December 16, 2025

SCB WEALTH จัดงานสัมมนาให้แก่กลุ่มลูกค้า PRIVATE BANKING ภายใต้หัวข้อ “Solution Amidst Uncertainty ” โดยได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญของ BlackRock ร่วมเป็นผู้บรรยายพิเศษ มุ่งเน้นการถอดรหัสทิศทางเศรษฐกิจโลกและไทย พร้อมทั้งแนวทางบริหารพอร์ตการลงทุนให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างยั่งยืน แม้ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนที่ยังคงปกคลุมเศรษฐกิจโลก งานสัมมนาในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก นายแพททริก ปูเลีย (กลาง) รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function และ Head of Private Banking Relationship Management ธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมด้วย นายนิคิล มัจรา (ที่2ขวา) Managing Director,Head of APAC Multi-Asset Strategies & Solutions, BlackRock นายมาร์ก ฟัสชาร์ด (ที่ 3 ขวา) Director , APAC Multi-Asset Strategies & Solutions , BlackRock ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ (ที่3 ซ้าย) หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ นายธณาพล อิทธินิธิภัค (ที่ 2ซ้าย) Head of Thailand Business, BlackRock และนายรุ่งโรจน์ เสกสรรค์วิริยะ (ที่1ซ้าย) ผู้อำนวยการ Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมงานสัมมนา เมื่อเร็วๆนี้ ณ โรงแรมโซ แบงคอก กรุงเทพฯ

ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ เปิดเผยว่า นโยบายภาษีนำเข้า ( Reciprocal Tariff ) ของรัฐบาลทรัมป์ ทำให้ประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลสูงกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะในเอเชีย ต้องเผชิญกับอัตราภาษีที่สูง ซึ่งตามการประเมินภาษีเฉลี่ยที่สหรัฐฯจัดเก็บทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 28% อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจะมีการเจรจา ทำให้ภาษีที่รัฐบาลทรัมป์จะจัดเก็บทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 15% ส่งผลให้มีการปรับลดการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงในปีนี้ประมาณ 0.8% อยู่ที่ 2.5% จากผลกระทบของสงครามการค้าที่เริ่มมีความเสี่ยงมากขึ้น แม้ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกจะดีขึ้นชั่วคราวก่อนสงครามการค้าจะรุนแรง โดยล่าสุด เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอลงของภาคการผลิตในหลายประเทศ โดยเฉพาะในยุโรป และเอเชีย สอดคล้องกับภาษีการค้าที่เริ่มส่งผลทำให้เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังของปีนี้ มีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.38% จนถึงสิ้นปีนี้ เนื่องจากมาตรการภาษีของทรัมป์จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลง (Stagflation) เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 3.0% โดยเร่งขึ้นมากในครึ่งหลังของปี 2568 ทำให้เฟดต้องควบคุมความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ จึงอาจจะส่งผลให้ไม่สามารถลดดอกเบี้ยลงได้ ส่วนนโยบายการเงินโลก ธนาคารกลางส่วนใหญ่ ยกเว้นสหรัฐ และญี่ปุ่น จะผ่อนคลายนโยบายการเงินในระยะต่อไป เพื่อช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจที่ชะลอลง ในขณะที่สหรัฐจะเผชิญกับภาวะ Stagflation มากขึ้น และญี่ปุ่นเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้ธนาคารกลางทั้งสองแห่งอาจต้องทำนโยบายการเงินตึงตัวต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยดังกล่าวทำให้เงินบาทมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง เนื่องจากดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดที่จะเกินดุลลดลงและขาดดุลมากขึ้น เงินไหลเข้าผ่านตลาดเงินตลาดทุนที่ลดลงตามทิศทางนโยบายการเงินที่แตกต่างกัน และปัจจัยเชิงฤดูกาลจากแนวโน้มค่าเงินบาทที่มักจะอ่อนค่าช่วงกลางปี

นอกจากนี้ มีความเป็นไปได้ที่ส่งออกไทยจะหดตัวลดลงจาก -3.0% มาอยู่ที่ -0.5% YoY จากรายได้การส่งออกที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่มองว่า ช่วงครึ่งหลังของปี การส่งออกมีแนวโน้มชะลอลงเนื่องจากผู้ประกอบการจำนวนมากได้เร่งส่งออกไปสหรัฐฯ ล่วงหน้าไปแล้ว นอกจากนี้ ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากแรงกดดันด้านต่างประเทศ โดยเฉพาะความเสี่ยงที่เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยสูงนานกว่าที่ตลาดคาด ขณะที่เราคาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มอีก 2 ครั้ง หลังจากที่ประกาศปรับลดดอกเบี้ยในเดือน เมษายน ที่ผ่านมา ได้ลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 1.75% และ มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในเดือนสิงหาคม และตุลาคม เนื่องจากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากสงครามการค้าโลก ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างเต็มที่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพียง 1.3% หรือน้อยกว่านั้น รวมทั้ง อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย การปล่อยสินเชื่อที่หดตัว และภาวะการเงินที่ยังคงตึงตัวปัจจัยเหล่านี้ล้วนสนับสนุนให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ดำเนินมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมในการประชุมครั้งถัดไป ในเดือนสิงหาคม และอีกครั้งในไตรมาสสุดท้ายของปี ทั้งนี้ หากสงครามการค้าและ/หรือสถานการณ์การเมืองในประเทศ มีความรุนแรง และกระทบเศรษฐกิจมากขึ้น กนง. อาจจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ

สำหรับประมาณการค่าเงินบาทเฉลี่ยในปี 2568 อยู่ที่ 34.5 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ โดยคาดว่าค่าเงินบาทจะอ่อนลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จากหลายปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การชะลอของเงินทุนไหลเข้าประเทศไทย การส่งออกที่มีแนวโน้มชะลอตัว การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่ำกว่าคาด และข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ปัจจัยที่ยังพอช่วยพยุงเศรษฐกิจในระยะสั้น เช่น การเร่งการส่งออก แต่ยังไม่เพียงพอ ไม่สามารถพึ่งพาได้ในระยะยาว

แนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยในไตรมาส3 ได้ประมาณการณ์เศรษฐกิจไทย เป็น 2 สถานการณ์ ในกรณี Base case (โอกาส 60 %) GDP ไทยจะขยายตัว 1.4% ในขณะที่การส่งออกหดตัว -3.0% และมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิคในช่วงครึ่งหลังปี ส่วนกรณี Best Case (โอกาส 40 %) หากการเจรจากับสหรัฐฯประสบความสำเร็จและสถานการณ์โลกดีขึ้น GDP ไทยอาจขยายตัวได้ 1.7% และการหดตัวของการส่งออกจะลดลงเหลือเพียง -0.5% แทนที่จะเป็น -3.0% ประเทศไทยยังเผชิญกับความเสี่ยงสำคัญ 6 ด้าน ได้แก่ ความตึงเครียดทางการค้าและมาตรการภาษีสจากสหรัฐฯ การชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยว ความเปราะบางของภาคเกษตร การเมืองขาดเสถียรภาพ หนี้ครัวเรือนในระดับสูง และการชะลอตัวของการลงทุนภาคเอกชน จากปัจจัยเหล่านี้ ตลาดหุ้นไทยในไตรมาส2 มีแนวโน้มปรับตัวลดลง 2% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคและตลาดโลกอยู่ 9% โดยเป้าหมายของ SET Index ในปี 2568 ยังคงอยู่ที่ระดับ 1,250 จุด โดยมีปัจจัยบวกใหม่ค่อนข้างจำกัด อย่างไรก็ตาม หากดัชนีปรับตัวลงต่ำกว่า 1,100 จุด ถือเป็นจุดเข้าซื้อที่น่าสนใจ

ตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 3 ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แม้ว่าความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างประเทศจะคลี่คลายลง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากภายนอก ขณะเดียวกันก็จำกัดโอกาสด้านบวก (upside) ของตลาดโดยรวม ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ และสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนยังคงกดดันบรรยากาศการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ แม้ตลาดคาดหวังถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจช่วยพยุง sentiment ได้บ้าง แต่ปัจจัยสนับสนุนในประเทศที่ชัดเจนยังมีจำกัด โครงสร้างพื้นฐานยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ แม้จะต้องจับตาความเสี่ยงด้านการดำเนินงานที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันอยู่ในภาวะขายมากเกินไป (oversold ) ซึ่งช่วยจำกัด Downside จากปัจจัยต่างประเทศ ภาวะเศรษฐกิจ และการลงทุนในประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้โอกาสที่ตลาดจะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องยังคงถูกจำกัด จึงมองว่า การพื้นตัวของตลาดหุ้นไทยในระยะข้างหน้า ขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างจริงจัง การขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่ให้เห็นเป็นรูปธรรม และการฟื้นตัวของสภาพคล่องในระบบ ซึ่งจะช่วยปลดล็อกการเคลื่อนไหวในกรอบแคบของตลาด (sideway) ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้

หลังจากนั้น ต่อด้วยเสวนาในหัวข้อ “ Glabal Market Outlook & Solutions amidst Uncertainty ” ผู้เชี่ยวชาญจาก SCB WEALTH และ BlackRock ซึ่งประกอบด้วย นายรุ่งโรจน์ เสกสรรวิริยะ ผู้อำนวยการ Investment Product Selection ธนาคารไทยพาณิชย์ นายนิคิล มัจรา Managing Director,Head of APAC Multi-Asset Strategies & Solutions, BlackRock นายมาร์ก ฟัสชาร์ค Director , APAC Multi-Asset Strategies & Solutions , BlackRock และ นายธณาพล อิทธินิธิภัค Head of Thailand Business, BlackRock ได้ร่วมกันวิเคราะห์มุมมองเศรษฐกิจโลก ซึ่งยังคงเผชิญความเสี่ยงจากหลายปัจจัย โดย BlackRock ประเมินว่า ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า จึงจำเป็นต้องติดตามปัจจัยสำคัญอย่างใกล้ชิด อาทิ อัตราภาษีนำเข้า ระดับการว่างงาน การบริโภคภาคเอกชน และแนวโน้มกำไรของภาคธุรกิจ เพื่อประเมินผลกระทบในเชิงโครงสร้างอย่างรอบด้าน

อย่างไรก็ตาม แม้การถือเงินสดอาจช่วยลดความเสี่ยงระยะสั้นในช่วงตลาดผันผวน แต่ในช่วงเวลาที่ตลาดฟื้นตัวอาจทำให้นักลงทุนพลาดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี ดังนั้นแนวทาง Stay invested หรือการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยไม่พยายามจับจังหวะตลาด จึงเป็นกลยุทธ์ที่ BlackRock และ SCB WEALTH แนะนำให้กับลูกค้าเพื่อสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งในระยะยาว ทั้งนี้ การกระจายพอร์ตลงทุนแบบดั้งเดิมที่เน้นลงทุนในหุ้น 60% และตราสารหนี้ 40% อาจจะทำให้พอร์ตลงทุนไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่เคย ปัจจุบันการเพิ่มน้ำหนักลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก กลายเป็นส่วนสำคัญในการสร้างพอร์ตที่สมดุล โดยเฉพาะการใช้กลยุทธ์แบบ Multi-Asset และ Liquid Alternatives ที่สามารถกระจายการลงทุนได้อย่างยืดหยุ่นในหลายสินทรัพย์ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือกที่มีสภาพคล่องจึงเป็นแนวทางที่ตอบโจทย์ในระยะยาว และยังช่วยป้องกันพอร์ตในช่วงตลาดขาลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อตลาดโลกมีความไม่แน่นอนสูง

นายรุ่งโรจน์ กล่าวเสริมว่า นับตั้งแต่ SCB WEALTH เป็นตัวแทนจำหน่ายกองทุน SCB Global Multi- Asset Core Portfolio ( SCBGMCORE) เป็นกองทุนที่ BlackRock ออกแบบพอร์ตให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าธนาคารไทยพาณิชย์โดยเฉพาะ กองทุน SCBGMCORE มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุน ETF ในสัดส่วน 75%กระจายลงทุนใน หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ REITและTIPs ส่วนอีก 25% ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่มีสภาพคล่องสูงที่ใช้กลยุทธ์แบบ Absolute Return ช่วยกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของพอร์ต การบริหารกองทุนดำเนินการโดย BlackRock เป็นการบริหารแบบเชิงรุก พร้อมเครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่ช่วยรักษาสมดุลพอร์ตอย่างมีประสิทธิภาพในทุกสภาวะตลาด เพื่อส่งเสริมให้ลูกค้าสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินอย่างมั่นคงในระยะยาว

 

คำเตือน

· การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน

· กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SCB Global Multi-Asset Core Portfolio (SCBGMCORE(A)) ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5 ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง โปรดศึกษารายละเอียดข้อมูลกองทุนกับบลจ.ไทยพาณิชย์อีกครั้ง

· กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุน หรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

· กองทุนรวม SCBGMCORE(A) นี้บริหารจัดการการลงทุนในผลิตภัณฑ์ต่างประเทศโดย BlackRock ภายใต้สัญญาแต่งตั้งรับมอบหมายงานด้านการจัดการลงทุนเป็นไปตามที่ระบุในโครงการจัดการกองทุนโดยบลจ.ไทยพาณิชย์

· ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

· กองทุนนี้ไม่เหมาะสมกับผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสม่ำเสมอ หรือต้องการรักษาเงินต้น ผู้ลงทุนโปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

· ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน โดยศึกษาข้อมูลกองทุนหลัก และหนังสือชี้ชวนกองทุนที่ร่วมรายการเพิ่มเติมได้จาก website ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม www.scbam.com

· สอบถามรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 02-777-7777

เซลส์ฟอร์ซ (Salesforce) (NYSE: CRM) ผู้นำอันดับหนึ่งของโลกด้านระบบบริหารจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ประกาศเปิดตัว Agentforce 3 ที่เป็นการอัปเกรดครั้งสำคัญของแพลตฟอร์มแรงงานดิจิทัลที่ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถมองเห็นและควบคุมการทำงานของเจ้าหน้าที่ AI อัจฉริยะ (AI Agent) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางการใช้งาน AI Agent ระดับองค์กรที่เพิ่มมากขึ้น ข้อบกพร่องก็ชัดเจนมากขึ้นเช่นกัน กล่าวคือทีมงานไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่ Agent กำลังดำเนินการ และไม่สามารถพัฒนา Agent ได้อย่างรวดเร็ว Agentforce 3 จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ช่องว่างนี้โดยเฉพาะ อ้างอิงจากบทเรียนจากการติดตั้ง Agentforce หลายพันครั้งนับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งช่วยสร้างผลลัพธิ์ที่วัดได้ให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดย Agentforce สามารถจัดการบทสนทนาด้านงานธุรการได้โดยอัตโนมัติ ของ 1-800Accountant ได้ถึง 70% ในช่วงการยื่นภาษีของปี 2568

Agentforce 3 ออกแบบมาเพื่อให้ผู้นำองค์กรสามารถตรวจสอบ ปรับปรุง และขยายการใช้งาน AI Agent ได้อย่างมั่นใจ มาพร้อมกับ Command Center ใหม่ เสริมการสังเกตการณ์อย่างครบวงจร รองรับโปรโตคอลมาตรฐานเปิด Model Context Protocol (MCP) สำหรับการเชื่อมต่อแบบ plug-and-play และฟีเจอร์เฉพาะอุตสาหกรรมใหม่กว่า 100 รายการ เพื่อช่วยองค์กรเร่งการนำไปใช้งาน ปรับปรุงสิ่งที่บกพร่อง และปลดล็อกศักยภาพของ Agentic AI ได้อย่างเต็มที่

ความสำคัญของ Agentforce 3

การใช้งาน AI Agent กำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลดัชนี Slack Workflow Index (ที่เตรียมเผยแพร่เร็ว ๆ นี้) ระบุว่าการใช้งาน AI Agent เพิ่มขึ้นถึง 233% ภายในระยะเวลา 6 เดือน และมีลูกค้ากว่า 8,000 รายลงทะเบียนใช้งาน Agentforce ในช่วงเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์ม AI Agent ส่วนใหญ่ยังขาดเครื่องมือด้านการกำกับดูแล การผสานรวม และการสังเกตการณ์ที่จำเป็นต่อการขยายการใช้งานระดับองค์กร Agentforce 3 เข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ โดยให้การมองเห็นที่สมบูรณ์แบบ การผสานเครื่องมืออย่างปลอดภัย และการควบคุมในระดับองค์กรที่จำเป็นเพื่อให้ความเร็วของ Agent กลายเป็นข้อได้เปรียบทางธุรกิจ

อดัม อีวานส์ (Adam Evans) รองประธานบริหารและผู้จัดการทั่วไปฝ่าย AI ของ Salesforce กล่าวว่า “Agentforce คือการรวมตัวของ Agent ข้อมูล แอปพลิเคชัน และ metadata เข้าไว้ในแพลตฟอร์มแรงงานดิจิทัลเดียว ช่วยให้องค์กรหลายพันแห่งเริ่มต้นใช้งาน agentic AI ได้จริง เรารับฟังเสียงจากลูกค้าอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็น Agentforce 3 ก้าวกระโดดครั้งสำคัญของแพลตฟอร์ม ที่ทำให้การใช้งาน Agentforce ทุกรูปแบบมีความฉลาด ไหวพริบ ประสิทธิภาพ ความน่าเชื่อถือ และความโปร่งใส Agentforce 3 จะเปลี่ยนวิธีที่มนุษย์และ AI Agent ทำงานร่วมกัน ยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน และการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจอย่างก้าวกระโดด”

 

Agentforce Command Center เครื่องมือสำหรับตรวจสอบ วัดผล และปรับปรุง AI Agent

เมื่อ AI Agent เริ่มเข้ามาทำงานประจำ และทำงานร่วมกับมนุษย์อย่างใกล้ชิดมากขึ้น ทีมงานจึงต้องการเครื่องมือชั้นใหม่สำหรับการสังเกตการณ์ในยุคแรงงานดิจิทัล ซึ่ง Agentforce Command Center คือคำตอบ เครื่องมือนี้คือโซลูชันที่ช่วยให้ผู้นำองค์กรสามารถมองเห็นการทำงานของ AI Agents แบบครบวงจร ช่วยวิเคราะห์ วัดผล และปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน Command Center ถูกพัฒนาขึ้นใน Agentforce Studio เพื่อเสริมความแข่งแกร่งให้ Agent ด้วยเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยให้เข้าใจและปรับปรุง Agent ได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกระดับ

ไรอัน ทีเปิลส์ (Ryan Teeples) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี 1-800Accountant กล่าวว่า “Agentforce สามารถจัดการงานตอบแชทอัตโนมัติของ 1-800Accountant ได้ถึง 70% ในช่วงฤดูกาลยื่นภาษีที่ผ่านมาซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ธุรกิจของเราคึกคักที่สุด ความสำเร็จในช่วงแรกนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เราได้วางรากฐานการใช้งานที่มั่นคงและเน้นพัฒนาประสบการณ์การใช้งาน Agentic AI รวมถึงระบบอัตโนมัติ AI ใหม่ ๆ ผ่านฟีเจอร์ล่าสุดของ Agentforce ด้วยการสังเกตการณ์ที่ละเอียด เราจึงเห็นว่าฟีเจอร์ไหนใช้ได้ผล ปรับปรุงทันที และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันได้อย่างมั่นใจ”

ขยายศูนย์ AgentExchange ที่เป็นระบบนิเวศ AI Agent ชั้นนำ เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาและใช้งานเครื่องมือที่ออกแบบสำหรับ Agent: เมื่อองค์กรเริ่มนำ AI Agent ไปใช้งานในทีมต่าง ๆ AgentExchange ช่วยให้ง่ายต่อการติดตั้งเครื่องมือที่เชื่อถือได้ซึ่งสร้างขึ้นโดยพันธมิตร พร้อมทั้งมีเทมเพลตและฟังก์ชันที่ช่วยให้เกิดประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้ลูกค้าจะสามารถค้นหาเซิร์ฟเวอร์ MCP จากพันธมิตรกว่า 30 ราย ซึ่งให้การเข้าถึงเครื่องมือและทรัพยากรของบุคคลที่สามที่เชื่อถือได้ และเชื่อมต่อกับ Agentforce ได้อย่างราบรื่นผ่านเกตเวย์ AI Agent ที่ปลอดภัย โดยพันธมิตร MCP ได้แก่ AWS, Box, Cisco, Google Cloud, IBM, Notion, PayPal, Stripe, Teradata, WRITER และอื่น ๆ

ความพร้อมใช้งานเฉพาะสำหรับแต่ละอุตสาหกรรมที่ครบครันตั้งแต่เริ่มใช้งาน ช่วยให้องค์กรในทุกอุตสาหกรรมสามารถสร้างผลลัพธ์จาก AI Agents ได้อย่างรวดเร็ว ด้วย Prebuilt Industry Actions กว่า 200 รายการ ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นแอ็กชันใหม่ที่เปิดตัวในฤดูร้อนนี้ ครอบคลุมตั้งแต่การนัดหมายผู้ป่วย การสร้างข้อเสนอทางการตลาด การบริการยานพาหนะ และอื่น ๆ อีกมากมาย Agentforce 3 ยังมาพร้อมกับโครงสร้างราคาที่เรียบง่ายและยืดหยุ่นมากขึ้น โดยมี SKU ใหม่สำหรับ Agentforce ในกลุ่ม Sales, Service และ Industry Cloud ที่คิดราคาต่อผู้ใช้ และเปิดให้ใช้งานแอ็กชันได้ไม่จำกัดสำหรับ AI Agents ที่ทำงานร่วมกับพนักงาน ช่วยให้ทีมสามารถเริ่มต้นใช้งานได้อย่างรวดเร็วและขยายขีดความสามารถได้อย่างมั่นใจ นำ Agenforce มาใช้และขยายขีดความสามารถได้อย่างมั่นใจด้วยผู้เชี่ยวชาญที่ไว้ใจได้: กลุ่มพาร์ตเนอร์ Salesforce เช่น Accenture, Deloitte Digital, NeuraFlash, PwC และอีกมากมาย ได้ให้การสนับสนุนลูกค้าในการติดตั้ง Agentforce มาแล้วหลายพันครั้ง พร้อมผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองกว่า 272,000 คนทั่วโลก ที่ช่วยให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์และสนับสนุนการใช้งาน AI Agent อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยังคงรักษาการกำกับดูแลตามมาตรฐานขององค์กรไว้ครบถ้วน

อาธีนา คานิอูร่า (Ahina Kanioura) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และการเปลี่ยนแปลงองค์กร PepsiCo กล่าวว่า “การใช้ Agentforce ทำให้ PepsiCo ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงในเส้นทางของการใช้ agentic AI ด้วยการรวมข้อมูลเชิงลึกผ่าน Salesforce Data Cloud เราได้รับภาพรวมแบบองค์รวมของลูกค้าและการดำเนินงาน ซึ่งช่วยให้เราสามารถวางกลยุทธ์ที่ดีขึ้น เสริมสร้างความสัมพันธ์ และสร้างมูลค่าที่สูงขึ้นในทุกตลาดที่เราดูแล”

CardX ผู้ให้บริการบัตรเครดิตและบริการทางการเงินภายใต้กลุ่ม SCBX ออกโรงเตือนภัยหลังพบสถานการณ์การหลอกลวงทางออนไลน์ยังคงสร้างความเสียหายให้กับคนไทยอย่างต่อเนื่อง แม้จำนวนเคสจะลดลง แต่มูลค่าความเสียหายต่อรายกลับเพิ่มขึ้น โดยจากข้อมูลล่าสุดในปี 2568 พบว่าคนไทยยังคงถูกหลอกด้วยกลโกงต่าง ๆ รวมถึงการแอบอ้างจากมิจฉาชีพในรูปแบบที่ซับซ้อนและแนบเนียนยิ่งขึ้น

จากสถิติที่รวบรวมโดย CardX พบว่า ปี 2568 จำนวนเคสที่คนไทยตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพลดลงจากปีก่อนหน้า 42% ซึ่งสะท้อนถึงความตื่นตัวและความร่วมมือของหน่วยงานต่าง ๆ ในการเผยแพร่ข้อมูลเตือนภัย แต่ในทางกลับกัน จำนวนเงินที่เหยื่อสูญเสียต่อรายกลับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9% จาก 83,800 บาทในปี 2567 เป็น 91,500 บาทในปี 2568 สะท้อนให้เห็นว่าแม้เหยื่อจะน้อยลง แต่มิจฉาชีพกลับเลือก “เหยื่อเป้าหมาย” ที่เสียหายหนักกว่าเดิม

ในบรรดากลโกงทั้งหมดที่พบ กลุ่ม “หลอกซื้อขายสินค้าและบริการออนไลน์” ยังคงเป็นกลโกงที่พบมากที่สุด คิดเป็น 57% ของคดีทั้งหมด โดยมิจฉาชีพมักอาศัยแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียสร้างเพจปลอม เสนอราคาถูกกว่าท้องตลาด และหายไปทันทีเมื่อได้รับเงิน รองลงมาคือการหลอกให้โอนเงินเพื่อรับรางวัลหรือสิทธิพิเศษ (13%) หลอกให้ทำงานพิเศษแต่ต้องโอนค่าสมัครก่อน (11%) หลอกให้กู้เงินโดยเรียกเก็บค่าธรรมเนียมล่วงหน้า (7%) และหลอกให้ลงทุนโดยอ้างชื่อคนดังหรือองค์กรที่น่าเชื่อถือ (6%)

CardX ยังได้รวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปแบบการแอบอ้างที่สร้างความเสียหายอย่างกว้างขวางในปีนี้ โดย 5 อันดับแรกที่พบได้แก่

1. การแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อข่มขู่ให้โอนเงิน โดยขู่ว่าเหยื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีร้ายแรง และหลอกให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบความบริสุทธิ์

2. การแอบอ้างชักชวนให้ลงทุนผ่านช่องทางปลอม โดยอ้างผลตอบแทนสูงในเวลาเร็ว อย่างคริปโทเคอร์เรนซี หุ้น หรือ ฟอเร็กซ์ หรือการใช้บัญชีปลอม แอปปลอม เว็บไซต์ปลอม

3. การปลอมตัวเป็นหน่วยงานราชการอย่างการไฟฟ้า โดยแจ้งยอดค้างค่าไฟ ขู่ว่าจะตัดไฟทันที

4. การปลอมแปลงเป็นบริษัทขนส่งเพื่อส่งลิงก์หลอก โดยอ้างว่าคุณมีพัสดุตกค้างหรือมีปัญหา พร้อมส่งลิงก์ปลอมให้คลิกยืนยันหรือจ่ายค่าธรรมเนียม

5. การแอบอ้างเป็นกรมที่ดินพร้อมส่งข้อมูลปลอมเกี่ยวกับเอกสารสิทธิ์ที่ดิน โดยขู่ว่าที่ดินมีปัญหาค้างชำระภาษีที่ดิน หรือหลอกให้โอนเงินเพื่อยืนยันเอกสารที่ดิน

ขณะเดียวกัน การฉ้อโกงผ่าน “ข้อมูลบัตรเครดิต” ก็ยังคงพบในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการคัดลอกข้อมูลบัตรผ่านเครื่องรูดปลอม (Skimming) การส่ง SMS อ้างว่าคะแนนกำลังจะหมดอายุ การโทรหลอกว่าบัตรถูกล็อก การส่งอีเมลหรือ ข้อความปลอมในรูปแบบ Phishing การแฮ็กข้อมูลผ่าน Wi-Fi สาธารณะ และการแอบอ้างเป็นธนาคารโทรสอบถาม OTP เพื่อเข้าถึงบัญชี

เพื่อเสริมความปลอดภัยให้กับผู้ถือบัตร CardX ได้แนะนำฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถ “ควบคุมความเสี่ยงได้ด้วยตัวเอง” ได้แก่ การล็อกวงเงินบัตรหรือปิดการใช้งานบัตรชั่วคราวได้ทันทีผ่านแอปพลิเคชัน CardX รวมถึงระบบแจ้งเตือนการใช้จ่ายแบบเรียลไทม์ และการตั้งค่ารายจ่ายในแต่ละวัน เพื่อให้ผู้ใช้งานรู้ทันทุกความเคลื่อนไหวของบัตรได้ตลอดเวลา

CardX ขอแนะนำให้ประชาชนตั้งสติและไตร่ตรองทุกครั้งก่อนโอนเงิน อย่าหลงเชื่อข้อความเร่งด่วน ตรวจสอบแหล่งที่มาให้แน่ชัด และไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลบัตรเครดิตกับบุคคลแปลกหน้า โดยเฉพาะหากอ้างว่าโทรมาจากหน่วยงานรัฐหรือธนาคาร ซึ่งไม่มีนโยบายสอบถามข้อมูลส่วนตัวผ่านโทรศัพท์หรือข้อความ

การป้องกันตัวเองคือกุญแจสำคัญที่สุดในการลดความเสี่ยงจากภัยไซเบอร์ และ CardX ขอเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงในการเตือนภัยเพื่อสร้าง "ภูมิคุ้มกัน" ให้กับสังคมไทย และช่วยให้ผู้ถือบัตรรู้เท่าทันและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

 

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) คาด สิ้นปี 2030 จำนวนบัญชีผู้ใช้บริการ 5G ทั่วโลก จะพุ่งแตะ 6.3 พันล้านราย ตามรายงาน Ericsson Mobility Report (ฉบับเดือนมิถุนายน 2025) และคาดว่าสิ้นปี 2025 บัญชีผู้ใช้ 5G ทั่วโลกจะเพิ่มเป็น 2.9 พันล้านราย หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของยอดผู้ใช้บริการมือถือทั้งหมด ปริมาณการใช้ดาต้าเน็ตบนเครือข่ายมือถือทั่วโลกเพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาสแรกของปี 2024 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีนี้ ถึงแม้อัตราการเติบโตจะลดลง แต่ปริมาณการใช้ดาต้ายังเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในรายงาน Ericsson Mobility Report ยังคาดการณ์ว่ายอดการใช้ดาต้าเน็ตมือถือจะเพิ่มมากกว่าสองเท่าตลอดช่วงของการคาดการณ์จนถึงสิ้นปี 2030

เมื่อสิ้นปี 2024 เครือข่าย 5G รองรับการใช้ดาต้าเน็ตมือถือทั่วโลกถึง 35% โดยคาดการณ์ว่าสิ้นปี 2030 ตัวเลขนี้จะขยับเพิ่มขึ้นเกินกว่า 80% เครือข่าย 5G Mid-Band ครอบคลุมเกิน 50% ของจำนวนประชากรในทวีปยุโรป เมื่อสิ้นปี 2024 อย่างไรก็ดีถึงแม้ว่าความครอบคลุมของเครือข่าย 5G Mid-Band ในภูมิภาคนี้จะอยู่ในระนาบเดียวกับค่าเฉลี่ยของโลก แต่ยังตามหลังประเทศผู้นำต่าง ๆ อาทิ อเมริกาเหนือที่นำ 5G Mid-Band มาใช้งานครอบคลุมเกินกว่า 90% ของประชากร และอินเดียที่ใช้ 5G Mid-Band ครอบคลุมถึง 95% ของประชากร

ในปี 2030 คาดว่าจำนวนบัญชีผู้ใช้บริการ 5G ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย จะเพิ่มเป็น 630 ล้านราย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 49% ของจำนวนบัญชีผู้ใช้บริการมือถือทั้งหมดในภูมิภาคนี้ ขณะที่ปริมาณการใช้ดาต้าเน็ตต่อสมาร์ทโฟนคาดว่าจะเติบโตจาก 19 กิกะไบต์ต่อเดือน ในปี 2024 เพิ่มเป็น 38 กิกะไบต์ต่อเดือน ในปี 2030

สำหรับประเทศไทย เครือข่าย 5G เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการบริโภคข้อมูลและการเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้งาน (ARPU)

มร.แอนเดอร์ส เรียน ประธานบริษัท อีริคสัน ประเทศไทย กล่าวว่า "เราอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่เครือข่าย 5G และระบบนิเวศมีความพร้อมที่จะปลดปล่อย A Wave of Innovation หรือคลื่นแห่งนวัตกรรม ด้วยความก้าวหน้าของเครือข่าย 5G Standalone (SA) ประกอบกับพัฒนาการในอุปกรณ์ที่รองรับ 5G ได้นำไปสู่ระบบนิเวศที่พร้อมสำหรับการปลดล็อกโอกาสเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ในการเชื่อมต่อไอเดียสร้างสรรค์ และเพื่อให้ 5G ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญที่จะต้องดำเนินการคือการนำเครือข่าย 5G SA มาใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสร้างฐานย่านความถี่ Mid-Band เพิ่มเติม”

อีริคสัน ประเทศไทย พร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของประเทศไทย โดยอาศัยความเป็นผู้นำระดับโลกของเราในด้านเทคโนโลยี 5G ที่วันนี้เปิดให้บริการเครือข่าย 5G ไปแล้ว 187 เครือข่ายทั่วโลก “วิสัยทัศน์หลักของเรา คือ การสร้างเครือข่ายการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพสูง เชื่อถือได้ และยั่งยืน เพื่อเร่งการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล...เราเชื่อว่าการร่วมมือที่เข้มแข็งในระบบนิเวศเป็นสิ่งสำคัญช่วยปลดล็อกศักยภาพของเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลได้เต็มที่ ด้วยการทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานภาครัฐ พันธมิตรในอุตสาหกรรม และชุมชนต่าง ๆ เราตั้งเป้าส่งเสริมนวัตกรรม สร้างความเท่าเทียม และการเติบโตระยะยาวให้กับประเทศไทย" มร.แอนเดอร์ส กล่าว

มียูสเคสการใช้งาน 5G ปัจจุบันและในอนาคตมากมายที่อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับองค์กรต่าง ๆ ทั้งในการเพิ่มประสิทธิภาพ เตรียมพร้อมสำหรับอนาคต และมีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ความเป็นไปได้ของ 5G ไม่เพียงช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองความต้องการของโลกยุคใหม่ได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยควบคู่ไปด้วยกัน

ความก้าวหน้าของเครือข่าย 5G Standalone (SA) ประกอบกับพัฒนาการในอุปกรณ์ที่รองรับ 5G นำไปสู่ระบบนิเวศที่พร้อมสำหรับปลดล็อกโอกาสเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ เพื่อเชื่อมต่อไอเดียสร้างสรรค์ “เพื่อให้ 5G ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญที่จะต้องดำเนินการคือการนำเครือข่าย 5G SA มาใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสร้างฐานย่านความถี่ Mid-Band เพิ่มเติม” มร.แอนเดอร์ส กล่าว

การใช้ 5G SA ที่ได้รับการพัฒนาเพิ่มขึ้นจะเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นสำหรับการนำไปปรับใช้และขับเคลื่อนยูสเคสการใช้งานใหม่ ๆ ให้กับทั้งองค์กรและผู้บริโภค เนื่องจากอุปกรณ์ generative AI (GenAI) เป็นที่แพร่หลายและแอปฯ AI มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันและผู้ให้บริการด้านการสื่อสารจึงต้องให้ความสำคัญกับความสามารถในการอัปลิงก์ (Uplink) และระยะเวลาแฝงในการรับ-ส่งข้อมูล (Latency) มากขึ้น ตามรายงาน Ericsson Mobility Report ระบุถึงอุปกรณ์ 5G ที่เป็นนวัตกรรมอื่น ๆ นอกเหนือจาก GenAI ที่ฝังอยู่ในสมาร์ทโฟนรุ่นไฮเอนด์ อย่าง แว่นตาอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI และใช้ประสิทธิภาพจากการโต้ตอบด้วยเสียง รวมถึงการนำประสิทธิภาพการเชื่อมต่อที่แตกต่างกัน (Differentiated Connectivity) มาใช้มากขึ้นในแอปพลิเคชันใหม่ ๆ สำหรับผู้บริโภคและสำหรับองค์กร โดย Differentiated Connectivity จะเป็นกุญแจสำคัญมอบประสบการณ์คุณภาพสูงให้กับผู้ใช้ สำหรับ AI Agent ที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคลและแอปพลิเคชันการสนทนาอื่น ๆ

"หัวใจหลักของการดำเนินงานไปสู่เป้าหมายของเรา คือ ความตั้งใจแน่วแน่และมีจริยธรรม มีความซื่อสัตย์ และโปร่งใส เรามุ่งมั่นสร้างมาตรฐานความเป็นเลิศและสรรหาแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดมอบให้กับอุตสาหกรรม เพื่อให้มั่นใจว่าบทบาทและการมีส่วนร่วมของเราสามารถสร้างผลกระทบและมีความรับผิดชอบไปพร้อมกัน ด้วยการผนึกกำลังร่วมกัน เรากำลังสร้างอนาคตที่เชื่อมต่อถึงกันให้กับประเทศไทย ซึ่งมีทั้งความครอบคลุม ยืดหยุ่น และพร้อมเปิดรับทุกโอกาสในอนาคต" มร.แอนเดอร์ส กล่าวสรุป อ่านรายงาน Ericsson Mobility ฉบับเต็ม มิถุนายน 2025 ได้ที่ลิงก์นี้

สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับเครือข่ายหน่วยงานวิจัยในจุฬาฯ จัดสัมมนาวิชาการ “AI เพื่อสังคม 2025: ปัญญาประดิษฐ์เปลี่ยนอนาคตไทย” เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 ณ Social Innovation Hub อาคารวิศิษฐ์ ประจวบเหมาะ เพื่อจุดประกายความคิดและวางแนวทางการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างมีจริยธรรม ครอบคลุม และยั่งยืนในสังคมไทย โดยมี ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ เป็นผู้กล่าวเปิดงาน และปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “บทบาทของมหาวิทยาลัยไทยในยุค AI เปลี่ยนโลก” โดยเน้นย้ำว่า “การศึกษาต้องไม่เพียงให้ความรู้เท่าทันเทคโนโลยี แต่ต้องสร้างสำนึกและโครงสร้างสังคมใหม่ที่ทุกคนมีส่วนร่วมในอนาคต AI อย่างเท่าเทียม”

 

ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ

ในยุคที่ Generative AI แทรกซึมเข้าสู่ทุกมิติของชีวิต ตั้งแต่ระบบแรงงานไปจนถึงการศึกษา งานสัมมนาครั้งนี้เน้นให้เห็นถึง “โอกาส” ที่เทคโนโลยีจะเพิ่มขีดความสามารถของสังคมไทย ในขณะเดียวกัน “ความเสี่ยง” ที่จะทวีความเหลื่อมล้ำและทำให้ผู้คนบางกลุ่มถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

การสัมมนาครั้งนี้กล่าวรายงานโดย รศ.ดร.อุ่นเรือน เล็กน้อย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ หนึ่งในไฮไลต์ของงานคือ การนำเสนอผลการศึกษา “AI in Thai Society” โดยนักวิจัยจากสถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ ซึ่งเผยให้เห็นว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยยังขาดความรู้เท่าทัน AI กลุ่มแรงงานระดับล่างมีโอกาสถูกแทนที่โดยเทคโนโลยี รวมทั้งการใช้ AI ในระบบการศึกษาอาจกระทบจริยธรรมและความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน

รศ.ดร.อุ่นเรือน เล็กน้อย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ

ผู้เข้าร่วมงานสัมมนายังได้สัมผัสนิทรรศการ AI แบบอินเทอร์แอคทีฟ เพื่อเรียนรู้ว่า “เราเป็น AI ประเภทใด” ผ่านแบบทดสอบสนุก ๆ ที่กระตุ้นให้แต่ละคนหันกลับมาทบทวนบทบาทของตนในโลกที่เทคโนโลยีกำลังนิยามตัวตนของเรา

นอกจากนี้ยังมีการเสวนา “Thailand Reimagined: When AI Designs the Future” โดยผู้เชี่ยวชาญจากภาคแรงงาน ภาคสิ่งแวดล้อม และภาคเอกชน ร่วมเสนอทางออกในการออกแบบนโยบายที่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน การคุ้มครองสิทธิพลเมืองในยุคดิจิทัล และการป้องกันอคติที่ AI อาจผลิตซ้ำ

ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนการใช้ AI อย่างสร้างสรรค์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังได้มอบ 7 รางวัลสำหรับผลงาน Generative AI โดดเด่น ที่แสดงให้เห็นถึงการใช้นวัตกรรมเพื่อประโยชน์ส่วนรวม พร้อมเป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชน นักวิจัย และผู้ประกอบการไทย

งานสัมมนานี้ไม่เพียงเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับ AI เท่านั้น แต่ยังปลุกกระแสสังคมให้ตั้งคำถามว่า “เราจะอยู่ร่วมกับ AI อย่างไร ให้เป็นธรรม ครอบคลุม และมีจริยธรรม” รวมถึง “เราจะสร้างคนให้มีปัญญาเพื่อสร้าง ควบคุม และใช้เทคโนโลยีอย่าง AI อย่างเท่าทัน” ถือเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันจุฬาฯ สู่การเป็นมหาวิทยาลัยนำทางความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในยุค AI

เวียตเจ็ทไทยแลนด์ยกระดับสิทธิประโยชน์สำหรับผู้โดยสารภาครัฐและองค์กร ด้วยแคมเปญสะสมเหรียญ Fun Coin สำหรับสมาชิก Fun Rewards เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ผู้โดยสารที่จองบัตรโดยสารภาครัฐและองค์กรผ่านห้องจำหน่ายบัตรโดยสารของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ หรือช่องทางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ สามารถสะสมเหรียญ Fun Coin ได้ทันที ยิ่งเดินทางมาก ยิ่งสะสมได้มาก พร้อมแลกรับสิทธิประโยชน์สุดคุ้ม อาทิ ส่วนลดบัตรโดยสารครั้งถัดไปและสิทธิพิเศษจากพันธมิตรมากมาย ในราคาสุดคุ้มเริ่มต้นเพียง 1,680 บาท (รวมภาษีและค่าธรรมเนียม) พร้อมรับสิทธิ์โหลดสัมภาระและเข้าใช้ห้องรับรองพิเศษ* เพื่อความสะดวก คุ้มค่า และประทับใจตลอดการเดินทางเพื่อปฏิบัติหน้าที่

สมาชิก Fun Rewards ที่สำรองบัตรโดยสารสำหรับภาครัฐและองค์กร สามารถสะสมเหรียญ Fun Coin ได้แล้ววันนี้ ทุกเส้นทางบินในประเทศ เริ่มต้นที่ 250 เหรียญต่อเที่ยว สำหรับชั้น Deluxe และ 350 เหรียญ สำหรับชั้น SkyBoss หากจองเที่ยวบินแบบไป – กลับ จะได้รับ 500 เหรียญ และ 700 เหรียญตามลำดับ พิเศษยิ่งกว่า! สำหรับเส้นทางหาดใหญ่ รับเหรียญสะสมสองเท่า เริ่มต้นที่ 500 เหรียญต่อเที่ยว สำหรับชั้น Deluxe และ 700 เหรียญ สำหรับชั้น SkyBoss หรือสูงสุด 1,000 เหรียญ และ 1,400 เหรียญเมื่อจองเที่ยวบินแบบไป – กลับ

 

ผู้โดยสารสามารถใช้เหรียญ Fun Coin เป็นส่วนลดในการจองเที่ยวบินครั้งถัดไปผ่านเว็บไซต์ www.vietjetair.com หรือแอปพลิเคชัน Vietjet Thailand (เริ่มใช้ได้ขั้นต่ำตั้งแต่ 100 เหรียญขึ้นไป) นอกจากนี้ ยังสามารถแลกรับสิทธิพิเศษจากแบรนด์พันธมิตร เช่น เต่าบิน (TaoBin) ท็อปส์ (Tops) โลตัส (Lotus) ลาซาด้า (Lazada) เอวิส (AVIS) เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ (Major Cineplex) และอื่น ๆ ผ่าน LINE Official @ThaiVietjet โดยเลือกเมนู "สมาชิก FUN Rewards"

แคมเปญพิเศษนี้เปิดให้จองระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม – 31 สิงหาคม 2568 และสามารถเดินทางได้ถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 โดยผู้โดยสารต้องสมัครเป็นสมาชิก Fun Rewards ก่อนทำการจอง เพื่อรับสิทธิ์สะสมเหรียญ Fun Coin ซึ่งจะถูกโอนเข้าบัญชีสมาชิกภายใน 30 วันหลังจากการสำรองบัตรโดยสาร

ผู้โดยสารภาครัฐและองค์กรสามารถแสดงบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ เพื่อสำรองบัตรโดยสารราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 1,680 บาท (ราคารวมภาษีและค่าธรรมเนียม) ณ ห้องจำหน่ายบัตรโดยสารของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ที่มีเที่ยวบินให้บริการ ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ หรือช่องทางจำหน่ายอย่างเป็นทางการอื่น ๆ แคมเปญนี้ออกแบบมาให้มีความยืดหยุ่นและสะดวกสบาย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเดินทางเพื่อภารกิจหรือธุรกิจเร่งด่วน

เวียตเจ็ทไทยแลนด์มุ่งมั่นให้บริการด้วยมาตรฐานคุณภาพ ความปลอดภัย ตรงต่อเวลา ราคาที่เข้าถึงได้ และการบริการที่อบอุ่นเป็นมิตร เพื่อให้ทุกการเดินทางของผู้โดยสารภาครัฐและองค์กรเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจตั้งแต่ต้นจนถึงปลายทาง ปัจจุบัน สายการบินฯ ให้บริการ 11 เส้นทางบินหลักภายในประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) สู่ เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต กระบี่ อุดรธานี หาดใหญ่ ขอนแก่น อุบลราชธานี และสุราษฎร์ธานี รวมถึงเส้นทางข้ามภูมิภาคอย่าง ภูเก็ต – เชียงใหม่ และ เชียงราย พร้อมเส้นทางบินระหว่างประเทศที่หลากหลายทั่วภูมิภาคเอเชีย

ผู้โดยสารสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เคาน์เตอร์จำหน่ายบัตรโดยสารของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ทั่วประเทศ หรือติดต่อทีมฝ่ายขายของสายการบินฯ ผ่าน LINE Official: @vzthsales

ตลาดหุ้นฮ่องกงกลายเป็นที่หมายปองของบริษัทจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนหรือ IPO โดยในช่วงครึ่งปีแรกนี้ตลาดหุ้นฮ่องกงขึ้นครองอันดับหนึ่งของโลกในฐานะตลาด IPO ด้วยมูลค่า IPO รวมกว่า 13,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (กว่า 4 แสนล้านบาท) ประกอบกับ Hong Kong Exchanges and Clearing Limited (HKEX) ผู้ให้บริการตลาดหลักทรัพย์ในศูนย์กลางการเงินแห่งเอเชียแห่งนี้ ได้ปฏิรูปกรอบการดำเนินงานและกฎเกณฑ์การจดทะเบียนบริษัทหลายประการ ทำให้สามารถขับเคลื่อนกิจกรรมการระดมทุนได้อย่างทรงพลังและต่อเนื่อง

Innovative Food and Beverage Holding (IFBH) Limited ผู้ผลิตเครื่องดื่มของไทยได้ จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง เสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการจดทะเบียนแบบ Primary Listing เพื่อซื้อขายในกระดานหลัก ทั้งนี้ บริษัท IFBH Limited ได้ระดมทุนไปแล้วกว่า 140 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (กว่า 4,500 ล้านบาท) IFBH Limited กลายเป็นหนึ่งในบริษัทจำนวนร้อยกว่าแห่งจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ซึ่งทำให้สามารถเข้าถึงตลาดทุนที่มีสภาพคล่องสูง โดยหากดูสัดส่วนบริษัทจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นับตั้งแต่ปี 2557 ถึง 2566 จะพบว่า จากบริษัททั้งหมด 163 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ มีจำนวนถึง 83 แห่งที่เลือกจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (ข้อมูลจากรายงานวิจัยร่วมระหว่าง DealStreetAsia และ HKEX)

 

ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการซื้อขายและระดมทุนที่คึกคักที่สุดในเอเชีย ด้วยมูลค่าการซื้อขาย เฉลี่ยต่อวัน (ADT: average daily turnover) มากกว่า 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณหนึ่งล้านล้านบาท) นับตั้งแต่ต้นปี หนึ่งในห้าของปริมาณการซื้อขายมาจากนักลงทุนในจีนแผ่นดินใหญ่ผ่านระบบ “Stock Connect” ที่เชื่อมโยงกับตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น

Stock Connect เป็นระบบการซื้อขายระหว่างตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง และตลาดหลักทรัพย์จีนแผ่นดินใหญ่ (เซี่ยงไฮ้ และ เซินเจิ้น) ช่วยให้นักลงทุนจากทั้งสองตลาดสามารถซื้อขายหุ้นของอีกฝ่ายได้ ระบบ Stock Connect ทำให้ฮ่องกงเป็นตลาดสากลเพียงแห่งเดียวที่นักลงทุนทั่วโลกและนักลงทุนจากจีนแผ่นดินใหญ่สามารถซื้อขายหุ้นร่วมกันได้โดยตรง บริษัทต่างชาติที่จดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นฮ่องกงมีสิทธิ์ระดมทุนจากระบบ Stock Connect ได้ก็ต่อเมื่อผ่านเกณฑ์ที่กำหนด

นอกเหนือจากการจดทะเบียนหลักทรัพย์หลักหรือ Primary Listing HKEX ยังเปิดรับจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์รอง หรือ Secondary Listing สำหรับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดอื่นเป็นตลาดแรกไปแล้ว การจดเทะเบียนแบบ Secondary Listing เป็นการเปิดช่องทางระดมทุนเพิ่มเติม โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การที่ HKEX ให้การยอมรับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย (IDX) ในฐานะ “ตลาดหลักทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับ” (RSE: Recognised Stock Exchanges) ทำให้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดทั้งสองแห่งนี้เป็นตลาดแรกไปแล้ว สามารถ จดทะเบียนแบบ Secondary Listing หรือจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเป็นตลาดรองเพื่อเข้าถึงนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นได้

การจดทะเบียนแบบ Secondary Listing มีข้อกำหนดด้านกฎระเบียบน้อยกว่าและต้นทุนที่ต่ำกว่า เมื่อเทียบกับการจดทะเบียนแบบ Primary Listing และยังสามารถเข้าถึงฐานนักลงทุนขนาดใหญ่หลากหลายกลุ่มในตลาดฮ่องกงได้เช่นกัน บางบริษัทเริ่มจากจดเข้า Secondary Listing ก่อน แล้วแปลงสถานะย้ายมาจดเข้า primary listing ในภายหลัง เพื่อให้ได้สิทธิ์เข้าสู่การซื้อขายผ่าน Stock Connect ทั้งนี้ จากสถิติของ HKEX พบว่า บริษัทที่มีสิทธิ์เข้าถึงนักลงทุนจีนโดยผ่านระบบ Stock Connect มักจะมีมูลค่าการซื้อขายหุ้นต่อวันที่สูงขึ้น โดยบริษัทที่จดทะเบียนหลักที่ตลาดหุ้นฮ่องกง หรือ Primary Listing จะสามารถเข้าถึงนักลงทุนจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ได้

 

คำอธิบายภาพ - ฮ่องกงครองอันดับหนึ่งของโลกในฐานะแหล่งระดมทุนผ่าน IPO ในครึ่งแรกของปี 2568

แหล่งเงินทุนในฮ่องกงไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะการระดมทุนผ่าน IPO เท่านั้น แต่ยังมีตลาดรองที่มีสภาพคล่องสูง ซึ่งเอื้อต่อการระดมทุนเพิ่มเติมในอนาคตอีกด้วย (follow-on fundraising) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 บริษัทจดทะเบียนในฮ่องกงสามารถระดมทุนเพิ่มเติมรวมกันแล้วมากกว่า 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณหนึ่งล้านล้านบาท) โดยกว่าหนึ่งในสามของธุรกรรมทั้งหมดในตลาดตราสารทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อยู่ที่ฮ่องกงนี้เอง ตอกย้ำสถานะของฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศชั้นนำของภูมิภาค

นอกจากนี้ การปฏิรูปกฎระเบียบการจดทะเบียนหลักทรัพย์ช่วงปี 2561 ทำให้บริษัทกลุ่ม “new economy” มองฮ่องกงเป็นแหล่งระดมทุนอันดับแรก ๆ โดยจากสถิติพบว่าบริษัทในกลุ่มธุรกิจสุขภาพ (healthcare) เทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคม (TMT) มากกว่า 350 ราย นับรวมกันแล้วสามารถระดมทุนได้มากกว่า 135,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.4 ล้านล้านบาท) และล่าสุดทาง HKEX ได้ต่อยอดความสำเร็จนี้ด้วยการเพิ่มบทบัญญัติ (chapter) บทใหม่เข้าไปในกฎเกณฑ์การจดทะเบียนบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ ให้รองรับธุรกิจในกลุ่ม “เทคโนโลยีเฉพาะทาง” (Specialist Technology) เป็นการเฉพาะตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา เช่นธุรกิจด้านปัญญาประดิษฐ์ พลังงานรูปแบบใหม่ และวัสดุขั้นสูง ดังนั้น ตลาดหุ้นฮ่องกงจึงนับได้ว่ามีระบบนิเวศที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วสำหรับบริษัทกลุ่ม new economy พร้อมดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลกที่มองหาโอกาสการลงทุนและการเติบโตใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงได้ทางเว็บไซต์ HKEX

Crescendo Lab ผู้นำด้านแพลตฟอร์มการสื่อสารทางธุรกิจแห่งเอเชีย ประกาศ 3 ความสำเร็จครั้งสำคัญที่ช่วยเร่งการเติบโตในประเทศไทย: (1) ได้รับการรับรองเป็น LINE Thailand Expert Developer Partner ซึ่งมีเพียง 4 บริษัทในประเทศไทยที่ได้รับระดับนี้ (2) ปรับกลยุทธ์องค์กรสู่ AI-First เต็มรูปแบบ โดย “ใช้ AI ในการสร้างผลิตภัณฑ์ และสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็น AI” ซึ่งทุกการเปิดตัวนับจากนี้จะขับเคลื่อนด้วยโมเดล AI ขั้นสูง (3) เปิดตัว กลยุทธ์ AI สองแกนหลัก (Dual-Track AI Strategy) ผ่านผู้ช่วยอัจฉริยะ “AiMon” ซึ่งคาดว่าจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้ภาคการเงินของไทยได้ถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 5.15 หมื่นล้านบาท) ต่อปี

ความสำเร็จนี้ส่งผลให้ Crescendo Lab เป็นผู้ให้บริการ SaaS เพียงรายเดียวในเอเชียที่ครองสถานะ LINE Expert Partner ทั้งในประเทศไทย และ LINE Gold Tech Partner ในไต้หวันในคราวเดียวกัน คว้าโอกาสจากผู้ใช้ LINE 56 ล้านคน: Crescendo Lab ได้รับการรับรองสถานะ Expert Developer Partner

จากข้อมูลของ DataReportal ณ เดือนมกราคม 2568 ประเทศไทยมีผู้ใช้งาน LINE ต่อเดือน (Monthly Active Users) ถึง 56 ล้านคน หรือคิดเป็น 85.7% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งประเทศ ทำให้ LINE กลายเป็นช่องทางหลักในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าสำหรับธุรกิจธนาคารและประกันภัย การได้รับสถานะ LINE Thailand Expert Developer Partner ซึ่งเป็นระดับสูงสุดด้านเทคนิคของโปรแกรมนี้ ตอกย้ำความเชี่ยวชาญของ Crescendo Lab ในฐานะผู้ให้บริการเพียงรายเดียวที่นำเสนอโซลูชัน SaaS ที่เป็น AI-Native อย่างแท้จริง ด้วยการทำงานร่วมกันของแพลตฟอร์ม MAAC (Marketing Automation & Analytics Cloud) และ CAAC (Conversational AI & Analytics Cloud) ช่วยให้องค์กรในไทยสามารถใช้ LINE เพื่อสร้างประสบการณ์ด้านการตลาดและบริการลูกค้าที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้อย่างสมบูรณ์ภายในไม่กี่วัน และใช้ประโยชน์จากฐานผู้ใช้ขนาดมหาศาลเพื่อต่อยอดทางธุรกิจ

“AiMon” ผู้ช่วยอัจฉริยะที่ฝังอยู่ใน MAAC และ CAAC: ยกระดับการตลาด การบริการและการขายแบบ Plug-and-Play

AiMon พร้อมใช้งานใน 3 บทบาทสำคัญสำหรับองค์กร:

● ผู้ช่วยนักการตลาด AI (AI Marketing Assistant): เปลี่ยนข้อความร่างให้เป็นแคมเปญการตลาดที่สร้างยอดขายได้จริงบน LINE OA และ SMS โดยผสานโทนของแบรนด์เข้ากับข้อมูลแบบเรียลไทม์

● ผู้ช่วยบริการลูกค้า AI (AI Customer-Service Assistant): ตอบคำถามที่พบบ่อยได้มากกว่า 80% ลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ลงกว่าครึ่ง พร้อมส่งต่อเคสที่ซับซ้อนให้มนุษย์ได้อย่างไร้รอยต่อ

● ผู้ช่วยฝ่ายขาย AI (AI Sales Assistant): ติดตามพฤติกรรมและความสนใจซื้อของลูกค้า เพื่อระบุกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะซื้อสูง ช่วยให้ทีมขายเข้าถึงลูกค้าได้ในจังหวะที่สำคัญที่สุด

AI มาตรฐาน ISO การันตีช่วยภาคการเงินไทยประหยัด 1.4 พันล้านดอลลาร์ต่อปี

KPMG คาดการณ์ว่า การนำ AI มาใช้อย่างเต็มรูปแบบจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานของภาคธนาคารและประกันภัยในไทยได้ถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยส่วนที่จะประหยัดได้มากที่สุดคือศูนย์บริการลูกค้า (Contact Center) และกระบวนการในสำนักงาน (Back-office) โซลูชันของ Crescendo Lab ซึ่งประกอบด้วยสองแพลตฟอร์มหลัก ได้ผ่านมาตรฐาน ISO 27001 และ SOC 2 ทั้งยังสอดคล้องกับกรอบความปลอดภัยของ LINE ทำให้สถาบันการเงินสามารถนำเทคโนโลยี Generative AI, Semantic Search และ Smart Routing ไปใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องเพิ่มความซับซ้อนด้านไอที ซึ่งไม่เพียงช่วยประหยัดต้นทุน แต่ยังสร้างความมั่นใจด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบอีกด้วย

 Muang Thai Life: ยกระดับการมีส่วนร่วมกับผู้ติดตามกว่า 40 ล้านคนบน LINE ด้วย AI อัจฉริยะ

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจประกันชีวิต และสุขภาพของประเทศไทยมากว่า 74 ปี มุ่งมั่นพัฒนาองค์กรสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

จากความสำเร็จในการบริหารจัดการ นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ และการบริการลูกค้า เมืองไทยประกันชีวิตได้รับรางวัลสำคัญ อาทิ รางวัลประกันภัยเกียรติยศสูงสุด (Hall of Fame) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 และ THAILAND TOP COMPANY AWARDS 2025 ประเภทอุตสาหกรรมประกันชีวิต ต่อเนื่องปีที่ 7 ตอกย้ำศักยภาพองค์กรที่เข้าใจและเข้าถึงความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจสู่มาตรฐานใหม่ในยุคดิจิทัล

หนึ่งในก้าวสำคัญคือ การนำเทคโนโลยี AI มาเสริมศักยภาพบนแพลตฟอร์ม LINE ที่มีผู้ติดตามกว่า 40 ล้านคน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารและสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าอย่างรวดเร็ว ตรงจุด และตรงใจ (อ้างอิง: LINE Official Muang Thai Life, Muang Thai Life Website)

เมืองไทยประกันชีวิตยังร่วมมือกับ Crescendo Lab นำฟีเจอร์ AI Smart Sending มาใช้ ส่งผลให้อัตราการเปิดอ่านข้อความเพิ่มสูงถึง 75% สะท้อนความสำเร็จในการใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนการสื่อสาร และตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมดิจิทัลของบริษัทในธุรกิจประกันชีวิตไทยและระดับภูมิภาค

เส้นทางสู่การเป็น AI-First: ต่อยอดพอร์ตโฟลิโอ AI ของ Crescendo Lab ทั่วทั้งองค์กร

จิน เสวีย(JinHsueh), ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Crescendo Lab กล่าวว่า ทาง Crescendo Lab ได้กำหนดให้กลยุทธ์ AI-First เป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านองค์กร โดยยึดมั่นในแนวทาง “ใช้ AI ในการสร้างผลิตภัณฑ์และสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็น AI” ซึ่งเป้าหมายของเราคือการมอบ AI ที่ปลอดภัยและคุ้มค่าให้กับองค์กรในไทย ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้ทันทีและขยายขนาดได้ตามความต้องการทางธุรกิจ

“บริษัทจะฝังโมเดล AI ขั้นสูงไว้ในทุกการอัปเดตผลิตภัณฑ์ พร้อมพัฒนาสู่การเป็นที่ปรึกษาอัจฉริยะสำหรับองค์กร (AI Enterprise Advisors) ซึ่งจะเปลี่ยนจากการตอบสนองเชิงรับไปสู่การเป็น "สมองกลใหม่ขององค์กร" ที่สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกได้ในเชิงรุก แพลตฟอร์มทั้งหมดถูกสร้างขึ้นบนมาตรฐานความปลอดภัยระดับเดียวกับสถาบันการเงินและสอดคล้องกับข้อบังคับต่างๆ เพื่อขจัดอุปสรรคในการนำ AI ไปใช้ พร้อมส่งมอบคุณค่าทางธุรกิจที่วัดผลได้จริง” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Crescendo Lab กล่าวทิ้งท้าย

สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT) ชวนเยาวชนระดับมัธยมปลาย ปวช., ปวส. และมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เข้าร่วมโครงการ “SDGs Young Creator 2025” เรียนรู้ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals – SDGs) ควบคู่การพัฒนาทักษะการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์ พร้อมโอกาสลง สนามจริงเพื่อทำหน้าที่เป็นนักสื่อสารเยาวชนในงาน GCNT EXPO 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นวันที่ 29-31 กรกฎาคมนี้ ณ True Digital Park กรุงเทพฯ

จากรายงาน Sustainable Development Report 2024 โดย Sustainable Development Solutions Network (SDSN) พบว่า ขณะนี้มีเพียง 16% ของเป้าหมายย่อยของ SDGs ที่มีแนวโน้มจะบรรลุผล ภายในปี ค.ศ. 2030 ในขณะที่ 67% ยังไม่คืบหน้า และ 15% ถดถอย ซึ่งการลงทุนกับ “ทุนมนุษย์” โดยเฉพาะเยาวชน คือหัวใจสำคัญในการเร่งขับเคลื่อนเป้าหมายดังกล่าว

ดร.ธันยพร กริชติทายาวุธ ผู้อำนวยการ GCNT เปิดเผยว่า “โปรแกรม SDGs Young Creator 2025 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “เยาวชนสร้างสื่อ ขับเคลื่อน SDGs” มุ่งเปิดพื้นที่เรียนรู้เพื่อสร้างความเข้าใจ SDGs 17 ข้อของสหประชาชาติกับคนรุ่นใหม่ โดยใช้ทักษะการสื่อสารเป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแพร่เรื่องราวของการเปลี่ยนแปลง ทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมสู่สาธารณชน ผ่านกิจกรรมเชิงปฏิบัติการในภาคสนาม โดยเปิดโอกาสให้เยาวชนได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืนและสื่อมวลชนชั้นนำ และเผยแพร่ผลงานผ่านช่องทางของ GCNT เยาวชนมีพลัง ความคิดสร้างสรรค์ และศักยภาพที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง หากได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสม โครงการนี้จึงเป็นโอกาสให้ได้เรียนรู้ ลงมือทำ และเติบโตเป็นนักสื่อสารความยั่งยืน ที่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกในสังคมได้อย่างแท้จริง” ดร.ธันยพร กล่าว

โปรแกรม SDGs Young Creator เปิดรับนักเรียน นักศึกษา ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ปวช, ปวส และมหาวิทยาลัย ที่สนใจเรียนรู้เกี่ยวกับ SDGs และสนใจงานด้านการสื่อสาร การผลิตสื่อ อาทิ การเขียนข่าว บทความ ถ่ายภาพ ผลิตวีดีโอ ออกแบบกราฟิก ฯลฯ สามารถรวมกลุ่ม 2 - 10 คน ร่วมกันผลิตวิดีโอ 1 นาที สื่อสารเรื่องราวใกล้ตัวที่เกี่ยวข้องกับ SDGs 1 เป้าหมายในช่องทางโซเชียลมีเดียของตนเอง โดยสามารถนำเสนอได้ทั้งสถานการณ์ (Situation) หรือแนวทางแก้ปัญหา (Solution) และลงทะเบียนเรียนคอร์สออนไลน์ด้านความยั่งยืน Thai SDGs Micro-Primer ของสหประชาชาติในประเทศไทย (United Nations in Thailand) รวมทั้งยังได้เข้าร่วม The SDGs Young Creator Workshop เพื่อเรียนรู้เทคนิคการผลิตสื่อประเภทต่างๆ จากผู้เชี่ยวชาญในแวดวงสื่อสารมวลชนก่อน และปฏิบัติการลงมือสื่อสารความยั่งยืนในงาน GCNT EXPO 2025 วันที่ 29-31 กรกฎาคมนี้ ณ True Digital Park กรุงเทพฯ

“GCNT มุ่งหวังว่าเยาวชนที่เข้าร่วมจะได้พัฒนาศักยภาพด้านความยั่งยืนและด้านการสื่อสาร จากผู้เชี่ยวชาญในแวดวงการพัฒนาที่ยั่งยืนและวงการสื่อสารมวลชน รวมถึงสามารถนำไปต่อยอดและส่งต่อในวงกว้าง ซึ่งนอกจากจะได้รับประกาศนียบัตรจากสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT) และเงินรางวัล

Top Engagement สูงสุด 3 อันดับแรกแล้ว พิเศษ สำหรับผู้ที่เรียนจบคอร์สออนไลน์ Thai SDGs Micro-Primer ยังได้รับประกาศนียบัตรจากสหประชาชาติในประเทศไทย (United Nations in Thailand) รวมทั้งยังมีโอกาสเข้าร่วมกับเครือข่ายเยาวชนด้านความยั่งยืนของ GCNT ด้วย” ดร. ธันยพร กล่าวทิ้งท้าย

เยาวชนที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโปรแกรม SDGs Young Creator ได้แล้ววันนี้ – 15 กรกฎาคมนี้ ที่เว็บไซด์ www.globalcompact-th.com รวมพลังเร่งสร้างโลกที่ยั่งยืน 

กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ โดยธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)  จัดโครงการ กล้าใหม่...ใฝ่รู้ ปีที่ 20 ประจำปี 2568 เพื่อเป็นเวทีโอกาสในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของเยาวชน โดยเชิญชวนสถาบันการศึกษาส่งทีมเข้าร่วมแข่งขัน

นายวรวัจน์ สุวคนธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานทรัพยากรบุคคล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเยาวชนและส่งเสริมการเรียนรู้ โดยจัดกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง โครงการ “กล้าใหม่...ใฝ่รู้” เป็นหนึ่งในโครงการหลักที่ดำเนินการโดยธนาคารไทยพาณิชย์ จากจุดเริ่มต้นของโครงการเมื่อปี 2549 ในการเปิดเวทีสร้างโอกาสให้เยาวชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเหมาะสมกับช่วงชั้นเรียนและช่วงอายุ ตลอด 20 ปี โครงการ “กล้าใหม่...ใฝ่รู้” ได้มีปรับกระบวนการและวิธีการแข่งขันมาโดยตลอด เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัย มีการพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21 โดยเน้นพัฒนาคุณลักษณะที่ดี 4 ด้าน (4 Cs) ได้แก่ การคิดแบบวิจารณญาณ (Critical Thinking) การสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจกับกลุ่มเป้าหมาย (Communication) การทำงานเป็นทีม (Collaboration) และความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) มุ่งเน้นให้เยาวชนได้ลงมือปฏิบัติเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ พร้อมส่งเสริมให้มีจิตสาธารณะทำประโยชน์เพื่อชุมชนและสังคมส่วนรวม ปลูกฝังให้เป็นพลเมืองที่ดี มีคุณธรรม เป็นทั้งคนดีและคนเก่ง เพื่อที่จะเติบโตไปเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่าและเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต นอกจากนี้ ยังได้จัดกิจกรรมเสริมให้แก่ครู อาจารย์ที่นำเยาวชนมาร่วมแข่งขัน เพื่อให้สามารถนำความรู้ เทคนิค วิธีการไปปรับการเรียนการสอนและเผยแพร่แก่เยาวชนในโรงเรียนต่อไปด้วย ที่ผ่านมาธนาคารได้ปลูกต้นกล้าเยาวชนไปแล้ว 66,440 คน มีสถาบันการศึกษาเข้าร่วม 10,754 สถาบัน ได้มีส่วนร่วมพัฒนาครู 15,665 คน สร้างประโยชน์แก่ชุมชน 350 ชุมชนทั่วประเทศ”

 

โครงการ “กล้าใหม่...ใฝ่รู้” ปีที่ 20 จัดการแข่งขัน 2 ประเภท ได้แก่

1. ระดับประถมศึกษา - การแข่งขันสร้างสรรค์จินตนาการผ่านศิลปะ ปีนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “เด็กกล้าใหม่...รู้เวลา สร้างโอกาส สู่อนาคต” ซึ่งไม่ใช่แค่การประกวดศิลปะ แต่ยังได้พัฒนา “ทักษะและคุณธรรม” ไปพร้อม ๆ กัน พร้อมเข้าร่วมกิจกรรม Workshop กับวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิระดับชาติ ได้แก่ ดร.สังคม ทองมี ผู้อำนวยการศูนย์ศิลป์สิรินธร ผศ.ดร.อภิชาติ พลประเสริฐ หัวหน้าภาควิชาศิลปะ ดนตรีและนาฏศิลป์ศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร.ปทุมมา บำเพ็ญทาน อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เป็นต้น

2. ระดับมัธยมศึกษาและระดับอาชีวศึกษา - การแข่งขันโครงงานนวัตกรรมสีเขียวสู่ความยั่งยืนในยุค AI เพื่อพัฒนาชุมชนหรือผู้ประกอบการโดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มุ่งส่งเสริมให้เยาวชนนำทักษะ ความรู้ และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากในห้องเรียนมาประยุกต์ใช้ผ่านการลงมือทำ โดยจัดทำโครงงานนวัตกรรมสีเขียว เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและแก้ไขปัญหาของชุมชนและผู้ประกอบการ ตามแนวทาง ESG ที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยธนาคารจะมีนักวิจัย และผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำตลอดการดำเนินโครงงาน

สถาบันการศึกษาที่สนใจ สามารถศึกษาคู่มือ เตรียมความพร้อม และสมัครได้ทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ https://klamaifairoo.phonlamuangdee.com ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 15 สิงหาคม 2568 ติดตามรายละเอียดหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 095-461-4261 หรือ Facebook : SCB Challenge “กล้าใหม่...ใฝ่รู้”

X

Right Click

No right click