

Informa Markets จัดงาน International Healthcare Week (IHW) 2025 งานด้านสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระหว่างวันที่ 16 – 18 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุม MITEC กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมสุขภาพแบบครบวงจร ทั้งด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และการลงทุน เพื่อสร้างระบบสุขภาพที่ยั่งยืนในระดับภูมิภาค
งาน IHW 2025 (CPHI South East Asia, WHX Kuala Lumpur, WHX Labs Kuala Lumpur, Medtec Southeast Asia, HIMSS APAC) เป็นการรวบรวมผู้นำในอุตสาหกรรมจากทั่วโลกกว่า 900 ราย มาจัดแสดงนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์กว่า 15,000 รายการ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 26,000 ตารางเมตร พร้อมด้วยการสัมมนาเชิงวิชาการกว่า 125 หัวข้อ และพาวิลเลียนจาก 9 ประเทศชั้นนำ อาทิ อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ไต้หวัน
Informa Markets เสริมแกร่งตลาดสุขภาพแห่งอนาคต
ในฐานะผู้นำด้านการจัดแสดงสินค้าระดับโลก Informa Markets ได้สร้างแพลตฟอร์มให้ภาคธุรกิจในอุตสาหกรรมเฉพาะทางได้พบปะ แลกเปลี่ยน และทำธุรกิจทั้งในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ โดยการจัดงาน IHW 2025 ถือเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันตลาด Health & Wellness ให้เติบโตอย่างยั่งยืนและครอบคลุมมากยิ่งขึ้นในอาเซียน
![]()
นางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า การเติบโตของธุรกิจ Health & Wellness ปัจจุบันทั่วโลกให้ความสำคัญด้านสุขภาพเป็นอันดับต้น ๆ ซึ่งทุกธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมมีการขยายตัวและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างไม่หยุดนิ่ง
“การเติบโตเกิดขึ้นทั้งในมิติของผู้คนและธุรกิจ ในฐานะผู้จัดงาน International Healthcare Week 2025 มองว่านี่เป็นโอกาสธุรกิจที่สำคัญสำหรับผู้คนที่อยู่ในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์ เภสัชกรรม เทคนิคการแพทย์ ทั้งผู้ผลิตและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการไทย จะสามารถหาโอกาสในตลาดโลกได้” นางสาวรุ้งเพชร กล่าว
IHW 2025 สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยในเวทีอาเซียน
ทั้งนี้ IHW 2025 ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญของผู้ประกอบการไทยที่ได้ไปร่วมจัดแสดงงานที่ประเทศมาเลเซีย ที่เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางชั้นนำในเอเชียสำหรับการอุตสาหกรรมและธุรกิจการดูแลสุขภาพ อีกทั้งตลาดเภสัชกรรมของมาเลเซียมีข้อได้เปรียบจากการสนับสนุนของรัฐบาล เปิดโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเข้ามาต่อยอดธุรกิจ
สำหรับตลาดสุขภาพของมาเลเซีย มีโอกาสเติบโตจาก 575.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 เป็นกว่า 939 พันล้านดอลลาร์ในปี 2032 ขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) จะพุ่งแตะ 1.59 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเวลาเดียวกัน โดยมีผู้ประกอบการไทย มาร่วมยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมด้านสุขภาพได้ในงาน International Healthcare Week 2025 อาทิ Chaturong Cooling, Kloeckner Pentaplast (Thailand), NEOCA Healthcare, NR Industries, Pharma Alliance, Pose HealthCare, The Government Pharmaceutical Organization (GPO), Union Drug Labs, Union Micronclean, J Summit, K.Bio Sciences, Green Global Supply, Bever Medical Industry, B and Brothers, Bangkok Botanica, OsseoLabs
![]()
ผนึกความยิ่งใหญ่รวม 5 งานใหญ่ไว้ในงานเดียว
IHW 2025 ได้รวม 5 งานแสดงสินค้าด้านสุขภาพไว้ในที่เดียว ประกอบด้วย
· CPHI South East Asia – Pharmaceutical manufacturing and solutions
งานแสดงสินค้า เทคโนโลยี และการประชุมด้านอุตสาหกรรมการผลิตยาและเวชภัณฑ์ครบวงจร
· Medtec Southeast Asia – Medical device design and manufacturing
งานแสดงสินค้าและการประชุมนานาชาติชั้นนำด้านการออกแบบและการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์
· WHX Kuala Lumpur (เดิมคือ Asia Health) – Medical laboratory equipment and services
งานแสดงสินค้านานาชาติ สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ บริการโรงพยาบาล และระบบสุขภาพ
· WHX Labs Kuala Lumpur (เดิมคือ Medlab Asia) – Medical devices, hospital services, and healthcare systems งานแสดงสินค้านานาชาติ สำหรับอุตสาหกรรมห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ชั้นนำ
· HIMSS APAC
การประชุมระดับโลกด้านข้อมูลและระบบการจัดการสุขภาพ โดยจะเน้นหัวข้อสำคัญ เช่น การพัฒนาระบบการแพทย์ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเอไอ, ความปลอดภัยด้านไซเบอร์, การพัฒนาบุคลากร
ทั้งนี้ การจัดงานในครั้งนี้มีส่วนสำคัญในการยกระดับศูนย์กลางด้านสุขภาพและเป็นประตูสู่ตลาดอาเซียน โดย Informa Markets ได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน อาทิ MATRADE, MIDA, MOPI และ AMMI เพื่อผลักดันเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศตามแผน New Industrial Master Plan 2030 (NIMP 2030)
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์และเทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพ (Healthcare IT) ยังเป็นอีกกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากงานนี้ ด้วยการเปิดเวทีสำหรับผู้ผลิตและผู้ประกอบการท้องถิ่นในการเข้าถึงตลาดโลก และเร่งการยอมรับนวัตกรรมในอาเซียน โดยงาน International Healthcare Week 2025 จัดระหว่างวันที่ 16 – 18 กรกฎาคม 2568 ที่ ฮอลล์ 2-8, MITEC, กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย หรือ ติดตามรายละเอียดงานเพิ่มเติมได้ที่ http://inthealthcareweek.com
หากคุณเป็นนักวิ่งและนักช้อปตัวยงต้องห้ามพลาด! Lazada Run 2025 กลับมาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่ ตื่นตากว่าเดิม พร้อมเซอร์ไพรส์สุดพิเศษมากมายภายในงาน มหกรรมงานวิ่งระดับภูมิภาคจัดขึ้นใน 6 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และสิงคโปร์ โดย Lazada Run Thailand 2025 ในครั้งนี้จะมอบประสบการณ์ที่มากกว่าการวิ่งเข้าเส้นชัย ด้วยการผนึกกำลังความสนุกของการวิ่งและการช้อปไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนรักสุขภาพ สายช้อป และเหล่าแฟนด้อมในคราวเดียว เตรียมความฟิตให้พร้อมกับ Lazada Run 2025 ที่ประเทศไทย ณ สะพานพระราม 8 ในวันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม 2568 นี้
พิเศษสุดในปีนี้ เปิดโลกแห่งความน่ารักไปกับ “Lazada x POP MART 5KM Run” หมวดการแข่งขันใหม่ล่าสุดที่ออกแบบมาเพื่อกลุ่มนักวิ่งครอบครัว นักสะสม และแฟนคลับ POP MART ให้คุณได้ร่วมวิ่งเคียงข้าง Twinkle Twinkle เจ้าคาแรกเตอร์แก้มชมพูสุดฮอตที่เตรียมเดบิวต์ในงานวิ่งนี้อีกด้วย
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักวิ่งสายชิลล์ นักวิ่งมาราธอนมือโปร หรือมุ่งเป้ามาคว้าดีลสุดคุ้ม งานนี้ตอบโจทย์ครบทุกสาย! โดยสนามกรุงเทพฯ เปิดให้ร่วมสนุกกับการแข่งขันทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่ Lazada x POP MART 5 กม. Fun Run ระยะ 5 กม. ระยะ 10 กม. และฮาลฟ์มาราธอนระยะ 21 กม. สำหรับนักวิ่งติดสปีด ขอท้าประลองความเร็ว! ลุ้นรับรางวัลสูงสุดถึง 10,000 บาท สำหรับผู้ชนะในระยะ 21.1 กม. และ 5,000 บาท สำหรับผู้ชนะในระยะ 10 กม. อย่าลืมเตรียมพร้อมคว้ารางวัลกลับบ้านแบบจุก ๆ!

วิ่งไป ช้อปไป เก็บความสนุกทุกระยะทาง
Lazada Run Thailand 2025 จัดเต็มประสบการณ์การวิ่งพร้อมกิจกรรมพิเศษจากแบรนด์ดัง ให้นักวิ่งได้ฟินไปกับความสนุกและดีลสุดคุ้มมากมาย!
· Snap & Share – มุมถ่ายรูปสุดปังมากมาย พบมุมถ่ายรูปสุดอลังการภายในงาน รับรองว่าทุกคนจะได้ภาพสวย ๆ ไปอัพลงโซเชียลมีเดียจนยอดไลก์พุ่งแน่นอน
· POP MART Best Dressed Contest – นักวิ่งพร้อมลุคสุดจึ้งโดนใจกรรมการ รับรางวัลสุดพิเศษกลับบ้านไปเลย
มาร่วมสนุกกัน สมัครเลยวันนี้! งานนี้มีจำนวนจำกัด! Lazada Run Thailand 2025 เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ – 12 ตุลาคม 2568 รอบ Early Bird ราคาพิเศษ ตั้งแต่วันนี้ – 17 กรกฎาคมนี้ เท่านั้น ค่าสมัครเริ่มต้นที่ 600 บาท สมัครเลยที่ https://raceroster.com/events/2025/107793/lazada-run-thailand
ติดตามอัพเดตและเซอร์ไพรส์อีกมากมายที่ https://www.facebook.com/LazadaRunThailand
สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA) เผยภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านครึ่งปีแรก 68 ยอดติดลบลดลงเป็น 7% จาก 15% ชี้ 3 กลุ่มราคาบ้าน ‘ดาวรุ่ง – ทรงตัว – ติดลบ’ บ้านต่ำกว่า 10 ล้านบาท มาแรงจากปัจจัยหลักเรียลดีมานด์หนุนพลิกกลับมาเติบโต กลุ่ม 10 – 20 ล้านบาท ยัง ‘ทรงตัว’ ด้านบ้าน 20 ล้านบาท ติดลบ 15% ลุ้นต่อไตรมาส 3 ช่วงไฮซีซัน จับตา ‘ขึ้นค่าแรง – ภาษีทรัมป์’ ส่งผลต่อต้นทุนสร้างบ้านปรับขึ้นส่งท้ายปี พร้อมเร่งสร้างการรับรู้ผู้บริโภค โชว์จุดเด่น ‘มืออาชีพ – เชื่อถือได้ – บริการครบวงจร’ ควบคู่จัดอีเวนต์ใหญ่ ‘รับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2025’ ระหว่าง 10 – 14 กันยายน 2568 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ 6
นายอนันต์กร อมรวาที นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (Home Builder Association : HBA) เปิดเผยภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2568 ว่า ยอดขายของบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯ อยู่ในภาวะติดลบลดลง จากติดลบ 15% ในไตรมาสแรก มาเป็นติดลบเหลือ 7% โดยมีปัจจัยกระตุ้นหลักมาจากความต้องการที่แท้จริง หรือ เรียลดีมานด์ในเซกเมนต์บ้านราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทที่ฟื้นตัวและสามารถผลักดันให้ตลาดส่วนนี้เติบโตได้ดี เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกได้ท่ามกลางความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน
ขณะที่ตลาดบ้านราคา 10 – 20 ล้านบาท ยังเป็นเซกเมนต์ที่ “ทรงตัว” และยังไม่พบปัจจัยที่เป็นสัญญาณบวกมาสนับสนุนให้ตลาดกลุ่มนี้ฟื้นตัว ส่วนราคามากกว่า 20 ล้านบาทนั้น ถือว่าเป็นเซกเมนต์ที่มีการหดตัวมากกว่า 2 กลุ่มแรก โดยมียอดติดลบ 15%
“ผู้บริโภคที่ต้องการสร้างบ้านต่ำกว่า 10 ล้านบาท เป็นการสร้างเพื่ออยู่อาศัยจริงและกลุ่มมีกำลังซื้อมีเงินออมอยู่แล้ว พร้อมทั้งมีความกังวลถึงต้นทุนก่อสร้างที่อาจปรับขึ้นได้จากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งค่าแรง วัสดุก่อสร้าง ทำให้ตัดสินใจสร้างบ้านในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่บ้านเกินกว่า 20 ล้านบาท แม้จะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง แต่เนื่องจากเป็นบ้านหลังที่สองและสามจึงยังไม่มีความจำเป็นด้านการเข้าพักอาศัย ทำให้เลื่อนการตัดสินใจสร้างบ้านออกไปก่อนเพื่อรอดูภาพรวมของเศรษฐกิจอีกครั้ง ส่วนบ้าน 10 – 20 ล้านบาทที่ตลาดทรงตัว เพราะขาดความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ การเมืองภายในและต่างประเทศ อีกทั้งส่วนใหญ่จะไม่ใช่บ้านหลังแรกจึงขอรอดูสถานการณ์ก่อน ซึ่งจากการตัดสินใจของผู้บริโภคทั้งสามกลุ่ม ทำให้ต้องจับตามองตลาดในช่วงไตรมาสที่สามของปีนี้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป” นายอนันต์กร กล่าว
ทั้งนี้ นอกจากตลาดในภาพรวมแล้ว เมื่อเจาะลึกลงรายพื้นที่พบว่ากรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นตลาดที่มีภาวะหดตัวมากที่สุดประมาณ 30% ขณะที่ภาคตะวันออก ในภาพรวมเติบโตประมาณ 3% โดยมีจังหวัดชลบุรีเป็นตลาดที่เติบโตมากที่สุด ส่วนภาคใต้ เติบโตประมาณ 8% และมีการขยายตัวมากที่สุดในจังหวัดภูเก็ตและสงขลา ส่วนภาคเหนือโดยรวมตลาดหดตัวประมาณ 12% มีเพียงตลาดเชียงใหม่ที่สามารถ “ทรงตัว” อยู่ได้ในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน
สำหรับตลาดรับสร้างบ้านในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในภาพรวมติดลบ 20% อย่างไรก็ดี นครราชสีมา เป็นจังหวัดที่สามารถเติบโตได้ดีประมาณ 11% ส่วนตลาดภาคกลางและภาคตะวันตก ถือว่ายังอยู่ในภาวะทรงตัว
![]()
นายอนันต์กร กล่าวว่า จากภาพรวมตลาดในครึ่งปีแรก สมาคมฯ ต้องเร่งจัดกิจกรรมและสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้ผู้บริโภคในวงกว้างให้มากขึ้นกว่าเดิมผ่านสมาชิกสมาคมฯ ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยเน้นถึงมาตรฐานการก่อสร้าง การให้บริการที่ครบวงจร ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการสร้างบ้านและจุดขายที่แตกต่างจากบริษัทรับเหมา เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่มากขึ้น
“ที่ผ่านมา สมาชิกฯ ในต่างจังหวัดมีการจัดอีเวนต์สำหรับโซนของตัวเองเพื่อสร้างกำลังซื้อ และสื่อสารให้ผู้บริโภครับรู้ว่าธุรกิจรับสร้างบ้านแตกต่างจากผู้รับเหมาอย่างไร ส่งผลให้บางพื้นที่มีผู้บริโภคเลือกใช้บริการมากขึ้น ส่งผลให้บางจังหวัดขยายตัวได้ดี” นายอนันต์กร กล่าว
สำหรับการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างการรับรู้ผู้บริโภคในส่วนของสมาคมฯ จะเกิดขึ้นในไตรมาสที่สามในงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2025” โดยปีนี้จัดขึ้นในคอนเซ็ปต์ “สร้าง อยู่ ดี” สะท้อนภาพที่ชัดเจนในการสร้างบ้านกับนักสร้างมืออาชีพ บริษัทที่มีประสบการณ์สูง และความเป็นอยู่ที่ดีจากบ้านคุณภาพ ซึ่งงานจัดระหว่าง 10 – 14 กันยายน 2568 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ 6
“หากผู้บริโภคคิดจะสร้างบ้าน ก่อนการตัดสินใจ แนะนำให้ศึกษาประวัติและผลงานของบริษัทนั้น ๆ ว่ามีประสบการณ์อย่างไร สร้างบ้านมาแล้วกี่หลัง รวมถึงสอบถามลูกค้าที่เคยสร้างบ้านกับบริษัทสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกสมาคมฯ จะช่วยสร้างความมั่นใจในการใช้บริการ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่สาม ซึ่งถือเป็นไฮซีซันของธุรกิจรับสร้างบ้าน ทั้งนี้เชื่อมั่นว่ากำลังซื้อผู้บริโภคจะกลับมา จากความต้องการสร้างบ้านเพื่ออยู่จริง ราคาสร้างบ้านที่ยังคงราคาต้นทุนเดิมในไตรมาสสาม ขณะที่มีแนวโน้มต้นทุนสร้างบ้านอาจปรับตัวขึ้นได้ในช่วงปลายปีนี้และในปีหน้า จากการประกาศปรับค่าแรง 350 เป็น 400 บาท รวมถึงต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่อาจปรับตัวขึ้นจากผลกระทบภาษีทรัมป์” นายอนันต์กร กล่าว
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ให้การต้อนรับนายประกอบ เพียรเจริญ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และวาณิชธนกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และนางสาวปภากร รัตนเศรษฐ รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส กลุ่มลงทุนและบริหารการเงิน ในโอกาสร่วมแสดงความยินดีงานฉลองความสำเร็จ “การออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond)” ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568
EXIM BANK ประสบความสำเร็จในการออกพันธบัตรสกุลบาท จำนวน 2 ชุด มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 โดยมีธนาคารออมสินและธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายพันธบัตร ซึ่งการออกพันธบัตรในครั้งนี้เป็นการออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) รุ่นแรกของธนาคาร จำนวน 3,000 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ขับเคลื่อนธุรกิจสีเขียว (Green Bond) และธุรกิจ SMEs (Social Bond) ของไทยให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ต่อยอดความเข้มแข็งตั้งแต่เศรษฐกิจฐานรากเชื่อมโยงกับ Global Supply Chain
(จากซ้ายไปขวา) นางทุย โง้ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริการการค้าระหว่างประเทศ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย, นางอุทุมภรณ์ วีรานุวัตติ์ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายบริการหลักทรัพย์ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย, นายจอร์โจ กัมบา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย, นางสุดาพันธ์ ทวีธรรมสถิตย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย และนายนิธิ วชิรโกวิทย์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายจัดการด้านการเงินและบริหารสภาพคล่อง ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย
ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย สร้างความภาคภูมิใจอีกครั้ง กับการคว้ารางวัล “ธนาคารระหว่างประเทศยอดเยี่ยมของประเทศไทยปี 2025 (Best International Bank in Thailand)” จากเวที FinanceAsia Awards 2025 ติดต่อกันเป็นปีที่ห้า ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานความเป็นเลิศ ความเชี่ยวชาญเชิงลึกในตลาด และศักยภาพที่เหนือกว่า เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของโลกด้านธนาคารเพื่อภาคธุรกิจและสถาบัน (Corporate and Institutional Banking)
FinanceAsia Awards ถือเป็นหนึ่งในเวทีประกาศรางวัลทางการเงินที่ทรงคุณค่าที่สุดในภูมิภาคเอเชีย มอบให้แก่สถาบันการเงินที่มีผลการดำเนินงานยอดเยี่ยม มีวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ และมุ่งมั่นส่งมอบบริการที่เป็นเลิศแก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
การได้รับรางวัล “ธนาคารระหว่างประเทศยอดเยี่ยมของประเทศไทยปี 2025” ในครั้งนี้ สะท้อนบทบาทสำคัญของธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย ในการเชื่อมโยงการค้าและการลงทุนข้ามพรมแดน สนับสนุนธุรกิจจากนานาชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ตลอดจนช่วยขับเคลื่อนธุรกิจและสถาบันไทยในการขยายสู่ตลาดโลก ผ่านเครือข่ายระดับโลกและความเชี่ยวชาญในประเทศ โดยธนาคารเอชเอสบีซียังคงเดินหน้าสร้างโอกาสให้แก่ลูกค้าในทุกช่วงของเส้นทางการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
ความสำเร็จครั้งล่าสุดนี้ยังต่อยอดจากรางวัลอันน่าประทับใจมากมายที่ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทยได้รับในช่วงที่ผ่านมา อาทิ
· รางวัล “The Asset Triple A Sustainable Investing Awards 2025” จาก The Asset Triple A ในสาขา Best Fund Administrator in Thailand และ Best Subcustodian in Thailand
· รางวัล “The Asset Triple A Treasurise Awards” จาก The Asset Triple A ในสาขา Best Service Provider – Transaction Bank in Thailand (2024-2025), Best Service Provider – Trade Finance (2023-2025), Best Renminbi Bank (2024) และ Best Payment and Collections Solution (2024)
· รางวัล “Thailand’s Best Sub-custody Country Awards” จาก The Asset Triple A ต่อเนื่องยาวนาน 16 ปี (2010-2025)
· รางวัล “Thailand’s Best Fund Administrator Retail Funds Bond Advisor” จาก The Asset Triple A ต่อเนื่อง 11 ปี (2015-2025)
· การคว้าอันดับสูงสุดหลากหลายหมวดหมู่จากการจัดอันดับ “Euromoney Trade Finance Survey 2025” โดย Euromoney ในสาขา Best Trade Finance Bank, Best Products & Technology และ Best Client Service – Global, Asia Pacific, Thailand
· รางวัล “Thailand’s Best International Bank” จาก Euromoney Awards for Excellence ต่อเนื่อง 4 ปี (2021-2024)
· รางวัล “Thailand’s Best Bank – USD/THB FX Bank” จาก LSEG (2018, 2021, 2023-2024)
· รางวัล “Thailand’s FX House of the Year” จาก FX Markets Asia Awards (2024)
· รางวัล “Thailand’s Best Places to Work” จาก Best Places to Work Organization (2024)
รางวัลที่ได้รับอย่างต่อเนื่องนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย ในการส่งมอบโซลูชันทางการเงินที่ครอบคลุม ทันสมัย และตอบโจทย์เฉพาะลูกค้า เพื่อรองรับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอของลูกค้าหลากหลายกลุ่ม พร้อมกับการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เอื้อต่อการเติบโต ความร่วมมือ และความสำเร็จอย่างยั่งยืนของพนักงาน
นายจอร์โจ กัมบา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย กล่าวว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัล ‘ธนาคารระหว่างประเทศยอดเยี่ยมของประเทศไทยปี 2025’ จาก FinanceAsia ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความทุ่มเทของทีมงานเรา และความไว้วางใจที่ลูกค้ามีให้กับเราอย่างต่อเนื่อง รางวัลนี้ยังตอกย้ำเป้าหมายของเราในการเชื่อมโยงประเทศไทยสู่โอกาสการค้าและการลงทุนระดับโลก และมุ่งมั่นส่งมอบบริการธนาคารระดับมาตรฐานสากลที่ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน เราจะยังคงเดินหน้ายกระดับมาตรฐานเพื่อสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าต่อไป”
ด้วยเครือข่ายระดับโลกที่กว้างขวาง และความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจในประเทศไทยอย่างลึกซึ้ง ธนาคารเอชเอสบีซี ยังคงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย พร้อมมุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรและยกระดับขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบบริการอันเป็นเลิศแก่ลูกค้าและเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
ตามที่คลื่น 850 MHz ซึ่งทรูทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับ NT หรือ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) กำลังจะสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 3 สิงหาคม 2568 นั้น ทรู ยืนยันว่าไม่มีปัญหาซิมดับอย่างแน่นอน เนื่องจากมีคลื่นความถี่อื่นที่รองรับการให้บริการแบบครอบคลุมและครบทุกย่านความถี่ เช่น 700 MHz, 900 MHz, 1500 MHz, 1800 MHz, 2100 MHz, 2300 MHz, 2600 MHz และ 26 GHz ที่สำคัญทรูได้ดำเนินการอำนวยความสะดวกอัปเกรดซิมอัตโนมัติสำหรับลูกค้ากลุ่ม 850 MHz ซึ่งดำเนินการไปแล้วจำนวนมาก โดยยังมีเพียงบางเลขหมายที่ซิมไม่รองรับการทำอัปเกรดอัตโนมัติ หรือบางรายที่นำซิมใช้งานกับอุปกรณ์ไอโอทีต่างๆ
อย่างไรก็ตาม ลูกค้าทรูกลุ่ม 850 MHz ที่ยังไม่ได้อัปเกรดซิม แม้จะสามารถใช้บริการในประเทศได้อย่างต่อเนื่อง และไม่มีปัญหาซิมดับ ทรูขอแนะนำให้มาเปลี่ยนซิมการ์ดใหม่เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการรับสัญญาณและใช้งานต่อเนื่องไม่สะดุด โดยเฉพาะหากต้องนำซิมไปใช้งานโรมมิ่งต่างประเทศ
2 วิธีง่ายๆ ลูกค้าทรูสามารถตรวจสอบซิมที่ใช้ว่าคือซิม 850 MHz ควรต้องเปลี่ยนซิมหรือไม่
1. กด *850# โทรออก (กรณีกดตรวจสอบซิมที่ใช้อยู่ในมือถือเครื่องนั้น)
2. กด *850*ตามด้วยหมายเลขโทรศัพท์ที่ต้องการเช็คสถานะ10 หลัก # โทรออก (กรณีต้องการตรวจสอบซิมที่ใช้ในมือถือหรืออุปกรณ์เครื่องอื่นๆ)
![]()
โดยระบบจะ SMS ตอบกลับ แจ้งสถานะให้ทราบ ดังนี้
· กรณีซิมพร้อมใช้งาน ไม่ต้องดำเนินการใดๆ : “ซิมของคุณสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องดำเนินการใดๆ”
· กรณีต้องเปลี่ยนซิมใหม่ : “ซิมการ์ดของคุณจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่โดยด่วน เพื่อป้องกันปัญหาใช้งานโรมมิ่งต่างประเทศไม่ได้ภายหลังคลื่น 850 หมดอายุสัญญา 3 ส.ค. 68 กรุณานำบัตร ปชช.และซิมการ์ดติดต่อทรูช็อป กรณีลูกค้านิติบุคคลเพิ่มเอกสาร บัตรพนักงาน หรือหลักฐานยืนยันตัวตนของพนักงานบริษัท”
เปลี่ยนซิมใหม่ทำอย่างไร?
วิธีง่ายๆ สำหรับลูกค้าทรู 850 MHz ที่ต้องเปลี่ยนซิมใหม่เพื่อประสบการณ์ใช้งานดียิ่งขึ้น
สำหรับลูกค้าทรูบางส่วนที่จำเป็นต้องอัปเกรดซิม บริษัทฯ ได้เตรียมช่องทางให้บริการไว้หลายช่องทาง และลูกค้าที่มาเปลี่ยนซิมใหม่ยังคงสิทธิประโยชน์สามารถใช้งานต่อเนื่องด้วยแพ็กเกจเดิม
· เปลี่ยนซิมที่ทรูช็อปทุกสาขา - นำบัตรประชาชนและซิมการ์ดเดิม มารับซิมใหม่ฟรีพร้อมคำแนะนำจากพนักงานที่ ทรูช็อป ดีแทคช็อป และ TrueSphere ทุกสาขา
· โทร 1242 - ขอให้จัดส่งซิมใหม่ถึงบ้านพร้อมคำแนะนำการเปลี่ยนซิม
· ลูกค้า eSIM อัปเกรดได้ด้วยตนเองอย่างสะดวกผ่าน True Application คลิกเมนู เปลี่ยน/อัปเกรด eSIM
หากลูกค้ามีคำถามเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ คอลเซ็นเตอร์ ทรู โทร 1242
ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ร่วมกับ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA ประกาศความสำเร็จของโครงการ ‘Tech for Gov 2025: NextGen Gov AI Training Program’ ยกระดับทักษะด้าน AI ให้แก่บุคลากรจากหลากหลายหน่วยงานภาครัฐ เพื่อขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมและพัฒนาบริการภาครัฐ พลิกโฉมการให้บริการประชาชนในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง
โครงการ Tech for Gov 2025: NextGen Gov AI Training Program มุ่งอัพสกิล AI ให้แก่บุคลากรของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี AI ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่สร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจ การพัฒนาทักษะและขีดความสามารถในการนำ AI ไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานจริง ไปจนถึงส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมและโซลูชัน AI เพื่อยกระดับการให้บริการประชาชนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
![]()
โครงการฯ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากบุคลากรภาครัฐ โดยมีผู้สมัครเข้าร่วมการอบรมทักษะ AI กว่า 2,000 คน ในหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อปูพื้นฐานความรู้และแนวคิดสำคัญในการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในการทำงาน ครอบคลุมหัวข้อสำคัญ เช่น พื้นฐาน AI และ Machine Learning การประยุกต์ใช้ AI ในภาครัฐ การใช้ AI อย่างสร้างสรรค์และมีความรับผิดชอบ รวมถึงการใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์ม AI ระดับโลกของไมโครซอฟท์ จากนั้น ผู้เข้าร่วมอบรมได้นำความรู้ที่ได้มาต่อยอดผ่านการแข่งขัน Hackathon เพื่อพัฒนาโปรเจกต์ AI ที่ช่วยแก้ไขปัญหาและสร้างประโยชน์ให้กับภาครัฐและประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีพันธมิตรของไมโครซอฟท์ ได้แก่ Fusion Solution, LooLoo Technology, Frontis, STelligence, Betimes Solutions, Amity, Bluebik, Digital Dialogue และ Yip-In-Tsoi ร่วมเป็นพี่เลี้ยงและให้คำปรึกษาด้าน AI แก่แต่ละทีมอย่างใกล้ชิด
ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การเสริมสร้างทักษะ AI ให้กับบุคลากรภาครัฐ ภายใต้โครงการ Tech for Gov 2025: NextGen Gov AI Training Program สอดคล้องกับพันธกิจของไมโครซอฟท์ในการยกระดับทักษะ AI ให้กับคนไทย 1 ล้านคนผ่านโครงการ THAI Academy เรารู้สึกตื่นเต้นที่มีบุคลากรภาครัฐจากทั่วประเทศจำนวนมากเข้าร่วมในโครงการนี้ และได้เห็นถึงพลังและความมุ่งมั่นของผู้เข้าร่วมอบรมทุกท่าน ซึ่งบุคลากรเหล่านี้จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่นำ AI ไปประยุกต์ใช้และยกระดับการดำเนินงานเพื่อเสริมประสิทธิภาพให้กับหน่วยงานภาครัฐต่อไป โครงการนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดความร่วมมือที่แน่นแฟ้นจากทุกฝ่าย ขอขอบคุณทาง DGA ที่ทำให้เกิดของโครงการนี้ และผู้เข้าร่วมโครงการทุกท่าน รวมถึงพันธมิตรของไมโครซอฟท์ และขอแสดงความยินดีกับผู้ชนะการแข่งขัน Hackathon ทุกทีม ไมโครซอฟท์ให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าสนับสนุนการนำ AI มาสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับประเทศไทยของเราอย่างต่อเนื่อง”
ไอรดา เหลืองวิไล รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล กล่าวว่า “โครงการ Tech for Gov 2025: NextGen Gov AI Training Program นับเป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการขับเคลื่อนหน่วยงานภาครัฐสู่ดิจิทัล ซึ่งต้องอาศัยความมุ่งมั่นและความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไมโครซอฟท์ซึ่งมีเครื่องมือและแพลตฟอร์ม AI ระดับโลก จะช่วยยกระดับการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้บริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เราขอขอบคุณไมโครซอฟท์และพันธมิตรที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันโครงการนี้จนประสบผลสำเร็จ และที่ขาดไม่ได้เลยคือผู้เข้าร่วมแข่งขันทุกท่าน ขอชื่นชมทุกทีมที่เข้าร่วม Hackathon แม้จะใช้เวลาอบรมไม่นาน แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของบุคลากรภาครัฐในการนำ AI ไปสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับประเทศไทยทั้งในวันนี้และอนาคต สุดท้ายนี้ขอฝากความหวังของคนภาครัฐ และความหวังของประชาชนไว้ในมือของทุกท่านด้วย เพราะทุกท่านคือพลังสำคัญที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่รัฐบาลดิจิทัล”
![]()
12 ทีมจากหน่วยงานภาครัฐที่เข้าร่วมการแข่งขัน Hackathon ในโครงการ Tech for Gov 2025: NextGen Gov AI Training Program แสดงศักยภาพในการนำ AI มาสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาและยกระดับการทำงานของภาครัฐได้อย่างน่าประทับใจ
![]()
รางวัลชนะเลิศสูงสุด ได้แก่ ทีม AI-Din จากกรมที่ดิน ซึ่งพัฒนา AI เพื่ออำนวยความสะดวกในการบริการประชาชนของกรมที่ดิน ในงานที่ต้องอาศัยความชำนาญของเจ้าหน้าที่ เช่น การตอบคำถามหรือการตรวจเอกสาร เพื่อแบ่งเบาภาระงานและให้บริการได้อย่างรวดเร็ว โดยตัวแทนของทีมเปิดเผยว่า “การเข้าอบรมทักษะ AI กับไมโครซอฟท์ ทำให้เกิดแรงจูงใจในการนำ AI มาปรับใช้ในกระบวนการทำงาน และเป็นแบบอย่างให้องค์กรและหน่วยงานอื่นๆ ได้เห็นว่าสามารถนำ AI มาเป็นผู้ช่วยทำงานได้จริง เพื่อขยายผลไปยังโครงการอื่นๆ ขอขอบคุณไมโครซอฟท์ และ DGA ที่จัดโครงการดีๆ นี้ขึ้นมา การเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลดิจิทัลไม่ได้มีเพียงเรื่องเทคโนโลยี แต่รวมถึงวิธีคิดและการนำไปปรับใช้ เช่น การใช้ Power Platform ของไมโครซอฟท์ที่ช่วยบูรณาการการทำงานของ AI ในส่วนต่างๆ สะดวกและรวดเร็วขึ้น จึงพัฒนาโปรเจกต์ได้เร็ว เราเชื่อว่าการนำ AI มาใช้ในภาครัฐจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงานที่เป็นพื้นฐานในการบริการประชาชนและการพัฒนาประเทศของเราให้ดียิ่งขึ้น”
รางวัลชนะเลิศประเภท Efficiency หรือเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงาน ได้แก่ ทีม The Reform Coders จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ซึ่งพัฒนาแพลตฟอร์ม Lert-Na เพื่อช่วยในการคัดกรองการตรวจรางวัลเลิศรัฐ ของ ก.พ.ร. ที่เปิดให้หน่วยงานภาครัฐส่งโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานเข้ามาประกวด ซึ่งมีจำนวนมากทุกปี ระบบนี้จะช่วยแบ่งเบาภาระงานตรวจเอกสารและให้คำแนะนำแก่คณะกรรมการ ด้วยข้อมูลเชิงสถิติจาก AI ทำให้การตัดสินรวดเร็วและโปร่งใสมากขึ้น
รางวัลชนะเลิศประเภท Experience หรือสร้างประสบการณ์ของประชาชน ได้แก่ ทีม ฉันจะใช้ AI ทุกวัน จากไปรษณีย์ไทย ที่พัฒนาแพลตฟอร์ม CPTA Digital Post เป็น AI ช่วยให้ผู้ประกอบการส่งออกง่ายขึ้นตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เช่น AI Document Intelligence ในการช่วยเตรียมเอกสาร AI Machine Learning ช่วยให้ไปรษณีย์ไทยเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของผู้ใช้เพื่อพัฒนาบริการที่ดียิ่งขึ้น และ AI Object Detection ในการตรวจจับเอกสารที่ไม่ต้องรับรองเพื่อให้บริการได้อย่างรวดเร็ว
รางวัลชนะเลิศประเภท Empowerment หรือการเสริมสร้างประเทศให้ประสบความสำเร็จ ได้แก่ ทีม ATB Synergy ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งพัฒนาแพลตฟอร์ม ‘ธารรัฐ’ ในตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างในหน่วยงานภาครัฐที่มีมากกว่า 1 ล้านโครงการต่อปี ระบบนี้เปรียบเสมือนสายธารแห่งความโปร่งใส ที่ช่วยส่งเสริมความรู้และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน นอกจากนี้ยังช่วยลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในการให้ข้อมูลต่างๆ โดยใช้ AI Agent
ผู้สนใจสามารถเรียนรู้ทักษะ AI ด้วยตนเองได้ที่ AISkillsNavigator และอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ THAI Academy ได้ที่เว็บไซต์ https://thai-academy.com/th/
ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านพลังงาน เมื่อความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากหลายปัจจัย เช่น อุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าแทนเชื้อเพลิงอื่น ๆ (Electrification) และการเข้าสู่ยุคดิจิทัล (Digitalization) ที่ทุกอย่างเชื่อมโยง ผ่านเทคโนโลยี ขณะเดียวกันความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และแรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้ทุกภาคส่วนเร่งสร้างระบบพลังงานที่มั่นคงและยั่งยืน โดยเทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงานมีบทบาทสำคัญในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตและการใช้พลังงาน ที่เพิ่มประสิทธิภาพและ ความยืดหยุ่น พร้อมเดินหน้าสู่ความมั่นคงด้านพลังงานและการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจให้สอดรับกับภูมิทัศน์พลังงานที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป (Energy Landscape Transformation) บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ในฐานะผู้ผลิตพลังงานระดับสากล ได้รวบรวม 5 เทรนด์พลังงานสำคัญที่องค์กรธุรกิจควรจับตา ดังนี้
1. ความมั่นคงทางพลังงาน ปัจจัยสำคัญผลักดันการลงทุนทั่วโลก
รายงานล่าสุดจากองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่า “ความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security)” กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้การลงทุนด้านพลังงานทั่วโลกในปี 2025 พุ่งสูงถึง 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแบ่งเป็นการลงทุนในพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน รวมมูลค่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และการลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น พลังงานหมุนเวียน พลังงานนิวเคลียร์ ระบบโครงข่ายไฟฟ้า และแบตเตอรี่ รวมมูลค่า 2.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[1] ท่ามกลางความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและความกังวลด้านความมั่นคงทางพลังงาน ภาครัฐและภาคธุรกิจทั่วโลกจึงเร่งวางแผนรับมือความเสี่ยงรอบด้านผ่านการลงทุนที่สมดุลทั้งในพลังงานดั้งเดิมและพลังงานสะอาดเพื่อรักษาความต่อเนื่องในการใช้ไฟฟ้า สร้างความมั่นใจว่าจะมีไฟฟ้าที่เพียงพอต่อความต้องการใช้งานภายในประเทศอย่างยั่งยืน พร้อมเสริมความมั่นคงทางธุรกิจและเศรษฐกิจระดับประเทศในระยะยาว
2. เทคโนโลยี Co-firing ทางเลือกสู่เป้าหมายลด CO₂
ปัจจุบันโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนยังคงเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าหลักที่ช่วยให้เรามีไฟฟ้าใช้อย่างต่อเนื่อง รองรับการใช้ชีวิตและกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างไม่สะดุด เทคโนโลยี Co-firing คือ การนำเชื้อเพลิงทางเลือก เช่น ชีวมวล (Biomass), ไฮโดรเจน (Hydrogen) และแอมโมเนีย (Ammonia) มาใช้ร่วมกับเชื้อเพลิงหลักอย่างฟอสซิลในโรงไฟฟ้า เพื่อช่วยลดการปล่อย CO₂ โดยหลายประเทศให้ความสนใจและเริ่มทดลองใช้งานจริงอย่างเป็นรูปธรรม เช่น จีน ได้กำหนดให้โรงไฟฟ้าถ่านหินที่ผ่านการปรับปรุงหรือสร้างใหม่ต้องสามารถผสมชีวมวลหรือแอมโมเนียไม่น้อยกว่า 10%[2] ภายในปี 2027 เพื่อบรรลุเป้าหมายลด CO₂ ลง 50% เมื่อเทียบจากระดับการปล่อย CO₂ ในปี 2023[3] ตามแผนปฏิบัติการ “Low-Carbon Transformation of Coal Power Plants (2024–2027)” ด้านไทย แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP 2024) ได้มีการวางแผนใช้ไฮโดรเจนเริ่มต้นที่ 5% ผสมกับก๊าซธรรมชาตินำร่องใช้ในโรงไฟฟ้าในช่วงปี 2030-2037[4] ซึ่งเทคโนโลยี Co-firing กำลังเปลี่ยนโฉมโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนแบบเดิมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
3. Data Centers โตดันดีมานด์ไฟฟ้าพุ่ง พลังงานหมุนเวียน หนึ่งในทางเลือกที่ตอบโจทย์
พลังงานหมุนเวียนเติบโตต่อเนื่องเพื่อตอบรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจดิจิทัลและศูนย์ข้อมูล (Data Centers) โดยองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดว่าภายในปี 2030 ความต้องการใช้ไฟฟ้าจากศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า เป็นประมาณ 945 เทราวัตต์-ชั่วโมง[5] โดยกลุ่มยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี เช่น Amazon Web Services ได้ตั้งเป้าใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ในศูนย์ข้อมูล ภายในปี 2025[6]
ขณะที่ Microsoft และ Google Cloud ได้ขยายความมุ่งมั่นไปสู่การใช้พลังงานที่ปราศจากคาร์บอน (Carbon-Free Energy หรือ CFE) ตลอด 24 ชั่วโมง ภายในปี 2030[7] อย่างไรก็ตาม พลังงานความร้อนยังคงมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่พลังงานหมุนเวียนไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง รายงานจาก Precedence Research คาดว่า ตลาดโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทั่วโลกจะมีมูลค่า 1.56 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 และจะเติบโตถึง 2.13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2034[8] นอกจากนี้ เทคโนโลยี ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage: BESS) กำลังมีบทบาทสำคัญในการสำรองและจ่ายไฟฟ้ากลับสู่ระบบในช่วงที่ไม่มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทำให้บริหารความต้องการใช้ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยตลาด BESS ในเอเชียแปซิฟิกคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 14.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2033[9] สะท้อนว่า การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานยังคงต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างพลังงานความร้อน พลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีพลังงาน เพื่อเสริมความมั่นคงและความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้า
4. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor: SMR) เทคโนโลยีพลังงานสะอาด
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ SMR คือ โรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่ใช้ความร้อนจากปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบฟิชชัน (Nuclear Fission) ในการผลิตไฟฟ้า โดยมีจุดเด่นสำคัญคือ การบริหารจัดการวัสดุกัมมันตรังสีใช้แล้วอย่างมีประสิทธิภาพ และการออกแบบที่ส่งเสริมความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ด้วยระบบระบายความร้อนที่ช่วยรักษาอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งเครื่องปฏิกรณ์ถูกออกแบบให้เป็นโมดูลขนาดเล็กช่วยลดระยะเวลาก่อสร้างและติดตั้งจาก 5-6 ปี เหลือเพียง 3-4 ปี โดยมีกำลังผลิตสูงสุดถึง 300 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่องโดยไม่ปล่อย CO₂ ปัจจุบันหลายประเทศอยู่ระหว่างพัฒนาและทดลองการใช้งาน เช่น จีน มีโครงการ ACP100 หรือ Linglong One กำลังการผลิตประมาณ 125 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่มณฑลไห่หนาน คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในปี 2026[10] ขณะที่ในสหรัฐฯ ได้อนุมัติแบบเครื่องปฏิกรณ์ SMR ขนาด 77 เมกะวัตต์ของ NuScale Power[11] สำหรับไทย ในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ (PDP2024) ได้มีการบรรจุแผนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก 2 แห่ง ขนาดกำลังผลิตแห่งละ 300 เมกะวัตต์ โดยอยู่ระหว่างเตรียมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการพัฒนาในอนาคต[12] เทคโนโลยี SMR จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าจับตามองในการเสริมความมั่นคงด้านพลังงาน และลดการปล่อยคาร์บอนในระยะยาว
5. Grid Modernization อัปเกรดโครงข่ายไฟฟ้าให้ชาญฉลาดและทันสมัยยิ่งขึ้น
Grid Modernization คือ การปรับปรุงระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้ชาญฉลาด ยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อรองรับแหล่งพลังงานที่หลากหลาย เช่น พลังงานหมุนเวียน และตอบโจทย์การใช้พลังงานในอนาคต โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เช่น ระบบควบคุมอัตโนมัติ การวิเคราะห์ข้อมูล และการจัดการโหลดไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ ช่วยลดการปล่อย CO₂ และรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าโดยรวม[13] ในเอเชียแปซิฟิก ตลาด Grid Modernization คาดว่าจะเติบโตจาก 12.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 เป็นกว่า 51.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2032[14] ขณะที่สหรัฐฯ ดำเนินโครงการ Grid Resilience and Innovation Partnerships (GRIP) มูลค่า 10.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของโครงข่ายไฟฟ้าในการรับมือกับสภาพอากาศที่ผันผวน[15] ส่วนจีนมีการประกาศแผนลงทุนในระบบโครงข่ายไฟฟ้ามูลค่าสูงถึง 800 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030 เพื่อรองรับความต้องการไฟที่เพิ่มขึ้นและสนับสนุน การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน[16]
อนาคตพลังงานกำลังขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสร้างระบบพลังงานที่มั่นคง ยืดหยุ่น และลดการปล่อยคาร์บอนอย่างเป็นรูปธรรม แนวโน้มนี้ไม่ได้เป็นเพียงนโยบาย แต่เกิดขึ้นจริงในภาคธุรกิจทั่วโลก ในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจพลังงานใน 8 ประเทศทั่วโลก BPP มุ่งมั่น
ผลิตและพัฒนาพลังงานคุณภาพสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อสนับสนุนความมั่นคงด้านพลังงานและการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกประเทศที่ดำเนินธุรกิจ
LINE MAN Wongnai เผยภาพรวมธุรกิจร้านอาหารไทยในงาน Thailand Coffee Fest 2025 ว่ายอดขายของร้านอาหาร ลดลง 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากปัจจัยเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง สวนทางกับตลาดกาแฟที่ยังเติบโต โดยเฉพาะร้านกาแฟ Specialty ราคาจับต้องได้ (Affordable Specialty Coffee) ที่มีราคาต่อบิลต่ำกว่า 100 บาท กลายเป็นสัดส่วนตลาดที่เติบโตเร็วที่สุด โดยในกรุงเทพฯ เติบโตสูงถึง 46% และในต่างจังหวัดเติบโต 19%
แม้จำนวนร้านกาแฟเปิดใหม่ในปีนี้จะลดลงจาก 7,000 ร้านในช่วงครึ่งปีแรกของปีก่อน เหลือเพียง 5,000 ร้าน แต่ร้านกาแฟยังคงมีอัตราอยู่รอดในปีแรกสูงกว่าร้านอาหารทั่วไป โดยร้านกาแฟมีอัตราการปิดตัวในปีแรกอยู่ที่ 43% เทียบกับ
ร้านอาหารทั่วไปที่ปิดตัวสูงกว่าในปีแรกถึง 50% นอกจากนี้ ตลาดมัทฉะยังเติบโตต่อเนื่อง โดยยอดขายร้านมัทฉะเดิมเติบโตถึง 28%
ข้อมูลจาก LINE MAN Wongnai ยังพบว่า Specialty Coffee มีส่วนแบ่งตลาดใหญ่กว่ากาแฟทั่วไป โดยมีสัดส่วนยอดขายทั่วประเทศ 56% และในกรุงเทพฯ และปริมณฑลสูงถึง 66% อีกทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้เปลี่ยนแปลงไป โดยลูกค้าต้องการความรวดเร็ว ช่องทางการสั่งซื้อและชำระเงินที่หลากหลาย โดยเฉพาะ Digital Payment ที่มีสัดส่วนเกินครึ่งและช่วยเพิ่มยอดขายต่อบิลขึ้นถึง 32% ส่วน Digital Ordering เช่น การสั่งผ่าน QR Code ที่โต๊ะ ช่วยเพิ่มขนาดออเดอร์ได้ถึง 37%
ในส่วนของช่องทางเดลิเวอรี ยอดขายกาแฟใน LINE MAN เติบโตขึ้น 23% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเฉลี่ยแล้ว 22% ของยอดขายร้านกาแฟมาจากเดลิเวอรี สะท้อนว่าการเข้าถึงลูกค้าผ่านหลายช่องทางยังคงเป็นหัวใจสำคัญ
LINE MAN Wongnai สรุป 3 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในยุคนี้ประสบความสำเร็จ ได้แก่ การขายสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้ (Affordable Quality) การมีช่องทางขายครบวงจรทั้งหน้าร้านและออนไลน์ (Omni-channel) และการใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือดิจิทัล เช่น POS, Digital Ordering และ Digital Payment เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการดำเนินงาน
บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด (SCB 10X) บริษัทด้านการลงทุนในเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก (Disruptive Technology) ภายใต้กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (SCBX Group) ประกาศเข้าร่วมลงทุนรอบ Seed มูลค่ารวม 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ใน Pokee AI บริษัทผู้นำด้านการพัฒนา AI Agent อัจฉริยะ ซึ่งมีภารกิจในการยกระดับประสิทธิภาพการทำงานในยุคดิจิทัลผ่าน AI Agent โดยมี Point72 Ventures เป็นผู้นำการลงทุน และได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนชั้นนำระดับโลก ได้แก่ Qualcomm Ventures, Salience Capital, Samsung NEXT Ventures, Jinqiu Capital, Aiconic Ventures, Sixty Degree Capital รวมถึงนักลงทุนรายบุคคลชื่อดังอย่าง Lip-bu Tan (CEO ของ Intel และประธานบริษัท Walden International) และ Abhay Parasnis (ผู้ก่อตั้ง Typeface และอดีต CTO ของ Adobe)
Pokee AI พัฒนาแพลตฟอร์ม AI ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถเปิดใช้งาน “AI Agents” สำหรับทำงานอัตโนมัติในโลกออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องมีความรู้เทคนิคเชิงลึก ตัวแพลตฟอร์มสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องมือดิจิทัลยอดนิยมอย่าง Google Workspace, Microsoft Office, Meta, LinkedIn, Reddit, YouTube, TikTok, Jira และ GitHub รองรับการใช้งานที่หลากหลาย เช่น การสร้างคอนเทนต์ (ข้อความ, ภาพ, วิดีโอ, เสียง), การวิเคราะห์สเปรดชีต, การสร้างสไลด์, การวิจัยเชิงลึก และการจัดการเอกสาร PDF
“SCB 10X เชื่อมั่นและลงทุนในผู้ก่อตั้งที่มีวิสัยทัศน์ที่มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม” นางสาวไพลิน (พาย) วิชากูล Chief Investment Officer แห่ง SCB 10X กล่าว
“Pokee AI จะเป็นประตูสู่อนาคตที่ทุกคนสามารถใช้ AI agent เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างก้าวกระโดด SCB 10X เชื่อมั่นในศักยภาพของ Pokee AI ที่จะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของการทำงานในยุคใหม่”
“วิสัยทัศน์ของเราคือการทำให้ทุกคนสามารถสร้างระบบอัตโนมัติสำหรับเวิร์กโฟลว์ออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย ทั้งรวดเร็ว เชื่อถือได้ และรองรับการใช้งานได้อย่างกว้างขวาง” เจ๋อชิง (บิลล์) จู้ (Zheqing (Bill) Zhu) ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารแห่ง Pokee AI กล่าว “การระดมทุนครั้งนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งของนักลงทุนที่มีต่อเทคโนโลยีและศักยภาพการเติบโตของเรา เราพร้อมเดินหน้าต่อยอดความสำเร็จนี้เพื่อขยายขีดความสามารถของแพลตฟอร์ม และส่งมอบคุณค่าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนให้แก่ผู้ใช้งานของเรา”
เงินลงทุนรอบนี้จะช่วยเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีของ Pokee AI ขยายโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับการเติบโตในวงกว้าง และผลักดันการเข้าสู่ตลาดอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Google ที่จะนำ AI Agent ของ Pokee AI ไปใช้งานจริงกับผู้ใช้ในหลากหลายสายงาน เช่น การจัดการโซเชียลมีเดีย การตลาด และอื่นๆ
แพลตฟอร์ม Pokee AI เปิดให้ทดลองใช้งานเวอร์ชันเบต้าแล้วที่ http://pokee.ai โดยผู้ใช้งานกลุ่มแรกต่างเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนทั้งด้านความเร็ว ผลผลิต และความคล่องตัว