

ท่านสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ตามไฟล์แนบ หรือที่เว็บไซต์ https://sourcing.hktdc.com/
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสมัครขอรับงบสนับสนุน SMEs Pro-active เพื่อเข้าร่วมกิจกรรม hktdc.com Sourcing
รอบสมัครถัดไป รับสมัครถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2564 สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://smesproactive.ditp.go.th/
กรุงเทพฯ, 12 ตุลาคม 2564 – Amazfit ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีสวมใส่ได้และชาญฉลาด ได้เปิดตัวอัตลักษณ์ของแบรนด์ใหม่ที่โดดเด่น เพื่อเฉลิมฉลองการแสดงออกและสะท้อนคุณค่าและไลฟ์สไตล์อย่างกล้าหาญยิ่งขึ้น
Amazfit เป็นแบรนด์ของ Zepp Health (NYSE: ZEPP) ซึ่งได้จัดส่งอุปกรณ์ไปแล้วกว่า 100 ล้านชิ้นตั้งแต่ปี 2557 ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องที่ลูกค้าได้รับการเติมเต็มด้วยโอกาสที่ไม่สิ้นสุดและอารมณ์อันต่อเนื่อง, ความรู้สึกและเป้าหมายที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน, แบรนด์ Amazfit นำเสนอความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุด ส่งผ่านความต้องการทั้งความหลงใหล ความเป็นธรรมชาติได้อย่างทันท่วงทีและสร้างสรรค์ในเชิงบวก อัตลักษณ์ใหม่ยังสะท้อนให้เห็นถึงสีสันอันโดดเด่นและวิวัฒนาการที่สนุกสนานของโลโก้ Amazfit
“เราได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในไลฟ์สไตล์ของผู้คน – ช่วยให้พวกเขาได้แสดงถึงบุคลิกภาพ พลังงาน และทัศนคติ ดังนั้นเราจึงตัดสินใจที่จะรีเฟรชและอัพเกรดแบรนด์ Amazfit เพื่อการนำเสนอวิสัยทัศน์ที่ดีกว่า และส่งเสริมให้ผู้คนใช้ชีวิตแบบมีสุขภาพที่ดีกว่าเดิม สำหรับก้าวแรกในการเดินทางครั้งนี้ ผมรู้สึกตื่นเต้นที่จะแสดงโลโก้ใหม่ Amazfit ที่นำเสนอโลกที่มีสีสัน และแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของการเป็นหนึ่งเดียว” จากคำกล่าวของ มร.ฮวง หวัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Amazfit
วิสัยทัศน์ของ Amazfit คือการทำให้ผู้คนมีอิสระ เพื่อให้พวกเขาใช้ชีวิตในแบบที่เขาต้องการ และแสดงออกถึงสปิริตอันกระตือรือร้น Amazfit ทำเช่นนี้ โดยการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นเทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่ง ล้ำสมัย มีสไตล์ ที่ส่งเสริมการแสดงออก ภาพลักษณ์ที่สร้างสรรค์, เฉลิมฉลองการใช้ชีวิตที่ทำให้ลูกค้าใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่
ด้วยโปรไฟล์ที่ครอบคลุมของ Amazfit นั้นรวมถึงสมาร์ทวอทช์และสายรัดที่มีสไตล์และสปอร์ต อุปกรณ์ออกกำลังกายและหูฟัง และในจุดนี้ Amazfit ยังเดินหน้าต่อไปในการสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนในการเร่งฟอร์มผลงานให้ดีขึ้น #Up their Game
Amazfit ได้ร่วมมือกับผู้บุกเบิกในโลกแฟชั่นชั้นนำอย่าง HELIOT EMIL™ และ Christian Cowan ซึ่งต่างให้การตอบรับความต้องการที่จะยกระดับเร่งฟอร์มผลงานให้ดีขึ้น #Up their Game และผสาน Amazfit เข้ากับการแสดงแฟชั่นโชว์ที่ Paris Fashion Week และ New York Fashion Week ตามลำดับ
ความร่วมมือกับนักออกแบบแฟชั่นชั้นนำ เป็นผลมาจาก Amazfit ได้เปิดตัวสินค้า GTR 3 และ GTS 3 ซีรี่ย์ ซึ่งเป็นชุดของผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและการออกกำลังกายอันล้ำสมัยที่นำเสนอควบคู่ผ่านสมาร์ทวอชท์ ที่เก๋ไก๋ และมีสไตล์ 3 รุ่น และทั้งหมดนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเร่งฟอร์มผลงานให้ดีขึ้น โดยไม่สูญเสียความเป็นส่วนตัว ผลิตภัณฑ์ GTR 3 Pro, GTR 3 และ GTS 3 ได้รับการสร้างสรรค์เพื่อช่วยให้ผู้คนนำทางโดยไม่ต้องพยายาม ทั้งในและนอกโลกดิจิทัลพร้อมสร้างความสมดุลย์และความสำเร็จไปพร้อมๆ กัน
![]()
ในช่วง Paris Fashion Week ทาง Amazfit ได้ผสานแฟชั่นกับเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าอุปกรณ์อัฉจริยะสามารถกลายเป็นตัวขับเคลื่อนในสไตล์ส่วนตัวที่สามารถสวมใส่ในหรือนอกรันเวย์ได้อย่างไร สมาร์ทวอทช์ของ Amazfit ที่ประกอบด้วยรุ่น GTR 2, GTS 2e และ T-Rex Pro สร้างขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้คนมีก้าวแรกในการเข้าสู่โลกฟิตเนสอัจฉริยะ ขณะที่ดูมีสไตล์สุดๆ ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาแฟชั่นที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ HELIOT EMIL อย่างสมบูรณ์
“ไม่หยุดยั้งที่จะสร้างนวัตกรรม และยังคงไว้ซึ่งบทสนทนาอันมีความหมายภายใต้อุตสาหกรรมที่สร้างสรรค์” จากคำกล่าวของ HELIOT EMIL
Amazfit GTR 2 และ GTS 2 ซีรี่ย์ มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ BioTracker™ 2 PPG ที่พัฒนาขึ้นเองมีความแม่นยำสูง ด้วยระบบเอ็นจิ้นเซ็นเซอร์อันทรงพลัง ที่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงในการปกป้องสุขภาพได้รอบด้าน ค่า PAI ที่คำนวณมาจากข้อมูลที่มีการประมวลผลเกี่ยวกับอัตราการเต้นของหัวใจ, เวลาในการออกกำลังกาย รวมถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสุขภาพอื่นๆ ด้วยอัลกอริทึ่ม ซึ่งค่านี้ให้การประเมินสุขภาพส่วนบุคคลสำหรับผู้ใช้แต่ ละราย โดยพิจารณาข้อมูลสุขภาพเฉพาะของพวกเขา, เพื่อมอบประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป
“พวกเรา รู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับ HELIOT EMIL โดยมีการแชร์วิสัยทัศน์เดียวกันที่ว่า แฟชั่นควรมีสไตล์ ใช้งานได้จริง สวมใส่ได้ และมีประโยชน์ ในแง่ความสวยงาม ภายใต้ความร่วมมือที่งดงามนี้ ผลิตภัณฑ์ GTR 3 และ GTS 3 ซีรี่ย์ นำเสนอแฟชั่นของคนรุ่นใหม่ผ่านไปยังผู้บริโภคที่ให้คุณค่าช่วยให้ชีวิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น” Amazfit กล่าว
นายชัยสิทธิ์ ธรรมพีร เป็นตัวแทนชมรมนิสิตเก่าค่ายอาสาสมัคร จุฬาฯ มอบเงินจำนวน 110,000 บาท เพื่อสมทบทุนสร้างเครื่องบำบัดโรคระบบทางเดินหายใจอัตราการไหลสูง (High Flow Nasal Cannula) แก่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมี ผศ.นพ.ทายาท ดีสุดจิต หัวหน้าหน่วยระบบประสาทในเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ และ รศ.พญ.นฤชา จริกาลวสาน ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิรัชกิจ และประจำหน่วยโรคระบบทางเดินหายใจและเวชบำบัดวิกฤต เป็นผู้รับมอบ เมื่อเร็วๆนี้ ที่ อาคารอานันทมหิดล
เอสจี แคปปิตอล บริษัทในเครือซิงเกอร์ เผยหลังจับมือ ออโรร่า เปิดตัวบริการใหม่ CLICK2GOLD ผ่อนทองสะดวก รับทองสบาย บนไลน์แพลตฟอร์ม 1 เดือน พบลูกค้า 51% นิยมเลือกผ่อนทองรูปพรรณหนัก 1 บาท ชี้เป็นสัญญาณคนไทยให้ความสำคัญกับการลงทุนสะสมทรัพย์เพื่อหมุนเวียนเมื่อคราวจำเป็นมากขึ้น ในขณะที่ทองหนัก 50 สตางค์ และหนึ่งสลึงเป็นที่นิยมรองลงมาตามลำดับ เผยผู้หญิงสนใจใช้บริการกว่าผู้ชาย โดยมีผู้ใช้เป็นผู้หญิง 59.54% ด้านระยะเวลาในการผ่อนชำระค่างวดที่นิยมสูงสุด 3 อันดับแรกคือ ผ่อนจำนวน 24 เดือน 18 เดือน และ 12 เดือน หนุนคนไทยเป็นเจ้าของทอง เพื่อสะสมทรัพย์ ได้ง่ายขึ้นเพียงผ่อนครบก็รับทองทันที จัดแคมเปญ Singer Day ที่โปรโมท CLICK2GOLD ตอบรับคลายล็อกดาวน์ ที่หน้าร้าน Aurora ทั่วประเทศ ลูกค้าตอบรับเป็นอย่างดี เพราะทองรูปพรรณอยู่ในช่วงขาลง ส่งผลลูกค้ามองหาช่องทางผ่อนทองไว้เป็นของขวัญปีใหม่และสะสม พร้อมส่งโปรโมชั่นปรับลดค่ากำเหน็ด ลด 30 % เหลือ 1,323 บาท เมื่อผ่อนทอง 1 สลึง 2 สลึง และ 1 บาท เริ่มวันที่ 15 ต.ค. - 30 พ.ย. 2564
![]()
นางสาวบุษบา กุลศิริธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด บริษัทในเครือ SINGER ผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อให้ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “ซิงเกอร์” และแบรนด์อื่น ๆ เปิดเผยว่า หลังจากร่วมมือกับ บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด หรือ ร้านทองแท้ ออโรร่า (Aurora) ผู้นำด้านธุรกิจค้าทองคำของประเทศเปิดตัว CLICK2GOLD ผ่อนทองสะดวก รับทองสบาย บนแพลตฟอร์มไลน์ LINE Official: SINGERCONNECT ไปเมื่อกลางเดือนกันยายน 2564 ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับเป็นที่น่าพอใจ และพบลูกค้ามากกว่าครึ่ง นิยมเลือกผ่อนทองรูปพรรณหนัก 1 บาท ซึ่งสวนทางกับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคที่ปัจจุบันรัดเข็มขัดในการใช้จ่าย เลือกซื้อของชิ้นเล็กลง หรือ Bite size และเลือกซื้อสินค้าที่มีความจำเป็น เพื่อสอดรับสภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้
“จากข้อมูลในระบบ CLICK2GOLD ใน 1 เดือนหลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พบกว่าผู้ใช้บริการ 51% นิยมเลือกผ่อนทองรูปพรรณหนัก 1 บาท ในขณะที่ลูกค้า CLICK2GOLD 37% เลือกผ่อนทองหนัก 50 สตางค์ และ 12% เลือกผ่อนทองหนัก 25 สตางค์ ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าถึงแม้ในภาวะเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หรือมีผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ
แต่ผู้บริโภคยังคงให้ความสำคัญกับการเก็บออมสะสมทรัพย์สิน โดยเฉพาะทองรูปพรรณที่สามารถเป็นทั้งเครื่องประดับ ลงทุนสะสมทรัพย์ และยังเป็นทรัพย์สินหมุนเวียนเพื่อสร้างสภาพคล่องที่สามารถขายเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันทีเมื่อมีความจำเป็น” นางสาวบุษบาอธิบาย
นอกจากนี้จากฐานข้อมูลยังพบว่าผู้หญิงนิยมใช้บริการผ่อนทองผ่านบริการ CLICK2GOLD มากกว่าผู้ชาย โดยผู้ใช้บริการเป็นผู้หญิง 59.54% ในขณะที่ผู้ชายใช้บริการ 40.46% สำหรับระยะเวลาในการผ่อนชำระที่ผู้ใช้บริการนิยมเลือก 3 อันดับแรก ได้แก่ 24 เดือน 18 เดือน และ 12 เดือน ตามลำดับ และเพื่อส่งเสริมคนไทยให้เป็นเจ้าของทองและเก็บออมสะสมทรัพย์เพื่อความมั่นคงในชีวิตได้ง่ายขึ้น หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย มีการคลายล็อกดาวน์ จำนวนผู้รับวัคซีนในประเทศเพิ่มมากขึ้น ทางเอสจี แคปปิตอล จัดแคมเปญส่งเสริมการขาย Singer Day ที่ทาง Aurora ได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อเป็นการส่งเสริมการรับรู้ CLICK2GOLD บริการผ่อนทองบนแพลตฟอร์มไลน์ ที่หน้าร้าน Aurora ทั่วประเทศ ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เนื่องจากทองรูปพรรณยังเป็นสินค้าที่คนไทยนิยมซื้อเพื่อเป็นเครื่องประดับ ไปควบคู่กับการลงทุนสะสมทรัพย์ในยามจำเป็น ประกอบกับราคาทองอยู่ในช่วงขาลง ส่งผลให้ลูกค้ามองหาช่องทางในการผ่อนทองที่สะดวก สบาย เพื่อสะสมไว้ใช้เป็นของขวัญปีใหม่ และเพื่อสะสมเป็นทรัพย์สิน นอกจากนี้ ยังได้จัดโปรโมชั่นส่งเสริมการผ่อนปรับลดค่ากำเหน็ดจากเดิม 1,890 บาท ลด 30 % เหลือ 1,323 บาท สำหรับน้ำหนักทอง 1 สลึง 2 สลึง และ 1 บาท เริ่มวันที่ 15 ตุลาคม - 30 พฤศจิกายน 2564
ทั้งนี้ คุณสมบัติของลูกค้าที่สมัครผ่อนทองผ่านแอปฯ ต้องมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์และเป็นสัญชาติไทย สามารถใช้บริการเพียงใช้บัตรประชาชนใบเดียว ผ่อนทองตามมูลค่าที่ต้องการ ผ่านบริการ CLICK2GOLD ง่ายๆ เพียงเพิ่มเพื่อนกับ LINE Official: SINGERCONNECT เลือกเมนู CLICK2GOLD เพื่อเลือกผ่อนทองตามน้ำหนักที่ต้องการ ซึ่งมีให้เลือกตั้งแต่น้ำหนักทองขนาดเริ่มต้นที่ 0.25, 0.50 และ 1 บาท โดยสัดส่วนการผ่อนมูลค่าทอง พบว่าเลือกผ่อน 1 บาทสูงสุด รองมาคือ 50 สตางค์ และ 25 สตางค์ตามลำดับ รวมทั้งสามารถเลือกผ่อนชำระได้นานตั้งแต่ 6 เดือน ไปจนถึงสูงสุด 24 เดือน โดยราคาทองจะเป็นไปตามราคาทอง ณ วันที่กดเลือกซื้อทองครั้งแรก โดยสามารถรับทองที่ร้านได้ทันทีเมื่อผ่อนชำระค่าทองงวดสุดท้ายแล้ว โดยสามารถตรวจสอบขั้นตอนการรับทองและยืนยันตัวตนเพื่อรับทองคำที่ร้านทองออโรร่าใกล้บ้านกว่า 220 สาขาทั่วประเทศ
![]()
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการ “CLICK2GOLD” ผ่อนทองสะดวก รับทองสบาย โทร. 02-234-7171 และเพิ่มเพื่อนเพื่อใช้บริการได้ที่ LINE Official: SINGERCONNECT หรือ https://line.me/R/ti/p/%40444yqxoe
· Where Next Club มุ่งสร้างแรงบันดาลใจผ่านการเล่าเรื่อง การแบ่งปันความรู้ และประสบการณ์ พร้อมเชิญชวนให้ทุกคนจุดประกายความฝันและเรียนรู้ทักษะใหม่ไปพร้อม ๆ กัน
· กิจกรรม มาสเตอร์คลาส เพื่อร่วมแบ่งปันทักษะต่าง ๆ นำโดยเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ชั้นนำของเมืองไทย เพื่อเป็นตัวแทนแห่งพลังการต่อสู้ อาทิ ฟลุค เกริกพล, ซี ฉัตรปวีณ์, ภูริ หิรัญพฤกษ์, เต็งหนึ่ง คณิศ และ ทวีพงษ์ ประทุมวงษ์
กรุงเทพฯ ประเทศไทย - เกลนฟิดิค (Glenfiddich) เปิดตัว Where Next Club พร้อมนำนักสร้างสรรค์และกูรูชาวไทย ร่วมจัดกิจกรรม มาสเตอร์คลาส (Masterclass) เพื่อกระตุ้นความฝันและสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนรุ่นใหม่ที่อยากสร้างความเปลี่ยนแปลงและก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ
ในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ผู้ชมทางบ้านจะได้พบกับกิจกรรมการพบปะพูดคุย และการร่วมแบ่งปันทักษะความรู้ ในแต่ละมาสเตอร์คลาสที่สามารถเข้าชมได้ฟรี จากเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ชั้นนำของเมืองไทยที่เป็นกูรูในแต่ละด้าน ได้แก่ การลงทุน เทคโนโลยี ยานยนต์ การทำอาหาร และการถ่ายภาพ ดังต่อไปนี้:
· คุณฟลุค เกริกพล มัสยวาณิช (การลงทุน) จะมาร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับการลงทุนในสกุลเงินดิจิตอลที่กำลังเป็นประเด็นร้อนด้านการลงทุนในปัจจุบัน โดยคุณฟลุคจะเล่าประสบการณ์ของตนและพูดคุยเกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนของประเทศไทยในอนาคต เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นการเรียนรู้สำหรับผู้ที่สนใจในการลงทุน
· คุณซี ฉัตรปวีณ์ ตรีชัชวาลวงศ์ (เทคโนโลยี) หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีของประเทศไทย จะมาเล่าถึงเส้นทางสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ และพูดคุยเกี่ยวกับเทรนด์ด้านเทคโนโลยีที่จะมาถึงในปี 2022 ซึ่งผู้ที่หลงใหลในไอทีและอุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ จะได้รับเกร็ดความรู้เพื่อก้าวสู่โลกแห่งไอทีในอนาคต
· คุณภูริ หิรัญพฤกษ์ (ยานยนต์) จะมาเล่าการเดินทางจากนักแสดงสู่ความหลงใหลในยานยนต์และกีฬาเอ็กซ์ตรีม พร้อมแนะนำวิธีการค้นพบในสิ่งที่ชอบ และการสร้างอาชีพจากงานอดิเรกที่คุณรัก
· คุณเต็งหนึ่ง คณิศ ปิยะปภากรกูล (การทำอาหาร) จะมาร่วมเล่าเส้นทางชีวิตจากศิลปินสู่การปั้นตนเองให้กลายเป็นเชฟขนมหวานชื่อดัง โดยภายในมาสเตอร์คลาส คุณเต็งหนึ่งจะแบ่งปันวิธีการทำ ทีรามิสุ ที่ผู้ที่รักในของหวานสามารถมีส่วนร่วมไปพร้อม ๆ กัน
· คุณทวีพงษ์ ประทุมวงษ์ (การถ่ายภาพ) จะมาร่วมเล่าประสบการณ์และเส้นทางจากความล้มเหลวสู่ความสำเร็จในชีวิตด้านการถ่ายภาพ และการได้รับรางวัลภาพถ่ายแนวสตรีทระดับโลก อาทิ รางวัล the EyeEm Awards และ รางวัล the Street Shooting Around the World โดยผู้ที่สนใจในการถ่ายภาพจะได้เรียนรู้เทคนิคการถ่ายภาพแนวสตรีท เพื่อยกระดับทักษะให้ดียิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจ เข้ามาพูดคุย ถามคำถามและทำกิจกรรมร่วมกับเหล่าอินฟลูเอ็นเซอร์ได้ในมาสเตอร์คลาส รายละเอียดการลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมในมาสเตอร์คลาส และข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหล่าอินฟลูเอ็นเซอร์ในแต่ละมาสเตอร์คลาส สามารถดูเพิ่มเติมได้ในภาคผนวก
เบรตต์ เบย์ลีย์ แบรนด์แอมบาสซาเดอร์ของเกลนฟิดิค ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “แบรนด์ เกลนฟิดิค ถือเป็นส่วนหนึ่งของความสร้างสรรค์และเป็นผู้ริเริ่มการเปลี่ยนแปลงทางความคิดเสมอมา โดยเรามุ่งมั่นที่จะท้าทายกรอบความคิดเดิม ๆ และแสวงหาความเป็นเลิศของการสร้างสิ่งต่าง ๆ เพราะเราไม่เคยหยุดนิ่ง แต่กลับตั้งมั่นที่จะสร้างความแตกต่างและพร้อมสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ ซึ่งแคมเปญ Where Next Club ที่เราได้ร่วมมือกับเหล่านักสู้จากหลากหลายด้านในประเทศไทยในครั้งนี้ เราหวังจะได้เห็นพลังความสร้างสรรค์และจุดประกายความฝันให้กับผู้ชมในประเทศไทยทุกคน ผ่านการแบ่งปันความรู้และทักษะใหม่ ๆ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลง พร้อมรับมือกับความท้าทายในชีวิต และก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน”
ทั้งนี้ เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เกลนฟิดิค ได้ร่วมมือกับองค์กร TEDx ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรม ImagineNext กิจกรรมการร่วมพูดคุยกับเหล่านักสร้างสรรค์และผู้ที่อยากสร้างความเปลี่ยนแปลงในแต่ละท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ Where Next Club ที่จัดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่นกัน
วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศไทย ได้รับการขึ้นทะเบียนให้นำมาใช้ในภาวะฉุกเฉิน (EUL) จากองค์การอนามัยโลก (WHO) แล้ว โดยการขึ้นทะเบียนดังกล่าวมีผลทันที และครอบคลุมถึงวัคซีนที่ผลิตในประเทศไทยก่อนหน้านี้ด้วยเช่นเดียวกัน
องค์การอนามัยโลกได้ขึ้นทะเบียนวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าให้นำมาใช้ในภาวะฉุกเฉิน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา เพื่อเร่งการเข้าถึงวัคซีนและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และใน ขณะนี้ได้เพิ่มเติมในส่วนของการรับรองวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศไทยโดยสยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งเป็นการยืนยันว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า หรือ Vaxzevria เป็นวัคซีนที่มีคุณภาพสูง และผลิตตามเกณฑ์มาตรฐานเดียวกันทั่วโลกไม่ว่าจะผลิตจากที่ใดก็ตาม
นายเจมส์ ทีก ประธาน บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “แอสตร้าเซนเนก้ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่องค์การอนามัยโลกได้ให้การรับรองวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศไทยเพื่อใช้ในภาวะฉุกเฉิน แม้ว่าที่ผ่านมา รัฐบาลในหลายประเทศจะให้การรับรองผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศไทยว่าเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนครบถ้วนแล้ว และตามมาตรการควบคุมการเดินทาง ผู้ที่ได้รับวัคซีนดังกล่าวสามารถเดินทางระหว่างประเทศได้ แต่การรับรองวัคซีนโดยองค์การอนามัยโลกในครั้งนี้ก็จะช่วยอำนวยความสะดวกให้รัฐบาลในประเทศต่างๆ ยอมรับและรับรองวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าเพื่อประโยชน์ในการเดินทางที่ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น”
นางนวลพรรณ ล่ำซำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรกิตติมศักดิ์ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด กล่าวว่า “วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศไทยในทุก ๆ รอบการผลิตนั้นได้ผ่านการตรวจรับรองคุณภาพจากหน่วยงานที่กำกับดูแล รวมถึงห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่ วัคซีนชุดแรกที่ได้ทำการส่งมอบให้กับแอสตร้าเซนเนก้า ผลการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ครั้งนี้ ถือเป็นข่าวดีที่ตอกย้ำถึงคุณภาพของวัคซีนที่ผลิตโดยสยามไบโอไซเอนซ์ ในฐานะศูนย์การผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศใกล้เคียง ที่ได้รับการรับรองจากองค์กรระดับโลกอย่าง WHO เรามีความภาคภูมิใจที่บริษัทของคนไทยได้รับเลือกจากแอสตร้าเซนเนก้าให้เป็นหนึ่งในผู้ผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 และสามารถผลิตวัคซีนคุณภาพสูงตามมาตรฐานสากล สยามไบโอไซเอนซ์ยังคงทำงานร่วมกับแอสตร้าเซนเนก้าอย่างใกล้ชิด และผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้สุขภาพและความเป็นอยู่ของคนในชาติกลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง”
แอสตร้าเซนเนก้าและพันธมิตรผู้ผลิตทุกรายให้ความสำคัญกับคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สูงสุด วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าในแต่ละรุ่นการผลิตนั้นผ่านการตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพต่างๆ รวมกันมากกว่า 60 รายการ เพื่อให้ผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงตามมาตรฐานสากล
นับตั้งแต่เริ่มมีการใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าจนถึง เดือน กันยายน 2564 มีผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าแล้ว กว่า 585 ล้านคนทั่วโลก ทั้งนี้ วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าได้สร้างประโยชน์อันยิ่งใหญ่ในการช่วยปกป้องชีวิตผู้คนมากมายจากโรคโควิด-19 ทั้งจากการเสียชีวิต กว่า 105,000 คน และจากอาการเจ็บป่วยในระดับที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากโรคโควิด-19 กว่า 620,000 คน 1
ผลการทดลองทางคลินิกยืนยันว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า มีประสิทธิผลในการป้องกันอาการเจ็บป่วยจากโรคโควิด-19 ในทุกระดับความรุนแรง และมีประสิทธิผลในการป้องกันการเจ็บป่วยในระดับที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ 100% หลังได้รับวัคซีนครบทั้งสองโดส2 นอกจากนี้ จากข้อมูลการใช้วัคซีนในประชากรทั่วโลก ยังแสดงให้เห็นว่า วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้ามีประสิทธิผลในการป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงจากโรคโควิด-19 ในทุกกลุ่มอายุได้มากถึง 80%-90% และยังมีประสิทธิผลครอบคลุมไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ต่างๆ รวมถึงสายพันธุ์กลายพันธุ์หลักที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุไว้ 3
แอสตร้าเซนเนก้าและพันธมิตรผู้ผลิตได้ส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้ว กว่า 1.5 พันล้านโดสให้แก่ประเทศต่างๆ มากกว่า 170 ประเทศทั่วโลก และ ประมาณ 2 ใน 3 ของจำนวนวัคซีนจำนวนดังกล่าวได้ถูกส่งมอบให้กับกลุ่มประเทศที่มีรายได้ต่ำและกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนไปทางต่ำ
วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า
วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า (ChAdOx1-S [Recombinant]) เดิมเรียก AZD1222 ถูกคิดค้นและพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและบริษัท วัคซีเทค ซึ่งก่อตั้งโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด วัคซีนดังกล่าวพัฒนาโดยการนำส่วนของสารพันธุกรรมที่ใช้ในการถอดรหัสการสร้างหนามโปรตีนผิวเซลล์ของไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 ใส่ในโครงของอะดีโนไวรัสซึ่งก่อให้เกิดโรคไข้หวัดทั่วไปในลิงชิมแปนซีที่ถูกทำให้อ่อนแรงลงและไม่สามารถแบ่งตัวได้ โดยหลังจากฉีดวัคซีนเซลส์ในร่างกายมนุษย์จะตอบสนองโดยการสร้างโปรตีนที่มีลักษณะเดียวกันกับหนามโปรตีนผิวเซลล์ของไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ในกรณีที่ได้รับเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายในภายหลัง
เกี่ยวกับ แอสตร้าเซนเนก้า
แอสตร้าเซนเนก้า (ชื่อย่อหลักทรัพย์ AZN ในตลาดหลักทรัพย์ LSE/ STO/ Nasdaq) เป็นบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก มุ่งเน้นทางด้านการคิดค้น พัฒนา และจำหน่ายยาเพื่อการรักษาโรค โดยเฉพาะในกลุ่มยาโรคมะเร็ง กลุ่มยาโรคหัวใจ ไต และระบบเผาผลาญ และกลุ่มยาโรคทางเดินหายใจ แอสตร้าเซนเนก้า มีฐานอยู่ที่เมืองเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร

ยุคนี้เราต่างใช้บริการบนแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน ยิ่งช่วงล็อกดาวน์ที่ผ่านมา ก็ยิ่งทำให้เราพึ่งพาชีวิตออนไลน์หลอมรวมเข้ากับชีวิตออฟไลน์ จนแยกกันเป็นไลฟ์สไตล์ในแบบ NOW NORMAL ชีวิตวิถีใหม่ของวันนี้ ที่ผู้คนมองหาประสบการณ์ด้านไลฟ์สไตล์แบบครบจบในที่เดียว
เช่นเดียวกันกับ LINE ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเพื่อชีวิตในยุค NOW NORMAL ผู้ใช้สามารถดำเนินชีวิต ในหนึ่งวันบนแพลตฟอร์ม LINE ได้ครบลูป ตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน ไม่ว่าจะอยู่แต่ในบ้านหรือนอกบ้าน LINE ก็พร้อมรองรับทุกไลฟ์สไตล์วิถีใหม่ ปลดล็อกทุกขีดจำกัดในชีวิตประจำวัน

เปิดเชคลิสต์สารพัดฟีเจอร์และบริการ เพื่อชีวิตครบวงจรในแบบ Now Normal บนแอปฯ LINE ที่เดียว
1. หมวดการสื่อสารและโซเชียลมีเดีย ให้ไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหวรอบตัว
นอกจากแชทและฟีเจอร์เสริมความสะดวกในการสื่อสารแล้วนั้น LINE ยังมี
· LINE OpenChat คอมมูนิตี้แห่งการพูดคุยและอัปเดตตลอด 24 ชม ของผู้ที่สนใจในสิ่งเดียวกัน ง่ายๆ เพียงเข้าจากแท็บ Home บนแอปฯ LINE แล้วเลือก OpenChat ใต้แถบรวมกลุ่ม (ดูหน้าแรก LINE OpenChat : https://lin.ee/RM680Hm/gyjp/LOLPR)
· LINE TIMELINE แท็บที่สาม บนแอปฯ ที่เชื่อมโยงเราและผู้ใช้ LINE ทั่วโลกเข้าด้วยกันบนหน้าฟีด ให้ไม่พลาดทุกการอัปเดต
· LINE Official Account บัญชีทางการที่สามารถเพิ่มเพื่อน เพื่ออัปเดตความเคลื่อนไหวจากแบรนด์ต่างๆ รวมไปถึงติดต่อพูดคุยกับแอดมินได้ใกล้ชิดก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าหรือจองบริการ
2. หมวดช้อปปิง ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ตามทันทุกไอเท็ม ยิ่งซีเอฟ ยิ่งเอนจอย
· LINE SHOPPING แหล่งรวมร้านค้าโซเชียลกว่า 200,000 ร้านค้า ให้ผู้ใช้ LINE ได้เพลิดเพลินไปกับการช้อปปิงสินค้าหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง แก็ดเจ็ท อาหาร และท่องเที่ยว พร้อมสะสม LINE POINTS ไว้เป็นส่วนลดแทนเงินสดได้อีกด้วย
· LINE STICKERS บริการสติ๊กเกอร์จาก Official Account และครีเอเตอร์สุดสร้างสรรค์ แต่งเติมสีสันให้บทสนทนาสนุกมากยิ่งขึ้น แถมมีให้เลือกมากกว่า 3.6 ล้านเซต
· LINE MELODY บริการเสียงเรียกเข้าและเสียงรอสาย จากศิลปินสุดฮอตทั้งฝั่งไทย เกาหลี และอเมริกา รวมเพลงดังมากมายกว่า 33,000 เพลง
· LINE POINTS บริการแต้มสะสมสำหรับผู้ใช้ LINE เท่านั้น โดย 1 พอยท์มีมูลค่าเท่ากับ 1 บาท สามารถสะสมได้ง่ายจากการใช้บริการต่างๆ บน LINE และนำไปใช้แลกแทนเงินสดสำหรับซื้อสินค้าและบริการต่างๆ มากมาย
3. หมวดข่าวสารและคอนเทนต์ จะสะดวกอ่านหรือดูก็พร้อมเสิร์ฟทุกคอนเทนต์
· LINE TODAY แหล่งรวมข้อมูลข่าวสารและคอนเทนต์คุณภาพจากพันธมิตรสำนักข่าว ผู้ผลิตคอนเทนต์ และอินฟลูเอนเซอร์ยอดนิยม อัดแน่นทั้งข่าวสาร ความบันเทิง ดวง ไลฟ์สไตล์ กิน เที่ยว ฯลฯ ทั้งยังมีวิดีโอและบทความ ตอบโจทย์ทุกความชอบของผู้ใช้ยุคดิจิทัล
4. หมวดการเงิน : แชท - โอน - ยืม – จ่าย ครบจบที่เดียวบนแท็บ Wallet แบบไม่ต้องพกกระเป๋าตังค์ เพราะยุคนี้คือยุคไร้เงินสด
· LINE BK บริการดิจิทัลแบงก์กิ้งรูปแบบใหม่ที่ทำให้ผู้ใช้ LINE ได้รับประสบการณ์การใช้บริการที่ง่าย สะดวก รวดเร็ว แตกต่างจากบริการของธนาคารรูปแบบเดิมๆ และยังมีบริการแหล่งเงินทุนผ่านวงเงินให้ยืมนาโน (Nano Credit Line) หรือสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพได้ง่ายขึ้น
· Rabbit LINE Pay บริการกระเป๋าเงินอัจฉริยะ ชำระเงินผ่านร้านค้าได้อย่างสะดวกมากกว่า 300,000 ร้านค้า พร้อมรับสิทธิประโยชน์ LINE POINTS และนำมาใช้ต่อแทนเงินสดผ่าน Rabbit LINE Pay แถมยังสามารถโอนเงินไปให้เพื่อนๆ ที่ใช้ LINE ได้อีกด้วย
5. หมวดบันเทิง พักผ่อนกันเพลินๆ ได้ทั้งวัน จะซีรีส์ ดูดวง เล่นเกม หรืออ่านการ์ตูน
· LINE TV แพลตฟอร์มวิดีโอออนไลน์ แหล่งรวมซีรีส์และละครยอดฮิต ใครพลาดดูสด ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง
· LINE ดูดวง บริการใหม่ล่าสุด รวมดวงประจำวัน, เซียมซีออนไลน์, เปิดไพ่ รวมถึงบริการขอพร แก้บนจากวัดดัง อาทิ วัดแชกงหมิว ฮ่องกง, วัดฮ่องอำ ฮ่องกง, ไอ้ไข่ วัดเจดีย์, หลวงพ่อทันใจ วัดพระธาตุดอยคำ และหลวงพ่อโสธร วัดโสธรวรารามวรวิหาร ฯลฯ
· LINE GAME แหล่งรวมเกมออนไลน์มากกว่า 20 เกม รวมถึงเกมยอดนิยมอย่าง LINE เกมเศรษฐี, LINE เรนเจอร์, LINE Play ฯลฯ
· LINE WEBTOON: แหล่งรวมการ์ตูนออนไลน์อันดับ 1 ที่ให้อ่านฟรี ทุกที่ทุกเวลา
6. หมวดไลฟ์สไตล์ ชีวิตสะดวกและง่ายกว่าเคย ไม่ว่าจะกินหรือเดินทาง
· LINE MAN แพลตฟอร์มออนดีมานด์ชั้นนำของไทย ที่มีตัวเลือกร้านอาหารมากที่สุดกว่า 4 แสนร้าน ปัจจุบันให้บริการฟู้ดเดลิเวอรีแล้วใน 67 จังหวัดทั่วไทย ทั้งยังมีบริการเมสเซนเจอร์, บริการเรียกแท็กซี่ และบริการตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคออนไลน์อีกด้วย เรียกได้ว่าใช้กันได้ตั้งแต่อยู่บ้าน ออกนอกบ้าน หรือจะกลับบ้าน ก็มีบริการรองรับครบ!
ไม่ว่าจะใช้ชีวิตแบบไหน LINE ก็พร้อมเป็นแพลตฟอร์มที่ใช่สำหรับชีวิตวิถีใหม่ของวันนี้เพื่อผู้ใช้ ทุกคน
เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ยังมีความรุนแรงและมีการพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง Sea (Group) และบริษัทในเครือ ได้แก่ การีนาและช้อปปี้ จึงมุ่งเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ด้วยการส่งมอบถังออกซิเจนเพื่อใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยขั้นวิกฤต สำหรับโรงพยาบาลสนาม 2 แห่ง ของโรงพยาบาลธัญญารักษ์ปัตตานี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยตู้คอนเทนเนอร์เพื่อจัดทำศูนย์ปฏิบัติการสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยระดับสีเขียว โดยมีบริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการสายการเดินเรือระหว่างประเทศในระบบคอนเทนเนอร์ สนับสนุนการขนส่งไปยังโรงพยาบาล พร้อมร่วมบรรเทาความรุนแรงของสถานการณ์โรคระบาดในพื้นที่ชายแดนภาคใต้
นางสาวมณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Sea (ประเทศไทย) กล่าวว่า “Sea ให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยโควิด-19 เสมอมา เมื่อเล็งเห็นว่าการระบาดในพื้นที่ชายแดนภาคใต้กำลังมีการแพร่ระบาดอย่างหนักและมีการพบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก สวนทางกับภาพรวมสถานการณ์โควิด-19 ของประเทศที่มีแนวโน้มการแพร่ระบาดลดลง Sea จึงเร่งส่งมอบถังออกซิเจนสำหรับผู้ป่วยขั้นวิกฤต และคอนเทนเนอร์จำนวน 3 ตู้ เพื่อใช้เป็นศูนย์ปฏิบัติการของบุคลากรทางการแพทย์เพื่อดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ระดับสีเขียว
ให้แก่โรงพยาบาลสนามของโรงพยาบาลธัญญารักษ์ปัตตานี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้”
นพ.อดิศักดิ์ งามขจรวิวัฒน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธัญญารักษ์ปัตตานี เผยว่า “ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสูงในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โรงพยาบาลธัญญารักษ์ปัตตานีได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาที่รวดเร็วและปลอดภัย โดยการช่วยเหลือประชาชนที่ป่วยด้วยโรคโควิด-19 ให้มีที่กักตัวรักษาอยู่บ้าน (Home Isolation) ศูนย์พักคอยชุมชน (Community Isolation) Hospitel และโรงพยาบาลสนาม ซึ่งการจัดตั้งสถานพยาบาลเร่งด่วนนี้ทำให้ประสบกับปัญหาขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์และสถานที่ปฏิบัติงาน ในภาวะวิกฤตนี้ทางโรงพยาบาลมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความช่วยเหลือจาก Sea (Group) และบริษัทในเครือที่ได้ส่งมอบตู้คอนเทนเนอร์เพื่อใช้เป็นศูนย์ปฏิบัติการสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ณ โรงพยาบาลสนามธัญญารักษ์โรงยิม อบต.บานา และโรงพยาบาลสนามธัญญารักษ์สะพานปูน จังหวัดปัตตานี โดยจะมีส่วนสำคัญในการรักษาผู้ป่วยระดับสีเขียว หรือผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย ในขณะที่ถังออกซิเจนที่ได้รับมาก็จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่มีอาการขั้นวิกฤต มีระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ จำเป็นต้องใช้ออกซิเจนอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงออกซิเจนอย่างเพียงพอ ทางโรงพยาบาลต้องขอขอบคุณทาง Sea และบริษัทในเครือที่พร้อมช่วยสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ของเราที่กำลังทำงานอย่างหนักให้สามารถรักษาผู้ป่วยให้มีอาการดีขึ้นโดยเร็วที่สุด”
โรงพยาบาลธัญญารักษ์ปัตตานีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้เข้ามาร่วมปฏิบัติการในการบรรเทาสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี โดยดำเนินงานอย่างครบวงจร ตั้งแต่การเตรียมพร้อมชุมชน การค้นหาคัดกรอง การรักษา การให้วัคซีนป้องกันโรค และการเสริมสร้างชีวิตวิถีใหม่ ซึ่งเป็นการประสานงานกับเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนชุมชน ที่ร่วมกันพัฒนาประสิทธิภาพการจัดการโรคระบาดอย่างต่อเนื่อง หากโมเดลการดำเนินงานของโรงพยาบาลฯ มีประสิทธิภาพ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการต่อยอดการดำเนินงานโดยยึดโมเดลดังกล่าว ไม่เพียงแต่ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ยังรวมถึงจังหวัดอื่นๆ ทั่วทั้งประเทศ
Sea (Group) จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการสนับสนุนให้โรงพยาบาลสนามของโรงพยาบาลธัญญารักษ์ปัตตานีสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างเพียงพอ ด้วยการส่งมอบตู้คอนเทนเนอร์และถังออกซิเจนในครั้งนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้โรงพยาบาลสามารถรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ได้อย่างเต็มที่มากยิ่งขึ้น และช่วยเร่งให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาอย่างทันท่วงที ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดการแพร่ระบาดในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนให้สังคมไทยผ่านพ้นวิกฤตการณ์ได้โดยเร็ว
###![]()
โลกขณะนี้มีคลื่นใหญ่หลายคลื่นกำลังถาโถมอยู่ แต่มีอยู่สองคลื่นแน่ๆ ที่ไม่มีอะไรจะขวางไว้ได้
จะเรียกว่า “กระแส” “เทรนด์” หรือ “เมกะเทรนด์” หรืออะไรก็สุดแท้
แต่จงรู้ไว้ว่า มันเป็นสิ่งที่หยุดไม่อยู่ ขวางไม่ได้ แม้กระทั่งจะรั้งไว้ ก็รังแต่จะเกิดความเสียหายในระยะยาวเสียยิ่งกว่า เสมือนหนึ่งสึนามิที่ได้ฟอร์มตัวขึ้นแล้วในทะเลลึก เพียงแต่มันยังอยู่ในทะเล และกำลังเดินทางมาด้วยความเร็ว ทว่ายังมาไม่ถึงชายฝั่ง คนทั่วไปจึงยังไม่เห็นและสัมผัสกับพลังอันมหาศาลของมัน
ไม่ว่าท่านจะทรงอำนาจราชศักดิ์หรือเปี่ยมด้วยทรัพย์ศฤงคารมากมายสักปานใด ท่านมีทางเลือกเดียวเท่านั้นคือ “ต้องปรับตัว” ตามมัน
คลื่นยักษ์ที่ว่านี้คือ “Digital Currency” อันหนึ่ง และ “กัญชาเสรี” อีกอันหนึ่ง
แต่ใช่ว่า คลื่นสองคลื่นนี้จะมีแต่พลังทำลายล้างหรือ Disruption เพียงด้านเดียว ทว่าพลังด้านบวกมันก็มีมหาศาลเช่นกัน
หากเรารู้จักวางความคิดตนเองให้ถูก ศึกษาให้รู้ตื้นลึกหนาบางของมันอย่างละเอียด แน่นอนว่าเราก็จะสามารถเอาประโยชน์จากมันได้
ทั้งประโยชน์ในแง่ใช้สอย และประโยชน์ในแง่ของโภคผลเงินทอง ไม่ว่าเราจะเป็นรัฐบาล ธุรกิจเอกชน Start-Ups, SME หรือราษฎรตาดำๆ
แน่นอน แม้คนธรรมดาสามัญก็สามารถสร้างทรัพย์จากเทรนด์สำคัญๆ ของโลกได้แน่นอน หากเข้าใจและลงทุนได้อย่างถูกจังหวะเวลา
ดีกว่ายืนมองให้มันผ่านไปเฉยๆ แล้วก็มาสำนึกเสียใจภายหลัง แบบว่า "รู้งี้...น่าจะลงมือทำหรือลงทุนกับอันนั้นอันนี้ เสียตั้งแต่แรก"
โอเค เรื่องกัญชาค่อยว่ากันอีกบทความหนึ่ง ตอนนี้ขอแสดงความเห็นเรื่อง Digital Currency ก่อน เพราะมีข่าวว่าธนาคารกลางของจีน กำลังจะออก Digital Currency มาใช้ในเวลาอีกไม่นาน
แน่นอน Digital Currency ที่ว่านี้ก็คือเงินหยวนนั่นเอง แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือมันจะทำงานอยู่บนเครือข่าย Blockchain ไม่ใช่ระบบเดิมที่ใช้โอนกันผ่านเครือข่ายสถาบันการเงินอย่างในปัจจุบัน
ดูก็รู้แล้วว่ารัฐบาลจีนต้องการใช้ระบบใหม่นี้ต่อกรกับ LIBRA หรือ Digital Currency สกุลใหญ่ๆ ที่อาจจะออกตามกันมาเป็นพรวน
ใครก็ตามถ้าไม่ได้ไปอยู่หลังเขาในช่วงหลายเดือนมานี้ย่อมต้องทราบข่าวกันบ้างว่า Facebook ได้ดำริว่าจะออกสกุลเงิน Digital Currency ของตัวเองมาใช้ ตั้งชื่อว่า “LIBRA” โดยคาดว่าจะออกให้ใช้กันภายในหกเดือนแรกของปีหน้า (ผู้อ่านที่ซีเรียสจริงจังสามารถอ่าน Whitepaper ของ LIBRA ได้ตามลิงก์นี้: https://libra.org/en-US/white-paper/#introducing-libra)

พูดให้ง่ายคือ LIBRA จะใช้แทนเงินสดได้บนเครือข่ายของ Facebook และเครือข่ายของกิจการร่วมก่อตั้งบิ๊กๆ อีก 26 ราย เช่น VISA, PayPal, Coinbase, XAPO, Mastercard, eBay, Uber, Lytf เป็นอาทิ โดยพวกเราที่ต้องการใช้เงินสกุลนี้ ก็ไม่ต้องทำไรมาก เพียงแค่ดาวน์โหลด Wallet ที่เรียกว่า “CALIBRA” เข้ามาในสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตหรือคอมพิวเตอร์ แล้วก็เอาเงินบาทหรือเงินสกุลอะไรก็ได้ไปแลกเป็น LIBRA ตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ ขณะนั้น (ซึ่งองค์กร Libra.org ที่จะตั้งขึ้นมา ณ นครเจนีวา จะเป็นผู้ประกาศอัตราแลกเปลี่ยนให้ทราบ) แล้วก็นำ LIBRA ไปใช้ซื้อสินค้าและบริการ หรือโอนไปให้เพื่อนฝูงญาติพี่น้องได้ฟรีๆ ผ่านสมาร์ทโฟนของเรา ไม่ว่าผู้รับโอนจะอยู่ที่ไหนบนผิวโลก โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม (หรืออาจจะเสียค่าธรรมเนียมต่ำมากๆ ...ต่ำกว่าอัตราที่แบงก์หรือสถาบันการเงินเก็บอยู่ในปัจจุบัน)
ลองคิดดูว่าถ้า Facebook เพียงแต่ออกแคมเปญว่าให้ผู้จะลงโฆษณาหรือทำโปรโมชั่นสินค้าบริการบน Facebook จ่ายชำระเป็นเงินสกุล LIBRA แล้วจะได้ลดราคา หรือบอกว่าผู้ใช้ Facebook หากยอมดาวน์โหลด Wallet (ซึ่งหน้าตาเหมือนกับ App ทั่วไป) ก็จะได้รับเหรียญ LIBRA ไปใช้ฟรี เป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้หน่วย
เพียงเท่านี้ LIBRA ก็จะแพร่หลายไปทั่วโลกทันที เพราะอย่าลืมว่าผู้ใช้เฟซบุ๊กปัจจุบันมีมากกว่า 2,400,000,000 คน กระจายกันอยู่ทั่วโลก
คนที่เคยใช้เงินบาท เงินดอลลาร์ เงินหยวน เงินเยน เงินยูโร หรือเงินสกุลอะไรก็ตาม ชำระเงินและโอนให้กันและกันอยู่ทุกที่วี่วัน ก็จะหันไปใช้ LIBRA กันบ้างล่ะ ไม่มากก็น้อย
แบบนี้มันต้องร้อนถึงรัฐบาลต่างๆ แน่นอน เพราะมันจะมาเจือจางให้อำนาจของรัฐบาล ซึ่งเป็นเจ้าของสกุลเงิน ผ่านธนาคารชาติของตนๆ ลดน้อยถอยลงไป
จึงไม่แปลกที่ LIBRA จะได้รับการต่อต้านในทันทีจากรัฐบาลและนักการเมืองที่กุมอำนาจส่วนใหญ่ ทั้งในสหรัฐฯ และประเทศสำคัญๆ (เราติดตามเรื่องนี้อยู่อย่างใกล้ชิดและจะรายงานให้ทราบเป็นต่างหากออกไป..โปรดติดตามงานบนเว็บของเรา)
เพราะหากปล่อย LIBRA ออกมาโดยง่าย แน่นอนว่ามันจะไม่หยุดที่ตรงนั้น ต่อไปกิจการยักษ์ใหญ่ทั้งหลายก็จะต้องออก Digital Currency ของตนมาใช้อย่างแน่นอน
Google, Amazon, Apple, JP Morgan ก็คงจ่อคิวอยู่ โดยขณะที่ผมเขียนต้นฉบับอยู่นี้ ก็มีข่าวยืนยันแล้วว่า Walmart ประกาศว่าจะออก Digital Currency ของตัวเองอย่างแน่นอน
คิดดูว่าในหนึ่ง Walmart มีกิจการเกือบครบวงจรอยู่ในนั้น หากพ่อบ้านแม่บ้านที่ไปซื้อข้าวของใน Walmart พากันใช้เหรียญดิจิทัลของวอลมาร์ทกันหมด อำนาจของธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็ย่อมลดลงไปอีก
ผมว่าคนคิดเรื่อง LIBRA เก่งที่สามารถนำเอาข้อดีของเงินดอลลาร์และของบิทคอยน์และหลักการของมาตรฐานทองคำ (Gold Standard) มาผสมผสานกัน
ข้อดีของดอลลาร์คือมีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก ซื้อง่ายขายคล่องทั้งหน่วยเล็กหน่วยใหญ่ ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ และมีค่าค่อนข้างเสถียร ไม่ขึ้นลงหวือหวา ไม่ใช่วันนี้ซื้อไอติมได้สองแท่ง แต่พรุ่งนี้ซื้อได้แท่งเดียวหรือสามแท่ง ทว่าข้อเสียของดอลลาร์คือไม่มีทรัพย์สมบัติอันมีค่าเป็นทุนสำรอง (Reserve) หนุนหลังไว้เลย มีแต่แสนยานุภาพและระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เท่านั้นที่หนุนอยู่ แต่เมื่อใดก็ตามที่คนหมดความเชื่อถือ เงินดอลลาร์ก็เป็นเพียงเศษกระดาษธรรมดา
ข้อดีของบิทคอยน์คือมีการเปิดเผยข้อมูลของทุกธุรกรรม (คือทุกการซื้อขาย การชำระเงิน และการโอนเปลี่ยนมือ) อย่างโปร่งใสและกลับไปลบแก้ไขย้อนหลังได้ยาก โกงและแฮ็คลำบาก ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า “Blockchain” ซึ่งต่อมาได้ใช้เป็นระบบดาต้าเบสหลักสำหรับบันทึกธุรกรรมของ Cryptocurrencies ทุกสกุล แถมยังสามารถเพิ่ม Smart Contract บนบล็อกเชนได้ด้วย (เกิดจากนวัตกรรมที่คิดขึ้นโดย Etherium) แต่ข้อเสียของบิทคอยน์ (และเงินคริปโตส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่ Stable Coin) คือสภาพคล่องน้อยและราคาขึ้นลงหวือหวา ไม่เหมาะกับการนำมาใช้แทนเงินสดในชีวิตประจำวัน เหมาะกับการลงทุนหรือเก็งกำไรเท่านั้น
ข้อดีของมาตรฐานทองคำ ที่เคยใช้กันมาในระบบการเงินโลกยุคก่อน คือความเชื่อถือที่ทุกฝ่ายมีต่อค่าเงินสกุลสำคัญๆ ที่ร่วมอยู่ในระบบ เพราะต้องมีทองคำหนุนหลังเท่ากับมูลค่าเงินที่พิมพ์ออกมาใช้ และหากเกิดประเทศใดขาดดุลการค้าก็ต้องหาทางลดการนำเข้าทำให้ต้องประหยัดโดยอัตโนมัติ หรือมิฉะนั้นก็ต้องหาทางนำทองคำมาชำระ แต่ข้อเสียคือทองคำมีน้อย เมื่อการค้าของโลกเพิ่มมูลค่าขึ้น ระบบการเงินแบบนี้ก็เกิดปัญหา ประกอบกับหลายประเทศมิได้ยึดวินัยการใช้จ่ายตามที่ควรจะเป็น แต่ต่อมาก็ได้มีการนำหลักการทุนสำรองมาประยุกต์ใช้ด้วยแนวคิดที่เรียกว่า Currency Board คือแทนที่จะใช้ทองคำเป็นทุนสำรอง ก็เปลี่ยนมาใช้เงินตราสกุลหลักๆ หนุนหลังแทน
LIBRA หยิบเอาสภาพคล่องและเสถียรภาพของดอลลาร์ มาประกอบเข้ากับบล็อกเชน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ (แต่ก็ทำการอัปเกรดบล็อกเชนให้อนุมัติธุรกรรมเร็วขึ้น) อีกทั้งยังสามารถตัดนายหน้าคนกลางทิ้งไปในกระบวนการชำระเงินและโอนเงิน แล้วยังหนุนด้วยทุนสำรองแบบหนึ่งต่อหนึ่ง คือจะออก LIBRA 1 หน่วยก็ต่อเมื่อมีผู้นำเงินสดสกุลใดสกุลหนึ่งมาแลกในอัตราแลกเปลี่ยนที่มีมูลค่าเดียวกันเท่านั้น และเมื่อมีการแลกกลับ ระบบก็จะลบ LIBRA ทิ้งไปในจำนวนเท่ากัน ไม่ได้พิมพ์เงิน LIBRA ตามอำเภอใจ โดยจะมีหน่วยงานผู้เชี่ยวชาญ (Libra.org ตั้งอยู่ที่เจนีวา) ทำหน้าที่ดูแลบริหารเงินทุนสำรองที่รับแลกมานั้น (ตะกร้าเงิน) เพื่อให้ค่าเงิน LIBRA เกิดเสถียรภาพ
นั่นเท่ากับ Libra.org จะมีอำนาจยิ่งกว่าธนาคารกลางใดๆ และผู้ถือหุ้น LIBRA โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Facebook ในฐานะต้นคิดและผู้กุมกระเป๋าเงิน CALIBRA ก็จะมีอำนาจคุมเงินสกุลสำคัญของโลก ตลอดจนธุรกรรมทางการเงินที่คาดว่าจะเกิดขึ้นบนเครือข่ายจำนวนมหาศาล อีกทอดหนึ่ง
จึงยากสักหน่อยที่รัฐบาลและรัฐสภาสหรัฐฯ จะยอมให้ LIBRA เกิดขึ้นโดยไม่ทักท้วงซักฟอกให้แน่ใจ คงต้องพิจารณากันอย่างรอบคอบ ทั้งในแง่ขอบเขตอำนาจที่จะมาเบียดบังธนาคารกลางและการใช้อำนาจของรัฐบาล ตลอดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสถาบัน
การเงินและอุตสาหกรรมอื่นๆ (Facebook ตระหนักถึงเรื่องนี้ดี จึงประกาศมาล่วงหน้า ทั้งๆ ที่ในเชิงเทคโนโลยีและในเชิงเครือข่าย Ecosystem ที่มีอยู่ทั่วโลกแล้ว สามารถออก Cryptocurrency ของตัวเองได้เลยทันที)
แต่อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด เพราะมันเลยจุดที่จะห้ามไว้ได้ไปแล้ว
เทคโนโลยีบล็อกเชนมันอนุญาตให้ใครก็ได้สามารถออก Cryptocurrency หรือเงินดิจิทัลของตัวเองมาใช้ในเครือข่ายได้อย่างง่ายๆ และการแพร่หลายของสมาร์ทโฟนกับอินเทอร์เน็ตก็ทำให้ธุรกรรมทางการเงินอยู่นอกการควบคุมของ “อำนาจรัฐใดรัฐหนึ่ง” คือมันมีลักษณะ “ลอดรัฐ” และ “ลอดพรมแดน”
รัฐบาลจีนรู้เรื่องนี้ดีอยู่เต็มอก เพราะที่ผ่านมาจีนประกาศแบนบิทคอยน์และเงินคริปโตทุกสกุล แต่คนจีนก็ยังคงเป็นผู้ลงทุนหลักในบิทคอยน์อยู่ในขณะนี้
Node ของบิทคอยน์นั้นกระจายไปยังหลายร้อยประเทศทั่วโลก การจะกำจัดมันได้ ต้องกำจัดทุก Node เพราะหากยังมี Node หลงเหลืออยู่เพียง Node เดียว มันก็จะสร้างเครือข่ายขึ้นมาได้อีก
การกำจัดบิทคอยน์ให้ตายสนิทจึงมีวิธีเดียว คือต้องปิดระบบอินเทอร์เน็ตทั้งโลก ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของรัฐบาลทุกรัฐบาล และธุรกรรมอื่นบนอินเทอร์เน็ตย่อมล่มสลายไปด้วย
ดูอย่างนี้แล้ว คงเดาได้ไม่ยากว่า เงินดิจิทัลที่เจ้าของมิใช่รัฐบาล แต่เป็นกิจการหรือกลุ่มกิจการที่มีเครือข่าย Ecosystem ของตัวเองสมบูรณ์อยู่แล้วทั่วโลก ย่อมต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ อย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก
จะเป็น LIBRA หรือไม่เป็น LIBRA ก็หาใช่ประเด็นไม่
รัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกมีทางเลือกเดียวคือ ‘ต้องปรับตัว’ เพราะจะเอาตัวเข้าขวางคลื่นยักษ์นี้ ก็ย่อมเสียเวลาเปล่า รังแต่จะเป็นการถ่วงหรือ Delay มิให้เทคโนโลยีพัฒนาไป และทอนพลังนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ที่ควรจะต่อยอดไปได้อย่างที่ควรจะเป็น
รัฐบาลและธนาคารกลาง จึงเหลือหนทางเดียว คืออาจต้องเทคโอเวอร์เงินคลิปโตหรือเงินดิจิทัลมาเป็นของตัวเสียเลย โดยชิงออกเงินของตัวเองและเซ็ตมาตรฐานให้ทุกคนต้องใช้ (หรืออาจร่วมมือกันในกลุ่มประเทศผู้กุมเงินสกุลสำคัญของโลก) เหมือนกับที่เคยทำมาแล้วกับเงินตราที่เป็นเหรียญกษาปณ์และธนบัตร เพราะถ้าดูจากประวัติศาสตร์แล้ว ทั้งเหรียญเงินตราและธนบัตรที่ใช้กันในยุคแรก ก็มิใช่ของรัฐบาล เพียงแต่เมื่อมันแพร่หลายและได้รับความนิยมแล้ว รัฐบาลจึงเข้ายึดครองเสีย โดยออกกฎหมายห้ามคนอื่นหล่อหรือพิมพ์เงินมาแข่ง
เมื่อถึงวันนั้น รัฐก็จะเข้าครอบงำชีวิตราษฎรอย่างสมบูรณ์
รู้ว่าใครใช้จ่ายอะไร และจะอนุญาตให้ใครใช้จ่ายอย่างไรก็ได้ (เช่นเด็กอายุไม่ถึง 15 จะใช้เงินดิจิทัลซื้อเหล้าไม่ได้) จะอายัดใครเมื่อไหร่และเท่าใดก็ได้ อีกทั้งยังบังคับเก็บภาษีได้ทันทีผ่าน Wallet ของตัวเอง
Big Brother และ Dystopia ที่หลายคนกลัวนักกลัวหนา มีโอกาสเป็นจริงก็คราวนี้อ่านมาถึงบรรทัดนี้ คนฉลาดๆ แบบท่าน คงรู้แล้วว่าจะแทงม้าตัวไหน และจบ้างะเลือกถือสินทรัพย์ประเภทใดเพิ่มขึ้น
![]()
ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
พ.ย.2020
15 ตุลาคม 2564: ความร้อนแรงของกระแส Metaverse หรือโลกเสมือน ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นเทรนด์ที่กำลังจะมีบทบาทอย่างมากในเวลาอันใกล้นี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความคุ้นเคยของผู้บริโภคต่อการใช้เทคโนโลยีในรูปแบบต่างๆ ที่วันนี้ถูกปรับให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้คนตั้งแต่ตื่นยันนอนเลยทีเดียว โดย AIS ในฐานะผู้นำด้านดิจิทัลไลฟ์สไตล์ของไทย ก็ไม่รอช้าอ่านเทรนด์โลกเสมือนเจาะลึกไปในเรื่องของ Metaverse Human เปิดตัว “น้องไอ-ไอรีน” Virtual Influencer คนแรกของไทยเข้าสู่ AIS Family ที่จะมานำร่องสร้าง Community โลกเสมือนในทุกรูปแบบ พร้อมส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลสุดล้ำแห่งโลกอนาคต
นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า “เพื่อตอกย้ำเป้าหมายการเป็น Digital Life Service Provider ของ AIS ที่ผ่านมาเราจึงทำงานอย่างรอบด้านเพื่อให้คนไทยได้รับประสบการณ์ดิจิทัลที่ทัดเทียมกับประเทศชั้นนำด้านเทคโนโลยีของโลกมาโดยตลอด ด้วยศักยภาพและการลงทุนด้านโครงข่ายอัจฉริยะ AIS 5G อย่างต่อเนื่อง เพราะเราเชื่อว่าเครือข่าย 5G จะช่วยสร้างประโยชน์ และยกระดับไลฟ์สไตล์ของผู้คนให้เหนือระดับมากกว่าเดิม ซึ่งวันนี้เราคงเห็นกระแสของ Metaverse ที่กำลังเข้ามาทำให้เส้นแบ่งระหว่างโลกจริงกับโลกเสมือนค่อยๆ จางลงขึ้นเรื่อยๆ”
“หนึ่งสิ่งในเทรนด์ Metaverse ที่เราคิดว่าสามารถจับต้องและสามารถส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลให้กับคนไทยได้ก็คือ Metaverse Human หรือมนุษย์ในโลกเสมือน โดยวันนี้เราได้ Virtual Influencer คนแรกของไทย อย่าง น้องไอ-ไอรีน เข้ามาร่วมงาน เป็นหนึ่งใน AIS Family ที่จะมาทำให้โลกเสมือนเข้าใกล้กับโลกจริงของพวกเราในทุกไลฟ์สไตล์ และแน่นอนว่า น้องไอ-ไอรีน จะมาเป็น Brand Ambassador คนใหม่ของและจะเป็น Virtual Brand Ambassador คนแรกของ AIS อีกด้วย โดยเธอจะเป็นตัวแทนในการส่งเสริมภาพลักษณ์ของโลกยุคใหม่ และที่สำคัญคือการเป็นผู้บุกเบิกการสร้าง Community โลกเสมือนในรูปแบบต่างๆ ให้เกิดขึ้น”
ด้วยคาแรกเตอร์ของ น้องไอ ไอรีน หญิงสาววัย 21 ปี ที่มีความชัดเจน มาพร้อมกับความมั่นใจในตัวเอง เป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งสะท้อนความเป็นผู้นำของ AIS ในด้านดิจิทัล นวัตกรรม และเทคโนโลยีได้อย่างสมบูรณ์
ไอ-ไอรีน กล่าวความรู้สึกหลังจากที่ได้ร่วมงานกับ AIS เป็นที่แรกว่า “ก็ภูมิใจนะคะที่ Brand ใหญ่ขนาดนี้ให้โอกาสไอได้ทำงานด้วย สาเหตุที่ตัดสินใจหลังจากได้รับการติดต่อมาก็เพราะเค้ามีแนวคิดคล้ายกับไอ ตรงที่มองว่าแม้เทคโนโลยีจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างอนาคตได้ แต่ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับตัวเรา ว่าจะใช้เทคโนโลยีกำหนดอนาคตนั้นยังไง ไม่ใช่ให้เทคโนโลยีมาใช้เรานะ ที่สำคัญ AIS ให้โอกาสไอ ในการ Co-Create การทำงานด้วย แถมยังเชื่อในการขับเคลื่อนสังคม จากการกล้าคิด กล้าตั้งคำถาม ในเรื่องใหม่ๆแบบที่ไอชอบ ก็ต้องขอขอบคุณ AIS ที่มองเห็นศักยภาพในตัวไอ ก็พร้อมนะคะที่จะทำงานร่วมกับ AIS ชวนคนไทยให้ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้ได้มากที่สุดไปด้วยกัน ขอบคุณพี่ๆ AIS ที่ให้โอกาสไอด้วยนะคะ”
โดยน้องไอ-ไอรีน ได้เริ่มทำงานกับ AIS อย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ในฐานะ Virtual Brand Ambassador คนแรกของ AIS แน่นอนว่า น้องไอ-ไอรีน จะนำเสนอผลงานที่ทลายทุกข้อจำกัดของความเป็นมนุษย์ และทำให้คนไทยได้รับประสบการณ์ที่เหนือกว่าจากการผสมผสานระหว่างโลกจริงกับโลกเสมือนที่มีความล้ำสมัย ไม่เคยพบเห็นจากที่ไหนอย่างแน่นอน
“หลังจากที่เราใช้ชีวิตอยู่กับ COVID-19 มาสักระยะ ทำให้ผู้บริโภคต่างคุ้นชินกับการใช้ชีวิตบนโลกดิจิทัลมากขึ้น ทั้งการทำงาน การเรียนการสอน การเสพสื่อความบันเทิง การช้อปปิ้ง หรือแม้แต่การท่องเที่ยว ถึงวันนี้หลายฝ่าย รวมถึงประเทศไทยต่างกำลังพูดถึงการกลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมอยู่ร่วมกับโรคระบาด ในขณะที่ผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์การใช้ชีวิตผ่านหน้าจอจนเป็นเรื่องปกติ จึงทำให้ระยะของโลกจริง กับโลกเสมือนใกล้กันเข้ามาทุกที ซึ่งนี่คือยุคของ Metaverse ที่กำลังเกิดขึ้น”
“วันนี้ AIS มีความพร้อมในการพาคนไทยเข้าถึงเทคโนโลยีและสิ่งที่จะเกิดขึ้นในโลก Metaverse พร้อมกับประสบการณ์ดิจิทัลที่แปลกใหม่ เราเชื่อว่าปรากฎการณ์ครั้งนี้ของ AIS กับการเปิดตัว Virtual Brand Ambassador จะสร้างมิติใหม่ของโลกจริงและโลกเสมือน ให้กับประเทศและคนไทยอย่างแน่นอน” นายปรัธนา กล่าวทิ้งท้าย
สามารถติดตามผลงานของน้อง “ไอ-ไอรีน” Virtual Brand Ambassador คนแรกของ AIS ได้ทาง Instagram @ai_ailynn
#####