December 18, 2025

บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK เดินหน้าขยายทีมคนรุ่นใหม่สายไอทีเสริมทัพองค์กรกว่า 100 ตำแหน่ง เพื่อสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถและความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัล รองรับการให้บริการลูกค้าองค์กรที่มากขึ้น หลังธุรกิจโตแกร่งรับเทรนด์องค์กรมุ่งทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน

 

นายปกรณ์ เจียมสกุลทิพย์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ การจัดการนวัตกรรมและเทคโนโลยี และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของ บริษัท ออร์บิท ดิจิทัล จำกัด (ORBIT Digital) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบลูบิค และบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ในการผลักดันให้ OR เป็นผู้นำด้านดิจิทัลในอุตสาหกรรมค้าปลีก เปิดเผยว่า ท่ามกลางกระแสดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชัน ทำให้องค์กรต้องเร่งยกระดับศักยภาพด้านเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ส่งผลให้บลูบิค ในฐานะผู้ช่วยการทรานส์ฟอร์มธุรกิจ ต้องเร่งขยายทีมงาน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่มากขึ้น พร้อมมุ่งสู่เป้าหมายการก้าวเป็นผู้นำบริษัทที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในระดับภูมิภาค

ดังนั้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว บลูบิค จึงต้องมีทีมบริหารและเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาบริการที่สามารถแข่งขันได้ในทุกตลาดได้อย่างทันการณ์และทันสมัยที่สุด ภารกิจสำคัญของบริษัทจึงเป็นการขยายทีมงานที่ดูแลด้านการพัฒนาระบบดิจิทัลและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี หรือ Digital Excellence and Delivery (DX) เพื่อยกระดับการส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลในด้านต่างๆ ให้ลูกค้า

"พนักงานที่มีคุณภาพและความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยี ถือเป็นหัวใจหลักขับเคลื่อนการทรานส์ฟอร์มธุรกิจ บลูบิคจึงต้องการขยายทีมไอทีเพื่อเข้าไปช่วยลูกค้าองค์กร เพื่อให้การทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง ช่วยลดต้นทุนการสรรหาบุคลากรใหม่ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างการเติบโตในระยะยาว" นายปกรณ์ กล่าว

นายปกรณ์ เสริมว่า โดยปกติแล้วภารกิจด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันจะเป็นโครงการขนาดใหญ่มาก ซึ่งกระบวนการนี้จะเข้าไปแตะทุกภาคส่วนภายในองค์กร บลูบิคในฐานะที่ปรึกษาจึงต้องช่วยธุรกิจเตรียมความพร้อมในด้านเทคโนโลยี โดยทีม DX จะเข้าไปมีบทบาทเข้มข้นในส่วนสำคัญต่างๆ เกี่ยวกับการพัฒนาขีดความสามารถของฝ่าย

ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีโดยตรง เช่น การยกระดับแผนกงานด้านไอทีของธุรกิจต่างๆ ที่เคยเป็นหน่วยงานเชิงรับ ให้เริ่มเป็นส่วนงานที่สร้างรายได้หรือสามารถสร้างและดูแลระบบดิจิทัลให้กับฝ่ายธุรกิจขององค์กรได้ หรือเข้าไปช่วยลดเวลาในการออกแบบและพัฒนาระบบขนาดใหญ่ เป็นต้น

ในปัจจุบัน บลูบิคมีพนักงานกว่า 150 คน และให้บริการลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ ครอบคลุมธุรกิจในหลากหลายภาคอุตสาหกรรม เช่น ธนาคาร ประกันภัย ค้าปลีก โทรคมนาคม เป็นต้น โดยบลูบิคมีอัตราการเติบโตแข็งแกร่ง ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีรายได้จากการขายและบริการ 126.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิ 30.06 ล้านบาท คิดเป็นอัตราทำกำไรสุทธิที่ 23.67%

ทั้งนี้ บลูบิคมุ่งเน้นการเป็นที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันแบบครบวงจร บริษัทจึงเปิดโอกาสให้กับบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งนั้นๆ ดังต่อไปนี้

 

- สายงานด้านการพัฒนาระบบดิจิทัลและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี (Digital Excellence and Delivery: DX) เช่น Software Engineer, Business Analyst, UX/UI Designer, Technical Lead, Software Tester, IT Project Manager, System Analyst, Solution Architect, Infrastructure Engineer

- สายงานด้านการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (Advanced Insights) เช่น Data Scientist, Data Engineer, Cloud Architect, Data Architect, Data Governance, Data Consultant

 

นายปกรณ์ เสริมว่า สำหรับตำแหน่งงานที่เปิดรับจะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนการดำเนินงานทั้งในส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับบริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท ออร์บิท ดิจิทัล จำกัด และบริษัท แอดเดนด้า จำกัด ซึ่งทำหน้าที่จัดหาและบริหารบุคลากรชั่วคราวด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT staff augmentation) เพื่อเข้าไปช่วยลูกค้าองค์กรในการยกระดับศักยภาพด้านเทคโนโลยี โดยให้บริการส่งบุคลากรไปปฏิบัติงานประจำ ณ ที่ตั้งของลูกค้า หรือสถานที่ที่ลูกค้ากำหนดตลอดระยะเวลาจ้างงาน ซึ่งบริการดังกล่าวนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มความคล่องตัว มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญที่หลากหลาย โดยเฉพาะการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันเข้าไปขับเคลื่อนแผนงานอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง

จุดเด่นของบลูบิคคือมาตรฐานการทำงานที่เทียบเท่ากับบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลก มุ่งสร้างและส่งมอบงานที่ดีที่สุดให้ลูกค้าองค์กร ขณะเดียวกันยังมีวัฒนธรรมการทำงานแบบสตาร์ทอัพที่ยืดหยุ่นและเปิดกว้างให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ ด้วยรูปแบบโครงสร้างองค์กรแบบราบ หรือ Flat organization จึงทำให้พนักงานได้เรียนรู้และพัฒนาฝีมืออย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ความก้าวหน้าในสายงานและการเลื่อนขั้นจึงขึ้นอยู่กับความสามารถของพนักงานมากกว่าความอาวุโส

นอกจากนี้ บลูบิค ยังมีแผนลงทุนในการสร้างศูนย์การพัฒนาทักษะ (Learning Academy Center) ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการเสร็จเรียบร้อยภายในไตรมาส 2 ปี 2565 สำหรับให้บุคลากรได้เรียนรู้เนื้อหาขั้นสูงและทดลองปฏิบัติจริง เช่น Solution architect, Cloud Technology, Artificial Intelligence และ Blockchain เป็นต้น เพื่อสร้างทักษะและประสบการณ์ของบุคลากร ซึ่งสามารถนำไปช่วยพัฒนาบริการให้แก่ลูกค้าในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน

“โฟร์เกิ้ล” (Fourgle) บริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติไทย โชว์ศักยภาพคว้าทุนรอบ Seed Fund จำนวน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เดินหน้าพัฒนาแพลตฟอร์มคอมมูนิตี้รูปแบบใหม่ เชื่อมต่อผู้มีความสนใจเดียวกัน อินฟลูเอนเซอร์ ผู้ประกอบการ และแบรนด์ต่างๆ นำร่องเปิดตัว CookKlick (คุกคลิก) คอมมูนิตี้ของคนชอบทำอาหารและเบเกอรี่ เป็นชุมชนแรก พร้อมเตรียมขยายธุรกิจสู่เป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นผ่านการระดมทุนในระดับ Series A ภายในปี 65

ดร.อนุชิต อนุชิตานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ก่อตั้ง บริษัท โฟร์เกิ้ล (ประเทศไทย) จำกัด สตาร์ทอัพผู้พัฒนา Community Content Platform เปิดเผยว่า โฟร์เกิ้ล” (Fourgle) ได้เริ่มการพัฒนาแอปพลิเคชั่นรูปแบบใหม่ตั้งแต่ต้นปี 2021 ด้วยการใช้เทคโนโลยี Big data และ Machine Learning เป็นเทคโนโลยีหลัก ในการสร้างคอมมูนิตี้รูปแบบเชิงลึกหรือ Vertical Social Community ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากและประสบความสำเร็จจากการระดมทุนครั้งแรกรอบ Seed Fund จาก Angle Investor เป็นมูลค่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้บริษัทฯมีมูลค่าหลังการระดมทุนกว่า 400 ล้านบาท

“สืบเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ผู้คนมีการสื่อสาร แบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์เรื่องต่างๆ บนออนไลน์มากขึ้น มีการสร้างพื้นที่เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเกิดการสร้างคอมมูนิตี้ออนไลน์ในเรื่องต่างๆเพิ่มสูงขึ้น สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ ข้อมูลในคอมมิวนิตี้ต่างเป็นข้อมูลเชิงลึก หลายคอนเท้นต์ที่เกิดขึ้นนับได้ว่ามีมูลค่าและความหลากหลายมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตและธุรกิจ ไม่ว่าจะกระตุ้นการตัดสินใจ สร้างกระแสความนิยม ความรู้ความเข้าใจ ช่วยการสร้างแบรนด์ ตลอดจนช่วยกระตุ้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้เป็นอย่างดี”

Fourgle เป็นศูนย์รวมคอมมูนิตี้ที่สร้างปฏิสัมพันธ์ในเชิงลึก การเป็นพื้นที่พูดคุย แหล่งรวมข้อมูลของความสนใจหัวข้อต่างๆ พร้อมให้ผู้คนคอนเน็คกันด้วยฟีเจอร์มากมาย นอกจากนั้นยังสามารถแลกเปลี่ยนไอเดียต่างๆ การเปิดประสบการณ์ใหม่จากการค้นหาข้อมูลและเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสามารถต่อยอดสร้างรายได้จากการพัฒนาคอนเทนต์ภายในคอมมูนิตี้นั้นๆ ได้อีกด้วย

แอปพลิเคชั่น Fourgle จะเริ่มต้นด้วยการสร้างคอมมูนิตี้สำหรับกลุ่มคนที่ชื่นชอบในการทำอาหารและเบเกอรี่เป็นคอมมูนิตี้แรก ภายใต้ชื่อ CookKlick (คุกคลิก) ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงคอมมูนิตี้ให้มีความใกล้ชิดกันมากขึ้นผ่านฟังก์ชั่นที่หลากหลายทั้งการสอบถามแลกเปลี่ยน การแบ่งปันไอเดีย ความรู้ และสูตรการทำอาหาร ตอบโจทย์ในการแชร์ข้อมูล คอนเทนต์ และข่าวสารที่น่าสนใจระหว่างผู้ใช้งาน รวมถึงเป็นสื่อกลางในการเชื่อมต่อระหว่างคนที่มีแพสชั่นเดียวกัน นักรีวิว มือสมัครเล่น อินฟลูเอนเซอร์ ผู้ประกอบการ และแบรนด์ต่างๆ ได้อย่างครบวงจร ให้แลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ง่ายยิ่งขึ้น ก่อนขยายไปยังคอมมูนิตี้ที่มีความชอบในด้านอื่นๆต่อไป ซึ่งทางบริษัทฯ เตรียมเปิดตัวแอปพลิเคชั่น Fourgle และพร้อมให้บริการอย่างเป็นทางการ ภายในเดือนธันวาคมปี 2564 นี้

Fourgle มองเห็นถึงโอกาสในการต่อยอดและพัฒนาแอปพลิเคชั่นรูปแบบใหม่นี้ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของ New Gen ตลอดจนกระตุ้นกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องในคอมมูนิตี้นั้นๆ พร้อมมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยการพัฒนาแพลตฟอร์มนี้เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างอินฟลูเอนเซอร์ในแต่ละคอมมูนิตี้ และกลุ่มผู้ก่อตั้ง โฟร์เกิ้ล ซึ่งเป็นทีมที่มีความชำนาญ และมีประสบการณ์ในการก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพทั้งในประเทศไทยและซิลิคอนแวลลีย์

“เรามีความตั้งใจที่จะทำแพลตฟอร์มนี้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด โดยตั้งเป้าหมายการระดมทุนใน Series A เพื่อเพิ่มศักยภาพของแพลตฟอร์มและขยายการให้บริการไปยังต่างประเทศในช่วงปลายปี 2565 นี้” ดร. อนุชิต กล่าวทิ้งท้าย

# # #

“เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยนายธีรพจน์ โชคอนันตัง ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร - ธุรกิจบัตรเครดิต ร่วมกับ “CHULA BOOK” หรือ ศูนย์หนังสือแห่งจุฬาลงกรณ์วิทยาลัย โดยนายเกรียงศักดิ์ หรรษาเวก กรรมการผู้จัดการ มอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี ดังนี้ 1) รับส่วนลด 10% เมื่อซื้อหนังสือที่ร่วมรายการครบ 1,000 บาทขึ้นไป 2) แลกรับเครดิตเงินคืน 18% เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ครบทุก 500 บาท พร้อมใช้คะแนน KTC FOREVER ทุก 500 คะแนน โดยลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่าน SMS พิมพ์ BQ4 เว้นวรรค ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 16 หลักส่งมาที่เบอร์โทรศัพท์ 061 384 5000 หรือผ่านช่องทางออนไลน์ www.ktc.co.th/bq4 (ลงทะเบียนครั้งเดียวตลอดรายการ) 3) บริการผ่อนชำระ 0.69% นาน 3 เดือน เมื่อมียอดใช้จ่าย 3,000 บาทขึ้นไป โดยทำรายการผ่านทาง KTC PHONE 02 123 5000 กด 4 ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 - 31 ธันวาคม 2564

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 14 ตุลาคม 2564 – เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัทผู้ให้บบริการแพลตฟอร์มการสื่อสารระดับสากล อย่าง Infobip ได้จัดงานประชุมสัมมนาออนไลน์ ที่มุ่งเน้นไปที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อเป็นการเปิดตัวโครงการ Infobip Startup Tribe ที่ได้รับความสนใจจากบริษัทสตาร์ทอัพ และเหล่าผู้ประกอบการการสร้างระบบธุรกิจสตาร์ทอัพเป็นจำนวนมาก ครอบคุลมทั่วทั้งภูมิภาค

 งานประชุมสัมมนาออนไลน์ ภายใต้ชื่อ ‘Bringing Next-Gen Customer Engagement to Startups’ ประกอบด้วยแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมพูดคุยมากมาย อาทิ วิชาล ฮาร์นาล หุ้นส่วนผู้จัดการของกองทุน 500 Southeast Asia หนึ่งในบริษัทชั้นนำด้านธุรกิจร่วมลงทุนระยะยาว และ คุณไมเคิล คิม หัวหน้าใหญ่บริษัทกูเกิล ฝ่ายธุรกิจสตาร์ทอัพในเอเชียแปซิฟิค โดยมีคุณ นิโคลัส พาเวสซิก กรรมการฝ่ายระบบธุรกิจสตาร์ทอัพ บริษัทอินโฟบิป เป็นผู้ดำเนินงานประชุมในครั้งนี้

 ในระหว่างช่วงการอภิปรายหมู่ แขกผู้มีเกียรติทุกท่านกล่าวถึงโอกาสของการใช้โซลูชันที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ รวมถึงความท้าทายและโอกาสที่ธุรกิจอาจต้องเผชิญในปัจจุบัน นอกจากนี้ แขกผู้มีเกียรติยังร่วมแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิธีการเติบโตและก้าวไปข้างหน้าในยุค New Normal นี้ ที่ต้องเผชิญกับโรคระบาดที่อาจกระทบต่อการขยายธุรกิจไปทั่วโลก

 สรุปประเด็นสำคัญจากการสัมมนาออนไลน์ ดังต่อไปนี้:

· ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โมเดลธุรกิจแบบท้องถิ่นและเฉพาะเจาะจง กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีระบบธุรกิจแบบเฉพาะและการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบดิจิตอลในชนบทเป็นเป้าหมายหลัก

· การมีส่วนร่วมกับลูกค้าเปลี่ยนแปลงควบคู่ไปกับความรวดเร็วของการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิตอล เนื่องจากปัจจุบัน ผู้บริโภคคาดหวังที่จะมีส่วนร่วมกับธุรกิจทุกที่ทุกเวลา ดังนั้นธุรกิจสตาร์ทอัพจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถโต้ตอบกับลูกค้าได้ตลอดเวลากับระบบที่พร้อมเสมอ

· จากการก้าวล้ำของอินเตอร์เน็ตและการบริการแบบดิจิตอลอย่างรวดเร็วในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แนวทางการเข้าถึง และการมีส่วนร่วมกับลูกค้าแบบ omnichannel ที่อาศัยการสื่อสารแบบสตรีมไลน์ครอบคลุมการสนทนาผ่านหลากหลายช่วงทาง จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ธุรกิจขาดไม่ได้

 คุณวิชาล ฮาร์นาล หุ้นส่วนผู้จัดการของกองทุน 500 Southeast Asia เสวนาเกี่ยวกับความก้าวหน้าของระบบธุรกิจสตาร์ทอัพในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา และเหตุผลของโอกาสในอนาคตที่เชื่อมโยงกับความสามารถในการมีส่วนร่วมกับลูกค้า โดยเน้นย้ำว่าปัจจุบัน มีธุรกิจสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นมากกว่า 30 แห่งในภูมิภาคนี้ อาทิ Bukalapak, Carsome, และ Grab ซึ่งทั้งหมดมีหัวใจหลักอยู่ที่การให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง นอกจากนี้ คุณวิชาลยังกล่าวว่าระบบสนับสนุนการสื่อสารที่แข็งแรงเป็นสิ่งจำเป็นหากธุรกิจต้องการโดดเด่นในสนามแข่งขัน โดยเฉพาะในยุคที่ต้องสื่อสารแบบ ‘พร้อมทุกเมื่อ’ ตลอด 24-ชั่วโมงอย่างในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงการนำเสนอประสบการณ์ที่ลูกค้าจะพึงพอใจ และการปรับปรุงการดำเนินงานเพื่อประสิทธิภาพด้านต้นทุนให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด

 คุณ นิโคลัส พาเวสซิก กรรมการฝ่ายระบบธุรกิจสตาร์ทอัพ บริษัทอินโฟบิป ผู้ริเริ่มโครงการนี้ กล่าวเสริมว่า “หลังจากที่ได้เป็นผู้นำในโครงการริเริ่มมากมาย และเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมนี้มาหลายปี ผมมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจสตาร์ทอัพ และช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งงานเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็นก้าวแรกในการชื่อมโยงธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีชื่อเสียงและใฝ่ฝันที่จะสร้างสรรค์แรงบันดาลใจ พร้อมมุ่งสู่การเติบโตของระบบธุรกิจสตาร์ทอัพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต่อไป ผมรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้นำ Infobip Startup Tribe มาสู่เอเชียแปซิฟิก และผมหวังว่าจะได้เห็นการเติบโตของธุรกิจ หลังจากที่ได้เพิ่มขีดความสามารถร่วมกับโครงการสนับสนุนของเรา รวมถึงเหล่าผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ และทรัพยากรตัวช่วยทางธุรกิจมากมายที่มีเครือข่ายธุรกิจอยู่ทั่วโลก”

 นอกจากการร่วมเสวนาเกี่ยวกับการเติบโดของระบบธุรกิจสตาร์ทอัพในเอเชียแปซิฟิกแล้ว ผู้ร่วมอภิปรายยังกล่าวถึงความท้าทายที่ธุรกิจสตาร์ทอัพในภูมิภาคต่างได้เผชิญ คุณคิมกล่าวว่า “ปัจจุบัน ธุรกิจสตาร์ทอัพจำนวนมากไม่สามารถพบกับคู่ค้าแบบเห็นหน้ากันได้ตามปกติ ซึ่งถือเป็นความท้าทายของพวกเขาในการค้นหาวิธีใหม่ ๆ เพื่อก้าวสู่ระดับโลก และสร้างการเติบโตให้ธุรกิจในต่างประเทศ ในตลาดธุรกิจอย่าง โซล และ โตเกียว เราเห็นผู้ก่อตั้งธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งภายในประเทศ และกระตือรือร้นที่จะนำพาธุรกิจของตนออกสู่ตลาดสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสู่ตลาดเอชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ เรากำลังทำงานร่วมกับธุรกิจสตาร์ทอัพเพื่อปรับปรุงระบบการสนทนาและการมีส่วนร่วมทางออนไลน์ รวมถึงเสริมเทคนิคการขายผ่านออนไลน์ให้แก่พวกเขา ผ่านโครงการต่าง ๆ สำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพของกูเกิล”

 “นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศไทยที่จะเติบโตและขยายธุรกิจได้ไกลกว่าวิธีการแบบเดิม ๆ โดย Infobip ร่วมกับพาร์ทเนอร์ด้านการสนับสนุนสตาร์ทอัพ และนักลงทุนทางธุรกิจมากมาย ทำให้เราเป็นตัวเลือกพันธมิตรในอุดมคติของธุรกิจสตาร์ทอัพได้ โดยเฉพาะธุรกิจสตาร์ทอัพที่ต้องการสร้างโครงสร้างการสนทนาที่แข็งแกร่ง และเสริมการให้บริการ และการมีส่วนร่วมกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการสื่อสารและปรับตัวเข้ากับระบบการตลาดแบบแนวดิ่งได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งโซลูชันที่ออกแบบมาโดยเฉพาะของเราจะช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ สื่อสารกับลูกค้าได้หลากหลายช่องทางอย่างไร้รอยต่อ กับการดำเนินการแบบ omnichannel ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน แม้ในช่วงเวลาที่ต้องทำงานจากระยะไกล” คุณเอกรัฐ งานดี ผู้จัดการบริษัทอินโฟบิป ประจำประเทศไทย กล่าว

 ในปีที่ผ่านมา ธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างมากจากการประสบความสำเร็จของ บริษัท แฟลช ที่ถือเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นแห่งแรกในไทย โดยในปี 2563 การลงทุนสตาร์ทอัพในไทยทำลายสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 12.38 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 330% จากปี 2562 ที่ 3.66 พันล้านบาท ซึ่งถือเป็นโอกาสทองสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพในอนาคต ที่พร้อมรับความท้าทายและพิสูจน์ความสามารถในการทำกำไรและเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่นักลงทุน

 ธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศไทยที่สนใจเรียนรู้เพิ่มเติม สามารถสมัครเพื่อเข้าร่วมโครงการ Infobip Startup Tribe ได้ที่ https://startups.infobip.com/.

 -จบ-

ไทยพาณิชย์ หนุนร้านอาหารแก้เกมส์ธุรกิจพลิกฟื้นรายได้ด้วยกลยุทธ์การตลาด

ถอดเคล็ดลับ ZEN Group - Phoenix Lava ต่อยอดจุดแข็งสร้างโอกาสใหม่อย่างทรงพลัง

 กิจการร้านอาหารเป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และถึงแม้ประเทศไทยจะผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ให้ผู้บริโภคสามารถนั่งรับประทานอาหารที่ร้านได้แล้ว แต่การพลิกฟื้นยอดขายและรายได้คงไม่สามารถกลับมาเป็นเช่นเดิมตราบใดที่สถานการณ์โควิดยังคงมีต่อเนื่อง การปรับแผนธุรกิจและทบทวนกลยุทธ์การตลาดให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันและเทรนด์ในอนาคตอาจจะเป็นหนทางพลิกวิกฤตสู่โอกาสให้กับธุรกิจอย่างที่คาดไม่ถึง

 นางพิกุล ศรีมหันต์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ภาพรวมของธุรกิจร้านอาหารส่วนใหญ่ซบเซาลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้ประกอบการร้านอาหารมียอดขายและรายได้ที่ลดลงอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันมีธุรกิจร้านอาหารอีกส่วนหนึ่งที่กลับมียอดขายเพิ่มขึ้น ธุรกิจเติบโตจนต้องขยายสาขาเพื่อตอบสนองความต้องการให้กับลูกค้า ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นได้เพราะเจ้าของธุรกิจไม่อยู่นิ่งเฉย แต่พยายามปรับแผนธุรกิจให้เท่าทันกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจร้านอาหารขนาดเล็ก กลาง และขนาดใหญ่ ล้วนต่างต้องปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดในวันนี้และพร้อมที่จะก้าวต่อไปในวันข้างหน้าได้อย่างแข็งแกร่ง ธนาคารไทยพาณิชย์มีตัวอย่างร้านอาหารที่สามารถดึงจุดแข็งของตัวเองมาใช้เพื่อการปรับแผนธุรกิจและพัฒนากลยุทธ์การตลาดจนประสบความสำเร็จ จากประสบการณ์จริงของ บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เจ้าของเชนร้านอาหารแบรนด์ชั้นนำของไทย และร้าน Phoenix Lava ซึ่งปัจจุบันมีสาขามากกว่า 10 แห่ง โดยร่วมถอดประสบการณ์ในเวทีสัมมนา “เปิดสูตรลับ ปรับกลยุทธ์ธุรกิจอาหารต้องรอด” ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ได้จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้

 นายศิรุวัฒน์ ชัชวาลย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจแบรนด์ไทย บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เล่าว่า ธุรกิจของเซ็นกรุ๊ปได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 มากถึง 80% เนื่องจากร้านอาหารส่วนใหญ่อยู่ในห้างและยอดขายจากบริการเดลิเวอรี่ทำได้เพียง 20 - 30% จากที่เคยขายได้ ในวิกฤตครั้งนี้แบรนด์ “เขียง” เป็นเหมือนฮีโร่ของกลุ่มเพราะยังสามารถทำยอดขายได้ดีสวนกระแส มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขยายสาขาแล้วมากกว่า 100 สาขา และตั้งเป้าหมายที่จะขยายสาขาให้ได้ 5 - 6 สาขาต่อเดือน มีร้านอาหารหลากหลายแบรนด์ที่อยู่ภายใต้เซ็นกรุ๊ป ซึ่งเราประเมินแล้วว่าการแก้เกมส์ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้คงไม่สามารถใช้ยาตัวเดียวแก้ปัญหาให้กับทุกแบรนด์ได้ เพราะแต่ละแบรนด์มีลักษณะตัวตนและเงื่อนไขที่แตกต่างกัน ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำอย่างแรกคือ 1) ทำความเข้าใจลูกค้าของตัวเองให้ชัดเจน แล้วจึงปรับกลยุทธ์ธุรกิจให้สอดคล้อง เช่น ร้านตำมั่วได้ปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์เป็นปลาร้า และแจ่วบองบรรจุขวด เพื่อให้ลูกค้าทำส้มตำเองที่บ้านได้รสชาติอร่อยเหมือนที่ร้าน ส่วนร้านเขียง

ซึ่งเป็นร้านข้าวแกงยุคใหม่ใช้กลยุทธ์การเร่งเปิดสาขาเพราะสาขายิ่งใกล้บ้านลูกค้ามากเท่าใด ค่าส่งอาหารอาจจะฟรีหรือเสียน้อยมาก แต่ถ้าเขียงยังมีสาขาน้อยค่าส่งอาจแพงกว่าค่าอาหาร ซึ่งอาจเป็นผลให้ลูกค้าเลือกที่จะไม่สั่งสินค้าของเรา 2) วิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันและมองภาพอนาคตหลังวิกฤต การแก้เกมส์ในช่วงโควิดเจ้าของร้านอาหารต้องใจเย็นและไม่ทำตามกระแส เราควรศึกษาข้อมูลเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ว่าโควิดจะอยู่อีกนานเพียงใด ธุรกิจของเราควรอยู่นิ่งๆ หรือลุกขึ้นมาออกผลิตภัณฑ์และสร้างแบรนด์ใหม่ ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานหากโควิดจบลงก่อนก็จะเป็นการใช้พละกำลังอย่างสูญเปล่า หรือหากคาดว่าโควิดจะอยู่อีกยาวก็จะต้องคิดวางแผนอย่างรอบคอบ กรณีของเซ็นกรุ๊ปเราวิเคราะห์แล้วว่า เขียงเป็นแบรนด์ที่มีศักยภาพจึงวางกลยุทธ์ให้เขียงมีสาขาที่กระจายให้ลูกค้าเข้าถึงได้มากที่สุดและต้องทำให้เร็วที่สุดเพื่อสร้างรายรับมาหล่อเลี้ยงบริษัทอย่างเพียงพอในสถานการณ์เช่นนี้

 สิ่งสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นยอดขายให้ร้านอาหารได้อย่างดีคือการจัดโปรโมชั่น โดยเซ็นกรุ๊ปยึดแนวทางว่า 3) ทุกแคมเปญต้องตั้งต้นที่ลูกค้า ด้วยหลักคิดแบบ Outside-In เราเชื่อว่าการจัดโปรโมชั่นหรือให้ของแถมในสิ่งที่ลูกค้าอยากได้ผลลัพธ์มักออกมาดีเสมอ ในทางตรงข้ามหากนำอาหารที่ขายไม่ดีมาจัดโปรโมชั่นเพียงเพราะต้องการจะระบายสินค้าผลลัพธ์ก็จะออกมาไม่ดีและไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง การให้ในสิ่งที่ลูกค้าต้องการจะสร้างผลลัพธ์แบบ Win Win แต่ทั้งนี้ร้านจะต้องคำนวณปริมาณการขายที่คุ้มทั้งคนซื้อและคนขาย หากแบรนด์ต้องการเป็นที่รักของสังคมจังหวะนี้จึงควรหยิบยื่นโอกาสถ้าพอแบ่งปันได้ เมื่อสถานการณ์กลับมาปกติลูกค้าจะกลับมาหาเราอย่างแน่นอน

 นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างการปรับตัวของธุรกิจร้านขนมที่สามารถรักษาการเติบโตของยอดขายได้อย่างดีตลอดช่วง โควิด-19 นายปริญญ์ สุขสมิทธิ์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Phoenix Lava เล่าว่า ยอดขายที่ดีในวันนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลลัพธ์จากการปรับตัวเมื่อครั้งธุรกิจต้องเผชิญกับวิกฤตตั้งแต่ช่วง 3 - 4 ปีที่แล้ว เดิม Phoenix Lava มีสินค้าเป็นซาลาเปาเพียงอย่างเดียวและได้รับความนิยมอย่างมาก แต่วันหนึ่งเมื่อกระแสหมดไปยอดขายก็ตกลงอย่างหนัก เราจึงเริ่มปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจใหม่และวางโมเดลธุรกิจให้สอดรับกับตลาดกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์ให้หลากหลาย และเจาะตลาดลูกค้าในกลุ่มเดลิเวอรี่มากขึ้น ดังนั้นเมื่อเกิดโควิด-19 ธุรกิจของเราจึงยังไปต่อได้ แต่เรายังคงปรับตัวต่อเนื่องและทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องด้วยหลักดังต่อไปนี้ 1) เพิ่มรายได้จากทรัพยากรที่มีอยู่เดิม กล่าวคือลองสร้างสรรค์เมนูใหม่จากวัตถุดิบประเภทเดียวกัน ทางร้านจึงออกเมนูใหม่มาเป็น ข้าวแกงกระหรี่ ซึ่งมีการใช้เนยเป็นวัตถุดิบหลักเช่นเดียวกับซาลาเปา จึงสามารถใช้เครื่องจักรร่วมกันได้ และใช้สาขา Phoenix Lava ทำเป็นครัวเล็กๆ ด้านหลังและเป็นช่องทางกระจายสินค้าให้กับไรเดอร์และจำหน่ายหน้าร้านได้ด้วย 2) ขยายพันธมิตรสร้างโอกาสให้ธุรกิจ การทำธุรกิจเพียงลำพังให้อยู่รอดในภาวะแบบนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เราลองผิดลองถูกมาเรื่อยๆ จนปัจจุบันมีการขยายความร่วมมือทั้งการทำ Cloud Kitchen ในร้านอาหารและโรงแรมต่างๆ ทำให้เราอยู่ในพื้นที่ที่ใกล้ลูกค้ามากขึ้น และปัจจุบันยังได้ต่อยอดสู่การขายแฟรนไชส์สำหรับจัดหาวัตถุดิบโดยเฉพาะ รวมถึงการนำแกงกะหรี่ไปให้กับโรงแรมและร้านอาหารพันธมิตรช่วยเป็นช่องทางการขาย ซึ่งส่งผลให้มียอดขายเติบโตค่อนข้างดี 3) จัดสรรพื้นที่หน้าร้านให้ตอบโจทย์กับเทรนด์ปัจจุบัน ด้วยเทรนด์รักษาระยะห่างอย่างในปัจจุบัน พื้นที่ Full Service หน้าร้านอาจไม่จำเป็นเสมอไป เราจึงลองปรับขนาดพื้นที่หน้าร้านให้เล็กลงเน้นการบริการสำหรับการขายแบบ Grab and Go และ Delivery

อย่างละ 50% โดยการขยายสาขาแฟรนไชส์ที่ตั้งเป้าหมายไว้เดือนละ 1 สาขาก็จะเดินไปในแนวทางนี้ ซึ่งมีประโยชน์ในการลดต้นทุนเปิดร้านและค่าเช่าพื้นที่ได้ด้วย รวมถึงการทดลองโมเดลใหม่ๆ เพื่อพัฒนารูปแบบธุรกิจที่มีต้นทุนในระดับที่ต่ำกว่าที่เคยทำให้ได้ เพื่อความสำเร็จในการต่อสู้กับเกมส์ที่ยังไม่รู้จุดสิ้นสุด

 ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถติดตามข้อมูลเคล็ดลับธุรกิจ และกิจกรรมงานสัมมนาที่จะเป็นประโยชน์สำหรับธุรกิจจากธนาคารไทยพาณิชย์และพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้ตลอดทั้งปี ผ่านช่องทางเว็บไซต์www.scbsme.scb.co.th Facebook: www.facebook.com/groups/scbsme/ หรือ ติดต่อสอบถามข้อมูลธุรกิจได้ทาง SCB SME Business Call Center โทร.02 7222222

 ###

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ชั่วโมงนี้อัตราการแข่งขันเพื่อให้ได้ “งาน” ใน “ตำแหน่ง” ใดก็ตาม มีความยากและมีจำนวนคู่แข่ง มากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า จากข้อมูลภาพรวมตลาดการจ้างงานในปี 2564 โดย JobsDB พบว่าอัตราการแข่งขัน ในการหางานของคนไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นถึง 20% ในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 และมีอัตราส่วนการแข่งขันอยู่ที่ 1:100 นั่นหมายความว่า บริษัทจะต้องเฟ้นหาคนที่ใช่ โดยพิจารณาจาก “ทักษะ” และ “ศักยภาพ” ที่ปรากฏของแต่ละบุคคล ในเวลาเดียวกันก็เป็นช่วงที่นักศึกษา Gen Z เริ่มทยอยเข้าสู่โลกการทำงานจริง ซึ่งอาจต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือดนี้ แต่อะไรจะเป็นสิ่งที่ทำให้นักศึกษาจบใหม่ กลายเป็นที่ต้องการของตลาดงานได้ หนึ่งในนั้นก็คือ ประสบการณ์การทำงานจากการ “ฝึกงาน”

 ที่ LINE ประเทศไทย เรามองหาพลังขับเคลื่อนใหม่ๆ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่หยุดนิ่ง โครงการ “LINE Rookie” จึงถูกจัดขึ้นเพื่อเปิดรับนักศึกษาฝึกงาน ซึ่งได้จัดไปแล้ว 2 รุ่น และกำลังจะรับสมัครรุ่นที่ 3 ในเดือนตุลาคมนี้ โครงการนี้จึงเป็นเสมือนการประลองบนสนามจริงของนักศึกษา Gen Z

 ความสำเร็จของโปรแกรมฝึกงาน คือพี่ได้เรียนรู้จากน้องในเวลาเดียวกัน

กานต์ กิมสวัสดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล LINE ประเทศไทยได้เปิดเผยว่า “LINE เป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่หยุดนิ่งอยู่แล้ว จึงเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z ที่กำลังจะเข้าสู่โลกการทำงานจริงได้เข้ามามีส่วนร่วม สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากน้องๆ Gen Z ที่มาฝึกงานกับเรา ทุกคนล้วนมีพลังในการเรียนรู้ล้นเหลือ กล้าคิด กล้าแสดงออก มีทักษะในการนำเสนองานได้คล่องแคล่วและฉลาดใช้เทคโนโลยีมาช่วยในทำงาน เกิดการเรียนรู้กันและกัน ไม่ใช่เพียงแต่น้องๆ จะเรียนรู้จากพี่ๆ แต่พี่ๆ ก็ได้เรียนรู้มุมมอง ไอเดียใหม่ๆ ซึ่งเจเนอเรชันที่ต่างกันทำให้เกิดความหลากหลาย แปลกใหม่ สามารถนำมาปรับใช้ในงานเพื่อนำเสนอสิ่งใหม่ๆ แก่ผู้ใช้ ถือเป็นความสำเร็จสูงสุดของโปรแกรม LINE Rookie เลยก็ว่าได้”

LINE Rookie แต่ละคนจะมีเมนเทอร์ ซึ่งเป็นพี่ๆ พนักงานของ LINE ดูแลมอบหมายงานต่างๆ และแนะนำอย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลา 10 สัปดาห์ของการฝึกงาน โดยน้องๆ จะต้องตั้งทีมและได้รับมอบหมายให้ร่วม ทำโปรเจคกลุ่ม รายงานความคืบหน้า รับคำปรึกษา และนำมาพรีเซนต์ในช่วงท้ายการฝึกงาน พร้อม Training Session แนะแนวด้าน Soft Skill และ Hard Skill ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้เสมือนจริง ที่สามารถนำไปต่อยอดทำงานต่อในชีวิตจริงได้เลยทันที ขณะเดียวกันก็ทำให้พวกเขา “รู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้น”

 ‘ฝึกงาน From Home’ ต้องทำให้น้องไม่รู้สึกถูกทอดทิ้ง

ในแต่ละปี LINE ประเทศไทยจะเปิดรับสมัครนักศึกษาฝึกงานจากนักศึกษาทั่วประเทศที่ยื่นเข้ามาฝึกในสาขางานต่างๆ ที่สนใจ เมื่อผ่านการคัดเลือกใบสมัครรอบแรก จะได้เข้าไปสัมภาษณ์กับพี่ๆ พนักงาน LINE จริงๆ เพื่อวัดความสามารถ และทัศนคติ ก่อนจะผ่านการคัดเลือก ขณะที่ในปี 2564 ก็ถือความท้าทายครั้งสำคัญ เมื่อมีการ Work From Home ทำให้การฝึกงานก็ต้อง From Home ตามเช่นกัน

 “แม้จะฝึกงานจากบ้าน การสื่อสารจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก น้องๆ จะได้เข้าประชุมและนำเสนองานจริงๆ ขณะเดียวกัน เมนเทอร์และน้องๆ จะมีการนัดหมายลงตารางเวลา เพื่อพูดคุยแบบ Virtual อัปเดตและปรึกษางานอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่รู้สึกถูกทอดทิ้ง” กานต์ อธิบายเสริม

เปิดมุมมองจริง จาก LINE

 Rookie

พี่ๆ สอนให้เห็นภาพใหญ่แต่ต้องไม่ลืมรายละเอียดเล็กน้อย

 ทางด้าน เก็ต-สิทธา มุ่งจิตธรรมมั่น นักศีกษา คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี (หลักสูตรนานาชาติ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เล่าถึงความเรียลในการฝึกงานครั้งนี้ว่า “การฝึกงานเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับผม เพราะจะทำให้รู้ว่าสิ่งที่เราต้องการจะทำ ตรงกับสิ่งที่เรา จะต้องอยู่กับมันไปตลอดไหม รู้เร็วว่าใช่หรือไม่ใช่ จะได้ไม่เสียเวลา จริงๆ เรียนไฟแนนซ์มา แต่อยากลองทำงานสายงานการตลาดดู มาฝึกงานครั้งนี้ที่แผนก e-Commerce ได้ครบทุกอรรถรส ได้สกิลที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอย่างการออกแบบอาร์ทเวิร์คทุกสัปดาห์ แต่ที่ประทับใจที่สุดคือการได้จัด LINE SHOPPING Academy Bootcamp ที่เริ่มต้นตั้งแต่ ตั้งไข่ โดยพี่ๆ ให้เวทีนี้กับผมอย่างเต็มที่ โปรเจคนี้สำเร็จได้ เพราะมี เมนเทอร์ที่ดีมากๆ ไม่มีกำแพงในการทำงานและ สอนน้องให้เห็นภาพใหญ่แต่ต้องไม่ลืมที่จะใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อีกด้วย”

บรรลุเป้าหมายเพราะได้มีร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคน

 ทรัส-ปิยวัฒน์ อำนวยผลเจริญ นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งเดียวที่ได้รับเลือกให้ฝึกงานในตำแหน่ง Engineering Office รับผิดชอบในส่วนของ Data Analyst เล่าให้ฟังว่า “ผมเป็นหนึ่งคนที่เลือกออกไปฝึกงานหลายรอบมาก แบบไม่ต้องรอฝึกจบตอนปีสุดท้ายอย่างเดียวเท่านั้น เพราะมองว่าเรียนทฤษฎีแล้ว ต้องลองไปปฏิบัติ การได้ไปลองสนามในหลายๆ ที่ ทำให้ได้มากกว่าความรู้ ได้เรียนรู้ Culture ขององค์กรนั้นๆ รวมถึงได้สัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่เวลาเราทำงานแล้วมีความสุขเป็นอย่างไร จะได้เลือกได้ถูกว่างานไหนที่ชอบและใช่ สำหรับผมได้ฝึกงานในสายงาน Data ครั้งนี้ รู้สึกว่าเราชอบจริงๆ เพราะมีความสุขเวลาที่หา Insight จากข้อมูลต่างๆ นอกจากนี้ ผมมองว่าหลายอย่าง ที่ผมเจอที่ LINE Rookie ไม่มีสอนในห้องเรียน โดยเฉพาะสิ่งที่เป็น Soft skill ผมได้เพิ่มทักษะการปรับตัวเข้าหาคนอื่น การสื่อสาร ปลุกความกล้าทั้งการพูด การคิด และการทำ เพื่อที่จะมีส่วนร่วมในการทำงานให้ได้มากที่สุด การได้เข้ามาร่วมโครงการนี้ บรรลุเป้าหมายของผมคือ การได้มีส่วนร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคน”

ปรับ Mindset มองโลก มุมใหม่เปลี่ยนความท้าทายเป็นโอกาส

 ขิม-กันต์ฤทัย ปิลันธน์โอวาท นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิชาการจัดการสื่อสาร (หลักสูตรนานาชาติ) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้บอกเล่ามุมมองที่น่าสนใจว่า “ให้ความสำคัญกับการฝึกงาน เพราะรู้ว่าโลกแห่งการทำงานที่รอเราอยู่ มีอะไรใหม่ๆ ที่ต้องเรียนรู้อีกมากมาย และทำให้เรารู้ว่างานอะไรที่เราชอบ โดยขิมได้ฝึกงานในสายงาน Marketing & Communications ซึ่งตรงกับที่ได้เรียนมา โดยพอได้ลอง มาทำแล้วเห็นทางในอนาคตว่า อาจจะเริ่มต้นด้วยงาน Marketing Communication ก่อนที่จะขยับขยายตาม Career Path ของสายงานนี้ที่กว้างมาก ฝึกงานครั้งนี้นอกจากจะได้ ทำแคมเปญต่างๆ มากมายแข่งกับเวลาแล้ว ยังได้รู้จักและเข้าใจถึงวิธีคิดแบบ Design Thinking ที่ถือเป็นทาง แห่งความสำเร็จของโลกปัจจุบัน รวมถึงการได้ปรับ Mindset มองโลก มุมใหม่เปลี่ยนความท้าทายเป็นโอกาส”

สำหรับโครงการ LINE Rookie 2022 เปิดรับสมัครนิสิต นักศึกษามหาวิทยาลัยปีที่ 3-4 (ปีการศึกษา 2565) จากทุกสถาบัน ทุกสาขาวิชา ผู้สนใจสามารถสมัครร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2021 ได้ที่ https://linerookie.com

#LINEROOKIE #LINEThailand #LINECAREERS

 

###

เอาแล้วไง!

Waymo ยื่นขอให้กรมขนส่งทางบกสหรัฐฯ ยกเลิกกฎเกณฑ์เก่าที่ว่า “รถยนต์ต้องมีพวงมาลัยและคันเบรกที่เท้า”

ก่อนอื่น เราขออธิบายนิดนึงว่า Waymo คือกิจการของ Google ที่ทำทางด้าน “Self-Driving Vehicles” อย่างเดียวเลย

เอางี้ เราขอสถาปนาคำๆ นี้ในภาษาไทยว่า “อัตยาน” ก็แล้วกัน

มันมาจากคำว่า “อัตตา” แปลว่าตัวตน ตัวเอง ด้วยตัวเอง สมาสกับคำว่า “ยาน” แปลว่าพาหนะ หรือดำเนินไป

อัตยาน จึงอนุโลมแปลได้ว่า ยานพาหนะที่มันดำเนินไปเองได้โดยไม่ต้องมีใครบังคับ (หรือเป็นแบบ “อัตโนมัติ” นั่นเอง)

ก็คือรถยนต์หรือพาหนะชนิดอื่น (เช่น เรือ เรือบิน โดรน เป็นต้น) ที่ขับไปได้ด้วยตัวเอง

Google เอาจริงเอาจังทางด้านนี้มาหลายปีแล้ว เพราะเขามองว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ในอนาคต สำคัญอยู่ที่ข้อมูล รถยนต์จะขับเองได้ต้องสามารถเก็บข้อมูลรอบตัวขณะวิ่งบนถนนเพื่อนำมาวิเคราะห์และตัดสินใจขับขี่เองแบบ Real Time เลียนแบบการตัดสินใจของคนขับ ซึ่งปัจจุบันนี้ ความสามารถของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ AI ทำได้แล้ว

อัตยาน จึงต้องประกอบด้วยสองส่วนคือ ส่วนรถยนต์แบบเดิมคือมีตัวถังมีล้อมีเครื่องยนต์ ฯลฯ แบบที่เรารู้จักกัน และส่วนที่สองคือส่วนข้อมูล ที่ต้องติดตั้งเซนเซอร์ กล้อง (ให้เป็นหูเป็นตา) LIDAR และ Remote Sensing ต่างๆ เพื่อเก็บข้อมูลทั้งภายในภายนอกรถ แล้วส่งผ่านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (เช่น 5G) ไปที่แพลทฟอร์มกลาง ซึ่งติดตั้ง AI Algorithm เพื่อวิเคราะห์แล้วตัดสินใจสั่งการมายังตัวรถแบบ Real Time (การตัดสินใจสำคัญๆ เช่นการเปลี่ยนเลน การเร่งหรือเบาเครื่อง การจอดติดไฟแดง การเบรก การเปิดไฟหรือปัดกระจกเมื่อทัศนวิสัยแย่ ฯลฯ สามารถทำได้เลยในตัวรถ)

ผู้เล่นสำคัญของอุตสาหกรรมรถยนต์ในอนาคต จะมิใช่บริษัทผลิตรถยนต์เหมือนเมื่อก่อน แต่จะเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่เชี่ยวชาญด้านข้อมูล ซึ่งตัวเองก็เล่นทางนี้อยู่แล้ว จึงหันมาลงทุนอย่างจริงจัง จนได้แยกแผนกออกมาตั้งเป็นบริษัทต่างหากคือ Waymo

ปัจจุบัน Waymo นำรถยนต์ของตัวออกทดลองวิ่งบนหลายเส้นทางในสหรัฐฯ มาอย่างน้อย 2 ปีแล้ว

บางครั้ง พวกเราคงเคยได้ยินคนในวงการรถยนต์ออกมาวิเคราะห์ว่า “อีกสิบหรือยี่สิบปีถึงจะมีรถขับเองได้จริง”

เราบอกเลยว่า นั่นมันเข้าใจผิดถนัด หรือพวกไม่รู้จริง

ขนาดเมื่อเกือบ 4 ปีก่อน ตอนที่เราไปเยือนไซต์งานโครงการอสังหาริมทรัพย์ของ Google แถบ San Jose นั้น ก็มีคนบอกว่าถ้าโชคดีก็จะได้เห็นรถบัสขนส่งพนักงานของกูเกิ้ลที่ขับเองได้ วิ่งรับส่งพนักงานในแคมปัสและนอกแคมปัส

Google ทดลองวิ่งมานานแล้ว

และไม่ใช่ Google เจ้าเดียวที่กำลังทดลอง เพราะมีหลายค่ายที่ทดลองนำรถของตัวเองออกมาวิ่งแถบนั้นแล้วเป็นว่าเล่น

ชาวบ้านแถวนั้นเห็นกันจนชินแล้วอ่ะ

Tesla เอง ก็ไปไกลมากแล้วในเรื่องนี้ เพราะได้เปรียบที่มีรถของตัววิ่งอยู่บนถนนแล้วจำนวนหนึ่ง ซึ่งรถเหล่านี้ทำการเก็บข้อมูลให้กับแพลทฟอร์มของเทสล่าทุกๆ วินาทีอยู่แล้ว

ซอฟต์แวร์ของเทสล่าจึงเก่งขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดสามารถสั่งการให้แบตเตอรี่ใช้งานเพิ่มขึ้นได้อีกโดยไม่ต้องชาร์จไฟเพิ่ม (เทสล่าประกาศเมื่อเกิดเฮอร์ริเคนถล่มทางใต้ของสหรัฐฯ เมื่อปีก่อน ว่ารถยนต์ทุกคันของตัวในเขตภัยพิบัติจะวิ่งได้นานขึ้นไปอีกโดยไม่ต้องชาร์จไฟเพิ่ม)

ฟันธงได้เลยว่าอีกไม่เกินห้าปีนี้แล่ะ ที่เราจะได้เห็นอัตยานออกสู่ตลาด

การที่ Waymo ยื่นขอให้กรมขนส่งฯ ยกเลิกพวงมาลัยกับเบรกเท้า ย่อมแสดงให้เห็นว่าเส้นชัยใกล้เข้ามาทุกที

GM หรือ General Motor กิจการรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลก ก็เพิ่งประกาศว่าจะติดตั้งซอฟต์แวร์ OS ของกูเกิ้ลที่เรียกว่า “Android Automotive Operating System” ในรถยี่ห้อที่ตัวเองผลิตและออกจำหน่ายทุกคันในโมเดลปี 2022 นั่นหมายความว่าใครที่ซื้อ Cadillac, Chevrolet, Buick, หรือ GMC ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 จะได้รับการติดตั้งซอฟต์แวร์ตัวนี้ทุกคัน

 

หน้าตาของ Android Automotive คล้ายกับ iPad (ตามรูปประกอบ) ที่ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงข้อมูลหลายอย่างซึ่งเคยโชว์อยู่บนหน้าปัด เช่น น้ำมัน แบตเตอรี่ ไฟ ความเร็ว ความร้อน อุณหภูมิในห้องโดยสาร ฯลฯ บวกกับแผนที่ จีพีเอส อินเทอร์เน็ต เพลง คลิป และภาพยนตร์

ในทางธุรกิจแล้ว เขาเรียกว่า “Infotainment” นั่นเอง

คนขับสามารถสั่งมันด้วยวาจาผ่าน Google Assistant บนจอ ให้มันต่อโทรศัพท์ ส่งข้อความ ส่งเมล โหลดคลิป ปรับแอร์ ปรับกระจก เปิดเพลง ฯลฯ

นับแต่นี้ เราคงได้เห็นบริษัทรถยนต์ค่ายต่างๆ ติดตั้งสิ่งที่เรียกว่า “Third-Party Software” มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะนอกจาก Tesla แล้ว บริษัทรถยนต์ส่วนใหญ่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางด้านการออกแบบซอฟต์แวร์แนวนี้ คล้ายๆ กับบริษัทมือถือ (เช่น ซัมซุง แอลจี หัวเหว่ย ออปโป้ เสียวหมี่ ฯลฯ) ที่ต้องใช้ซอฟต์แวร์ Android ของกูเกิ้ล เพื่อจะให้มือถือของตัวทำงานเป็น “สมาร์ตโฟน”

สิ่งเหล่านี้จะทำให้กูเกิ้ลเก็บข้อมูลได้มากขึ้นเรื่อยๆ ช่วยให้ซอฟต์แวร์อัตยานของตัวเองเก่งขึ้นๆ ก่อนจะนำออกใช้จริง (ในทางเทคโนโลยี เราเรียกว่า Machine Learning คือข้อมูลที่มากขึ้นจะสอนให้คอมพิวเตอร์เก่งขึ้นด้วยตัวเอง)

แต่ที่ยิ่ง (และเซ็ง) ไปกว่านั้น กูเกิ้ลจะเก็บข้อมูลส่วนตัวของพวกเราไปด้วย เพราะมันจะต้องรู้ว่าคนขับแต่ละคนมีพฤติกรรมอย่างไร ขับดีหรือขับแย่ยังไง พวกเขาชอบเติมน้ำมันที่ไหน แวะกินข้าวที่ไหน ช็อปปิ้งที่ไหน ชอบเปิดเพลงอะไร โทรหาใคร เข้าเว็บไซต์ไหน ส่งเมลหาใคร ฯลฯ หรือแม้กระทั่งอาจแอบบันทึกเสียงและข้อความตอนเราคุยโทรศัพท์และส่งเมสเสจด้วยก็ได้...ใครจะไปรู้

อย่าลืมว่า กูเกิ้ลเขาหากินโดยนำข้อมูลของเราไปขายให้กับผู้ลงโฆษณา

รายได้หลักเขามาจากโฆษณา

ยิ่งเราใช้กูเกิ้ลมากหรือนานเท่าใด ก็เท่ากับเราให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเราแก่เขามากเท่านั้น

แล้วเขาก็จะรู้ใจเรายิ่งขึ้นๆ

เขารู้ใจเรามากเท่าไหร่ เขาก็จะไปเสาะหาสินค้าและบริการที่ตรงใจเรามาเสนอเรา (โดยเขาไปเก็บเงินกับเจ้าของสินค้า/บริการ)

ยิ่งเราอยู่ในรถ หนีไปไหนไม่ได้ ยิ่งเป็นเป้าหมายอันโอชะ

ยิ่งต่อไป รถขับเองได้อีก เรานั่งเฉยๆ แถมพวงมาลัยก็ไม่มี อาจกลายเป็นหน้าจอแทน

คราวนี้ ถึงจะก้มหน้าเล่นมือถือ และเงยหน้าดูจอ ก็หนีกูเกิ้ลไปไม่พ้น

จริงไม่จริง เดี๋ยวก็รู้

 

9 ก.พ. 63

ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว

Netflix ยกระดับความสำเร็จผลงานของภาพยนตร์-ซีรีส์ ด้วยการคว้ารางวัลและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในสาขาต่างๆ มากมายจากหลายเวทีประกาศรางวัล เริ่มด้วย จอนจงซอ ที่ได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (Best Actress) จากเวที Buil Film Awards ครั้งที่ 30 จากผลงานเรื่อง สายตรงต่ออดีต (The Call) นอกจากนี้ ยังมี ยูอาอิน ดารานำจากซีรีส์ ทัณฑ์นรก (Hellbound) เข้าร่วมพรีเซนต์รางวัลด้วย ด้านภาพยนตร์จาก Netflix เรื่อง คืนดับแดนสวรรค์ (Night in Paradise) ได้รับการเสนอชื่อเช้าชิงถึง 6 สาขา ในขณะที่ ชนชั้นขยะปฏิวัติจักรวาล (Space Sweepers) ก็คว้ารางวัลกำกับศิลป์และเทคนิคการ

ถ่ายทำยอดเยี่ยม (Art/Technical Award) ไปครอง และบนเวทีเดียวกันนี้ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงอีก 2 สาขา รวมถึงการเข้าชิงในอีก 3 สาขาจากงาน Asian Film Awards อีกด้วย

 มาที่งาน Asia Contents Awards ซึ่งเป็นงานประกาศรางวัลสำหรับซีรีส์จากเอเชียและถูกจัดขึ้นในวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา สวีทโฮม (Sweet Home) และ Move to Heaven ก็คว้ารางวัลได้สำเร็จ โดย สวีทโฮม (Sweet Home) ชนะรางวัลด้านเทคนิคดีเด่น (Technical Achievement Award) รวมถึง โกมินชี ที่ได้รับรางวัลนักแสดงหน้าใหม่หญิงยอดเยี่ยม (Best Newcomer-Actress Award) และ ซงคัง ก็คว้ารางวัลยอดเยี่ยม (Excellence Award) และนอกจากนี้ สวีทโฮม (Sweet Home) ยังได้รับการเข้าเสนอชื่อใน 3 สาขาจากงานนี้อีกด้วย ด้วยเรื่องราวเป็นเอกลักษณ์ บวกกับนักแสดงมากฝีมือ และภาพสัตว์ประหลาดที่รังสรรค์ออกมาอย่างสวยงาม ความสำเร็จของ สวีทโฮม ถือเป็นก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์ของคอนเทนต์เกาหลี ด้าน Move to Heaven ก็ชนะหลายรางวัลจากเวทีนี้ ทั้งครีเอทีฟยอดเยี่ยม (Best Creative Award) ผู้เขียนบทยอดเยี่ยม (Best Writer Award) และ อีเจฮุน ที่ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Best Actor) Move To Heaven ยังตอกย้ำความสำเร็จจากการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอื่นๆ อีกถึง 3 สาขา นอกจากนี้เรื่อง ดั่งผีเสื้อร่ายระบำ (Navillera) ก็ยังได้รับการเสนอชื่อใน 2 สาขาบนเวที Asia Contents Awards ด้วยเช่นกัน

 สามารถรับชมภาพยนตร์-ซีรีส์ที่ได้รับความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ จาก งานประกาศรางวัลชั้นนำ ทั้ง สายตรงต่ออดีต (The Call), สวีทโฮม (Sweet Home), ชนชั้นขยะปฏิวัติจักรวาล (Space Sweepers), คืนดับแดนสวรรค์ (Night in Paradise) และ Move to Heaven ได้ทาง Netflix เท่านั้น

 [2021 Buil Film Awards]

รางวัลที่ได้รับ

- สายตรงต่ออดีต (The Call) : รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม – จอนจงซอ

- ชนชั้นขยะปฏิวัติจักรวาล (Space Sweepers) : รางวัลศิลป์และเทคนิคยอดเยี่ยม - จองซองจิน และ จองชอลมิน

ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล

- สายตรงต่ออดีต (The Call) : ผู้กำกับหน้าใหม่ยอดเยี่ยม - อีชุงฮยอน

- ชนชั้นขยะปฏิวัติจักรวาล (Space Sweepers) : รางวัลการกำกับภาพยอดเยี่ยม - บยอนบงซอน, รางวัลดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม - คิมแทซอง

- คืนดับแดนสวรรค์ (Night in Paradise) : นักแสดงชายยอดเยี่ยม - ออมแทกู, นักแสดงหญิงยอดเยี่ยม - จอนยอบิน, นักแสดงสมทบยอดเยี่ยม - ชาซึงวอน, รางวัลการกำกับภาพยอดเยี่ยม - คิมยองโฮ, รางวัลดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม - Mowg

 [Asia Contents Awards 2021]

รางวัลที่ได้รับ

- Move to Heaven : ครีเอทีฟยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม - อีเจฮุน, บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม - ยุนจีรยอน

- สวีทโฮม (Sweet Home) : รางวัลด้านเทคนิคดีเด่น, นักแสดงหญิงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม - โกมินชี, รางวัลยอดเยี่ยม – ซงคัง

ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล

- สวีทโฮม (Sweet Home) : ซีรีส์ยอดเยี่ยมจากบริการสตรีมมิ่ง, สาขา Creative Beyond Border, นักแสดงหญิงยอดเยี่ยม - อีชียอง

- Move to Heaven : ซีรีส์ยอดเยี่ยมจากบริการสตรีมมิ่ง, สาขา Creative Beyond Border, นักแสดงชายหน้าใหม่ยอดเยี่ยม - ทังจุนซัง

- ดั่งผีเสื้อร่ายระบำ (Navillera) : ซีรีส์เอเชียยอดเยี่ยม, นักแสดงชายหน้าใหม่ยอดเยี่ยม - ซงคัง

 [15th Asian Film Awards]

ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล

- Space Sweepers : ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม - โจซังคยอง กวักจองแอ, Visual Effect ยอดเยี่ยม - จองซองจิน & จองชอลมิน, งานเสียงยอดเยี่ยม - ชเวแทยง

- สายตรงต่ออดีต (The Call) : นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม - จอนจงซอ

บริษัทบริหารจัดการโรงแรมชั้นนำจากอังกฤษ “คิว กรีน โฮเทลส์” มั่นใจตลาดท่องเที่ยวประเทศไทยฟื้นตัวภายหลังคลายล็อคดาวน์ เตรียมเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1 พ.ย. นี้ จ่อเดินหน้าเปิดโรงแรมใหม่ 3 แห่ง ในกรุงเทพฯ ภายใต้แบรนด์ แคสเซีย บาย บันยันทรี พระราม 9 และ คราวน์ พลาซ่า กรุงเทพฯ พระราม 9 เปิดบริการปี 2566 และแคสเซีย บาย บันยันทรี รามอินทรา ปี 2567 ทั้งเตรียมเปิด LIGHT HUMAN HOTELS รุกตลาดโรงแรมเมืองท่องเที่ยวระดับโลก

 

 

 มิสเตอร์คริส เด็กซ์เตอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Kew Green Hotels หนึ่งในมืออาชีพด้านการบริหารจัดการโรงแรมจากสหราชอาณาจักร ปัจจุบันบริหารโรงแรมมากกว่า 55 แห่งทั่วโลก เปิดเผยถึงสถานการณ์ภาพรวม การลงทุนธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยว่า ในด้านการลงทุนทางกลุ่มฯ มีความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยคือจุดหมายของการท่องเที่ยวระดับโลกและการที่กำลังเตรียมตัวเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในอนาคตอันใกล้นี้

 “เรารู้สึกยินดีที่สามารถขยายการให้บริการของเราต่อเนื่องไปทั่วโลก ทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงในอเมริกาและยุโรป การประกาศเปิดตัวโรงแรมใหม่ในกรุงเทพฯ และต่างประเทศครั้งนี้ สะท้อนถึงความเชี่ยวชาญในตลาดการโรงแรมระดับนานาชาติ รวมถึงชื่อเสียงในด้านการดำเนินงานที่เป็นเลิศ และการสร้างผลประกอบการที่ดีในระดับแถวหน้าของอุตสาหกรรมนี้”

สำหรับแผนการลงทุนธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย ทาง Kew Green Hotels ได้เซ็นสัญญาบริหารจัดการโรงแรม 3 แห่งในกรุงเทพฯ ได้แก่ โรงแรมที่วางแผนเปิดบริการในปี 2566 คือ แคสเซีย บาย บันยันทรี พระราม 9 (Cassia by Banyan Tree Rama 9) เป็นโรงแรมขนาด 300 ห้อง และ คราวน์ พลาซ่า กรุงเทพฯ พระราม 9 (Crowne Plaza Bangkok พระราม 9) โรงแรมขนาด 285 ห้องซึ่งจะเป็นโรงแรมแฟรนไชส์โดย IHG แห่งแรกในเมืองไทย โดยทั้งสองโรงแรมจะตั้งอยู่ภายในโครงการมิกซ์ยูส Siamese พระราม 9 ตั้งอยู่ใจกลางพระราม 9 ซึ่งเป็น CBD แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ไม่ไกลจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา แกรนด์ พระราม 9 และสถานี MRT

 นอกจากนั้น แคสเซีย บาย บันยันทรี รามอินทรา (Cassia by Banyan Tree Ram Intra) โรงแรมคอนเซ็ปต์สำหรับธุรกิจและการพักผ่อน ขนาด 220 ห้อง มีแผนเปิดให้บริการในปี 2567

 สำหรับแผนการลงทุนในครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือของสองพันธมิตรธุรกิจที่สำคัญ โดยไซมิส แอนด์ คิว กรีน เมเนจเมนท์ คอมพานี ไทยแลนด์ ได้รับการจัดตั้งขึ้นซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง Kew Green Hotels จากสหราชอาณาจักร และบมจ. ไซมิส แอสเสท เพื่อเป็นบริษัทบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ โดยจะทยอยเปิดตัวพร็อพเพอร์ตี้ทั้งหมด 7 แห่ง ที่อยู่ในทำเลทองใจกลางกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปลายปี 2564 นี้เป็นต้นไป คือ Wyndham Queen Convention Centre, Wyndham Garden สุขุมวิท 42, Ramada Plaza by Wyndham สุขุมวิท 48, Ramada by Wyndham สุขุมวิท 87, Cassia by Banyan Tree พระราม 9, Crowne Plaza Bangkok พระราม 9 และ Cassia by Banyan Tree รามอินทรา นอกจากนั้น ยังเตรียมเปิดตัว ‘คอมเมอร์เชียล ฮับ’ ในกรุงเทพฯ เพื่อสนับสนุนการบริหารงานโรงแรมที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 การรุกก้าวสำคัญในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเติบโตในอุตสาหกรรมโรงแรมทั่วโลก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Kew Green Hotels กล่าวว่า นอกจากการขยายธุรกิจในตลาดประเทศไทยแล้ว ยังได้ร่วมเป็นพันธมิตรระดับโลกกับโรงแรมที่ได้รับรางวัลมากมายอย่าง Light Human Hotels โดยมีการเปิดตัวโรงแรมคอลเลคชั่นแรกที่ Light Human Hotels Vila Real Porto ในโปรตุเกส พร้อมเปิดบริการในปี 2565 เป็นโรงแรมขนาด 124 ห้อง อยู่ห่างจากหุบเขา Douro ซึ่งเป็นไร่องุ่นที่มีทิวทัศน์สวยงามตระการตาและมีชื่อเสียงระดับโลกเพียง 20 นาที นอกจากนั้น ยังมีแผนเปิดตัว Light Human Hotels Curitiba ในบราซิลปี 2566 เป็นโรงแรม 180 ห้องตั้งอยู่ในย่าน Batel อันหรูหราใกลักับเมือง Curitiba ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในฐานะ ‘เมืองหลวงสีเขียว’ ของบราซิล

 ในอนาคตยังมีโรงแรม Light Human Hotels อีกหลายแห่งที่บริหารจัดการโดย Kew Green Hotels เตรียมเปิดบริการในหลายเมืองทั่วโลก อาทิ เมืองปารีส ฝรั่งเศส, เมืองปอร์โต โปรตุเกส, เมืองไมอามี อเมริกา, เกาะคอร์ซิกา ฝรั่งเศส, เมืองเซา เปาโล และเมืองริโอ เดอ จาเนโร ที่บราซิล โดยโรงแรมและรีสอร์ทของ Light Human Hotels ในแต่ละแห่งจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นซิกเนเจอร์โดยเฉพาะ เช่น การปรุงอาหารที่รังสรรค์โดยเชฟ Baptiste Danieul ซึ่งเป็นเชฟระดับมิชลิน, สปาที่ให้บริการด้วยผลิตภัณฑ์ของ L’Occitane, สระว่ายน้ำที่สวยล้ำนำสมัย, มีพื้นที่สำหรับการจัดอีเว้นต่างๆ และพื้นที่ในการทำกิจกรรมสำหรับเด็กและครอบครัว คอนเซ็ปต์หลักของ Light Human Hotels คือความคิดสร้างสรรค์ โดยทาง

โรงแรมได้เลือกใช้การตกแต่งภายในเสมือนเป็นการจัดแสดงงานศิลปะที่คัดสรรโดย Muzéo และได้รับการออกแบบทางสถาปัตยกรรมโดยบริษัท Atelier Arcau ซึ่งได้รับรางวัลการันตรีมากมาย

 Kew Green Hotels เป็นพันธมิตรด้านบริหารจัดการโรงแรมที่สร้างความแตกต่างจากบริษัทอื่นด้วยประสบการณ์อันยาวนานหลายปีกับแนวคิดทางนวัตกรรมเพื่อส่งมอบบริการด้านการโรงแรมที่โดดเด่นและมอบผลตอบแทนอันยอดเยี่ยมให้กับผู้ที่เป็นเจ้าของโรงแรมและพันธมิตรทั่วโลก เมื่อผนวกกับการนำเอาเทคโนโลยีชั้นนำด้านการโรงแรมเข้ากับความ สามารถที่เชี่ยวชาญ การเป็นศูนย์กลางของ ‘คอมเมอร์เชียล ฮับ’ จึงเป็นการผสานรวมทั้งการขายและการตลาดทั้งเชิงรุกและเชิงโต้ตอบ การทำการตลาด การวิเคราะห์และการบริหารจัดการรายได้ เพื่อเป็นการสนับสนุนและนำเสนอแนวทางที่เป็นหนึ่งเดียวในการบริหารโรงแรมและรองรับการเติบโตของโรงแรมต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Kew Green Hotels และ Light Human Hotels ได้ที่เว็บไซต์ kewgreen.co.uk และ lighthumanhotels.com

# # #

คาวาซากิ ญี่ปุ่น--(BUSINESS WIRE)--19  ตุลคม 2564

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation ("Toshiba") เริ่มผลิตไมโครคอนโทรลเลอร์ชนิดใหม่ 20 ประเภทในกลุ่ม M4N ในฐานะผลิตภัณฑ์ใหม่ในคลาสขั้นสูงตระกูล TXZ+™ ที่ผ่านกระบวนการผลิตขนาด 40 นาโนเมตร ผลิตภัณฑ์กลุ่ม M4G ประกอบด้วย Arm Cortex-M4 core พร้อม FPU ทำงานที่ความเร็วสูงสุดถึง 200MHz โดยผสานรวมหน่วยความจำแบบแฟลชรหัสขนาดสูงสุด 2MB และหน่วยแฟลชข้อมูลขนาดสูงสุด 32KB ที่เขียนซ้ำได้ถึง 1 แสนครั้งต่อรอบ ไมโครคอนโทรลเลอร์เหล่านี้ยังมีอินเทอร์เฟซและตัวเลือกการสื่อสารที่หลากหลาย เช่น คอนโทรลเลอร์ Ethernet, CAN และ USB 2.0 FS OTG พร้อม PHY ในตัว อุปกรณ์กลุ่ม M4G เหมาะสำหรับการใช้งานกับอุปกรณ์สำนักงาน อาคาร และระบบอัตโนมัติในโรงงาน รวมถึงอุปกรณ์โครงข่ายอุตสาหกรรมและการจัดการข้อมูล

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20211018005371/en/

 

Toshiba: ไมโครคอนโทรลเลอร์ Arm® Cortex®-M4 สำหรับการควบคุมมอเตอร์ (กราฟิก: Business Wire)

ผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม M4G มีฟังก์ชันการสื่อสารที่ได้รับการปรับปรุงซึ่งผสานอยู่ในอินเทอร์เฟซหน่วยความจำแบบอนุกรมที่รองรับ Quad/Octal SPI อินเทอร์เฟซเสียง (I2S) และอินเทอร์เฟซบัสภายนอก ซึ่งนอกเหนือไปจาก UART, FUART, TSPI และ I2C ที่รองรับโดยอุปกรณ์ DMAC จำนวน 3 ยูนิตในตัว นอกจากนี้ อุปกรณ์ยังสามารถจัดสรร DMA และ RAM ที่เป็นอิสระสำหรับวงจรต่อพ่วงแต่ละวงจร และใช้โครงสร้างวงจรเมทริกซ์บัสที่ช่วยให้การถ่ายโอนข้อมูลมีประสิทธิภาพโดยบัสมาสเตอร์ ด้วยเหตุนี้ อุปกรณ์กลุ่ม M4N จึงทำให้คอนโทรลเลอร์ Ethernet, CAN และคอนโทรลเลอร์ USB ประมวลผลได้อย่างอิสระไปพร้อม ๆ กัน

อุปกรณ์เหล่านี้รองรับการใช้งานการตรวจจับที่หลากหลายด้วยตัวแปลงอนาล็อกเป็นดิจิตอลขนาด 12 บิตที่มีความเร็วและความแม่นยำสูง ซึ่งช่วยให้สามารถตั้งค่าเวลาสำหรับช่องสัญญาณอินพุต AD แต่ละช่องด้วยจำนวนสูงสุดถึง 24 ช่อง

ฟังก์ชันการวินิจฉัยตนเองที่รวมอยู่ในอุปกรณ์สำหรับ ROM, RAM, ADC และ Clock ช่วยให้ลูกค้าได้รับการรับรองความปลอดภัยในการใช้งาน IEC60730 คลาส B

เอกสารกำกับโปรมแกรม ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ตัวอย่างพร้อมตัวอย่างการใช้งานจริง และซอฟต์แวร์ไดรเวอร์ที่ควบคุมอินเทอร์เฟซสำหรับอุปกรณ์ต่อพ่วงแต่ละชนิด สามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ของ Toshiba บอร์ดประเมินผลและสภาพแวดล้อมการพัฒนาจัดทำขึ้นจากการร่วมมือกับพันธมิตรในระบบนิเวศทั่วโลกของ Arm

คุณสมบัติที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ใหม่

  • Arm Cortex-M4 core ประสิทธิภาพสูง พร้อม FPU ทำงานที่ความถี่สูงสุด 200MHz
  • ฟังก์ชันการควบคุมมอเตอร์และอินเทอร์เฟซการสื่อสาร
  • ฟังก์ชันการวินิจฉัยตนเองสำหรับความปลอดภัยในการทำงาน IEC60730 คลาส B

การใช้งาน

อุปกรณ์เครือข่ายอุตสาหกรรมและการจัดการข้อมูลที่ต้องการการเชื่อมต่อกับ Ethernet USB และ CAN

เครื่องพิมพ์ อุปกรณ์สื่อสารสำหรับระบบอัตโนมัติในอาคารและโรงงาน เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านแบบ IoT ระบบความปลอดภัยภายในบ้าน มาตรอัจฉริยะ เป็นต้น

ข้อมูลจำเพาะ

 

กลุ่มผลิตภัณฑ์

M4N group

CPU core

Arm Cortex-M4
‒ memory protection unit (MPU)

‒ floating-point unit (FPU)

ความถี่การใช้งานสูงสุด

200MHz

Oscillator ภายใน

10MHz (+/-1%)

หน่วยความจำภายใน

แฟลช (รหัส)

512KB/1024KB/1536KB/2048KB

(เขียนรหัสซ้ำได้ถึง 100,000 ครั้ง)

แฟลช (ข้อมูล)

32KB เขียนรหัสซ้ำได้ถึง 100,000 ครั้ง)

RAM

192KB/256KB และสำรอง RAM 2KB

พอร์ต I/O

86 ถึง 146

สัญญาณอินเตอร์รัพท์จากภายนอก

9 ถึง 16

อินเทอร์เฟสบัสภายนอก

ความกว้าง 8/16 บิต (บัสแยก/มัลติเพล็กซ์)

ตัวควบคุม DMA (DMAC)

DMAC มัลติฟังก์ชัน1 ยูนิต

DMAC ความเร็วสูง 2 ยูนิต

ฟังก์ชันจับเวลา

T32A

ตัวจับเวลา 32 บิต: 16 ช่อง


(สามารถใช้เป็นตัวจับเวลา 16 บิต: 32)

LTTMR

ตัวจับเวลาระยะยาว: 1 ช่อง

RTC

นาฬิกาเรียลไทม์: 1 ช่อง

ฟังก์ชันการสื่อสาร

UART

การสื่อสารแบบอนุกรมแบบอะซิงโครนัส: 3 ถึง 6 ช่อง

FUART

ตัวรับส่งสัญญาณแบบอะซิงโครนัสสากลเต็มรูปแบบ: 1 ถึง 2 ช่อง

I2C

3 ถึง 5 ช่อง

TSPI

อินเทอร์เฟซอุปกรณ์ต่อพ่วงแบบอนุกรม: 5 ถึง 9 ช่อง

TSSI

อินเทอร์เฟซอนุกรมแบบซิงโครนัส: 1 ถึง 2 ช่อง

SMIF

อินเทอร์เฟซหน่วยความจำแบบอนุกรม: 1 ช่อง

CEC

1 ช่อง

CAN

ตัวควบคุม CAN: 2 ยูนิต

USB

Universal Serial Bus: 1 ถึง 2 ยูนิต

(ตัวควบคุม USB 2.0 FS OTG พร้อม PHY ในตัว)

ETHM

ตัวควบคุม Ethernet (MII,RMII): 1 ยูนิต

ฟังก์ชันอนาล็อก

ตัวแปลงอนาล็อกเป็นดิจิทัล 12 บิต

ช่องอินพุต 16 ถึง 24 ช่อง

ตัวแปลงดิจิทัลเป็นอนาล็อก 8 บิต

2 ช่อง

อุปกรณ์ต่อพ่วงอื่น ๆ

ตัวควบคุมมอเตอร์ (A-PMD)

1 ช่อง

RMC

ตัวประมวลผลสัญญาณรีโมตคอนโทรลล่วงหน้า: 1 ถึง 2 ช่อง

ISD

วงจรตรวจจับ Interval Sensor: 1 ถึง 3 ยูนิต

I2S

2 ช่อง

FIR

การคำนวณวงจร FIR: 1 ช่อง

ฟังก์ชันระบบ

WDT

1 ช่อง

LVD

วงจรตรวจจับกระแสไฟฟ้า: 1 ช่อง

OFD

ตัวตรวจจับความถี่ Oscillation: 1 ช่อง

ฟังก์ชัน On-chip debug

Serial Wire /JTAG

แรงดันไฟฟ้าใช้งาน

2.7 ถึง 3.6V, จ่ายไฟจากแหล่งเดียว

แพ็คเกจ / ขา

LQFP176 (พ20มม. x 20มม. ระยะพิชต์ 0.4มม.)
VFBGA177 (13มม. x 13มม. ระยะพิชต์ 0.8มม.)
LQFP144 (20มม. x 20มม. ระยะพิชต์ 0.5มม.)
VFBGA145 (12มม. x 12มม. ระยะพิชต์ 0.8มม.)
LQFP100 (14มม. x 14มม. ระยะพิชต์ 0.5มม.)

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้
M4N Group

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับไมโครคอนโทรลเลอร์ของ Toshiba ได้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้
Microcontrollers

* Arm และ Cortex เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Arm limited (หรือบริษัทในเครือ) ในสหรัฐอเมริกาและ/หรือทั่วโลก

* TXZ+™ เป็นเครื่องหมายการค้าของ Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

* ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการอื่น ๆ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับลูกค้า:
ฝ่ายขายและการตลาดอุปกรณ์ MCU และอุปกรณ์ดิจิทัล
https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/contact.html

X

Right Click

No right click