December 06, 2025

ได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการ หลังเป็นที่พูดถึงในกลุ่มบะหมี่เลิฟเวอร์ อร่อย ดุดัน โดนใจสายแซ่บ! อย่าง บะหมี่มาเฟีย by  Kopegfood เมื่อ เป๊ก-สัณณ์ชัย เองตระกูล ซุ่มพัฒนาสูตรยาวนานกว่า 4 ปี จนคลอดมาเป็น บะหมี่มาเฟีย บะหมี่อบกึ่งสำเร็จรูป รสสไปซี่ชิคเก้นพลัส สูตรเผ็ดน้อย (0.5) และ สูตรเผ็ดมาก (1.0) ที่มีรสชาติเผ็ดจัดจ้านสะใจตามแบบฉบับไทย! โดดเด่นที่เส้นบะหมี่แบบอบ เส้นเหนียวนุ่ม กรึบเต็มคำ อร่อยตามสูตรเมื่อนำเส้นมาคลุกซอสสูตรพริกมาเฟีย จะได้กลิ่นหอมสมุนไพรไทย ที่สายแซ่บพ่นไฟห้ามพลาด!

จุดกำเนิดของ “บะหมี่มาเฟีย” ชื่อน่าจดจำ รสชาติน่าโซ้ย

แค่ชื่อแบรนด์ก็บ่งบอกถึงคาแรคเตอร์ความเผ็ดร้อนแบบดุดันของผลิตภัณฑ์ โดย พี่เป๊ก สัณณ์ชัย เล่าว่า เป็นคนที่ชื่นชอบการทำอาหารอยู่แล้วตั้งแต่เด็ก จนได้รับคำชมทั้งคนในครอบครัวและเพื่อนที่ได้ลิ้มลอง ด้วยเสน่ห์ด้านการทำอาหารที่ถูกกล่าวขานมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้คิดสูตรอาหารมาเรื่อย รวมถึงมีการเปิดตัวร้านอาหาร ขนมขบเคี้ยว และเครื่องปรุงรสมาตลอด และเป็นคนชอบทานเผ็ด ชอบทานรสแซ่บ และมีโอกาสลองบะหมี่เผ็ดที่วางขายอยู่ในไทยมากมาย จึงเป็นแรงบันดาลใจให้อยากทำบะหมี่เผ็ดแบรนด์ตัวเอง ที่เน้นรสชาติถึงอกถึงใจ โดยเฉพาะพริกสายพันธุ์ไทย เพื่อสร้างเอกลักษณ์รสชาติที่มีความเป็นไทยแท้ๆ จึงคิดค้นสูตรเส้นบะหมี่อบ และสูตรซอส มาตั้งแต่ช่วงโควิดระบาดตลอดระยะเวลา 3-4 ปี จนได้สูตรที่ใช่ และลงตัวที่สุด คิดว่าถูกปากคนไทยแน่นอน เลยได้มาเป็น “บะหมี่มาเฟีย” ในทุกวันนี้  แนะนำทานแบบแห้งอร่อยฟิน เวลาทานต้องต้มให้เส้นสุกก่อนประมาณ 4-5 นาที แล้วค่อยคลุกซอสปรุงรสเพิ่มความอร่อยจัดจ้าน สำหรับตัวซอสที่ให้มาในซองรสชาติกลมกล่อมครบรส แบบไม่ต้องปรุงรสเพิ่ม และแน่นอนว่าต้องมีความเผ็ดนำในระดับที่อร่อยพอดี

 

สำหรับความพิเศษของ บะหมี่มาเฟีย เส้นจะแตกต่างจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั่วๆ ไป ของเราเป็นบะหมี่อบ เข้าถึงกลุ่มคนรักสุขภาพ เนื่องจากแคลลอรี่น้อย สูตรเด็ดเลยอยู่ที่ซอส เราใช้ความเผ็ดจากพริกพันธุ์ไทยทั้ง 3 ชนิด ที่สำคัญในซอสมีส่วนผสมของสมุนไพรไทยอย่าง ใบมะกรูด ใบกะเพราอบแห้งแล้วนำไปปั่นรวมกับซอสสูตรโก๋เป็ก ทำให้มีรสชาติความเป็นไทยสูงมาก อร่อยลงตัวสุดๆ แบบไม่ต้องปรุงเพิ่ม

กลยุทธ์การสร้างแบรนด์สไตล์ “เป๊ก สัณณ์ชัย”คิดเอง ทำเอง โปรโมทเอง

พี่เป๊ก สัณณ์ชัย คิดมาแล้วว่าต้องการตั้งชื่อแบรนด์ที่บ่งบอกตัวตนของผลิตภัณฑ์ คำว่า “มาเฟีย” มาจากสุดยอดของพริกสามชนิด คือพริกที่มีกลิ่นหอม พริกที่มีสีสวย และพริกที่มีรสเผ็ดจัดจ้าน มารวมตัวกันเลยเป็นที่รวมของมาเฟียของพริกนั่นเอง ซึ่งสะท้อนความเผ็ดร้อนแบบดุดัน ด้านการออกแบบดีไซน์โลโก้ บนหน้าซองจะเป็นภาพหน้าตัวเองร้องไห้ สื่อถึงความเผ็ดที่จริงใจ! เป็นอีกหนึ่งการสื่อสารที่ต้องการสร้างความน่าเชื่อถือว่าเป็นแบรนด์ที่ตัวเองตั้งใจทำเพื่อเสิร์ฟคนไทย ถือเป็นสร้าง Brand Awareness ในแบบฉบับของตัวเอง

ส่วนแผนทำการตลาดในช่วงเวลาที่มีบะหมี่เผ็ดเกาหลีเจ้าอื่นๆ บุกมาล่วงหน้าหลายปีแล้ว มองว่า ยังไม่ทุ่มงบกับส่วนนี้มาก เพราะเชื่อว่า ต้องทำโปรดักต์ให้ดีถูกปากคนกิน จนเกิดเป็น “Word of mouth” หรือการบอกแบบปากต่อปาก ถ้าของอร่อย ราคาเข้าถึงได้ ก็จะเกิดกระแสตามมาเอง

ล่าสุดได้ปล่อยหนังโฆษณาทางสื่อออนไลน์ โดยใช้ตัวเองเป็นตัวแสดงหลัก ได้แรงบันดาลใจสตอรี่เรื่องราวจากการชอบทำอาหารให้คนใกล้ชิดทาน ใส่เนื้อหาหนังโฆษณาแบบสั้นๆ แต่จริงใจและตรงไปตรงมา ซึ่งกลุ่มเป้าหมายหลัก พี่เป๊ก สัณณ์ชัย มองเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชอบลองของแปลกใหม่ ชอบทานเผ็ด ชอบอะไรที่แซ่บๆ และอยากให้ บะหมี่มาเฟีย เข้าไปอยู่ในทุกไลฟ์สไตล์ของคนไทย ไม่ว่าจะออกทริป เชียร์บอลกับแก๊งเพื่อน รวมถึงเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่อยู่คู่ครัวไทย โดยใช้ เพจเฟซบุ๊ค บะหมี่มาเฟีย – Bamee Mafia เป็นเพจ Official หลัก ในการสร้าง Content สร้างสรรค์เอาใจแฟนเพจอย่างต่อเนื่อง และคอยอัพเดทความเคลื่อนไหวอยู่เสมอ

ตอบรับความต้องการแฟนเพจ ประกาศเพิ่มช่องทางการจำหน่ายที่ร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ

บะหมี่มาเฟีย ได้เข้ามาสร้างสีสันให้ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างคึกคัก โดยได้ชิมลางเปิดตัวครั้งแรกในงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2024 เมื่อกลางปี 2567 ที่ผ่านมา และทดลองจำหน่ายใน Villa Market, Foodland Villa และช่องทางออนไลน์ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากแฟนๆ บะหมี่เลิฟเวอร์ ซึ่งหลังจากเปิดตัวทดลองตลาดระยะเวลาไม่กี่เดือน สามารถสร้างยอดขายทะลุเป้ามากถึงหนึ่งแสนซอง คาดว่าปี 2568 จะมีรายได้กว่า 50 ล้านบาท และยังมีแผนที่จะตีตลาดต่างประเทศกว่าสิบประเทศทั่วทุกทวีป ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท โก๋เป็กฟู้ด จำกัด

บะหมี่มาเฟีย เปิดตัวมาด้วยรสสไปซี่ชิคเก้นพลัส สูตรเผ็ดน้อย มี 2 สูตรด้วยกัน สูตรเผ็ดน้อย (0.5) และสูตรเผ็ดมาก (1.0) ในราคาซองละ 39 บาท ล่าสุดมีจำหน่ายแล้วที่ 7-Eleven และ Lotus ทุกสาขา รวมถึงที่ Villa Market, Foodland Villa, Lazada และ Shoppee

ดร.สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ พร้อมทีมที่ปรึกษา บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) จัดบรรยาย บทบาทของ AI ทางด้านตลาดเงิน-ตลาดทุน โดยรศ.ดร. สิริวุฒิ บูรณพิร คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้กับผู้บริหาร ที่ปรึกษา และพนักงาน  เพื่อสร้างความรู้และความเช้าใจด้าน AI ที่เป็นตัวช่วยสำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพในการทำงานต่อไป เมื่อเร็วๆนี้

โครงการอีซี่ อี – รีซีท (Easy E-Receipt) ได้เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2568 ขณะนี้เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันที่ทุกคนจะได้ใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีก่อนสิ้นสุดมาตรการในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568  เคทีซี หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ชวนสมาชิกมาทบทวนอีกครั้งหากต้องการใช้สิทธิ์อีซี่ อี – รีซีท (Easy E-Receipt)

สิทธิ์ลดหย่อนภาษีตามมาตรการอีซี่ อี – รีซีท” (Easy E-Receipt)  ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถนำค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการในประเทศ มาใช้ลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุด 50,000 บาท แต่ทั้งนี้เงื่อนไขของมาตรการ Easy E-Receipt 2568 แบ่งเป็นวงเงินลดหย่อน 2 ส่วน ได้แก่

  • เงื่อนไขที่ 1 หักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท

สำหรับค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยต้องมีใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Invoice) แบบเต็มรูปแบบเป็นหลักฐาน หรือผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการที่ไม่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยต้องมีใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (E-Receipt) เป็นหลักฐาน

  • เงื่อนไขที่ 2 หักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 20,000 บาท

สำหรับค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการ ดังต่อไปนี้

  1. ค่าซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ซึ่งลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชนแล้ว
  2. ค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการจากวิสาหกิจชุมชนที่จดทะเบียนต่อกรมส่งเสริมการเกษตร
  3. ค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการจากวิสาหกิจเพื่อสังคมที่จดทะเบียนต่อสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจ

สำหรับเคทีซีได้ร่วมกับร้านค้าพันธมิตรเข้าร่วมมาตรการอีซี่ อี – รีซีท (Easy E-Receipt) กว่า 100 ร้านค้า ครบทุกหมวดไลฟ์สไตล์กิน ช้อป เที่ยว สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://ktc.promo/easy-e-receipt2025

ดังนั้นหากต้องการใช้สิทธิ์ดังกล่าวเมื่อซื้อสินค้าหรือบริการต้องแจ้งข้อมูลให้ผู้ประกอบการออก E-Invoice หรือ E-Receipt ระบุข้อมูลที่จำเป็นได้แก่ ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร (เลขประจำตัวบัตรประชาชน) เมื่อข้อมูลครบถ้วนรายการของการซื้อสินค้าและการรับบริการจะปรากฏใน My Tax Account ของผู้เสียภาษี และสามารถใช้ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปีภาษี 2568

หมายเหตุ : บัตรเครดิตใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนดจะได้ไม่เสียดอกเบี้ยสูงสุด 16% ต่อปี

ชูสินเชื่อดิจิทัลโต 7% พร้อมขยายฐานผู้ใช้รถบน แอป โก บาย กรุงศรี ออโต้ ทะลุ 4.4 ล้านคน ตอกย้ำแบรนด์ที่ 1 ในใจผู้ใช้รถ

“ธุรกิจคอนเทนต์ ต้องยอมรับว่ามีการแข่งขันสูงมาก การจะเป็นผู้นำวันนี้ก็ไม่ง่ายต้องการสร้างแพลตฟอร์มของคนไทย เพื่อส่งออกคอนเทนต์ไทย วัฒนธรรมไทย เราให้ความสำคัญมากคือ การพัฒนาเพื่อเพิ่มความพึงพอใจของ Users เรา เพราะนี่คือหัวใจของธุรกิจ”  วินท์รดิศ กลศาสตร์เสนี  President TrueID  ย้ำถึงธุรกิจคอนเทนต์ในปัจจุบัน

ที่มาที่ไปก่อนจะมาทํางานที่ TrueID?

วินท์รดิศ กลศาสตร์เสนี  ท้าวไปตั้งแต่จุดเริ่ม คือการมาทําธุรกิจออนไลน์มาจาก 3 ส่วน ส่วนแรกคือความชอบ  ส่วนที่ 2 คือความชํานาญ และสุดท้ายนั้นคือความฝัน ผมเองจบด้าน Information Technology หรือ IT 10 กว่าปีแรกของการทํางาน ทํางานสายเทคมาตลอด ก็สั่งสมประสบการณ์เรื่องเทคโนโลยี เมื่อประมาณปี 2010-2011  ตอนนั้น Netflix เพิ่งจะเริ่ม 3 ปีเอง  เราก็เลยเกิดความฝันว่า เราอยากจะสร้าง benchmark คล้ายๆ กับเซอร์วิส ผมก็เลยออกมาจากไมโครซอฟท์ แล้วก็มาสร้างบริษัทเองทางด้าน VDO streaming ซึ่ง ณ เวลานั้น  เป็นอะไรที่ใหม่มาก ต้องยอมรับว่าโลกยังดูทีวีเป็นหลัก  จนถึงจุดหนึ่งที่ผมได้โอกาสไปร่วมงานกับ Discovery ซึ่งก็เป็นแบรนด์มีเดียแบรนด์ใหญ่เจ้าหนึ่งของอเมริกา  ไปเป็นสตาร์ทอัพสร้างธุรกิจ OTT  ซึ่งกลายเป็น MAX ที่เรารู้จักกันวันนี้

พอมาถึงจุดที่เราโชคดีมากก็คือ ได้โอกาสเจอผู้บริหาร และ Founder ของ TrueID  ต้องการสร้างแพลตฟอร์มของคนไทย เพื่อผู้บริโภคไทย เพื่อจะนําส่งออกสิ่งที่สําคัญอันดับต้นๆ ก็คือ คอนเทนต์ไทย วัฒนธรรมไทย ที่สามารถจะ impact คนทั้งประเทศ และกลับมาอยู่กับครอบครัวที่เมืองไทย นั่นคือเหตุว่า ทําไมถึงได้มาดู TrueID ประมาณสักปีครึ่งที่ผ่านมา

TrueID  มีบริการอะไรบ้าง?

TrueID  เป็นแพลตฟอร์มคนไทย  เวลาเรามอง TrueID เราไม่สามารถจะบอกได้ว่า TrueID เป็นแพลตฟอร์มที่ทําเรื่องแค่ VDO  streaming  แต่เราอยากขยายความบริการอื่นๆ ซึ่งเป็นบริการที่ถูกสร้างมาตั้งแต่เริ่ม ถ้าถามคนที่ใช้บริการทรู   หลายๆ คนจะบอกว่าผมมาเข้า TrueID เพราะต้องการ Privilege หลายอย่างที่ทรูให้ ผ่านทรูเรดการ์ดผ่านทรูแบล็กการ์ด  คนหลายคนต้องบอกว่าจํานวน 1 ใน 3 ของ users เรา เข้ามาเพื่อหา Privilege ต่างๆ ภายในทรู  นั่นเป็นหนึ่งใน used case ใหญ่ที่สุดของการใช้ TrueID

ส่วนที่ 2 ด้วยความที่เรามีคอนเทนต์เยอะ เราก็สามารถสร้าง community ของคนที่ชอบคอนเทนต์เหมือนๆ กัน 2 ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดใน community ของคนดูกีฬา ดูฟุตบอล ทุกๆ match เราจะมีการที่ทําเรื่อง live commenting ก็คือ สามารถ text คุยกันระหว่างมีการแข่ง  อีก used case หนึ่งที่ผมว่าน่าสนใจก็คือ  เรามี community ที่ใหญ่มากของธรรมะ  ด้วยการที่ทรูทําสามเณรปลูกปัญญามานาน กลายเป็น community ที่คนเหนียวแน่นมาก   

ข้อที่ 3 คือวิดีโอ เรามีคอนเทนต์มากมายที่เรามี ทั้งจัดสร้างเอง เรามีการซื้อลิขสิทธิ์เพิ่มจากคู่ค้าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ  เราเองก็เอาคอนเทนต์ของบริษัททรูวิชั่นส์เข้ามาบรอดแคสต์อยู่บนแพลตฟอร์ม TrueID  ลักษณะหรือพฤติกรรมของคนอยู่ใน TrueID  จะขึ้นอยู่กับบริบทของคนๆ นั้น ณ เวลานั้นด้วย  เพราะว่าเรามีลูกค้าที่ใช้ทั้ง 3 ส่วนนี้มากเหมือนกัน

ธุรกิจคอนเทนต์ ต้องยอมรับว่ามีการแข่งขันสูงมาก สิ่งที่สะท้อนคือ Content Cost การลงทุนคอนเทนต์มันก็สูงขึ้นตาม อันนี้ก็จะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ถือว่ามีความยากมากในธุรกิจนี้  คือถ้าต้องการจะเป็นผู้นํา  ไม่ต้องเอาระดับโลกนะ เอาแค่ในประเทศเรา   วันนี้ก็ไม่ง่าย เพราะว่าทุกคนก็เล็งเห็นเลยว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มียุทธศาสตร์ที่สําคัญในการที่จะเป็นคอนเทนต์ซัพพลายเออร์ใหม่ของโลก ต่อจากสิ่งที่เกาหลีเป็น ณ วันนี้ ต้องยอมรับว่า OTT นี้ ถ้ามองในอุตสาหกรรมโดยตรงของ Content Business นี้  YouTube คือโฆษณา  เอาคอนเทนต์มาใครก็สามารถโพสต์คอนเทนต์ได้  แล้วส่วนใหญ่เป็นเกี่ยวกับการหารายได้ผ่านโฆษณา  Netflix เป็นช่องหนึ่งที่เอาคอนเทนต์ตัวเองใส่ แล้วต้องมีการ subscribe คนจึงสามารถดูได้ใช่ไหม  เขาจะไม่ค่อยมีการรวมๆ กันสักเท่าไร ต้องยอมรับว่าในเอเชียเราค่อนข้างevolve กว่าเยอะ ประเทศที่ชัดที่สุดเริ่มจากจีน การที่จีนมี application ที่เป็น tech company ใหญ่ๆ 3-4 เจ้า ทําให้มีความเป็นลักษณะซุปเปอร์แอป WeChat มีทุกๆ service ที่อยู่ใน WeChat ตั้งแต่ streaming ยัน e-commerce ยัน delivery ยันทุกๆอย่างที่เราจะสรรหาได้ ซึ่ง TrueID จะมีความคล้ายคลึงกับโมเดลอย่าง WeChat มากกว่า ดังนั้นการที่มีหนึ่งบริการที่สามารถทําได้หลายๆอย่าง เพื่อ serve need ของผู้บริโภคเป็นจุดยืนที่เราอยากทํา  และเป็นสิ่งที่เราทํามาตลอด   แต่แน่นอนเราก็ยังมีสิ่งที่อยากทําเพิ่มอีกมหาศาล

TrueID สร้างรายได้จากอะไรบ้าง?

ธุรกิจ OTT ทั้งหมด 80-90%  ส่วนใหญ่คือ advertising base ถามว่าที่เราทําก็ไม่ต่างกันเท่าไร   แต่วัตถุประสงค์เราค่อนข้างชัดเจน  เพราะว่าอันหนึ่งที่แตกต่างชัดเจนคือ ถ้า OTT ฝรั่งส่วนใหญ่เขามี objective ชัดเจน ก็คือว่าถ้าไม่เป็นโฆษณา subscription เขาใช้โมเดลคือการที่เขาสามารถเอาคอนเทนต์ของเขา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้าของคอนเทนต์เอง  หนึ่งเซอร์วิสหนึ่งคอนเทนต์สามารถ 10 ประเทศ 100 ประเทศ What ever ตามแล้วแต่  ขณะเดียวกัน  เราต้องการให้ประชากรไทยทั้ง 70 ล้านคน  สามารถเข้าถึงคอนเทนต์ที่มีคุณภาพได้ โดยที่ไม่ต้องจ่ายตังค์ นั่นคือวัตถุประสงค์หรือ vision แรกก่อนเลย ของ TrueID เพราะฉะนั้นการที่มี Free Tier คือ การที่มีโฆษณา วัตถุประสงค์คือเราต้องการให้คนเข้าถึงเยอะที่สุด  แล้วก็สะท้อนถึงทําไมเราถึงเป็นแพลตพอร์ม ที่มีคนดูเยอะ เพราะไม่มีการคิดตังค์  คิดตังค์ไปคิดที่ฝั่งโฆษณา  ที่แบรนด์  ที่ agency แทน  แต่เราก็มีทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่ไม่อยากดูโฆษณาทําอย่างไร  ก็สามารถ subscribe ได้

หลายๆ คนน่าจะอยากรู้และอยากฟังจาก TrueID เรื่องของข้อพิพาทกับ Regulator ที่เป็นข่าวเมื่อไม่นานมานี้?

ผมเองก็เป็นคนดูภาคธุรกิจ  ผมเชื่อว่าไม่ต้องเอาสตาร์ทอัพหรอก ไม่ว่าธุรกิจไหนก็ไม่อยากจะมีเรื่องหรือมีข้อพิพาทกับผู้คุมกฎ หรือผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอยู่แล้ว ผมว่าไม่มีใครอยากมีอยู่แล้ว เพราะว่ามันไม่ได้ช่วยเอื้อในอะไรเลย แต่ความเป็นจริงคือ พอมีเรื่องจริงๆ  เราเริ่มได้เอกสาร  จริงๆต้องบอกว่าเราได้เอกสารจากคู่ค้าเรานะพอคู่ค้าส่งมาเราก็ตกใจ เราก็เลยทําหนังสือเหมือนกัน ทําหนังสือไปที่ กสทช ถึง 2  รอบด้วยกัน  แต่ก็ไม่ได้รับ feedback อะไร แต่พอเริ่มมี impact จริงๆกับธุรกิจ  เราเองในฐานะผู้ให้บริการที่มีลูกค้า 30  กว่าล้านคนทุกเดือน รวมถึงคู่ค้าของเรา  เราต้องการให้ความมั่นใจว่าเราไม่ได้ทําผิดในเชิงกฎหมาย  แน่นอนความเชื่อถือ  trust เป็นสิ่งสําคัญในการสร้างทําธุรกิจ เราก็เลยจําเป็นที่จะต้องเอาเข้าสู่การฟ้องร้อง  แต่จริงๆ  อย่างที่ผมเรียน มันไม่ได้เป็นสิ่งที่เราอยากจะทํา แต่เรามองว่า เรามี obligation ในการเป็นแพลตฟอร์มต่อผู้บริโภค และต่อคู่ค้าเรา  ทําให้เราต้อง take action ตรงนั้นไป ส่วนว่าเราเจาะจงอะไรยังไงไหม  ผมว่าอย่างงี้ดีกว่า  ตอนนี้ process ที่อยู่ในศาล แล้วก็สิ่งที่มีการพิจารณาผลคดีไปแล้ว แต่ fact คือว่า  ตอนที่เราได้รับเอกสารตัวนี้  มีวิธีเดียวที่จะทําได้ คือเราก็ฟ้องคนที่ลงนาม ซึ่งวันนั้น คือเป็นรักษาการรองเลขาฯ ของ กสทช แต่พอมันเข้าสู่กระบวนการในการสืบพยานในส่วนของศาล ปรากฏว่าคนที่ลงนามไม่ได้เป็นคนสั่งการ  เราก็เลยต้องเปลี่ยนจากการที่ฟ้องคนนั้นไปเป็นคนที่สั่งการ ก็จะเห็นเลยว่า fact ไม่ใช่สิ่งที่เรา pinpoint คน  แต่คือการทําตามขั้นตอน แล้วก็อย่างที่เรียน คือผมว่าวัตถุประสงค์เรา  คือการที่อยากจะสร้างสรรค์ร่วมมากกว่า สิ่งที่ทําวันนี้คือการที่แค่ต้องการเน้นว่าเราไม่ผิด  ผมว่าวัตถุประสงค์ คือการที่อยากจะสร้างสรรค์ร่วมมากกว่า สิ่งที่ทําวันนี้คือการที่แค่ต้องการเน้นว่าเราไม่ผิด เราอยากจะให้มี fair competition แต่จุดประสงค์เราหลักคือว่า ข้างหน้าเราจะไปกันได้อย่างไร ผมว่าสิ่งหนึ่งที่เป็นสิ่งที่หลายคนยังสงสัย ก็คือว่า ธุรกิจ OTT  ยังไม่มีกฏหมายครอบคลุม แต่สิ่งที่ค่อนข้างยิ่งสะท้อนความเป็นจริงมากก็คือว่า พอไม่มีการควบคุม การที่เราเป็นบริษัทไทย เราเองก็อยากจะอยู่ภายใต้ความคุ้มครอง แต่ก็ควรจะมีความคุ้มครองที่มี benefit ชัดเจน วันนี้ ความคลุมเครือของการคุ้มครอง ทําให้การคุ้มครองไม่มีความเท่าเทียม เพราะว่าบริษัทฝรั่ง แพลตฟอร์มฝรั่งไม่ได้อยู่ในการคุ้มครอง แพลตฟอร์มไทยมองว่า วันนี้การคุ้มครองก็ไม่ได้ มีเอื้อของธุรกิจเลย ดังนั้นต้องกลับมาที่ว่าประเทศและเจ้าของนโยบาย ผู้คุมกฎทั้งหลาย มองธุรกิจนี้สําคัญขนาดไหน จะ impact อย่างไร เราเองในฐานะที่เป็น startup platform ใหญ่อันดับต้นๆของเมืองไทย เรายินดีและพร้อมที่จะเข้าไปร่วมเสวนาให้ความรู้ ให้จุดที่บาลานซ์ในการได้รับความสนับสนุน ในขณะเดียวกัน ปกครองถึงเรื่อง privacy เรื่องของการที่ผู้บริโภคควรจะพึงได้ในการที่มีการคุมกฎตรงนี้ เราพร้อมและยินดีเสมอในเรื่องนี้ เพราะว่า แพลตฟอร์มไทยวันนี้มีน้อยมาก ไม่ใช่แค่ในอุตสาหกรรมคอนเทนต์ ทุกๆอุตสาหกรรม เราต้องการเป็นปลายน้ำหรือคนกลาง หรือต้นน้ำของธุรกิจ เรารู้อยู่แล้วว่าธุรกิจวันนี้คนกลางโดนบีบ มันจะไม่มีแล้ว งั้นภาครัฐและภาคเอกชนต้องการเป็นปลายน้ำคอยแต่ได้รับในส่วนของการเป็นผู้บริโภคที่ดี หรือต้องการเป็นต้นน้ำของธุรกิจและสร้างสรรค์อุตสาหกรรม ซึ่งสามารถ impact อีกหลาย industry ทั้งหมดเลย  ทุกอย่างสามารถสื่อสารด้วย คอนเทนต์  มันคือทําไมทุกบริษัทเทคถึงทําคอนเทนต์  เพราะเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจโลกที่ใหญ่กว่า content business มาก

TrueID มีแผนพัฒนาคอนเทนต์ และแพลตฟอร์มอย่างไรบ้าง?

หนึ่งในสิ่งที่เราให้ความสําคัญมาก คือการพัฒนาเพื่อเพิ่มความพึงพอใจของ user วันนี้ผู้บริโภคทุกคนมีความ unique ของเขา งั้นแพลตฟอร์มอย่างเราจําเป็นต้องเข้าถึงและรู้ insight ของคน  ด้วยจุดหมายคือเพิ่มความพึงพอใจของเขาในการใช้งานของเรา ไม่ว่าจะเป็นการดูคอนเทนต์ที่เขาชอบ  การใช้บริการด้านอื่น การอยู่กับ community ของเขา

ส่วนที่ 2 ที่เราต้องบอกว่าเป็น priority อีกอย่างหนึ่งที่สําคัญ คือการสร้าง ecosystem หรือ แพลตฟอร์ม ของไทยไปสู้ในธุรกิจ commerce ที่เรียกว่า social commerce แต่เป็นรูปแบบที่ unique กับประเทศ โดยใช้แพลตฟอร์ม TrueID เพราะแน่นอนวันนี้ สิ่งที่ disrupt แม้กระทั่ง global player คือ TikTok จากเมื่อก่อน short form เป็นสิ่งที่แบบไม่ได้มีใคร วันนี้ทุกคนมี short form  มันเกิดจาก TikTok ถ้าเราจะไปก็อปปี้ TikTok เราก็คงสู้เขาไม่ได้ งั้นสิ่งหนึ่งที่เราพยายามทําคือ หาจุดลงตัวของ ecosystem ของ TrueID ร่วมกับพันธมิตรของเรา สร้างแพลตฟอร์มที่สามารถตอบโจทย์คนไทยได้ดีกว่าสิ่งที่แพลตฟอร์มต่างชาติทําวันนี้ เพราะฉะนั้นเกมนี้ ไม่ใช่เกมส์มอง short term มันคือการสร้างนวัตกรรมใหม่บนสิ่งที่เริ่มเห็นแล้วว่านี่คือโลกกําลังเปลี่ยนไป เพราะว่าโลกคอนเทนต์กับโลกขายของ มันเริ่มใกล้กันมาก แทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ไม่มีใครเคยเห็นเลย งั้นวันนี้สิ่งที่เราทํา เราเริ่มมองไปถึงว่า ในยุคต่อไปโดยที่มี AI มาเป็นตัวกลาง ตัวแปลหลักสําคัญของธุรกิจ เราจะเป็นผู้นําได้อย่างไร แน่นอนงั้นรากฐานการพัฒนาเพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจเป็นอย่างไร เรามุ่งทําทุกวันคือ product development มันไม่มีวันหยุด   เพราะนี่คือหัวใจของธุรกิจ

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ตอกย้ำศักยภาพความเป็นผู้นำด้าน Digital & Tech Innovation ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมาย ตอบโจทย์ชีวิตทางการเงินของลูกค้าอย่างแท้จริง ผ่านงาน "ttb spark REAL change" เวทีสำคัญที่สะท้อนถึงความก้าวล้ำด้านนวัตกรรมดิจิทัลของธนาคาร ล่าสุดเปิดตัวทีม ttb spark tech เสริมทัพ พร้อมก้าวสู่ Tech & Infra Transformation อย่างเต็มรูปแบบเพื่อสร้างประสบการณ์ทางการเงินที่สะดวก ปลอดภัย และไร้รอยต่อ

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า "Make REAL Change ในแบบฉบับของทีทีบีไม่ใช่แค่การพัฒนาเทคโนโลยีให้ก้าวล้ำ แต่คือการนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับลูกค้า ช่วยให้พวกเขาสามารถจัดการชีวิตทางการเงินได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และปลอดภัยขึ้น นี่คือเป้าหมายของเราและเป็นเหตุผลที่เราสร้างทีม ttb spark ขึ้นมาภายในธนาคาร สำหรับขับเคลื่อนและพัฒนาโซลูชันทางด้านดิจิทัลเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายและสร้างอนาคตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับทุกคน"

ทีม ttb spark เบื้องหลังการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการเงิน

เบื้องหลังความสำเร็จของทีทีบีในวันนี้ คือ การเร่งสร้างศักยภาพทางด้านดิจิทัล (Digital Capabilities) ภายในองค์กรอย่างมีกลยุทธ์ ผ่านการก่อตั้งทีม ttb spark เมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่งเริ่มจากทีมขนาดเล็กเพียงไม่กี่สิบคน แต่ด้วยความเชื่อมั่นในพลังของ Digital & Tech ทีทีบีจึงเดินหน้าขยายทีมอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันทีม ttb spark มีสมาชิกกว่า 700 คน นอกจากนี้ ทีทีบียังให้ความสำคัญกับการ Upskill & Reskill พนักงานเดิมให้สามารถทำงานด้านดิจิทัลได้อย่างเต็มศักยภาพ ควบคู่ไปกับการเปิดรับบุคลากรรุ่นใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยได้ก่อตั้ง ttb spark academy ซึ่งมุ่งเน้นการ Build-Groom-Grow บุคลากรรุ่นใหม่ โดยเปิดโอกาสให้นักศึกษาฝึกงานได้มีส่วนร่วมในโปรเจ็กต์จริงของธนาคาร

นวัตกรรมเด่นจาก ttb spark ที่พลิกโฉมการเงินไทย

ทีทีบีไม่หยุดเพียงแค่การพัฒนาเทคโนโลยี แต่ยังมุ่งสร้าง Digital Solutions ที่ช่วยให้ชีวิตทางการเงินของลูกค้าง่ายขึ้นและสะดวกขึ้น หนึ่งในผลงานสำคัญที่เปลี่ยนโฉมการให้บริการของธนาคาร เริ่มจากช่วยให้ลูกค้าสามารถเช็กสุขภาพเครดิตได้เองผ่านฟีเจอร์ My Credit เพื่อประเมินวงเงินสินเชื่อเบื้องต้นสำหรับวางแผนซื้อรถ ซื้อบ้าน หรือขอสินเชื่อบุคคล โดยสามารถสมัครสินเชื่อได้ง่าย ๆ ทันทีผ่านแอป ttb touch และรู้ผลประเมินวงเงินสินเชื่อได้ไวใน 2 นาที

อีกหนึ่งนวัตกรรมที่สร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง คือ Gamification บน ttb touch ซึ่งผสมผสานเกมเข้ากับการทำธุรกรรมทางการเงิน สำหรับลูกค้าที่ทำ Mission ได้สำเร็จจะได้รับรางวัลพิเศษที่ตรงใจ เพิ่มความสนุกและการมีส่วนร่วมของลูกค้า ขณะเดียวกันได้พัฒนา Yindee Chatbot ที่พัฒนาโดยใช้ Generative AI ทำให้ลูกค้าสามารถสอบถามข้อมูลและทำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องรอสาย Contact Center

ที่สำคัญที่สุด ทีทีบีได้สร้าง Ecosystem บนแอป ttb touch ซึ่งพลิกโฉม Mobile Banking Application ให้เป็นมากกว่าธนาคารดิจิทัลทั่วไป โดยเชื่อมต่อบริการ Beyond Banking อย่างครอบคลุม เช่น ฟีเจอร์ My Car ที่ช่วยดูแลจัดการทุกเรื่องเกี่ยวกับคนมีรถ ทั้งการจ่ายสินเชื่อ ซื้อ-ต่อประกันรถ ต่อพ.ร.บ. / ภาษีรถ เติมเงิน-เช็กยอด Easy Pass รวมถึงยังสามารถเลือกขายรถผ่านลานประมูล พร้อมเลือกซื้อรถมือสองคุณภาพดีผ่าน Roddonjai.com และที่สำคัญที่สุดหากลูกค้ามีปัญหาชีวิตติดขัด รถคุณก็ช่วยได้ด้วยสินเชื่อรถแลกเงิน ทีทีบี ไดรฟ์ ที่สมัครได้ง่าย ๆ ผ่านแอป ttb touch และล่าสุดได้ออก ttb enterprise ซึ่งเป็น Humanized Digital Platform ที่นำเอาเทคโนโลยีมาเป็นผู้ช่วยและคู่คิดให้กับพนักงานสาขาและ Contact Center สามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้อย่างไร้รอยต่อกับระบบหลังบ้าน สามารถคัดสรรสิทธิประโยชน์และโปรโมชันที่ตรงใจตอบโจทย์เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น 

เปิดตัว ‘ttb spark tech’ เสริมทัพ พร้อมก้าวสู่ Tech & Infra Transformation อย่างเต็มรูปแบบ

ทีทีบีเดินหน้าสู่อนาคตทางการเงินในยุคดิจิทัลด้วยการเปิดตัว "ttb spark tech" ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้าง IT และเทคโนโลยี ซึ่งเป็น "โครงสร้างหลังบ้าน" ที่แม้จะมองไม่เห็นแต่มีบทบาทสำคัญในการทำให้ Digital Solutions ของทีทีบีสามารถเชื่อมต่อได้อย่างราบรื่น มีความเร็วสูง และปลอดภัย ทั้งยังสนับสนุนให้ทีม Business สามารถพัฒนาต่อยอด Digital Solutions ได้ไกลกว่าเดิม

"วันนี้ ttb spark ไม่ได้เป็นเพียงทีมพัฒนาแอปพลิเคชัน แต่เป็นกำลังสำคัญที่ร่วมขับเคลื่อน Business Transformation ผ่าน Digital Platform และด้วยการเสริมทัพด้วย ttb spark tech ทำให้เราสามารถออกแบบโซลูชันทางการเงินที่เชื่อมโยงและรองรับการเติบโตของเทคโนโลยีในอนาคตได้อย่างเต็มรูปแบบ เป้าหมายของเราคือการพลิกโฉมประสบการณ์ทางการเงินของลูกค้า สร้างความคล่องตัว และมอบบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ในยุคดิจิทัล เรากำลังก้าวไปสู่การเป็นองค์กรที่ใช้เทคโนโลยีเป็นแกนกลางในการสร้างโซลูชันที่ช่วยให้คนไทยมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น” นายปิติ กล่าวเสริม

ปัจจุบันทีทีบีมี 3 หน่วยงานหลักที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อน Digital & Tech ได้แก่ ttb spark ซึ่งรับผิดชอบด้านการพัฒนา Digital Innovation และขับเคลื่อน Business Transformation ผ่าน Digital Platform, ttb spark academy ที่มุ่งเน้นการสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพด้านดิจิทัล และ ttb spark tech ซึ่งทำหน้าที่ดูแลโครงสร้าง IT และ Infrastructure ถือเป็นรากฐานสำคัญของทุกโซลูชันทางการเงินดิจิทัลของทีทีบี

การมีทั้งสามทีมนี้ช่วยให้ทีทีบีสามารถพัฒนา Digital & Tech ได้อย่างครบวงจรตั้งแต่การสร้างโซลูชันไปจนถึงการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานทำให้ทุกบริการของทีทีบีทำงานได้อย่างราบรื่น รองรับความต้องการของลูกค้าในโลกการเงินดิจิทัลและมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ผู้ใช้บริการ

อย่างไรก็ตาม ทีทีบียังเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจด้าน Digital & Tech และต้องการนำเทคโนโลยีมาสร้างโซลูชันที่ช่วยให้ผู้คนมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีม ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครงานได้ที่ https://www.ttbspark.com

“ttb spark REAL change” เวทีประกาศวิสัยทัศน์สู่อนาคต

เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้าง Digital & Tech Capabilities ทีทีบีจึงจัดงาน "ttb spark REAL change" ขึ้นเป็นครั้งแรก ในวันที่ 19-20 กุมภาพันธ์นี้ โดยภายในงานได้มีการจัดแสดง Digital Solutions ที่ช่วยพลิกโฉมประสบการณ์ทางการเงินของลูกค้า เช่น ttb touch ที่เป็นมากกว่าการทำธุรกรรมแต่เป็นผู้ช่วยทางการเงินส่วนตัวช่วยให้ลูกค้าจัดการเรื่องการเงินได้อย่างครบถ้วน My Credit ที่ให้ลูกค้าสามารถรับอนุมัติสินเชื่อภายใน 2 นาที Yindee ที่พัฒนาโดยใช้ Generative AI ทำให้ลูกค้าสามารถสอบถามข้อมูลและทำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง และ ttb smart shop ที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจวิเคราะห์ข้อมูลและวางแผนธุรกิจได้อย่างแม่นยำ

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีเวที Spark Talk ที่รวบรวมผู้บริหารระดับสูงจากองค์กรชั้นนำ ได้แก่ MFEC, Microsoft และ Skooldio ซึ่งมาร่วมพูดคุยในหัวข้อ "Digital Transformation: Spark the Future" เพื่อแบ่งปันแนวคิดเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการเงินในยุคดิจิทัลจากธนาคารสู่ผู้นำด้าน Digital & Tech ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง

นายปิติ กล่าวปิดท้ายว่า "วันนี้ ทีทีบีดูแลลูกค้ากว่า 10 ล้านราย มีข้อมูลมากกว่า 6.3 พันล้าน Data Points และมี Digital Applications กว่า 350 ระบบ เราไม่ได้เป็นเพียงธนาคาร แต่เป็นองค์กรที่พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการเงินไทยไปสู่อนาคต และใช้เทคโนโลยีในการสร้างโอกาสให้กับลูกค้าของเรา"

งาน "ttb spark REAL change" ไม่เพียงเป็นเวทีแสดงนวัตกรรม แต่เป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของทีทีบีในการเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการเงินด้วยเทคโนโลยีแบบครบวงจร และความมุ่งมั่นในการพัฒนา Digital & Tech Solutions ที่จะ Spark REAL Change ให้กับลูกค้าและอุตสาหกรรมการเงินไทย

เดินเกมลุย Perform and Transform เพิ่มประสิทธิภาพสู่การเปลี่ยนอนาคตที่ยั่งยืน

ตอบรับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภค พร้อมขอบคุณทุกการสนับสนุน

สสว. และ ป.ย.ป. ร่วมลงนามเอ็มโอยู เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากฎหมายและมาตรการต่าง ๆ ให้เอื้อต่อการเติบโตของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ภายใต้แนวคิด “Next Level SME : ปลดล็อกกฎหมาย ลดภาระ สร้างโอกาสเพื่อเอสเอ็มอีไทย

นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน  รักษาการแทนผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวภายหลังพิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง สสว. และ สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ว่า ความร่วมมือครั้งนี้ กำหนดแนวทางการพัฒนาไว้ใน 3 มิติหลัก ได้แก่ 1.การปลดล็อกกฎหมาย กฎหมายและระเบียบหลายฉบับที่ยังล้าสมัย ไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนไป หรือบางข้อกำหนดมีความซับซ้อน ร่วมมือนี้จะช่วยทบทวนและปรับปรุงกฎหมายให้กระชับขึ้น คล่องตัวขึ้น และสอดรับกับโลกธุรกิจยุคใหม่  2.การลดภาระ เนื่องจากเอสเอ็มอีมักใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมากไปกับขั้นตอนทางกฎหมายที่ซับซ้อน ตั้งแต่การขออนุญาตจดทะเบียนธุรกิจไปจนถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ข้อตกลงนี้จึงมุ่งลดเงื่อนไขที่ยุ่งยาก ลดต้นทุนแฝง และเพิ่มความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ  และ 3. การสร้างโอกาส การสนับสนุนให้เอสเอ็มอีเข้าถึงตลาดและแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น

“อีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญของความร่วมมือครั้งนี้ ได้แก่การพัฒนากลไกช่วยเหลือ การสนับสนุนด้านเทคโนโลยี และการส่งเสริมให้ ผู้ประกอบการเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นต่อการขยายธุรกิจ” นางสาวปณิตา ระบุ

รักษาการ ผอ.สสว. เผยอีกว่า เอสเอ็มอีคือฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจไทย คิดเป็นกว่า 35 % ของ GDP และเป็นแหล่งจ้างงานที่สำคัญของประเทศ สร้างงานกว่า 12.8 ล้านตำแหน่ง คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของการจ้างงานรวมในประเทศ ทั้งยังช่วยกระจายรายได้สู่ครัวเรือนและชุมชนต่าง ๆ ทั่ว ประเทศ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ มีความคล่องตัวและปรับตัวได้เร็วกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ และเป็นแหล่งบ่มเพาะผู้ประกอบการรุ่นใหม่ แต่ที่ผ่านมากฎหมายและกฎระเบียบหลายฉบับ ยังเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ สสว. จึงต้องเร่งปรับปรุงและทำให้กฎหมายเหล่านี้เอื้อต่อการเติบโตของเอวเอ็มอีมากขึ้น

“แนวทางสำคัญที่ สสว. กำลังดำเนินการ เช่น ระบบ SME One ID จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถ เข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น รวมถึงการเสนอปรับปรุงมาตรการด้านภาษีและกฎหมายที่เกี่ยวข้องว่า ภาครัฐต้องทำให้กฎหมายเป็นเครื่องมือส่งเสริมเอสเอ็มอี มิใช่อุปสรรคต่อการเติบโต ผ่านมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่เป็นรูปธรรม เช่น ปรับปรุงกฎหมายที่ซ้ำซ้อนและเป็นอุปสรรค ลดขั้นตอนทางกฎหมายและภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น สนับสนุนให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพิ่มโอกาสในการขยายตลาดและเชื่อมโยงกับเครือข่ายธุรกิจ ส่งเสริมให้เอสเอ็มอี ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการดำเนินธุรกิจ

นางชุติมา หาญเผชิญ ผู้อำนวยการสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความปรองดอง เผยว่า บันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว จะเป็นการผลักดันเอ็มอีอย่างน้อย มีความต่อเนื่อง 3 ปี เพื่อหนุนแข่งขันได้ในเวทีโลก

“บันทึกข้อตกลงฉบับนี้ จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับปรุงโครงสร้างกฎหมายเพื่อให้เอสเอ็มอีไทย สามารถดำเนินธุรกิจได้สะดวกขึ้น ลดข้อจำกัดที่ไม่จำเป็น และเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถขยายธุรกิจ ได้อย่างเต็มศักยภาพ

 “Next Level SME จึงไม่ใช่แค่แนวคิด แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ที่ภาครัฐพร้อมขับเคลื่อนเพื่อให้เอสเอ็มอีไทยก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจยุคใหม่อย่างแข็งแกร่ง ภายใต้กรอบกฎหมายที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ และส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลกอย่างยั่งยืน โดยประชาชนและผู้ประกอบการสามารถติดตามความคืบหน้าของโครงการได้ผ่านทางเว็บไซต์ของ สสว. ที่ https://www.sme.go.th และ เว็บไซต์ของสำนักงาน ป.ย.ป. ที่ https://sto.go.th รวมถึงช่องทางการ สื่อสารอื่น ๆ ของทั้งสองหน่วยงาน” ผอ.ป.ย.ป. กล่าวปิดท้าย

MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง ในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดกระทรวงมหาดไทย ยกระดับคุณภาพบริการสู่ความเป็นเลิศจากรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น (SOE Awards) ประจำปี 2567 จัดขึ้นโดย สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) โดยมีนางสาวภัทรา สุวรรณเดช รองผู้ว่าการ MEA เป็นผู้แทนหน่วยงานรับรางวัลประเภทเชิดชูเกียรติ ภายใต้โครงการส่งเสริมผลิตภัณฑ์และบริการของการไฟฟ้านครหลวง ร่วมกับโครงการสินเชื่อพร้อมใช้ และโครงการ GHB BIG Family ของธนาคารอาคารสงเคราะห์

จากความร่วมมือสู่รางวัลในครั้งนี้ MEA และ ธอส. ได้เล็งเห็นความสำคัญ ในการช่วยกันแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน (Global Warming) และวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) อย่างยั่งยืน โดยการสนับสนุนให้ประชาชนติดตั้ง Solar Cell เพื่อการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ ออกสู่ชั้นบรรยากาศโลก  ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านค่าไฟฟ้าของประชาชน รวมถึงการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการ KEN by MEA ได้ง่ายยิ่งขึ้นด้วยการขอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ช่วยเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนได้รับบริการด้านระบบไฟฟ้าที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้า และการใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้เกิดความยั่งยืนด้านพลังงาน และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนในคราวเดียวกัน

 

รองผู้ว่าการ MEA กล่าวว่า MEA มุ่งมั่นขับเคลื่อนองค์กรสู่ความเป็นเลิศ พร้อมสร้างความมั่นคงด้านระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการเติบโตของเมือง และการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับแนวคิด ‘Beyond Pride, Towards Sustainability’ ที่มุ่งเน้นให้รัฐวิสาหกิจไทยก้าวไปไกลกว่าความภูมิใจ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน สำหรับรางวัลที่ MEA ได้รับในครั้งนี้ เป็นสิ่งยืนยันถึงความทุ่มเทของพนักงาน MEA ทุกคน ที่ร่วมกันพัฒนาองค์กรบนพื้นฐานของการบริหารงานที่โปร่งใส มีธรรมาภิบาล และนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของสังคมเมือง และพฤติกรรมผู้ใช้ไฟฟ้า พร้อมบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และพัฒนาระบบฐานข้อมูลร่วมกัน ยกระดับบริการให้ประชาชนได้รับความสะดวก รวดเร็ว และไร้รอยต่อ ตลอดจนส่งเสริมพลังงานสะอาดเพื่อรองรับเมืองคาร์บอนต่ำ พัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความมั่นคง รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และยกระดับบริการดิจิทัลเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายสูงสุด

นอกจากนี้ MEA ส่งเสริมให้ผู้บริโภคปรับปรุงระบบไฟฟ้าภายในบ้านให้มีประสิทธิภาพ ใช้บริการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์สำหรับบ้านอยู่อาศัย และบริการติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า (EV Home Charger) โดย KEN by MEA ซึ่งผู้บริโภคในกลุ่มบ้านอยู่อาศัย สามารถยื่นขอสินเชื่อพิเศษดอกเบี้ยต่ำจาก ธอส. ได้ เป็นการมุ่งเน้นการดำเนินงานตามภารกิจ และการพัฒนาองค์กร ด้วยการนำความสามารถพิเศษ (Core Competency) ของทั้งสององค์กรมาผสานกัน (Synergy) เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจของทั้งสององค์กรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

 

สำหรับ ผู้สนใจใช้บริการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์แบบครบวงจร พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับการขออนุญาต และดูแลระบบหลังติดตั้งด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญ MEA มีโปรโมชันพิเศษมอบให้ลูกค้าตลอดปี 2568 ฟรีค่าสำรวจเพื่อประมาณราคาติดตั้ง ส่วนลดพิเศษหรือของสมนาคุณ และรับประกันงานติดตั้งนาน 2 ปี ซึ่งสามารถติดตามได้ผ่านช่องทาง ken.mea.or.th, Facebook : การไฟฟ้านครหลวง MEA และ Line: MEA Connect (@MEAthailand) สัญลักษณ์โล่เขียวนำหน้าชื่อบัญชีทางการ เลือกเมนู ติดต่อ MEA Call Center Online 1130 ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้าการไฟฟ้านครหลวง ได้ตลอด 24 ชั่วโมง และติดตามข่าวสารงานบริการของ MEA ผ่านทางเว็บไซต์ www.mea.or.th 

X

Right Click

No right click