December 16, 2025

เอมิเรตส์ สายการบินระหว่างประเทศ ได้เปิดตัวเที่ยวบินแรกจากกรุงเทพสู่ดูไบ (เที่ยวบิน EK372/373) แล้ววันนี้ ด้วยเครื่องบิน A380 โฉมใหม่ พร้อมห้องโดยสารชั้น Premium Economy ซึ่งกำลังเป็นที่ชื่นชมอย่างมาก และนับจากวันนี้ไป ผู้โดยสารที่เลือกใช้บริการเที่ยวบินเหล่านี้จะได้สัมผัสประสบการณ์ความหรูหราที่เหนือระดับด้วยห้องโดยสารชั้น Premium Economy ที่ได้รับการยกโฉมการตกแต่งภายในใหม่ของเอมิเรตส์ ซึ่งได้รับรางวัลมาแล้ว

ห้องโดยสารของสายการบินเอมิเรตส์ชั้น Premium Economy มีพื้นที่วางขากว้างถึง 40 นิ้ว และสามารถปรับเอนที่นั่งได้ถึง 8 นิ้ว พร้อมการจัดวางที่นั่งแบบ 2-4-2 ด้วยเบาะหนังสีครีมพร้อมเบาะพักขาที่นุ่มสบาย และเบาะพักศีรษะที่สามารถปรับระดับได้ตามความต้องการ นอกจากนี้ยังมีโต๊ะไม้แบบพับเก็บได้สำหรับนั่งทำงานหรือรับประทานอาหาร โดยผู้โดยสารสามารถเพลินเพลินกับเมนูอาหารประจำภูมิภาคที่จะเสิร์ฟมาบนชุดภาชนะกระเบื้องจาก Royal Doulton พร้อมด้วยเมนูเครื่องดื่มที่หลากหลาย อาทิ สปาร์กลิงไวน์จาก Chandon ไวน์จากห้องโดยสารชั้นธุรกิจ เหล้าลิเคียวร์ชนิดต่าง ๆ และช็อกโกแลต

ห้องโดยสารชั้น Premium Economy ได้รับการจัดสัดส่วนให้อยู่ในบริเวณด้านหน้าของเครื่องบิน A380 เพื่อยกระดับการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารที่ใช้บริการชั้น Premium Economy ในการรับสิทธิพิเศษ ในการลงจากเครื่องบินก่อน ตลอดจนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่น ๆ อาทิ หน้าจอแบบมีความละเอียดสูงขนาด 13.3 นิ้ว และระบบเชื่อมต่อผ่านหูฟังบลูทูธ เพื่อยกระดับประสบการณ์ความบันเทิงบนเที่ยวบินให้กับผู้โดยสาร นอกจากนี้ ผู้โดยสารยังสามารถเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ได้ตลอดการเดินทางด้วย WIFI ความเร็วสูงภายในเครื่อง สำหรับเส้นทางบินระยะไกล ผู้โดยสารจะได้รับชุดของใช้ส่วนตัวแบบรักษ์โลกมาในกระเป๋าที่ทำจากวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ผู้โดยสารสามารถนำกลับไปใช้ซ้ำ

นายโมฮัมเหม็ด อัล วาเฮดิ ผู้จัดการสายการบินเอมิเรตส์ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “เรามีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เปิดตัวชั้นโดยสารระดับ Premium Economy ของเราครั้งนี้ เพื่อให้บริการในเส้นทางกรุงเทพฯ - ดูไบ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สำหรับเอมิเรตส์ ประเทศไทยนับเป็นตลาดสำคัญ และการเปิดตัวในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในการยกระดับประสบการณ์ในการเดินทางอย่างต่อเนื่องสำหรับลูกค้าในประเทศไทย ด้วยการออกแบบภายในที่หรูหราที่มาพร้อมความสะดวกสบายอันปราณีต ชั้นโดยสารระดับ Premium Economy ของสายการบินเอมิเรตส์ จึงเป็นตัวเลือกที่สามารถเติมเต็มความต้องการต่อการบริการระหว่างห้องโดยสารชั้นประหยัดและชั้นธุรกิจได้อย่างลงตัว ทั้งสำหรับการเดินทางระยะกลางและระยะไกล และนับเป็นชั้นโดยสาร ที่เปลี่ยนแปลงวงการบิน ที่ช่วยให้ผู้โดยสารที่เดินทางจากประเทศไทยมีตัวเลือกที่สะดวกสบายมากกว่า ที่เคยมีมา”

การเปิดตัวในประเทศไทยครั้งนี้นับเป็นส่วนหนึ่งของการเร่งขยายการบริการของเครื่องบินรุ่น A380 และ Boeing 777s ที่สายการบินได้ปรับโฉมภายในใหม่ทั้งหมด โดยคาดว่าเกือบ 50% ของเครือข่ายเส้นทางการบินทั่วโลก ของเอมิเรตส์จะให้บริการด้วยเครื่องบินที่ได้รับการยกระดับการตกแต่งภายในใหม่ครั้งนี้ ภายในสิ้นปี 2568 เพื่อมอบประสบการณ์การบริการของ Premium Economy อันเป็นเอกลักษณ์ และบรรยากาศภายในห้องโดยสารรูปแบบใหม่ ทั้งนี้ เอมิเรตส์จะเปิดตัวเครื่องบิน A380 โฉมใหม่ ในเส้นทางการบินสู่ ฮ่องกง เมืองนีซ และเมืองเพิร์ท พร้อมเปิดตัวเครื่องบิน Boeing 777 โฉมใหม่เพื่อให้บริการในเส้นทางการบินสู่กรุงมาดริด กรุงกัวลาลัมเปอร์ จังหวัดภูเก็ต และเมืองแฟรงก์เฟิร์ต นอกจากนี้ เครื่องบิน Boeing 777 โฉมใหม่ ยังอยู่ในแผนเส้นทางบินสู่ กรุงดับลินภายในสิ้นปีนี้อีกด้วย

ลูกค้าสามารถจองเที่ยวบินที่ให้บริการด้วยเครื่องบิน A380 โฉมใหม่ พร้อมชั้นโดยสาร Premium Economy ได้ผ่านทางเว็บไซต์ emirates.com หรือผ่านบริษัทตัวแทน

ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ “ทีทีบี” ดำเนินการเข้าถือหุ้นบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) อย่างเป็นทางการ โดยถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 2,998,959,721 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 99.97% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ส่งผลให้ทีทีบีกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า การเข้าถือหุ้นในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทีทีบีในการเสริมสร้างศักยภาพด้าน Wealth Ecosystem และขยายขีดความสามารถในการให้บริการ ด้านการบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) อย่างครบวงจร โดยเฉพาะการเพิ่มทางเลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ครอบคลุมทุกระดับความเสี่ยงทั้งในประเทศและต่างประเทศให้แก่ลูกค้า

บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต เป็นหนึ่งในบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำของประเทศที่มีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุน พร้อมด้วยฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง การรวมพลังระหว่างทีทีบีและบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จะช่วยยกระดับคุณภาพการให้บริการ และสร้างประสบการณ์ที่เหนือระดับให้กับลูกค้ากลุ่มเดิมของธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต และลูกค้าใหม่ในอนาคต นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งในด้านรายได้จากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพสูงท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน และส่งผลเชิงบวกต่อการเติบโตของธุรกิจและมูลค่าของผู้ถือหุ้นในระยะยาว

สำหรับธุรกรรมการเข้าถือหุ้นในครั้งนี้ มีมูลค่าประมาณ 2,062 ล้านบาท ซึ่งทีทีบีจัดหาเงินทุนโดยใช้สภาพคล่องส่วนเกินที่มีอยู่ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินและฐานะเงินกองทุน ซึ่งทีทีบีเน้นย้ำการคงเงินกองทุนในระดับสูงมาโดยตลอด สะท้อนได้จากอัตราส่วนเงินกองทุนรวมและอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 ที่อยู่ที่ 20.5% และ 18.2% เทียบกับเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้ที่ 12.0% และ 9.5% ตามลำดับ

ทั้งนี้ ทีทีบีได้เตรียมแผนการเปลี่ยนผ่านอย่างรอบคอบ เพื่อให้การดำเนินงานระหว่างสององค์กรเป็นไปอย่างราบรื่น โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของลูกค้า พนักงาน และผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ โดยหลังจากการเข้าถือหุ้นของธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จะยังคงใช้ชื่อเดิมในการให้บริการ และลูกค้ายังคงสามารถใช้บริการได้ตามปกติและในทุกช่องทางได้ดังเดิม

การดำเนินการครั้งนี้สำเร็จลุล่วงจากการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากทุกฝ่าย ทั้งนี้ ทีทีบีและบริษัทบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต พร้อมเดินหน้าสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมาย หรือ Make REAL Change ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และโซลูชันด้านการบริหารความมั่งคั่งในรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อยกระดับชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นของลูกค้าอย่างยั่งยืน

แกร็บฟู้ด ชวนสนุก ปลุกความร้อนแรง ที่งานเปิดตัวแคมเปญยิ่งใหญ่กลางปี “GrabFood Mega Sale ลดแรง ตัวจริง” เตรียมพบกับความบันเทิงแบบไม่มีกั๊ก นำทีมโดย 4 หนุ่ม Friends of Grab สุดฮอตอย่าง เจมีไนน์-นรวิชญ์, โฟร์ท-ณัฐวรรธน์, สกาย-วงศ์รวี และ นานิ-หิรัญกฤษฎิ์ พร้อมแท็กทีม 4 หนุ่มจากวง BUS ขุนพล-ปองพล, ไทย-ชญานนท์, ภีม-วสุพล และ ภู-ธัชชัย มาเสิร์ฟความฟินกับมินิคอนเสิร์ตและกิจกรรมสุดเซอร์ไพร์ส พร้อมด้วยมินิคอนเสิร์ตจากวง T-Pop แห่งยุคอย่าง PiXXiE ที่เตรียมขนเพลงฮิตพร้อมเสิร์ฟเอเนอร์จี้สดใสแบบเกินต้าน ในวันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม 2568 เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป ณ ลาน The Storeys Square ศูนย์การค้า One Bangkok

งานนี้แกร็บฟู้ด เตรียมบุก One Bangkok เนรมิตพื้นที่จัดงานภายใต้คอนเซปต์ “ลดแรง ตัวจริง” เปิดโซนต่างๆ ให้ผู้เข้าร่วมงานได้เพลิดเพลินกับกิจกรรมมากมาย ทั้งโซนถ่ายภาพกับแลนด์มาร์ก และโซนกิจกรรมร่วมสนุกลุ้นรับของที่ระลึก อีกหนึ่งไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้กับโมเมนต์สุดเอ็กซ์คลูซีฟจาก “GrabFood Mega Sale ลดแรง ตัวจริง” ที่เหล่าศิลปินเตรียมตบเท้าร่วมฉลองพร้อมชวนทุกคนสัมผัสความคุ้มค่าแบบตัวจริง

นอกจากความสนุกและเซอร์ไพรส์มากมายภายในงานแล้ว แคมเปญ “GrabFood Mega Sale ลดแรง ตัวจริง” ยังเตรียมยกทัพดีลสุดฮอต การันตีลดแรงตัวจริงพร้อมเสิร์ฟ ตั้งแต่วันที่ 1 - 31 กรกฎาคม ทั้ง Hot Deals เริ่มต้นเพียง 30 บาท จัดชุดใหญ่มากกว่า 250,000 ดีล กดโค้ดลดเพิ่มสูงสุด 60% ไม่มีขั้นต่ำเพียงใส่โค้ด ‘MEGA’ พร้อมชูไฮไลต์โปรโมชันส่งฟรี 0 บาททุกออเดอร์ งานนี้ตัวจริงพร้อมเสิร์ฟ เตรียมจุกความฟิน อิ่มความคุ้มแบบจัดเต็มของจริงแน่นอน

ในโลกแฟชั่นที่ไม่เคยหยุดนิ่ง การสร้างแบรนด์ให้ “เป็นที่จดจำ” อาจไม่ใช่แค่ดีไซน์ที่สวยงาม แต่คือการสร้างเอกลักษณ์ที่สะท้อนตัวตนอย่างชัดเจนและแตกต่าง ขณะเดียวกัน การขยายธุรกิจสู่โลกอีคอมเมิร์ซคืออีกหนึ่งตัวแปรสำคัญ ที่ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด พลิกเกมด้วยการเข้าถึง เข้าใจ และสร้างความผูกพัน ทำให้สามารถเข้าไป “นั่งในใจ” ลูกค้าเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน วันนี้เราจะพาไปส่องกลยุทธ์ 4 แบรนด์แฟชั่นไทยที่โดดเด่น กับสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมฮีโร่โปรดักส์ที่โดนใจ ตอบโจทย์สายแฟและคาแรกเตอร์ผู้หญิงยุคใหม่ จนขึ้นแท่นแบรนด์ขายดีใน LazLOOK บนลาซาด้า

และนี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์หรือกระแสแค่เฉพาะกลุ่ม เพราะในแคมเปญ 6.6 ที่ผ่านมา แบรนด์แฟชั่นผู้หญิงที่ครองอันดับขายดีที่สุดบนลาซาด้า ส่วนใหญ่ล้วนเป็นแบรนด์ไทย ตอกย้ำศักยภาพของแบรนด์แฟชั่นไทยที่ไม่เป็นรองใครในโลก

Endless Holiday – เมื่อแพทเทิร์นสดใสกลายเป็นลุคโปรดที่ทุกคนมีติดตู้ สู่แบรนด์ขายดีติดลมบน

Endless Holiday แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นที่สร้างภาพจำและมัดใจลูกค้าด้วยลวดลายเฉพาะตัวและสีสันสดใสจนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ใครเห็นก็จำได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นลายผ้าดอกไม้หลากสีอย่าง Secret Garden หรือทรงเสื้อที่โดดเด่น แต่ไม่ตะโกนจนเกินไป อย่างดีไซน์เสื้อปกยาวจากคอลเลกชัน Tokyo Summer ที่ต่างขึ้นแท่นไอเท็มฮิตในตำนาน

เบื้องหลังความสำเร็จคือ 3 ผู้ก่อตั้ง ผู้หลงใหลแฟชั่นอย่าง เอ้ - ฤดีมาศ, อ้อ - ฤดีรัตน์ และ กานต์ ที่ใช้ความถนัดเฉพาะตัวด้านทั้งมาร์เก็ตติ้งและกราฟิกดีไซน์มาผสานกัน พร้อมสร้างเอกลักษณ์ให้แบรนด์ด้วยลายผ้าและโทนสีที่แตกต่างแต่สวมใส่ง่าย นอกจากนี้ Endless Holiday ยังต่อยอดโอกาสทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการขยายสินค้าสู่กลุ่มแม่และเด็ก จนสร้างกระแสแฟชั่นแม่-ลูก และการพาร์ทเนอร์กับแบรนด์ขวัญใจมหาชนอย่างดิสนีย์ (Disney) ในคอลเลกชัน Lost in the Daisy Garden

แต่ก้าวสำคัญของแบรนด์คือการเข้าสู่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่างลาซาด้าแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ที่ช่วยให้เข้าถึงฐานลูกค้าครอบคลุมทั่วประเทศได้อย่างตรงจุด พร้อมเจาะกลุ่มลูกค้าคุณภาพผ่านการเข้าร่วมแคมเปญต่าง ๆ ที่ช่วยเพิ่มการมองเห็นและยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพ จนทำให้แคมเปญ Anniversary Secret Garden และ แคมเปญ Lost in Daisy Garden ประสบความสำเร็จ ดันยอดขายโตพุ่งขึ้นถึง 100% อย่างต่อเนื่อง และล่าสุดยังติดอันดับท็อปแบรนด์ขายดีที่สุดในหมวดหมู่แฟชั่นอีกด้วย

 

Garmenti – กระเป๋าแบรนด์คนไทยที่สายแฟเลือก Sold Out ใน 1 นาทีบนลาซาด้า

หากพูดถึงอีกหนึ่งกระเป๋าแบรนด์ไทยที่กำลังมาแรง นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก Garmenti แบรนด์ที่หลายคนยกให้เป็น Favorite Item ด้วยดีไซน์สไตล์ Quiet Luxury ที่เรียบโก้ แต่แฝงด้วยกิมมิกอย่างดีเทลปม Knot ที่กลายเป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์ไปโดยปริยาย โดยเฉพาะรุ่นฮิตอย่าง “GYOZA” “Daily Tote Bag” และล่าสุด “The Baxter Bag” ที่ไม่ว่าเปิดจะเปิดขายบนแพลตฟอร์มลาซาด้าเมื่อไรก็หมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว เคยทุบสถิติขายหมดภายใน 1 นาทีมาแล้ว

พลอยจ๋า - สิรีธร และ บอส - ศรัณยวิทย์ สองผู้ก่อตั้งที่สร้างแบรนด์กระเป๋าที่ “เข้าถึงง่ายและจับต้องได้” ตอบโจทย์ทั้งด้านการใช้งานและสไตล์สำหรับผู้หญิงยุคใหม่ พร้อมถ่ายทอดตัวตนผ่าน 5 คีย์หลักของแบรนด์: สนุก (Fun), สดใหม่ (Fresh), เป็นมิตร (Friendly), ใช้งานได้จริง (Functional) และเพื่อให้เป็นกระเป๋าชิ้นโปรด (Favorite) ของผู้หญิงทุกคน

Garmenti เติบโตอย่างก้าวกระโดดจากร้านเล็ก สู่ยอดขายแตะ 8 หลักบนลาซาด้า ด้วยกลยุทธ์ที่ชัดเจน ทั้งภาพลักษณ์แบรนด์ที่แข็งแรง สินค้ามีคุณภาพในราคาที่เอื้อมถึง รีวิวจากผู้ใช้จริง และบริการหลังการขายที่จริงใจ โดยมีลาซาด้าเป็นพาร์ทเนอร์สำคัญที่ช่วยส่งเสริมการเติบโตของแบรนด์อย่างมั่นคง ผ่านระบบสนับสนุน ทีมที่ปรึกษา และแคมเปญ Double Digits หรือเมกะแคมเปญที่พา Garmenti ให้เป็นที่รู้จักอย่างทุกวันนี้

 

MISS MODERN สวย สง่า เรียบหรู แบรนด์คู่ใจในโอกาสพิเศษ

MISS MODERN แบรนด์ชุดราตรีที่อยากให้ผู้หญิงทุกคนรู้สึกมั่นใจและสวยสง่าในทุกโอกาสพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งงาน งานเลี้ยง หรือดินเนอร์สุดหรู โดย รุ้งระวี คัทธมารศรี ผู้ก่อตั้งแบรนด์ ตั้งใจให้ MISS MODERN เป็นแบรนด์ที่อยู่เคียงข้างในทุกโมเมนต์สำคัญ จุดเด่นอยู่ที่ดีไซน์เรียบหรู ใส่ง่ายแต่ดูดี พร้อมบริการ Customization ที่ให้ลูกค้าเลือกปรับไซส์และสีได้ตามต้องการ ช่วยเติมเสน่ห์ให้ทุกลุคดูพิเศษในแบบของตัวเอง

นอกจากนี้ พลังจากการรีวิวของลูกค้า ตลอดจนอินฟลูเอนเซอร์และนักแสดงที่สวมใส่ชุดของแบรนด์ในงานต่าง ๆ ทำให้ MISS MODERN ถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่องบนโซเชียล มีรีวิวรวมกว่า 1,000 รายการ และได้คะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยสูงถึง 4.9 ดาว

หลังจากขยายฐานลูกค้าเจาะกลุ่มสายแฟบนลาซาด้า แบรนด์ MISS MODERN ยังมีโอกาสสร้างสรรค์หลากหลายแคมเปญการตลาดเพื่อดึงดูดใจลูกค้า ด้วยการคอลแลบกับแบรนด์ดังอย่าง Tresemmé, Maybelline และ L’Oréal ซึ่งความร่วมมือในรูปแบบดังกล่าวริเริ่มจากการที่ลาซาด้ามุ่งผลักดันให้แบรนด์จากหมวดหมู่ที่แตกต่าง อย่างแฟชั่นและบิวตี้สามารถเสริมแกร่งกัน เพื่อสร้างแรงดึงดูดใหม่ๆ ให้นักช้อป และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่อย่างตรงจุด เรียกได้ว่าเป็น Cross-category Synergy ที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมา MISS MODERN มียอดขายเติบโตขึ้นถึง 30%

OlyyEssentials กระเป๋าดีไซน์ Timeless ที่สายแฟเทใจให้

Olyy Essentials แบรนด์กระเป๋ามาแรงที่เชื่อว่าสายแฟทุกคนต้องมีติดตู้ โดดเด่นด้วยหนัง Suede คุณภาพสูง และดีไซน์ที่สะท้อนความเป็นสาวๆ OLYY ในทุกมิติ และ สามารถหยิบไปแมทช์ได้กับทุกลุค สวยชิคแบบไม่ต้องพยายาม พร้อมฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

ภายใต้ความเรียบง่ายที่เต็มไปด้วยรายละเอียด Olyy Essentials ได้รับการขับเคลื่อนโดย นัท - นัสรีน และ ธามณ์ - ธามณ์นที จิรเศรษฐวัฒนศักดิ์ ซึ่งมีรากฐานจากประสบการณ์จริงในแฟชั่น และความเข้าใจลึกซึ้งในเรื่องดีไซน์ วัสดุ และงานฝีมือระดับพรีเมียม พร้อมทั้งมุ่งมั่นพัฒนา กระเป๋าแต่ละใบให้มีความ “Timeless” อย่างแท้จริง ตั้งแต่การคัดสรรหนัง Suede คุณภาพสูง ไปจนถึงการออกแบบอะไหล่เฉพาะที่สะท้อนเอกลักษณ์ของแบรนด์อย่างชัดเจน

ด้วยแนวคิดการออกแบบที่ยึดหัวใจของสาวๆ ยุคใหม่ และความเข้าใจลึกซึ้งในไลฟ์สไตล์ ทำให้ กระเป๋ารุ่นแรกของแบรนด์อย่าง Ara Espresso ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ผ่านกลยุทธ์การทำคอนเทนต์ด้วยความจริงใจ เข้าถึงง่าย และสะท้อนตัวตน lifestyle ของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน จนสามารถ sold out ภายใน 2 นาที หลังเปิดตัว

ความสำเร็จของแบรนด์แฟชั่นในยุคนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับดีไซน์ที่สวยงามเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการมีสไตล์ที่โดดเด่น จุดยืนที่ชัดเจน และการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำ โดยเฉพาะบน LazLOOK แพลตฟอร์มที่รวมกลุ่มลูกค้าสายแฟตัวยง และด้วยฐานผู้ใช้งานที่เหนียวแน่นนี้ ทำให้แบรนด์สามารถโปรโมตสินค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ผ่านกิจกรรมการตลาด ไม่ว่าจะเป็นเมกะแคมเปญหรือแคมเปญประจำสัปดาห์ทุกวันศุกร์อย่าง LazLOOK Friday และหลากหลายเครื่องมือสนับสนุนผู้ขายจากลาซาด้า ซึ่งช่วยสร้างผลลัพธ์ที่เกินความ

คาดหมาย สะท้อนให้เห็นว่าลาซาด้าไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ แต่คือพันธมิตรทางธุรกิจที่ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างตรงเป้าหมาย สร้างโอกาสใหม่ ๆ เพื่อเดินหน้าสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเป็นผู้ขายบนลาซาด้าได้ที่ Lazada Seller Center

ภายหลังทรู คอร์ปอเรชั่น ประสบความสำเร็จคว้าชัยในการประมูลคลื่นความถี่ 2300 MHz และ 1500 MHz เสริมพอร์ตคลื่นครบทั้งย่านต่ำ กลาง และสูง และเป็นผู้ให้บริการที่มีชุดคลื่นความถี่ (Spectrum Portfolio) ครอบคลุมและครบมากที่สุดในไทย นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะกรรมการบริษัท แสดงความยินดีและขอบคุณคณะผู้บริหารสำหรับความสำเร็จในครั้งนี้ พร้อมให้คำมั่นกับทุกภาคส่วนว่า ทรู คอร์ปอเรชั่น จะใช้คลื่นความถี่ที่ได้รับมาอย่างมีประสิทธิภาพและรับผิดชอบสูงสุด เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและคนไทยทุกคน

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานกรรมการ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แสดงความยินดีกับทีมผู้บริหารทรู และเปิดเผยว่า ”ความสำเร็จในการประมูลคลื่นความถี่ครั้งนี้ เป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับศักยภาพของทรู และเสริมสร้างรากฐานด้านการสื่อสารของประเทศให้ก้าวทันโลกดิจิทัลอย่างแท้จริง ซึ่งการได้คลื่นความถี่เพิ่มเติมครั้งนี้ นอกจากจะเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจของทรูแล้ว ยังสะท้อนถึงพันธกิจในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศอย่างต่อเนื่อง ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยี อันจะสามารถสร้างโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกภาคส่วน รวมทั้งส่งเสริมความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของทรู คอร์ปอเรชั่นที่พร้อมสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อคนไทยทุกคน ”

นายศุภชัย กล่าวเพิ่มเติม “ขอบคุณทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมในกระบวนการจัดสรรประมูลคลื่นความถี่ในครั้งนี้ และเชื่อมั่นว่าทรูจะใช้คลื่นความถี่ที่ได้รับมาอย่างมีประสิทธิภาพและรับผิดชอบสูงสุด เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและคนไทยทุกคน”

นายซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า " การประมูลคลื่นความถี่ครั้งนี้เป็นไปตามเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นของทรู คอร์ปอเรชั่นที่ต้องการยกระดับความสมบูรณ์ของโครงข่ายคุณภาพ ซึ่งคลื่นทั้งสองย่านที่ได้มาใหม่นี้ คือคลื่น 2300 MHz จำนวน 70 MHz และ 1500 MHz จำนวน 20 MHz มูลค่ารวม 26,423.96 ล้าน เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่จะสร้างประโยชน์อย่างยิ่งให้กับลูกค้า และจะทำให้ทรู คอร์ปอเรชั่น เป็นผู้ให้บริการที่มีชุดคลื่นความถี่ครอบคลุมและครบมากที่สุดในไทย อันเป็นการต่อยอดแผนการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย (Network สมบูรณ์และเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่จะเสริมศักยภาพการแข่งขันของทรูในระยะยาว แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของ

ประเทศไทย เพราะเราเชื่อมั่นว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร คือหัวใจสำคัญของการพัฒนานวัตกรรม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชน”

นางสาวสุภาภรณ์ อังศรีสุรพร ผู้จัดการฝ่ายบริหารโครงการอาวุโส อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงาน Food & Hospitality Thailand (FHT) 2025 กล่าวถึง ภาพรวมการท่องเที่ยวที่ส่งผลต่อธุรกิจอุปกรณ์และเครื่องใช้ในโรงแรมว่า การท่องเที่ยวไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การลดลงของนักท่องเที่ยวจีน ล้วนส่งผลต่อการท่องเที่ยวเชิงปริมาณ อย่างไรก็ตามการท่องเที่ยวไทยก็มีปัจจัยที่อาจพลิกกลับเป็นบวกได้ ในส่วนของการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ เพราะล่าสุดกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มีการปรับระดับคำแนะนำการเดินทางให้ไทยอยู่ในระดับ 1 ที่มีความปลอดภัยสู่เทียบเท่าญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว นอกจากนั้น ททท. ยังออกมาเปิดเผยถึงสัญญาณการเติบโตที่ดีเป็นตัวเลข 2 digit อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ของท่องเที่ยวยุโรป ตะวันออกกลาง สหรัฐอเมริกา และโอเชียเนีย ที่เป็นกลุ่มกำลังซื้อสูง โดยนักท่องเที่ยวจากยุโรปเติบโต 13% เป็นเยอรมนี 71% อิตาลี 28% สวิตเซอร์แลนด์ 24% ส่วนกลุ่มตะวันออกกลางมีการเติบโต 55% เป็นซาอุดีอาระเบีย 61% โอมาน 54% U.A.E 51% อิสราเอล 32.49% ตัวเลขการเติบโตดังกล่าวมีนัยยะอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนเป้าหมายใหม่ของการท่องเที่ยวไทย ในการเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพของโลก (Quality Destination)

ซึ่งผู้ประกอบการธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ร้านอาหาร และการบริการ จำเป็นต้องปรับตัวให้ทันกับเป้าหมายใหม่นี้ พร้อมกับเรียนรู้พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ที่ต่างไปจากนักท่องเที่ยวกลุ่ม Mass Tourism ทั้งในแง่การใช้จ่าย ความสนใจ และค่านิยมด้านการท่องเที่ยว อาทิ มีวางแผนการเดินทางล่วงหน้า อยู่นาน 2-3 สัปดาห์ หรือมากกว่านั้น จ่ายสูงเพื่อคุณภาพและบริการที่ดี เน้นการท่องเที่ยวเพื่อสร้างประสบการณ์ ชอบเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นมากกว่าเช็คอินจุดท่องเที่ยวยอดนิยม รักสุขภาพ เลือกที่พักและกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมใส่ใจด้านความยั่งยืน

ดังนั้นเพื่อส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ร้านอาหาร และการบริการ การจัดงาน Food & Hospitality Thailand 2025 ครั้งนี้ จึงรวมรวมผู้จัดผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องใช้ในธุรกิจท่องเที่ยว อาหาร และการบริการจากทั่วโลก ที่มีคุณภาพสูง มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการช่วยลดต้นทุน เสริมคุณภาพ และประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจและบริการ พร้อมกับมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนที่กำลังเป็นแนวทางปฏิบัติหลักในด้านการท่องเที่ยวของโลกปัจจุบัน ซึ่งภายในงานมีผู้ร่วมจัดแสดงงานทั้งกลุ่มวัตถุดิบอาหาร อุปกรณ์เครื่องใช้ และโซลูชันที่ใช้ในธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร และการบริการกว่า 3,000 แบรนด์ จากไทยและนานาชาติร่วมจัดแสดงในงานฯ พร้อมด้วยกิจกรรมเสริมความรู้ผู้ประกอบการจากผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจและอุตสาหกรรม อาทิ เวที CEO Forum ในหัวข้อ “Amazing Grand Thailand” และการสัมมนาจากสมาคมโรงแรมไทย, การประชุมสุดยอดอาเซียนด้านการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ 2025, การมอบรางวัล Thailand Spa and Well-being Awards 2025 ฯลฯ ซึ่งผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดการจัดงานและกิจกรรมในงาน Food & Hospitality Thailand 2025 พร้อมลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้แล้ววันนี้ที่เว็บไซต์ www.fhtevent.com

ด้านนายพรทัต อมตวิวัฒน์ ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท ดูนิ (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในผู้ร่วมจัดแสดงงาน เผยถึงมุมมองต่อธุรกิจกลุ่มโฮเรก้า (โรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจจัดเลี้ยง) ว่าการฟื้นตัวของ

ธุรกิจหลังโควิดถือว่าไม่เร็วมากนัก ซึ่งเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ผู้ประกอบการแต่ละรายมีการปรับตัวที่แตกต่างกัน สิ่งสำคัญคือการบริหารต้นทุนและติดตามเทรนด์ของโลกในเรื่องของความยั่งยืน (Sustainability) การท่องเที่ยวจะช้าหรือเร็วก็ต้องกลับมา บริษัทฯ เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการผลิตและจัดจำหน่ายกระดาษเช็ดปาก (Napkin) สำหรับกลุ่มลูกค้าโฮเรก้า (HoReCa) ซึ่งมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมมากกว่า 30 ปี มีการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งในประเทศและยังเป็นผู้ส่งออกไปยังประเทศต่างๆอีก 30 กว่าประเทศทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นฐานการผลิตของกลุ่ม Duni Group ซึ่งเป็นบริษัทฯ จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ประเทศสวีเดน ในจุดเด่นของผลิตภัณฑ์อยู่ที่คุณภาพ ความหลากหลาย การออกแบบที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า อยู่ในงบประมาณที่กำหนด รวมทั้งยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงความยั่งยืนที่ทุกคนให้ความสำคัญ ซึ่งการร่วมงานกับ Food & Hospitality Thailand ที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง จากการเป็นศูนย์รวมของผู้ซื้อและผู้ขายที่เป็นผู้ประกอบการตัวจริงทั้งในและต่างประเทศ โดยในงานฯ ปีนี้บริษัทฯ ได้เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ กระดาษเช็ดปากคุณภาพสูง (Premium Napkin) ที่ให้สัมผัสหรูหราเทียบเท่าผ้าเช็ดปากที่ทำมาจากผ้าลินิน (Linen Napkin) พร้อมบริการพิมพ์โลโก้หรือลวดลายเฉพาะแบรนด์ เพิ่มความโดดเด่นและน่าจดจำในทุกโอกาส และใช้งานได้สะดวกในทุกสถานที่ จึงอยากเรียนเชิญให้ผู้ที่สนใจเข้ามาเยี่ยมชมนวัตกรรมผลิตภัณฑ์กระดาษของบริษัทฯ ที่ลูกค้าทั่วโลกให้การยอมรับ

ส่วนนายปวัน เอี่ยมเจริญยิ่ง ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจ บริษัท แมททีเรียล เวิลด์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายสินค้าสำหรับธุรกิจโรงแรม โรงพยาบาล ร้านอาหาร และการให้บริการ กล่าวถึง ภาพร่วมของกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในธุรกิจบริการ (Hospitality Product) ว่า ปีนี้ยังมีการเติบโตได้ไม่สูงนักตามสถานการณ์การท่องเที่ยว แต่การตลาดและการขายมีการแข่งขันที่สูงขึ้น ซึ่งการดำเนินธุรกิจของ แมททีเรียล เวิลด์ ยังเน้นในการรักษาจุดแข็งและยึดมั่นในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ Premium คุณภาพสูง อาทิ แบรนด์ Rubbermaid จากสหรัฐอเมริกา ที่เป็นอุปกรณ์จัดเก็บ อุปกรณ์ทำความสะอาด และของใช้ในธุรกิจบริการที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกด้านประสิทธิภาพ ความทนทาน และการใช้งานง่าย ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลักของแบรนด์ส่วนใหญ่กลุ่มโรงแรมเชนระดับ 5 ดาว โดยทางบริษัทฯ เป็นผู้จัดจำหน่ายหนึ่งเดียวในประเทศไทย

สำหรับการร่วมจัดงานกับ Food & Hospitality Thailand 2025 นั้น เนื่องจากเป็นงานสำคัญของคนในธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจบริการของอาเซียนอย่างแท้จริง ทำให้บริษัทฯ ได้มีโอกาสพูดคุย เพื่อต่อยอดธุรกิจกับลูกค้าได้โดยตรง โดยไฮไลท์ที่นำมาร่วมจัดแสดงและเปิดตัวในปีนี้ คือ ผลิตภัณฑ์ Housekeeping Carts จากแบรนด์ Rubbermaid ที่มีนวัตกรรมมอเตอร์ไดร์ช่วยทุนแรงในการเข็นใช้งาน และยังมีอีกหลายผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ จึงอยากเชิญชวนให้ผู้ประกอบการแวะมาเยี่ยมชมสินค้าหรือพูดคุยที่บูธของเราได้

ในส่วนของนางสาวพรหมปรียา มานะวิริยะกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีเอ็ม อินเตอร์มาร์ท จำกัด กล่าวถึงโอกาสของธุรกิจอุปกรณ์เครื่องใช้ในธุรกิจโรงแรมว่า ธุรกิจโรงแรมจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอุปกรณ์เครื่องใช้อยู่สม่ำเสมอ เพื่ออำนวยความสะดวก สร้างประสบการณ์ และความประทับใจแก่ผู้เข้าพัก รวมถึงการเกิดขึ้นของโรงแรมใหม่ๆ เป็นปัจจัยที่สร้างโอกาสให้กับธุรกิจกลุ่มนี้ โดยบริษัทฯ เป็นผู้จัดจำหน่าย นำเข้า และส่งออกสินค้าอุปกรณ์สำหรับกลุ่มโรงแรม รีสอร์ท เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ โรงพยาบาล ภัตตาคาร ที่ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น ตู้เซฟ มินิบาร์ กาต้มน้ำ สิ่งของจำเป็นในห้องพัก ฯลฯ พร้อมให้คำปรึกษาในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าและพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงมีการนำเสนอสินค้าใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์และมีนวัตกรรมที่น่าสนใจอยู่ตลอดเวลา รวมถึงยังมีบริการหลังการขายที่มีคุณภาพเป็นจุดเด่นที่ลูกค้าให้ความเชื่อถือ

โดยการร่วมจัดงาน Food & Hospitality Thailand 2025 นั้น แม้จะเป็นปีแรก แต่ได้มาสังเกตการณ์ทุกปี ซึ่งพบว่าผู้เข้าชมงานเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีอำนาจตัดสินใจ เป็นผู้บริหารระดับสูง และเป็นผู้ประกอบการ จากทั้งโรงแรมเชน โรงแรมเปิดใหม่ หรือโรงแรมที่มีการปรับปรุง ที่มาเดินเลือกหาสินค้าภายในงานฯ การร่วมงานฯ ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสให้ทำให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์และบริษัทฯ มากขึ้น ส่วนไฮไลน์ที่นำมาจัดแสดงเป็นตู้เย็นมินิบาร์ ที่มีนวัตกรรมประหยัดพลังงาน และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ใช้ในธุรกิจโรงแรมและบริการที่ครบวงจรอย่างแท้จริง

สำหรับงาน Food & Hospitality Thailand (FHT) 2025 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-23 สิงหาคม 2025 ชั้น G ฮอลล์ 1-4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจข้อมูลการจัดงานสามารถดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.fhtevent.com Facebook : Food & Hospitality Thailand

29 มิถุนายน 2568 - ทรู มูฟ เอช ประกาศคว้าชัยการประมูลคลื่นความถี่ครั้งล่าสุด จากผลการประมูลอย่างไม่เป็นทางการ ทรูสามารถประมูลใบอนุญาตคลื่น 2300 MHz จำนวน 70 MHz และ 1500 MHz จำนวน 20 MHz ทำให้ทรู คอร์ปอเรชั่น เป็นผู้ให้บริการที่มีชุดคลื่นความถี่ (Spectrum Portfolio) ครอบคลุมและครบมากที่สุดในไทย รวม 8 คลื่นความถี่ ทั้งคลื่นความถี่ต่ำ-กลาง-สูง ที่จะสามารถนำมาต่อยอดจากการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย (Network Modernization) เพื่อประสบการณ์การใช้บริการดิจิทัลของผู้ใช้งานในไทย

นายซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "ผลการประมูลคลื่นความถี่ครั้งนี้เป็นไปตามความสำคัญของการลงทุนเชิงกลยุทธ์ และเป้าหมายการจัดการคลื่นความถี่ที่มุ่งรองรับการเติบโตของเทคโนโลยี 5G, AI IoT และเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อคุณภาพชีวิตของคนไทย ยกระดับคุณภาพโครงข่ายเพื่อให้บริการลูกค้าทั่วประเทศให้ได้ประสบการณ์ที่ดีที่สุด รองรับภารกิจการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital transformation) ขององค์กรธุรกิจ และส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในระยะยาว”

คลื่น 2300 MHz ที่ทรู มูฟ เอช ชนะการประมูลจำนวน 70 MHz ด้วย ราคา 21,770,000,168 บาท จะนำมาให้บริการได้ทั้ง 5G และ 4G โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์ที่ทรูมีอยู่แล้ว เพื่อส่งมอบความเร็ว ความครอบคลุม และประสิทธิภาพที่ดีกว่าเดิม พร้อมทั้งสามารถรวมกับคลื่นย่านอื่นเพื่อให้บริการที่เร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถนำมาเพิ่มศักยภาพ 5G ของคลื่น 2600 MHz ให้เป็น 5G เต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สำหรับคลื่น 1500 MHz จำนวน 20 MHz ของทรู มูฟ เอช ประมูล ด้วยราคา 4,653,960,168 ล้านบาท เป็นคลื่นใหม่ที่เหมาะสำหรับการพัฒนาเครือข่ายสู่อนาคต มีจุดเด่นในการเสริมประสิทธิภาพเทคโนโลยี 5G และต่อยอดการใช้งาน 4G สามารถนำมาใช้งานเพื่อเพิ่มความจุของเครือข่ายและเพิ่มความครอบคลุมในช่วงดาวน์โหลด รองรับการใช้งานดาต้าที่เพิ่มขึ้นทั้งในพื้นที่หนาแน่นและนอกเมือง โดยสามารถนำคลื่น 1500 MHz รวมกับคลื่นอื่น หรือ เทคโนโลยี Carrier Aggregation ส่งผลให้ผู้ใช้งานได้รับอินเทอร์เน็ตที่เร็วขึ้นแม้อยู่ในพื้นที่แออัด มีสัญญาณเสถียรและลดปัญหาเน็ตช้าในช่วงเวลาพีค

8 คลื่นความถี่ของทรู คอร์ปอเรชั่น “ไม่หยุด…เพื่อสัญญาณความสุขให้ทุกคน”

· คลื่นความถี่ต่ำ (Low-band): 700 MHz : 2x20 MHz, 900 MHz : 2x15 MHz

· คลื่นความถี่กลาง (Mid-band): 1500 MHz : 20 MHz, 1800 MHz : 2x20 MHz, 2100 MHz : 2x30 MHz, 2300 MHz : 70 MHz, 2600 MHz : 90 MHz

· คลื่นความถี่สูง (High-band): 26 GHz : 1000 MHz

นอกจากนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ชูแนวคิด "ไม่หยุด…เพื่อสัญญาณความสุขให้ทุกคน" หรือ "TOGETHER WE ARE UNSTOPPABLE" สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาเพื่อลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ที่มุ่งสร้างประสบการณ์เชื่อมต่อดิจิทัลที่ไร้ขีดจำกัด รวมถึงการเป็นผู้ให้บริการที่มีชุดคลื่นความถี่ครบทุกย่าน 8 คลื่น ตั้งแต่คลื่นต่ำ-กลาง-สูง (Low-band, Mid-band, High-band) เป็นพลังสำคัญที่ทำให้ทรูสามารถมอบ "สัญญาณความสุข" ผ่านการบริการที่รวดเร็ว และครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้สามารถให้บริการที่หลากหลายทั้ง 5G, 4G พร้อมรองรับ IoT และ AI ด้วยประสิทธิภาพสูงสุด

29 มิถุนายน 2568 - บรรยากาศเช้าวันนี้เต็มไปด้วยพลังและความมั่นใจจากทีมทรู มูฟ เอช โดย เวลา 07:29 น. คณะผู้บริหารระดับสูงจากทรู คอร์ปอเรชั่น ที่จะเข้าร่วมประมูล หรือร่วมสังเกตการณ์ ได้เดินทางมาถึงสำนักงาน กสทช. นำโดยนายซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม พร้อมด้วย นายวิเชาวน์ รักพงษ์ไพโรจน์ ประธานคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์, นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร, นายประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยีและความปลอดภัยระบบสารสนเทศ, นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม), นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) และนายนฤพนธ์ รัตนสมาหาร หัวหน้าสายงานรัฐกิจสัมพันธ์และกำกับดูแล เป็นต้น พร้อมด้วยทีมที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์การประมูลคลื่นความถี่

ขณะที่กองเชียร์พนักงานทรูจำนวนมากกว่า 100 คนรวมตัวส่งเสียงเชียร์ ให้กำลังใจผู้บริหารอย่างคับคั่ง สร้างความมั่นใจก่อนเข้าสู่การประมูลคลื่นความถี่ครั้งสำคัญเพื่อลูกค้า โดยทรู คอร์ปอเรชั่น ชูแนวคิด "ทรู ไม่หยุด...เพื่อสัญญาณความสุขให้ทุกคน" สะท้อนความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพโครงข่ายอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บริการเพิ่มประสิทธิภาพยิ่งขึ้นทั่วประเทศ

การประมูลครั้งนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของทรู คอร์ปอเรชั่นในการมุ่งสู่บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำของไทย เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงบริการอย่างเท่าเทียมทุกพื้นที่ และสร้างความแข็งแกร่งในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเพื่อประเทศในระยะยาว ตลอดจนพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศให้ก้าวสู่ผู้นำในภูมิภาค

เซลส์ฟอร์ซ (Salesforce) (NYSE: CRM) ผู้นำด้านระบบบริหารจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ประกาศเปิดตัว Agentforce 3 ที่เป็นการอัปเกรดครั้งสำคัญของแพลตฟอร์มแรงงานดิจิทัลที่ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถมองเห็นและควบคุมการทำงานของเจ้าหน้าที่ AI อัจฉริยะ (AI Agent) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ท่ามกลางการใช้งาน AI Agent ระดับองค์กรที่เพิ่มมากขึ้น ข้อบกพร่องก็ชัดเจนมากขึ้นเช่นกัน กล่าวคือทีมงานไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่ Agent กำลังดำเนินการ และไม่สามารถพัฒนา Agent ได้อย่างรวดเร็ว Agentforce 3 จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ช่องว่างนี้โดยเฉพาะ อ้างอิงจากบทเรียนจากการติดตั้ง Agentforce หลายพันครั้งนับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งช่วยสร้างผลลัพธิ์ที่วัดได้ให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดย Agentforce สามารถจัดการบทสนทนาด้านงานธุรการได้โดยอัตโนมัติ ของ 1-800Accountant ได้ถึง 70% ในช่วงการยื่นภาษีของปี 2568

Agentforce 3 ออกแบบมาเพื่อให้ผู้นำองค์กรสามารถตรวจสอบ ปรับปรุง และขยายการใช้งาน AI Agent ได้อย่างมั่นใจ มาพร้อมกับ Command Center ใหม่ เสริมการสังเกตการณ์อย่างครบวงจร รองรับโปรโตคอลมาตรฐานเปิด Model Context Protocol (MCP) สำหรับการเชื่อมต่อแบบ plug-and-play และฟีเจอร์เฉพาะอุตสาหกรรมใหม่กว่า 100 รายการ เพื่อช่วยองค์กรเร่งการนำไปใช้งาน ปรับปรุงสิ่งที่บกพร่อง และปลดล็อกศักยภาพของ Agentic AI ได้อย่างเต็มที่

ความสำคัญของ Agentforce 3

การใช้งาน AI Agent กำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลดัชนี Slack Workflow Index (ที่เตรียมเผยแพร่เร็ว ๆ นี้) ระบุว่าการใช้งาน AI Agent เพิ่มขึ้นถึง 233% ภายในระยะเวลา 6 เดือน และมีลูกค้ากว่า 8,000 รายลงทะเบียนใช้งาน Agentforce ในช่วงเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์ม AI Agent ส่วนใหญ่ยังขาดเครื่องมือด้านการกำกับดูแล การผสานรวม และการสังเกตการณ์ที่จำเป็นต่อการขยายการใช้งานระดับองค์กร Agentforce 3 เข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ โดยให้การมองเห็นที่สมบูรณ์แบบ การผสานเครื่องมืออย่างปลอดภัย และการควบคุมในระดับองค์กรที่จำเป็นเพื่อให้ความเร็วของ Agent กลายเป็นข้อได้เปรียบทางธุรกิจ

 อดัม อีวานส์ (Adam Evans) รองประธานบริหารและผู้จัดการทั่วไปฝ่าย AI ของ Salesforce กล่าวว่า “Agentforce คือการรวมตัวของ Agent ข้อมูล แอปพลิเคชัน และ metadata เข้าไว้ในแพลตฟอร์มแรงงานดิจิทัลเดียว ช่วยให้องค์กรหลายพันแห่งเริ่มต้นใช้งาน agentic AI ได้จริง เรารับฟังเสียงจากลูกค้าอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็น Agentforce 3 ก้าวกระโดดครั้งสำคัญของแพลตฟอร์ม ที่ทำให้การใช้งาน Agentforce ทุกรูปแบบมีความฉลาด ไหวพริบ ประสิทธิภาพ ความน่าเชื่อถือ และความโปร่งใส Agentforce 3 จะเปลี่ยนวิธีที่มนุษย์และ AI Agent ทำงานร่วมกัน ยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน และการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจอย่างก้าวกระโดด”

Agentforce Command Center เครื่องมือสำหรับตรวจสอบ วัดผล และปรับปรุง AI Agent

เมื่อ AI Agent เริ่มเข้ามาทำงานประจำ และทำงานร่วมกับมนุษย์อย่างใกล้ชิดมากขึ้น ทีมงานจึงต้องการเครื่องมือชั้นใหม่สำหรับการสังเกตการณ์ในยุคแรงงานดิจิทัล ซึ่ง Agentforce Command Center คือคำตอบ เครื่องมือนี้คือโซลูชันที่ช่วยให้ผู้นำองค์กรสามารถมองเห็นการทำงานของ AI Agents แบบครบวงจร ช่วยวิเคราะห์ วัดผล และปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน Command Center ถูกพัฒนาขึ้นใน Agentforce Studio เพื่อเสริมความแข่งแกร่งให้ Agent ด้วยเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยให้เข้าใจและปรับปรุง Agent ได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกระดับ

· สังเกตุพฤติกรรมจากการตอบโต้เพื่อพัฒนาการทำงานของ AI Agent: Command Center ช่วยให้ทีมวิเคราะห์ทุกการโต้ตอบของ AI Agent เจาะลึกไปยังช่วงเวลาที่สำคัญ เข้าใจแนวโน้มการใช้งาน พร้อมแนะนำแนวทางปรับปรุงโดยใช้ AI ช่วย เพื่อพัฒนา Agentforce อย่างต่อเนื่อง

· ติดตามสถานะของ Agent และเข้าแทรกแซงได้แบบเรียลไทม์: ระบบจะให้ข้อมูลวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ ครอบคลุมทั้งเรื่องความหน่วงเวลา ความถี่ในการถูกยกระดับปัญหา และอัตราการเกิดข้อผิดพลาด พร้อมระบบแจ้งเตือนทันทีเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เพื่อให้ทีมสามารถดำเนินการแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว และทำให้ AI Agent ทำงานได้อย่างราบรื่น

· เข้าใจว่าจุดไหนได้ผล และจุดไหนควรปรับปรุง: Command Center มาพร้อมแดชบอร์ดแบบละเอียดที่วัดการตอบรับจากผู้ใช้ อัตราความสำเร็จ ต้นทุน และประสิทธิภาพตามหัวข้อสนทนา ของ Agent เพื่อให้ทีมงานสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอะไรที่กำลังได้ผลดี และจุดใดที่ยังต้องปรับปรุง

· มองเห็นการทำงานของ AI Agent ผ่านเครื่องมือที่ทีมงานใช้อยู่แล้ว: Agentforce บันทึกกิจกรรมทั้งหมดของ Agent ในรูปแบบข้อมูล session-tracing ที่ยืดหยุ่นและออกแบบมาโดยเฉพาะบน Data Cloud เพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์ การตรวจสอบ และการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ ที่รองรับมาตรฐาน OpenTelemetry ข้อมูลจาก Agent จึงสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องมือมอนิเตอร์ที่ทีมใช้อยู่แล้วได้อย่างราบรื่น เช่น Datadog, Splunk, Wayfound เป็นต้น เพื่อให้เห็นภาพรวมการทำงานแบบ end-to-end ครอบคลุมทั้งระบบ

· ส่งมอบ Command Center ที่ตั้งค่าได้ตามความต้องการของแต่ละทีม: ตรวจสอบ AI Agent ควบคู่กับทีมงานได้อย่างลงตัวในทุกขั้นตอนของการทำงาน เริ่มจาก Service Cloud ที่จะแสดงข้อมูลกิจกรรมของ Agent บนหน้าจอวอลบอร์ดแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ผู้ควบคุมศูนย์บริการติดตามผลการทำงานและจัดการเรื่องเร่งด่วนได้รวดเร็ว และในอนาคต ทุกแผนกจะมี Command Center ที่สร้างมาเพื่อปรับแต่งและเพิ่มประสิทธิภาพ Agent ของตัวเอง

· สร้างและทดสอบ Agent ได้อย่างรวดเร็วด้วยเครื่องมือ AI: ใน Agentforce Studio ผู้ใช้งานสามารถป้อนภาษาที่มนุษย์ใช้ทั่วไปเพื่อสร้างหัวข้อ คำแนะนำ และกรณีทดสอบ จากนั้น Testing Center จะช่วยจำลองพฤติกรรมในวงกว้างด้วยการใส่สถานะจำลองเพื่อทดสอบปฏิกิริยา (State Injection) และการประเมินผลด้วย AI เพื่อให้สามารถทดสอบความพร้อมของ Agent ก่อนนำไปใช้งานจริงได้อย่างมั่นใจ

 ไรอัน ทีเปิลส์ (Ryan Teeples) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี 1-800Accountant กล่าวว่า “Agentforce สามารถจัดการงานตอบแชทอัตโนมัติของ 1-800Accountant ได้ถึง 70% ในช่วงฤดูกาลยื่นภาษีที่ผ่านมาซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ธุรกิจของเราคึกคักที่สุด ความสำเร็จในช่วงแรกนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เราได้วางรากฐานการใช้งานที่มั่นคงและเน้นพัฒนาประสบการณ์การใช้งาน Agentic AI รวมถึงระบบอัตโนมัติ AI ใหม่ ๆ ผ่านฟีเจอร์ล่าสุดของ Agentforce ด้วยการสังเกตการณ์ที่ละเอียด เราจึงเห็นว่าฟีเจอร์ไหนใช้ได้ผล ปรับปรุงทันที และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันได้อย่างมั่นใจ”

เชื่อมต่อระบบองค์กรอย่างปลอดภัยด้วย MCP และการสนับสนุน A2A: AI Agent จะไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีได้หากไม่สามารถใช้งานเครื่องมือสำคัญขององค์กรได้ โปรโตคอลมาตรฐานเปิดอย่าง Model Context Protocol (MCP) กำลังได้รับความนิยม มอบโอกาสในการเชื่อมต่อระหว่างระบบต่าง ๆ แต่ก็มีความท้าทายด้านการกำกับดูแล การยืนยันตัวตน และการควบคุม Agentforce 3 แก้ไขปัญหานี้ด้วยการรวมความปลอดภัยระดับองค์กรเข้ากับการเชื่อมต่อแบบเปิด ช่วยให้ Agent สามารถเข้าถึงเครื่องมือที่จำเป็นได้โดยไม่เสียความปลอดภัยหรือการควบคุม

· รองรับ MCP ในตัว Agentforce: Agentforce มาพร้อมไคลเอนต์ MCP ที่ฝังมาในระบบ ทำให้ Agentforce สามารถเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่รองรับ MCP ได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเพิ่ม เปรียบเสมือน “USB-C สำหรับ AI” ที่ช่วยให้เข้าถึงเครื่องมือ คำสั่ง และทรัพยากรต่าง ๆ ภายใต้นโยบายความปลอดภัยที่มีอยู่แล้ว

ขยายศูนย์ AgentExchange ที่เป็นระบบนิเวศ AI Agent ชั้นนำ เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาและใช้งานเครื่องมือที่ออกแบบสำหรับ Agent: เมื่อองค์กรเริ่มนำ AI Agent ไปใช้งานในทีมต่าง ๆ AgentExchange ช่วยให้ง่ายต่อการติดตั้งเครื่องมือที่เชื่อถือได้ซึ่งสร้างขึ้นโดยพันธมิตร พร้อมทั้งมีเทมเพลตและฟังก์ชันที่ช่วยให้เกิดประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้ลูกค้าจะสามารถค้นหาเซิร์ฟเวอร์ MCP จากพันธมิตรกว่า 30 ราย ซึ่งให้การเข้าถึงเครื่องมือและทรัพยากรของบุคคลที่สามที่เชื่อถือได้ และเชื่อมต่อกับ Agentforce ได้อย่างราบรื่นผ่านเกตเวย์ AI Agent ที่ปลอดภัย โดยพันธมิตร MCP ได้แก่ AWS, Box, Cisco, Google Cloud, IBM, Notion, PayPal, Stripe, Teradata, WRITER และอื่น ๆ

พัฒนาโครงสร้าง Agentforce ให้พร้อมใช้งานในองค์กรอย่างเต็มที่: ทุกฟีเจอร์ใหม่ใน Agentforce 3 ขับเคลื่อนด้วยระบบ Atlas รุ่นล่าสุดที่รองรับองค์กรได้เต็มรูปแบบ ด้วยความหน่วงเวลาที่ต่ำลง ความแม่นยำสูงขึ้น การใช้งานระดับโลกที่ครอบคลุม และทางเลือกในการควบคุมที่มากขึ้นผ่าน LLM รุ่นใหม่ที่โฮสต์บนโครงสร้างพื้นฐานของ Salesforce

· ขยายตัวเลือกโมเดลภาษาใหญ่ด้วย Anthropic: Agentforce รองรับโมเดล Claude Sonnet ของ Anthropic ซึ่งโฮสต์ผ่าน Amazon Bedrock โดยได้รับความเชื่อมั่นจาก Salesforce เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในอุตสาหกรรมที่มีข้อกำหนดเข้มงวด ในฐานะส่วนหนึ่งของความร่วมมือขยายนี้ Anthropic จะทำงานร่วมกับ Salesforce เพื่อช่วยให้ลูกค้าในอุตสาหกรรมที่ถูกควบคุมสามารถขยายการใช้งาน Agentforce ด้วย Claude ได้ และภายในปีนี้ Salesforce จะเปิดให้ลูกค้าใช้โมเดล Gemini ของ Google ใน Agentforce เพื่อเน้นย้ำตำแหน่งของ Agentforce ในฐานะผู้นำด้าน AI Agents ที่น่าเชื่อถือและมีความยืดหยุ่น

· ประสิทธิภาพที่รวดเร็วขึ้นและการสตรีมคำตอบ: ผู้ใช้จะได้รับประสบการณ์ Agentforce ที่ตอบสนองได้ไวขึ้น ด้วยความหน่วงเวลาที่ลดลงถึง 50% จากเดือนมกราคม 2568 และฟีเจอร์สตรีมคำตอบที่พร้อมใช้งานในเวอร์ชันนี้ ช่วยให้ผู้ใช้เห็นคำตอบปรากฏขึ้นแบบเรียลไทม์

ความพร้อมใช้งานเฉพาะสำหรับแต่ละอุตสาหกรรมที่ครบครันตั้งแต่เริ่มใช้งาน ช่วยให้องค์กรในทุกอุตสาหกรรมสามารถสร้างผลลัพธ์จาก AI Agents ได้อย่างรวดเร็ว ด้วย Prebuilt Industry Actions กว่า 200 รายการ ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นแอ็กชันใหม่ที่เปิดตัวในฤดูร้อนนี้ ครอบคลุมตั้งแต่การนัดหมายผู้ป่วย การสร้างข้อเสนอทางการตลาด การบริการยานพาหนะ และอื่น ๆ อีกมากมาย Agentforce 3 ยังมาพร้อมกับโครงสร้างราคาที่เรียบง่ายและยืดหยุ่นมากขึ้น โดยมี SKU ใหม่สำหรับ Agentforce ในกลุ่ม Sales, Service และ Industry Cloud ที่คิดราคาต่อผู้ใช้ และเปิดให้ใช้งานแอ็กชันได้ไม่จำกัดสำหรับ AI Agents ที่ทำงานร่วมกับพนักงาน ช่วยให้ทีมสามารถเริ่มต้นใช้งานได้อย่างรวดเร็วและขยายขีดความสามารถได้อย่างมั่นใจ

นำ Agenforce มาใช้และขยายขีดความสามารถได้อย่างมั่นใจด้วยผู้เชี่ยวชาญที่ไว้ใจได้: กลุ่มพาร์ตเนอร์ Salesforce เช่น Accenture, Deloitte Digital, NeuraFlash, PwC และอีกมากมาย ได้ให้การสนับสนุนลูกค้าในการติดตั้ง Agentforce มาแล้วหลายพันครั้ง พร้อมผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองกว่า 272,000 คนทั่วโลก ที่ช่วยให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์และสนับสนุนการใช้งาน AI Agent อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยังคงรักษาการกำกับดูแลตามมาตรฐานขององค์กรไว้ครบถ้วน

 อาธีนา คานิอูร่า (Ahina Kanioura) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และการเปลี่ยนแปลงองค์กร PepsiCo กล่าวว่า “การใช้ Agentforce ทำให้ PepsiCo ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงในเส้นทางของการใช้ agentic AI ด้วยการรวมข้อมูลเชิงลึกผ่าน Salesforce Data Cloud เราได้รับภาพรวมแบบองค์รวมของลูกค้าและการดำเนินงาน ซึ่งช่วยให้เราสามารถวางกลยุทธ์ที่ดีขึ้น เสริมสร้างความสัมพันธ์ และสร้างมูลค่าที่สูงขึ้นในทุกตลาดที่เราดูแล”

พร้อมใช้งานแล้ววันนี้:

· Agentforce 3

· ระบบวิเคราะห์การนำ Agentforce ไปใช้งาน (Adoption Analytics)

· การปรับปรุงศูนย์ทดสอบ (Testing Center)

· ฟีเจอร์สำเร็จรูปเฉพาะอุตสาหกรรมมากกว่า 100 รายการ

· SKU เสริมของ Agentforce ใหม่ พร้อมสิทธิ์ใช้งานฟีเจอร์สำหรับพนักงานแบบไม่จำกัด

· การให้บริการโฮสต์เซิร์ฟเวอร์ MCP ผ่าน Heroku

· ความเร็วในการประมวลผลและระบบแสดงผลแบบตอบสนองแบบเรียลไทม์ที่เพิ่มขึ้น

· การสืบค้นข้อมูลผ่าน Web Search สำหรับ Agentforce Data Libraries

· Agentforce สำหรับ Government Cloud Plus ด้วยระบบความปลอดภัยแบบ FedRAMP High Authorization

· การขยายการให้บริการไปยังประเทศแคนาดา สหราชอาณาจักร อินเดีย ญี่ปุ่น และบราซิล และการรองรับภาษาเพิ่มเติม 6 ภาษา ได้แก่ ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมัน สเปน ญี่ปุ่น และโปรตุเกส

ทรูมันนี่ ผู้นำด้านบริการการเงินดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ ทรู คอร์ปอเรชั่น ผู้นำบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีของไทย และพันธมิตร ร่วมสนับสนุนแคมเปญ “รีบโอน โจรยิ้ม” ภายใต้โครงการ “Thai Cyber Ranger: ไทยรู้ ทันหลอก” ของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผอช.สอท.) หรือ CYBER CRIME INVESTIGATION BUREAU (CCIB) โดยแคมเปญดังกล่าวมุ่งสร้างความตระหนักรู้เท่าทันภัยไซเบอร์ให้กับประชาชนทั่วประเทศ ตลอดไตรมาส 3 ของปี 2568 โดยในงานเปิดแคมเปญ พลตำรวจโท ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) ได้เป็นผู้กล่าวรายงาน และมีพลตำรวจเอก ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ผอ. ศปอส. ตร.) เป็นผู้กล่าวเปิดงาน และมีตัวแทนจากภาคเอกชน ภาควิชาการ และอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ร่วมแสดงพลังสนับสนุนแคมเปญดังกล่าว

 

นายสถาพร คิ้วสุวรรณสุข ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด

โดยภายในงาน นายสถาพร คิ้วสุวรรณสุข ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด ยังได้ร่วมเวทีเสวนาพิเศษภายใต้หัวข้อ ‘เตรียมอย่างไรให้พร้อม ก่อนภัยไซเบอร์คลื่นใหม่เข้าสู่สังคมไทย’ และกล่าวว่า “การร่วมมือของ ทรูมันนี่ และ ทรู กับ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในแคมเปญ ‘รีบโอน โจรยิ้ม’ ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนที่มุ่งลดความเสี่ยงจากอาชญากรรมไซเบอร์ โดย ทรูมันนี่ มีการพัฒนาทั้งด้านเทคโนโลยีและฟีเจอร์ความปลอดภัย เครือข่ายความร่วมมือ การให้ความรู้ ตลอดจนการตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ใช้งาน โดยในอนาคต ทรูมันนี่ จะยังคงเดินหน้าขยายความร่วมมือกับภาครัฐและพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อต่อยอดการเสริมเกราะป้องกัน และยกระดับภูมิคุ้มกันทางดิจิทัลให้กับคนไทย”

 

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทรูมันนี่ ได้เดินหน้าปกป้องผู้ใช้งานจากภัยไซเบอร์ผ่าน 4 มาตรการสำคัญ ได้แก่ 1) เทคโนโลยีความปลอดภัยเชิงรุก โดยเราได้พัฒนาระบบป้องกันการดูดเงิน 3 ชั้น ที่เรียกว่า TrueMoney 3X Protection ซึ่งใช้เทคโนโลยี AI ตรวจ จับ และหยุดพฤติกรรมฉ้อโกงแบบเรียลไทม์ พร้อมวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรม อุปกรณ์ และตำแหน่งที่ตั้งแบบเรียลไทม์ เพื่อหยุดธุรกรรมต้องสงสัยก่อนเกิดความเสียหาย 2) ความร่วมมือเชิงลึกกับภาครัฐ ผ่านการแจ้งเตือนบัญชีต้องสงสัยและสนับสนุนข้อมูลวิเคราะห์เพื่อใช้ในกระบวนการสืบสวนแก่เจ้าหน้าที่และหน่วยงานภาครัฐ 3) การสื่อสารเพื่อสร้างความรู้เท่าทันภัยไซเบอร์ให้กับผู้ใช้และประชาชน ผ่านแพลตฟอร์มและสื่อในเครือข่ายของทรูมันนี่ ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนแคมเปญ “รีบโอน โจรยิ้ม” ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

ทั่วประเทศ โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี และ 4) การตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ใช้งาน ที่พร้อมประสานหน่วยงานภาครัฐและให้คำปรึกษาในการดำเนินการตามกฎหมาย โดยมีบริการสายด่วนแจ้งเหตุต้องสงสัยและภัยทางการเงินผ่านเบอร์ 1240 กด 6 สำหรับรับแจ้งเหตุฉุกเฉินและอายัดบัญชีตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งหมดนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ ทรูมันนี่ ในการสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่มั่นคง ปลอดภัย และเชื่อถือได้ เพื่อให้คนไทยทุกคนสามารถใช้ชีวิตและทำธุรกรรมในโลกดิจิทัลได้อย่างมั่นใจ

ปัจจุบัน อาชญากรรมทางเทคโนโลยีมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะภัยหลอกลวงจากการให้โอนเงิน ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของจำนวนคดี มูลค่าความเสียหาย และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงต่อระบบเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย ข้อมูลล่าสุดจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 - พฤษภาคม 2568 มีคดีออนไลน์สะสมแล้วกว่า 900,000 เรื่อง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 91,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยสูงถึง 77 ล้านบาทต่อวัน โดย 5 อันดับคดีออนไลน์ที่เกิดขึ้นมากที่สุด ได้แก่ การหลอกซื้อขายสินค้าหรือบริการ 44.85% การหลอกให้โอนเงินเพื่อทำงาน 12.40% การหลอกให้กู้เงิน 9.29% การหลอกลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ 7.27% และการข่มขู่ทางโทรศัพท์ (Call Center) 6.46% ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมการหลอกลวงที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นภัยใกล้ตัวที่ประชาชนต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน

ในอนาคต ทรูมันนี่ ยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและมีเแผนเปิดตัวฟีเจอร์ความปลอดภัยใหม่ ๆ เพิ่มเติม เพื่อยกระดับความปลอดภัยและลดความเสี่ยงให้กับผู้ใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อสร้างระบบนิเวศการเงินดิจิทัลที่ยั่งยืน

X

Right Click

No right click