

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการไตรมาส 4/2567 สร้างกำไรต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิหลังหักภาษีและหลังปรับปรุงรายการพิเศษ (Normalized Net Profit After Tax) ที่ 3.6 พันล้านบาท โดย EBITDA เติบโตเพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่ 8 ติดต่อกัน โดยมีปัจจัยหลักจากการลดลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน จากการมุ่งเน้นผลการดำเนินงานและวินัยทางการเงิน ตลอดจนการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม (Synergy) รายได้จากการให้บริการและ EBITDA สูงกว่าแนวโน้มที่ตั้งไว้สำหรับปี 2567
นาย มนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "ปี 2567 แม้เป็นปีที่มีความท้าทายทางเศรษฐกิจ แต่ ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงเดินหน้าพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้สามารถสร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่อง และ EBITDA เติบโตเป็นไตรมาสที่ 8 ติดต่อกัน ซึ่งความสำเร็จมาจากการขับเคลื่อนด้วยปัจจัยสำคัญ 3 ประการ คือ ประการแรก การเร่งดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย โดยปรับปรุงเครือข่ายแล้วเสร็จมากกว่า 77% ซึ่งเร็วกว่าแผนงาน และเมื่อเราบรรลุเป้าหมาย 100% กลางปี 2568 ที่จะถึงนี้ จะทำให้โครงการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยที่รวมเครือข่ายระดับประเทศสองเครือข่ายเป็นหนึ่งเดียว สามารถสร้างประวัติศาสตร์แห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่ทั้งลูกค้าทรูมูฟ เอช และดีแทคได้สัมผัสประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นอย่างชัดเจน ประการที่สอง การเสริมความแข็งแกร่งด้วยพันธมิตรระดับโลกเพื่อยกระดับขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี และประการที่สาม การนำประโยชน์จาก AI และการวิเคราะห์ล้ำสมัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายและขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัล ขณะที่เราอยู่ท่ามกลางความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและการเติบโต เรายังคงมุ่งมั่นที่จะส่งมอบคุณค่าที่มากขึ้นให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พร้อมกับเสริมสร้างความแข็งแกร่งในฐานะบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำของประเทศไทย ซึ่งนอกจากความสำเร็จด้านธุรกิจแล้ว เรายังภูมิใจที่ได้รับการยกย่องให้เป็นองค์กรที่ยั่งยืนที่สุดในกลุ่มโทรคมนาคมระดับโลก โดยเป็นอันดับที่ 1 ในดัชนีความยั่งยืน Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ประจำปี 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7"

นายชารัด เมห์โรทรา รองประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "เรามั่นใจว่าในปี 2568 จะส่งมอบเครือข่ายที่ดีที่สุดครั้งประวัติศาสตร์ของเรา พร้อมคุณภาพบริการที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ นอกจากนี้ เรากำลังยกระดับการบริการลูกค้าด้วยการนำ AI เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ทั้งการแนะนำบริการที่เหมาะกับลูกค้าแต่ละราย การให้ความช่วยเหลือทันทีโดย ‘มะลิ’ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเสมือน และการสนับสนุนพนักงานขายและคอลเซ็นเตอร์ด้วย AI co-pilots ในปี 2568 เรามีเป้าหมายเพิ่มผู้ใช้บริการดิจิทัลจากหนึ่งในสามเป็น 40% และขยายฐานผู้ใช้ดิจิทัลเป็น 20 ล้านราย แอปพลิเคชันบริการหลังการขายที่ปรับปรุงใหม่ของเราจะช่วยให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบบิล รับสิทธิประโยชน์ และรับบริการ AI ครบได้ในที่เดียว ทั้งนี้ ปี 2568 จะเป็นปีที่สร้างกำไร พร้อมส่งมอบความประทับใจให้ลูกค้าผ่านความสำเร็จของทรู"
ในไตรมาส 4/2567 จำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่กลับมาเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยเพิ่มขึ้น 116,000 เลขหมาย หรือ 0.2% จากไตรมาสที่ผ่านมา มีจำนวน 49.4 ล้านเลขหมาย ซึ่งเป็นตัวเลขภายหลังจากการลดลงของผู้ใช้บริการ 133,000 เลขหมายจากความร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการฉ้อโกง ผู้ใช้บริการระบบรายเดือนคงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่ 15.2 ล้านเลขหมาย ในขณะที่ผู้ใช้บริการระบบเติมเงินมีจำนวน 34.2 ล้านเลขหมาย ผู้ใช้บริการออนไลน์เพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน อยู่ที่ 3.7 ล้านราย ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2567 ผู้ใช้บริการ 5G มีจำนวน 13.8 ล้านเลขหมาย
นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ปี 2567 เป็นปีที่สำคัญสำหรับทรู คอร์ปอเรชั่น ด้วยการพลิกกลับมามีกำไรภายหลังการปรับปรุงตั้งแต่ไตรมาสแรกอย่างเกินความคาดหมาย ซึ่งการขับเคลื่อนต่อเนื่องนับตั้งแต่การควบรวมกิจการ ทำให้ EBITDA เติบโตติดต่อกัน 8 ไตรมาส พร้อมกำไรที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกไตรมาส สำหรับในปี 2567 ทรู คอร์ปอเรชั่นมีกำไรภายหลังการปรับปรุง 9.9 พันล้านบาท โดยมาจากไตรมาส 4/2567 จำนวน 3.6 พันล้านบาท”

รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC ปรับตัวดีขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปีที่ผ่านมา (YoY) โดยรายได้จากการให้บริการทั้งปี 2567 เติบโต 4.6% สูงกว่าแนวโน้ม การปรับตัวดีขึ้นของรายได้จากการให้บริการมาจากการเติบโตของรายได้ในทุกกลุ่มธุรกิจ และการปรับสมดุลการแข่งขันด้านราคาอย่างต่อเนื่องในกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และออนไลน์ ทรู คอร์ปอเรชั่นรายงานรายได้รวมเติบโต 0.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยรายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ (ARPU) ในทุกกลุ่มธุรกิจ แต่ถูกลดทอนบางส่วนจากรายได้การขายผลิตภัณฑ์ที่ลดลง เนื่องจากการปรับลดเงินสนับสนุนค่าเครื่องโทรศัพท์
สำหรับไตรมาส 4/2567 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (ไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย หรือ D&A) ลดลง 7.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมและวินัยทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ต้นทุนเครือข่ายลดลง 0.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากการประหยัดต้นทุนจากการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยและการจัดซื้อจัดจ้าง ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ลดลง 22.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับผลประโยชน์จากการควบรวมในหลายด้าน โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างองค์กรให้ทันสมัย การริเริ่มกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ ๆ และประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ด้วยการบูรณาการกรอบการดำเนินงานที่มุ่งเน้นความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืน ทรู คอร์ปอเรชั่นสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
ทรู คอร์ปอเรชั่นบันทึกการเพิ่มขึ้นของ EBITDA จำนวน 5.8 พันล้านบาท นับตั้งแต่การควบรวมกิจการ ซึ่งนับเป็นการเติบโตของ EBITDA เป็นไตรมาสที่ 8 ติดต่อกัน สำหรับไตรมาสที่ 4/2567 EBITDA เพิ่มขึ้น 12.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 1.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยภาพรวมปี 2567 EBITDA เพิ่มขึ้น 14.5% สูงกว่าแนวโน้ม โดยการเติบโตของ EBITDA มาจากการปรับตัวดีขึ้นของรายได้ ผลประโยชน์จากการควบรวม และวินัยทางการเงิน อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่การควบรวมกิจการที่ 60.6% ในไตรมาส 4/2567
ในไตรมาส 4/2567 ทรู คอร์ปอเรชั่นบันทึกผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (one-time costs) จำนวน 1.11 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้มีผลขาดทุนสุทธิหลังหักภาษี 7.5 พันล้านบาท รายการพิเศษที่ไม่ใช่เงินสดเกี่ยวข้องกับการด้อยค่าสินทรัพย์จากการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยและสินค้าคงเหลือ การด้อยค่าประจำปีของค่าความนิยมและเงินลงทุน และผลขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม ทรู คอร์ปอเรชั่นยังได้ตั้งสำรองค่าใช้จ่ายเป็นเงินสดสำหรับค่าชดเชยที่ต้องจ่ายหน่วยงานท้องถิ่นในปี 2568 เมื่อปรับปรุงรายการพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียวเหล่านี้ กำไรสุทธิหลังหักภาษีอยู่ที่ 3.6 พันล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 451 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากการปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA และการลดลงของต้นทุนทางการเงิน ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) สำหรับไตรมาส 4/2567 อยู่ที่ 1.14 หมื่นล้านบาท โดยส่วนใหญ่จากการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย
สำหรับแนวโน้มปี 2568 บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) และโรมมิ่งภายในประเทศกับ NT เติบโต 2-3% เมื่อเทียบกับปีก่อน EBITDA จะเติบโต 8-10% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) รวมการบูรณาการคาดว่าจะอยู่ที่ 2.8-3 หมื่นล้านบาท โดยปี 2568 ทรู คอร์ปอเรชั่น คาดว่าจะมีกำไรสุทธิหลังหักภาษี ตามรายงานและได้พิจารณาความเป็นไปได้ในการจ่ายเงินปันผลมากกว่า 50% ของกำไรสุทธิ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการอนุมัติของคณะกรรมการ
ตัวเลขทางการเงินที่สำคัญสำหรับปี 2567 และไตรมาส 4/2567
ในเดือนแห่งความรักปีนี้ “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) นำโดยนางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต ร่วมกับ Phenix ศูนย์รวมอาหารและความอร่อยใจกลางกรุงเทพฯ ในย่านประตูน้ำ ภายใต้การพัฒนาของ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC นำโดย ผู้บริหารชั้นนำ คุณนิติภูมิ ศิลาวรรณา กรรมการผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการโครงการฟีนิกซ์ จัดกิจกรรมสุดพิเศษ “Cooking Class กับเชฟแมนและคุณหรีด BY KTC” เพื่อมอบประสบการณ์แห่งความสุขที่ผสมผสานระหว่างความรักและศิลปะการทำอาหาร ในธีม “The Taste of Love” ที่สะท้อนเรื่องราวของความรักผ่านรสชาติอาหารที่หลากหลาย

กิจกรรมครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก คุณหรีด - รพีพรรณ เหลืองอร่ามรัตน์ ประธานบริหาร บริษัท คริกเก็ต เทสต์ จำกัด ร่วมกับ เชฟระดับตำนานอย่าง เชฟแมน ไว ยิน มาน เชฟชาวจีนฮ่องกงที่มีประสบการณ์ด้านการทำอาหารมากกว่า 30 ปี ปัจจุบันเป็นประธานและผู้บริหารของกลุ่ม Chef Man Restaurant โดยเชฟแมนได้มาสาธิตการทำอาหารแบบใกล้ชิด พร้อมแบ่งปันเคล็ดลับและเทคนิคการปรุงเมนูสุดพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น “เกี๊ยวกุ้งซอสเสฉวน” ติ่มซำพรีเมียมสไตล์เชฟแมน ที่เต็มไปด้วยความกลมกล่อมของรสชาติ และ “ข้าวหมูแดงย่างถ่านชาโคล” สูตรลับที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนใคร ผู้เข้าร่วมกิจกรรมยังได้ลงมือทำอาหารในเวิร์กช็อป พร้อมรับคำแนะนำจากเชฟแมนและคุณหรีดอย่างใกล้ชิด

บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสนุกสนาน โดยได้รับเกียรติจากคู่รักแม่ลูกที่มาร่วมสร้างสีสันในกิจกรรม เช่น ฟ้ารุ่ง-ยุติธรรม (มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ปี 2550) พร้อมกับลูกสาวน้องรายา และผัดไท ดีใจ กับน้องเจอาร์ รวมถึงครอบครัวอินฟลูเอนเซอร์อีกมากมาย ทุกคนร่วมกันถ่ายทอดประสบการณ์ผ่านโซเชียลมีเดีย พร้อมแฮชแท็ก #KTCมื้อนี้มีโปร เพื่อแบ่งปันความประทับใจให้กับผู้ติดตาม
นอกจากความสุขและความทรงจำที่ดี ผู้เข้าร่วมงานยังได้เพลิดเพลินกับโปรโมชันสุดพิเศษจากบัตรเครดิต เคทีซีกับร้านอาหาร ใน Phenix Food Lounge ที่พร้อมสร้างสรรค์ทุกมื้อให้เป็นมื้อพิเศษ
สิทธิพิเศษที่สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีจะได้รับ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568
คุ้มที่ 1: รับฟรี Cash Card มูลค่า 100 บาท เพียงโชว์บัตรเครดิตเคทีซี*
คุ้มที่ 2: รับคูปองเครื่องดื่ม มูลค่า 60 บาท เมื่อทานครบ 300 บาท/เซลส์สลิป*
คุ้มที่ 3: แลกคะแนน 1,999 คะแนน KTC FOREVER รับ Cash Card มูลค่า 300 บาท
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่กำหนด

กิจกรรมสุดอบอุ่นนี้จัดขึ้นที่ชั้น G ของ Phenix ประตูน้ำ บรรยากาศเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความสุขที่อบอวลไปทั่ว หากกำลังมองหาวิธีเฉลิมฉลองความรักในปีนี้ อย่าพลาดที่จะสัมผัสประสบการณ์ดี ๆ แบบนี้ด้วยตัวเอง
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.ktc.co.th หรือ KTC PHONE 02 123 5000 หรือ สมัครบัตรเครดิต เคทีซี คลิก https://ktc.today/apply-card หรือศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี
“SHARP กรุงไทยการไฟฟ้า” ผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า แบรนด์ SHARP คุณภาพมาตรฐานญี่ปุ่น คู่คนไทยมากว่า 52 ปี ประกาศกลยุทธ์บุกตลาด เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กเต็มสูบปี 2568 ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจผันผวน ผลักดันแบรนด์ “SHARP” ขึ้นแท่นกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กอันดับ 1 ของเมืองไทย พร้อมเปิดตัวขบวนสินค้าใหม่ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนไทยมากขึ้น

นายวิโรจน์ ทานัชฌาสัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงไทยการไฟฟ้า จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจอยู่คู่คนไทยมากว่า 52 ปี ถือเป็นการพิสูจน์ความไว้วางใจของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ ของเราได้เป็นอย่างดี โดยตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา SHARP ได้รับการยกย่องให้เป็นแบรนด์ลำดับต้น ๆ ที่มีความโดดเด่นในด้านนวัตกรรม ที่ควบคู่มากับคุณภาพและมาตรฐานจากประเทศญี่ปุ่นที่ทุกคนไว้วางใจ
จากสภาวะตลาดทั่วโลกที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด สำหรับกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะ เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก (Small Appliance) เรามีความมุ่งมั่นในการรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงตอบโจทย์แค่ ด้านฟังก์ชัน แต่ยังคำนึงถึงด้านดีไซน์ใหม่ ๆ ที่ต้องการสร้าง Emotional ให้เกิดขึ้นในกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย โดยการปรับเปลี่ยนในครั้งนี้ เป้าหมายหลักของเราคือการรักษาความเป็นผู้นำ ในกลุ่มของเครื่องใช้ไฟฟ้า ขนาดเล็กของประเทศไทย โดยมองว่าประเทศไทยเป็นตลาดสำคัญ ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีศักยภาพ และความพร้อมต่าง ๆ โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มหม้อหุงข้าวที่ SHARP สามารถครองใจผู้บริโภคอันดับ 1 มาตลอด โดยปีที่ผ่านมาได้เปิดตัว หม้อหุงข้าว SHARP CUBE รุ่น 1.8 ลิตร ซึ่งเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้มีดีไซน์ แต่ยังคงเรียบสวยลงตัวเข้าได้กับครัวทุกประเภท หรือจะเป็นการเปิดตัวพัดลม ขนาด 16 นิ้ว ที่ต้องการสื่อสารจุดขายผ่านการใช้งานจริงของ Consumer จนกลายเป็นกระแสการใช้เท้าเปิดปิดที่ดังไวรัล ไปทั่วประเทศ สามารถคว้า 5 รางวัลโฆษณาจาก AdPeople Awards & Symposium 2024 ได้สำเร็จ ตอกย้ำให้เห็นว่า SHARP ไม่หยุดคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง
สำหรับไตรมาสแรกนี้ SHARP พร้อมเปิดตัว 5 ผลิตภัณฑ์ใหม่ มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ที่ชอบ การแต่งบ้าน ชอบสินค้าที่มีดีไซน์ เป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่และกระจายตัวอยู่ในทุกพื้นที่ เพื่อครองความเป็นหนึ่ง ในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ประกอบด้วย

1. พัดลม SHARP ขนาด 18” ดีไซน์ใหม่ สวย ทน ใช้ไม่ต้องกังวล เข้ากับการแต่งบ้านสไตล์มินิมอล แบรนด์เดียวในตลาดที่กล้ารับประกันทุกชิ้นส่วน 3 ปี คุณภาพมาตรฐานญี่ปุ่น และมั่นใจด้วยความปลอดภัย 3 ระบบ 1. มี Thermal Fuse ตัดไฟเมื่อความร้อนเกิน 2. Current Fuse ตัดไฟเมื่อกระแสไฟเกิน และ 3. Flame Retardant พลาสติกที่พัดลม SHARP ใช้เป็นพลาสติกเกรด V0 ที่ไม่ลามไฟ คุณสมบัติครบถ้วนตอบโจทย์สวย ทน ใช้ไม่ต้องกังวล

2. หม้อหุงข้าว SHARP CUBE รุ่น 1 ลิตร ปรับจากรูปแบบหม้อหุงข้าวที่คุ้นเคยสู่หม้อหุงข้าวมิติใหม่ที่มีดีไซน์สวยเรียบ มินิมอล เข้าได้กับทุกครัว และยังคงมาตรฐานหม้อหุงข้าว SHARP หุงง่าย มีแผ่นทำความร้อนหนาทั้งด้านล่างและด้านข้างทำให้กระจายความร้อนได้อย่างทั่วถึง ข้าวจึงหุงขึ้นหม้อหอมนุ่ม มาพร้อมกับหม้อในที่เคลือบสารกันติด (non-stick) ทำความสะอาดง่าย เรียกว่าทั้งสวย และใช้งานง่ายหุงดี ตอบโจทย์ทั้ง functional และ emotional ได้อย่างดี

3. หม้อทอดไร้น้ำมัน SHARP รุ่น 4.2 ลิตร , 6.8 ลิตร และ 7 ลิตร ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การทำอาหารของครอบครัวยุคใหม่ ที่เน้นความสะดวก เร็ว ง่าย แต่ยังได้สุขภาพที่ดี หม้อทอดไร้น้ำมัน SHARP มีระบบ RAPID AIR CIRCULATION ลมร้อนหมุนเวียนทั่วถึง 360° จึงทำให้อาหารสุกเร็ว กรอบ อร่อยทันใจ ไม่ต้องใช้น้ำมัน สะดวกแค่ปลายนิ้วสัมผัสด้วยโปรแกรมปรุงอาหารอัตโนมัติที่มีให้เลือกถึง 8 โปรแกรม และตะกร้าทอดเคลือบสารกันอาหารติด ทำความสะอาดง่าย มีให้เลือก 3 ขนาด 4.2 ลิตร , 6.8 ลิตร และ 7 ลิตร เหมาะกับครอบครัวทุกขนาด ตั้งแต่ครอบครัวเล็กถึงครอบครัวใหญ่

4. เตารีดไอน้ำ SHARP 3 รุ่น จากผู้นำด้านเตารีดแห้ง พร้อมรุกสู่ตลาดเตารีดไอน้ำแบบเต็มรูปแบบ เตารีดไอน้ำSHARP 3 รุ่นใหม่ รุ่น 1,800 วัตต์ (EI-S300) 2,000 วัตต์ ( EI-S301) และ 2,400 วัตต์ (EI-S302) ที่ออกแบบมาให้การรีดผ้าเป็นเรื่องง่ายและประหยัดเวลาขึ้น รีดลื่นด้วยหน้าเตารีด Nano Ceramic ประหยัดเวลาการรีดผ้าด้วยไอน้ำพลังแรง ช่วยให้รีดเรียบและรวดเร็ว หมดกังวลเรื่องตะกรัน ด้วยระบบ Duo-Clean ทั้งป้องกันและขจัดตะกรันในหนึ่งเดียว เตารีดไอน้ำSHARP รีดลื่น เบาแรง คุ้มค่า ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ในทุกการรีดผ้า

5. เครื่องทำน้ำอุ่น SHARP รุ่น MODI (โมดี้) 3,500 วัตต์ และ 4,500 วัตต์ ถือเป็นการปรับดีไซน์เครื่องทำน้ำอุ่นครั้งใหญ่ เน้นออกแบบให้ตัวเครื่องสวยโมเดิร์น มินิมอล เข้ากับเทรนด์ห้องน้ำในปัจจุบัน และตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้า ที่ชื่นชอบการแต่งบ้าน นอกจากการปรับดีไซน์ให้สวยขึ้นแล้ว บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญ กับคุณภาพสินค้า และความปลอดภัยมาตรฐาน SHARP ทั้งการใช้หม้อต้มทองแดงที่ทนทาน ไม่เป็นสนิมง่าย ด้วยขดลวดทำความร้อนเกรดพรีเมียม ตัวเครื่องทำน้ำอุ่นทั้งชิ้นหน้า และชิ้นหลังผลิตจากวัสดุไม่ลามไฟ รวมถึงระบบ ELB ตัดกระแสไฟทันทีเมื่อเกิดไฟรั่ว เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในความปลอดภัยทุกการใช้งาน สำหรับสีที่ออกวางจำหน่ายแล้ว ได้แก่ สีขาว และสีเทา พร้อมเปิดตัวสีใหม่ล่าสุด สีดำ เพื่อตอบโจทย์รูปแบบห้องน้ำทุกสไตล์
ทางบริษัทฯ มีความมั่นใจว่า สินค้าใหม่ทุกตัวถูกคิดค้นมาเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์คนไทยโดยเฉพาะ และจะทำให้ SHARP เพิ่มความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก รวมทั้งยกระดับความเป็นอยู่ของคนไทยให้ดีขึ้น เรายังคงมุ่งมั่นที่จะเติบโตไปพร้อมกับการพัฒนาเพื่อคนไทย และปรับตัวให้ทันกับทิศทางของโลกธุรกิจ พร้อมรับมือกับทุกความท้าทายในอนาคต เพื่อสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ลูกค้า พันธมิตร และสังคม
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จับมือ we!park และภาคีเครือข่าย เตรียมจัดงาน Active City Forum มุ่งยกระดับวิถีชีวิตกระฉับกระเฉงเท่าเทียม ทั่วถึง พร้อมชวนประชาชน มาร่วมสร้างเมือง สุขภาพดีไปด้วยกัน

น.ส.นิรมล ราศรี ผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. เปิดเผยว่า สสส. มุ่งหวังให้คนไทยมีสุขภาพดี จึงได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองสุขภาวะ โดยการจัดงาน Active City Forum ครั้งนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วน ทั้งนักวิชาการและชุมชนที่ปฏิบัติจริง ได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
"เราต้องการให้ภาคเอกชนได้เห็นแนวทางการสนับสนุนและเปิดพื้นที่สุขภาวะ ขณะที่ภาคนโยบายจะได้เข้าใจว่าควรออกนโยบายอย่างไรเพื่อส่งเสริมพื้นที่สุขภาวะ ซึ่งจะนำไปสู่การลดโรคไม่ติดต่อ" น.ส.นิรมล กล่าว และเสริมว่า ความสำเร็จที่ผ่านมา สสส. ได้ร่วมกับ กทม. พัฒนาโครงการสวน 15 นาที ที่ช่วยให้ประชาชนสามารถออกกำลังกายใกล้บ้านได้ โดยให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการออกแบบเส้นทางและพื้นที่ที่ปลอดภัย เหมาะสำหรับเด็ก เยาวชน และครอบครัว นอกจากนี้ยังมีนโยบายให้สวนสาธารณะเป็นพื้นที่ปลอดเหล้า บุหรี่ และบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อการมีสุขภาพดี

ด้าน นายยศพล บุญสม หัวหน้าโครงการ we!park กล่าวว่า “ไฮไลท์ของงานไม่ใช่เพียงการประชุมเชิงวิชาการ แต่เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่างวิทยากรจากเมืองชั้นนำของเอเชียและยุโรป กับภาคีในประเทศไทย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน นักวิชาการ และนักเรียนนักศึกษา "งานนี้จะเป็นเวทีของคนรุ่นใหม่ที่จะได้เสนอไอเดียว่าอยากเห็นเมืองในอนาคตเป็นอย่างไร นอกจากนี้ เรายังหวังให้เป็นอีเวนต์ประจำปีที่ทุกภาคส่วนจะได้มาพบปะ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และมองไปถึงอนาคตร่วมกัน" นายยศพล กล่าวเพิ่มเติมว่า “สิ่งสำคัญของงานนี้คือเรากำลังสื่อสารว่า การมีสุขภาพดีไม่ใช่เรื่องของแพทย์หรือภาครัฐเท่านั้น แต่เป็นสิทธิของทุกคนที่จะร่วมออกแบบผ่าน 4 มิติ คือ การออกแบบนโยบาย การออกแบบเมือง การออกแบบวิถีชีวิต และการออกแบบความร่วมมือ" พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมงาน Active City Forum ซึ่งเป็นไลฟ์สไตล์ฟอรั่มที่ผู้เข้าร่วมจะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ เข้าร่วมเวิร์คช็อป และสัมผัสประสบการณ์ใหม่ของการพัฒนาเมือง ซึ่งผู้ที่สนใจจะสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรีได้ที่ Facebook: we create park หรือโทร. 062-695-6293

มาที่ รศ.ดร.ปิยวัฒน์ เกตุวงศา ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย เปิดเผยว่า “หลังสถานการณ์โควิด พบว่าอัตราความกระฉับกระเฉงของคนไทยลดลงอย่างน่าตกใจจากร้อยละ 70 เหลือเพียงร้อยละ 50 แม้ปัจจุบันสถานการณ์จะดีขึ้นบ้างแต่ก็ยังไม่กลับสู่ระดับเดิม "เรากำลังเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งกลุ่มคนที่ไม่สามารถกลับมาออกกำลังกายได้ด้วยตนเอง ปัญหา PM2.5 ที่ส่งผลต่อการทำกิจกรรมกลางแจ้ง รวมถึงปัจจัยด้านจิตใจที่ส่งผลต่อการดูแลสุขภาพ ผมหวังว่างาน Active City Forum จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้คนไทยกลับมามีวิถีชีวิตที่กระฉับกระเฉงอีกครั้ง”
ไมโครซอฟท์ เปิดตัวชิปควอนตัมมาโจรานา 1 (Majorana 1) ที่ใช้สถาปัตยกรรม Topological Core ใหม่ล่าสุด เป็นรุ่นแรกของโลก ซึ่งคาดว่าจะนำไปสู่การสร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่สามารถแก้ปัญหาเชิงอุตสาหกรรม ที่ซับซ้อนได้จริงในอีกเพียงไม่กี่ปีข้างหน้าเท่านั้น
ชิปดังกล่าวใช้ประโยชน์จากโทโพคอนดักเตอร์ตัวแรกของโลก ซึ่งเป็นวัสดุชนิดใหม่ที่สามารถสังเกตและ ควบคุมอนุภาคมาโจรานา เพื่อสร้างคิวบิตที่เชื่อถือได้และปรับขนาดได้มากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนประกอบพื้นฐานของ คอมพิวเตอร์ควอนตัม
ไมโครซอฟท์ อธิบายว่า เช่นเดียวกับที่สารกึ่งตัวนำเป็นรากฐานของสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ ในปัจจุบัน โทโพคอนดักเตอร์และชิปมาโจรานา 1 จะปูทางไปสู่การพัฒนาระบบควอนตัมที่สามารถรองรับคิวบิตได้ถึง หนึ่งล้านหน่วย และแก้ปัญหาที่ซับซ้อนที่สุดทั้งในภาคอุตสาหกรรม และสังคม
เชอแทน นายัค ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคของไมโครซอฟท์ กล่าวว่า “เราลองถอยกลับมาหนึ่งก้าวเพื่อพิจารณาว่า ‘ถ้าจะสร้างทรานซิสเตอร์สำหรับยุคควอนตัม ทรานซิสเตอร์นั้นควรมีคุณสมบัติอย่างไร’ นั่นคือที่มาของการพัฒนาชิปมาโจรานา 1 การผสมผสานวัสดุคุณภาพสูงและรายละเอียดต่างๆ ทำให้เราสามารถสร้างคิวบิตแบบใหม่และ สถาปัตยกรรมที่ล้ำสมัย”
ไมโครซอฟท์ ระบุว่า สถาปัตยกรรมใหม่นี้ช่วยให้ชิปมาโจรานา 1 สามารถบรรจุคิวบิตได้ถึงหนึ่งล้านหน่วย ในขนาดพื้นที่ เท่ากับฝ่ามือ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่การสร้างควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่แก้ปัญหาต่างๆ ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การย่อยสลายไมโครพลาสติกให้เป็นสารที่ไม่เป็นอันตราย หรือการพัฒนาวัสดุที่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ สำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้าง การผลิต และการแพทย์ เพราะควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่มีคิวบิตหนึ่งล้านหน่วย จะสามารถประมวลผลข้อมูลได้มากกว่าคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในโลกรวมกัน
“การพัฒนาควอนตัมคอมพิวเตอร์จะเกิดขึ้นได้จริง ต้องพัฒนาให้ถึงหนึ่งล้านคิวบิตเท่านั้น ไม่เช่นนั้น จะไปต่อไม่ได้ ซึ่งไมโครซอฟท์มีแผนที่จะไปให้ถึงจุดนั้น” นายัค กล่าว
โทโพคอนดักเตอร์ หรือที่ย่อมาจาก topological superconductor เป็นวัสดุพิเศษที่สามารถสร้างสถานะ ของสสารแบบใหม่ที่ไม่ใช่ของแข็ง ของเหลว หรือก๊าซ แต่เป็นสถานะโทโพโลยี วัสดุนี้ถูกนำมาใช้สร้างคิวบิต ที่มีความเสถียร รวดเร็ว ขนาดเล็ก และควบคุมได้แบบดิจิทัล งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature ฉบับล่าสุด อธิบายถึงวิธีการที่นักวิจัยของ ไมโครซอฟท์ สร้างและวัดคุณสมบัติควอนตัมของคิวบิตโทโพโลยี ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่การนำไปใช้งานจริง
ความสำเร็จในครั้งนี้เกิดจากการพัฒนาวัสดุใหม่ที่ทำจากอินเดียมอาร์เซไนด์ (Indium arsenide) และอะลูมิเนียม (Aluminum) ซึ่งไมโครซอฟท์ออกแบบและสร้างขึ้นในระดับอะตอม โดยมีเป้าหมายคือการสร้างอนุภาคควอนตัม มาโจรานา และใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติพิเศษของสิ่งนี้ในการพัฒนาควอนตัมคอมพิวติ้งไปอีกขั้น
“ความก้าวหน้านี้ต้องอาศัยการพัฒนาโครงสร้างวัสดุแบบใหม่ทั้งหมดที่ประกอบด้วยอินเดียมอาร์เซไนด์ และอะลูมิเนียม ซึ่งไมโครซอฟท์ได้ออกแบบและสร้างขึ้นในระดับอะตอม โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้เกิดอนุภาคควอนตัมชนิดใหม่ที่เรียกว่า ‘มาโจราน’ และใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติเฉพาะตัวของมันในการก้าวไปสู่ขอบเขตใหม่ของการประมวลผลควอนตัม” ไมโครซอฟท์ กล่าว
แกนโทโพโลยี (Topological Core) หรือแกนการเชื่อมโยงการรับส่งข้อมูลเข้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบต่างๆ แกนแรกของโลกที่ขับเคลื่อนมาโจรานา 1 ได้รับการออกแบบให้มีความเสถียรตั้งแต่ต้น ด้วยการผสานความสามารถในการต้านทานข้อผิดพลาดในระดับฮาร์ดแวร์ ทำให้มีเสถียรภาพสูงยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ การประยุกต์ใช้ที่สำคัญในเชิงพาณิชย์จำเป็นต้องดำเนินการหลายล้านล้านครั้งบนคิวบิตนับล้าน ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้ด้วยวิธีการปัจจุบันที่ต้องอาศัยการควบคุมแบบแอนะล็อกที่แม่นยำสำหรับคิวบิตแต่ละตัว ด้วยเหตุนี้ทีมไมโครซอฟท์จึงพัฒนาวิธีวัดผลรูปแบบใหม่ที่ช่วยให้สามารถควบคุมคิวบิตแบบดิจิทัลได้ ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนแนวคิดและลดความซับซ้อนของการประมวลผลควอนตัมอย่างมหาศาล
ความก้าวหน้านี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการเลือกพัฒนา “คิวบิตโทโพโลยี” ของไมโครซอฟท์เมื่อหลายปีก่อนเป็นแนวทางที่ถูกต้อง แม้จะเป็นความท้าทายทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่มีความเสี่ยงสูง แต่ผลลัพธ์ที่ได้รับก็คุ้มค่า ปัจจุบัน ไมโครซอฟท์สามารถนำคิวบิตโทโพโลยี จำนวนแปดตัวมาอยู่บนชิปที่ออกแบบมาเพื่อขยายขนาดให้รองรับได้ถึงหนึ่งล้านคิวบิตเลยทีเดียว
“ตั้งแต่แรกเริ่ม เป้าหมายของเราคือการสร้างคอมพิวเตอร์ควอนตัมเพื่อให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ไม่ใช่เพียงเพื่อเป็นผู้นำทางความคิดเท่านั้น เรารู้ว่าต้องการคิวบิตรูปแบบใหม่ และเราต้องขยายขนาดให้ได้” แมทเธียส ทรอยเออร์ ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคของไมโครซอฟท์ กล่าว
แนวทางนี้จึงนำไปสู่ความร่วมมือกับ สำนักงานโครงการวิจัยขั้นสูงด้านกลาโหม (Defense Advanced Research Projects Agency: DARPA) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่ลงทุนในเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อความมั่นคงของชาติ โดย DARPA ได้ดึงไมโครซอฟท์เข้าร่วมในโครงการที่เข้มข้นนี้ด้วย เพื่อประเมินว่าเทคโนโลยีควอนตัมเชิงนวัตกรรมสามารถสร้างระบบควอนตัมที่มีศักยภาพในเชิงพาณิชย์ได้เร็วกว่าแนวทางทั่วไปหรือไม่
ไมโครซอฟท์เป็นหนึ่งในสองบริษัทที่ได้รับเชิญให้เข้าสู่ โครงการ Underexplored Systems for Utility-Scale Quantum Computing (US2QC) ของ DARPA ในช่วงเฟสสุดท้าย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ โครงการ Quantum Benchmarking Initiative ของ DARPA ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาคอมพิวเตอร์ควอนตัมระดับยูทิลิตี้ที่ทนทานต่อข้อผิดพลาด หรือคอมพิวเตอร์ที่มีศักยภาพในการประมวลผลสูงกว่าต้นทุนที่ใช้ในการดำเนินการ

นอกจากการพัฒนาฮาร์ดแวร์ควอนตัมของตัวเองแล้ว ไมโครซอฟท์ยังได้ร่วมมือกับ ควอนทินิวอัม (Quantinuum) บริษัทควอนตัมคอมพิวติ้งครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลก และอะตอมคอมพิวติ้ง (Atom Computing) บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เพื่อสร้างความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมบนคิวบิตยุคปัจจุบัน รวมถึงการประกาศเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่เชื่อถือได้เครื่องแรกของอุตสาหกรรมไปเมื่อปีที่แล้วอีกด้วย
เครื่องมือประเภทนี้เปิดโอกาสสำคัญในการพัฒนาทักษะด้านควอนตัม สร้างแอปพลิเคชันไฮบริด และขับเคลื่อนการค้นพบใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำ AI มาผสานกับระบบควอนตัมแบบใหม่ที่ใช้คิวบิตที่เชื่อถือได้ในจำนวนมากขึ้น Azure Quantum ในปัจจุบันได้นำเสนอโซลูชันครบวงจร ที่ช่วยให้ลูกค้าใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์ม AI, การประมวลผลสมรรถนะสูง (High Performance Computing: HPC) และควอนตัมบน Azure เพื่อเร่งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
อย่างไรก็ตาม การไปให้ถึงขอบเขตใหม่ของการประมวลผลควอนตัม จำเป็นต้องมีสถาปัตยกรรมที่ได้รับการออกแบบให้สามารถรองรับคิวบิตระดับล้านขึ้นไป และดำเนินการหลายล้านล้านครั้งอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งการประกาศในวันนี้ของไมโครซอฟท์แสดงให้เห็นว่าเป้าหมายดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี ไม่ใช่หลายทศวรรษตามที่เคยคาดการณ์กันไว้อีกต่อไป" ไมโครซอฟท์ กล่าว
เนื่องจากเครื่องควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่มีคิวบิตนับล้าน สามารถแก้ปัญหาบางอย่างที่คอมพิวเตอร์ทั่วไปในปัจจุบันไม่สามารถคำนวณได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะในด้านเคมี วัสดุศาสตร์ และอุตสาหกรรมอื่นๆ เพราะเครื่องเหล่านี้ใช้หลักกลศาสตร์ควอนตัมในการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่อธิบายพฤติกรรมของธรรมชาติได้อย่างแม่นยำสูง ไม่ว่าจะเป็นปฏิกิริยาเคมี การทำงานร่วมกันของโมเลกุล หรือพลังงานของเอนไซม์
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ควอนตัมคอมพิวเตอร์จะช่วยให้วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ บริษัท และอื่น ๆ สามารถออกแบบสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องตั้งแต่ครั้งแรก ซึ่งจะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทุกวงการ ตั้งแต่การดูแลสุขภาพไปจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เมื่อนำพลังของควอนตัมคอมพิวเตอร์มาผนวกกับเทคโนโลยี AI แล้ว ทุกคนจะสามารถอธิบายความต้องการเกี่ยวกับวัสดุใหม่หรือโมเลกุลที่ต้องการสร้างด้วยภาษาธรรมดา ๆ และได้คำตอบที่ต้องการทันที โดยไม่ต้องคาดเดาหรือใช้เวลาหลายปีในการลองผิดลองถูก
"บริษัทใดก็ตามที่ผลิตสินค้า จะสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่ครั้งแรก เพราะเครื่องจะให้คำตอบที่ถูกต้องมาเลย โดยควอนตัมคอมพิวเตอร์จะสอนให้ AI เข้าใจ 'ภาษา' ดังนั้น AI จะสามารถบอกสูตรหรือวิธีการสร้างสิ่งที่คุณต้องการได้โดยตรง" ทรอยเออร์ กล่าวเสริม

โลกของควอนตัมทำงานตามกฎของกลศาสตร์ควอนตัม แตกต่างจากที่เราเข้าใจเรื่องกฎฟิสิกส์ อนุภาคในโลกควอนตัมเรียกว่า คิวบิต (qubits) หรือ หน่วยข้อมูลควอนตัม ซึ่งเทียบได้กับ บิต (bits) หรือเลข 0 และ 1 ที่คอมพิวเตอร์ทั่วไปใช้งานอยู่ในปัจจุบัน
คิวบิตมีความบอบบางและไวต่อสิ่งรบกวนมาก จึงเป็นการง่ายที่จะเกิดข้อผิดพลาดจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว ทำให้คิวบิตสลายตัวและสูญเสียข้อมูลไป นอกจากนี้สถานะของคิวบิตยังอาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อมีการวัดค่า ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญ เพราะการวัดค่าเป็นสิ่งจำเป็นในการคำนวณ ความท้าทายจึงอยู่ที่การพัฒนาคิวบิตที่สามารถวัดค่าและควบคุมได้ ในขณะเดียวกันก็ต้องป้องกันให้ปลอดภัยจากสัญญาณรบกวนจากสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้คิวบิตเสียหาย
เราสามารถสร้างคิวบิตได้ด้วยวิธีการที่หลากหลาย ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ไมโครซอฟท์ตัดสินใจเลือกแนวทางที่แตกต่าง นั่นคือการพัฒนา "คิวบิตโทโพโลยี" ซึ่งบริษัทเชื่อว่าจะให้คิวบิตที่เสถียรกว่าและต้องการการแก้ไขข้อผิดพลาดน้อยกว่า ทำให้ได้เปรียบในด้านความเร็ว ขนาด และการควบคุม แม้ว่าแนวทางนี้จะใช้เวลาในการเรียนรู้และพัฒนาอย่างมาก เพราะต้องการการค้นพบทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน แต่ก็เป็นเส้นทางที่มีความหวังมากที่สุดในการสร้างคิวบิตที่สามารถขยายขนาดและควบคุมได้ ซึ่งจะสามารถนำไปใช้งานในเชิงพาณิชย์ได้จริง
ข้อเสียของแนวทางนี้ หรือกล่าวได้ว่าเคยเป็นข้อเสีย เนื่องจากไม่นานมานี้ อนุภาคพิเศษที่ไมโครซอฟท์พยายามนำมาใช้ ซึ่งเรียกว่า “มาโจรานา” นั้น ไม่เคยมีใครเคยพบเห็นหรือสร้างขึ้นได้มาก่อน ไม่มีอยู่ตามธรรมชาติและสามารถสร้างขึ้นได้โดยอาศัยสนามแม่เหล็กและตัวนำยิ่งยวดเท่านั้น ความยากลำบากในการพัฒนาวัสดุที่เหมาะสมเพื่อสร้างอนุภาคพิเศษเหล่านี้และสถานะของสสารในรูปแบบโทโพโลยี เป็นเหตุผลที่ทำให้ความพยายามด้านควอนตัมส่วนใหญ่ก่อนหน้านี้มุ่งเน้นไปที่คิวบิทประเภทอื่นแทน
บทความวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ และยืนยันว่า ไมโครซอฟท์ไม่เพียงแต่สามารถสร้างอนุภาคมาโจรานาได้เท่านั้น แต่ยังสามารถวัดข้อมูลควอนตัมจากมันได้อย่างแม่นยำโดยใช้ไมโครเวฟอีกด้วย
อนุภาคมาโจรานาสามารถปกปิดข้อมูลควอนตัมไว้ ทำให้มีความเสถียรมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้วัดค่าได้ยากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม วิธีการวัดใหม่ของทีมไมโครซอฟท์มีความแม่นยำที่สูงมาก ถึงขั้นสามารถตรวจจับความแตกต่างระหว่างอิเล็กตรอนหนึ่งพันล้านตัว กับหนึ่งพันล้านตัวบวกหนึ่ง ในเส้นลวดตัวนำยิ่งยวดได้ ซึ่งข้อมูลนี้เป็นสิ่งที่บอกคอมพิวเตอร์ว่าตอนนี้ คิวบิตอยู่ในสถานะใด และเป็นพื้นฐานของการคำนวณควอนตัม
วิธีการวัดนี้สามารถเปิดและปิดได้ด้วยพัลส์แรงดันไฟฟ้า เหมือนกับการเปิด-ปิดสวิตช์ไฟ แทนที่จะต้องปรับค่าปุ่มหมุนอย่างละเอียดสำหรับแต่ละคิวบิต วิธีการที่ง่ายขึ้นนี้ช่วยให้สามารถควบคุมด้วยระบบดิจิทัล ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนของกระบวนการประมวลผลควอนตัม และลดความต้องการทางกายภาพในการสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่สามารถขยายขนาดได้
นอกจากนี้ คิวบิตโทโพโลยีของไมโครซอฟท์มีข้อได้เปรียบด้านขนาด เมื่อเทียบกับคิวบิตประเภทอื่น ๆ แม้จะเป็นอุปกรณ์ที่เล็กมาก แต่ก็มี "โซนที่เหมาะสม" (Goldilocks zone) ซึ่งหมายถึง ถ้าคิวบิตมีขนาดเล็กเกินไป ก็จะควบคุมได้ยาก แต่ถ้าขนาดใหญ่เกินไป ก็จะต้องใช้เครื่องจักรขนาดมหึมา ทรอยเออร์ กล่าวว่า “หากต้องเพิ่มเทคโนโลยีการควบคุมเฉพาะตัวสำหรับคิวบิตเหล่านี้ จะต้องสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเท่ากับโรงเก็บเครื่องบินหรือสนามฟุตบอล ซึ่งไม่สามารถทำได้จริง”
มาโจรานา 1 ซึ่งเป็นชิปควอนตัมของไมโครซอฟท์ ที่มีทั้งคิวบิตและอุปกรณ์ควบคุมในตัว สามารถถือได้ในมือ และติดตั้งในคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่พร้อมใช้งานในศูนย์ข้อมูล Azure
นายัค กล่าวว่า “การค้นพบสถานะใหม่ของสสารเป็นสิ่งหนึ่ง แต่อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เพื่อปรับแนวคิดและขยายขอบเขตของการประมวลผลควอนตัม”

สถาปัตยกรรมคิวบิตโทโพโลยีของไมโครซอฟท์ประกอบด้วยนาโนไวร์อะลูมิเนียมที่เชื่อมต่อกัน เพื่อสร้างรูปตัว H โดยแต่ละตัว H จะมีอนุภาคมาโจรานาควบคุมได้สี่ตัว ซึ่งรวมกันเป็นหนึ่งคิวบิต โครงสร้างเหล่านี้สามารถเชื่อมต่อกันและเรียงบนชิปได้เหมือนกระเบื้องโมเสก
"มันเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เพราะเราต้องพิสูจน์สถานะของสสารแบบใหม่ให้ได้ก่อน แต่เมื่อเราพิสูจน์ได้แล้ว มันก็กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก โครงสร้างนี้สามารถขยายออกไปได้ และมีสถาปัตยกรรมที่เรียบง่ายกว่ามาก ซึ่งช่วยให้เราสามารถขยายขนาดระบบได้เร็วขึ้น" คริสตา สวอร์ ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคของไมโครซอฟท์กล่าว "ชิปควอนตัมไม่สามารถทำงานโดยลำพัง แต่ต้องทำงานร่วมกับอีโคซิสเต็มที่ประกอบด้วยระบบควบคุมเชิงตรรกะ ระบบทำความเย็นแบบไดลูชัน (dilution refrigerator) ที่รักษาอุณหภูมิของคิวบิตให้เย็นกว่าอวกาศ และชุดซอฟต์แวร์ที่สามารถทำงานร่วมกับ AI และคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมได้ ซึ่งองค์ประกอบทั้งหมดนี้ถูกพัฒนาหรือดัดแปลงขึ้นภายในบริษัทไมโครซอฟท์เองทั้งสิ้น"
“เพื่อให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น การปรับปรุงกระบวนการเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง และการทำให้องค์ประกอบทุกส่วนสามารถทำงานร่วมกันได้ในระดับที่สามารถขยายตัวอย่างรวดเร็ว ยังคงต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการพัฒนาด้านวิศวกรรม แต่ความท้าทายทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่ยากลำบากหลายอย่างได้ถูกแก้ไขสำเร็จแล้ว” ไมโครซอฟท์กล่าว
สวอร์กล่าวเสริมว่า การพัฒนาโครงสร้างวัสดุที่เหมาะสมเพื่อสร้างสถานะสสารเชิงโทโพโลยีนั้นเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยากที่สุด แทนที่จะใช้ซิลิคอน ไมโครซอฟท์เลือกใช้อินเดียมอาร์เซไนด์ในการผลิตตัวนำโทโพโลยี ซึ่งเป็นวัสดุที่ปัจจุบันใช้ในอุปกรณ์ตรวจจับอินฟราเรดและมีคุณสมบัติพิเศษ วัสดุกึ่งตัวนำนี้ถูกผสานกับภาวะตัวนำยิ่งยวดภายใต้อุณหภูมิที่เย็นจัด เพื่อสร้างเป็นวัสดุลูกผสม
“เรากำลังพ่นอะตอมทีละตัวอย่างแม่นยำ วัสดุเหล่านี้ต้องเรียงตัวกันอย่างสมบูรณ์แบบ หากมีข้อบกพร่องในชั้นวัสดุมากเกินไป มันจะทำลายคิวบิตทันที เราจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัมในการศึกษาวัสดุเหล่านี้ เพราะการทำความเข้าใจคุณสมบัติของมันเป็นเรื่องที่ยากอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อเรามีคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่มีขนาดใหญ่เพียงพอ เราจะสามารถคาดการณ์วัสดุที่มีคุณสมบัติดียิ่งขึ้นสำหรับการสร้างคอมพิวเตอร์ควอนตัมรุ่นต่อไปที่มีศักยภาพสูงกว่าเดิม" สวอร์กล่าว
ทิ้งท้าย
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) ร่วมกับ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด มหาชน ผู้นำด้านพลังงานและโซลูชันพลังงานหมุนเวียน เดินหน้าสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดผ่านการซื้อ Renewable Energy Certificates (RECs) ตอกย้ำความมุ่งมั่นของทั้งสององค์กรในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน
บลจ.กสิกรไทย ในฐานะผู้นำด้านการลงทุนอย่างยั่งยืน ได้ให้ความสำคัญกับแนวทาง ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) โดยการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ลงทุน การจับมือกับ บี.กริม เพาเวอร์ ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความตั้งใจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Scope 2) และส่งเสริมพลังงานสะอาดให้เติบโตในภาคธุรกิจไทย
คุณวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า "การใช้ Renewable Energy Certificates (RECs) เป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจของเราในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือนี้จะช่วยผลักดันภาคธุรกิจไทยให้ก้าวไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง"
คุณนพเดช กรรณสูต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจในประเทศไทยและโซลูชั่นธุรกิจอุตสาหกรรม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ กล่าวว่า "เรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน และภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินหน้าสู่อนาคตที่ยั่งยืนของ บลจ.กสิกรไทย ความร่วมมือครั้งนี้เป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างระบบพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำในประเทศไทย"
ความร่วมมือระหว่างทั้งสององค์กรในครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนพลังงานสะอาด เพื่อร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทย
คณะกรรมการบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM มีมติแต่งตั้ง ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAM โดยจะเข้ารับตำแหน่งวันที่ 16 เมษายน 2568
BAM ได้ดำเนินการตามกระบวนการสรรหาประธานเจ้าหน้าที่บริหารตามหลักเกณฑ์การรับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และคณะกรรมการ BAM มีมติแต่งตั้ง ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAM
ดร.รักษ์ จบการศึกษาปริญญาเอกด้านบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยสแตรธไคลด์ สหราชอาณาจักร ปริญญาโท บริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม สหราชอาณาจักร และปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ สายพัฒนาธุรกิจและการตลาด บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานธุรกิจรายย่อย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (IAM) รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และล่าสุดดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ก่อนจะได้รับแต่งตั้งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAM มีผลตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2568 เป็นต้นไป