

LINE BK ผู้ให้บริการ Social Banking รายแรกในเมืองไทย ครบรอบ 3 ปี มียอดผู้ใช้งานกว่า 6 ล้านคน เผยได้รู้จักลูกค้าในหลากหลายแง่มุมจากพฤติกรรมการใช้งา พร้อมสรุปสถิติที่น่าสนใจ ตอกย้ำการเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อที่เข้าถึงง่ายเพื่อคนไทยทุกคน ช่วยบรรเทาปัญหาการเงินให้ลูกค้าในยามวิกฤต เดินหน้าก้าวสู่ปีที่ 4 มุ่งพัฒนาระบบ AI หลังบ้าน และพัฒนาบริการใหม่ ๆ เพื่อนำเสนอบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าให้มากขึ้นในอนาคต
![]()
ธนา โพธิกำจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กสิกร ไลน์ จำกัด ผู้ให้บริการ Social Banking รายแรกในเมืองไทย ภายใต้ชื่อ LINE BK เปิดเผยว่า นับเป็นเวลา 3 ปี ที่ LINE BK ได้ส่งมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับคนไทย และมุ่งพัฒนาบริการให้ตอบโจทย์การเงินที่สะดวกกว่าเดิม ทำให้เรื่องเงินเป็นเรื่องง่ายในแอปพลิเคชัน LINE ท่ามกลางความท้าทายจากหลากหลายปัจจัย แต่บริษัทฯ ก็สามารถเดินหน้าธุรกิจได้ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งนอกจากจำนวนผู้ใช้บริการจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ปัจจุบันมีมากกว่า 6 ล้านรายแล้ว ตลอดเส้นทางความสำเร็จ LINE BK ยังได้ทำความรู้จักลูกค้าในหลายแง่มุมจากพฤติกรรมการใช้งาน พร้อมสรุปออกมาเป็นสถิติการใช้งานที่น่าสนใจ
![]()
ด้านธุรกรรมทางการเงิน LINE BK ยังคงพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อให้การใช้งานสะดวก ปลอดภัย และสนุกมากขึ้น รองรับพฤติกรรมของคนยุคดิจิทัล รวมทั้งผนึกกำลังกับพันธมิตรชั้นนำมากมายจัดทำแคมเปญอย่างต่อเนื่องตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เช่น Shopee, Lazada foodpanda, Agoda และ iQIYI เพื่อมอบส่วนลดและโปรโมชันต่าง ๆ เพิ่มความคุ้มค่าทุกการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิต LINE BK และนอกจากนี้ ยังมีโปรโมชันร่วมกับพาร์ทเนอร์แจกเงินคืน เมื่อใช้ฟีเจอร์สแกนจ่าย QR พร้อมเพย์ด้วย LINE BK ณ ร้านที่ร่วมรายการ อาทิ จับมือกับ Tops, Watsons และเต่าบิน ทั้งนี้ พฤติกรรมการใช้งานฟีเจอร์ด้านธุรกรรมการเงินของ LINE BK พบว่า ฟีเจอร์โอนเงินผ่านแชท (In chat transfer), สแกนจ่ายด้วย QR (Scan QR) และ แชร์เงิน (Split bill) เป็น 3 ฟีเจอร์ยอดฮิต ในขณะที่ 3 ซองเงินโอกาสพิเศษที่ถูกส่งมากที่สุด นำมาด้วยอันดับ 1 บอลโลก และอันดับ 2 ลอยกระทง สุดท้ายอันดับ 3 ตรุษจีน ส่วนเป้าหมายออมเงินในบัญชีออมเงินดอกพิเศษ 3 อันดับ ได้แก่ อันดับ 1 เพื่อลูก อันดับ 2 เพื่อความมั่งคั่ง และ อันดับ 3 เพื่อท่องเที่ยว
ด้านบริการสินเชื่อ (วงเงินให้ยืมและวงเงินให้ยืมนาโน) LINE BK มุ่งเจาะลูกค้าที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อของระบบธนาคาร ช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงิน บรรเทาปัญหาความยากลำบากให้ลูกค้าในยามวิกฤติ ตอกย้ำการเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อที่เข้าถึงง่ายเพื่อคนไทยทุกคน ซึ่งในปีนี้บริษัทฯ ได้มีการออกบูธประชาสัมพันธ์บริการ ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เพื่อเก็บข้อมูลลูกค้าจากพื้นที่จริง พบว่าลูกค้าที่สนใจเข้ามาสอบถามเกี่ยวกับบริการยืมเงิน กว่า 70% จะเป็นกลุ่มพ่อค้า แม่ค้า และไรเดอร์ ชี้ให้เห็นว่า LINE BK เป็นตัวช่วยทางการเงินที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่หลากหลายอย่างแท้จริง
สำหรับภาพรวมลูกค้าสินเชื่อของ LINE BK สัดส่วนอยู่ที่ภาคกลาง 56% ตามด้วยภาคตะวันออก และภาคอีสาน โดยเป็นกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระมากกว่า 53% และได้วงเงินเฉลี่ยอยู่ที่ราว 36,000 บาท ด้านเหตุผลที่คนยืมเงิน LINE BK พบว่า บริการวงเงินให้ยืม คนส่วนใหญ่ยืมไปเพื่อใช้จ่ายส่วนตัว และเพื่อเป็นวงเงินสำรองเผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน ส่วนบริการวงเงินให้ยืมนาโน คนส่วนใหญ่จะยืมเงินไปเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนหรือกระแสเงินสดสำรองสำหรับธุรกิจ ทั้งนี้ยังได้มีการช่วยเพิ่มวงเงินให้กับลูกค้าที่มีความต้องการและชำระคืนได้ดีกว่า 80,000 ราย และเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระให้คนไทย LINE BK ยังมีการมอบดอกเบี้ยพิเศษให้ลูกค้า ในช่วงเดือน กันยายน - ตุลาคม 2566 อีกด้วย
ด้านประกัน LINE BK เดินหน้าตอบโจทย์ความต้องการด้านการเงินให้กับลูกค้าอย่างครอบคลุม เปิดตัวบริการ LINE BK Insurance Broker เพื่อเติมเต็มบริการในมิติของการป้องกันความเสี่ยง ภายใต้บริษัทกสิกร ไลน์ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ตอกย้ำการเดินตามแผนที่วางไว้อย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งโปรโมชันพิเศษจัดเต็มความคุ้มค่า เปิดโอกาสให้คนไทยเข้าถึงความคุ้มครองประกันชีวิตได้ง่าย ๆ ผ่าน LINE BK ด้วยความคุ้ม 2 ต่อ รับเงินคืน 15% ทุกกรมธรรม์ และลุ้นรับจี้ทองคำเทพนกกระเรียนเสริมมงคลหนัก 1 บาท จำนวน 15 รางวัล โปรโมชันตั้งแต่วันนี้ ถึง 15 พฤศจิกายน 2566*
ทั้งนี้ จากข้อมูลลูกค้าที่ซื้อประกันผ่าน LINE BK ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 25-44 ปี และเป็นเพศหญิงมากถึง 62% โดยแบบประกันที่ได้รับความนิยม 3 อันดับ ได้แก่ 1 ผู้ป่วยนอกเบาเบา 2 โรคร้ายเจอจ่าย และ 3 ผู้ป่วยในเหมาเหมา ทั้งนี้ยังพบว่าลูกค้ามีความสนใจซื้อประกันมากกว่า 1 กรมธรรม์ โดยจะเลือกซื้อแบบประกันที่มีความคุ้มครองคนละด้านเพื่อครอบคลุมความกังวล ซึ่งช่วยตอกย้ำให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ประกันที่ขายใน LINE BK มีความคุ้มค่าและตรงใจผู้ซื้อตามคอนเซ็ปต์ที่วางไว้ คือ ประกันโดนใจ ซื้อง่าย จ่ายเบา จบใน LINE
ธนากล่าวทิ้งท้ายว่า “การก้าวสู่ปีที่ 4 LINE BK ยังคงมีการพัฒนาระบบ AI หลังบ้านอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความเข้าใจลูกค้าและนำเข้ามาช่วยในเรื่องการอนุมัติสินเชื่อ ช่วยให้คนไทยที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ทั้งกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย และกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งจะเป็นก้าวแรกที่นำคนเหล่านี้เข้าสู่ระบบธนาคาร พร้อมทั้งเดินหน้าพัฒนาบริการใหม่ ๆ เพื่อขยายขอบเขตการนำเสนอบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าให้มากขึ้นในอนาคตและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการอย่างครอบคลุม”
สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้วงการประมูลงานศิลปะของไทยร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง หลังความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของนิทรรศการประมูลงานศิลปะ ‘Museum Mania’ ภายใต้ความร่วมมือของ The Art Auction Center (TAAC) และ RSF Art Clinic (Restaurateurs Sans Frontières Art Clinic) ผู้เชี่ยวชาญด้านการอนุรักษ์และปกป้องรักษางานศิลปกรรมที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในระดับสากลมานานกว่า 40 ปี โดยคอนเซ็ปต์ของจัดงานในครั้งนี้สื่อถึงแนวคิด “ผลงานที่ทรงคุณค่าระดับพิพิธภัณฑ์อันมีความสำคัญต่อวงการศิลปะไทยในหลากหลายช่วงเวลา” ที่เปิดโอกาสให้นักสะสมทั้งชาวไทยและต่างชาติ ได้ครอบครองงานศิลป์หายากของศิลปินระดับ Old Master และศิลปินยุคใหม่ที่มีฐานแฟนคลับทั่วทั้งเอเชีย
ในงาน Museum Mania ได้รับการจัดวางเพื่อผู้ชมสามารถสำรวจพิพิธภัณฑ์ผานแนวคิดอุดมคติของนักสะสมและคนรักงานศิลปะ ที่ผ่านการจัดแสดงผลงานที่ร้อยเรียงเรื่องราว 2 ศตวรรษของประวัติศาสตร์ศิลปะไทยสมัยใหม่ โดยแบ่งออกเป็น 5 ยุคสมัย จากรากฐานตั้งแต่ยุค “สยามศิวิไลซ์และความสัมพันธ์กับศิลปินยุโรป” ในสมัยรัชกาลที่ 5 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งศิลปะไทยได้รับการสร้างสรรค์จากความหลากหลายของโลกาภิวัฒน์ ความร่วมสมัย และยุคสมัยแห่งดิจิทัล
โดยครั้งนี้มีผลงานที่ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในแวดวงศิลปะมากกว่า 137 ชิ้น ที่เข้าร่วมการประมูลและเปิดโอกาสให้ผู้สนใจสามารถรับชมนิทรรศการที่ RCB Galleria 1 และ RCB Artery 1 ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก
‘Vitruvian Man’ ของอาจารย์ถวัลย์ ได้สร้างสถิติใหม่ด้วยยอดประมูลสูงถึง 25,531,000 ล้านบาท เรียกเสียงฮือฮาเป็นอย่างมาก
และเมื่อการประมูลร้อนแรงถึงขีดสุดกับผลงานชื่อ ‘วิทรูเวียนแมน’ (Vitruvian Man) ของถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) พ.ศ. 2544 ที่ทุบสถิติผลงานราคาสูงสุดจากการประมูลในประเทศไทยเท่าที่เคยมีมา (นอกเหนือจากงานประมูลการกุศล) ด้วยยอดประมูลถึง 25,531,000 บาท
ภาพจิตรกรรมสีน้ำมันขนาดใหญ่ที่สร้างสรรค์ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2511 ในช่วงเวลาคาบเกี่ยวที่เขาเดินทางกลับจากศึกษาต่อที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ คาดว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพ ‘Vitruvian Man’ ขณะที่ควายทั้งสามตัวหมายถึง การที่ยังคงไม่ลืมรากเหง้าของตัวเอง ภาพนี้จึงอาจหมายถึง ตัวศิลปินสำนึกถึงความ สำคัญของประเพณี วัฒนธรรม ความเป็นตัวตนคนไทย แม้ว่าจะได้เปิดโลกทัศน์และเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายจากต่างประเทศมาแล้วก็ตาม





รวม 5 ผลงานศิลปะชิ้นไฮไลต์ภายในงาน Museum Mania
การประมูลในครั้งนื้ถือเป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จครั้งใหม่ของ TAAC หลังจากที่ Museum Mania สร้างสถิติใหม่ให้กับวงการประมูลศิลปะของไทย ที่ได้รับความสนใจในกลุ่มนักสะสมงานศิลปะในหลายประเทศทั่วเอเชีย โดยการประมูลในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมประมูลทั้งภายในงานและออนไลน์หนาตา ทำให้บรรยากาศในการประมูลเป็นไปอย่างคึกคักและสนุกสนานมากขึ้น โดยผลงานศิลปะที่คว้าสถิติการประมูลสูงสุด ได้แก่
· “Triton and Nereid” (2464) ผลงานของคาร์โล ริโกลี (Carlo Rigoli) ทำสถิติสูงถึง 4,525,950 บาท
· “กินรีร่ายมนต์ขอกายสิทธิ์จากดวงดาว” (Kinnara's Incantation) ผลงานของอังคาร กัลยาณพงศ์ (2540) ทำสถิติสูงถึง 4,061,750 บาท
· “Hide1” ผลงานของนที อุตฤทธิ์ ทำสถิติสูงถึง 2,321,000 บาท
· "Face" ผลงานของ Alex Face ทำสถิติสูงถึง 2,088,900 บาท
· “ดอกบัว” ผลงานของประหยัด พงษ์ดำ ทำสถิติสูงถึง 1,508,650 บาท
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีผลงานของศิลปินอีกมากมายที่เข้าร่วมการประมูล รวมถึงผลงานของ 3 ศิลปินที่ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมประมูลไม่แพ้กัน ได้แก่ “The Last Drink” ผลงาน ของกิตติ นารอด ทำสถิติสูงถึง 696,300 บาท, “แสงธรรมนำทาง” ผลงานของทองไมย์ เทพราม ทำสถิติสูงถึง 696,300 บาท และ “รั้ง” ผลงานของวันดา ใจมา ทำสถิติสูงถึง 394,570 บาท สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับวงการประมูลศิลปะของไทยอีกด้วย
ผู้สนใจสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของ The Art Auction Center (TAAC) และอัปเดตวงการประมูลศิลปะได้ที่ https://www.facebook.com/theartauctioncenter หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ Line @theartauction และ โทร. 065-097-9909
มูลนิธิทุนการศึกษาเอไอเอสแอล ฮาร์โรว์ ขอเชิญนักเรียนที่มีพรสวรรค์ทางวิชาการจากทั่วโลก สมัครชิงทุนประจำปีการศึกษา 2567-2569 เพื่อเข้าศึกษาหลักสูตรเอ - เลเวล ณ โรงเรียนในเครือเอไอเอสแอล ฮาร์โรว์
มูลนิธิทุนการศึกษาเอไอเอสแอล ฮาร์โรว์ (AISL Harrow Scholarships Foundation) เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าทางการศึกษา เปิดรับสมัครนักเรียนทุนในโครงการทุนการศึกษาเอไอเอสแอล ฮาร์โรว์ (AISL Harrow Scholarships Programme) ประจำปีการศึกษา 2567-2569 ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม ถึง 8 ธันวาคม 2566 โดยนับเป็นปีที่ 4 แล้วที่มีการมอบโอกาสครั้งสำคัญให้แก่นักเรียนที่มีคุณสมบัติโดดเด่นจากทั่วโลกได้ศึกษาในหลักสูตรเอ-เลเวล (A-Level) ณ โรงเรียนในเครือเอไอเอสแอล ฮาร์โรว์ เพื่อปูทางสู่การศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยต่อไป
มอบการศึกษาเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในชุมชน
มูลนิธิทุนการศึกษาเอไอเอสแอล ฮาร์โรว์ เป็นองค์ประกอบสำคัญภายใต้กลยุทธ์ความรับผิดชอบต่อสังคมที่ครอบคลุมของเอไอเอสแอล โดยจัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเยาวชนที่มีความสามารถและมีศักยภาพในการสร้างอนาคตที่ดีขึ้นให้แก่โลกของเรา ทางมูลนิธิมุ่งมั่นที่จะขยายและสร้างความหลากหลายให้กับชุมชนฮาร์โรว์ ด้วยการดึงดูดนักเรียนที่มีพรสวรรค์ทางวิชาการจากทั่วโลกที่แสดงให้เห็นถึงค่านิยมหลักของฮาร์โรว์ และเปิดโอกาสให้เข้าศึกษาในโรงเรียนในเครือเอไอเอสแอล
ผู้สมัครที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับทุนการศึกษาเต็มจำนวน รวมทั้งได้รับการยกเว้นค่าหอพักและค่าธรรมเนียมการสอบ ซึ่งช่วยให้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาแบบฉบับฮาร์โรว์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักจาก "ความเป็นเลิศทางการศึกษาเพื่อคุณภาพชีวิตและความเป็นผู้นำ" (Educational Excellence for Life and Leadership) สำหรับทุนการศึกษานี้จัดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2564 โดยมอบให้แก่นักเรียน 16 คนที่ผ่านการคัดเลือกจากผู้สมัครมากกว่า 1,300 คน และยังคงเดินหน้าบ่มเพาะและฟูมฟักนักเรียนมากความสามารถและมีวิสัยทัศน์กว้างไกลเพื่ออนาคตที่ดีกว่าต่อไป
ความสำเร็จอันโดดเด่นของนักเรียนทุนกลุ่มแรก
นักเรียนทุนกลุ่มแรกจำนวน 5 คนจบการศึกษาในซัมเมอร์นี้ด้วยเกรด A* และ A รวม 18 ตัวในการสอบเอ-เลเวล ต่างได้รับข้อเสนอจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ฯลฯ
" การเป็นนักเรียนทุนเอไอเอสแอล ฮาร์โรว์ ทำให้ผมมีความรับผิดชอบในการรักษามาตรฐานส่วนตัวและมาตรฐานทางวิชาการอยู่เสมอ รวมถึงมีความใส่ใจช่วยเหลือชุมชนอีกด้วย " - แมททิว ซี. (Matthew C.) จากโรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์ ฮ่องกง ได้ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
" ฉันใฝ่ฝันว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียมาตลอด และทุนการศึกษาเอไอเอสแอล ฮาร์โรว์ ก็ช่วยสานฝันของฉันให้กลายเป็นจริง "
- ทิฟฟานี ซี. (Tiffany C.) จากโรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์ ฮ่องกง ได้ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย
" โรงเรียนนี้ช่วยให้ฉันมีความมั่นใจมากขึ้น ทำให้ฉันกล้าเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ และออกจากคอมฟอร์ตโซน " - อี้ซำ วาย. (Yi Sum Y.) จากโรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์ เซี่ยงไฮ้ ได้ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
ดร.โรซานนา หว่อง (Rosanna Wong) ประธานเอไอเอสแอล กล่าวว่า "นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้เห็นการเติบโตอันน่าทึ่งของนักเรียนกลุ่มแรกในช่วงสองปีที่ได้ศึกษาในเครือโรงเรียนเอไอเอสแอล ฮาร์โรว์ ความสำเร็จที่ไม่มีใครเทียบได้นี้เป็นข้อพิสูจน์ถึงความสำเร็จของโครงการในการสนับสนุนนักเรียนให้มีความก้าวหน้าทางการศึกษา และสามารถเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำได้"
โรงเรียน 10 แห่งทั่วเอเชียพร้อมมอบทุนการศึกษารวม 20 ทุน
โรงเรียน 10 แห่งในเครือเอไอเอสแอล ฮาร์โรว์ ได้เข้าร่วมในโครงการมอบทุนการศึกษาประจำปีการศึกษา 2567-2569 ประกอบด้วยโรงเรียนเอไอเอสแอล ฮาร์โรว์ กรุงเทพฯ, ปักกิ่ง, ฮ่องกง, เซี่ยงไฮ้, เขตเฉียนไห่ในเซินเจิ้น และไหโข่ว รวมถึงโรงเรียนอีก 4 แห่งที่เข้าร่วมเป็นปีแรก ได้แก่ อัปปิ (Appi) ในญี่ปุ่น, เหิงฉิน, ฉงชิ่ง และหนานหนิง โดยโรงเรียนแต่ละแห่งจะมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนไม่เกินสองคน รวมทุนการศึกษาทั้งหมด 20 ทุนสำหรับปีนี้
ทางมูลนิธิพร้อมเปิดรับเยาวชนที่มีความโดดเด่น แสดงออกถึงความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงในการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง และพร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ ดร.โรซานนา หว่อง กล่าวเสริมว่า "แม้ว่าผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมยังคงเป็นข้อกำหนดพื้นฐานในการสมัคร แต่เราก็ให้ความสำคัญกับศักยภาพความเป็นผู้นำ ความสนใจในการทำกิจกรรมนอกห้องเรียน และความมุ่งมั่นในการทำประโยชน์ต่อสังคม เรามองหาค่านิยมหลักของฮาร์โรว์ในตัวผู้สมัคร นั่นคือ ความกล้าหาญ เกียรติยศ ความอ่อนน้อมถ่อมตน และมิตรภาพ ในรูปแบบที่โดดเด่นที่สุด"
ระยะเวลาการสมัคร
ผู้สมัครสามารถส่งแบบฟอร์มแสดงความจำนงได้ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม ถึง 8 ธันวาคม 2566 ผู้สมัครที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับเชิญให้เข้าร่วมการทดสอบประเมินระดับเอ-เลเวล ระหว่างวันที่ 8 ถึง 30 มกราคม 2567 จากนั้นจะมีการสัมภาษณ์ออนไลน์โดยคณาจารย์จากเอไอเอสแอลระหว่างวันที่ 5 ถึง 29 กุมภาพันธ์ 2567 และจะมีการประกาศผลในวันที่ 8 เมษายน 2567
สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและดาวน์โหลดใบสมัครออนไลน์ได้ทางเว็บไซต์ aislharrow.com/apply-for-aisl-harrow-scholarships-2024/ นอกจากนี้ ผู้ที่สนใจยังสามารถติดตามเอไอเอสแอล ฮาร์โรว์ ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียเพื่อรับข้อมูลข่าวสารล่าสุด
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ประกาศเปิดโรงงานแบตเตอรี่อีวีแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียนบนพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ด้วยกำลังการผลิตกว่า 50,000 ก้อนต่อปี พร้อมเข้าสู่บทบาทการเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย และปักหมุดให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอีวีแห่งภูมิภาคอาเซียน
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด ได้เปิดโรงงานแบตเตอรี่อีวีแห่งใหม่ ภายใต้ชื่อ HASCO-CP BATTERY SHOP ในภูมิภาคอาเซียนบนพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 75 ไร่ หลังทำพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยแบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ ส่วนการประกอบแบตเตอรี่ ประกอบด้วยสายการผลิตอัตโนมัติที่ทันสมัยอย่างการนำหุ่นยนต์ (Robotic) เข้ามาช่วยในการผลิตเพื่อให้ได้มาตรฐานที่แม่นยำ การเชื่อมโดยเลเซอร์ (Laser Welding) เพื่อให้ได้คุณภาพของการเชื่อมที่ดี การตรวจสอบด้วย CCD (Charge Coupled Device) เพื่อความแม่นยำในการตรวจสอบเทียบกับต้นแบบในทุกขั้นตอนก่อนนำไปใส่ในตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% และส่วนการทดสอบมาตรฐานของแบตเตอรี่ กว่า 60 ขั้นตอน อาทิ การตรวจสอบค่าการเก็บการคายประจุ (Charge & Discharge) การตรวจสอบน้ำรั่วซึมเข้าสู่แบตเตอรี่ (Air Leak test) ทดสอบความเป็นฉนวน (Insulation Test) ทดสอบการควบคุมพลังงาน (Static Test) เป็นต้น โดยในสายการผลิตแห่งนี้สามารถประกอบแบตเตอรี่ Cell-To-Pack ได้สูงสุดมากกว่า 50,000 ก้อนต่อปี ซึ่งแบตเตอรี่ที่ประกอบในประเทศไทยจะเป็นมาตรฐานเดียวกับสายการผลิตระดับโลก สำหรับแบตเตอรี่ที่ออกจากสายการผลิตนี้จะถูกนำไปติดตั้งในรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น MG4 ELECTRIC เป็นรุ่นแรก รวมถึงรถไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ ในอนาคต ซึ่งอยู่ในระหว่างการเตรียมความพร้อมของสายการผลิตเพื่อเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2567”

นายจ้าว เฟิง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด เปิดเผยว่า “โรงงานแบตเตอรี่อีวี เป็นหนึ่งในแผนการพัฒนาพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ซึ่งตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 2 (WHA ESIE 2) จังหวัดชลบุรี เพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ เพิ่มงบลงทุนอีกกว่า 500 ล้านบาท โดยจะใช้เป็นโรงงานประกอบแบตเตอรี่อีวีในรูปแบบ Cell-To-Pack (CTP) ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่อย่าง RUBIK's CUBE BATTERY ด้วยข้อได้เปรียบในเรื่องของศักยภาพและโอกาสในการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย รวมถึงการที่บริษัทแม่อย่าง SAIC MOTOR CORPORATION และ HASCO-CP เล็งเห็นถึงความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียน

“โดยนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 ที่ เอ็มจี ได้บุกเบิกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย สู่ปัจจุบันที่รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็น ที่นิยม และมีการเติบโตในตลาดแบบก้าวกระโดด ตอกย้ำความเชื่อมั่น ด้วยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าสะสมรวมกว่า 18,000 คัน ด้วยผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าที่หลากหลายตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ คือการให้ความสำคัญกับการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Ecosystem ที่มีความแข็งแกร่งและครอบคลุมในทุกมิติของการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในระยะยาว โดยเฉพาะการลงทุนสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จไฟแบบเร็ว หรือ MG SUPER CHARGE รองรับการเดินทางที่สะดวกสบาย ทั่วประเทศ ล่าสุด เอ็มจี เดินหน้าแผนงานอีวี มุ่งยกระดับอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญของระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าด้วยการเปิดตัวโรงงานประกอบแบตเตอรี่อีวี และถือเป็นเครื่องสะท้อนความตั้งใจของ เอ็มจี หลังจากนี้ยังคงเดินหน้าพัฒนาพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ในแผนงานระยะถัดไป เพื่อเติมเต็มระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าให้สมบูรณ์ตั้งแต่ต้นน้ำ สู่ปลายน้ำ โดยมีกรอบระยะเวลาแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2567”
“ORN” เข้าเทรด SET วันแรก ทิศทางครึ่งปีหลัง 66 ผลงานดี ตุน Backlog 616.30 ล้านบาท คาดทยอยรับรู้รายได้ Q4/66-68 เตรียมเปิดโครงการแนวราบ อาคารพาณิชย์ มูลค่าโครงการรวม 674.98 ล้านบาท ใน Q4/66 พร้อมต่อยอดธุรกิจในภาคเหนือและภูมิภาคอื่น นำร่องจังหวัดภูเก็ต สร้างรายได้ประจำ ดันรายได้โตสม่ำเสมอไม่ต่ำกว่า 20% APM ที่ปรึกษาทางการเงินเผย การเติบโตมีนัยสำคัญหลังระดมทุน ฐานะการเงินแข็งแกร่ง กระแสเงินสดดี ความสามารถทำกำไรสูง กำไรสะสมกว่า 600 ล้านบาท PST เผยบริษัทมีโอกาสขยายตัวในอนาคต สร้างโอกาสที่ดีให้นักลงทุน
นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยผลักดันและสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายหลังระดมทุนส่งผลให้บริษัท มีความพร้อมในด้านกระแสเงินสด สำหรับต่อยอดการเติบโตทางธุรกิจ พร้อมขยายธุรกิจในภาคเหนือและภูมิภาคอื่น เพื่อสร้างรายได้จากโครงการอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรูปแบบ และผลประกอบการที่โดดเด่น
ล่าสุดบริษัทลงนามความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ บมจ. ดุสิตธานี (DUSIT) เพื่อร่วมพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม Low Rise และโรงแรมในจังหวัดภูเก็ตต่อยอดการเติบโต อีกทั้งอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรทางธุรกิจในภูมิภาคอื่นๆ ทั่วประเทศเข้ามาเพิ่มเติม
สำหรับทิศทางธุรกิจช่วงครึ่งปีหลัง 66 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่า ประมาณ 616.30 ล้านบาท จากโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย ซึ่งคาดว่าจะสามารถทยอยรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงไตรมาส 4/66 - 68 และเตรียมเปิดตัวโครงการแนวราบจำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 674.98 ล้านบาท ได้แก่ โครงการทาวน์โฮม อรสิริน วิลล์ โชตนา และ โครงการบ้านเดี่ยว อรสิรินวิลล์ ท่ารั้ว
นอกจากนี้ปี 67 บริษัทเตรียมเปิดโครงการแนวราบและอาคารพาณิชย์ จำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,700 ล้านบาท คาดจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ได้ในช่วงกลางปี 2567-2568 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ดินเดิมของ ORN บนทำเลศักยภาพ ติดถนนเส้นหลัก ที่มีต้นทุนต่ำซึ่งจะช่วยให้บริษัทรักษาอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับที่สูง อีกทั้ง คาดว่าโครงการแนวราบ-แนวสูงต่างๆ ของบริษัท ที่อยู่ระหว่างการขายทุกโครงการจะได้รับการตอบรับที่ดี ผลักดันรายได้เติบโตสม่ำเสมอไม่ต่ำกว่า 20% ต่อปีตามเป้าหมายที่วางไว้
![]()
นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า APM มีความยินดีที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของ บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (ORN) โดยการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET จะเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้บริษัทสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างโดดเด่น จากความพร้อมทั้งในด้านเงินทุน และความเชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
“ภายหลังการระดมทุน ORN จากที่ฐานะการเงินแข็งแกร่งอยู่แล้ว จะแข็งแกร่งขึ้นอีก โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) คาดจะอยู่ที่ 0.7 เท่า อีกทั้งเงินระดมทุนที่บริษัทได้รับ จะเพิ่มโอกาสการลงทุนในโครงการใหม่ทั้งในภาคเหนือ ภูมิภาคอื่นๆ ทำการตลาดกับกลุ่มลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถรักษาอัตรากำไรให้อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทและบริษัทย่อยยังมีกำไรสะสม ณ ครึ่งแรกปีนี้อีกกว่า 600 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ” นายสมศักดิ์ กล่าว
นายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ PST ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายร่วมของ ORN เปิดเผยว่า เชื่อว่า ORN จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในการซื้อขายวันแรกและช่วงต่อจากนี้ โดยการเสนอขายหุ้นไอพีโอ ORN ในวันที่ 18-20 ต.ค. ที่ผ่านมา มีจำนวนผู้จองซื้อหุ้นหลากหลายกลุ่มทั้งนักลงทุน สถาบัน รายย่อย ตลอดจนคู่ค้า พันธมิตรของบริษัท ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ ORN
ทั้งนี้เป็นผลจากการกำหนดราคาเสนอขายที่เหมาะสม สอดคล้องกับภาวะการลงทุนในปัจจุบัน และปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจที่เข้มแข็ง ประกอบกับความสามารถในการบริหารจัดการควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รักษาอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับที่ดีมาโดยตลอด รวมถึงความพร้อมด้านกระแสเงินสดของบริษัทและกำไรสะสมที่อยู่ในระดับที่ดี
“มั่นใจว่า ORN จะเป็นหุ้นน้องใหม่ที่ สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน ทั้งในแง่ของการเติบโตและการปันผลให้กับผู้ถือหุ้น จากความเชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และแผนการขยายงานในช่วงต่อจากนี้ จะทำให้ ORN สามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่นยิ่งขึ้น” นายวิชา กล่าว
กลุ่มธนาคารยูโอบีประกาศผลกำไรสุทธิไตรมาสสามปี 2566 ที่ 1.5 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปีก่อน
ผลประกอบการที่ยืดหยุ่นนี้ได้รับแรงขับเคลื่อนจากรายได้ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งจากรายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิและดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มสูงขึ้น
ผลประกอบการของกลุ่มธนาคารยูโอบีในไตรมาสสามปี 2566 ได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตที่กระจายตัวทั้งในธุรกิจ ขนาดใหญ่และลูกค้ารายย่อย รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 591 ล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ เนื่องจากค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต ค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการความมั่งคั่ง รวมถึงค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับสินเชื่อที่ปรับตัวสูงขึ้น ค่าธรรมเนียมบัตรเดรดิตเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 104 ล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ จากการที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังคงปรับตัวอย่างต่อเนื่อง
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิขยายตัว 14 จุด ส่งผลให้รายได้จากดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับปีก่อน รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่รายได้จากการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวกับลูกค้าที่เพิ่มขึ้นถูกปรับลดลงจากตีราคาเงินลงทุนที่ปรับตัวลดลงจากความผันผวนของตลาด
หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิลดลงเนื่องจากธนาคารแปลงสภาพคล่องส่วนเกินเป็นสินทรัพย์คุณภาพสูงแต่ได้รับผลตอบแทนที่ต่ำลง รายได้จากการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวกับลูกค้าปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกันไตรมาสก่อน
ต้นทุนความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อในไตรมาสสามปี 2566 ปรับตัวดีขึ้น 11 จุด เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน อยู่ที่ 19 จุด อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) คงที่ที่ร้อยละ 1.6 งบดุลของกลุ่มธนาคารยูโอบียังคงแข็งแกร่ง มีสภาพคล่องดี และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่หนึ่งที่เป็นส่วนของเจ้าของที่ร้อยละ 13.0
1 ไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียวที่เกี่ยวเนื่องกับการซื้อธุรกิจลูกค้ารายย่อยจากซิตี้กรุ๊ปในมาเลเซีย ไทย และเวียดนาม
ผลประกอบการที่แข็งแกร่งซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากพอร์ตโฟลิโอที่ยืดหยุ่น
“เศรษฐกิจโลกยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ในระยะนี้ก็ยิ่งเพิ่มความผันผวนให้ตลาด ยูโอบีมีพอร์ตโฟลิโอที่ยืดหยุ่น จึงช่วยให้เราข้ามผ่านวัฏจักรต่างๆ ของตลาดได้ ธุรกิจหลักของเรามีผลประกอบการที่ดี เนื่องจากรายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิเพิ่มสูงขึ้น และค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตที่สูงเป็นประวัติการณ์
การรวมกิจการลูกค้ารายย่อยจากซิตี้กรุ๊ปยังคงดำเนินไปตามแผน การรวมกิจการในอินโดนีเซีย ไทย และเวียดนามเดินหน้าตามแผนที่กำหนดไว้ หลังจากที่เราประสบความสำเร็จในการถ่ายโอนลูกค้าของซิตี้กรุ๊ปทั้งหมดในมาเลเซียสู่แพลตฟอร์มของธนาคาร
สภาพแวดล้อมในระดับเศรษฐกิจมหภาคยังคงไม่ราบรื่น เต็มไปด้วยอุปสรรค อย่างไรก็ตาม เราคาดหวังว่าภูมิภาคอาเซียนจะยังคงสามารถฟิ้นตัวได้ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังคงแข็งแกร่งและการไหลเวียนของเงินลงทุนสู่ภูมิภาคนี้ที่เพิ่มขึ้นจะช่วยกระตุ้นการเติบโตได้
ในส่วนของยูโอบี งบดุลของธนาคารที่ยังคงแข็งแกร่งซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยขับเคลื่อนรายได้ที่กระจายตัวจะช่วยให้อนาคตของเราราบรื่น และเราพร้อมสนับสนุนลูกค้าทุกคนในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้”
9 เดือนแรกปี 2566 เปรียบเทียบกับ 9 เดือนแรกปี 2565
กำไรหลักสุทธิโตขึ้นร้อยละ 33 อยู่ที่ 4.6 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์จากปีก่อน เนื่องจากรายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิและรายได้จากการค้าและการลงทุนที่แข็งแกร่ง หากนับรวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวในการควบรวมกิจการซิตี้กรุ๊ป กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 4.3 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์
รายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิดีดตัวสูงขึ้นร้อยละ 26 จากปีก่อน อยู่ที่ 7.3 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่แข็งแกร่ง ซึ่งขยายตัว 38 จุด อยู่ที่ร้อยละ 2.12 จากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิอยู่ที่ 1.7 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 64 ทำสถิติใหม่ที่ 257 ล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ จากการที่แฟรนไชส์ลูกค้าระดับภูมิภาคขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่ปรับลดลงจากการที่นักลงทุนยังคงระมัดระวัง ส่งผลให้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับสินเชื่อและการบริหารจัดการความมั่งคั่งลดลง
รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเท่าตัวอยู่ที่ 1.6 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ เนื่องจากรายได้จากการบริหารตลาดเงินที่สูงเป็นประวัติการณ์และผลประกอบการดีจากกิจกรรมการค้าและการบริหารจัดการสภาพคล่อง ค่าใช้จ่ายหลักรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 อยู่ที่ 4.3 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ เพื่อใช้สนับสนุนโครงการริเริ่มเชิงยุทธศาสตร์ แต่เนื่องจากรายได้เติบโตขึ้นสูงกว่า จึงส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ 2.7 จุด อยู่ที่ร้อยละ 40.9 เงินกันสำรองรวมปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากเงินกันสำรองแบบเฉพาะรายเพิ่มสูงขึ้นจากบัญชีลูกค้าบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่ที่ไม่เป็นระบบบางราย รวมถึงมีการกันเงินสำรองทั่วไปเชิงรุก
ไตรมาส 3 ปี 2566 เปรียบเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2566
ผลกำไรหลักสุทธิในไตรมาสสามปี 2566 ปรับลดลงร้อยละ 2 อยู่ที่ 1.5 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ หากนับรวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวในการควบรวมกิจการซิตี้กรุ๊ป กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 1.4 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์
รายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิคงที่ที่ 2.4 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิปรับลดลงเล็กน้อยร้อยละ 2.09 เนื่องจากธนาคารแปลงสภาพคล่องส่วนเกินเป็นสินทรัพย์คุณภาพสูงแต่ได้รับผลตอบแทนต่ำลง ในขณะที่ส่วนต่างอัตราเงินให้สินเชื่อและเงินฝากเพิ่มสูงขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 2.64 รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิสำหรับไตรมาสนี้เกือบทำสถิติสูงสุดใหม่ ขับเคลื่อนโดยค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับสินเชื่อที่แข็งแกร่งและค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตที่สูงเป็นประวัติการณ์ รายได้จากการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวกับลูกค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 ส่งผลให้เกิดโมเมนตัมที่ดี ผลประกอบการนี้ถูกปรับลดลงจากตีราคามูลค่าการลงทุนที่ปรับตัวลดลงจากความผันผวนของตลาด
อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้หลักของไตรมาสสามปี 2566 คงที่ที่ร้อยละ 41.0 เงินกันสำรองสำหรับสินเชื่อรวมปรับตัวลดลง 19 จุดสำหรับไตรมาสนี้ จากการลดยอดเงินกันสำรองทั่วไปเชิงรุกเพื่อชดเชยเงินกันสำรองแบบเฉพาะรายที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
ไตรมาส 3 ปี 2566 เปรียบเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2565
รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้น 14 จุด รายได้จากค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 ส่วนใหญ่เนื่องมาจากค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับสินเชื่อ บัตรเครดิต และการบริหารจัดการความมั่งคั่ง การเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่งและการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีวินัยส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้หลักปรับตัวดีขึ้นจากร้อยละ 42.6 เป็นร้อยละ 41.0 เงินกันสำรองรวมสำหรับสินเชื่อเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 19 จุด เนื่องจากเงินกันสำรองแบบเฉพาะรายที่เพิ่มสูงขึ้น และบางส่วนถูกชดเชยด้วยลดลงของเงินกันสำรองทั่วไป
มูลนิธิรามาธิบดี ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เปิดตัวโครงการทุนสถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มุ่งมั่นสนับสนุนการศึกษาแก่คนพิการเพื่อผลิตบัณฑิตกลุ่มวิชาชีพครู หวังยกระดับคุณภาพชีวิตคนพิการในสังคมไทยให้มีความเป็นอยู่ที่ดี สร้างอาชีพ และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน พร้อมร่วมกับ บริษัท ซีเนริโอ จำกัด ชวนผู้ใจบุญ ชมละครเวทีรอบการกุศล “แฟนฉัน เดอะมิวสิคัล” ในวันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 จัดแสดง ณ เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์ รายได้ร่วมสมทบทุนเข้าโครงการทุนสถาบันราชสุดา
สถาบันราชสุดา หรือเดิมทีมีชื่อว่า วิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ถือเป็นสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำแห่งแรกในประเทศไทย เป็นสถาบันที่ให้การสนับสนุนทางด้านการศึกษา การวิจัย การบริการวิชาการ และศูนย์กลางเครือข่าย เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในประชาคมอาเซียน โดยเปิดทำการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 นับเป็นเวลากว่า 32 ปีแล้วที่สถาบันแห่งนี้ให้การศึกษาและยกระดับคุณภาพชีวิตคนพิการไทยกว่าหลายพันคน และในปี พ.ศ. 2566 นี้ วิทยาลัยราชสุดาและคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีได้ทำการควบรวมกัน เพื่อร่วมกันทำภารกิจส่งเสริมการศึกษาและสร้างพื้นที่สำหรับคนพิการให้เกิดสังคมแห่งการให้ที่ไม่ทอดทิ้งกัน
![]()
ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า “เหตุผลสำคัญของการควบรวมวิทยาลัยราชสุดาและคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นโครงการสถาบันราชสุดาแห่งนี้ เพื่อร่วมกันทำภารกิจสำหรับคนพิการให้เกิดสังคมแห่งการให้ที่ไม่ทอดทิ้งกัน สนับสนุนให้เป็นสถาบันต้นแบบในการผลิตและพัฒนาบุคลากรกลุ่มวิชาชีพครูที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการสอนคนพิการที่มีคุณภาพให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในสังคมไทย และ หวังกระจายครูสอนคนพิการไปยังสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อถ่ายทอดความรู้ ส่งเสริมศักยภาพให้คนพิการมีอาชีพที่มั่นคง พึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน สืบเนื่องจากการควบรวมกันนี้ มูลนิธิรามาธิบดีฯ จึงได้มีโอกาสเป็นสะพานบุญแห่งการให้เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายจำเป็นต่าง ๆ ของสถาบันราชสุดา เพื่อให้สถาบันนำไปสานต่อภารกิจต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป”
สถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดสอนทั้งหมด 6 หลักสูตร แบ่งเป็น
ระดับปริญญาตรี เปิดสำหรับนักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน และนักศึกษาที่มีการได้ยิน
1. หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาหูหนวกศึกษา วิชาเอกการออกแบบเชิงพาณิชย์
2. หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาหูหนวกศึกษา วิชาเอกล่ามภาษามือไทย
3. หลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาของคนหูหนวก
ระดับปริญญาโท และเอก เปิดสำหรับนักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการเห็น นักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการเคลื่อนไหว นักศึกษาทั่วไป
4. หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
5. หลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความต้องการพิเศษ
6. หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
![]()
ด้าน อ.นพ.สมเกียรติ ลีละศิธร ผู้อำนวยการ สถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เผยว่า “กลุ่มนักศึกษาหลักของสถาบันราชสุดาคือกลุ่มคนพิการทางการได้ยิน รวมถึงคนทั่วไปที่สนใจเข้ามาเรียนร่วมในหลักสูตร ศิลปศาสตร์และศึกษาศาสตร์ ที่เมื่อจบไปแล้วสามารถเป็นครูสอนคนพิการ หรือประกอบอาชีพอื่น ๆ ได้ตามศักยภาพ
นับตั้งแต่เปิดสถาบันราชสุดาแห่งนี้ได้ผลิตบัณฑิตไปแล้วกว่า 692 ราย ปัจจุบันมีจำนวนนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 และ 3 ทั้งสิ้น 153 ราย แบ่งเป็น นักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน จำนวน 84 ราย นักศึกษาที่มีการได้ยิน 69 ราย และคาดว่าจะมีผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในปี 2567 จำนวน 54 ราย
ในส่วนของระดับบัณฑิตศึกษา แบ่งเป็นระดับปริญญาโท 49 คน คาดว่าจะเสร็จการศึกษาปี 2566 จำนวน 7 ราย และระดับปริญญาเอก 24 ราย จะสำเร็จการศึกษาปี 2566 จำนวน 8 ราย โดยระดับนี้มีนักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการเห็น นักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการเคลื่อนไหว รวมถึงนักศึกษาทั่วไป
ปัจจุบันมีคนพิการจำนวนมากที่หลุดออกจากระบบการศึกษา ซึ่งสาเหตุเหล่านั้นมีทั้งความไม่พร้อมของสถานศึกษาในการรองรับคนพิการ, สภาพแวดล้อมในครอบครัว, ปัจจัยด้านการเดินทาง รวมถึงสถานะทางการเงิน ปัญหาเหล่านี้จึงยิ่งก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำสูงขึ้นในสังคมไทย การมีอยู่ของสถาบันราชสุดาจึงถือเป็นเรื่องสำคัญในฐานะสถาบันการศึกษาที่จะช่วยสร้างโอกาสให้คนพิการได้เข้าถึงการศึกษา ผ่านการผลิตบัณฑิต และบัณฑิตเหล่านั้นไปส่งต่อความรู้ให้แก่คนพิการทางการได้ยินต่อไป”
![]()
นางสาวพรรณสิรี คุณากรไพบูลย์ศิริ ผู้จัดการมูลนิธิรามาธิบดีฯ กล่าวเสริมว่า “การระดมทุนในครั้งนี้ นับเป็นการให้ที่จะช่วยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมอย่างแน่นอน เพราะการศึกษานั้นเป็นรากฐานสำคัญของทุกคน ไม่แบ่งแยกด้วยสภาพร่างกาย เพศ อายุ ดังนั้น มูลนิธิรามาธิบดีฯ จึงมีความภูมิใจและดีใจเป็นอย่างยิ่งที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทอด พันธกิจของสถาบันราชสุดาไปยังสังคมวงกว้าง และเป็นสะพานแห่งการให้ที่รับน้ำใจของผู้ที่อยากช่วยให้คนพิการได้มีโอกาสทางการศึกษา อันจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนพิการต่อไปในอนาคต และสร้างสรรค์สังคมที่พวกเราทุกคนสามารถได้ใช้ศักยภาพและความสามารถของตนเองได้อย่างเต็มที่”
![]()
“ในการเปิดตัว โครงการทุนสถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ครั้งนี้ มูลนิธิรามาธิบดีฯ ได้ร่วมมือกับบริษัท ซีเนริโอ จำกัด ซึ่งเล็งเห็นความสำคัญของการ “ให้” โอกาสทางการศึกษาแก่คนพิการในสังคมไทยจัดรอบการแสดงละครเวทีการกุศล “แฟนฉัน เดอะมิวสิคัล” ขึ้นในวันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2566 เวลา 19:30 น. โดยรายได้จากการจำหน่ายบัตรของรอบนี้จะถูกสมทบทุนให้แก่โครงการทุนสถาบันราชสุดา เพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนพิการต่อไป อีกทั้งยังได้เชิญชวนตัวแทนนักศึกษาของสถาบันราชสุดามาร่วมชมการแสดงในรอบนี้อีกด้วย” นางสาวพรรณสิรี กล่าว ทิ้งท้าย
![]()
โครงการทุนสถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี นับเป็นภารกิจครั้งใหม่ของมูลนิธิรามาธิบดีฯ เพื่อช่วยสร้างพื้นที่แห่งโอกาสทางการศึกษาให้คนพิการ รวมถึงพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมด้านคนพิการ และการให้บริการฟื้นฟูสมรรถภาพและพัฒนาศักยภาพของคนพิการนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของคนพิการในประเทศไทย เพราะการมอบการศึกษาคือหนทางที่จะช่วยสร้างสังคมที่ทุกคนมีคุณค่า ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเท่าเทียมกันในสังคม และเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ในโอกาสนี้จึงขอเชิญชวนประชาชนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเงินสมทบทุนให้กับโครงการทุนสถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ที่ มูลนิธิรามาธิบดีฯwww.ramafoundation.or.th
โดย แซม เบิร์ด
![]()
3 ปีที่ผ่านมา เดลล์ได้พูดถึงยุคแห่งการฟื้นฟูและการกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งของพีซี (Renaissance of the PC) ในขณะที่พีซี ยังคงเป็นผู้ช่วยที่ดีในการเชื่อมต่อและประสานการทำงานร่วมกันอย่างที่เคยเป็นมา ช่วงปี 2020 ณ จุดสูงสุดของการเรียนรู้ผ่านระบบเสมือน และการทำงานงานจากที่บ้าน เราได้เห็นบทบาทสำคัญของพีซีในทุกแง่มุมของการใช้ชีวิต และนี่คือช่วงเวลาที่เราได้ก่อร่างสร้างวิสัยทัศน์สำหรับอนาคต มีการกำหนดว่าที่ผ่านมามีการลงทุนไปในทิศทางใด พร้อมคาดการณ์ว่าประสบการณ์การใช้พีซีของผู้คนจะพัฒนาต่อไปในรูปแบบใด
ปัจจุบัน ช่วงเวลาสำคัญอีกอย่างกำลังมารออยู่แล้วที่ปลายนิ้วสัมผัส นี่คือช่วงเวลาของ GenAI คือความก้าวหน้าที่เราจะได้รับจาก GenAI ที่เทียบได้กับความก้าวหน้าในช่วงที่มีการเปิดตัวพีซีเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ที่นำพาประสิทธิภาพอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนสู่โลกนี้ แต่สิ่งนี้มีความหมายอย่างไรต่ออนาคตของพีซี แล้ว GenAI จะเข้ามากำหนดรูปแบบประสบการณ์การทำงานระหว่างพีซีและมนุษย์หรือไม่อย่างไร
อย่างแรก จงมองที่ปัจจุบัน
เพื่อให้เข้าใจถึงโอกาสในอนาคตของ AI ให้ลองพิจารณาว่าเราได้ผ่านอะไรมาบ้างในอดีตและเรากำลังอยู่ในจุดไหนของปัจจุบัน สิ่งที่น่าจะเป็นก็คือโอกาสสูงที่คุณอาจจะได้ใช้งานปัญญาประดิษฐ์ในรูปแบบหนึ่งในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว (อย่าลืมว่าปัญญาประดิษฐ์ และแมชชีน เลิร์นนิ่งเกิดแล้วมาสักพัก) เราได้เห็นโอกาสที่พีซีช่วยขับเคลื่อนประสิทธิภาพให้กับผู้คน และทำให้คนเหล่านี้กลายเป็นผู้ใช้งาน AI ในยุคแรกๆ ทำให้พีซีมีความฉลาดมากขึ้น เรียนรู้สิ่งต่างๆ และรู้จักผู้ใช้งานมากขึ้น
โอกาสของ GenAI ในระยะเวลาอันใกล้
GenAI จะมีอิทธิพลต่อการทำงานและการใช้ชีวิตของผู้คน ในขณะที่ยังมีสิ่งอีกมากมายที่ต้องใช้จินตนาการ พีซีที่ใช้ความสามารถของ AI กำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งในการถกประเด็นมากขึ้น เราเห็นว่า GenAI จะช่วยปลดล็อกศักยภาพไปสู่ระดับใหม่ๆ ได้อย่างไรบ้างกับการเปิดตัว Microsoft Copilot ในช่วงที่ผ่านมาก เราได้สังเกตการณ์การสาธิตการใช้งานหลายต่อหลายครั้ง ที่แสดงให้เห็นว่าพีซีจะทำการเก็บรวบรวมและสร้างข้อมูลได้รวดเร็วมากขึ้นกว่าที่ผ่านมามาก โดยใช้แนวคิดเป็นศูนย์กลาง และช่วยให้ผู้คนใช้เวลากับการสร้างสรรค์ แก้ปัญหาและสร้างนวัตกรรม
เดลล์กำลังทำงานอย่างใกล้ชิดกับไมโครซอฟท์ ในช่วงที่มีการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ของ Copilot (และผู้ใช้ Windows 11 เริ่มเข้าใจถึงประโยชน์ต่างๆ แล้วในตอนนี้) แต่เราจะไม่หยุดแค่นี้ เพราะเดลล์มุ่งเน้นการเป็นผู้ให้บริการพีซีชั้นนำในยุคของ AI ด้วยการลงทุนเพิ่มและมุ่งเน้นศูนย์กลางที่การสร้างความฉลาด ความปลอดภัยและการเป็นที่ปรึกษาด้าน AI อย่างครบวงจรที่ให้ความมั่นใจได้)
เดลล์ ต้องการให้อุปกรณ์ทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น ซึ่งจะต้องใช้พีซีที่มีการสร้างแบบจำลองด้านภาษา (language modeling) การประมวลผลด้านภาษา และความสามารถด้านแมชชีน เลิร์นนิ่ง เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ให้ดีขึ้น การใช้แอปพลิเคชัน AI
เหล่านี้บนพีซี จะนำมาซึ่งประสิทธิภาพมากมาย เช่นประสิทธิภาพเรื่องความคุ้มค่า ปรับปรุงความเป็นส่วนตัวได้ดีขึ้น รักษาความปลอดภัยดีขึ้น ช่วยลด latency และให้ประโยชน์เรื่องความยั่งยืน นอกจากนี้ ยังต้องใช้สถาปัตยกรรมใหม่ในการประมวลผลที่ไม่ได้อาศัย CPU หรือ GPU ซึ่งเดลล์กำลังทำงานอย่างจริงจังร่วมกับพันธมิตรทั่วทั้งอุตสาหกรรมเพื่อทำให้สถาปัตยกรรมใหม่ดังกล่าวเป็นจริงภายในปี 2024
ความเป็นไปได้ของ GenAI ในระยะยาว
เมื่อมองไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราจะเห็นอนาคตพีซีเป็นเสมือนพันธมิตรดิจิทัลที่แท้จริง โดย พีซี จะพัฒนาบทบาทไปไกลกว่าการขับเคลื่อนผลลัพธ์ในการทำงานของมนุษย์ แต่จะก้าวสู่การขับเคลื่อนความสามารถของมนุษย์ ประเด็นนี้ จะทำให้ผู้ใช้งานต้องหันมาทบทวนการใช้งานแล็ปท็อปและเดสก์ท็อปที่คุ้นเคยกันใหม่ในปัจจุบัน
ตัวอย่างเช่น แทนที่ส่วนใหญ่จะใช้การพิมพ์บนคีย์บอร์ด เพื่อโต้ตอบการทำงานผ่าน command-and-control ก็จะเพิ่มเติมแนวทางการทำงานที่ไม่ต้องใช้ข้อความ เพื่อเตรียมความพร้อมให้เทคโนโลยีสามารถทำงานโต้ตอบสองทางระหว่างมนุษย์และพีซี ลองนึกภาพอนาคตที่เราสามารถประสานการทำงานหรือร่วมสร้างสรรค์ผลงานด้วยเสียง สั่งงานผ่านรูปภาพ และท่าทาง ให้จินตนาการว่าพีซีจะตีความโดยอาศัยการจับอารมณ์ของคุณ สีหน้าการแสดงออก น้ำเสียงหรือกระทั่งการเปลี่ยนวิธีการพิมพ์เพื่อให้ได้ประสบการณ์ที่สมบูรณ์มากขึ้น ในการสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุดได้ตามที่คุณต้องการ ประสบการณ์การใช้งานพีซี จะเปลี่ยนจากการเสิร์ชเป็นการพร้อมท์คำสั่ง เปลี่ยนจากการอ่านไปสู่ความเข้าใจ จากการแก้ไขเป็นการชี้แนวทาง
เป็นความน่าตื่นเต้นเมื่อคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องของอุปกรณ์ แต่เป็นระบบนิเวศพีซีทั้งหมด เพราะเดลล์นำประสบการณ์ของมนุษย์มาใช้ในการขับเคลื่อนความก้าวหน้าของมนุษย์ และสายผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมของเรา ทั้งโซลูชันและบริการจะมีบทบาทสำคัญยิ่งในการเป็นขุมพลังขับเคลื่อนอนาคต
เราอยู่ในจุดของการเปลี่ยนผัน
เราอยู่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมา 30 ปี มีทั้งเรื่องน่าตื่นเต้นและสิ่งที่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็วตลอดเวลา แต่โอกาสที่รออยู่ข้างหน้าก็ไม่เหมือนที่เคยเห็นตอนเปิดตัวพีซีเมื่อ 40 ปีที่ผ่านมา คงจะเป็นการโกหกหากบอกว่าเรามีคำตอบสำหรับทุกเรื่อง เพราะมันไม่มี แค่ประโยชน์ที่ตามมาก็มากมายมหาศาล แต่เราสามารถบอกได้ว่ามนุษย์จะยังคงเป็นศูนย์กลางของความก้าวหน้า ระหว่างที่มีการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ สถาปัตยกรรมใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ความสามารถด้านการบริการใหม่ๆ และการคิดค้นอย่างต่อเนื่องโดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่การเชื่อมต่อและประสบการณ์ของผู้คน เราอยู่ในจุดของการเปลี่ยนผัน ซึ่งประสบการณ์ของผู้ใช้จะเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นและเร็วขึ้นกว่าที่เคยมีมา เราได้รับโอกาส ในการปฏิวัติประสบการณ์การใช้งานพีซี และเรามุ่งเน้นทุกอย่างเพื่อเรื่องนี้
· 20% ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G ยินดีจ่ายค่าบริการเพิ่มขึ้นแก่ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารเพื่อใช้บริการ 5G ที่มีคุณภาพโดดเด่นกว่า
· ผู้บริโภค 5G มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนผู้ให้บริการเพิ่มขึ้น 3 เท่า หากได้รับประสบการณ์การเชื่อมต่อที่ไม่ดีตามสถานที่ที่มีการใช้ดาต้าหนาแน่น อาทิ สนามกีฬาและสนามบินต่าง ๆ
· อีริคสันทำวิจัยการตลาดสำหรับประเทศไทยเฉพาะ โดยการสำรวจกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนผู้บริโภคราว 23 ล้านคนในประเทศ

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) เผยการวิจัยในรายงาน Ericsson ConsumerLab ฉบับล่าสุด ระบุ 1 ใน 5 ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G มองหาประสบการณ์บริการ 5G ที่แตกต่าง เช่น คุณภาพของการบริการ สำหรับการใช้แอปพลิเคชันยอดนิยม โดยผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินแก่ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารในอัตราพิเศษสูงสุดถึง 11% เพื่อเพลิดเพลินไปกับการเชื่อมต่อที่มีมูลค่าเพิ่ม
รายงาน 5G Value: Turning Performance into Value ยังเน้นด้านความพึงพอใจและความภักดีของผู้ใช้ โดยให้ความสำคัญกับศักยภาพของเคสทางธุรกิจของผู้ให้บริการ 5G เนื่องจากยอดผู้สมัครใช้บริการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกแสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจเพิ่มขึ้นกับการใช้งานเครือข่าย 5G
นอกจากนี้ ในรายงานยังเผยประสบการณ์การเชื่อมต่อ 5G ที่ไม่น่าพึงพอใจในสถานที่หลัก ๆ อาทิ สนามกีฬา สถานบันเทิงและสนามบิน ทำให้ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะย้ายค่ายมือถือมากขึ้นถึงสามเท่า
การวิจัยโดยรอบด้านครั้งนี้สะท้อนมุมมองของผู้บริโภคประมาณ 1.5 พันล้านรายทั่วโลก รวมถึงลูกค้า 5G ประมาณ 650 ล้านราย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยของอีริคสันเพื่อติดตามวิวัฒนาการของตลาดผู้บริโภค 5G ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562
ในประเทศไทยอีริคสันยังได้วิจัยตลาดแบบเฉพาะเจาะจง โดยการสอบถามกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนผู้บริโภคราว 23 ล้านคนในประเทศ
พบว่าปัจจัยขับเคลื่อนความพึงพอใจของเครือข่าย 5G กำลังพัฒนาไปสู่ประสบการณ์การใช้งานแอปพลิเคชัน โดยจำนวนผู้ใช้ที่พึงพอใจอย่างมากกับประสิทธิภาพเครือข่าย 5G ในภาพรวมของประเทศไทยเพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
5G กำลังเปลี่ยนโฉมการสตรีมวิดีโอและการใช้งาน AR ผู้ใช้ชาวไทยที่ใช้แพ็คเกจบริการประเภทนี้จะใช้เวลาเกือบ 60% ของเวลาสตรีมมิ่งวิดีโอทั้งหมดไปกับการเพิ่มความน่าสนใจให้กับเนื้อหาวิดีโอหรือ AR ขณะที่ผู้ใช้ที่ไม่ได้ใช้แพ็คเกจบริการประเภทนี้จะใช้เวลาเพียง 40% ไปกับคอนเทนต์สมจริง (Immersive Content)
ประสิทธิภาพ 5G ในจุดสำคัญ ๆ มีผลต่อความภักดีของผู้บริโภค นับตั้งแต่เปิดตัว 5G ในประเทศไทย มีผู้ใช้บริการมือถือประมาณ 19% ย้ายค่ายมือถือ และในบรรดาผู้ที่ย้ายเครือข่าย เกือบ 60% เกิดจากเหตุผลด้านประสิทธิภาพเครือข่าย 5G ซึ่งหากผู้ใช้มีปัญหาการเชื่อมต่อในพื้นที่ต่าง ๆ ตั้งแต่ 2 แห่งขึ้นไปก็มีแนวโน้มที่ย้ายค่ายมากขึ้น 1.3 เท่า
ผู้บริโภค 5G ในประเทศไทยจะจ่ายค่าบริการพิเศษสำหรับการเชื่อมต่อที่มีความต่างและโดดเด่น โดยผู้ใช้สมาร์ทโฟนยินดีจ่ายค่าบริการเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 13% สำหรับข้อเสนอที่รวมการใช้บริการแอปฯ ชั้นนำ
![]()
ญาสมีต ซิงห์ เซธิ หัวหน้าฝ่าย Ericsson ConsumerLab กล่าวว่าในการสำรวจครั้งนี้ มีผู้บริโภค 5G ราว 37% เชื่อว่าการเพิ่มปริมาณการใช้ดาต้าในแพ็คเกจ 5G ของพวกเขาสมเหตุสมผลกับอัตราค่าบริการพรีเมียมของผู้ให้บริการ “ที่น่าสนใจคือประมาณหนึ่งในห้าของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G แสดงความพึงพอใจชัดเจนต่อคุณภาพการเชื่อมต่อบริการที่มีความแตกต่าง โดยผู้บริโภคกลุ่มนี้มองหาประสิทธิภาพเครือข่ายที่ยกระดับและมีความเสถียรแทนการเลือกใช้ 5G แบบทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครือข่ายที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับแอปพลิเคชันที่ต้องการประสิทธิภาพเครือข่ายสูง ๆ และเจาะจงสถานที่สำคัญ ๆ ผลการวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าพวกเขายินดีจ่ายค่าบริการพิเศษเพิ่มขึ้นอีก 11% หากผู้ให้บริการมีบริการเหล่านี้เสนอให้”
วิธีเก็บข้อมูล
อีริคสันสัมภาษณ์ผู้บริโภคมากกว่า 37,000 คน ใน 28 ประเทศ ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน พ.ศ. 2566 โดยขอบเขตการวิจัยสะท้อนมุมมองความคิดเห็นของผู้บริโภคประมาณ 1.5 พันล้านคน รวมถึงผู้ใช้ 5G จำนวน 650 ล้านราย
อ่านรายงานฉบับเต็ม: 5G Value: Turning performance into loyalty
ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง: Ericsson ConsumerLab: the voice of the consumer Ericsson ConsumerLab: 5G Reports Ericsson Private Networks
ท่ามกลางกระแสรักษ์โลก ที่ทุกภาคส่วนในสังคมกำลังมุ่งมั่นเดินหน้าไปสู่การสร้าง “สังคมคาร์บอนต่ำ” มีหลายธุรกิจชั้นนำระดับโลกที่พัฒนานวัตกรรมคาร์บอนต่ำให้เกิดขึ้นจริงแล้ว และนำมาแบ่งปันแนวคิด สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนมาร่วมก้าวไปพร้อมกัน ในงาน ESG Symposium 2023: ร่วม เร่ง เปลี่ยนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
ขนส่งและเดินทางด้วย “รถประหยัดพลังงาน (Green Logistic)”
ปัจจุบัน เราอยู่ในยุคของความเป็นกลางทางคาร์บอน และมีความต้องการที่ต้องเปลี่ยนยานยนต์ทุกคันเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ BEV และพลังงานสะอาด ซึ่งในประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องตามนโยบายของภาครัฐ![]()
มร.ฮิโรกิ นาคาจิม่า กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท Commercial Japan Partnership Technologies Corporation (CJPT) และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนไม่ใช่สิ่งที่บริษัทเดียวจะทำได้โดยลำพัง จึงได้มีการริเริ่มความร่วมมือกับระหว่างบริษัทรถยนต์เชิงพาณิชย์ในประเทศญี่ปุ่นและได้ก่อตั้งบริษัทภายใต้ชื่อ “Commercial Japan Partnership Technologies Corporation หรือ CJPT” เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้รถที่มีเทคโนโลยีหลากหลาย รวมถึงรถจากพลังงานสะอาด และรถที่มีคาร์บอนต่ำ เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและเพิ่มประสิทธิภาพในภาคการขนส่ง โดยได้ขยายความร่วมมือดังกล่าวมายังประเทศไทย ซึ่งเป็นฐานการผลิตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และระดับโลก “Detroit of Asia” สำหรับรถยนต์เชิงพาณิชย์
![]()
นอกจากนี้ มร.นาคาจิม่ายังได้เปิดเผยถึงความร่วมมือที่บริษัท CJPT มีความร่วมมือกับกลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) และเอสซีจี เพื่อผลักดันให้ไทยบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน ด้วยการพัฒนานวัตกรรมรักษ์โลก 3 ด้าน ได้แก่ ด้านพลังงาน ทั้งการผลิตพลังงานไฮโดรเจนจากชีวมวล และอาหารเหลือทิ้ง รวมถึงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานน้ำ ด้านการใช้ข้อมูล (Big Data) และโครงสร้างพื้นฐานด้านการโทรคมนาคม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคการขนส่งและโลจิสติกส์ และด้านการเดินทาง โดยการนำเสนอยานยนต์ไฟฟ้าที่หลากหลาย ได้แก่ รถพลังงานไฟฟ้าแบบไฮบริด (HEVs) รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (BEVs) รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง (FCEVs) รวมถึงยานยนต์ที่ประหยัดน้ำมัน ซึ่งสอดคล้องกับด้านพลังงาน ลูกค้า รวมทั้งรูปแบบที่เหมาะสมในการใช้งาน
โดยในความร่วมมือกับกลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) บริษัท CJPT ได้ร่วมมือในการผลิตพลังงานไฮโดรเจนที่มาจากพลังงานไบโอก๊าซ หรือ “ก๊าซชีวภาพ” ซึ่งหมักโดยใช้มูลไก่จากฟาร์มของ CP และนำไปใช้ในภาคขนส่ง ซึ่งเป็นการนำของเสียจากการผลิตภาคการเกษตรมาเพิ่มมูลค่า และใช้ประโยชน์ให้เป็นพลังงานสะอาดสำหรับรถพลังงานเซลล์เชื้อเพลิง (FCEVs) ซึ่งถือเป็นการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดโลกร้อนได้ด้วย
ส่วนกรณีศึกษาในประเทศญี่ปุ่น มร.นาคาจิม่าเล่าว่า
กรณีแรกคือ CJPT ได้ริเริ่มให้มีการใช้ “ไฮโดรเจน” ในเมืองฟุกุชิมะ ในรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) ซึ่งใช้เป็นร้านสะดวกซื้อและการขนส่ง สำหรับประชากรกว่า 300,000 คน โดยสามารถขยายไปสู่เมืองอื่น ๆ ได้ในอนาคต
กรณีที่สองคือ ในกรุงโตเกียว ที่ CJPT ร่วมมือกับบริษัทต่าง ๆ รวมถึงการสนับสนุนจากทางภาครัฐ ในการส่งเสริมการสร้างสถานีชาร์จสำหรับรถ BEV และไฮโดรเจนสำหรับรถ FCEVs เพื่อขยายการใช้รถยนต์พลังงานสะอาด ขณะเดียวกันกระจายการใช้พลังงาน
เร่งเครื่อง “พลังงานสะอาด”
จากการที่ภาคอุตสาหกรรม จำเป็นต้องใช้พลังงานความร้อนในการผลิต แต่ในยุคที่ทั่วโลกเริ่มปรับตัวมาใช้พลังงานสะอาดแทน จอห์น โอดอนเนลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Rondo Energy กล่าวว่า ถึงแม้การเปลี่ยนผ่านนี้ถือเป็น “โจทย์ยาก” แต่สามารถเป็นไปได้
โอดอนเนลล์ อธิบายว่า ไทยเป็นตลาดสำคัญของบริษัทในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานพลังงานใหญ่ระดับโลกเพื่อนำไปสู่พลังงานสะอาด ซึ่งบริษัทกำลังทำงานกับเอสซีจีเพื่อผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมในไทยใช้พลังงานสะอาดและต้นทุนต่ำ ที่สำคัญ “เมื่อรักษ์โลกแล้ว ต้องทำเงินได้ด้วย”
“การสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานนั้นแม้เป็นเรื่องยาก แต่ก็เป็นโอกาสเช่นกัน เพราะปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว” โอดอนเนลล์กล่าว “แหล่งพลังงานสะอาดทั้งจากแสงแดดและลมขณะนี้ถือว่าต้นทุนต่ำมาก ๆ อยู่ที่ใครจะกล้าลงทุนหรือไม่”
อีกทั้งยังเป็นโอกาสครั้งใหญ่สุดแห่งยุค “ขณะนี้พลังงานสะอาดกำลังขับเคลื่อนการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม และจะเป็นแบบนี้ต่อไปอีกใน 50 ปีข้างหน้า”
![]()
โอดอนเนลล์ เปิดเผยด้วยว่า บริษัทได้ร่วมกับเอสซีจีในการผลิตอิฐแบบพิเศษที่เก็บความร้อนได้กว่า 1,500 องศาเซลเซียส เพื่อใช้ในการผลิตแบตเตอรี่ความร้อนซึ่งสามารถแปลงพลังงานสะอาดจาก “ลม” และ “แสงแดด” ให้เป็นพลังงานความร้อนที่สามารถใช้ได้ในภาคอุตสาหกรรม
ขณะเดียวกัน เนื่องจากไทยมีศักยภาพในการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากลมและแสงแดดสูง และต้นทุนพลังงานสะอาดกำลังมีต้นทุนที่ถูกลงเรื่อย ๆ จนขณะนี้มีต้นทุนถูกกว่าพลังงานฟอสซิล ดังนั้น พลังงานเหล่านี้จึงสามารถตอบโจทย์การใช้พลังงานความร้อนในภาคอุตสาหกรรมได้
“นวัตกรรมแบตเตอรี่เก็บความร้อนจากพลังงานสะอาดสำหรับภาคอุตสาหกรรม จึงเป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ซึ่งอาจเรียกได้ว่า เป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหม่” โอดอนเนลล์ระบุ
“ไบโอพลาสติก” ลดคาร์บอน
ในขณะนี้ จำนวนประชากรโลกเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ความต้องการใช้ทรัพยากรโลกยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในฐานะผู้นำด้านพลาสติกชีวภาพระดับโลกจากบราซิล บริษัท Braskem จึงได้ริเริ่มนำประโยชน์ที่ได้จากการผลิตเอทานอลจากอ้อย มาผลิตเป็น “ไบโอพลาสติก” ที่ช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงแบบดั้งเดิม เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ
![]()
โรเจอร์ มาร์คิโอนี ผู้อำนวยการเอเชีย ฝ่ายโอเลฟินส์และโพลีโอเลฟินส์ บริษัท Braskem กล่าวว่า ปัจจุบัน บริษัทสามารถผลิตไบโอพลาสติกจากอ้อยซึ่งสามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมาก สอดรับกับความต้องการพลาสติกชีวภาพในตลาด
ล่าสุด จัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่กับ บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC ตั้งเป้าผลิตเอทิลีนชีวภาพ (Green-Ethylene) จากเอทานอลที่ใช้ผลิตผลจากภาคเกษตร แทนเอทิลีนจากฟอสซิล ซึ่งมีกำลังการผลิต 2 แสนตันต่อปี ภายใต้แบรนด์ I’m green™ (แอมกรีน) และยังสามารถนำไปผลิตสินค้าได้หลากหลายประเภท ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม เครื่องใช้ส่วนบุคคลและอุปกรณ์ดูแลบ้าน ของเล่น เครื่องใช้ในบ้าน ถุงพลาสติก เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลแบบ Mechanical recycling และ Advanced recycling เช่นเดียวกับพอลิเอทิลีนทั่วไป จึงช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และลดภาวะโลกร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการผสมผสานความเชี่ยวชาญ ด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับพลาสติกชีวภาพของ Braskem เข้ากับความเชี่ยวชาญของ SCGC ในด้านการผลิตพอลิเอทิลีน รวมทั้งศักยภาพของ SCGC ที่เป็นผู้นำตลาดเคมีภัณฑ์ในระดับภูมิภาคโดยโรงงานของบริษัทร่วมทุนดังกล่าวจะตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ประเทศไทย และถือเป็นโรงงานผลิต I’m green™ แห่งแรกนอกประเทศบราซิล
จากกรณีตัวอย่างนวัตกรรมคาร์บอนต่ำจากหลากหลายธุรกิจทั่วโลกข้างต้น จะเห็นได้ว่า ขณะนี้ โลกกำลังมุ่งไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และสามารถเกิดขึ้นจริงได้หากทุกคนร่วมมือกัน ซึ่งนอกจากจะช่วยลดผลกระทบต่อโลกยังเป็นอีกหนึ่ง “ทางรอด” ท่ามกลางภาวะโลกเดือดในปัจจุบันด้วย