นอกจากทำให้ผู้ประกอบการและทีมงานร้านค้า SME บริหารจัดการร้านค้าได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ลูกค้าเลือกสินค้า ดูรายละเอียด และกดสั่งซื้อโดยตรงเองได้สะดวกทันใจ โดย LINE พบว่าร้านค้าที่ใช้ LINE OA ร่วมกับเครื่องมือ MyShop สามารถเพิ่มโอกาสปิดการขายผ่านแชตได้สูงขึ้นถึง 15 เท่า นอกจากนี้ ‘ฟีเจอร์ Chat Tag’ บน LINE OA ยังเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจ ช่วยให้ธุรกิจระบุกลุ่มลูกค้าจากข้อมูลการแชตได้ อาทิ การแบ่งกลุ่มตามประเภทสินค้าที่สนใจ ตามพฤติกรรมการซื้อ ตามโลเคชันของลูกค้า เป็นต้น เพื่อให้แบรนด์สามารถนำเสนอคอนเทนต์ได้ตรงกลุ่มตรงใจ การสื่อสารกับลูกค้าเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ช่วยปิดการขายได้ง่ายขึ้นไปอีกขั้น อีกทั้ง แบรนด์ยังสามารถนำข้อมูลการแบ่งกลุ่มที่ได้ ไปวิเคราะห์เพื่อออกแบบกิจกรรมการสื่อสาร การตลาดต่อได้อีกด้วย

(4) มัดใจสร้างลูกค้าประจำด้วยระบบสมาชิก อย่าง MyCustomer I CRM’ ระบบสมาชิกสะสมแต้มที่ช่วยให้ร้านค้าสร้างความภักดีระยะยาวกับลูกค้า ผ่านการมอบสิทธิพิเศษ ข้อเสนอเฉพาะบุคคล กระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ ทั้งยังสามารถเก็บข้อมูลลูกค้า นำไปวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อเพื่อใช้ในกลยุทธ์การตลาดได้ต่อ สร้างการสื่อสารที่ตรงใจ มัดใจลูกค้าเดิม เพิ่มกลุ่มลูกค้าใหม่ ทำให้ธุรกิจสามารถรักษาฐานลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย LINE ได้เผยสถิติจากธุรกิจ SME ที่ใช้งานระบบนี้มาเกินหนึ่งเดือน พบว่า การใช้งาน MyCustomer | CRM ช่วยเพิ่มยอดการสั่งซื้อจากลูกค้าประจำสูงขึ้นถึง 7 เท่า ยอดขายและธุรกิจภาพรวมเติบโตขึ้นถึง 74% และอัตราการบล็อก LINE OA ลดลงถึง 30%

การวางรากฐาน สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งเป็นหัวใจสำคัญของ SME ไทย เพื่อสร้างความแตกต่างและเป็นที่จดจำในใจของลูกค้า ผู้บริโภคยุคใหม่ โดย LINE พร้อมเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยเสริมศักยภาพให้ธุรกิจ SME ไทยเติบโตท่ามกลางความท้าทายรอบด้านได้ ผ่านแนวคิด เทคนิคความรู้ที่น่าสนใจ กิจกรรมส่งเสริมมากมาย และที่สำคัญ หลากหลายเครื่องมือให้ SME ไทยได้เลือกใช้ ครอบคลุมทั้งในเชิงการสร้างแบรนด์ ปั้นยอดขาย เพื่อการตั้งตัวและเติบโตได้อย่างยั่งยืน

ผู้ที่สนใจ สามารถติดตามเนื้อหาสรุปประเด็นที่น่าสนใจ พร้อมติดตามรับชมงาน BOOTCAMP ย้อนหลังได้ทาง LINE OA: @linebizth และเฟซบุ๊กเพจ LINE for Business

บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายขนมขบเคี้ยวชั้นนำภายใต้แบรนด์ Jack'n Jill เดินหน้าคว้ารางวัลใหญ่รับต้นปีจากเวที “2024 Asia's Top Influential Brands Awards” รางวัลสุดยอดแบรนด์ที่ทรงอิทธิพลต่อผู้บริโภคมากที่สุดแห่งปี 2024 ซึ่งในปีนี้ยูอาร์ซีรับรางวัลต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จาก 2 แบรนด์ผู้นำอย่าง ‘ฟันโอ’ และ ‘ทิวลี่’ ซึ่งสะท้อนความเป็นตัวจริงตอกย้ำความเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดบิสกิตและเวเฟอร์การันตีความนิยมจากผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ภายในงานมีนางสาวพรทิพย์ ลีลาเลิศวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด เป็นตัวแทนขึ้นรับรางวัล ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความภาคภูมิใจ ณ โรงแรมคอนราด กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา

นางสาวพรทิพย์ ลีลาเลิศวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงการรับรางวัลในครั้งนี้ว่า “ยูอาร์ซีรู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้รับรางวัล 2024 Asia's Top Influential Brands Awards นับเป็นเครื่องการันตีถึงคุณภาพและความนิยมที่ได้รับการยอมรับในกลุ่มผู้บริโภคทั่วประเทศได้เป็นอย่างดี โดยในปี 2024 ที่ผ่านมา ฟันโอ มีอัตราการเติบโตสูงถึง 21% และทิวลี่ เติบโต 10% เมื่อเทียบกับปี 2023 เนื่องด้วยแผนกลยุทธ์การตลาดแนวใหม่ที่ช่วยสร้างสีสันและกระตุ้นให้วงการตลาดเติบโตเร็วขึ้น โดยหนึ่งในแผนกลยุทธ์หลักเป็นการจัดแคมเปญแจกโชคใหญ่ของทั้ง 2 แบรนด์ ฟันโอและทิวลี่ พร้อมกระบอกเสียงหลักโดยพรีเซ็นเตอร์ชื่อดัง อย่าง เบิ้ล ปทุมราช นักร้องระดับไอคอนดนตรีสไตล์อีสาน พรีเซนเตอร์ แบรนด์ฟันโอ และ โจอี้ ภูวศิษฐ์ นักร้องสายร็อคเจ้าของเพลงดัง 100 ล้านวิวพรีเซนเตอร์ แบรนด์ทิวลี่ ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคตลอดปี 2024 นับเป็นการมอบประสบการณ์ความสนุกและความสุขให้กับผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย

โดยในปี 2025 นี้เรายังคงเดินหน้าเสิร์ฟความสนุกให้แก่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องโดยเริ่มไตรมาสแรก มอบโชคใหญ่จัดเต็มมูลค่ารวมกว่า 5 ล้านบาท ด้วยกิจกรรมชวนร่วมสนุกผ่านการลุ้นโชคกับแคมเปญ "ฟันโอมินเนี่ยน แก๊งป่วนชวนซิ่งชิงโชคใหญ่" แจกของรางวัลรวมมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท และแคมเปญ “ทิวลี่ แจกใหญ่เวอร์ เวเฟอร์ทองคำ มูลค่ารวมกว่า 2 ล้านบาท” พร้อมความพิเศษรูปแบบใหม่สำหรับปีนี้กับการคอลแลปส์คาแรกเตอร์ระดับโลก มอบประสบการณ์และของรางวัลสุดพิเศษ เพื่อตอบแทนความไว้วางใจจากผู้บริโภคที่มีให้กับแบรนด์มาโดยตลอด และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีไม่แพ้ปีที่ผ่านมา” นางสาวพรทิพย์กล่าวปิดท้าย

สำหรับรางวัล 2024 Asia's Top Influential Brands Awards นับเป็นการมอบรางวัลใหญ่แห่งปีที่มอบให้กับแบรนด์ที่มีอิทธิพลสูงสุดต่อผู้บริโภค จากผลการสำรวจความพึงพอใจที่มีต่อแบรนด์ในผู้บริโภคชาวไทย โดยเน้นกลุ่ม Gen X, Y และ Z ซึ่งมีอายุระหว่าง 15-59 ปี และเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลต่อการผลักดันเศรษฐกิจไทยมากที่สุด ผลสำรวจนี้ได้จัดทำขึ้นในกรุงเทพมหานคร ระหว่างเดือนกรกฎาคม ถึง สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา จัดโดย บริษัท อินฟลูเอ็นเชี่ยลแบรนด์ ประเทศสิงคโปร์ ร่วมกับ บริษัท นิโอ ทาร์เก็ต จำกัด ถือเป็นเครื่องการันตีถึงคุณภาพและความนิยมที่ได้รับการยอมรับในกลุ่มผู้บริโภคทั่วประเทศได้เป็นอย่างดี ซึ่ง 2 รางวัลนี้นับเป็นอีกหนึ่งกำลังใจสำคัญสำหรับพนักงานยูอาร์ซีทุกคน ในการมุ่งมั่น ทุ่มเท และไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ด้าน เพื่อมอบประสบการณ์การที่ดีที่สุดให้แก่ผู้บริโภคต่อไป”

พาลูกค้าคนสำคัญรับชม Captain America: Brave New World แบบเอ็กซ์คลูซีฟ ณ Siam Pavalai Royal Grand Theatre by Krungthai-AXA Life

“น่าอยู่” สตาร์ทอัพแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์สัญชาติไทย (www.NaYoo.co) ผู้ให้บริการซื้อ-ขาย, เช่า, แบบบ้าน-รับสร้างบ้าน ครบจบในที่เดียว ประกาศความสำเร็จระดมทุนรอบพรี ซีรีส์ A มูลค่ามากกว่า 40 ล้านบาท ผ่านความร่วมมือกับสองพันธมิตรยักษ์ใหญ่ NVEST Venture กองทุนภายใต้ธนาคารออมสินและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และบริษัท ออลคอนวัน จำกัด (Allkons One) แพลตฟอร์มซื้อ-ขายวัสดุก่อสร้าง และบริหารจัดการออนไลน์ครบวงจร เร่งเสริมแกร่งธุรกิจสู่การให้บริการโซลูชันแบบครบวงจร มุ่งพัฒนาวงการอสังหาฯ และก่อสร้างไทย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้าตลาดออนไลน์โตต่อเนื่อง ตั้งเป้าปี 2570 ให้บริการทั่วไทย พร้อมปักธงปี 2572 ลุยตลาดต่างประเทศ   

นายภัคณัฎฐ์ บุญเชิดชัยยันต์ Co-Founder และ CEO บริษัท น่าอยู่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า น่าอยู่ มุ่งพัฒนาแพลตฟอร์มผู้ให้บริการ ซื้อ-ขาย, เช่า แบบบ้าน-รับสร้างบ้าน แบบครบวงจรที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ซื้อหรือผู้เช่าและผู้ประกอบการ ด้วยจุดแข็งของโมเดลธุรกิจที่เป็นทั้งแหล่งรวบรวมข้อมูลอัพเดต ครบถ้วน แม่นยำ พร้อมผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำด้วยข้อเสนอที่ดีที่สุด และยังมีพาร์ทเนอร์แข็งแกร่งโดยมีทีมงานในพื้นที่ เข้าใจ-รู้ลึก-รู้จริง ภายใต้แบรนด์ น่าอยู่ อาทิ อุบลน่าอยู่ และขอนแก่นน่าอยู่ ที่นอกจากจะช่วยลดเวลาค้นหาข้อมูล และช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายยิ่งขึ้นให้กับผู้หาที่อยู่อาศัยแล้ว ยังมีการให้ความรู้ผู้ประกอบการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยวิเคราะห์ตลาดและพฤติกรรมผู้ที่ต้องการหาบ้านในแต่ละจังหวัดเพื่อต่อยอดทำธุรกิจอสังหาฯ จากการจัดงาน “น่าอยู่สัญจร สัมมนาคนสร้างบ้าน” ตลอด 3 ปี มีผู้ประกอบการและผู้ที่สนใจฯ เข้าร่วมฟังกว่า 1,200 ราย อีกทั้งการรุกทำแคมเปญการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ที่ผ่านมา ทำให้มียอดจองแล้วกว่า 1,800 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ากว่า 4 พันล้านบาท ปัจจุบัน มีจำนวนผู้ใช้บริการในแพลตฟอร์มแล้วกว่า 8 ล้านราย ครอบคลุมพื้นที่ 10 จังหวัดหัวเมืองของไทย ได้แก่ ขอนแก่น อุบลราชธานี อุดรธานี ระยอง ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สุรินทร์ บุรีรัมย์ พิษณุโลก และเชียงราย  

ความสำเร็จในการระดมทุนครั้งนี้ จะช่วยให้เราสามารถพุ่งเป้าไปที่การพัฒนา และต่อยอดการให้บริการที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น อาทิ กลุ่มนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเชื่อมโยงทุก Ecosystem ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเข้มแข็งครอบคลุมครบจบในที่เดียว พร้อมตั้งเป้าภายในปี 2570 จะขยายพื้นที่บริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และในปี 2572 บุกตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจาก IMF World Economic Outlook ที่ระบุว่า อาเซียนจะเติบโตเฉลี่ย 4.7% ต่อปีในอีก 5 ปีข้างหน้า ส่งผลให้เป็นหนึ่งในภูมิภาคเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก  

ด้านนายศรัณย์ สุตันติวรคุณ Partner – NVEST Venture กล่าวว่า  “NVEST Venture เล็งเห็นศักยภาพของรูปแบบธุรกิจผ่านโมเดลแฟรนไชส์ที่สามารถเติบโตได้จริงในธุรกิจกลุ่มตลาดที่อยู่อาศัยด้วยทีมงานที่แข็งแกร่ง เปี่ยมด้วยแพชชั่น และได้รับการสนับสนุนจากเอสซีจี  NVEST Venture จึงพร้อมติดอาวุธให้ “น่าอยู่” ด้วยการนำความเชี่ยวชาญด้านการบริหารการเงิน และโครงสร้างการดำเนินงาน เข้ามาเสริมศักยภาพให้แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์นี้ได้ส่งมอบโซลูชันให้ลูกค้าออนไลน์ได้สะดวก โดนใจมากยิ่งขึ้น  สามารถขยายธุรกิจไปทั่วประเทศและพร้อมบุกตลาดต่างประเทศ ในฐานะสตาร์ทอัพสัญชาติไทย อย่างไรก็ตาม ยังมองหาโอกาสในการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่มีศักยภาพ อาทิ ธนาคารและสถาบันการเงินเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในท้ายที่สุด”  

นายเดชบดินทร์  เหรียญทรัพย์ดี Chief Financial Officer บริษัท ออลคอนส์ วัน จำกัด กล่าวว่า “น่าอยู่ มีความโดดเด่นมากเรื่อง Business Model และ Service ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการขยายการให้บริการแบบมีโฟกัสทีละจังหวัด โดยมีทีมงานที่อยู่ในพื้นที่ซึ่งมีความเชี่ยวชาญและเข้าใจในพื้นที่เป็นอย่างดี และเป็นฐานสำคัญของการขยายตัวเข้าในแต่ละจังหวัดได้ในเชิงลึกเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มที่คล้ายกัน อีกทั้ง Allkons อยู่ในธุรกิจก่อสร้างจึงเห็นโอกาสในการต่อยอด และส่งเสริมให้เกิด Synergy กับทั้งสองบริษัท เช่น การเพิ่มสินค้าและช่องทางการขายไปยังกลุ่มตัวแทน เจ้าของบ้าน หรือ กลุ่มคนที่ต้องการหาที่อยู่อาศัย รวมถึงกลุ่มผู้รับเหมา และเจ้าของโครงการอีกด้วย”

ด้าน ดร.จาชชัว แพส – Chief Operating Officer เอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล เปิดเผยว่า “เอสซีจีได้จัดโครงการ ZERO TO ONE  by SCG สนับสนุนให้พนักงานที่มีความมุ่งมั่น มีแพชชั่น และมีไอเดีย พัฒนาเป็นสตาร์ทอัพ สร้างธุรกิจตามความต้องการของตลาด และ “น่าอยู่” เป็นหนึ่งในทีมงานเอสซีจีที่มีคุณภาพและมีศักยภาพจนสามารถสร้างโมเดลธุรกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด และได้รับเงินลงทุน Seed Round จากเอสซีจี เมื่อปี 2554

นอกจากนี้ เอสซีจี ให้การสนับสนุนในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การเข้าถึงเครือข่ายในแต่ละพื้นที่ ที่มีครอบคลุมทั้งประเทศเพื่อขยายธุรกิจ  พื้นที่การให้บริการของน่าอยู่  การร่วมมือผ่านเครือข่ายธุรกิจต่าง ๆ ของเอสซีจี เช่น เครือข่ายร้านค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้าน และวัสดุก่อสร้าง เครือข่ายผู้รับเหมา รวมถึงแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และยังพร้อมประสานงานกับผู้ผลิตสินค้าวัสดุก่อสร้างของเอสซีจีรวมถึงกิจการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความร่วมมือทางธุรกิจในรูปแบบต่างๆ เพื่อนำเสนอและส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพให้แก่ลูกค้าปลายทางในท้ายที่สุด”

การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม จะทำการเปิดให้บริการระบบชำระค่าผ่านทางด้วยเทคโนโลยี EMV Contactless หรือ Europay MasterCard and VISA บนทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) รองรับทั้งหมด 15 ด่าน 75 ช่องทาง เริ่มวันที่ 16 มีนาคม 2568 เวลา 0.01 น. เป็นต้นไป เพื่อเป็นทางเลือกในการชำระค่าผ่านทางให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายโดยมีขั้นตอนง่าย ๆ เพียงแค่ขับรถเข้าช่องชำระค่าผ่านทางด้วยเงินสด ลดกระจก และแตะบัตรที่มีสัญลักษณ์ Contactless ตอบโจทย์วิถีชีวิตยุคใหม่ อีกทั้งยังเป็นรูปแบบการชำระเงินที่เป็นมาตรฐานระดับสากล เพิ่มความสะดวกรวดเร็ว ใช้เวลาน้อยกว่าการชำระค่าผ่านทางด้วยเงินสด ถือเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้บริการทางพิเศษ และลดความแออัดของปริมาณรถสะสมบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ทางพิเศษ EXAT Call Center 1543 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

X

Right Click

No right click