December 16, 2025

ทรู คอร์ปอเรชั่น สนับสนุนเทศกาลประเพณีสำคัญในภาคอีสาน และการท่องเที่ยวไทย ขยายสัญญาณ 5G รองรับการจัดงานประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างวันนี้ถึง 13 กรกฎาคม 2568 ณ บริเวณทุ่งศรีเมือง และพื้นที่ใจกลางเมืองอุบลราชธานี จัดโซลูชันเพิ่มประสิทธิภาพพร้อมทีมวิศวกรเครือข่ายดูแลตลอด 24 ชั่วโมงตลอดการจัดงาน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเดินทางเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงไฮไลท์ขบวนแห่เทียนกลางวันและกลางคืนในวันที่ 10-11 กรกฎาคม 2568

นายประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยีและความปลอดภัยระบบสารสนเทศ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "เรามุ่งมั่นสนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์ไทยผ่านงานประเพณีและเทศกาลสำคัญต่างๆ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว สำหรับงานแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานีในครั้งนี้ ทีมวิศวกรดูแลเครือข่ายได้สำรวจพื้นที่และขยายสัญญาณ 5G และ 4G เพิ่มประสิทธิภาพครอบคลุมทั่วบริเวณเส้นทางการจัดงาน เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถแชร์ประสบการณ์ได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการใช้โซเชียลมีเดีย การไลฟ์ถ่ายทอดบรรยากาศงาน การอัปโหลดภาพรถแห่เทียนสวยงาม หรือการแชร์วิดีโอความละเอียดสูงได้อย่างรวดเร็ว”

งานประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี เป็นศิลปกรรมที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อร่วมกันถวายเทียนให้พระสงฆ์ใช้เป็นแสงส่องสว่างในช่วงเข้าพรรษาในวัด จนถึงปัจจุบันที่พัฒนาเป็นการแกะสลักเทียนขนาดใหญ่ ประดับด้วยลวดลายพุทธประวัติและตำนานพื้นบ้านอีสานอย่างวิจิตรตระการตา โดยเทียนแต่ละต้นจะสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของช่างฝีมือไทยที่ใช้เวลาหลายเดือนในการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอก

ขบวนเทียนแกะสลักจะจัดแสดง ณ ทุ่งศรีเมือง และบริเวณหน้าวัดศรีอุบลรัตนาราม และลานขวัญเมือง โดยขบวนจะเคลื่อนผ่านถนนสายสำคัญในตัวเมืองสร้างสีสันและดึงดูดผู้คน ทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนให้ประทับใจ ภายในงานยังเต็มไปด้วยการแสดงดนตรีพื้นบ้าน การแสดงศิลปวัฒนธรรม การจำหน่ายสินค้า OTOP และอาหารท้องถิ่นที่หาชิมได้ยาก

ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมดูแลและสนับสนุนด้วยการเตรียมเครือข่าย 5G และ 4G ครอบคลุมพื้นที่อุบลราชธานี พร้อมทีมวิศวกรเครือข่ายที่คอยดูแลสัญญาณอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง และยังเสริมด้วยรถโมบายล์สถานีฐานเคลื่อนที่ (Cell-On-Wheel: COW) ที่จะช่วยรองรับการใช้งานหนาแน่น พร้อมปรับพารามิเตอร์สัญญาณตามพฤติกรรมการใช้งาน และจัดทีมวิศวกรเครือข่ายประจำพื้นที่อีกด้วย

"เราพร้อมรองรับประชาชนที่เดินทางท่องเที่ยวงานประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี รวมถึงประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาในวันหยุดยาวในช่วงวันเข้าพรรษา เพื่อให้ลูกค้าทั้งทรูและดีแทค และนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติได้รับประสบการณ์การใช้งานดิจิทัลที่ราบรื่นทั่วไทย" นายประเทศ กล่าวในที่สุด

ทรูมันนี่ ผู้นำด้านบริการอิเล็กทรอนิกส์เพย์เมนท์และผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ เพย์ เน็กซ์ เอ็กซ์ตร้า ซึ่งเป็นบริการสินเชื่อโดย บริษัท แอสเซนด์ นาโน จำกัด ผนึกกำลัง อัลเตอร์วิม บริษัทผู้พัฒนาและลงทุนในธุรกิจด้านพลังงานทดแทนในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ประกาศความร่วมมือเพื่อผลักดันประเทศไทยสู่อนาคตคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน

โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงพลังงานสะอาดได้ง่าย ๆ ผ่านบริการวงเงินพร้อมใช้ “เพย์ เน็กซ์ เอ็กซ์ตร้า” (Pay Next Extra) บนแอปทรูมันนี่ สำหรับการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ในครัวเรือน ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ตามนโยบายภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมสร้างโอกาสให้คนไทยได้มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างเท่าเทียมและยั่งยืน โดยยังถือเป็นการนำเสนอสินเชื่อรูปแบบดิจิทัลเพื่อติดตั้งโซลาร์เซลล์ครั้งแรกในไทย

 

นายกรกฤต เมฆบุญส่งลาภ ผู้อำนวยการฝ่ายความสำเร็จทางธุรกิจของพันธมิตร บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด กล่าวว่า “ทรูมันนี่ มุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการเงินเพื่อมอบโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน จึงได้ร่วมมือกับ เพย์ เน็กซ์ เอ็กซ์ตร้า และ อัลเตอร์วิม ในการผสานจุดแข็งของการเป็นผู้ให้บริการ FinTech เพื่อผลักดัน GreenTech และขยายการเข้าถึงโซลูชันพลังงานสะอาดอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการร่วมมือนำเสนอบริการวงเงินพร้อมใช้เพื่อติดตั้งโซลาร์เซลล์ ที่สามารถสมัครทางออนไลน์ได้สะดวก รวดเร็ว ผ่านแอปทรูมันนี่ นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของเราในการนำศักยภาพของการเงินดิจิทัลมาเชื่อมต่อทุกครัวเรือนกับพลังงานสะอาด ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตในแบบที่เป็นมิตรต่อโลก”

แนวโน้มความต้องการพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากรายงานของ Verified Market Research ที่ระบุว่าตลาดพลังงานแสงอาทิตย์ในไทยมีมูลค่าประมาณ 3.32 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 และคาดว่าจะขยายตัวแตะระดับ 9.46 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2032 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ราว 14% ซึ่งสะท้อนถึงความตื่นตัวของผู้บริโภคและภาคธุรกิจในการมองหาทางเลือกด้านพลังงานที่ยั่งยืนและคุ้มค่ากว่าในระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงที่ต้นทุนด้านพลังงานมีแนวโน้มผันผวนอย่างต่อเนื่อง

เพื่อต่อยอดแนวโน้มการเติบโตของพลังงานทางเลือก ความร่วมมือนี้จึงเปิดโอกาสให้คนไทยที่สนใจพลังงานสะอาดสามารถเข้าถึงระบบโซลาร์เซลล์ได้สะดวกขึ้นผ่านบริการวงเงินพร้อมใช้ เพย์ เน็กซ์ เอ็กซ์ตร้า (Pay Next Extra) บนแอปทรูมันนี่ ด้วยวงเงินสูงสุดถึง 500,000 บาท ผ่อนชำระได้นานสูงสุด 84 เดือน โดยไม่ต้องวางเงินดาวน์ พร้อมอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0.6% ต่อเดือน ทั้งยังมาพร้อมบริการครบวงจรจาก อัลเตอร์วิม ตั้งแต่การสำรวจพื้นที่ การวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า การออกแบบและติดตั้งระบบ ไปจนถึงบริการหลังการขาย โดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มากกว่า 2,800 โครงการทั่วประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพและประสิทธิภาพของระบบ ซึ่งสามารถช่วยลดค่าไฟได้สูงสุดกว่า 70%1

 

นางสาวภควดี กอเจริญรัตนกุล ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท อัลเตอร์วิม จำกัด กล่าวว่า “อัลเตอร์วิม ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนพลังงานสะอาดให้เป็นทางเลือกที่เข้าถึงได้จริงสำหรับทุกคน การร่วมมือกับ ทรูมันนี่ และ แอสเซนด์ นาโน ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการลดอุปสรรคเรื่องต้นทุนและขั้นตอนที่ซับซ้อน ผ่านโซลูชันทางการเงินที่มีความยืดหยุ่น คล่องตัว และสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ ช่วยให้ลูกค้าทั่วไป ตลอดจนกลุ่มธุรกิจที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง ตัดสินใจติดตั้งโซลาร์เซลล์ได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น อัลเตอร์วิมยังมีความเชื่อมั่นว่า เมื่อการเข้าถึงเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ย่อมมีส่วนสำคัญในการจุดประกายการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบพลังงานสะอาดที่ยั่งยืนและครอบคลุมมากยิ่งขึ้นในระดับประเทศ”

ทรู คอร์ปอเรชั่น เดินหน้ายกระดับความมั่นคงปลอดภัยทางดิจิทัล ป้องกันการเกิดซิมผี ตามแนวทางและมาตรการของสำนักงานกสทช. ที่กำหนดให้ผู้ที่ซื้อซิมใหม่ต้องยืนยันตัวตนด้วยไบโอเมตริกซ์ โดยได้ลงทุนพัฒนาระบบลงทะเบียนซิมด้วยเทคโนโลยี AI ผ่านการรับรองจาก iBeta ระดับ 2 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลระดับสูงสุด เทียบเท่าธนาคารระดับโลก พร้อมฟีเจอร์ตรวจจับความผิดปกติในการยืนยันตัวตนแบบเรียลไทม์ในทุกขั้นตอนการลงทะเบียนซิม เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพนำชื่อหรือใบหน้าไปสวมสิทธิ์ใช้ในการลงทะเบียนซิม เปิดให้ลูกค้าทรูและดีแทคสามารถลงทะเบียนซิมและยืนยันตัวตนผ่านเทคโนโลยี Liveness Detection ได้ด้วยตนเองผ่านทรูแอป (True App) และล่าสุด ได้ขยายการใช้งานระบบนี้ไปยัง ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายและร้านค้าย่อย ทั่วประเทศ ผ่าน One App ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันสำหรับร้านค้าพันธมิตร โดยใช้เทคโนโลยี ที่สามารถตรวจจับการแสดงตัวตนแบบสด (Liveness Detection) ตรวจสอบตัวตนแบบเรียลไทม์ด้วย AI ที่มีความแม่นยำสูง ป้องกันการปลอมแปลง เพื่อสร้างความปลอดภัยและความมั่นใจสูงสุดให้กับผู้ใช้งาน

นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ด้วยตระหนักถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างมากมายจากการหลอกลวงของมิจฉาชีพออนไลน์ในยุคดิจิทัล ทรูจึงมุ่งมั่นพัฒนามาตรการความปลอดภัย เพราะเราเชื่อว่าการปกป้องลูกค้า สร้างความเชื่อมั่นในการใช้งานโทรคมนาคมคือความรับผิดชอบของเรา ที่ผ่านมาเราได้ทำงานเชิงรุกกับภาครัฐในการยกระดับความปลอดภัยของระบบซิมและบริการ ให้สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติของสำนักงาน กสทช. ที่กำหนดให้การซื้อซิมใหม่ต้องยืนยันตัวตนผ่านไบโอเมตริกซ์เพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้ลงทุนในเทคโนโลยี AI ขั้นสูง พร้อมระบบ Liveness Detection ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล iBeta ระดับสูงสุด เทียบเท่าธนาคารระดับโลก การันตีความสามารถในการตรวจจับความผิดปกติทุกรูปแบบ ช่วยตรวจสอบตัวตนได้อย่างแม่นยำ และมีการจัดเก็บอย่างปลอดภัยตามมาตรฐานที่กำหนด ป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพนำชื่อหรือใบหน้าไปสวมสิทธิ์ใช้ในการลงทะเบียนซิม ซึ่งเปิดให้ลูกค้าทรู ดีแทคได้ลงทะเบียนด้วยตัวเองผ่านทรูแอปไปแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี ใช้งานง่าย สะดวกและรวดเร็ว เรายังให้ความสำคัญกับพันธมิตรด้วยการขยายการใช้งานระบบลงทะเบียนซิมใหม่นี้ไปยังร้านค้าตัวแทนจำหน่ายและร้านค้าย่อยทั่วประเทศ ผ่าน One App ลูกค้าทรู ดีแทคที่ซื้อซิมใหม่หรือแก้ไขชื่อผู้จดทะเบียนสามารถลงทะเบียนด้วยความมั่นใจและปลอดภัย ทรูมั่นใจว่า ระบบลงทะเบียนซิมแบบใหม่ ที่มีเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง ตรวจสอบตัวตนแบบเรียลไทม์ด้วย AI ที่มีความแม่นยำกว่า 99% จะช่วยลดความเสี่ยงจากการปลอมแปลงหรือแอบอ้าง ทั้งยังป้องกันมิจฉาชีพนำซิมไปใช้ผิดกฎหมาย ปกป้องลูกค้าจากภัยไซเบอร์ สอดคล้องกับภารกิจของทรูในการสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยและยั่งยืน

 

ลูกค้าสามารถลงทะเบียนซิมใหม่ด้วยระบบ AI พิสูจน์อัตลักษณ์ผ่าน One App ที่ร้านค้าทั่วประเทศ โดยเตรียมบัตรประชาชนตัวจริง และปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้ เพื่อให้ระบบตรวจสอบใบหน้าได้อย่างแม่นยำ :

1. ไม่ใส่แว่นกันแดด

2. ไม่ใส่หน้ากากหรือเครื่องประดับ

3. เลือกพื้นที่ที่มีแสงเพียงพอ

ลูกค้าทรู ดีแทค สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คอลเซ็นเตอร์ ทรู 1242 หรือ ดีแทค 1678

“กรุงศรี ออโต้” ผู้นำธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ครบวงจร เครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เผยอินไซต์ผู้ใช้รถตามภูมิภาค อ้างอิงจากข้อมูลการขอสินเชื่อยานยนต์ ชี้กรุงเทพฯและปริมณฑล นำเทรนด์ใช้รถอีวี เน้นผ่อนสั้น-จบไว ภาคเหนือนิยมรถกระบะและรถเก๋งขนาดกลางเน้นความคุ้มค่าและความทนทาน ภาคอีสาน ใช้กระบะเป็นเครื่องมือสร้างรายได้ของคนทุกเจเนอเรชัน โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นสร้างตัว ขณะที่ภาคตะวันออกขับเคลื่อนด้วยรถเก๋งขนาดกลางและขนาดใหญ่ในเขตเมืองอุตฯ ส่วนภาคใต้ใช้กระบะฝ่าภูเขา–ชายฝั่ง พร้อมขึ้นแท่นภูมิภาคที่มีการใช้บริการสินเชื่อยานยนต์ดิจิทัลสูงเป็นอันดับสองของประเทศ

นายคงสิน คงคา ประธานเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ประเทศไทยมีความหลากหลายในเชิงภูมิประเทศและโครงสร้างประชากร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อแนวโน้มการเลือกซื้อและการขอสินเชื่อยานยนต์ ซึ่งจากการที่ กรุงศรี ออโต้ ได้ศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้รถในแต่ละภูมิภาค พร้อมนำมาวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก พบว่า รถเก๋งขนาดกลาง ถึงขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มไฮบริด ได้รับความนิยมมากขึ้น ในขณะที่ผู้ใช้รถ Gen X อายุระหว่าง 45-60 ปี ที่มีรายได้ตั้งแต่ 45,000 บาทขึ้นไป ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีแนวโน้มเลือกใช้รถเก๋งขนาดใหญ่และรถกระบะ เพื่อความสะดวกสบาย ใช้งานในครัวเรือนและการประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรม”

“จากอินไซต์ความแตกต่างของผู้ใช้รถในแต่ละภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นประเภทรถที่ได้รับความนิยม อาชีพ รายได้ พฤติกรรมการขอสินเชื่อ หรือแม้แต่การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล ทำให้กรุงศรี ออโต้ ไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้รถทั่วประเทศ เพื่อเป้าหมายในการเป็นที่ 1 ในใจผู้ใช้รถ ที่สามารถออกแบบโซลูชันให้สามารถตอบโจทย์ได้อย่างตรงจุด ครอบคลุม และเข้าใจบริบทของผู้ใช้รถในแต่ละพื้นที่อย่างแท้จริง” นายคงสิน กล่าวเสริม

เมืองหลวงนำเทรนด์! คนกรุงนิยมรถใหม่ พร้อมเทใจให้รถอีวี

กรุงเทพมหานครยังคงเป็นหัวใจของธุรกิจยานยนต์ในประเทศไทย โดยครองอันดับหนึ่งของประเทศในด้านยอดขายรถยนต์ ด้วยสัดส่วนที่สูงกว่าภูมิภาคอื่นอย่างต่อเนื่อง โดยรถยนต์ที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างชัดเจนคือ รถยนต์ไฟฟ้า และรถเก๋งขนาดใหญ่ โดยในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า มีแบรนด์ยอดนิยม 5 อันดับแรก ได้แก่ BYD, AION, MG, Deepal (CHANGAN) และ GWM ORA ส่วนหนึ่งมาจากการติดตั้งสถานีชาร์จที่ครอบคลุมทั่วพื้นที่กว่า 1,500 แห่ง รวมถึงการติดตั้งที่ชาร์จภายในบ้านหรือที่อยู่อาศัยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับความต้องการนวัตกรรมยานยนต์ที่ทันสมัยและประหยัดพลังงาน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ต้องเผชิญกับการจราจรหนาแน่นในชีวิตประจำวัน ขณะที่รถเก๋งขนาดใหญ่ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน เนื่องจากมีทางเลือกที่หลากหลาย ทั้งจากแบรนด์ญี่ปุ่นและยุโรป และในหลากหลายรูปแบบขุมพลัง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์สันดาป (ICE) ไฮบริด (HEV) หรือปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) เพื่อรองรับความต้องการที่แตกต่างกันของผู้ใช้รถ นอกจากนี้ พฤติกรรมการขอสินเชื่อของผู้ใช้รถในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีแนวโน้มเลือกผ่อนชำระในระยะเวลาที่สั้นกว่าภูมิภาคอื่น โดยส่วนใหญ่เลือกผ่อนในช่วง 4-5 ปี สะท้อนถึงศักยภาพในการชำระหนี้และการวางแผนปิดภาระทางการเงินภายในระยะเวลาที่สามารถควบคุมได้

รถเล็ก-ใหญ่ครองใจ คนภาคกลางเลือกรถตอบโจทย์ทั้งชีวิตและธุรกิจ

นอกเหนือจากกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ความนิยมในรถเก๋งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เพิ่มขึ้นในเขตภาคกลางเช่นกันซึ่งรวมกันคิดได้เป็นสัดส่วนสูงถึง 43.3% ของทั้งภูมิภาค สะท้อนถึงพฤติกรรมการเลือกใช้รถที่หลากหลายและตอบโจทย์ตามลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน สำหรับรถเก๋งขนาดใหญ่ ความต้องการที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับการขยายตัวของเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจ ซึ่งทำให้ผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าของกิจการ นิยมเลือกใช้รถที่รองรับการเดินทางไกลและใช้งานในเชิงธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่รถเก๋งขนาดเล็กก็ยังคงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ด้วยขนาดที่กะทัดรัด คล่องตัว และประหยัดค่าใช้จ่าย เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน

คนเหนือใช้งานจริงจัง กระบะ–เก๋งขนาดกลางตอบโจทย์

ภาคเหนือเป็นภูมิภาคที่มียอดขายรถกระบะและรถยนต์นั่งส่วนบุคคลขนาดกลางสูงที่สุด เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ โดยไม่นับรวมกรุงเทพฯ และปริมณฑล สะท้อนพฤติกรรมการเลือกใช้รถที่สอดคล้องกับลักษณะการใช้ชีวิตและภูมิประเทศของพื้นที่ โดยรถกระบะได้รับความนิยมสูงสุดจากความสามารถในการรองรับการใช้งานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางข้ามจังหวัดในพื้นที่ภูเขา หรือการใช้งานในเชิงพาณิชย์และธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับบทบาทของภาคเหนือในฐานะหัวเมืองท่องเที่ยวและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาค ขณะเดียวกัน รถเก๋งขนาดกลางก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกหลัก จากความอเนกประสงค์ในการใช้งานที่เหมาะกับทั้งชีวิตประจำวันและการเดินทางระยะไกล นอกจากนี้ ภาคเหนือยังเป็นภูมิภาคที่มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าสูงที่สุดในประเทศเมื่อไม่รวมกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าประเภทซีดาน ซึ่งเริ่มได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้

อีสเทิร์นซีบอร์ดไลฟ์สไตล์ครบครัน! รถเก๋งขนาดกลาง-ใหญ่และรถไฟฟ้ารุกตลาด

ภาคตะวันออก ประกอบด้วยจังหวัดสำคัญที่ผสานศักยภาพด้านอุตสาหกรรมขนาดใหญ่กับการท่องเที่ยวอย่างลงตัว โดยเฉพาะจังหวัดระยองที่มีโรงงานอุตสาหกรรมมากกว่า 165 แห่ง และพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) อย่างจังหวัดชลบุรีและฉะเชิงเทรา พร้อมกับการเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ซึ่งมีประชากรแฝงและความต้องการใช้งานรถยนต์ส่วนบุคคลในระดับสูง โดยรถเก๋งขนาดกลางและใหญ่ได้รับความนิยมและมีสัดส่วนถึง 51.7% ของยอดขายรถทั้งหมด และภาคนี้ยังมีการเติบโตของรถไฟฟ้าอเนกประสงค์ ที่มากที่สุดอยู่ที่ 62% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

 

กระบะคือของมันต้องมี! อีสาน Gen Z ใช้สร้างตัว

ภาคอีสานหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นพื้นที่กว้างใหญ่และครอบคลุมหลายจังหวัด ทำให้ผู้ใช้รถ นิยมทั้งรถเก๋งขนาดใหญ่และรถกระบะเพื่อรองรับการเดินทางและการใช้งานที่หลากหลาย โดยรถเก๋งขนาดใหญ่ได้รับความนิยมในฐานะตัวเลือกที่สะดวกสบายสำหรับการเดินทางระยะไกล ขณะที่รถกระบะยังคงเป็นหนึ่งในตัวเลือกหลักของผู้ใช้รถในภาคอีสาน โดยมีสัดส่วนยอดขายรองลงมาจากภาคเหนือ ด้วยความเหมาะสมสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันและประกอบอาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Z (อายุไม่เกิน 28 ปี) ที่มักเลือกใช้รถกระบะตอนเดียวสำหรับประกอบอาชีพ และกลุ่ม Gen X (อายุ 45-60 ปี) รวมถึง Baby Boomer (อายุมากกว่า 61 ปี) ที่นิยมรถกระบะสองตอนซึ่งใช้งานได้หลากหลาย ทั้งกิจกรรมครอบครัวและการเดินทางส่วนตัว โดยทั้งสองประเภทนี้รวมกันมีสัดส่วนถึง 43.1% ของยอดขายทั้งหมด

ภาคใต้ขับกระบะลุยภูเขา–ชายฝั่ง คล่องเทคโนโลยีติดอันดับ 2 สินเชื่อยานยนต์ดิจิทัล

ภาคใต้เป็นภูมิประเทศที่มีความหลากหลายทั้งภูเขาและชายฝั่งทะเล ทำให้ผู้ใช้รถในภาคใต้นิยมใช้รถกระบะและรถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ (PPV) ที่ตอบโจทย์ด้านการใช้งานในพื้นที่ ทั้งในชีวิตประจำวันและในบริบทของการท่องเที่ยวในท้องถิ่น ซึ่งมีสัดส่วนถึง 40.6% ของยอดขายรถทั้งหมด สะท้อนถึงความต้องการใช้งานรถที่เน้นความทนทานและสมรรถนะ นอกจากนี้ อีกหนึ่งพฤติกรรมเด่นของผู้ใช้รถในภาคใต้ คือ การเปิดรับช่องทางดิจิทัล เห็นได้จากสัดส่วนการขอสินเชื่อยานยนต์ดิจิทัลถึง 80% เป็นอันดับสองของประเทศ รองจากกรุงเทพฯ ที่ 94% แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้รถในภาคใต้ไม่เพียงมีความคุ้นเคยกับการใช้งานออนไลน์ แต่ยังไว้วางใจบริการทางการเงินผ่านระบบดิจิทัลเป็นอย่างมาก

นายอลี บาดาร์เนห์ (คนแรกซ้าย) หัวหน้าหน่วยความมั่นคงทางอาหารและระบบอาหาร กรมพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตรและโครงสร้างพื้นฐาน ยูไนเต็ด เนชั่น อินดัสเทรียล ดิเวลเลิพเมินท ออกาไนซ์เซชั่น หรือ ยูนิโด้ (UNIDO), ออสเตรีย (United Nations Industrial Development Organization : UNIDO) นางลูเซียนา เปลเลกรีโน (ที่สองจากซ้าย) ประธานองค์กรบรรจุภัณฑ์โลก (World Packaging Organization : WPO) ดร. โจเซฟ รอส เอส. จอคสัน (คนแรกขวา) ประธานสหพันธ์บรรจุภัณฑ์แห่งเอเชีย (Asian Packaging Federation : APF) และนายสรรชาย นุ่มบุญนํา (ที่สองจากขวา) ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย แสดงความร่วมมือเป็นพันธมิตรในการสนับสนุนและพัฒนาการจัดงาน ProPak Asia เพื่อยกระดับให้เป็นงานสำคัญของอุตสาหกรรมการผลิต แปรรูป และบรรจุภัณฑ์ระดับโลก พร้อมประกาศย้ายสถานที่จัดงาน ProPak Asia 2026 ไปที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อรองรับบริษัทชั้นนำของโลกที่ต้องการเข้าร่วมงานและผู้เข้าเยี่ยมชมงานจากนานาชาติที่เพิ่มขึ้น เมื่อเร็วๆ นี้

งาน ProPak Asia 2026 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-13 มิถุนายน 2569 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ผู้สนใจข้อมูลรายละเอียดการจัดงานฯ เยี่ยมชมได้ที่ www.propakasia.com

บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) หรือ AUCT ปลื้มถูกจัดเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ให้เป็นหุ้นดี ROE สูงกว่า 15% ต่อเนื่อง 3 ปีเฉลี่ย 56.98% ย้ำให้ความสำคัญกับการพัฒนาบริการใหม่ ๆ ทุกช่องทางเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม

นายสุธี สมาธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) หรือ AUCT เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจประมูลทรัพย์สินบริษัทฯ มีการพัฒนาบริการใหม่ ๆ เพื่อสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ AUCT ถูกจัดเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่มี ROE (Return on Equity) หรืออัตราผลตอบแทนสูงกว่า 15% ต่อเนื่อง 3 ปี (2565-2567) เนื่องจากสามารถทำกำไรจากเงินลงทุนของผู้ถือหุ้นถึง 56.98% เนื่องจากสหการประมูลได้จัดกิจกรรมประมูลต่าง ๆ เพิ่มขึ้น และพัฒนารูปแบบบริการให้อยู่ในความพึงพอใจของลูกค้าตลอดเวลา

“บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการลูกค้า ทั้งในส่วนของไฟแนนซ์ที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินและลูกค้าที่เป็นผู้ประมูลซื้อรถยนต์ เช่น จัดให้มีการประมูลทุกวัน ทั้งที่สำนักงานใหญ่ สาขารังสิต และสาขาต่าง ๆ ทุกภูมิภาค รวมทั้งการพัฒนาบริการ “AUCT Application” เพื่อเพิ่มความสะดวกในการค้นหารถยนต์และสามารถดูรายการได้ และการพัฒนาระบบการประมูลออนไลน์เพื่อให้ลูกค้าสามารถประมูลรถยนต์และรถจักรยานยนต์ได้ทั่วประเทศ โดยลูกค้าสามารถใช้บริการขนย้ายรถยนต์ที่ประมูลได้โดยไม่ต้องเดินทางมารับด้วยตนเอง รวมทั้งบริการอื่น ๆ ที่สร้างรายได้เพิ่ม” นายสุธีกล่าวและเปิดเผยเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้แล้วบริษัทฯ ยังบริการประมูลอสังหาริมทรัพย์ทุกวันศุกร์สัปดาห์ที่ 3 ของเดือน และประมูลทรัพย์สินอื่น ๆ ให้กับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน

นายสุธีกล่าวเพิ่มเติมว่า ล่าสุดสหการประมูลมีแผนเปิดให้บริการสถานตรวจสภาพรถเอกชน หรือ ตรอ. โดยเริ่มจากบริการด้าน พ.ร.บ. ต่อภาษี และประกันภัยรถยนต์ทุกประเภท เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจและปลอดภัยสำหรับลูกค้าที่ซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์กับสหการประมูล สามารถซื้อ พ.ร.บ. และประกันภัยได้ ซึ่งถือว่าเป็นบริการครบวงจรที่ทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบาย นอกจากนี้แล้วที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ร่วมกับไฟแนนซ์จัดกิจกรรมประมูลรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เช่น การประมูลรถคัดพิเศษหรือการประมูลรถสภาพนางฟ้า ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี รวมทั้งการจัดอีเว้นท์ประมูลต่าง ๆ ที่จัดขึ้นทั้งส่วนกลางและสาขาต่าง ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศจำนวน 13 สาขา โดยเฉพาะสาขาที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจของภูมิภาค เช่น สาขาสุราษฎร์ธานี สาขานครราชสีมา สาขาเชียงใหม่ สาขาระยอง ที่มียอดการประมูลดีต่อเนื่อง สำหรับการประมูลรถยนต์ รถจักรยานยนต์ อสังหาริมทรัพย์ และทรัพย์สินต่าง ๆ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.auct.co.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 02-033-6555

เตรียมตัวให้พร้อม เชื่อมทุกหัวใจคนไทยให้รวมเป็นหนึ่งเดียวในมหกรรมกีฬาครั้งประวัติศาสตร์...

นพ. มีชัย อินวู๊ด รองผู้ว่าการ การกีฬาแห่งประเทศไทย ฝ่ายบริหาร ประธานคณะกรรมการบริหารการจัดการแข่งขัน การจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) ให้เกียรติร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง บริษัท ทรู วิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด โดย นายองอาจ ประภากมล หัวหน้าสายงานทรูวิชั่นส์ และมีเดีย บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น และ บริษัท สปิน เวิร์ค จำกัด โดย นายธิษัณย์ ธนโรจน์ประดิษฐ์ ประธานกรรมการบริหาร เพื่อมอบสิทธิ์ “ทรูวิชั่นส์ นาว (TrueVisions NOW)” เป็นผู้ถ่ายทอดสดเอ็กซ์คลูซีฟเพียงรายเดียวในไทย ครอบคลุม 2 มหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 (9–20 ธันวาคม 2568) โดยประเทศไทยรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพกระจายตามจังหวัดหลัก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี และสงขลา และอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 (20–26 มกราคม 2569) ที่จะจัดขึ้น ณ จังหวัดนครราชสีมา และกรุงเทพฯ โดย ทรูวิชั่นส์ นาว (TrueVisions NOW) ในฐานะ ผู้นำด้านคอนเทนต์กีฬาและความบันเทิงดิจิทัลครบวงจรของไทย จะถ่ายทอดสดฟรี ครบทุกแมตช์ ทุกประเภทกีฬา ให้คนไทยได้ร่วมส่งแรงใจเชียร์ทัพนักกีฬาไทยให้เป็นเจ้าเหรียญทองได้แบบเรียลไทม์ ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต สมาร์ททีวี หรือกล่องทรูไอดี สะท้อนความมุ่งมั่นของทรูวิชั่นส์ในการคัดสรรคอนเทนต์ที่ดีที่สุด เพื่อเติมเต็มทุกช่วงเวลาสำคัญของผู้ชม และสร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่า เพราะทรูวิชั่นส์เข้าใจดีว่า ทุกชัยชนะของนักกีฬาไทยคือความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ

วันนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของทรูวิชั่นส์ ในฐานะ King of Sport ผู้นำคอนเทนต์กีฬาที่ครบถ้วนที่สุดในไทย เรามุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานการถ่ายทอดสดสู่ระดับโลก

นายองอาจ ประภากมล หัวหน้าสายงานทรูวิชั่นส์ และมีเดีย บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “วันนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของทรูวิชั่นส์ ในฐานะ King of Sport ผู้นำคอนเทนต์กีฬาที่ครบถ้วนที่สุดในไทย เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ ทรูวิชั่นส์ นาว (TrueVisions NOW) ได้รับสิทธิ์เป็น OTT รายเดียวในประเทศในการถ่ายทอดสด 2 มหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ทั้งการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 โดยเฉพาะปีนี้ ที่ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันซีเกมส์ ซึ่งนับเป็นโอกาสสำคัญที่คนไทยทั่วประเทศจะได้ร่วมส่งแรงใจเชียร์ทัพนักกีฬาไทยแบบใกล้ชิด ติดขอบสนาม สร้างพลังและความภาคภูมิใจร่วมกันในฐานะเจ้าภาพ

ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของทรูวิชั่นส์ ที่พร้อมสนับสนุนวงการกีฬาไทยอย่างต่อเนื่อง และมุ่งมั่นนำเสนอประสบการณ์การรับชมที่ดีที่สุด ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ครบวงจรที่สุดในประเทศ เราต้องการให้แฟนกีฬาทุกคนไม่พลาดทุกแมตช์สำคัญ สามารถรับชมแบบเรียลไทม์ได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต สมาร์ททีวี และกล่องทรูไอดี ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเชียร์ทัพนักกีฬาไทยได้อย่างใกล้ชิด ลื่นไหล และเต็มอิ่มกับทุกอารมณ์ของการแข่งขัน”

นายธิษัณย์ ธนโรจน์ประดิษฐ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สปิน เวิร์ค จำกัด เปิดเผยว่า “ความร่วมมือระหว่างคณะกรรมการจัดการแข่งขันกับทรูวิชั่นส์ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการถ่ายทอดพลังแห่งกีฬาซีเกมส์ และอาเซียนพาราเกมส์สู่สายตาผู้ชมทั่วประเทศ ผ่านเทคโนโลยีการสื่อสารที่ล้ำสมัย บริษัท สปินเวิร์ค จำกัด รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติให้เป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์อย่างเป็นทางการ และเชื่อมั่นว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยยกระดับประสบการณ์การรับชมให้สามารถเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง มีคุณภาพ พร้อมส่งเสริมประโยชน์ให้กับทั้งแฟนกีฬา ผู้สนับสนุน และสังคมไทยโดยรวม”

เตรียมตัวให้พร้อม! สำหรับ 2 มหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งภูมิภาคอาเซียน “ซีเกมส์ ครั้งที่ 33” (SEA Games 2025) และ “อาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13” (ASEAN Para Games 2025) ถ่ายทอดสดครบทุกแมตช์ ส่งตรงถึงหน้าจอคุณได้ที่ ทรูวิชั่นส์ นาว (TrueVisions NOW) เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชันทรูวิชั่นส์ นาว (TrueVision NOW) วันนี้ สามารถรับชมคอนเทนต์บันเทิง และกีฬาคุณภาพ ระดับพรีเมียมผ่าน สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต สมาร์ททีวี และกล่องทรูไอดี เพียงค้นหาคำว่า TrueVisions NOW ทาง App Store (IOS), Google Play (Android) และทาง TV STORE อาทิ Apple TV, Android TV, Samsung TV, LG TV

ในยุคที่ดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง การกู้ยืมเงินไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ทั้งสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคล รวมถึงการใช้บัตรเครดิต ต่างมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนชีวิตทางการเงินของคนยุคนี้ แต่ก่อนจะตัดสินใจกู้เงิน หรือรูดบัตรเครดิต สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเข้าใจเรื่อง "ดอกเบี้ย" ให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้กลายเป็นภาระหนี้จนเกิดทุกข์

ดอกเบี้ยมีหลายแบบ เข้าใจให้ถูก ช่วยประหยัดเงินจริง

ดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate)
คือ อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้แน่นอนตั้งแต่เริ่มต้นจนจบสัญญา ผู้กู้จึงสามารถวางแผนผ่อนชำระได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของดอกเบี้ยในตลาด เหมาะกับผู้ที่ต้องการความแน่นอนทางการเงิน อย่างสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน ได้แก่ บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และสินเชื่อแบบมีหลักประกัน ได้แก่ สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์

ดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate) ตรงกันข้ามกับแบบแรก ดอกเบี้ยลอยตัวจะปรับขึ้นลงตามภาวะตลาดการเงิน ซึ่งอิงกับตัวเลขมาตรฐานของแต่ละสถาบันการเงิน เช่น
- MLR (Minimum Loan Rate) สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี
- MOR (Minimum Overdraft Rate) สำหรับลูกค้ารายใหญ่ทั่วไป
- MRR (Minimum Retail Rate) สำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี
ใครเลือกใช้สินเชื่อแบบดอกเบี้ยลอยตัว จึงต้องติดตามทิศทางดอกเบี้ยอย่างใกล้ชิด เพราะมีผลต่อยอดผ่อนชำระในอนาคตโดยตรง


รู้ทันวิธีคิดดอกเบี้ย Flat Rate vs Effective Rate


ไม่ใช่แค่ประเภทของดอกเบี้ย แต่ "วิธีคิดดอกเบี้ย" ก็มีผลต่อเงินในกระเป๋า Flat Rate หรือเงินต้นคงที่ นิยมใช้ในสินเชื่อรถยนต์ หรือสินเชื่อผ่อนชำระสินค้า จะคำนวณดอกเบี้ยจากยอดกู้เต็มจำนวนตลอดอายุสัญญา ถึงแม้เงินต้นจะลดลง แต่ดอกเบี้ยคิดจากยอดเต็มตั้งแต่ต้นจนจบ ส่วน Effective Rate หรือลดต้นลดดอก มักใช้กับสินเชื่อบ้านหรือบัตรเครดิต โดยคำนวณดอกเบี้ยจากยอดหนี้คงเหลือในแต่ละงวด เมื่อเงินต้นลดลง ดอกเบี้ยก็ลดลงตาม ที่สำคัญคือ ตัวเลข Flat Rate มักดูต่ำกว่า แต่จริงๆ แล้วภาระดอกเบี้ยจริงอาจสูงกว่ามาก เช่น Flat Rate 18% อาจแปลงเป็น Effective Rate สูงถึง 32% ต่อปีเลยทีเดียว


บัตรเครดิต ใช้เป็นเหมือนอาวุธ ใช้ผิดกลายเป็นภาระ

หากใช้บัตรเครดิตอย่างมีวินัย บัตรเครดิตจะเป็นเครื่องมือทางการเงินที่สะดวกและมีประโยชน์ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นของหนี้สะสม หากขาดการบริหารจัดการที่ดี ดังนั้น ก่อนสมัครบัตรเครดิต ควรศึกษาและทำความเข้าใจข้อมูลให้ดี และพึงระลึกไว้เสมอว่าบัตรเครดิต คือ เงินอนาคต ที่ต้องชำระอย่างมีวินัยและรับผิดชอบ เมื่อถึงกำหนดเวลา โดยทั่วไปจะมีระยะปลอดดอกเบี้ยประมาณ 45-56 วัน แต่หากชำระล่าช้าเกินระยะเวลาที่กำหนด หรือจ่ายไม่เต็มจำนวน (การชำระค่าบัตรเครดิตขั้นต่ำอยู่ที่ 8% ของยอดค้างชำระ) ผู้ถือบัตรเครดิตจะต้องรับผิดชอบดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นแบบ Effective Rate ไม่เกิน 16% ต่อปี (รวมค่าปรับและค่าธรรมเนียมต่างๆ แล้ว) สำหรับค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น การใช้บัตรเครดิตเบิกถอนเงินสด จะคิดค่าธรรมเนียมในอัตรา 3% จากยอดเงินที่เบิก พร้อม VAT 7% (ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2568)

ดอกเบี้ยไม่ใช่เรื่องไกลตัว ความเข้าใจผิดเพียงเล็กน้อย อาจกลายเป็นภาระหนี้ก้อนใหญ่ในอนาคตได้ง่ายๆ สิ่งสำคัญคือ การมีวินัยทางการเงิน วางแผนหนี้ให้เหมาะสมกับรายได้ และรู้เท่าทันกลไกทางการเงินแต่ละแบบอย่างถ่องแท้ จะช่วยให้สามารถใช้สินเชื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างปลอดภัย

กลับมาอีกครั้งกับงานแสดงนวัตกรรมด้านภาพและเสียงระดับมืออาชีพที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินโฟคอม เอเชีย 2025 งานสัมมนาที่เปิดโอกาสการเรียนรู้สำหรับมืออาชีพและผู้ใช้งาน AV & IT ที่จัดขึ้นเป็นระยะเวลา 3 วันในกรุงเทพฯ มีทั้งการประชุมสุดยอดของผู้เชี่ยวชาญ ทัวร์เยี่ยมมชมการใช้เทคโนโลยีในสถานที่จริง และเวิร์กช็อปด้าน AI จัดยิ่งใหญ่ไม่ควรพลาด ระหว่างวันที่ 23 – 25 กรกฎาคม 2568 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

งานอินโฟคอม เอเชีย (InfoComm Asia) ครั้งที่ 5 พร้อมเปิดฉากในกรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 23 – 25 กรกฎาคม 2568 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สร้างโอกาสใหม่ในการเรียนรู้ที่หาได้ยากจากการจัดประชุมสุดยอดและกิจกรรมน่าสนใจมากมาย โดย ปีนี้ จะมุ่งเน้นเรื่องเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (Artificial Intelligence - AI) และในงานซัมมิทจะเจาะลึกเรื่องอนาคตของเทคโนโลยีระบบภาพและเสียง (AV) IT และ AI ที่จะผสานเข้าหากัน เพื่อช่วยให้ผู้เข้าร่วมงานได้รับความรู้และกลยุทธ์ที่จำเป็นที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จในขณะที่ธุรกิจกำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ไซมอน ลอง ผู้อำนวยการอาวุโส CBRE สิงคโปร์ กล่าวว่า “อนาคตของธุรกิจขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถจินตนาการขอบเขตทั้งด้านกายภาพและดิจิทัลของเราว่าจะไปได้ไกลเท่าไร ผมยินดีที่ได้ร่วมการเสวนาเปิดงาน อินโฟคอม เอเชีย ในหัวข้อ Reimaging Boundaries: The Future of Business & Technology in 2030” และได้ร่วมเจาะลึกถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ เราจะให้มุมมองว่าเทคโนโลยีที่ผสานเข้ามาหากัน โดยเฉพาะ AI จะเปลี่ยนพื้นฐานของสิ่งแวดล้อมด้านเทคโนโลยีอย่างไร ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้นำทุกคนที่ต้องการสร้างข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ในอนาคตต้องการทราบ”

ฌอน ลิว หัวหน้าฝ่าย Retail Operations & Support and Customer Experience & Commercial ของ SBS Transit ประเทศสิงคโปร์ กล่าวว่า “SBS Transit พบว่าเทคโนโลยี AI ที่ให้ความสำคัญกับคนนั้นไม่ได้มีเพียงระบบออโตเมชัน แต่ยังรวมถึงวิธีการสำคัญที่มีความเป็นมนุษย์ มีความใส่ใจ เรายินดีที่จะได้ร่วมให้มุมมองเชิงลึก และสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากงานที่เราทำมาแล้วในการเสวนาหัวข้อ ‘Blending Innovation with Emotion’ ในงานอินโฟคอม เอเชีย

แองจี้ เอง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของอินโฟคอม เอเชีย กล่าวว่า “งานอินโฟคอม เอเชีย ไม่ได้เป็นเพียงงานนิทรรศการธรรมดา แต่ยังเป็นเวทีสำหรับการพัฒนาในสายงานนี้และการเรียนรู้เชิงกลยุทธ์ เราตระหนักดีถึงความสำคัญของการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น งานอินโฟคอม เอเชีย จึงมีวัตถุประสงค์หลัก คือการเตรียมคนในแวดวงอาชีพเดียวกันเพื่อให้พร้อมรับมือกับความท้าทายแห่งอนาคต”

อินโฟคอม เอเชีย ซัมมิท – สุดยอดแห่งการเรียนรู้ด้าน Pro AV

การประชุมสุดยอด อินโฟคอม เอเชีย ซัมมิท จัดขึ้นเพื่อให้ความรู้และข้อมูลเจาะลึกเกี่ยวกับเทรนด์ที่จะส่งผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะผลจากการพัฒนาของ AI ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปใช้ได้จริง จากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำ ผ่านการเสวนาที่กระตุ้นความคิดและกิจกรรมเชิงปฏิบัติหลายหัวข้อ

การประชุมสุดยอดในงานนี้ จะเน้นเรื่องเทคโนโลยี AI เป็นหลัก และประกอบด้วยการเสวนาหลายหัวข้อที่ชวนให้คิดตาม และมีกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้ลงมือทำเอง ได้แก่

· “Transforming Workplaces with AI – Driven Intelligent Devices” ที่เจาะลึกเรื่องวิธีการสร้างองค์กรที่เก่งขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอาศัยข้อมูลจากเซนเซอร์ รวมทั้งจะทำให้แนวคิด “Distance Zero” สำหรับการประชุมที่ใช้ AI ช่วยดำเนินการเป็นจริง

· การเสวนาเรื่อง “AI and the Transformation of AV/IT Solutions Education: Challenges, Directions, and Opportunities” ที่จะร่วมกันสำรวจผลที่อาจเกิดขึ้นจากการนำ AI มาใช้ในด้านการศึกษา สำหรับผู้ที่อยู่ในวงการโซลูชั่น AV และ IT

· การเสวนาเรื่อง “AI & The Future of Workplace Collaboration and Engagement” ที่จะให้มุมองเชิงลึกว่าระบบออโตเมชันที่ใช้ AI ตลอดจนเทคโนโลยี Machine Learning และ Intelligent Chatbot จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ หรือ โอกาสใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้การทำงานร่วมกันภายในองค์กรดีขึ้นอย่างไร

· Specialized Vertical Market/Solution Area Deep Dive การประชุมสุดยอดที่จะให้แนวทางเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ AI ในแต่ละธุรกิจ เพื่อให้ความรู้เฉพาะด้านสำหรับมืออาชีพในหลากหลายด้าน ได้แก่

o “Digital Transformation in Education: From Strategy to Execution” ที่จะให้โรดแมปสำหรับการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลในแวดวงการศึกษา การกำหนดกลยุทธ์หลักและเทคโนโลยี เช่น AI และ AV/VR ที่จะช่วยให้สถาบันการศึกษานำกลยุทธ์มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งให้มุมมองเชิงลึกและขั้นตอนที่นำไปใช้ได้จริงเพื่อสร้างระบบสนับสนุนการเรียนรู้ที่คล่องตัวและพร้อมรองรับการพัฒนาในอนาคต

o “Smart Cities 2.0: From Sensors to Reasoning Agents” ที่จะให้แนวคิดใหม่เรื่องเทคโนโลยีเมืองอัจฉริยะ Smart Cities 2.0 ที่มีการนำนวัตกรรมด้าน AI มาใช้เป็นเครื่องมือทรงพลังที่จะมีศักยภาพมากกว่าแค่การติดตามข้อมูล โดยจะมีการแชร์ตัวอย่างเคสจริงจากสิงคโปร์เรื่องการนำ Generative AI มาสร้างเมืองอัจฉริยะที่สามารถปรับเปลี่ยนได้คล่องตัวในทุกด้าน อาทิ การขนส่งและการรักษาความปลอดภัย

o “Shaping the Future of Digital Signage – Market Trends and Managed Signage” ที่เจาะลึกเรื่องการนำ AI มาใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ส่วนตัวที่น่าประทับใจมากยิ่งขึ้น โดยอาศัยแอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น การส่งคอนเทนต์อัจฉริยะ และการสร้างเอนเกจเมนต์กับผู้ชมแบบเรียลไทม์

o “AI Audio Mixing: Using It to Gain Advantage” สำหรับมืออาชีพด้านระบบออดิโอ ที่จะได้ค้นพบข้อมูลและมุมมองที่น่าสนใจว่าจะสามารถนำเทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อยกระดับการผลิตงานด้านเสียง การจัดกิจกรรมถ่ายทอดสด และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้อย่างไร

แองจี้ กล่าวเสริมว่า “การเรียนรู้ คือหัวใจหลักของงานอินโฟคอมเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นการบรรยายของผู้เชี่ยวชาญ หรือ การแสดงนวัตกรรมต่าง ๆ หรือ การพบปะพูดคุยกันในกิจกรรมพิเศษที่เราจัดขึ้น ในทุกกิจกรรมและการพบปะนี้ ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับความรู้ที่ทรงคุณค่า ได้รู้จักและมีพันธมิตรใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้ทุกคนก้าวสู่โลกที่เทคโนโลยีพัฒนาไปเรื่อย ๆ และสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมภายในองค์กรของตนเองได้ด้วย”

ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ฟรีตลอดทั้ง 3 วันของการจัดงาน และสามารถตรวจสอบโปรแกรมงานได้ที่นี่ infocomm-asia.com

นายยุทธนา เจริญวงศ์ กรรมการผู้จัดการ (ที่สองจากขวา) บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด (BLCP) จับมือกับ นายมาซาฟูสะ โอเอ (ที่สองจากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อัลกัล ไบโอ จำกัด (Algal Bio) สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีชีวภาพจากประเทศญี่ปุ่น นำร่องโครงการบำบัดก๊าซเรือนกระจกด้วยนวัตกรรมจุลสาหร่าย ซึ่งเป็นหนึ่งในความพยายามลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศอย่างยั่งยืน โครงการนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญของความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่นในการขับเคลื่อนพลังงานสะอาด โดยมีนายฟุรุกาวะ ทาซากุ (คนแรกซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ศูนย์สนับสนุนธุรกิจต่างประเทศ สำนักงานใหญ่ องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) ให้การต้อนรับและแสดงความยินดีในความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนไทย-ญี่ปุ่น เมื่อเร็วๆ นี้

โครงการใช้นวัตกรรมจุลสาหร่ายเพื่อบำบัดก๊าซเรือนกระจก เป็นการนำเทคโนโลยีชีวภาพมาประยุกต์ใช้ในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากภาคอุตสาหกรรม โดยจุลสาหร่ายทำหน้าที่ดักจับและเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นสารอินทรีย์ที่มีประโยชน์ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดการปล่อยก๊าซที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับของเสียจากกระบวนการผลิตพลังงานอีกด้วย

โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) “มุ่งพัฒนาพลังงานที่มั่นคง เพื่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” ผู้สนใจค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.blcp.co.th/web/index หรือ Facebook : โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี - BLCP Power Limited

X

Right Click

No right click