

การก้าวขึ้นมามีบทบาทของระบบ AI เอเจนต์อัจฉริยะ (Agentic AI) ซึ่งทำงานได้ด้วยตัวเองแบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีการควบคุมจากมนุษย์นั้นไม่เพียงเป็นอีกหนึ่งก้าวของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีระดับโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางธุรกิจของประเทศไทยในระดับพื้นฐานอย่างมีนัยสำคัญ การเปลี่ยนแปลงนี้เปิดประตูสู่โอกาสใหม่ในการยกระดับประสิทธิภาพและการสร้างนวัตกรรม โดยองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกต่างกำลังใช้ AI Agent เพื่อปลดล็อกศักยภาพของตลาดแรงงานดิจิทัลที่มีมูลค่าสูงถึง 6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
จากผลการวิจัยของ Salesforce ในปีที่ผ่านมา ซึ่งศึกษาทัศนคติของผู้บริหารระดับสูงในองค์กรขนาดใหญ่ของไทยเกี่ยวกับ Generative AI พบว่าผู้บริหารไทย 100% ได้แสดงความมั่นใจในการมอบหมายให้ AI ทำงานอย่างน้อยหนึ่งงานได้โดยไม่ต้องคอยควบคุมกำกับ ความท้าทายในขณะนี้จึงไม่ใช่เรื่องของความเชื่อมั่นอีกต่อไป หากแต่เป็นการลงมือปฏิบัติจริง เพราะหากองค์กรไทยไม่เร่งปรับตัวและนำ Agentic AI มาใช้อย่างจริงจัง ก็อาจตกเป็นเป้าถูกแทนที่โดยคู่แข่งหรือสตาร์ทอัพที่ปรับตัวได้เร็วกว่า
ผู้นำองค์กรจำเป็นต้องตอบสนองแบบเชิงรุกต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อย่างมีกลยุทธ์ ท่ามกลางยุคของการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับ AI ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจขององค์กรไทยควรให้ความสำคัญกับ การส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskilling) ในวงกว้าง และการสร้างระบบนิเวศ AI ที่มีความน่าเชื่อถือ (Trustworthy AI)
การส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะใหม่ สำหรับยุค Agentic AI แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ ของรัฐบาลไทยที่ตั้งเป้าให้ความรู้ด้านจริยธรรม AI แก่ประชาชน 600,000 คน และพัฒนาผู้เชี่ยวชาญด้าน AI จำนวน 30,000 คน ภายในปี 2027 ถือเป็นทิศทางที่น่ายินดีและมีความสำคัญ อย่างไรก็ดี ความต้องการทักษะในการทำงานร่วมกับ AI Agent มีอยู่ในทุกบทบาทและทุกภาคอุตสาหกรรม ปัจจุบันมีพนักงานเพียง 15% เท่านั้นที่เชื่อว่าตนมีการศึกษาและทักษะที่เพียงพอในการใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะใหม่นั้นกลายเป็นวาระเร่งด่วนของผู้นำทุกองค์กรในประเทศไทย
รายงานผลสำรวจด้าน State of IT ฉบับล่าสุดของ Salesforce ซึ่งเก็บข้อมูลจากผู้นำนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก พบว่า 87% ของนักพัฒนาชาวไทยมองว่า ความรู้ด้าน AI จะกลายเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นในอนาคต อย่างไรก็ตาม เกือบครึ่งหนึ่งหรือ 48% ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยทั้งหมดกลับระบุว่าทักษะที่ตนเองมีอยู่ในปัจจุบันนั้นยังไม่เพียงพอต่อการทำงานในยุคของ Agentic AI
นอกจากการยกระดับทักษะเชิงเทคนิคแล้ว การพัฒนาทักษะเชิงมนุษย์สัมพันธ์และทักษะทางธุรกิจ เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่พร้อมเปิดรับการทดลองใช้ AI อย่างมีความเชื่อมั่นก็มีความสำคัญมาก พนักงานควรได้รับโอกาสในการเรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานร่วมกับ AI ซึ่งรวมถึงพื้นฐานความเข้าใจเกี่ยวกับ Agentic AI และการเขียนคำสั่งพรอมต์ (Prompt Engineering) ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการสื่อสารกับ AI อย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น หากเราพิจารณาถึงบทบาทของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะเห็นว่า AI Agent นั้นสามารถช่วยเขียนโค้ดที่ต้องทำซ้ำ ๆ เป็นประจำได้ นักพัฒนาจึงสามารถใช้เวลากับงานออกแบบระบบ และการวางแผนเชิงกลยุทธ์ในภาพรวมได้มากขึ้น
ปัจจุบัน Salesforce ได้เปิดหลักสูตรใหม่บนแพลตฟอร์ม Trailhead เพื่อสนับสนุนองค์กรในการฝึกอบรมนักพัฒนาให้เรียนรู้ทักษะใหม่ ซึ่งได้รับผลตอบรับในช่วงแรกที่เปิดให้ใช้งานเป็นอย่างดี การพิจารณาถึงทักษะที่จำเป็นถือเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น หากต้องการประสบความสำเร็จในยุค Agentic AI ผู้นำองค์กรไทยจำเป็นต้องกำหนดกลยุทธ์ระยะยาวที่ผสานการพัฒนาทักษะเหล่านี้ไว้ในแผนบริหารทรัพยากรบุคคล และมอบหมายให้ผู้จัดการแต่ละฝ่ายมีบทบาทในการสนับสนุนและให้คำปรึกษาแก่พนักงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้บุคลากรสามารถปรับตัวและเติบโตไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
การนำ AI ที่มีความน่าเชื่อถือมาใช้ในทุกภาคส่วนขององค์กร
เมื่อความสามารถของ AI Agent พัฒนาขึ้น ความรับผิดชอบในการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน องค์กรต้องมั่นใจว่าระบบ AI มีความยุติธรรม และไม่ก่อให้เกิดอคติหรือการแบ่งแยกทางสังคม เพราะหากไม่มีการบริหารจัดการที่เหมาะสม คุณสมบัติที่ทำให้ AI มีความสามารถอันทรงพลังนั้นก็อาจกลายเป็นสิ่งที่ทำลายความเชื่อมั่นได้เช่นกัน หากต้องการใช้ Agentic AI อย่างเต็มศักยภาพ องค์กรไทยต้องให้ความสำคัญกับการสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัย ตั้งแต่การเริ่มต้นพัฒนาไปจนถึงการนำไปใช้งานในระบบจริง ซึ่งหมายถึงการวางมาตรการด้านความปลอดภัยที่เข้มงวด ควบคู่ไปกับการปฏิบัติตามแนวทางด้านจริยธรรม AI เพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่มีความสำคัญและใช้งานข้อมูลเหล่านั้นอย่างมีความรับผิดชอบ
องค์กรไทยจำเป็นต้องสร้างความมั่นใจว่าการใช้งาน AI และ Agent เป็นไปตามกฎระเบียบของประเทศที่มีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา นอกจากการทำตามแนวปฏิบัติจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ และพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) แล้ว สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ยังได้นำร่างพระราชบัญญัติปัญญาประดิษฐ์เข้ารับการพิจารณาและเปิดรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณชน โดยร่างกฎหมายดังกล่าวมีการเสนอกรอบกำกับดูแลตามระดับความเสี่ยง (Risk-Based Framework) พร้อมข้อยกเว้นบางประการในการใช้ข้อมูลออนไลน์ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศไทยและในระดับโลก การเลือกใช้แพลตฟอร์มและเครื่องมือที่รองรับกับกฎระเบียบต่าง ๆ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการสร้างความเชื่อมั่นและรักษาความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร
Salesforce มุ่งมั่นในการรับมือกับความท้าทายเหล่านี้อย่างจริงจัง โดยสำนักงานการใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรมและคำนึงถึงมนุษยธรรม (Office of Ethical & Humane Use) นั้นเป็นผู้นำในการดำเนินงานและการใช้กลยุทธ์ที่ครอบคลุมรอบด้าน ซึ่งประกอบด้วยทีมที่พร้อมรับมือกับสถานการณ์ในระดับรุนแรง (Red Teaming) และการทดสอบการเผชิญหน้าในหลายรูปแบบ รวมถึงการทดสอบความน่าเชื่อถือ (Trust Testing) ซึ่งเป็นกระบวนการทดสอบผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพิ่มเติมเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ Agentic AI ของ Salesforce สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งานทั่วโลกที่มีความหลากหลายได้ดียิ่งขึ้น องค์กรยังสามารถกำหนดขอบเขตการทำงานของ AI Agent โดยใช้หัวข้อและคำสั่งในรูปแบบภาษาธรรมชาติ เพื่อระบุสถานการณ์ที่ควรให้ AI ยกระดับในการตอบสนอง หรือส่งต่องานให้กับเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นมนุษย์เข้ามาจัดการได้ นอกจากนี้องค์กรยังควรมีการจัดการเชิงรุกเพื่อขจัดความกังวลในเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและอคติที่อาจเกิดขึ้นในการทำงานของ AI ด้วยมาตรการรักษาความปลอดภัยข้อมูลที่เข้มงวด และการสื่อสารที่มีความโปร่งใส
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญไม่แพ้กันคือ การใช้เครื่องมือที่ส่งเสริมการทำงานอย่างมีความโปร่งใสและสนับสนุนให้ผู้ใช้งานสามารถตัดสินใจในการมอบหมายงานให้ AI ทำได้อย่างรอบคอบ พนักงานควรมีความเข้าใจที่ชัดเจน ถึงขีดความสามารถและข้อจำกัดของ AI Agent ที่ตนเองกำลังทำงานร่วมด้วย และสามารถควบคุมการทำงานอัตโนมัติต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม หนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญของ Agentforce คือความสามารถในการดำเนินการแบบอัตโนมัติภายใต้ขอบเขตที่มนุษย์กำหนดไว้อย่างชัดเจน ซึ่งช่วยให้ AI Agent สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้ด้วยตนเองภายในขอบเขตที่สอดคล้องกับเป้าหมายและนโยบายขององค์กร นอกจากนี้ Einstein Trust Layer ยังช่วยให้ Agentforce สามารถใช้งานโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ได้อย่างปลอดภัย โดยองค์กรมั่นใจได้ว่าข้อมูลในระบบของ Salesforce จะไม่ถูกเปิดเผยหรือจัดเก็บโดยผู้ให้บริการโมเดลภายนอก
พลังแห่งการเรียนรู้ทักษะใหม่ และการสร้างความเชื่อมั่น ที่จะขับเคลื่อนนวัตกรรมให้องค์กรในไทย
การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI นำมาซึ่งความท้าทายใหม่ ๆ ให้องค์กรในประเทศไทย โดยเฉพาะในเรื่องการเตรียมความพร้อมให้พนักงานสามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม ข้อมูลที่มีคุณภาพ และทักษะที่จำเป็น อย่างไรก็ตาม หากมีการลงทุนอย่างจริงจังในด้านการเรียนรู้ทักษะใหม่และโปรแกรมการฝึกอบรมที่ครอบคลุม องค์กรจะสามารถเพิ่มขีดความสามารถให้พนักงานทำงานร่วมกับ AI Agent ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนแปลง และในที่สุดสามารถขับเคลื่อนนวัตกรรมในยุคของแรงงานดิจิทัลได้
องค์กรไทยสามารถใช้การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาในมิติใหม่ โดยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ให้ความสำคัญกับความเชื่อมั่น ความปลอดภัย และความโปร่งใส จะมีบทบาทสำคัญในการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการเติบโต
ท้ายที่สุดแล้ว การลงทุนทั้งใน AI Agent และพนักงานที่เป็นมนุษย์ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการทำงานร่วมกันอย่างมีความเชื่อมั่นและไว้วางใจ จะช่วยให้องค์กรในไทยสามารถขยายขีดความสามารถในการดำเนินงาน และปลดล็อกศักยภาพขององค์กรได้อย่างเต็มที่ในยุคของ Agentic AI

แม้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะลดลงและความผันผวนทางเศรษฐกิจมหภาคยังคงดำเนินอยู่ ครอบครัวไทยยังคงมองว่าการศึกษาในต่างประเทศเป็นการลงทุนระยะยาวที่สำคัญสำหรับอนาคตของบุตรหลาน YouTrip (ยูทริป) ผู้ให้บริการดิจิทัลวอลเล็ตรองรับหลายสกุลและ Travel card อันดับ 1 ที่นักเดินทางไทยไว้วางใจ ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย ได้กลายเป็นบริการทางการเงินที่ได้รับความนิยมสำหรับการจัดการค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในต่างประเทศ
ในการเติบโตของยอดการชำระค่าเล่าเรียนผ่าน YouTrip เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 70% เมื่อเทียบกับปีก่อน สิ่งนี้สะท้อนถึงบทบาทของ YouTrip ในฐานะ “ผู้นำด้านการชำระเงินระหว่างประเทศ” ที่ครอบครัวและนักเรียนต่างวางใจ ยิ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมีความผันผวน การชำระค่าเล่าเรียนสถาบันการศึกษาชั้นนำใน สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา จีน และประเทศต่างๆ ทั่วโลก YouTrip ตอบโจทย์ในการใช้จ่ายเป็นสกุลเงินต่างประเทศด้วยเรทที่ดี ไม่มีค่าธรรมเนียม 2.5% ต่างจากบัตรเครดิต จึงกลายเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่นักเรียนไทยเลือกใช้เวลาไปศึกษาต่อต่างประเทศ จากสถิติของ YouTrip ในสหราชอาณาจักร (UK) นักเรียนไทย 54% ที่ศึกษาอยู่ที่นั่นใช้ YouTrip เป็นช่องทางการชำระเงินหลักสำหรับค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายประจำวัน สถาบันชั้นนำที่นักเรียนไทยนิยม ได้แก่ Imperial College London, King’s College London, London School of Economics และ Leeds University นอกจาก UK แล้ว นักเรียนไทยยังคงเลือกศึกษาต่อในหลักสูตรเต็มเวลา (ระดับปริญญาตรี โท และเอก) ในสหรัฐอเมริกา (US) ออสเตรเลีย และแคนาดา โดยมีนักเรียนไทยเข้าศึกษาต่อในสถาบันที่มีชื่อเสียงต่างๆ เช่น
· สหรัฐอเมริกา: Berklee College of Music, UCLA, MIT และ Harvard Business School
· ออสเตรเลีย: RMIT University, Swinburne University, Macquarie University, University of Queensland, University of Sydney และ Monash University
· แคนาดา: Douglas College, Centennial College และ Langara College
สำหรับโปรแกรมแลกเปลี่ยนระยะสั้น หรือ Summer School เป็นอีกจุดหมายในเอเชียที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีนมีจำนวนนักเรียนไทยเข้าร่วมเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น หลักสูตรระยะสั้นของ Zhongnan University (Wuhan), South China University of Technology และ Zhejiang University
ค่าเล่าเรียนสำหรับปีการศึกษา 2025/2026 ระดับปริญญาตรีเต็มเวลาที่ Harvard1 ในสหรัฐอเมริกา มีค่าใช้จ่ายโดยประมาณอยู่ที่ 2.8 ล้านบาท ที่ King’s College London2 ในสหราชอาณาจักร ประมาณ 2.4 ล้านบาท และที่ South China University of Technology3 ในจีน ประมาณ 900,000 บาท
แม้ค่าเล่าเรียนจะเป็นองค์ประกอบสำคัญของค่าใช้จ่ายในการศึกษาต่อต่างประเทศ แต่อีกหนึ่งปัจจัยที่ผู้ปกครองและนักเรียนต้องพิจารณาอย่างรอบด้านคือ ค่าครองชีพ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการวางแผนงบประมาณตลอดระยะเวลาที่ศึกษา
โดยคาดการณ์ค่าครองชีพรายปีสำหรับนักเรียนที่ไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา4 ประมาณ 540,000 – 670,000 บาท ประมาณ 330,000 – 580,000 บาท สำหรับการศึกษาต่อที่สหราชอาณาจักร5 และประมาณ 332,000 บาทที่จีน6

พฤติกรรมการใช้จ่ายของนักเรียนสะท้อนวิถีชีวิตในต่างแดนและแรงกดดันด้านค่าครองชีพที่สูงขึ้น จากสถิติของ YouTrip พบว่า “การช้อปปิ้ง” เป็นหมวดค่าใช้จ่ายอันดับแรกของนักเรียนไทยในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาสิ่งของเข้าที่พัก ไปจนถึงการให้รางวัลตัวเองด้วยสินค้าแบรนด์เนมหรือของสะสมยอดนิยมอย่าง Pop Mart ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในทุกประเทศที่นักเรียนไทยไปเรียน โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักรที่นักเรียนมีแนวโน้มใช้จ่ายกับสินค้าหรูมากกว่าประเทศอื่น เนื่องจากราคาที่ดึงดูดใจและอยู่ใกล้ศูนย์กลางการช้อปในยุโรป แม้จะมีการใช้จ่ายเพื่อความเพลิดเพลิน แต่นักเรียนไทยส่วนใหญ่ยังคงระมัดระวังในการใช้จ่าย มักเลือกซื้อสินค้าจากร้านค้าท้องถิ่นเพื่อความประหยัด และสินค้าที่ไม่มีในประเทศไทย
รองจากหมวดช้อปปิ้ง ค่าใช้จ่ายที่พบได้บ่อย คือการรับประทานอาหารนอกบ้านและการซื้อของใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันไปตามวิถีชีวิตของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะค่าอาหารและความบันเทิงทั้งในแง่ราคาและพฤติกรรมการใช้จ่าย ที่สะท้อนค่านิยมและสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
นักเรียนไทยที่เรียนในสหราชอาณาจักรและออสเตรเลียมีแนวโน้มที่จะเลือกทำอาหารรับประทานเองมากขึ้น เนื่องจากค่าครองชีพโดยเฉพาะค่าอาหารนอกบ้านมีราคาสูง ในเมืองใหญ่อย่างลอนดอนและซิดนีย์ การไปรับประทานอาหารในร้านอาจมีค่าใช้จ่ายสูงเป็นสองเท่าของการซื้อวัตถุดิบจากซูเปอร์มาร์เก็ตท้องถิ่น เช่น Tesco (สหราชอาณาจักร) และ Coles (ออสเตรเลีย) เพื่อมาประกอบอาหารเองที่บ้าน
ในทางตรงกันข้าม นักเรียนไทยในสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มที่จะทำอาหารเองและรับประทานอาหารนอกบ้านในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน เนื่องจากมีร้านอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ดชื่อดังมีราคาเข้าถึงง่าย เช่น Shake Shack และ In-N-Out นอกจากนี้วัฒนธรรมการให้ทิปในสหรัฐอเมริกา เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้นักเรียนส่วนใหญ่เลือกบริโภคอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ดมากกว่าการนั่งร้านอาหาร เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
อีกหนึ่งพฤติกรรมที่พบเหมือนกันในทุกประเทศปลายทาง คือความรักในอาหารไทยและอาหารเอเชียของนักเรียนไทย ซึ่งนำไปสู่การแวะเวียนหาร้านอาหารเอเชีย เช่น Panda Express เพื่อเต็มอิ่มกับรสชาติที่คุ้นเคยระหว่างการใช้ชีวิตในต่างแดน การเรียนต่อต่างประเทศยังเปิดโอกาสให้นักเรียนได้สำรวจสิ่งใหม่ๆ ไปพร้อมกับการเรียนรู้ นับเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่หลายคนให้ความสำคัญ อาทิ ในสหราชอาณาจักร สามารถใช้ประโยชน์จากส่วนลดนักเรียนและการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ฟรี ช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายด้านความบันเทิงได้, ในออสเตรเลียและแคนาดา นักเรียนมักใช้เวลาว่างไปกับกิจกรรมกลางแจ้งที่มีต้นทุนต่ำ เช่น การเดินป่าในอุทยานแห่งชาติ หรือการท่องเที่ยวชายหาดธรรมชาติ ตอบโจทย์ทั้งในด้านประสบการณ์และความคุ้มค่า
ในทางตรงกันข้าม นักเรียนไทยในสหรัฐอเมริกาจำนวนไม่น้อยมีค่าใช้จ่ายด้านกิจกรรมและสถานที่ท่องเที่ยวสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศอื่นเกือบสองเท่า เช่น ราคาบัตรเข้า Disneyland ในสหรัฐฯ สูงกว่าทัวร์ Great Ocean Road แบบครบวงจรในออสเตรเลียมากกว่าสองเท่า
ประเทศจีนถือเป็นจุดหมายปลายทางที่นักเรียนมีค่าใช้จ่ายรวมต่ำที่สุด ปัจจัยสำคัญมาจากค่าครองชีพที่ไม่สูง และค่าท่องเที่ยวที่เข้าถึงได้ง่าย ทำให้นักเรียนสามารถใช้ชีวิตและท่องเที่ยวได้อย่างประหยัดกว่าประเทศอื่นอย่างเห็นได้ชัด
นายชยพัทธ์ ปทุมนากุล (ปอนด์), ศิษย์เก่าไทยจาก The University of Manchester, ปริญญาโทสาขานวัตกรรมการจัดการและการประกอบการ, รุ่นปี 2023, กล่าวว่า “การใช้ชีวิตที่อังกฤษ ผมต้องวางแผนเรื่องเงินให้รอบคอบ ทั้งทำงานพิเศษ เรียนไปด้วย เพราะค่าครองชีพสูงมากครับ ผมใช้ YouTrip เป็นหลักในการจัดการเรื่องการเงินครับ ไม่ว่าจะเป็นจ่ายค่าเรียน ค่าที่พัก หรือแลกเงินเวลาที่เรทดีๆ มันช่วยให้วางแผนค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น แล้วก็ประหยัดไปได้เยอะเลย”
การบริหารจัดการสกุลเงินอย่างคุ้มค่าสำหรับนักเรียนและผู้ปกครอง เนื่องจากความต้องการศึกษาต่อต่างประเทศยังคงมีอยู่สูง การบริหารจัดการสกุลเงินอย่างชาญฉลาดจึงมีความสำคัญมากขึ้นสำหรับครอบครัวที่วางแผนค่าใช้จ่ายในต่างประเทศ
![]()
นางสาวจุฑาศรี คูวินิชกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง YouTrip ประเทศไทย กล่าวว่า “แม้ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาต่อต่างประเทศจะดูเป็นภาระที่หนักในช่วงแรก แต่ก็ถือเป็นการลงทุนที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง ไม่เพียงเพื่อความก้าวหน้าในสายอาชีพ หากยังรวมถึงโอกาสในการเติบโตและการเรียนรู้ และเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ แม้ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน ครอบครัวจำนวนมากยังคงให้ความสำคัญกับการศึกษา เพราะผลตอบแทนจากการเรียนรู้ประเมินค่าไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นทักษะในการปรับตัวในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โอกาสในระดับสากล หรือการเสริมสร้างศักยภาพที่พร้อมรับอนาคต ที่ YouTrip เรามุ่งมั่นสนับสนุนนักเรียนและผู้ปกครองให้สามารถก้าวผ่านการลงทุนครั้งสำคัญนี้ได้อย่างราบรื่นข้ามพรมแดน เพื่อให้เรื่องของการเงินไม่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโต”
เพื่อส่งเสริมความรู้ทางการเงิน YouTrip จัดกิจกรรมโรดโชว์ด้านการศึกษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้นักเรียนไทยได้รับความรู้ที่จำเป็นเกี่ยวกับการจัดการอัตราแลกเปลี่ยนและค่าใช้จ่าย ความพยายามเหล่านี้ส่งผลให้นักเรียนไทยมีความรู้ทางการเงินมากขึ้น โดยนักเรียนไทย 3 ใน 5 คนติดตามอัตราแลกเปลี่ยนอย่างกระตือรือร้นและแลกเงินบาทล่วงหน้าเป็นสกุลเงินปลายทางเพื่อล็อกอัตราแลกเปลี่ยนที่ดี
YouTrip ยังตระหนักถึงความต้องการเงินสดในยามฉุกเฉิน ด้วยเหตุนี้ จึงมีบริการถอนเงินจากตู้ ATM ฟรี (สูงสุด 50,000 บาทต่อเดือน) เพื่อให้นักเรียนมีความยืดหยุ่นทางการเงิน ความปลอดภัย และความสบายใจเพิ่มเติมในขณะที่อยู่ต่างประเทศ
แคมเปญ Student Perks เรียนนอกแบบ Smart มอบ Cashback7 เพื่อสนับสนุนผู้ปกครองและนักเรียน
เพื่อช่วยผู้ปกครองและนักเรียนจัดการค่าใช้จ่ายในการศึกษาต่อต่างประเทศ YouTrip จึงนำโปรโมชันเงินคืนสำหรับการชำระค่าเล่าเรียนในสกุลเงินต่างประเทศกลับมาอีกครั้ง! นักเรียนสามารถรับเงินคืนสูงสุด 2,000 บาท สำหรับค่าเล่าเรียนที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศที่ชำระระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ถึง 31 สิงหาคม 2568 โดยมียอดใช้จ่ายขั้นต่ำ 150,000 บาทต่อครั้ง นักเรียนแต่ละคนสามารถใช้สิทธิ์ได้สูงสุดสองครั้ง (เงินคืนครั้งละ 1,000 บาท) ตลอดระยะเวลาแคมเปญ
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ความต้องการใช้พลังงานกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจากการเติบโตของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทำให้จำนวนศูนย์ข้อมูล (Data Center) ทั่วโลกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ผนวกกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 ที่เป็นเป้าหมายของหลายๆ ประเทศ ล้วนเป็นแรงกดดันสำคัญต่อระบบพลังงานในปัจจุบัน
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลาย จึงหาแนวทางการรับมือความท้าทายเหล่านี้ ด้วยการสร้าง “สมดุลพลังงาน” ซึ่งหมายถึงพลังงานที่มีความเสถียร เข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้กลยุทธ์ “Energy Symphonics” ที่เน้นการผสานพลังงานที่หลากหลายอย่างสมดุล เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ห่วงโซ่ธุรกิจ และส่งมอบคุณค่าระยะยาวแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม
![]()
นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บ้านปูมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากเราไม่สร้างสมดุลด้านพลังงาน เราใช้เทคโนโลยีช่วยให้พลังงานของเราตอบโจทย์ความต้องการในยุคนี้ เช่น การพัฒนาก๊าซธรรมชาติที่มีคาร์บอนเป็นกลาง (Carbon Sequestered Gas: CSG) ด้วยการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ทำให้เกิดเป็นแหล่งพลังงานที่มีความเสถียรและคาร์บอนต่ำ ซึ่งบ้านปูเป็นบริษัทไทยรายแรกที่เข้าไปลงทุนทำธุรกิจนี้ในสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน เราก็ขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีพลังงานอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มพลังงานที่จำเป็นต่อโลกอนาคต เช่น ล่าสุดที่เราได้เข้าไปลงทุนใน
โครงการระบบกักเก็บพลังงานในออสเตรเลีย และการพัฒนาโครงการแบตเตอรี่ฟาร์ม 2 แห่งใหม่ในญี่ปุ่น ทั้งหมดนี้ไม่เพียงเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโลกสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เพื่ออนาคตที่ดีของทุกคน”
เปิดมุมมองใหม่สู่ “พลังงานที่สมดุล” ผ่านวิดีโอองค์กร (Corporate Video) ล่าสุดจากบ้านปู ที่ถ่ายทอดแนวคิดพลังงานแห่งอนาคต ด้วยการใช้เทคโนโลยีการสร้างภาพผ่านปัญญาประดิษฐ์ (AI-generated visual) โดยใช้สัญลักษณ์ “สามเหลี่ยม” ที่เชื่อมโยงสามองค์ประกอบสำคัญสู่ความสมดุลอย่างกลมกลืน ด้วยบ้านปูมุ่งมั่นที่จะปูทางให้ทุกคนก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืนไปด้วยกัน ติดตามชมวิดีโอได้ที่ THAI | สมดุลพลังงาน ปูทางสู่อนาคต | Full Version
ติดตามข้อมูลข่าวสารของบ้านปูได้ที่ https://www.banpu.com หรือ https://www.facebook.com/Banpuofficialth
แกร็บฟู้ด แอปสั่งอาหารอันดับ 1 ในประเทศไทย1 เดินหน้าเขย่าตลาดฟู้ดเดลิเวอรีครึ่งปีหลัง ส่งแคมเปญใหญ่ “GrabFood Mega Sale ลดแรง ตัวจริง” อัดดีลส่วนลดจัดเต็มกว่า 250,000 ดีล ขนทัพพาร์ทเนอร์ร้านอาหาร ทั้งเชนร้านอาหารจานด่วน (QSR) สตรีทฟู้ดเจ้าเด็ด หรือร้านดังในกระแสทั่วประเทศ ลุยสงครามความคุ้มค่าเพื่อผู้บริโภค ชูไฮไลต์ “Hot Deals” เคาะราคาช่วยมื้อประหยัดเริ่มต้นเพียง 30 บาท พร้อมลดเพิ่มอีกสูงสุด 60% ไม่มีขั้นต่ำ เพียงใส่โค้ด ‘MEGA’ และโปรโมชันส่งฟรี 0 บาททุกออเดอร์ หวังกระตุ้นการบริโภคพร้อมแบ่งเบาผู้บริโภคในยุคที่ทุกคนเริ่มรัดเข็มขัด
นายพนมกร จิระเสถียรพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและสถานการณ์ค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น ปัจจุบันผู้บริโภคต้องเผชิญกับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.5% ต่อปี2 ส่งผลให้มีความระมัดระวังการใช้จ่ายกันมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคที่ทุกคนเริ่มรัดเข็มขัด โดยมองหาสินค้าและบริการที่ยังคงคุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้ แกร็บฟู้ดจึงได้ส่ง
แคมเปญใหญ่ในช่วงกลางปีเพื่อเอาใจสายกิน พร้อมตอกย้ำจุดแข็งในด้านความคุ้มค่ากับแคมเปญ ‘GrabFood Mega Sale ลดแรง ตัวจริง’ นำทัพโดยการให้ดีลส่วนลดภายใต้ซับแบรนด์ Hot Deals กว่า 250,000 ดีล ทุบสถิติสูงสุดเท่าที่เคยมี โดยร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ร้านค้าทั่วประเทศ ครอบคลุมตั้งแต่เชนร้านอาหารขนาดใหญ่ สตรีทฟู้ดเจ้าเด็ด ไปจนถึงร้านดังเจ้าอร่อยภายใต้แฟลกชิปแบรนด์อย่าง #GrabThumbsUp และ Only at Grab สอดคล้องกับกลยุทธ์หลักที่เรามุ่งนำเสนอความคุ้มค่า ควบคู่ไปกับคุณภาพและความหลากหลายของอาหาร เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงมื้ออร่อยกับเมนูคุณภาพในราคาที่คุ้มค่าที่สุด”
ขณะเดียวกัน แคมเปญ “GrabFood Mega Sale ลดแรง ตัวจริง” มีจำนวนพาร์ทเนอร์ร้านค้ารายย่อยที่กระจายอยู่ทั่วประเทศเข้าร่วมเพิ่มขึ้นสูงขึ้นกว่า 40% จากไตรมาสแรก นอกจากจะเป็นการเพิ่มตัวเลือกที่หลากหลายและครอบคลุมให้กับผู้บริโภคแล้ว ยังช่วยกระตุ้นยอดขายให้กับผู้ประกอบการร้านอาหารขนาดเล็กและรายย่อย โดยเฉพาะในช่วงสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ตอกย้ำบทบาทสำคัญของแกร็บฟู้ดในฐานะแพลตฟอร์มที่พร้อมสนับสนุนและเสริมความแข็งแกร่งให้ผู้ประกอบการร้านอาหารสามารถเดินหน้าธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ท้าทาย
เพื่อสร้างความคึกคักรับแคมเปญใหญ่ แกร็บฟู้ดลุยการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ประเดิมด้วยไฮไลต์พิเศษกับอีเวนต์เปิดตัวสุดยิ่งใหญ่ที่ได้ 4 หนุ่ม Friends of Grab พรีเซ็นเตอร์สุดฮอต เจมีไนน์-นรวิชญ์, โฟร์ท-ณัฐวรรธน์, สกาย-วงศ์รวี และ นานิ-หิรัญกฤษฎิ์ มาร่วมตอกย้ำภาพลักษณ์ตัวจริงเรื่องความคุ้มค่าผ่านซับแบรนด์ “Hot Deals” พร้อมเสริมทัพด้วยศิลปิน T-Pop แห่งยุคอย่างวง BUS และ PiXXiE ที่มาร่วมปลุกกระแสดีลแรง นอกจากนี้ ยังสร้างสีสันให้กับแคมเปญด้วยการส่งรายการ “THE FOOD TOOBLAND by GrabFood Mega Sale ลดแรง ตัวจริง” ครั้งแรก! กับเกมการแข่งขันในสไตล์เรียลลิตี้ิ นำทีมโดย โค้ชลูกเกด และโค้ชซอนย่า พร้อมด้วย นานิ หิรัญกฤษฎิ์, เต ตะวัน, ออฟ จุมพล, ฮง LYKN, ม๊าเดี่ยว และม้าม้วง ที่มาประชันกันทุบโจทย์ของแคมเปญครั้งนี้เพื่อพิสูจน์ว่าใครขึ้นแท่นเบอร์ 1 เจ้าแห่งดีลเด็ด “ตัวจริง” รับชมได้ทาง Youtube Grab Thailand พลาดไม่ได้กับแคมเปญ “GrabFood Mega Sale ลดแรง ตัวจริง” เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 - 31 กรกฎาคม 2568 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/GrabFoodTH
InfoComm Asia 2025 งานแสดงสินค้าและโซลูชั่นด้านภาพและเสียงระดับมืออาชีพและเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงชั้นนำของเอเชีย งานที่เชื่อมโยงผู้ผลิตอุปกรณ์ภาพและเสียงมืออาชีพ (Pro AV) ผู้ให้บริการเทคโนโลยีและโซลูชั่นจากทั่วโลกเข้ากับผู้ซื้อในตลาด รวมถึงผู้รวมระบบภาพและเสียง (AV) และระบบสารสนเทศ (IT) ที่กำลังมองหาโซลูชั่นล้ำสมัย เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งในตลาดเอเชีย ซึ่งรวมถึงกัมพูชา จีน อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ลาว มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไทย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และประเทศอื่น ๆ อีกมากมาย
แองจี้ เอง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของอินโฟคอม เอเชีย กล่าวว่า สำหรับงาน InfoComm Asia 2025 เป็นมากกว่าแค่งานแสดงสินค้า แต่เป็นแพลตฟอร์มสำคัญชั้นนำสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้าน AV และ IT รวมถึงผู้ใช้งานเทคโนโลยีในภูมิภาคเอเชีย ที่ต้องการใช้ประโยชน์นวัตกรรมดิจิทัล งาน InfoComm Asia 2025 ปลดล็อกอนาคตธุรกิจ กำหนดอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล ภายใต้ความท้าทายกำลังปรับเปลี่ยนโลกธุรกิจและโอกาสใหม่ ๆ เตรียมพลิกโฉมธุรกิจและกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยี Pro AV สุดล้ำสมัยล่าสุด
ผู้ที่เหมาะเข้าร่วมงาน InfoComm Asia :
· ผู้เชี่ยวชาญด้าน AV และ IT รวมถึง ผู้รวมระบบ (System Integrators) ที่ปรึกษา (Consultants) ผู้จัดจำหน่าย (Distributors) และตัวแทนจำหน่าย (Dealers) ผู้ผลิตอุปกรณ์ (OEMs) และผู้ให้บริการเช่าและจัดเวที (AV Rental and Staging Providers)
· ผู้ใช้งานเทคโนโลยีปลายทาง, ผู้ซื้อ, ผู้กำหนดคุณสมบัติ, ผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ที่ดูแลระบบ AV หรือ ผู้ที่มองหาโซลูชั่นสำหรับองค์กร/ ธุรกิจจากตลาด รวมถึงการศึกษา (Education) อีเวนต์/ ความบันเทิง/ สถานที่จัดงาน/ MICE (Live Events/ Entertainment/ Venues/ MICE) การแพร่ภาพและกระจายเสียง (Broadcast AV) หน่วยงานภาครัฐ (Government) (การบริหารราชการและการประกันการปฏิบัติงาน) การท่องเที่ยวและการโรงแรม (Tourism & Hospitality) ธุรกิจค้าปลีก (Retail) สื่อและการโฆษณา (Media & Advertising) การขนส่งและโลจิสติกส์ (Transportation & Logistics) การพัฒนาเมือง/ เมืองอัจฉริยะ (Urban Development/ Smart Cities) และอื่น ๆ อีกมากมาย
ประโยชน์จากการเข้าร่วมงาน InfoComm Asia :
· ผู้รวมระบบ AV พบผู้เชียวชาญในแวดวงและสร้างเครือข่ายใหม่ ๆ ได้ที่งาน InfoComm Asia เพื่อเสริมสร้างบทบาทในฐานะผู้รวมระบบ AV ในตลาดเอเชีย ค้นพบโซลูชั่นนวัตกรรมและอัปเดตมุมมองที่ใหม่ ๆ จากผู้เชี่ยวชาญในภูมิภาค พร้อมติดตามเทคนิคการรวมระบบล่าสุด ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และแนวโน้มตลาดที่สำคัญในเอเชีย
· ผู้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยี สัมผัสประสบการณ์นวัตกรรมโดยตรง เต็มอิ่มกับการสาธิตเทคโนโลยี Pro AV และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย รวมถึงสำรวจความก้าวหน้าจาก AI และโซลูชั่นที่หลากหลายในด้านจอแสดงผลอัจฉริยะ ระบบเสียง การสื่อสารแบบครบวงจร ป้ายดิจิทัล การประชุมและการทำงานร่วมกันอัจฉริยะ AR/ VR/ MR ประสบการณ์เสมือนจริง และอื่น ๆ อีกมากมาย
· ผู้ที่ต้องการเรียนรู้ รับแรงบันดาลใจจากผู้เชี่ยวชาญและผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ระดับแนวหน้า ปลดล็อกกลยุทธ์และการประยุกต์ใช้ที่เป็นประโยชน์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม และได้รับประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนความรู้ที่มีคุณค่ากับเพื่อนร่วมงานที่มีแนวคิดเดียวกัน และเป็นเครือข่ายที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี
· ผู้ที่ต้องการสร้างเครือข่าย เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนเทคโนโลยี Pro AV ที่มีชีวิตชีวาและเติบโตอย่างต่อเนื่องในเอเชีย เชื่อมโยงโดยตรงกับนักนวัตกรรมและผู้มีอำนาจตัดสินใจที่กำลังกำหนดภูมิทัศน์ดิจิทัลในอนาคต และสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายกับเพื่อนร่วมงานและพันธมิตรเพื่อความสำเร็จในระยะยาว
อย่าพลาด InfoComm Asia 2025 แพลตฟอร์มชั้นนำสำหรับนวัตกรรมและเครือข่าย Pro AV ในเอเชีย รับข้อมูลเชิงลึกและการเชื่อมโยงที่ได้เปรียบในเวลาเพียงสามวัน ในวันที่ 23 – 25 กรกฎาคม 2568 ชั้น G, ฮอลล์ 2 – 4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ฟรีตลอดทั้ง 3 วันของการจัดงาน และสามารถตรวจสอบโปรแกรมงานได้ที่นี่ infocomm-asia.com
‘กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์’ นายหน้าประกันภัย ภายใต้บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) ในเครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำการเป็นแบรนด์ ที่ปรึกษาด้านประกันภัยที่เข้าใจผู้ใช้รถ เดินเกมยกระดับอินชัวร์เทค ผ่านกลยุทธ์ “Convergence of Choices” มุ่งส่งมอบประสบการณ์การซื้อประกันภัยที่ผสานการเชื่อมต่อช่องทางออฟไลน์–ออนไลน์ได้อย่างไร้รอยต่อ ด้วยเทคโนโลยี “คานะ (KANA)” ผู้ช่วยออนไลน์ด้านประกันภัย พันธมิตรประกันภัยชั้นนำหลากหลาย และนายหน้า หรือพนักงานเสื้อเหลืองที่ทำหน้าที่นายหน้าของกรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ กว่า 2,000 คนทั่วประเทศ
คานะ คือ ผู้ช่วยออนไลน์ที่ทำให้การเลือกซื้อประกัน
· สะดวก ทุกเวลา 24 ชั่วโมง
· แม่นยำ
· ตรงความต้องการ
เปรียบเทียบนำเสนอประกันภัยที่เหมาะสมกับงบประมาณ และความต้องการแบบเฉพาะบุคคล Personalized Offer ชูจุดแข็ง “จริงจัง-จริงใจ-ถูกใจ” ในการให้คำปรึกษาและบริการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในฐานะโบรคเกอร์มืออาชีพที่พร้อมตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง
![]()
นางสาวชญาน์ธิป พันธุ์มณี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ความสำเร็จของช่องทางออนไลน์ภายใต้กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ สะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมของเราในการตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะบริการ Chat Commerce ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2021และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ด้วยจำนวนผู้ใช้บริการมากถึง 1.5 ล้านราย อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงต้องการความมั่นใจก่อนตัดสินใจซื้อ ซึ่งมาจากการพูดคุยกับพนักงานตัวจริง โดยเฉพาะ ‘พนักงานเสื้อเหลือง’ ของกรุงศรี ออโต้ ในแต่ละสาขาทั่วประเทศ ที่สามารถให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัวและเข้าใจบริบทของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ได้อย่างลึกซึ้ง มากไปกว่านั้น พฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันยังสะท้อนถึงแนวโน้มการใช้บริการผ่านช่องทางที่หลากหลาย โดยลูกค้าส่วนใหญ่มีการผสมผสานการใช้งานทั้งออนไลน์และออฟไลน์ในกระบวนการเลือกซื้อประกันภัย ด้วยเหตุนี้ กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ จึงได้เดินหน้ากลยุทธ์ “Convergence of Choices” เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดี มีประสิทธิภาพ และไร้รอยต่อให้กับผู้บริโภค ในการพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัย อย่าง ‘คานะ’ เพื่อช่วยเหลือและลดความยุ่งยากในการเลือกซื้อประกันภัย โดยจะเข้ามาให้คำปรึกษาลูกค้าผ่านแชท อำนวยความสะดวกตั้งแต่การเปรียบเทียบราคา แนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับลูกค้า รวมถึงยังเดินหน้าร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ในการช่วยให้ผู้บริโภคสามารถได้รับประกันภัยที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุดกับการใช้งาน
![]()
กลยุทธ์ Convergence of Choices ผสานคนและเทคโนโลยี ย้ำจุดแข็ง “จริงจัง-จริงใจ-ถูกใจ”
· จริงจัง: เทคโนโลยีที่ออกแบบเพื่อเข้าใจลูกค้า: กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ มุ่งมั่นในการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือเพื่อให้ลูกค้าได้รับคำแนะนำที่ “เหมาะสมที่สุด” ไม่ใช่แค่ “เร็วที่สุด” ผ่านผู้ช่วย “คานะ” ที่ทำหน้าที่มากกว่าการตอบคำถามทั่วไป แต่สามารถซักถามข้อมูลเชิงลึก ผ่านเทคโนโลยี และแนะนำแผนประกันที่ตรงกับความต้องการ ความคุ้มค่า และงบประมาณของแต่ละคนอย่างแท้จริง
· จริงใจ: พันธมิตรบริษัทประกันภัยชั้นนำที่คัดสรรเพื่อให้ลูกค้ามีสิทธิ์เลือก ไม่ถูกจำกัด: ด้วยเครือข่ายพันธมิตร ครอบคลุมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันภัย กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ เปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถ ‘เปรียบเทียบประกันจริงจัง ได้ดีลปังแบบออโต้’ ไม่ถูกจำกัดอยู่เพียงบางตัวเลือก โดยระบุงบประมาณที่ต้องการ และลูกค้าสามารถเลือกเงื่อนไขความคุ้มครองได้ จากนั้นระบบจะแสดงผลเปรียบเทียบข้อเสนอจากหลากหลายบริษัท ช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและคุ้มค่าที่สุด
· ถูกใจ: ช่องทางบริการที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์: กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ ให้ความสำคัญกับการเข้าถึงบริการของลูกค้า โดยพัฒนาระบบบริการ ผ่านช่องทางที่หลากหลาย เชื่อมโยงออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็น LINE Official Account @krungsriautobroker เว็บไซต์ www.krungsriautobroker.com แอป โก บาย กรุงศรี ออโต้ หรือการพูดคุยโดยตรงกับพนักงานเสื้อเหลือง ที่ผ่านการอบรมและมีใบอนุญาตกว่า 2,000 คนทั่วประเทศ ลูกค้าสามารถเริ่มต้นสอบถามข้อมูล ตัดสินใจ และเลือกซื้อประกันภัยได้ทุกเวลาที่สะดวกถูกใจ ผ่านช่องทางทั้งดิจิทัลที่ใช้งานได้ทุกเวลา หรือการรับคำแนะนำแบบตัวต่อตัวจากผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่ที่สาขากรุงศรี ออโต้ใกล้บ้าน หรือ โทร. 0 2740 7400
กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ มีแผนงานการพัฒนาช่องทางการซื้อประกันภัยรถยนต์แบบออนไลน์ และชำระเงินแบบเบ็ดเสร็จ โดยลูกค้าได้รับกรมธรรม์ผ่านอีเมล เพื่อรองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ลูกค้าจะสามารถดำเนินการทุกขั้นตอนด้วยตนเอง ตั้งแต่การเลือกผลิตภัณฑ์ไปจนถึงการชำระเงิน โดยกลยุทธ์ ‘Convergence of Choices’ มุ่งตอบโจทย์การเชื่อมบริการ ออนไลน์ และออฟไลน์เข้าด้วยกัน เพื่อมอบบริการที่ตรงใจลูกค้าตั้งแต่ต้นจนจบแบบครบวงจร” นางสาวชญาน์ธิป กล่าวปิดท้าย
![]()
กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ พร้อมให้คุณเข้าถึงความคุ้มครองที่ใช่ด้วยโปรแกรมชำระเงินแบบผ่อนชำระ แม้ไม่มีบัตรเครดิต ด้วยการผ่อนเงินสด 0%* ไม่เสียดอกเบี้ย สำหรับประกันภัยรถยนต์และบิ๊ก ไบค์ โดยไม่ต้องใช้บัตร
เครดิต ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงิน และครอบคลุมประกันภัยรถภาคสมัครใจทุกประเภท พร้อมได้รับความคุ้มครองทันทีตั้งแต่งวดแรกที่เริ่มชำระ
ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันภัยรถยนต์ และบิ๊ก ไบค์ ของ กรุงศรี ออโต้ โบรคเกอร์ ได้ที่ เว็บไซต์ www.krungsriautobroker.com, LINE Official Account @krungsriautobroker หรือ แอป โก บาย กรุงศรี ออโต้
*ข้อกำหนดและเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) กำหนด
นายอดิศร วังมูล ผู้อำนวยการสายงานบริหารและองค์กรสัมพันธ์ (ที่ห้าจากซ้าย) บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด และ นายวิชัย ยิ่งประเสริฐ ผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ (ที่หกจากขวา) โรงเรียนมาบตาพุดพันพิทยาคาร ร่วมจัดกิจกรรมการอบรมโครงการ “พอร์ตดีมีที่เรียนกับบีแอลซีพี” ปีที่3 เพื่อแนะนำนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จังหวัดระยอง ในการเรียนรู้หลักการนำเสนอผลงานและเทคนิคการจัดทำแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) อย่างเป็นระบบจากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงเตรียมความพร้อมสู่การศึกษาระดับอุดมศึกษา ซึ่งในปีนี้มีนักเรียนเข้าร่วมโครงการฯ มากกว่า 5,000 คน โดยมี นางสาวสลารีวรรณ ทัพทวี รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง (ที่หกจากซ้าย) ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ เมื่อเร็วๆ นี้
โครงการ “พอร์ตดีมีที่เรียนกับบีแอลซีพี” เป็นหนึ่งในกิจกรรมภายใต้แนวคิด ESG ของโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี ที่คำนึงถึงความรับผิดชอบหลัก 3 ด้าน คือ สิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ข้อที่ 4 ด้านการศึกษาที่มีคุณภาพ (Quality Education) ในการสร้างโอกาสการเรียนรู้ที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมและทั่วถึงตลอดชีวิต ซึ่งการจัดทำโครงการฯ นี้มีการให้ความรู้และช่วยให้เยาวชนก้าวสู่ความสำเร็จด้วย 4 เป้าหมายที่เน้นการพัฒนาศักยภาพรอบด้าน โครงการนี้ไม่เพียงแต่ให้ความรู้และทักษะที่จำเป็นในการจัดทำ Portfolio สำหรับการสอบ TCAS รอบแรกเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดประสบการณ์และสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียนได้ค้นพบเส้นทางอาชีพที่เหมาะสมกับตนเองอีกด้วย จากความสำเร็จของโครงการ ในปีนี้บีแอลซีพีจึงได้ขยายโอกาสให้กับนักเรียนเพิ่มมากขึ้น พร้อมจัดกิจกรรมเวิร์คช็อปเข้มข้นใน 3 หัวข้อสำคัญ ได้แก่ Business Camp และ Engineer Step สำหรับนักเรียนที่สนใจด้านบริหารและด้านวิศวกรรมศาสตร์ ส่วน Veterinary Science Workshop สำหรับนักเรียนที่สนใจด้านสัตวแพทย์ ซึ่งจะจัดขึ้นที่โรงพยาบาลสัตว์ทะเลหายากในไตรมาสที่ 4
โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) “มุ่งพัฒนาพลังงานที่มั่นคง เพื่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” ผู้สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถค้นหาได้ที่ https://www.blcp.co.th/web/index หรือ Facebook : โรงไฟฟ้า บีแอลซีพี - BLCP Power Limited
ย้อนหลังไปแต่ปี 2561 ที่ทรูเริ่มก่อตั้ง True Innovation Center จนถึงปัจจุบัน มีพนักงานทรูมากถึง 1,573 คน ที่ลุกขึ้นมาเป็น “นวัตกร” คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมจากเทคโนโลยี เพื่อแก้ปัญหาที่ลูกค้าพบเจอ และยกระดับประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าทรู จนเกิดผลงานที่ได้รับการจดสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรนวัตกรรมแล้ว 112 รายการ
ทั้งหมดนี้สะท้อนความเชื่อมั่นของทรูว่า “ทุกคนสามารถเป็นนวัตกรได้” และยังคงให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการ True Innovation Awards เปิดโอกาสให้พนักงานทุกสายงานได้นำเสนอไอเดียใหม่ๆ เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับลูกค้า องค์กร และสังคม เพราะสำหรับทรูแล้ว นวัตกรรมที่แท้จริง ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีล้ำสมัย แต่คือ “ความใส่ใจ” ที่ฝังอยู่ใน DNA ของคนทรูทุกคน
หนึ่งในนวัตกรทรูคือ ธเนศ วิเชียรปราการ Senior Leader, Technical Project Delivery จากทรูดิจิทัล กรุ๊ป ผู้เป็น Product Owner เบื้องหลัง TrueID TV Gen3 กล่องทีวี AI อัจฉริยะที่ไม่เพียงแค่ดูสตรีมมิ่ง แต่ยังสามารถเล่นเกม ออกกำลังกาย และร้องคาราโอเกะได้ครบจบในกล่องเดียว แม้เขาจะไม่ได้เริ่มต้นจากสายงานเทคโนโลยีโดยตรง แต่ด้วยการเปลี่ยนมุมคิด และความเชื่อในการเรียนรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง ทำให้เขาก้าวเป็นนวัตกรผู้ผลักดันเทคโนโลยีของทรูเข้าใกล้ชีวิตผู้คนมากยิ่งขึ้น
จากแวดวงโทรคมนาคม สู่โลกใหม่ของเทคโนโลยีเพื่อผู้ใช้
ก่อนหน้าจะก้าวสู่งานด้านเทคโนโลยี ธเนศเป็นวิศวกรที่ทำงานในสายโทรคมนาคมมากว่า 25 ปี โดยมีประสบการณ์ด้านเน็ตเวิร์กและบริการเสริมของโมบายล์ จนเมื่อ 4 ปีก่อนเขาตัดสินใจย้ายสู่สายงาน Product Management ที่ทรู ดิจิทัล โดยมีความมุ่งหมายที่จะออกจากความคุ้นเคยเดิมๆ การเปลี่ยนสายงานครั้งนี้ทำให้เขาได้เปลี่ยน แนวคิดในการทำงาน จากงานดูแลระบบหลังบ้าน มาเป็นการออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้งานจริง โดยเริ่มต้นงานในฝ่าย Connected Device Products และดูแลโปรดักส์ TrueID TV Gen2
![]()
“ทีวีในบ้านมีไว้เพียงแค่ ‘ดู’ คอนเทนต์ได้เท่านั้นจริงๆ หรือ” คือ คำถามตั้งต้นที่ธเนศคิด เมื่อสังเกตพฤติกรรมผู้ใช้งานกล่องทีวีทั่วไป ที่ในห้องนั่งเล่นที่บ้านมีทั้งทีวี มือถือ สมาร์ตสปีคเกอร์ เครื่องเล่นเกม และแอปออกกำลังกายที่ต่างใช้งานแยกส่วนและแยกอุปกรณ์กัน สิ่งที่เขาเห็นคือ โอกาสและศักยภาพ บนหน้าจอทีวี ซึ่งเป็น Big Screen กลางบ้าน ที่ยังไม่มีใครใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“เราจึงตั้งเป้าหมายที่จะเปลี่ยนกล่อง TrueID TV จากอุปกรณ์รับชมคอนเทนต์ผ่านจอทีวี ให้กลายเป็น ‘ศูนย์กลางของชีวิตอัจฉริยะ’ ที่รวมทุกกิจกรรมของทุกคนในครอบครัวไว้ที่เดียว” ธเนศกล่าว
งานใหญ่ที่ใช้ทีม Cross-functional ที่มีความเชี่ยวชาญ
จุดเด่นที่ทำให้ กล่อง TrueID TV Gen3 แตกต่างจากกล่องอื่นในตลาด คือ การติดตั้ง AI Chipset ตัวใหม่เพื่อเพิ่มความฉลาด พร้อมติดตั้งกล้องเว็บแคม ไมโครโฟน และลำโพงแบบ Buit-in เพื่อเพิ่มฟังก์ชัน Motion Detection ในการออกกำลัง กายและเล่นเกม Interactive ได้จากกล่องทีวี พร้อมกับการร้องเพลงคาราโอเกะ และรองรับ Google Assistant เบื้องหลังฟีเจอร์สุดล้ำเหล่านี้ คือ ทีม Cross-functional ที่มีความเชี่ยวชาญและเข้าใจเป้าหมายเดียวกัน
ในฐานะที่เป็น Product Owner ธเนศรับผิดชอบในการกำหนดทิศทางผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การออกแบบ วาง Roadmap ของฟีเจอร์ และทำให้ให้ทุกทีมเห็นภาพเดียวกัน โดยมี 3 ทีมงานหลักที่ร่วมกันผลักดันนวัตกรรมให้เกิดขึ้นจริง คือ
· ทีมวิศวกรซอฟต์แวร์และเฟิร์มแวร์ ปรับแต่งระบบปฏิบัติการ Android TV14 พร้อมพัฒนาไดร์ฟเวอร์สำหรับฮาร์ดแวร์ใหม่ๆ สร้างรากฐานให้นักพัฒนาแอปพลิเคชันเข้ามาต่อยอดได้
· ทีมพาร์ตเนอร์แอปพลิเคชันและคอนเทนต์ จัดหาพาร์ตเนอร์ภายนอกที่เข้ามาพัฒนาแอปใหม่ๆ อย่าง Fitness และเกมที่ใช้ Motion Detection
· ทีมประกันคุณภาพ ตรวจสอบทุกมิติ ตั้งแต่ความเสถียรของฮาร์ดแวร์ไปจนถึงประสบการณ์การใช้งานจริง
“ความท้าทายคือ การประสานงานกับหลากหลายทีม ทั้งในประเทศ ต่างประเทศ และพาร์ตเนอร์นอกองค์กร เราใช้ระบบการทำงานแบบ Agile เป็นหลัก แบ่งงานเป็น Sprint โดยมีทำงานร่วมกันทางออนไลน์อย่างต่อเนื่อง" ธเนศเล่า
![]()
Human Technology ที่เชื่อมโยงผู้คนให้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
หลังจากการทำงานกว่า 6 เดือน กล่อง TrueID TV Gen3 ก็ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง และเปิดตัวสู่ตลาดในช่วงต้นปี 2568 สำหรับธเนศแล้ว ความสำเร็จของโปรดักส์นี้ไม่ใช่แค่การทำให้เทคโนโลยีทำงานได้ดี แต่คือการเห็นเทคโนโลยีเชื่อมโยงให้ผู้คนใกล้ชิดกันมากขึ้น
หลังจากที่โปรดักส์ได้ออกให้ใช้งานจริง เขาและทีมเข้าไปดู feedback จริงจากโลกโซเชียล ทั้งรีวิว คอมเมนต์ หรือการใช้งานจริงในบ้านของผู้คน โดยเก็บข้อมูล ฟังเสียงของผู้ใช้ และนำกลับมาใช้พัฒนาในรุ่นถัดไป
“สิ่งที่ดีใจคือ เราตั้งใจให้กล่อง TrueID TV Gen3 เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของคนในบ้าน และผลลัพธ์ก็เป็นแบบนั้น เราได้เห็นผู้สูงอายุในบ้านเล่นเกมกับหลานเล็กผ่านหน้าจอทีวี ใช้ท่าทางเคลื่อนไหว แทนจอยสติ๊ก และกลายเป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองรุ่นได้สนุกด้วยกัน ทำให้เทคโนโลยีมีความหมายมากกว่าความสะดวกสบาย” เขากล่าว
นอกจากนี้ ในแง่ของเทคโนโลยี กล่อง TrueID TV Gen3 ออกแบบให้เป็นศูนย์กลางในการรวม Ecosystem ของทรูเข้าด้วยกัน โดยรองรับการเชื่อมต่อกับบริการต่างๆ และสามารถต่อยอดเทคโนโลยีใหม่ๆ ของทรูได้ในอนาคต ช่วยวางรากฐานให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเชิงฟีเจอร์และประสบการณ์ใช้งาน รวมถึงการสร้างจุดเด่นในตลาด
คิดแบบนวัตกร เริ่มจากจุดเล็กๆ
“นวัตกรรมไม่จำเป็นต้องเริ่มจากสิ่งยิ่งใหญ่ หรือสมบูรณ์แบบที่สุด แต่เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ที่เรียกว่า ‘ความใส่ใจ’ แล้วค่อยๆ ต่อยอด สะสมไอเดีย สะสมพลังงาน ให้ไปถึงจุดหมายที่ใหญ่ขึ้นได้” ธเนศกล่าวถึงเคล็ดลับในการสร้างสรรค์งาน
สำหรับเขา การเปลี่ยนสายจากวิศวกรโทรคมนาคม สู่บทบาท Product Owner ในสายเทคโนโลยีที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้ คือการค้นพบตัวเองอีกครั้ง
“จากเดิมที่เคยทำงานไปตามกระบวนการ พอได้เปลี่ยนมุมมาเป็นคนที่ ‘คิด’และสามารถ ‘สร้าง’ อะไรใหม่ๆ และที่สำคัญคือสิ่งที่สร้างขึ้นมานั้นถูกใจลูกค้า ก็ทำให้รู้สึกสนุก และภูมิใจมากครับ” ธเนศทิ้งท้าย
ลาซาด้า ได้รับการจัดอันดับให้เป็นแบรนด์อันดับ 1 ในประเทศไทย จากรายงาน Thailand’s Top 50 Brands 2025 โดย Campaign Asia ร่วมกับบริษัทวิจัยตลาดระดับโลก Pureprofile สะท้อนความแข็งแกร่งของแบรนด์ในสายตาผู้บริโภคชาวไทย ทั้งด้านคุณภาพของสินค้าและบริการ ประสบการณ์การใช้งาน นวัตกรรม และความภักดีต่อแบรนด์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำของลาซาด้าในฐานะแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เดินหน้าสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง
จากการประเมินแบรนด์ในประเทศไทยจากหลากหลายอุตสาหกรรม ลาซาด้าได้รับคะแนนรวมสูงสุดถึง 84% จากผู้บริโภคตามเกณฑ์การสำรวจในหลากหลายด้าน เช่น ช่องทางในการเข้าถึงแบรนด์ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ระดับความภักดีต่อแบรนด์ ความเต็มใจที่จะแนะนำแบรนด์ให้ผู้อื่น ตลอดจนความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยลาซาด้ามีคะแนนนำในด้านคุณภาพ การบริการลูกค้า และประสบการณ์การช้อป
การจัดอันดับครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของรายงาน Southeast Asia’s Top 50 Brands 2025 ซึ่งรวบรวมผลสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคที่มีความครอบคลุมมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเก็บข้อมูลจาก 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ผ่านการสัมภาษณ์ออนไลน์ตลอดเดือนเมษายน 2568 กับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนประชากรรวมกว่า 10,000 คน โดยใช้ แพลตฟอร์มสำรวจของ Pureprofile งานวิจัยครอบคลุมแบรนด์กว่า 620 รายใน 10 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ, ยานยนต์, อีคอมเมิร์ซ, เครื่องใช้ไฟฟ้า, อาหารจานด่วน, การเงิน, ความงาม, บริการวิดีโอสตรีมมิง, ขนส่งและเดลิเวอรี่ และการท่องเที่ยว โดยผลสำรวจดังกล่าวใช้โมเดลการให้คะแนนที่สะท้อนทั้งระดับการรับรู้และความเชื่อมโยงของแบรนด์กับชีวิตประจำวันของผู้บริโภค โดยมีระดับความน่าเชื่อถือสูงถึง 95% ถือเป็นข้อมูลเชิงลึกที่มีความแม่นยำสูง

ผลการจัดอันดับดังกล่าว ยังสะท้อนบทบาทที่เพิ่มขึ้นของอีคอมเมิร์ซในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคชาวไทย โดยลาซาด้าได้รับความไว้วางใจและเชื่อมั่นจากนักช้อป จากจุดเด่นด้านความหลากหลายและคุณภาพของสินค้า บริการที่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคอย่างครบวงจร ตลอดจนความคุ้มค่า และการพัฒนาแพลตฟอร์มด้วยนวัตกรรมอย่าง AI อย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำความมุ่งมั่นของลาซาด้าในการส่งมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งที่เหนือกว่า เพื่อสร้างคุณค่าให้กับผู้ซื้อ แบรนด์ ผู้ขาย และพันธมิตรในระบบนิเวศธุรกิจอย่างยั่งยืน
ดูรายละเอียด Thailand’s Top 50 Brands 2025 ได้ที่: https://www.campaignasia.com/article/thailands-top-50-brands-2025/503009
เหนือกว่าที่เคยพับ กับข้อเสนอที่คุ้มที่สุด…ทรู ดีแทค 5G เปิดจองล่วงหน้าให้เป็นเจ้าของ Samsung Galaxy Z Fold7 ดีไซน์ใหม่ เครื่อง ใหญ่แต่ “บาง” กว้าง แต่ “เบา” และ Galaxy Z Flip7 ที่มาพร้อม “จอหน้าแบบเต็มจอ” ก่อนใคร!!!
สิทธิพิเศษและข้อเสนอที่ดีที่สุด รวมมูลค่า 26,100 บาท สำหรับลูกค้าทรู ดีแทค เท่านั้น เมื่อนำเครื่องเก่ามาแลกใหม่ การันตีรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 15,000 บาท ลูกค้าทรู ดีแทค นำอายุการใช้งานรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 5,000 บาท พร้อมดูฟรี ความบันเทิงครบรส Netflix, True Vision Now, iQiyi, Bein Sports1,3 นาน 1ปี มูลค่า 7,176 บาท เอาใจเกมเมอร์เล่น GeForce NOW Ultimate นาน 6 เดือน มูลค่า 3,499 บาท คุ้มครองจอฟรี 2 ปี และสิทธิพิเศษเพิ่มเติมอีกมากมาย นอกจากนี้ยังผ่อน 0% นาน 36 เดือน หรือผ่อนสบายไม่ผ่านบัตร นาน 48 เดือน กับ PAY NEXT EXTRA พร้อมรับเงินคืน รวมสูงสุด 5,000 บาท พิเศษสำหรับลูกค้าที่สั่งจองล่วงหน้า รับฟรี Adapter 25w มูลค่า 690 บาท
สาวกซัมซุงสามารถจองได้ ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 กรกฏาคมนี้ ที่ทรูช็อป ดีแทคช็อป ทรูสเฟียร์ ทุกสาขา Line @Truestore / FB Truestore และช่องทางออนไลน์ https://deal.true.th/samsung/galaxy-z-series-flip7-fold7.html พร้อมเปิดตัว “ภูวินทร์ ตั้งศักดิ์ยืน” Co Presenter และภาพยนตร์โฆษณา ชุด Samsung Galaxy Z Fold7 x Phuwin https://vt.tiktok.com/ZSBmsPWNS/ และ Samsung Galaxy Z Flip7 x Phuwin https://vt.tiktok.com/ZSBmG3A9n/
![]()
Samsung Galaxy Z Fold7
เครื่องพร้อมแพ็กเกจ
● เก่าแลกใหม่ ลดเพิ่มสูงสุด 15,000 บาท
● ยิ่งอยู่นาน ยิ่งลดเพิ่ม นำอายุการใช้งานแลกส่วนลดเพิ่มสูงสุด 5,000 บาท
● ดูฟรี ความบันเทิงครบรส Netflix, True Vision Now, iQiyi, Bein Sports1,3 นาน 1ปี มูลค่า 7,176 บาท
● เล่น GeForce NOW Ultimate นาน 6 เดือน มูลค่า 3,499 บาท
● รับคุ้มครองจอนาน 2 ปี (ไม่รวมอุบัติเหตุ)
● เลือกผ่อน 0% นาน 36 เดือน กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ หรือรับเครดิตเงินคืน 55% หรือเลือกผ่อนสบายไม่ง้อ
บัตร นาน 48 เดือน กับ PAY NEXT EXTRA พร้อมรับเครดิตเงินคืน รวมสูงสุด 5,000 บาท
เครื่องเปล่าไม่ติดสัญญา
● เก่าแลกใหม่ ลดเพิ่มสูงสุด 8,000 บาท
● ยิ่งอยู่นาน ยิ่งลดเพิ่ม นำอายุการใช้งานแลกส่วนลดเพิ่มสูงสุด 2,000 บาท
● เพิ่มความจุฟรี 2 เท่า มูลค่า 13,000 บาท
● รับคุ้มครองจอนาน 2 ปี (ไม่รวมอุบัติเหตุ)
● เลือกผ่อน 0% นาน 10 เดือน กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ หรือรับเครดิตเงินคืน 55% หรือเลือกผ่อนสบายไม่ง้อ
บัตร นาน 48 เดือน กับ PAY NEXT EXTRA พร้อมรับเครดิตเงินคืน รวมสูงสุด 5,000 บาท
![]()
Samsung Galaxy Z Flip7
เครื่องพร้อมแพ็กเกจ
● เก่าแลกใหม่ ลดเพิ่มสูงสุด 13,000 บาท
● ยิ่งอยู่นาน ยิ่งลดเพิ่ม นำอายุการใช้งานแลกส่วนลดเพิ่มสูงสุด 5,000 บาท
● ดูฟรี ความบันเทิงครบรส Netflix, True Vision Now, iQiyi, Bein Sports1,3 นาน 1ปี มูลค่า 7,176 บาท
● เล่น GeForce NOW Ultimate นาน 6 เดือน มูลค่า 3,499 บาท
● รับคุ้มครองจอนาน 2 ปี (ไม่รวมอุบัติเหตุ)
● เลือกผ่อน 0% นาน 36 เดือน กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ หรือรับเครดิตเงินคืน 55% หรือเลือกผ่อนสบายไม่ง้อ
บัตร นาน 48 เดือน กับ PAY NEXT EXTRA พร้อมรับเครดิตเงินคืน รวมสูงสุด 5,000 บาท
เครื่องเปล่าไม่ติดสัญญา
● เก่าแลกใหม่ ลดเพิ่มสูงสุด 7,000 บาท
● ยิ่งอยู่นาน ยิ่งลดเพิ่ม นำอายุการใช้งานแลกส่วนลดเพิ่มสูงสุด 2,000 บาท
● เพิ่มความจุฟรี 2 เท่า มูลค่า 5,000 บาท
● รับคุ้มครองจอนาน 2 ปี (ไม่รวมอุบัติเหตุ)
● เลือกผ่อน 0% นาน 10 เดือน กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ หรือรับเครดิตเงินคืน 55% หรือเลือกผ่อนสบายไม่ง้อ
บัตร นาน 48 เดือน กับ PAY NEXT EXTRA พร้อมรับเครดิตเงินคืน รวมสูงสุด 5,000 บาท
พิเศษสำหรับลูกค้าที่สั่งจองล่วงหน้า รับฟรี Adapter 25w มูลค่า 690 บาท
การันตีราคาดีที่สุด กับเครือข่าย 5G ที่เร็วแรง และปลอดภัยที่สุด พร้อมด้วยงานกิจกรรม Lucky Galaxy Fans with Phuwin by True dtac5G ที่ภูวินทร์ จะมาเซ็นและมอบเครื่องให้แก่ผู้ที่ได้รับสิทธิ์ 50 ท่าน ที่จอง Samsung Galaxy Z Fold7 และ Galaxy Z Flip7 กับทรู ดีแทค ภายในวันที่ 19 ก.ค. 68 เวลา 23.59 น. สามารถดูรายละเอียดกิจกรรมได้ที่ https://www.facebook.com/share/p/19so83p3fa/ ประกาศผลผู้ได้รับสิทธิ์วันที่ 20 ก.ค. 68 ผ่านทาง Facebook และ X ของ True5G และ dtac5G