December 18, 2025

LINE TODAY เดินหน้าเฟ้นหา “นักเขียนหน้าใหม่” ประดับวงการดิจิทัลคอนเทนต์เมืองไทย ในโครงการ LINE TODAY SHOWCASE (ไลน์ ทูเดย์ โชว์เคส) ชวนคนรักการเขียนมาถ่ายทอดความสามารถ ปล่อยของกันเต็มที่ในหัวข้อที่ครอบคลุมทุกความสนใจ ประเดิมด้วยธีมแรก “กิน-เที่ยว” ในเดือนพฤศจิกายน 2564 ถึง เดือนมกราคม 2565 ผู้ที่ผลงานได้รับการคัดเลือกให้ตีพิมพ์บน LINE TODAY จะได้รับ e-Certificate และ Gold e-Certificate สำหรับผู้ที่คอนเทนต์มียอดกดหัวใจมากที่สุดการันตีความนิยมบนโลกออนไลน์ของผู้อ่านกว่า 38 ล้านคน

 นายกณพ ศุภมานพ รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจคอนเทนต์ LINE ประเทศไทย กล่าวว่า จากการเติบโตของกลุ่มผู้อ่านบน LINE TODAY ที่เปิดรับคอนเทนต์ประเภทไลฟ์สไตล์ เนื้อหาใกล้ตัวที่มีทั้งสาระและเบาสมองมากยิ่งขึ้น ประกอบกับเราได้เห็นความสามารถของผู้คนบนโลกโซเชียลที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านการเขียนได้อย่างน่าสนใจ จึงได้ริเริ่มแคมเปญ LINE TODAY SHOWCASE ขึ้นมาโดยเปิดโอกาสให้ คนชอบเขียน  ได้แสดงความสามารถด้วยการส่งคอนเทนต์ในเรื่องที่ตนเองถนัดเข้ามาที่ทีมงานฯ  โดยทีมบรรณาธิการของ LINE TODAY จะทำการคัดเลือกคอนเทนต์คุณภาพ เพื่อเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม LINE TODAY ซึ่งเข้าถึงผู้อ่านมากกว่า 38 ล้านคน  ในแท็บไลฟ์ไตล์แท็บ YOUNG และแท็บ กิน-เที่ยว ซึ่งเป็นหัวข้อที่ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน โดยก่อนหน้านี้ LINE TODAY ได้จัดกิจกรรมเวิร์คช็อปการเขียน ให้กับนักศึกษาและบุคคลทั่วไป โดยมีนักเขียนชื่อดัง อย่างคุณเอ๋ นิ้วกลม แนะนำเคล็ดลับการเขียนที่เป็นประโยชน์ ซึ่งได้รับการตอบรับดีมาก”

 

 

ผู้ที่ผลงานได้รับการคัดเลือกให้เผยแพร่บน LINE TODAY จะได้รับ e-Certificate และ Gold e-Certificate สำหรับผู้ที่คอนเทนต์มียอดกดหัวใจมากที่สุด อันดับในแต่ละธีม เป็นการการันตีความนิยมบนโลกออนไลน์ได้เป็นอย่างดี

 สำหรับโครงการ LINE TODAY SHOWCASE จะกำหนดธีมคอนเทนต์ที่แตกต่างกันออกไป ให้ผู้สนใจทุกเพศ ทุกวัย สามารถเลือกร่วมแคมเปญได้ตามความถนัดได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ แค่มีบัญชี LINE และอีเมล์ของตนเองประเดิมด้วยธีมแรก​ “กิน-เที่ยว” ในเดือนพฤศจิกายน 2564 ถึงมกราคม 2565 โดยเปิดกว้างในการนำเสนอได้ทุกไอเดียที่เกี่ยวกับ การกินทั้งในบ้านนอกบ้าน และการท่องเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ  ไม่ว่าจะเป็นทริปพิเศษ ทริปประทับใจเพียงนำเสนอให้มีความน่าสนใจในสไตล์ของตัวเอง

 

สนใจเข้าร่วมโครงการ LINE TODAY SHOWCASE สามารถลงทะเบียนสมัครและส่งบทความได้ที่ https://todayshowcase.line.me/ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.. 2564 เป็นต้นไป

 ดูเงื่อนไขและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://todayshowcase.line.me/terms-and-conditions

ดูวิธีการลงทะเบียน ได้ที่ https://liff.line.me/1454988218-NjbXbq18/v2/article/0M1RL0G

 

####

ตามที่ได้มีการโพสต์ในโซเชียลมีเดีย เรื่องการประกาศขายข้อมูล SCB บนเว็บไซต์แห่งหนึ่งนั้น ธนาคารไทยพาณิชย์ได้รับทราบเหตุการณ์ดังกล่าวตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยตรวจพบการโพสต์ขายข้อมูลที่ระบุว่าเป็นของธนาคารไทยพาณิชย์ในเว็บไซต์มืด (Dark Website) แห่งหนึ่ง อย่างไรก็ดี ธนาคารได้ทำการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวแล้ว พบว่า ข้อมูลที่ประกาศขายไม่ใช่ข้อมูลของธนาคาร โดยไม่มีข้อมูลใดๆ เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางการเงินของลูกค้าธนาคาร รวมถึงไม่ปรากฏช่องโหว่ที่จะนำมาซึ่งการรั่วไหลของข้อมูลธนาคารได้

สำหรับกรณีที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ไม่มีผลกระทบต่อลูกค้าและไม่มีความเสียหายทางการเงินแต่อย่างใด พร้อมกันนี้ธนาคารได้แจ้งความดำเนินคดีแก่ผู้ที่โพสต์ขายข้อมูลในเว็บมืดดังกล่าวแล้ว

ธนาคารขอยืนยันว่า เรามีมาตรการรักษาความปลอดภัยและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าขั้นสูงสุด หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ SCB call center หมายเลขโทรศัพท์ 02-777-7777 หรือสามารถติดตามข่าวสารจากเว็บไซต์ www.scb.co.th ช่องทางเฟซบุ๊ค SCB Thailand และช่องทางทวิตเตอร์ scb_thailand

----------------------------

บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) จัดกิจกรรมประกวดคลิปวิดีโอ “Krungsri IMAX Video Contest 2021” ซึ่งจัดติดต่อกันมาแล้ว เป็นปีที่ 7 ความยาวไม่เกิน 1 นาที ในหัวข้อ “ดูหนังปลอดภัย ด้วยความห่วงใย ที่กรุงศรีไอแมกซ์” ด้วยในสภาวะที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โรงภาพยนตร์ได้เพิ่มมาตรการคุมเข้มเพื่อความปลอดภัยของลูกค้าขั้นสูงสุดตามหลักมาตรฐานสาธารณสุขสากลอย่างเคร่งครัด พร้อมก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสดกับ Cashless Cinema โรงภาพยนตร์ไร้เงินสดเต็มรูปแบบ ซึ่งธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้พัฒนารูปแบบการชำระเงินและซื้อบัตรชมภาพยนตร์ผ่านกรุงศรี โมบาย แอปพลิเคชัน (KMA) เพิ่มความสะดวกสบาย ลดการสัมผัสกับธนบัตรตามแนวการใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ สะท้อนผ่านหัวข้อการประกวดในปีนี้

 เวทีการประกวดครั้งนี้เปิดกว้างให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ อายุไม่เกิน 30 ปี ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน นักศึกษา หรือ บุคคลทั่วไป ได้ใช้สื่อออนไลน์อย่างสร้างสรรค์ เฟ้นหานัก Digital Content ที่มีผลงานสร้างสรรค์คลิปวิดีโอได้อย่างโดดเด่น ชิงเงินและของรางวัลรวมมูลค่ากว่า 268,000 บาท โดยเนื้อหาจะต้องแนะนำการชำระเงินวิถีใหม่ ไร้เงินสด ในการซื้อบัตรชมภาพยนตร์ที่กรุงศรีไอแมกซ์ผ่าน Krungsri Mobile Application พร้อมเชิญชวนให้มาชมภาพยนตร์ที่โรงภาพยนตร์แบบ New Normal กับมาตรการปลอดภัยขั้นสูงสุด สนใจสมัครร่วมกิจกรรม สอบถามรายละเอียดได้ที่ www.krungsriimaxvideocontest2021.com ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม - 15 ธันวาคม 2564

 รางวัลการประกวดมีด้วยกัน 4 รางวัล คือ รางวัลชนะเลิศ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 และ รางวัลชมเชย รายละเอียดของรางวัลดังนี้

 รางวัลชนะเลิศ เงินรางวัล 80,000 บาทและบัตรชมภาพยนตร์ Krungsri IMAX จำนวน 50 ใบ

 รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 40,000 บาทและบัตรชมภาพยนตร์ Krungsri IMAX จำนวน 30 ใบ

 รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 30,000 บาทและบัตรชมภาพยนตร์ Krungsri IMAX จำนวน 20 ใบ

 รางวัลชมเชย จำนวน 10 รางวัล เงินรางวัล 5,000 บาท และบัตรชมภาพยนตร์จำนวน 10 ใบต่อรางวัล

 

แพลตฟอร์ม ‘รักเหมา’ ธุรกิจในเครือบริษัท เน็กซเตอร์ ดิจิตอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทฯ ที่ทางบริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด เข้าไปลงทุน เป็นแพลตฟอร์มใหม่ล่าสุดที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้รับเหมาและดีเวลอปเปอร์ในประเทศไทย พร้อมเชื่อมโยง ผู้รับเหมา ดีเวลอปเปอร์ ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง และผู้ผลิตสินค้าไว้ในระบบเดียวกัน ทำให้ผู้รับเหมาและดีเวลอปเปอร์ได้จัดซื้อวัสดุก่อสร้างในราคาและการบริการที่ดีที่สุด พร้อมนำเสนอฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์การทำงานของผู้รับเหมาและดีเวลอปเปอร์ครบในหนึ่งเดียว มีแผนขยายจำนวนผู้เข้าใช้งานผ่านแพลตฟอร์ม 10,000 รายภายในปี 2024

นายบรรณ เกษมทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด ดูแลธุรกิจ SCG HOME Retail & Distribution Business ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า “ ‘รักเหมา’ ถือเป็น E-Procurement Platform ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแรกของประเทศไทยที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์และสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของผู้รับเหมาขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีมากกว่า 50,000 รายทั่วประเทศ โดย ‘รักเหมา’ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับอุตสาหกรรมก่อสร้างทั้ง Eco System ครอบคลุมตั้งแต่บริษัทผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง ผู้จัดจำหน่าย ผู้รับเหมาก่อสร้าง เจ้าของโครงการ และดีเวลอปเปอร์ โดยการเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมก่อสร้างในครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่าง บริษัท เน็กซเตอร์ ดิจิตอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทฯ ที่ทางบริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด เข้าไปลงทุน ร่วมกับ Builk One Group ซึ่งเป็นผู้พัฒนาบริการซอฟต์แวร์บริหารธุรกิจ และผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซ สำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆ ของประเทศ อาทิ ระบบ ERP Pojjaman (ระบบบริหารงานก่อสร้าง พจมาน), ระบบ Builk Cost Control Management (ระบบบัญชี ที่ช่วยในการคุมต้นทุนการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ) และ Contraction Technology (โปรแกรมบริหารต้นทุน ระยะเวลา และควบคุมคุณภาพของการก่อสร้าง) และ Rudy Technology ซึ่งเป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ติดตามการขายสินค้าและบริการ (CRM) และการบริหารช่องทางจัดจำหน่ายสำหรับร้านค้าวัสดุก่อสร้าง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของทีมขาย และสร้างโอกาสการขายได้ครบทุกช่องทาง ปัจจุบันมีร้านค้าและธุรกิจใช้บริการ Rudy Technology กว่า 200 บริษัททั่วประเทศ”

นายบรรณ กล่าวอีกว่า “‘รักเหมา’ เป็น New Business Model Platform หรือ โมเดลธุรกิจใหม่ ที่อาศัยเทคโนโลยีมาช่วยเชื่อมโยงลูกค้าในแต่ละกลุ่มให้มีโอกาสในการค้นหาและเชื่อมต่อข้อมูลราคาสินค้าที่ต้องการในแพลตฟอร์ม ในที่นี้คือ การที่ ทำให้ผู้รับเหมาแต่ละรายได้พบปะกับร้านค้าวัสดุก่อสร้าง รวมถึงผู้ผลิตสินค้าได้โดยตรง สามารถขอใบเสนอราคาสินค้า และเปรียบเทียบราคาได้สะดวกมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่ผู้รับเหมาขนาดกลางและขนาดเล็กจะต้องใช้เวลาค่อนข้างมากในการ หาสินค้า ขอใบเสนอราคาเพื่อนำมาเปรียบเทียบราคา รวมถึงต้องทำเอกสารใบสั่งซื้อจำนวนมาก นอกจากนี้ บางครั้งในโครงการที่ผู้รับเหมาประมูลมาจำเป็นต้องใช้สินค้าที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งผู้รับเหมาอาจจะหาสินค้าตามรายละเอียดที่โครงการต้องการใช้ลำบาก โดย ‘รักเหมา’ จะมาช่วยตอบโจทย์ของผู้รับเหมาในส่วนนี้ได้อย่างตรงจุด ทั้งนี้ มีแผนขยายจำนวน ผู้เข้าใช้งานผ่านแพลตฟอร์มจำนวน 10,000 รายภายในปี 2024 ”

นายวิรัช ตั้งจิตเพียรดี ผู้อำนวยการฝ่ายแพลตฟอร์ม ‘รักเหมา’ (Growth Platform Director) บริษัท เน็กซเตอร์ ดิจิตอล จำกัด กล่าวว่า ‘รักเหมา’ เป็น E-Procurement Platform ที่จะเป็นตัวเชื่อมระหว่างจัดซื้อวัสดุก่อสร้าง รวมถึงผู้รับเหมาขนาดกลาง ขนาดเล็กที่เป็น SMEs รวมถึงดีเวลอปเปอร์ซึ่งเป็นผู้ซื้อ และผู้ขายที่เป็นร้านค้าวัสดุก่อสร้าง รวมถึงผู้ผลิตสินค้า ตั้งแต่ขั้นตอนการหาสินค้า ขอราคา เปรียบเทียบราคา และปิดการขาย ให้สะดวกสบายและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงานมากยิ่งขึ้นทั้งฝั่งของผู้ซื้อและผู้ขาย โดยผู้รับเหมาสามารถขอใบเสนอราคา รวบรวมวิเคราะห์ข้อมูลและเปรียบเทียบราคา รวมไปถึงการสร้างใบสั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์มด้วยเครื่องมืออำนวยความสะดวกต่างๆ แบบออนไลน์ ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลางาน และงานเอกสารในขั้นตอนต่างๆ ตอบโจทย์การจัดซื้อยุคใหม่ สำหรับ Features หลัก ๆ ของ ‘รักเหมา’ ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ดังนี้

· ค้นหา และขอใบเสนอราคาจากผู้ขายหลายราย ได้ง่ายๆ เพียงคลิกเดียว

· เปรียบเทียบ ข้อเสนอที่ใช่ในเงื่อนไขที่ต้องการผ่านแพลตฟอร์มได้ สรุปจบในหน้าเดียว

· เชื่อมต่อ ผู้ขายที่ถูกคัดสรรจากทั่วประเทศครบทุกสินค้าวัสดุก่อสร้างและงานบริการ

นายไผท ผดุงถิ่น ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบิลค์ วัน กรุ๊ป จํากัด (BUILK) ผู้พัฒนาบริการซอฟต์แวร์บริหารธุรกิจ และผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซ สำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ มีประสบการณ์และความรู้ในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมามากกว่า 16 ปี กล่าวว่า “ ทาง BUILK ได้พัฒนาซอฟต์แวร์บริหารธุรกิจเพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมก่อสร้างมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้รับเหมามีประสิทธิภาพในการบริหารเพิ่มมากขึ้น โดยทาง BUILK ได้ทำการเชื่อมต่อแพลตฟอร์ม ‘รักเหมา’ กับระบบต่างๆ ที่ BUILK ได้พัฒนาขึ้น เพื่อให้ผู้รับเหมาที่เป็นสมาชิกผู้ใช้งานของ BUILK สามารถเชื่อมต่อกระบวนการขอราคามายังผู้ขายในระบบของรักเหมาได้ ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการค้นหาสินค้าได้อย่างครบถ้วนในเงื่อนไขที่ต้องการ โดยในเฟส

แรกเราได้ทำการเชื่อมต่อ ‘รักเหมา’ กับระบบ ERP Pojjaman ซึ่งเป็นระบบบริหารงานก่อสร้างที่ออกแบบเฉพาะสำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ฝ่ายจัดซื้อของบริษัทรับเหมาที่ใช้โปรแกรม ERP Pojjaman อยู่ในปัจจุบันสามารถขอใบเสนอราคาจากผู้ขายประจำ ไปจนถึงผู้ขายในแพลตฟอร์ม ‘รักเหมา’ ได้อีกด้วย ทั้งนี้ เราได้เปิดให้บริษัทรับเหมาก่อสร้างทดลองใช้ระบบ ERP Pojjaman ผ่านแพลตฟอร์ม ‘รักเหมา’ ในช่วงต้นเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา มีบริษัทรับเหมาก่อสร้างชั้นนำ ที่รับงานก่อสร้างอาคารงานสาธารณูปโภคทั้งภาครัฐและเอกชน ให้ความสนใจใช้งาน อาทิ บริษัท ที.ที.เอส.เอ็นจิเนียริ่ง (2004) จำกัด, บริษัท คอนสตรัคชั่นไลนส์ จำกัด และ บริษัท เลิศพัฒนาศรีสะเกษ จำกัด เป็นต้น นอกจากนี้ เรามีแผนพัฒนาระบบให้ผู้ใช้บริการ Builk.com ซึ่งใช้โปรแกรมควบคุมต้นทุนก่อสร้างออนไลน์ สามารถ ขอราคาผ่าน ‘รักเหมา’ เพื่อให้การทำงานครบ จบบนระบบออนไลน์ที่เดียว ”

นายวรฉัตร เนื่องจำนงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท รูดี้ เทคโนโลยี จำกัด (Rudy Technology) ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ติดตามการขายสินค้าและบริการ (CRM) และบริหารช่องทางจัดจำหน่าย สำหรับร้านค้าวัสดุก่อสร้าง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทีมขาย และสร้างโอกาสการขายได้ครบทุกช่องทาง ปัจจุบันมีร้านค้าและธุรกิจใช้บริการ Rudy Technology กว่า 200 บริษัททั่วประเทศ และมีทีมขายใช้งานมากกว่า 3,000 คน กล่าวว่า “ ทางบริษัทฯ ได้เข้ามาร่วมพัฒนาระบบ Seller Center ให้กับแพลตฟอร์ม ‘รักเหมา’ โดยนำเอาความเชี่ยวชาญด้าน User Journey ในฝั่งผู้ขาย มาร่วมพัฒนาระบบให้ใช้งานง่าย และสอดคล้องกับพฤติกรรมของทีมขาย อีกทั้งเป็นโอกาสในการนำระบบที่ Rudy Technology พัฒนาขึ้น มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงานของฝั่งผู้ขายที่เป็นร้านค้าวัสดุก่อสร้าง รวมถึงผู้ผลิตสินค้า อาทิ ระบบจัดการทีมขาย การเสนอราคา การติดตามสถานะสินค้า รวมถึงมีแผนเชื่อมโยงระบบต่างๆ ใน Ecosystem ของ Rudy Technology กับ ‘รักเหมา’ อย่างต่อเนื่อง

ผู้รับเหมา รวมถึงดีเวลอปเปอร์ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าใช้แพลตฟอร์ม ‘รักเหมา’ และศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ Website : www.rakmao.com ใช้งานได้ฟรี ไม่มีค่าธรรมเนียม พร้อมรับโปรโมชั่นเปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘รักเหมา’ จัดใหญ่ ให้แบบไม่ต้องลุ้น! เพียงกดขอใบเสนอราคาและออกใบสั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์ม ‘รักเหมา’ รับฟรี! บัตรกำนัล Gift Card มูลค่า 100 บาท, ลุ้นบัตรเติมน้ำมัน มูลค่ากว่า 4,000 บาท ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : รักเหมา (@rakmaoth) และ LINE OA : @rakmao

-------------------------------------------------------------------------------------------

· ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีแนวโน้มกลับสู่สภาวะการใช้จ่ายปกติ รายจ่ายเพิ่มสูงขึ้นเหตุเพราะ “ช้อปปิ้งลดความเครียด”

· กลุ่มผู้บริโภคผู้หญิงมีแนวโน้มจับจ่าย หรืออยากซื้อสินค้าเพื่อความสุขมากขึ้น

 ปัจจุบันสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย ส่งผลกระทบต่อทุกคน ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ด้านสังคมและเศรษฐกิจ แต่ยังส่งผลกระทบไปถึงสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนจำนวนมาก หลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิดที่เกิดขึ้นเป็นระลอกที่ 4 เราพบว่าพฤติกรรมผู้บริโภคมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ส่วนใหญ่ยังคงเฝ้าระวังต่อสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ประกอบกับรายได้ที่ไม่มั่นคงในช่วงที่ผ่านมา จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายหลังวิกฤติโควิด-19 ทำให้สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) ร่วมมือกับบริษัท สไปซี่ เอช จำกัด ลงพื้นที่สำรวจและการคาดการณ์พฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยประจำเดือนตุลาคม 2564 พบว่า ถึงแม้ความสุขคนไทยต่ำสุดในรอบปี อยู่ที่ร้อยละ 59 โดยลดลงร้อยละ 4 จากเดือนสิงหาคม แต่ความต้องการใช้จ่ายกลับดีดสูงสุดที่ร้อยละ 58 โดยปัจจัยหลักยังคงเป็นสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมความงาม เพื่อลดความเครียดจากการทำงานในช่วงที่ต้องอยู่บ้าน และหาสินค้าเพื่อการปรับตัวและดำเนินชีวิตให้มีความสุขในยุคโควิด อาทิ โทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน เครื่องนอน

นางสาวชุติมา วิริยะมหากุล ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ในการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยรอบนี้พบว่า ประเด็นที่คนไทยติดตามมากที่สุด ยังหนีไม่พ้นปัญหาและสถานการณ์ของโควิด-19 ที่ยังยืดเยื้อ ซึ่งนับเป็นประเด็นที่สำคัญและส่งผลต่อความสุขของคนไทยในระยะยาว รวมไปถึงประเด็นที่คนไทยให้ความสนใจไม่แพ้กันคือ มาตรการเยียวยาของทางภาครัฐก็ดี แนวโน้มของสถานการณ์ล็อคดาวน์ที่ดูจะคลี่คลายไปบ้างก็ดี รวมถึงประเด็นร้อนแรงอย่างเรื่องวัคซีนยี่ห้อต่าง ๆ ที่จะนำเข้ามายังประเทศไทย อีกทั้งเรื่องความต้องการของชุดตรวจ ATK ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของคนไทยที่ยังต้องเฝ้าระวังตัวจากโควิด-19 โดยผลสำรวจพบว่ามีข้อบ่งชี้สำคัญเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคอยู่ 2 ข้อด้วยกัน ได้แก่

 1. นักการตลาดเตรียมสร้างโอกาสทองจากการ “ช้อปเอาคืน” / Be ready for upcoming ‘Revenge shopping’ จากความสะดวกสบายในการช้อปปิ้งออนไลน์ และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 (COVID-19) ในประเทศไทย เป็นแรงผลักดันให้ผู้บริโภคหันมาช้อปปิ้งสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจ Online Shopping ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการดึงดูดลูกค้าด้วย โปรโมชั่นส่งเสริมการขาย ทั้งรูปแบบฟรีค่าจัดส่ง หรือโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 เพื่อเพิ่มยอดขายในออนไลน์ แต่ก็มีผู้บริโภคบางส่วนที่ยังต้องการอยากจับจ่ายใช้สอยนอกบ้าน เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศและคลายความตึงเครียด เป็นการสร้างโอกาสให้ผู้บริโภคได้ออกมา “ช้อปเอาคืน” เพื่อชดเชยความรู้สึกที่อึดอัด และคลายความตึงเครียดผ่านการซื้อสินค้านอกบ้านร่วมกับคนในครอบครัว

2. ผู้หญิงอย่าหยุดสวย “คืนความสุขให้ผู้หญิง” ด้วยการช้อปปิ้ง / Refresh the happiness of women จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้กลุ่มผู้บริโภคผู้หญิงต้องแบกภาระที่หนักหน่วง ทั้งการทำงาน การเลี้ยงลูกน้อย หรือแม้แต่การดูแลงานบ้าน แต่ยังคงมีความต้องการใช้จ่ายเพื่อหาความสุขให้ตัวเองเพิ่มมากขึ้น เห็นได้ว่ากลุ่มผู้บริโภคผู้หญิงมีแนวโน้มความต้องการซื้อสินค้าประเภทสกินแคร์และเครื่องสำอางที่เพิ่มสูงขึ้นติดอันดับ 1 ใน 5 สินค้าที่ต้องการมากที่สุด เพราะถึงแม้ว่าจะไม่ได้ออกจากบ้าน แต่คนกลุ่มนี้ก็ยังอยากให้ตัวเองดูสวยอยู่ตลอดเวลา และมีอีกหนึ่งกลุ่มสินค้าที่น่าจับตา คือความต้องการใช้จ่ายในสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และเครื่องเสียง เพิ่มมากขึ้นด้วย เพราะสินค้าเหล่านี้สามารถกระตุ้นรายจ่ายและเติมเต็มความสุขให้ผู้หญิงได้เป็นอย่างดี

ทางด้าน นางสาวชุลิกา สายศิลา ผู้จัดการด้านงานวางแผนกลยุทธ์ บริษัท สไปซี่ เอช จำกัด กล่าวว่า จากผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยในรอบนี้ หากจำแนกเป็นช่วงอายุระหว่าง 20-29 ปี ผู้บริโภคในกลุ่มนี้จะเน้นการหาความสุขให้กับตัวเอง ด้วยการใช้จ่ายสินค้าเพื่อดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มสกินแคร์และเครื่องสำอางยังคงเป็นสินค้ายอดนิยมและมาแรงอย่างมาก ในส่วนสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนนั้นก็ยังคงเป็นสิ่งของจำเป็น ซึ่งสามารถนำมาใช้ร่วมกับงานที่ตัวเองทำและสร้างความสุขให้กับตัวเองได้อีกด้วย ส่วนผู้บริโภคในช่วงอายุระหว่าง 40-49 ปี ยังคงมีการใช้จ่ายเพื่อดูแลครอบครัวเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าเทอมบุตร-หลาน การซื้อนมให้ลูก การดูแลพ่อแม่สูงวัย เป็นต้น แต่ยังคงใช้จ่ายแบบไม่ประมาท รัดเข็มขัดรายจ่ายมากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงและการออมเงินรองรับกับความไม่แน่นอนทางสภาพเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน หากแบ่งสัดส่วนตามภูมิภาคพบว่า ภาคอีสานยังมีความต้องการใช้จ่ายสูงสุด หลังจากภาครัฐประกาศล็อกดาวน์ทำให้ผู้คนต่างกลับภูมิลำเนาและวางแผนอยู่แบบระยะยาว เกิดการซื้อสินค้าที่จำเป็นในการใช้ชีวิต หลังจากเจอพิษโควิดและต้องกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง ในภาคกลางนั้นส่วนใหญ่หมดไปกลับสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น เครื่องนอน และอุปกรณ์

คอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ในการทำงานและสร้างความสุขส่วนตัว ส่วนในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล พบว่าสถานะทางการเงินมีแนวโน้มดีขึ้น และมีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการช้อปปิ้งออนไลน์เพื่อลดความตึงเครียด โดยข้อมูลจากผลสำรวจช่วงตุลาคม 2564 พบว่า 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่คนไทยใช้จ่ายมากที่สุดในช่วงสถานการณ์ล็อกดาวน์ เป็นกลุ่มสินค้าที่จำเป็นในใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งได้แก่

· อาหาร 31%

· สิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน 14%

· สมาร์ทโฟนและโทรศัพท์มือถือ 10%

· อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และแท็บเล็ต 7%

· เครื่องสำอางและสกินแคร์ 5%

นางสาวณัฐชมนต์ นพอนันต์โภคิน ผู้จัดการด้านงานวางแผนกลยุทธ์ บริษัท สไปซี่ เอช จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า “การคาดการณ์พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศไทยประจำเดือนตุลาคม 2564” ความยืดเยื้อของสถานการณ์โควิด-19 หรือที่เรียกว่า Long Covid ส่งผลให้พฤติกรรมของคนไทยให้ความสนใจกับข่าวสารบ้านเมืองมากขึ้น คิดเป็นร้อยละ 48 โดยเฉพาะข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 มาตรการเยียวยาของภาครัฐ หรือแม้แต่จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ในแต่ละวัน รองลงมาหนีไม่พ้นในเรื่องการเมือง การเคลื่อนไหวของกลุ่มม็อบ และการชุมนุมต่าง ๆ ถึงร้อยละ 24 โดยได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นถึง 16% มาเป็นอันดับ 2 และยังติดตามประเด็นร้อนรอบโลก และความเป็นไปในต่างประเทศอย่างตาลีบันบุกยึดประเทศอัฟกานิสถาน ร้อยละ 3 ตามมาด้วยข่าวคดีผู้กำกับโจ้ เศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติ เป็นที่น่าสนใจว่าในสถานการณ์โควิด-19 อันตึงเครียดและไม่แน่นอนนั้น ยังมีหัวข้อใหม่ ๆ ในผลวิจัยนี้คือเรื่อง Popcat เกมส์ และกีฬา ซึ่งหากมองในภาพรวมแล้วแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงต้องการด้านความบันเทิง เพื่อผ่อนคลายและหาความสุขตามสภาพแวดล้อมของตนเอง

 ผลสำรวจครั้งล่าสุดในเดือนตุลาคมนี้ ทางสถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) ได้ทำการสำรวจทางออนไลน์ “การคาดการณ์พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศไทย” เมื่อวันที่ 17-26 สิงหาคม 2564 โดยจัดทำทุกๆ 2 เดือนร่วมกับบริษัทในเครือ เพื่อมุ่งเน้นการคาดการณ์แนวโน้มของผู้บริโภคชาวไทยในอนาคต โดยผู้ร่วมตอบแบบสอบถามประกอบไปด้วยเพศชายและเพศหญิงจำนวน 1,200 คน อายุระหว่าง 20-59 ปี จาก 6 ภูมิภาคทั่วประเทศ สามารถติดตามข้อมูล เพิ่มเติมได้ทางเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/hakuhodohillasean

โดยไมเคิล แมคโดนัลด์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายดิจิทัล และที่ปรึกษาผู้บริหาร หัวเว่ย เอเชีย-แปซิฟิก

ในยุคที่การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบดิจิทัลกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ภาคการผลิต รวมถึงภาคอุตสาหกรรมต่างๆ จะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด การผนวกรวมเทคโนโลยีระบบ 5G AI และคลาวด์เข้าด้วยกัน ส่งผลให้เกิดการประยุกต์ใช้งานมากมายที่สามารถแก้ไขอุปสรรคความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งต้องเผชิญกับการควบคุมคุณภาพ ปัญหาต้นทุนสูงในการซ่อมบำรุงเครื่องจักร ความเสถียรในการเชื่อมต่อ ความปลอดภัยของข้อมูล และค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้น บัดนี้ ถึงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านแล้ว

ปี พ.ศ. 2563 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไทยมีมูลค่าต่ำกว่า 16 ล้านล้านบาท ซึ่งกว่าร้อยละ 30 มาจากกลุ่มอุตสาหกรรม การใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศคิดเป็นร้อยละ 4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไทย โดย ประมาณการว่าภาคอุตสาหกรรมจะเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายด้าน ICT สูงสุดในปี พ.ศ. 2564 กล่าวคือ สูงกว่าภาคการเงินร้อยละ 20 และสูงกว่ากลุ่ม ICT ถึงร้อยละ 80

ขณะที่กระแสส่วนใหญ่ของการลงทุนในส่วนนี้จะเป็นไปเพื่อการเปลี่ยนผ่านธุรกิจแบบดั้งเดิมไปสู่ระบบดิจิทัล โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ของคลาวด์ บิ๊กดาต้า (big data) และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยมีรากฐานที่สำคัญคือโครงสร้างพื้นฐานที่มีความคล่องตัว สำคัญต่อการปฏิบัติงาน และสอดคล้องกับข้อตกลงระดับการให้บริการ (SLA)

เทคโนโลยี 5G เป็นการผสานองค์ประกอบสำคัญต่างๆ เข้าด้วยกัน เช่น ค่าความหน่วง (latency) ในการรับส่งข้อมูลแบบต่ำเป็นพิเศษเพื่อการควบคุมแบบเรียลไทม์ การเชื่อมต่อจำนวนมากที่มีความยืดหยุ่นสำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ผ่าน IoT การจำแนกเครือข่ายจำลองให้มีความปลอดภัยและรองรับระบบคอมพิวเตอร์แบบเอดจ์ (edge computing) ไร้สายเพื่อการตอบสนองที่ดียิ่งขึ้น และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เครือข่ายไร้สายที่จะสามารถสื่อสารผ่านอุปกรณ์มือถือผ่านระบบการสื่อสารในระดับองค์กรธุรกิจที่มีความเชื่อถือได้ เพื่อสนองตอบความต้องการของภาคอุตสาหกรรมเฉพาะกลุ่มในแนวดิ่ง (vertical industries)

ในประเทศจีน ได้เริ่มมีการประยุกต์ใช้ระบบ 5G ในโรงงานต่างๆ แล้วกว่า 200 แห่ง และนำมาซึ่งคุณประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมต่อผลการดำเนินงานและต้นทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บริษัท Midea ซึ่งนำระบบ 5G มาใช้แทนเครือข่ายไร้สายแบบเดิมสำหรับรถลำเลียงสินค้าอัตโนมัติ (AGVs) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบงานโลจิสติกส์ได้ถึงร้อยละ 8 และลดต้นทุนดำเนินงานและซ่อมบำรุง (O&M) ถึงร้อยละ 10 จากการเชื่อมต่อที่มีเสถียรภาพเพิ่มขึ้น ส่วนที่บริษัท IKD ซึ่งเป็น ผู้จัดหาชิ้นส่วนอะลูมิเนียมหล่อขึ้นรูปสำหรับรถยนต์ที่มีการใช้งานถึงร้อยละ 70 ของปริมาณรถยนต์ทั้งหมด ก็ได้นำระบบ 5G มาใช้แทนระบบสายเคเบิลที่มีความยาวกว่า 10 กิโลเมตร ซึ่งใช้เดินสายเชื่อมต่อเครื่องจักรกว่า 600 เครื่อง เพื่อลดต้นทุนการซ่อมบำรุงสายเคเบิลลงได้เกือบเป็นศูนย์ และเพิ่มอัตราผลตอบแทนผลิตภัณฑ์ (product yield rate) ขึ้นร้อยละ 10

ขณะที่ระบบ 5G สำหรับภาคการผลิตยังอยู่ระหว่างการพัฒนา ปัญหาสำคัญเห็นได้ง่ายมากเพราะกลุ่มผู้ผลิตในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ และอื่นๆ ต่างพยายามหาหนทางที่จะฟื้นตัวจากภาวะซบเซาในปี พ.ศ. 2563 เพื่อเพิ่มคุณภาพและผลิตภาพ และลดต้นทุน โครงสร้างพื้นฐานระบบ 5G จะช่วยวางรากฐานการให้บริการที่มีความคล่องตัวและเชื่อถือได้ ทั้งยังเป็นย่างก้าวสำคัญที่เบิกทางไปสู่การนำไปประยุกต์ใช้ที่น่าสนใจในภาคการผลิต

วิทยาการหุ่นยนต์ระบบ 5G ในสายการผลิตต่างๆ นับเป็นประโยชน์ต่อผู้ผลิตเป็นอย่างมาก และสามารถนำไปใช้งานได้ทันทีเพื่อรองรับการผลิตแบบต่อเนื่องและลดค่าแรง ระบบหุ่นยนต์อุตสาหกรรมได้ถูกนำมาใช้เป็นหลักในโรงงานผลิตต่างๆ ที่มีความต้องการผลิตสินค้าปริมาณมาก มีกระบวนการทำงานซ้ำๆ และต้องการความถูกต้องแม่นยำสูง เช่น โรงงานผลิตรถยนต์ อาหาร และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นสามกลุ่มกิจการจากสี่ภาคการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในไทย เมื่อมีการใช้แขนกลที่ถูกโปรแกรมสำหรับกระบวนการทำงานอุตสาหกรรม เช่น สายงานเชื่อม ขนถ่ายวัสดุ บรรจุภัณฑ์ และสายงานประกอบ ระบบวิทยาการหุ่นยนต์จึงจำเป็นต้องมีการเชื่อมต่อความเร็วสูง มีเสถียรภาพ และมีความหน่วงในการรับส่งข้อมูลต่ำ เพื่อรองรับความคล่องตัวและความต่อเนื่องในกระบวนการทำงานอัตโนมัติ

การบำรุงรักษาทางอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยี 5G AR เป็นการใช้เทคโนโลยีคลาวด์แบบโลกเสมือนจริง (Augmented Reality) ในงานซ่อมบำรุงทางอุตสาหกรรม และใช้กล้องที่มีความคมชัดสูงเป็นพิเศษผ่านการเชื่อมต่อความเร็วสูงที่มีค่าความหน่วงในการรับส่งข้อมูลต่ำมาก เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การซ่อมบำรุงสำหรับผู้เชี่ยวชาญจากพื้นที่ระยะไกล จากการขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญภายในประเทศ ความยุ่งยากจากการใช้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ และต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาที่เครื่องจักรเสีย การบำรุงรักษาทางอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยี 5G AR จะช่วยอำนวยความสะดวกในงานซ่อมบำรุงเครื่องจักรได้ทันทีโดยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถปฏิบัติงานได้จากพื้นที่อื่น

นิคมอุตสาหกรรมระบบ 5G จัดให้มีระบบเข้าใช้งานแบบไร้สายประจำที่สำหรับการใช้งานส่วนตัว และรองรับการเชื่อมต่อความเร็วสูงที่มีความน่าเชื่อถือและมีค่าความหน่วงในการรับส่งข้อมูลต่ำ เพื่อใช้เป็นโซลูชันอัจฉริยะสำหรับการผลิตผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ในระบบ 5G โดยเฉพาะที่ใช้ในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายให้บริการแก่ผู้ผลิต นิคมอุตสาหกรรมระบบ 5G จะทำให้โครงสร้างพื้นฐานไร้สายแบบผสมผสานในระบบเดียวกันมีความมั่นคงปลอดภัย รองรับความต้องการของผู้ผลิตที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอได้เป็นอย่างดี

รถยกควบคุมระยะไกลด้วยระบบ 5G ใช้กล้องระดับ 4K และการเชื่อมต่อความเร็วสูงในการควบคุมการทำงานแบบเรียลไทม์สำหรับรถยกที่ควบคุมจากห้องปฏิบัติงานระยะไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อนำไปใช้งานในคลังสินค้าเพื่อยกอุปกรณ์หรือสินค้าคงคลังต่างๆ ในสภาพแวดล้อมที่มีข้อจำกัด เช่น ห้องเย็นสำหรับเก็บอาหาร และพื้นที่อันตรายต่างๆ รถยกด้วยควบคุมระยะไกลด้วยระบบ 5G ที่เชื่อมต่อผ่านเครือข่ายความเร็วสูงที่มีค่าความหน่วงในการรับส่งข้อมูลต่ำจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานได้ดียิ่งขึ้น

 ไม่ว่าจะเป็นวิทยาการหุ่นยนต์ระบบ 5G สำหรับสายการผลิตที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การบำรุงรักษาทางอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยี 5G AR สำหรับงานซ่อมบำรุงทางอุตสาหกรรมโดยผู้เชี่ยวชาญอย่างทันท่วงทีที่จะทำให้มีช่วงเวลาเครื่องจักรเสียเพียงสั้นๆ นิคมอุตสาหกรรมระบบ 5G ที่รองรับเครือข่ายที่มีความยืดหยุ่น มั่นคงปลอดภัย และมีความเสถียร หรือรถยกควบคุมระยะไกลระบบ 5G ที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความปลอดภัย การประยุกต์ใช้งานทั้ง 4 กรณีตัวอย่างที่กล่าวมานั้นสามารถนำมาใช้เป็นแนวทางสำหรับการนำไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดได้ ที่จริงแล้ว การคาดการณ์ในปี พ.ศ. 2568 แสดงให้เห็นว่า เฉพาะ 4 กรณีตัวอย่างของการประยุกต์ใช้งานระบบ 5G จะสามารถสร้างรายได้ในภาคบริการเพิ่มขึ้นได้ถึง 1.4 พันล้านบาท

เพื่อผลักดันให้มีการประยุกต์ใช้งานระบบ 5G และพัฒนาระบบนิเวศที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในประเทศไทย หัวเว่ยจึงจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมระบบนิเวศ 5G (5G Ecosystem Innovation Center) ขึ้น ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) แห่งนี้เป็นการร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับศูนย์ฯ Open Labs ในประเทศจีน และทั่วโลก และได้ประโยชน์จากการประยุกต์ใช้งานและการถ่ายทอดองค์ความรู้จากพันธมิตรทั่วโลก ศูนย์ 5G EIC เปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ มีพันธมิตรกว่า 70 ราย ทั้งยังเป็นศูนย์ฯ บ่มเพาะนวัตกรรม 5G และทดสอบแพลตฟอร์มการให้บริการต่างๆ

ความพร้อมของระบบนิเวศ 5G ในประเทศไทยแสดงให้เห็นด้วยว่า ถึงเวลาแล้วที่จะมีการกำหนดระเบียบและนโยบายเพื่อเร่งรัดการนำเทคโนโลยีด้านการสื่อสารและสารสนเทศรูปแบบใหม่มาประยุกต์ใช้งานจริง ซึ่งสอดรับกับยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ประกอบด้วย อุตสาหกรรมอัจฉริยะ เมืองอัจฉริยะ และพลเมืองอัจฉริยะ จึงจำเป็นต้องมีการลงทุนและสนับสนุนเทคโนโลยีเพื่อบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่ระบบอุตสาหกรรม 4.0 อย่างครบวงจรภายในปี พ.ศ. 2570

ในส่วนของระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกของประเทศไทย (EEC) ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 40 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไทย และเป็นภาคการผลิตที่ใหญ่ที่สุด รัฐบาลและองค์กรกำกับดูแลท้องถิ่นควรให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยี 5G ไปประยุกต์ใช้งาน และช่วยยกระดับ EEC ไปสู่ความเป็นศูนย์กลางการผลิตระดับแนวหน้าสำหรับการวิจัยและพัฒนา และการนำระบบอัตโนมัติและวิทยาการหุ่นยนต์ ตลอดจนระบบอัจฉริยะต่างๆ ไปใช้ในเชิงพาณิชย์ต่อไป

ในฐานะที่มีสัดส่วนใหญ่ที่สุดต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไทย จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคการผลิตมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ แนวคิดการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย 4.0 ที่มีเป้าหมายเพื่อยกระดับประเทศไทยไปสู่ระบบดิจิทัลอย่างครบวงจรภายในปี พ.ศ. 2570 จะเกิดขึ้นได้ด้วยการพัฒนานโยบายและระบบนิเวศ 5G ที่มีประสิทธิภาพเพื่อการนำไปประยุกต์ใช้งาน EEC จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี นำโดยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ การแปรรูปอาหารและเครื่องดื่ม และยานยนต์ ยกระดับภาคการผลิตในประเทศไทย ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศรูปแบบใหม่ และผลักดันอุตสาหกรรม 4.0 ทั่วประเทศ

# # #

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics คาดทิศทางเงินบาทยังคงอ่อนค่าต่อในปี 2565 แม้เศรษฐกิจไทยจะมีการฟื้นตัวในด้านท่องเที่ยว แต่ประเด็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ตามสภาพอัตราเงินเฟ้อและเศรษฐกิจ ส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐฯ มีการแข็งค่าต่อเนื่อง คาดเม็ดเงินไหลกลับสหรัฐฯ ประเมินกรอบค่าเงินบาทปี 2565 ไว้ที่ 33.5 – 35.0 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แนะธุรกิจวางแผนรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนที่เพิ่มขึ้นจากการแข็งค่าเงินบาทในระยะสั้น

 คาดธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายปีหน้า จากปัจจัยเงินเฟ้อและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

 ทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง หลังจากตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาปรับตัวลดลงตั้งแต่เดือนกันยายน ซึ่งข้อมูลทางเศรษฐกิจแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวด้านการบริโภคและตลาดแรงงาน โดยอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ปรับตัวลงต่ำสุดนับตั้งแต่มีการระบาดของโรคโควิด-19 อยู่ที่ 4.8% อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เงินเฟ้อมีแนวโน้มอยู่ระดับสูงในระยะยาว อันเป็นผลจากปัจจัยพื้นฐานด้านพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบ ส่งผลให้ต้นทุนค่าขนส่งและต้นทุนการผลิตมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้น และอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงในปี 2565

ดังนั้น ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจมีแนวโน้มพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2565 หลังจากที่การประชุมเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้แสดงถึงแนวทางการดำเนินนโยบายด้านการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น เห็นได้จากการวางแผนลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ (Quantitative Easing: QE) เพื่อลดขนาดสินทรัพย์ที่ถือครองอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้มากขึ้นว่าปี 2565 ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1-2 ครั้ง

 ประเมินทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น หนุนการอ่อนค่าของสกุลเอเชียและเงินบาท

 อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ปี 2565 อาจไม่สอดคล้องกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ที่มีความจำเป็นต้องคงอยู่ในระดับต่ำเช่นนี้ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ความแตกต่างของอัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยอาจส่งผลให้เม็ดเงินจากภูมิภาคเอเชีย ไหลกลับเข้าสู่สหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ปี 2565 สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และส่งผลให้สกุลเงินบาทและสกุลเงินเอเชียอื่น ๆ อ่อนค่าลง

 ในอดีต การปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ได้ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการอ่อนค่าของสกุลเงินบาท โดยในปี 2558 ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรก ภายหลังวิกฤตการเงินซับไพร์ม ซึ่งได้คาดการณ์ล่วงหน้าถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ช่วงต้นปี 2558 และการคาดการณ์นี้ส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีการแข็งค่าเพิ่มขึ้น สกุลเงินบาทและสกุลเงินเอเชียปรับตัวอ่อนค่าเพิ่มขึ้น ค่าเงินบาทไทยอ่อนค่ากว่า 11.7 % จากระดับ 32.34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 และขยับไปที่ระดับสูงสุด 36.37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนกันยายน 2558

 ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับค่าเงินบาทไทย ส่งผลกระทบเช่นเดียวกันต่อสกุลเงินต่าง ๆ ทั่วเอเชีย โดยสกุลเงินที่ได้รับผลกระทบมากในช่วงเวลาดังกล่าวคือ สกุลเงินรูเปียห์ของอินโดนีเซีย และรูปีของอินเดีย ซึ่งอ่อนค่าที่ 7%

 ปัจจัยภายในประเทศอาจหนุนบาทแข็งในระยะสั้น ระวังความผันผวนที่มากขึ้น

 แม้ภาพรวม ค่าเงินบาทจะมีแนวโน้มอ่อนค่าลง แต่ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่กำลังฟื้นตัวอย่างช้า ๆ จากการท่องเที่ยวที่ทยอยฟื้นตัวในปีหน้า อาจส่งผลให้เกิดความต้องการของค่าเงินบาทเพิ่มสูงขึ้นในระยะสั้น ประกอบกับการเป็นประเทศที่มีการอ่อนค่าเงินสูงสุดเป็นอันดับแรกของเอเชียในปี 2564 อาจส่งผลให้ค่าเงินบาทที่มีการปรับตัวแข็งค่าในระยะสั้น และมีความผันผวนเพิ่มมากขึ้น จากการเก็งกำไรค่าเงินของนักลงทุนต่างชาติ ดังนั้น ภาคธุรกิจควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน เช่น การทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (FX forward) การจองสิทธิที่จะซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (FX options) เพื่อปิดความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินที่อาจพุ่งสูงขึ้นในปี 2565 ซึ่งจะสามารถช่วยรักษาความสามารถทำกำไรจากการส่งออกและบริหารต้นทุนการนำเข้าของภาคธุรกิจได้ดีขึ้น

 

* * * * * * * *

กรุงเทพฯ, 21 ตุลาคม 2564 -- ‘ช้อปปี้’ ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน เร่งเครื่องเปิดฉากมกหรรมช้อปปิ้งออนไลน์สุดยิ่งใหญ่แห่งปี ‘Shopee 11.11 Big Sale ’ กับจุดมุ่งหมายในการส่งต่อความสุขคืนสู่สังคมผ่านโลกออนไลน์ รวมพลังแข็งแกร่งกับเหล่าเซเลบริตี้ใจบุญจาก Shopee Celebrity Club นำโดย คุณตู่-ภพธร สุนทรญาณกิจ, คุณฮาน่า-ทัศนาวลัย จักรพงษ์, คุณเจสซี่-เจสสิกา ภาสะพันธุ์ และแบรนด์พันธมิตรชั้นนำบน Shopee Mall รวม 14 ราย มุ่งช่วยเหลือชาวไทยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการ์ณโควิด-19 ผ่านโครงการ ‘ช้อปปี้ร่วมใจไฟท์โควิด’ ที่จัดขึ้นเพื่อเปิดพื้นที่บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซช้อปปี้ในการเชื่อมต่อเพื่อสนับสนุนความช่วยเหลือให้แก่ภาคสังคมทั้งในรูปแบบของการบริจาคเงินสมทบทุนละสิ่งของที่จำเป็นเพื่อส่งต่อกำลังใจ พร้อมสนับสนุนให้ภาคสังคมที่ต้องการความช่วยเหลือสามารถฝ่าฟันก้าวพ้นทุกอุปสรรคครั้งนี้ไปด้วยกัน

โครงการ ‘ช้อปปี้ร่วมใจไฟท์โควิด’ ถือเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจช่วยเหลือภาคสังคมที่ทางช้อปปี้ดำเนินมาต่อเนื่อง อย่างโครงการ #ShopeeTogether โดยให้ความสำคัญในการช่วยเหลือ ต่อ ยอดโอกาสแห่งการให้ และช่วยสนับสนุนภาคสังคมไทยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการ์ความไม่แน่นอนต่างๆ อย่างสถานการณ์โควิด-19

นางสาวสุชญา ปาลีวงศ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดอาวุโส ช้อปปี้ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “สำหรับการเปิดตัวแคมเปญ ‘Shopee 11.11 Big Sale’ ในปีนี้ ช้อปปี้มุ่งมั่นในการสรรสร้างประโยชน์เพื่อสังคมไทยในทุกพื้นที่อย่างแท้จริง ซึ่งนอกจากการยกระดับประสบการณ์การซื้อ-ขายบนโลกอีคอมเมิร์ซในทุกมิติแล้ว ช้อปปี้ได้มีการดำเนินหลากหลายกิจกรรมเพื่อสังคมมาอย่างต่อเนื่อง สอดรับกับจุดมุ่งหมายขององค์กร คือ การใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและการส่งความสุขคืนสู่สังคม โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่หลายฝ่ายกำลังเผชิญและต่อสู้กับความท้าทาย ช้อปปี้ขอยืนหยัดอยู่เคียงข้างทุกคน และขอเป็นส่วนหนึ่งในการจุดไฟดวงเล็กๆ ที่ส่งแสงสว่างผ่านแพลตฟอร์มของเรากับโครงการ ‘ช้อปปี้ร่วมใจไฟท์โควิด’ ที่เราได้รวมพลังความสามัคคีจากภาคีเครือข่ายที่ต่างมีความตั้งใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการส่งมอบการให้ที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้”

ปลุกระดมส่งต่อพลังแห่งการให้ ฝ่าฟันสถานการณ์โควิด-19 กับ 4 ภารกิจในโครงการ ‘ช้อปปี้ร่วมใจไฟท์โควิด’

 

 1. กล่องร่วมใจ (Goods Donation): แบรนด์พันธมิตรรวมพลังสร้างสรรค์ส่งต่อ ‘กล่องร่วมใจ’ ที่รวบรวมของใช้จำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวันมาอย่างครบครับ อาทิ เจลล้างมืออนามัยแอลกอฮอล์จากเดทตอล ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำจากฮาร์ปิค ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเส้นผมจากจอห์นสัน อาหารแห้ง ขนม และเครื่องดื่มจากพนมรุ้ง ซีเล็ค ออร่า โอวัลติน ไวไว โมโนริ และเอ็มมิลค์ โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกส่งมอบกล่องร่วมใจให้แก่กลุ่มเส้นด้าย และ Food For Fighters ผ่านร้านค้า Official Store ‘ShopeeTogether for Donation’ ที่ช้อปปี้ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อภารกิจนี้โดยเฉพาะ

 2. ทุกคำสั่งซื้อแทนกำลังใจ (Brand Donation): ทุกคำสั่งซื้อสินค้าของแบรนด์พันธมิตรบน Shopee Mall อาทิ กันพลา วิลเลจ สกายเวิร์ธ สมาร์ทโฮม และแอ๊ดด้า ฟุตแวร์ แบรนด์พันธมิตรขอร่วมสมทบทุนเพิ่ม 11 บาทเพื่อนำไปบริจาคแก่มูลนิธิและองค์กรการกุศลต่างๆ

 3. บริจาคออนไลน์ (E-Donation): ผู้ใช้งานสามารถซื้อคูปองบริจาคโดยตรงในร้านค้า Official Store ของมูลนิธิและองค์กรการกุศลต่างๆ ที่ต้องการผ่านช้อปปี้แพลตฟอร์ม

 4. คอนเสิร์ตเพื่อสังคม รวมใจให้เป็นหนึ่ง (Charity Concert): ยกระดับการบริจาคผ่านช่องทางออนไลน์กับสุนทรียะความบันเทิงขั้นสุดบน Shopee Live ที่ช้อปปี้จะรวมเหล่าดาราและเซเลบริตี้ชื่อดังมาร่วมมอบความสุขผ่านเสียงร้องเพลงและดนตรีเพราะๆ ให้ผู้ใช้งานช้อปปี้ได้มาร่วมช่วยเหลือสังคมกันอย่างอิ่มเอมใจ

 นอกจากนี้ ช้อปปี้ยังสนับสนุนการบริจาคผ่าน ‘ShopeePay’ ผู้ให้บริการด้านการชำระเงินผ่าน Mobile Wallet ชั้นนำจาก SeaMoney ทั้งบนช้อปปี้แพลตฟอร์มและบน ShopeePay เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้ผู้ใช้งานได้มีตัวเลือกในการบริจาคหลากหลายช่องทางมากขึ้น

ทุกการบริจาคจากผู้ใช้งาน ช้อปปี้และเหล่าภาคีเครือข่ายจะส่งตรงความช่วยเหลือสู่สังคมไทยผ่าน มากกว่า 30 พันธมิตรมูลนิธิและองค์กรการกุศลทั่วประเทศ อาทิ สภากาชาดไทย, ศิริราชมูลนิธิ, มูลนิธิรามาธิบดีฯ, มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย, มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชน, มูลนิธิสายใจไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ มูลนิธิกระจกเงา, กลุ่มเส้นด้าย, โครงการสหประชาชาติ (UNDP) ร่วมกับ Food For Fighters, สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่ง

สหประชาชาติ (UNHCR) และอื่นๆ อีกมากมาย โดยองค์กรเหล่านี้จะเป็นตัวกลางในการแจกจ่ายความช่วยเหลือถึงมือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างทั่วถึง

ภายในงานการเปิดตัวมหกรรมช้อปปิ้งออนไลน์ ‘Shopee 11.11 Big Sale’ ยังได้รับเกียรติจาก คุณตู่-ภพธร สุนทรญาณกิจ ศิลปินแถวหน้าของเมืองไทยจาก Shopee Celebrity Club เจ้าของแบรนด์ Soulgood ร่วมพูดคุยถึงโครงการ ‘ช้อปปี้ร่วมใจไฟท์โควิด’ กล่าวว่า “ผมรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการทำบุญครั้งใหญ่กับช้อปปี้ ด้วยสถานการ์ณความยากลำบากที่ชาวไทยกำลังเผชิญ เราตั้งใจอยากแบ่งปันความช่วยเหลือ พร้อมทั้งสร้างการตระหนักในวงกว้างถึงการให้ที่เป็นจุดเริ่มต้นของพลังที่ช่วยส่งต่อลมหายใจให้อีกหลายชีวิต เราต้องขอขอบคุณทางช้อปปี้ที่เป็นสะพานบุญสร้างแรงขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่และหลอมลวมพลังจากผู้มีจิตกุศลในทุกภาคส่วน และขอใช้โอกาสนี้เชิญชวนชาวไทยมาร่วมทำบุญช่วยกันคนละเล็กละน้อย เพราะทุกคนต่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกันในการผลักดันสังคมและช่วยให้คนไทยก้าวผ่านสถานการ์ณโควิด-19 ไปด้วยกันให้เร็วที่สุด”

“ช้อปปี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ใช้งานชาวไทยจะได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ที่ดีที่สุดในช่วงปลายปีนี้กับ ‘Shopee 11.11 Big Sale’ ซึ่งความพิเศษของปีนี้คือผู้ใช้งานจะได้พบกับประสบการณ์ที่ไม่ได้เพียงแต่สร้างความบันเทิงให้ตัวเอง แต่เป็นการส่งความสุขคืนสู่สังคมผ่านการเปิดช่องทางธารน้ำใจให้ทุกคนเข้าถึงและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคมกับช้อปปี้ โดยเราต้องขอขอบคุณภาคีเครือข่ายพันธมิตรทุกรายที่ร่วมกันทำภารกิจเพื่อสังคมครั้งนี้ด้วยกัน เราเชื่อว่าด้วยความร่วมมือจากทุกฝ่ายจะทำให้ชาวไทยกลับมายิ้มได้อีกครั้ง โดยช้อปปี้พร้อมเป็นสื่อกลางในการเชื่อมต่อโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีบนแพลตฟอร์มของเราเพื่อรวบรวมกำลังใจของทุกภาคส่วน พร้อมรวมพลังสู้ไปด้วยกัน” นางสาวสุชญา กล่าวปิดท้าย

ช้อปปี้ขอเชิญชวนนักช้อปร่วมเป็นส่วนสำคัญในโครงการเพื่อสังคม ‘ช้อปปี้ร่วมใจไฟท์โควิด’ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองมหกรรมช้อปปิ้งออนไลน์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของปี ‘Shopee 11.11 Big Sale’ ให้ชาวไทยทุกคนเต็มอิ่มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข สามารถติดตามรายละเอียดและร่วมบริจาคผ่านแพลตฟอร์มช้อปปี้ได้ตั้งแต่วันนี้ - 12 ธันวาคม 2564 ที่ https://shopee.co.th/m/shopee-ruam-jai ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันช้อปปี้ได้ฟรีจาก App Store, Google Play Store และ App Gallery

 

----

กรุงเทพ, ตุลาคม 2564 , สมาคมประชาสัมพันธ์และการสื่อสาร หรือ PRCA เอเชียแปซิฟิก (Public Relations & Communications Association Asia Pacific) ได้ประกาศมาสเตอร์แพลนการดำเนินงานในประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนอาชีพนักประชาสัมพันธ์ และส่งเสริมอุตสาหกรรมประชาสัมพันธ์ในภาพรวมทั้งหมด

 PRCA เป็นองค์กรด้านงานประชาสัมพันธ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นตัวแทนของนักประชาสัมพันธ์กว่า 35,000 คนจาก 70 ประเทศทั่วโลก และเมื่อต้นปี 2021 PRCA ได้ประกาศเปิดสาขาในกรุงเทพมหานคร และนครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม เพิ่มเติมจากสาขาที่มีอยู่เดิมในกรุงลอนดอน สิงคโปร์ ดูไบ ฮ่องกง และกรุงบัวโนสไอเรส

 PRCA ประเทศไทยจะเปิดรับสมาชิกจากองค์กรและบริษัทต่างๆ, เอเจนซี่, องค์กรไม่แสวงหากำไร, ตัวแทนภาครัฐ, สื่อมวลชน, นักสร้างสรรค์ Content ตลอดจนบุคคลผู้สนใจ และนักวิชาการ

 แผนแม่บทของ PRCA ในประเทศไทยได้ถูกออกแบบเพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจของ PRCA ในการสร้างสรรค์อุตสาหกรรมประชาสัมพันธ์ที่มีความเป็นมืออาชีพ, มีจริยธรรม และมีความสำเร็จมากยิ่งขึ้น โดยวัตถุประสงค์ของ PRCA มีวัตถุประสงค์หลักอยู่ 3 ข้อเพื่อให้แน่ใจได้ว่าอุตสาหกรรม PR ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น ระหว่างการบริการด้านการตลาดผ่านบริษัทและองค์กร ตามคำกล่าวของ คาริณ โลหิตนาวี ประธาน PRCA ประเทศไทย ที่เป็นผู้นำการดำเนินงานในปีแรกนี้

 “ที่ผ่านมา PR ได้รับความสำคัญมาโดยตลอด และยิ่งในปัจจุบัน PR ได้มีหน้าที่สำคัญในระดับบริหาร มากกว่าที่ผ่านมา” คาริณ โลหิตนาวี ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ Midas PR Group กล่าว “ไม่ว่าจะเป็นงานด้านการจัดการชื่อเสียง, การสื่อสารในภาวะวิกฤต, การสื่อสารของพนักงาน, และการสร้างสรรค์ Content ล้วนแล้วแต่เป็นภารกิจที่สำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับธุรกิจและองค์กรในวันนี้ PRCA ประเทศไทยจึงถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนขาขึ้นของอุตสาหกรรมและพัฒนาโอกาสในการทำงานของนักประชาสัมพันธ์ให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

 วัตถุประสงค์แรกของ PRCA ในประเทศไทยคือการยกระดับวิธีการวัดผลงาน PR เราจะพบว่าบ่อยครั้งที่ PR Campaign ถูกวัดผลจากมาตรวัดที่ล้าสมัย ซึ่ง PRCA จะเข้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไปข้างหน้าเพื่อให้การวัดผล PR มีประสิทธิภาพและได้รับการยอมรับที่กว้างขวางมากขึ้น แม้ว่าการวัดผลของ PR ไม่ได้มีแค่แนวทางเดียว แต่เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าการใช้ Advertising Value Equivalency (AVE หรือที่นักประชาสัมพันธ์เรียกว่า PR Value) ในการวัดผลก็ไม่ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมอีกต่อไป

 วัตถุประสงค์ที่สอง เพื่อมอบโอกาสในการพัฒนานักประชาสัมพันธ์ผ่านการสัมมนา และฝึกอบรม รวมถึงการพัฒนาแพลตฟอร์มในการแบ่งปันข้อมูล และการค้นคว้าวิจัยเพื่อยกระดับความรู้ความเข้าใจในอุตสาหกรรมประชาสัมพันธ์

 วัตถุประสงค์ที่สาม เพื่อเตรียมความพร้อมของคนทำงานประชาสัมพันธ์ยุคต่อไป เพื่อความสำเร็จและการเติบโตในเส้นทางอาชีพ

 “PR เป็นอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตในประเทศไทย และยังเป็นงานที่มอบโอกาสให้คนทำงานรุ่นใหม่ได้รับรางวัลเพื่อเติมเต็มผลสำเร็จในหน้าที่การงาน” ทารา มิวนิส, หัวหน้า PRCA เอเชียแปซิฟิก กล่าว “ในท้ายที่สุด บุคคลากรด้าน PR จะไม่ใช่แค่นักสื่อสาร แต่ PR ยังผู้ให้คำปรึกษาทางธุรกิจอีกด้วย และในวันที่การบริหารจัดการผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับองค์กรสำคัญอย่างเช่นวันนี้ นักเรียนที่ดีที่สุด และเก่งที่สุดควรจะพิจารณาอาชีพในสายงานประชาสัมพันธ์ “

 ในประเทศไทย สมาชิกรุ่นก่อตั้งของ PRCA ประกอบไปด้วยเอเจนซี่ประชาสัมพันธ์ชั้นนำ เช่น ABM Connect, Hill+Knowlton Strategies, Midas PR, Moonshot Digital, MSL และ Vero

 ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ผู้นำของ PRCA ประเทศไทยจะประกาศแผนงานและกำหนดการกิจกรรมที่จะกำลังจะเริ่ม เช่น โครงการมอบรางวัล, เวทีอภิปราย, งานอีเวนต์สำหรับผู้นำในอนาคต, การค้นคว้าวิจัย และอีเวนต์ทางด้านอาชีพ

 นอกจาก คาริณ โลหิตนาวี แล้ว คณะกรรมการรุ่นก่อตั้งของ PRCA ประเทศไทย ยังรวมไปถึง บริษัท Moonshot Digital โดย จักรพงษ์ คงมาลัย ในฐานะ รองประธาน, บริษัท Vero โดย ภัทร์นีธิ์ จีริผาบ ในตำแหน่งเลขาธิการ, บริษัท MSL โดย วรศิษย์ ตุรงค์สมบูรณ์ ในตำแหน่งเหรัญญิก, บริษัท Hill+Knowlton Strategies โดย วชิรภรณ์ พรพิทยาเลิศ ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ และบริษัท Vero โดย Brian Griffin ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการสื่อสาร และนอกจากนี้ยังมีหัวหน้าทีมประสานงานวิชาการได้แก่ วรศิษย์ ตุรงค์สมบูรณ์ จาก MSL พร้อมด้วยคุณเสรี ศิรินพวงศากร และ สุวิมล เดชอาคม จาก ABM Connect

 ***

Trane Technologies plc (NYSE:TT) บริษัทนวัตกรรมด้านสภาพภูมิอากาศระดับโลก ได้รับการยกย่องโดย Forbes ให้เป็นหนึ่งในนายจ้างที่ดีที่สุดโลกประจำปี 2564

Forbes ร่วมมือกับ Statista บริษัทวิจัยด้านการตลาดในการรวบรวมรายชื่อบริษัทเพื่อการจัดอันดับนี้ โดยสำรวจความคิดเห็นของพนักงาน 150,000 คนจากทั่วโลก ด้วยการให้พนักงานตอบคำถามว่า จะแนะนำนายจ้างของตนให้กับครอบครัวและเพื่อนหรือไม่ รวมถึงคำถามเกี่ยวกับบริษัทอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันในด้านภาพลักษณ์รอยเท้าทางเศรษฐกิจการพัฒนาทักษะพนักงานความเท่าเทียมทางเพศ และความรับผิดชอบทางสังคม และบริษัท 750 รายที่ทำคะแนนได้สูงที่สุด จะได้มีชื่ออยู่ในการจัดอันดับนี้

Marcia Avedon รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลการตลาด และการสื่อสารของ Trane กล่าวว่า วัฒนธรรมและเป้าหมายเป็นสิ่งที่จะสร้างความโดดเด่นให้กับองค์กรในยุคปัจจุบัน และพนักงานของ Trane Technologies ช่วยผลักดันกันและกัน รวมถึงชุมชนและลูกค้าของเราในทุก ๆ วัน จึงนับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่วัฒนธรรมขององค์กรเราได้รับการยอมรับจาก Forbes และพนักงานของเราว่าเป็นหนึ่งในนายจ้างที่ดีที่สุดในโลก ขณะนี้ เราตั้งใจทำงานมากยิ่งกว่าที่เคยเพื่อให้พนักงานรู้ว่าได้มีส่วนร่วม ได้รับการมองเห็นคุณค่า และได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กร เป้าหมายของเราในฐานะบริษัทคือการกล้าค้นหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ เพื่อโลกที่ยั่งยืน และพนักงานของเราทั่วโลกก็รับรู้ว่า เมื่อพวกเขามาทำงาน พวกเขาจะได้ร่วมพัฒนาให้โลกน่าอยู่ยิ่งขึ้นด้วย

ด้วย การประกาศความตั้งใจด้านความยั่งยืนปี 2573 Trane Technologies เปลี่ยนวิธีการทำงานในทุกด้านเพื่อมุ่งแก้ปัญหาด้านความยั่งยืนหลัก ๆ ของโลก ตัวอย่างหนึ่งของความตั้งใจนี้ก็คือ The Gigaton Challenge ที่บริษัทให้คำมั่นว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากลูกค้าของบริษัทให้ได้ กิกะตัน (2% ของปริมาณก๊าซที่ทั่วโลกปล่อยออกมาต่อปี)

นอกจากนี้ Trane Technologies ยังได้ปรับปรุงวัฒนธรรมและชุมชนขององค์กรด้วยโครงการ "Opportunity for All" ซึ่งตั้งใจส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศในระดับผู้บริหารความหลากหลายในหมู่พนักงานที่เทียบเคียงได้กับในชุมชน และโครงการริ่เริ่มเพื่อชุมชนที่สนับสนุนการศึกษาอย่างเท่าเทียม ตลอดจนปูทางสู่อาชีพด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีวิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

# # #

X

Right Click

No right click