

“Cider vinegar” หรือ “น้ำส้มสายชูหมัก” เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่กำลังได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน เพราะกรดแอซีติก (Acetic acid) ซึ่งเป็นสารสำคัญในเครื่องดื่มประเภทนี้สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการย่อยอาหารและควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือดได้ดี ส่งผลให้ตลาดของผลิตภัณฑ์ Cider vinegar มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการคาดการณ์ว่าในปี 2570 ผลิตภัณฑ์ Cider vinegar ในตลาดโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาในประเทศไทยยังมีส่วนแบ่งในตลาดนี้น้อย เพราะแม้จะมีผลผลิตทางการเกษตรจำนวนมากที่สามารถใช้เป็นวัตถุดิบได้ แต่ผู้ประกอบการไทยยังขาดองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่เหมาะสม จึงยากแก่การผลิตสินค้าในระดับอุตสาหกรรม
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิต Cider vinegar แบบขั้นตอนเดียว สำหรับวัตถุดิบการเกษตรของไทย โดยเป็นกระบวนการผลิตแบบง่ายและต้นทุนต่ำ ช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) สามารถเข้าถึงการใช้เทคโนโลยีแปรรูปสินค้าการเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มได้
![]()
นายยุทธนา กิ่งชา นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร กลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชันและนวัตกรรมอาหาร ไบโอเทค สวทช. อธิบายว่า จุดเริ่มต้นการทำวิจัยนี้มาจากความต้องการของบริษัทเอแอนด์พี ออร์ชาร์ด 1959 จำกัด ผู้ผลิตมังคุดที่ต้องการแก้ปัญหามังคุดล้นตลาดด้วยการนำมาแปรรูปเป็น Cider vinegar เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยบริษัทฯ พยายามพัฒนากระบวนการหมักกว่า 7 ปี แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากขาดองค์ความรู้ในกระบวนการหมักที่เหมาะสม ขณะเดียวกันเทคโนโลยีการผลิต Cider vinegar จากต่างประเทศก็มีราคาสูงกว่า 10 ล้านบาท จึงเป็นเรื่องยากต่อการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย ทั้งนี้ไบโอเทค สวทช. มีองค์ความรู้เรื่องจุลินทรีย์และมีคลังจุลินทรีย์ที่พบในประเทศไทยจำนวนมาก จึงเป็นโอกาสสำคัญที่นำมาสู่การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต Cider vinegar จากมังคุดในระดับอุตสาหกรรมร่วมกัน
![]()
“โจทย์ใหญ่ในการพัฒนาคือต้องเป็นเทคโนโลยีที่ง่ายและต้นทุนไม่สูง ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิต Cider vinegar แบบขั้นตอนเดียว ซึ่งเป็นกระบวนการหมักแบบช้า (Slow process) ที่ทำให้ได้ Cider vinegar ที่มีกลิ่นรสเฉพาะของวัตถุดิบโดยไม่ต้องปรุงแต่งด้วยสารเติมแต่งภายหลังการหมัก โดยพัฒนาเทคโนโลยีใน 2 ส่วนหลัก ส่วนแรกคือการพัฒนาหัวเชื้อจุลินทรีย์สูตรผสมที่สามารถผลิตเอทานอลและกรดแอซีติกจากการหมักได้พร้อมๆ กัน ซึ่งกระบวนการเดิมต้องหมักถึง 2 ขั้นตอน คือหมักให้เกิดเอทานอลก่อนแล้วนำมาหมักต่อให้ได้กรดแอซีติกภายหลัง
ส่วนที่สองคือการพัฒนาสภาวะที่เหมาะสมและง่ายสำหรับการหมัก เพื่อให้ได้ผลผลิตน้ำส้มสายชูหมักที่มีคุณภาพและปลอดภัย ทั้งยังสามารถลดระยะเวลาการหมักจาก 6 เดือน เหลือเพียง 3 เดือน การออกแบบระบบ
ของการหมักเป็นแบบแยกยูนิต 1 ยูนิตของการหมักประกอบด้วยถังหมักพลาสติกชนิด food grade ขนาด 100 ลิตร จำนวน 4 ถัง ซึ่งสามารถผลิต Cider vinegar ได้ประมาณ 280 ลิตร จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้คือมีความยืดหยุ่นในการใช้งานสูง ผู้ผลิตสามารถปรับเพิ่มหรือลดจำนวนถังหมักและระบบการให้อากาศเพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณการผลิตที่ต้องการได้ ไม่จำเป็นต้องหมักครบทุกถัง หรือหากต้องการเพิ่มปริมาณการผลิตก็ทำได้ง่าย เพียงทำการเพิ่มจำนวนยูนิตของการหมักเท่านั้น นอกจากนี้กระบวนการเตรียมหัวเชื้อจุลินทรีย์และอุปกรณ์การผลิตยังมีราคาถูกและใช้งานง่าย ไม่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเพื่อควบคุมการผลิต ทำให้ต้นทุนการผลิตถูกกว่าเทคโนโลยีที่นำเข้าจากต่างประเทศมาก ที่สำคัญคือ Cider vinegar จากมังคุดที่ผลิตได้ยังมีคุณภาพดีทั้งกลิ่นและรสชาติมีคุณภาพสม่ำเสมอตามมาตรฐาน สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นให้แก่มังคุดมากกว่า 50 เท่า”
ปัจจุบันบริษัทเอแอนด์พี ออร์ชาร์ด 1959 จำกัด ได้ร่วมทุนกับบริษัทเอสคิวไอ กรุ๊ป จำกัด พัฒนาผลิตภัณฑ์ “Cider Vinegar จากมังคุดออร์แกนิกแบบพร้อมดื่ม ภายใต้แบรนด์ Sukina Drink” วางจำหน่ายในตลาดแล้ว ความพิเศษของผลิตภัณฑ์นอกจากสรรพคุณหลักของกรดแอซีติกที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการย่อยอาหาร ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแล้ว มังคุดยังมีสารสำคัญ เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ และสารต้านการอักเสบ และสารอื่นๆ ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพ อีกด้วย
นายยุทธนา เล่าว่า เทคโนโลยีการผลิตน้ำส้มสายชูหมักแบบขั้นตอนเดียวสามารถประยุกต์ใช้ในการผลิต Cider vinegar ครอบคลุมวัตถุดิบการเกษตรของไทยได้หลากหลาย เพียงเกษตรกรหรือผู้ประกอบการมีวัตถุดิบที่มีจุดเด่นที่คุ้มค่าต่อการลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์
![]()
“ปัจจุบันไบโอเทคได้ขยายผลการใช้งานเทคโนโลยีสู่การผลิต Cider vinegar จากสัปปะรด ให้แก่บริษัท ซินอา บริว จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตน้ำส้มสายชูกลั่นที่ต้องการขยายตลาดสู่สินค้าเพื่อสุขภาพ โดยมีการจำหน่ายสินค้าแล้วใน “แบรนด์ SINAR (ซินอา)” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ Cider vinegar สูตรไม่ปรุงแต่งรสและปราศจากน้ำตาล จึงเหมาะสำหรับนำไปทำเครื่องดื่มและอาหารเพื่อสุขภาพ มีสรรพคุณช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดคอเลสเตอรอล เหมาะแก่ผู้บริโภคอาหารแบบคีโตเจนิค (Ketogenic diet) และผู้ดูแลสุขภาพ นอกจากนี้ในอนาคตไบโอเทคยังมีแผนพัฒนาต่อยอดไปสู่ผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ อาทิ กระเทียมดำ ผลเชอร์รีกาแฟ และอ้อย ฯลฯ เนื่องจากตลาด Cider vinegar มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในไทย เอเชียแปซิฟิก รวมถึงตลาดโลก”
เทคโนโลยีการผลิตน้ำส้มสายชูหมักแบบขั้นตอนเดียวที่พัฒนาขึ้นโดยนักวิจัยไทย นับเป็นโอกาสสำคัญของเกษตรกรและผู้ประกอบการไทยในการยกระดับ เพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติที่มุ่งใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียกระดับเศรษฐกิจฐานชีวภาพ สร้างมูลค่าเพิ่ม ลดการสร้างของเสีย และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า รวมถึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
/////////////////////
เชื่อหรือไม่…ว่าการศึกษาจะช่วยส่งมอบคุณค่า และเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น?
“จุดที่แตกต่างของ Saturday School คือ มุ่งพัฒนา Soft Skills ให้กับเด็กๆ ซึ่งจะติดตัวพวกเขาไปในอนาคตได้อย่างดีเยี่ยม เรามุ่งพัฒนาและดึงศักยภาพของทุกคนจากภายใน สร้าง Growth Mindset ให้เขาเป็นคนดี และอยากแบ่งปันให้ผู้อื่น” กล่าวโดย ครูยีราฟ
หลายๆ คนที่อยู่ในแวดวงการศึกษาน่าจะเคยได้ยินชื่อ “Saturday School” หรือ “โรงเรียนวันเสาร์” โรงเรียนแสนสนุกที่ก่อตั้งในรูปแบบมูลนิธิ ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มคนในสังคมจากหลากหลายสาขาอาชีพ บนความมุ่งมั่นเดียวกันที่จะเปิดพื้นที่แห่งการเรียนรู้ในวันเสาร์ ให้เป็นคอมมูนิตี้แลกเปลี่ยนกัน ระหว่างเด็กนักเรียนที่อยากเรียนรู้ และคุณครูอาสาที่อยากสอน เพื่อช่วยเติมฝันและความสุขให้น้องๆ ได้ทำในสิ่งที่พวกเขาอยากทำ พร้อมดึงศักยภาพในตัวเขาออกมา
รายการ open talk EP.16 ขอพาคุณไปสัมผัสมิติใหม่แห่งการศึกษานอกห้องเรียน กับ “ครูยีราฟ” สรวิศ ไพบูลย์รัตนากร คุณครูผู้ผันตัวจากอดีตโปรแกรมเมอร์บริษัทยักษ์ใหญ่ สู่ Founder & CEO
ของ Saturday School กับเป้าหมายใหญ่ที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ดีขึ้น ด้วยภารกิจปั้นโอกาสทางการศึกษาสู่วิชานอกห้องเรียน และมุ่งขยายคอมมูนิตี้การเรียนการสอนของ Saturday School ให้ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ มาร่วมรับชมรับฟังบทสัมภาษณ์กันได้เลยค่ะ Link EP.16: VDO https://www.youtube.com/watch?v=tAiug42C7W0&t=4s
เมื่อ Mission หลักของ Saturday School คือการพัฒนาการศึกษา เพื่อผลิตคนเก่งๆ ให้กลับไปพัฒนาประเทศในอนาคต รูปแบบการเรียนการสอนของที่นี่จึงไม่ได้มีหลักสูตรสำเร็จตายตัว แต่จะเป็นคลาสเรียนทั้งแบบระยะสั้นและระยะยาว ที่เกิดขึ้นจากความสนใจของเด็กๆ และคุณครูอาสา เช่น คลาสเรียนเต้น โปรแกรมมิ่งคอมพิวเตอร์ เกมแคสติ้ง การวางแผนการเงิน โปรแกรมพัฒนาตัวเองใน 21 วัน (21 Days Challenge) ฯลฯ โดยในช่วงโควิด จะเป็นการสอนผ่านระบบออนไลน์ควบคู่กับกล่องการเรียนรู้ (Learning Box) ที่คุณครูอาสาจะส่งไปให้เด็กๆ ที่บ้าน พร้อมคอยช่วยเหลือและติดตามผลอยู่เป็นระยะ เพื่อกระตุ้นให้เด็กๆ มี Active Learning และ Engagement ให้ได้มากที่สุด เมื่อเด็กๆ และคุณครูอาสาสามารถแสดงศักยภาพและทำได้ตามเป้าหมาย พวกเขาจะเกิดความภาคภูมิใจและแรงบันดาลใจที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม และส่งต่อพลังบวกให้คนรอบข้างต่อไป
สำหรับผู้ที่อยากเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นพันธมิตรหรือสนับสนุน Saturday School สามารถร่วมบริจาคได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น เงินทุน อุปกรณ์การเรียนการสอน เครื่องมือ ระบบคอมพิวเตอร์ โปรแกรมต่างๆ ฯลฯ ผ่านมูลนิธิ Saturday School เพื่อร่วมพัฒนาการศึกษาและเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ดีขึ้น โดยร่วมบริจาคได้ที่ https://bit.ly/Saturday-School หรือติดต่อเพจ Saturday School Thailand
ท้ายนี้ ครูยีราฟยังได้ฝากข้อคิด เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ครูอาสา นักเรียน บุคคลทั่วไป และองค์กรต่างๆ ไว้ว่า “ผมอยากให้เราเชื่อมั่นในศักยภาพของแต่ละคน ว่าเป็นสิ่งที่สามารถพัฒนาได้ แม้ว่าเราจะมีพื้นฐานและต้นทุนชีวิตที่แตกต่างกัน และผมเชื่อว่าเด็กๆ จะเรียนรู้ได้ดีเมื่อเขาได้ทำในสิ่งที่เขาสนใจ”
สามารถรับชมเรื่องราวและกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจ ของ open talk และ Episode ใหม่ๆ ของเราผ่านช่องทางเหล่านี้
TCC Technology Official Facebook
TCC Technology Official Youtube
https://www.linkedin.com/company/tcc-technology
อย่าลืมติดตามคอนเทนต์ดีๆ จากเรา พร้อมกดถูกใจ (Like) กดติดตาม (Follow) กดเห็นโพสต์ก่อน (See First) และ Subscribe ในทุกช่องทางเพื่อรับอัปเดตใน Episode ใหม่ๆ ได้ทันที
หากมีคำแนะนำ สามารถทิ้งข้อความได้ทั้งในเพจ หรือในลิงก์อีเมลThis email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
ทางรายการยินดีรับฟังทุกคำแนะนำ
แขกรับเชิญ: คุณสรวิศ ไพบูลย์รัตนากร Founder & CEO ของ Saturday School
ผู้ดำเนินรายการ: วลีพร สายะสิต General Manager - Corporate Communications, TCC Technology
สามารถรับชมวิดีโอบทสัมภาษณ์ open talk EP.16 ฉบับสมบูรณ์ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=tAiug42C7W0&t=4s
ศิริราช เปิดบ้านต้อนรับนักเรียนม.ปลาย แพทย์จบใหม่ และผู้สนใจ เข้าร่วมงาน “Siriraj Education Expo 2021” ในรูปแบบออนไลน์ ภายใต้แนวคิด Exploring the Journey in Healthcare วันที่ 11 ธ.ค. 2564 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 17.00 น. เปิดลงทะเบียนล่วงหน้า วันนี้จนถึงวันที่ 10 ธ.ค.นี้
พลาดไม่ได้ !! งานนี้จัดเพื่อน้อง ๆ ที่สนใจเรียนสาย Healthcare มาค้นหาตัวเองและความฝันรวมถึงผู้ปกครอง ครู พบทุกหลักสูตรพร้อมอาจารย์แพทย์ รุ่นพี่ ตอบทุกคำถามที่อยากรู้ ทั้งเรื่องเรียน การใช้ชีวิต ทุนการศึกษา รวมทั้งเรื่องชิค ๆ ชีล ๆ ที่แสนอบอุ่นในรอบรั้วริมน้ำ จาก 6 โซน
โซน 1 มีอะไรบ้างในงาน“Siriraj Education Expo 2021” สัมผัสเรื่องราวที่น่าค้นหาและท้าทายที่อาจไม่เคยเห็น แนะนำข้อมูลของโซนต่างๆ และวิธีการเข้าถึง
โซน 2 “รู้..พร้อม..ก่อนเรียนศิริราช” บอกเล่าการเรียนการสอนหลักสูตรแพทย์ “Hybrid 6 ยกกำลัง1” ที่ออกแบบเพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ทุนการศึกษา ชีวิตความเป็นอยู่ กิจกรรมภายในศิริราช และรอบรั้วมหิดล
โซน 3 “จบหมอแล้วไปต่อไหนดี” สามารถเรียนต่อยอด ทั้งปริญญาโท-เอก ฯลฯ รับรองว่าเส้นทางข้างหน้ายังมีความก้าวหน้าในสายวิชาชีพแน่นอน
โซน 4 “ศิริราชไม่ใช่มีแค่หมอ” ยังมีหลักสูตรให้เลือกเรียน ทั้งหลักสูตรวิทยาศาสตร์ สาขากายอุปกรณ์ แห่งเดียวในไทย แห่งแรกในอาเซียน หลักสูตรการแพทย์แผนไทยประยุกต์ หลักสูตรสาขาเทคโนโลยีการศึกษาแพทยศาสตร์ และหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล ที่รอน้องๆ เยี่ยมชม
โซน 5 “ริมน้ำล้ำนะ” พบนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการรักษาและวิจัย ที่อาจสร้างแรงบันดาลใจ
โซน 6 “สดจากริมน้ำ” แชร์ประสบการณ์กับน้องๆ คุยสดตลอดงาน พบอาจารย์ รุ่นพี่ ตอบทุกข้อสงสัย พร้อมข้อมูลคลุกวงใน เช่น เตรียมตัวเรียนหมอศิริราช ตามติดชีวิตหมอ น้องถามพี่ตอบ จบแล้วไปไหนต่อ เครียดได้หายเป็น ฯลฯ
*Lucky Draw ในงาน ลุ้นรับของรางวัลรวมมูลค่ามากกว่า 200,000 บาท มาแจกน้องๆ เช่น iPad Air10.9นิ้ว 64 GB, Huawei Y6 P1, True Smart P1 Prime และแพ็คเน็ตเต็มสปีด 5 GB 7 วัน *สงวนสิทธิ์การจับรางวัลตามเงื่อนไขที่ผู้จัดงานกำหนด
![]()
ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด น้องๆ สามารถ ค้น-คว้า-หา-ทำ ในงาน “Siriraj Education Expo 2021” รู้ก่อน พร้อม กว่า สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2419 6410 และ 0 2419 7646-50 ในวันเวลาราชการ อีเมล: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it. และเว็บไซต์: https://www.si.mahodol.ac.th สามารถลงทะเบียน วันนี้ ถึง 11 ธ.ค. 2564 ได้ที่ ลิ้งก์ https://bit.ly/3jXMXPh Official Trailer : https://www.youtube.com/watch?v=W41CJL7MDGg
ธนาคารไทยพาณิชย์ ขับเคลื่อนแนวคิดการพัฒนา SME Tech Academy เพื่อจุดประกายความรู้ทางด้านดิจิทัลแบบ 360 องศาให้กับผู้ประกอบการไทย ครั้งนี้พัฒนาหลักสูตร The Dots Digital CommerceX บ่มเพาะเอสเอ็มอีให้มีความพร้อมสำหรับการทำธุรกิจในยุคดิจิทัลที่มีความท้าทาย โดยผสานพลัง ช้อปปี้ (ประเทศไทย) พร้อมพันธมิตร Social Commerce และ E-Commerce ระดม กูรูตัวจริงในเรื่องดิจิทัลและการค้าออนไลน์ ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ มุมมอง เทคนิค กลยุทธ์ และความรู้ในทุกแง่มุมให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการขยายขีดความสามารถในการแข่งขันและคว้าโอกาสใหม่ๆ จากเทรนด์ธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด หลักสูตรนี้อัดแน่นเนื้อหาอย่างเข้มข้นและเจาะลึกตลอดระยะเวลา 6 สัปดาห์ ด้วยการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์เต็มรูปแบบ โดยเปิดกว้างให้เอสเอ็มอีจากทั่วประเทศได้เข้าร่วมหลักสูตรจำนวนกว่า 200 บริษัท โดยไม่ต้องเป็นลูกค้าของธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการทุกคนเข้าถึงความรู้และนำไปสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจอย่างแท้จริง โดยมีนางพิกุล ศรีมหันต์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารไทยพาณิชย์ นายศิวกร สิริวงศ์ภาณุพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ช้อปปี้ (ประเทศไทย) และนายอุกฤษฎ์ ตั้งสืบกุล SCB SME Mentor และผู้อำนวยการหลักสูตร The Dots CommerceX ร่วมเปิดหลักสูตร
นางพิกุล ศรีมหันต์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) เติบโตอย่างมากในระยะ 2- 3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อเกิดสถานการณ์โควิด-19 การค้าขายมีมูลค่าสูงกว่า 3 ล้านล้านบาท มีผู้ประกอบการในธุรกิจ E-Commerce นับล้านราย อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ประกอบการอีกเป็นจำนวนมากที่ยังปรับตัวได้ช้า และต้องการเสริมความรู้ทางด้านนี้เพื่อนำไปปรับใช้ในธุรกิจของตนให้เท่าทันกับความต้องการของผู้บริโภค เนื่องจากขณะนี้สังคมโลกรวมถึงประเทศไทยได้ก้าวสู่เทรนด์ธุรกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ทุกธุรกิจจึงควรต้องปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและคว้าโอกาสใหม่ๆ ที่จะช่วยสร้างการเติบโตให้ธุรกิจในวันข้างหน้า ธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นแหล่งความรู้ของผู้ประกอบการผ่านการพัฒนา SME Tech Academy จึงได้ร่วมกับพันธมิตรจัดทำหลักสูตร The Dots Digital CommerceX สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการปรับตัวและพัฒนาช่องทางการขายใหม่ในรูปแบบออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความรู้ที่เข้มข้นและมุมมองที่ลึกซึ้งในชั้นเรียนจากกูรูทางด้านดิจิทัล ด้าน E-Commerce และ Social Commerce พร้อมกิจกรรม Workshop รวมกว่า 10 ครั้ง เป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ ซึ่งมั่นใจว่าผู้เข้าร่วมหลักสูตรทั้งที่เป็นลูกค้าและไม่ใช่ลูกค้าธนาคารไทยพาณิชย์กว่า 200 ราย จะสามารถตักตวงความรู้และต่อยอดสู่การพัฒนาธุรกิจให้เติบโตในช่องทางออนไลน์ได้ตามเป้าหมาย
ทั้งนี้ หลักสูตร The Dots Digital CommerceX มีเนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่การสร้างความเข้าใจในกระบวนการเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจดิจิทัล ที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจและพฤติกรรมผู้บริโภค การพัฒนา แบรนด์ในรูปแบบใหม่ๆ การใช้ประโยชน์สูงสุดจากฐานข้อมูล การพัฒนาการตลาดดิจิทัล การสร้างยอดขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์และโซเชียลมีเดีย การใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อจัดการระบบหลังบ้านตั้งแต่ต้นจนสินค้าส่งถึงมือลูกค้า เป็นต้น อีกทั้งหลักสูตรยังให้มากกว่าความรู้ แต่ได้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าอบรมเข้ารับคำปรึกษาทางธุรกิจแบบตัวต่อตัวจากผู้อำนวยการหลักสูตร และทีมที่ปรึกษา SCB Mentor ซึ่งเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากหลากหลายวงการ ตลอดจนสามารถเข้าร่วมการเจรจาธุรกิจ (Business Matching) กับเครือข่ายเอสเอ็มอีของธนาคารไทยพาณิชย์ โดยทุกกิจกรรมไม่มีการค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
นายศิวกร สิริวงศ์ภาณุพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ช้อปปี้ (ประเทศไทย) กล่าวว่า การให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยของประเทศให้สามารถฟื้นฟูและต่อยอดการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศนั้น ถือเป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญของช้อปปี้ ตามเจตนารมณ์ที่จะมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนด้วยเทคโนโลยี ซึ่งช้อปปี้ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ ในโครงการ The Dots Digital CommerceX โดย โดยช้อปปี้ ในฐานะ อีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มชั้นนำของประเทศ จะใช้ประโยชน์จากความชำนาญด้านทักษะอีคอมเมิร์ซที่มีอย่างรอบด้านเข้ามาช่วยติดอาวุธความรู้ ซึ่งถือเป็นต้นทุนทางธุรกิจที่สำคัญให้กับผู้ประกอบการ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงการเข้าถึงโอกาสที่มีอยู่อย่างมหาศาลบนโลกอีคอมเมิร์ซ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายปีกับมหกรรม Shopee 11.11 Big Sale ซึ่งถือว่าเป็นมหกรรมช้อปปิ้งออนไลน์ที่คึกคักที่สุดของปีที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นได้อย่างเต็มศักยภาพ
นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมหลักสูตร The Dots Digital CommerceX ยังจะได้รับสิทธิพิเศษจาก บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด พันธมิตรสำคัญในครั้งนี้ ในการเข้าร่วมโครงการ Go Online คลาสเรียนสอนเทคนิคในการทำธุรกิจ E-Commerce แบบฉบับ Shopee เป็นระยะเวลา 3 เดือน และมอบสิทธิพิเศษสำหรับกลุ่มผู้ผลิตและผู้ค้าส่งในการสมัครเข้าร่วมโปรแกรมเพื่อรับการสนับสนุนจาก Shopee รวมมูลค่าสูงถึง 200,000 บาทต่อร้าน (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ Shopee กำหนด) ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถติดตามกิจกรรมที่จะเป็นประโยชน์จากธนาคารไทยพาณิชย์ ผ่านช่องทางเว็บไซต์ www.scbsme.scb.co.th Facebook: www.facebook.com/groups/scbsme/ หรือ ติดต่อสอบถามข้อมูลธุรกิจได้ทาง SCB SME Business Call Center โทร.02 7222222
###
นางประณยา นิถานานนท์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร – การตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) มอบสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี มาสเตอร์การ์ดทุกประเภท ในมหกรรมลดราคาครั้งใหญ่ที่สุดแห่งปี Lazada 11.11 Biggest One Day Sale รับทันทีส่วนลด 350 บาท เมื่อช้อปสินค้าออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันลาซาด้า “Lazada” หรือเว็บไซต์ www.lazada.co.th ตั้งแต่ 1,999 บาทขึ้นไปต่อรายการซื้อสุทธิ และระบุรหัสส่วนลด “KTCMCLZ1121” ก่อนการชำระเงิน (จำกัด 3,143 รหัสส่วนลด) เฉพาะวันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 วันเดียวเท่านั้น พิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ที่ช้อปครั้งแรกกับ Lazada ผ่านแอปฯ Lazada เท่านั้น ตั้งแต่ 60 บาทขึ้นไปต่อรายการซื้อสุทธิ รับทันทีส่วนลด 60 บาท โดยใช้รหัสส่วนลด “KTCMCNEW1121” (จำกัด 1,667 โค้ด) ดูรายละเอียดโปรโมชันเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/online/shopping/lazada-1111
นอกจากนี้ สมาชิกเคทีซียังสามารถใช้คะแนนเท่ายอดซื้อต่อรายการ แลกรับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมเครดิตเงินคืน 10% พร้อมรับคะแนน KTC FOREVER สูงสุด 10 เท่า โดยคลิกลงทะเบียนตามเงื่อนไขที่กำหนดผ่าน www.ktc.co.th/shoponline ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2564 – 31 มกราคม 2565 สมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีคลิก https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อ KTC Phone โทร. 0-2123-5000
---------------------------------------------------------------
OPPO, Orange, Deutsche Telekom และ Saint-Gobain ร่วมจัดงานประชุม CSRtech Innovation Summit ครั้งที่ 4 ที่เซี่ยงไฮ้ ภายใต้ UN (United Nations) 2030 Agenda for Sustainable Development โดยงานประชุมในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อค้นหานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อรองรับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งสอดรับกับพันธกิจของแบรนด์อย่าง “Technology for mankind, kindness for the world” โดย OPPO ได้กล่าวถึงความเข้าใจ รวมถึงประสบการณ์ในการเสริมสร้างความยั่งยืน ทั้งด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ การผลิต และการดำเนินงาน พร้อมผลักดันให้ผู้ประกอบการร่วมคิดค้นวิธีการใหม่ๆ เพื่อก้าวสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนผ่านนวัตกรรมทางเทคโนโลยี
งานประชุม CSRtech Innovation Summit ในปีนี้ จัดขึ้นเพื่อมุ่งค้นหาโซลูชันที่เป็นนวัตกรรม ด้วย 3 เป้าหมายหลัก ได้แก่ การปกป้องโลก การขับเคลื่อนธุรกิจที่ยั่งยืน และการให้คุณค่าต่อความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ โดย งานประชุมครั้งนี้ยังเปิดโอกาสในการมีส่วนร่วมระหว่างสตาร์ทอัพกับผู้เล่นในอุตสาหกรรมและนักลงทุน ซึ่ง
สตาร์ทอัพสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยส่งเสริมให้บรรลุเป้าหมายข้างต้น โดยภายในงาน OPPO ได้กล่าวถึงประสบการณ์การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลดขยะพลาสติก และการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่มีน้ำหนักเบา รวมถึง trade-in service ที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนและลดของเสียอีกด้วย
โดยก่อนการจัดงานประชุม OPPO ได้จัดงานเวิร์กชอป CSRtech innovation and entrepreneurship ขึ้น 3 แห่ง คือ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น โดยงานเวิร์กชอปที่เซินเจิ้น OPPO ได้เชิญ Youth Programme Officer จาก United Nations Development Programme (UNDP) China มาร่วมกล่าวถึงนวัตกรรมและการเป็นผู้ประกอบการ รวมถึงบริษัท Voibook Technology สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีที่มุ่งออกแบบดีไซน์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาทางการได้ยินและการพูด มาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือกันกับ OPPO ในโครงการ City Voice Messenger
งานประชุมในครั้งนี้ ได้รับกระแสตอบรับเข้าร่วมสมัครอย่างท่วมท้นจากบริษัทสตาร์ทอัพทั่วโลก ซึ่งมีบริษัทสตาร์ทอัพที่โดดเด่นเพียง 12 รายเท่านั้นที่ได้รับคัดเลือกให้ร่วมเสนอไอเดีย และด้วยไอเดียที่โดดเด่นของบริษัท Viobook Technology และ SATOR Tech ทำให้ทั้งสองบริษัทได้รับรางวัล Outstanding Start-up โดยไอเดียจาก Viobook Technology คือการเป็นองค์กรเพื่อสังคมที่มีความเป็นนวัตกรรม มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อพัฒนาการสื่อสารให้แก่ผู้บกพร่องทางการได้ยินและการพูด ส่วน SATOR TECH มุ่งมอบโซลูชันแบบครบวงจรให้แก่บริษัทในเครืออุตสาหกรรมพลังงาน อสังหาริมทรัพย์ และรถยนต์ ด้วยการใช้เทคโนโลยี AI ที่พัฒนาขึ้นเองและเทคโนโลยีการขับขี่แบบอัตโนมัติ
![]()
(Voibook Technology ได้รับรางวัล Outstanding Start-ups จากการมุ่งใช้เทคโนโลยี AI เพื่อพัฒนาการสื่อสารในกลุ่มผู้บกพร่องทางการได้ยินและการพูด)
ส่งเสริมความยั่งยืนผ่านพันธมิตรในอุตสาหกรรม
OPPO ได้ทำงานร่วมกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็น Orange และ Deutsche Telekom เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยในเดือนพฤษภาคม 2564 OPPO ถือเป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆ ที่เข้าร่วม Eco Rating Initiative ที่จัดตั้งโดยผู้ให้บริการเครือข่ายชั้นนำในยุโรป มาช่วยประเมินประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อมของโทรศัพท์มือถือ โดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์ด้านวงจรการใช้งานผลิตภัณฑ์ (Life cycle) และตัวชี้วัดของเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งปัจจุบัน OPPO ได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ยั่งยืนที่สุด จากการเป็นโทรศัพท์มือถือที่มีความทนทาน รีไซเคิลได้ ซ่อมแซมได้ ทนต่อสภาพอากาศ และมีการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
“ในฐานะกำลังสำคัญในการพัฒนาสังคม บริษัทเทคโนโลยีอย่าง OPPO ไม่เพียงแค่มีหน้าที่ส่งมอบนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อประโยชน์ด้านการค้าเท่านั้น แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายและปัญหาในระดับโลกด้วย”
Scott Zhang, OPPO Vice President of Oversea Sales กล่าว “OPPO กำลังเดินหน้าส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมสอดรับกับพันธกิจของแบรนด์อย่าง ‘Technology for mankind, kindness for the world' ทั้งในด้านการผลิต การดำเนินงาน และการออกแบบผลิตภัณฑ์”
![]()
( Scott Zhang, OPPO Vice President of Oversea Sales กล่าวเปิดงาน พร้อมเล่าถึงการดำเนินงานของ OPPO ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม)
พันธกิจของ OPPO ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม
OPPO รับผิดชอบต่อสังคมด้วยการดำเนินงานมากมาย อาทิ การปกป้องสิ่งแวดล้อม การเพิ่มขีดความสามารถของเยาวชน ความครอบคลุมด้านดิจิทัล และการส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด Virtuous Innovation ที่เป็นหัวใจหลักในการดำเนินงานทุกๆ ด้าน
OPPO ได้ผสานการพัฒนาอันยั่งยืนเข้ากับวงจรการออกแบบและการผลิตสินค้า อีกทั้งยังได้เพิ่มระบบแบบอัตโนมัติและพัฒนาระบบการประหยัดพลังงาน เพื่อลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการใช้วัสดุรีไซเคิลในบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ และการสร้าง trade-in service เพื่อรีไซเคิลและนำโทรศัพท์มือถือเก่ามาใช้ใหม่
สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ใช้งาน ถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายในระยะยาวของ OPPO จึงเกิดเป็นความร่วมมือกันระหว่าง OPPO Health Lab และสถาบันทางการแพทย์มืออาชีพ รวมถึงวิทยาลัยการกีฬา เพื่อร่วมกันพัฒนาซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และบริการที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมด้านสุขภาพ นอกจากนี้ OPPO ยังเชื่อว่า เทคโนโลยีควรมอบประโยชน์ให้แก่ทุกๆ คนได้ จึงมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้นและออกแบบให้ผู้สูงอายุใช้งานได้ง่ายขึ้นอีกด้วย โดยในสมาร์ทโฟนรุ่น OPPO Find X3 5G ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่อย่าง Color Vision Enhancement เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการมองเห็นสีในกลุ่ม Color Vision Deficiency (CVD) ให้สามารถมองเห็นเฉดสีที่ถูกต้องและคอนทราสต์ของสีที่ลึกมากขึ้นเพื่อใช้ในการแยกสีต่างๆ นอกจากนี้ OPPO ยังทำงานร่วมกันกับพันธมิตรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ เดินหน้าร่วมส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน เช่น การร่วมมือกันระหว่าง OPPO และ United Nations Development Programme (UNDP) เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรุ่นเยาว์ เสริมศักยภาพในด้านการจัดการความท้าทายต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศผ่านนวัตกรรมทางเทคโนโลยี
โดยในอนาคต OPPO จะยังคงร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมผ่านนวัตกรรมทางเทคโนโลยี พร้อมสร้างอนาคตที่เปิดกว้าง มีการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน และมีความยั่งยืนสำหรับทุกคน
นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช ผู้อำนวยการ – การตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ เดอะคลีนิกค์ เอาใจสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภทจัดโปรโมชันเสริมความงามในราคาสุดพิเศษรับการเปิดประเทศ 1 พฤศจิกายนนี้ มอบส่วนลดสุดคุ้มถึง 80% กับโปรแกรมคืนผิวสวยด้วย Ultra Bright Laser เลเซอร์หน้าใส กำจัดรอยสิว ฝ้าและกระ เหมาทั่วหน้า พิเศษเพียง 1,599 บาท จากปกติ 8,000 บาท และส่วนลด 70% โปรแกรมเลเซอร์กำจัดขนทั้งใบหน้า New YAG Laser เพียง 1,599 บาท จากปกติ 6,000 บาท สำหรับโปรแกรมอื่นๆ สามารถผ่อนชำระ 0% และรับเครดิตเงินคืน เมื่อลงทะเบียนตามเงื่อนไข ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 - 31ธันวาคม 2564
![]()
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและจองคิวได้ที่ 080 000 9800, 088 887 8900 หรือKTC PHONE โทรศัพท์ 02 123 5000 หรือที่เว็บไซต์ www.ktc.co.th/beauty สมัครบัตรเครดิตได้ที่ศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือคลิกลิงค์เพื่อสมัครบัตรเครดิตได้ที่นี่ https://ktc.today/apply-card
EXIM BANK เดินหน้าบทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนา สนับสนุนสินเชื่อเพื่อการลงทุนและการค้าเพิ่มขึ้น รวมเป็นสินเชื่อคงค้าง 147,678 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 สร้างปริมาณธุรกิจ 137,605 ล้านบาท โดย 50,058 ล้านบาทหรือกว่า 36% เป็นธุรกิจ SMEs สินเชื่อคงค้างแก่โครงการลงทุนของไทยในต่างประเทศ โดยเฉพาะ CLMV เพิ่มขึ้นกว่า 20% ส่งผลให้ธนาคารมีกำไรก่อนสำรอง 1,789 ล้านบาทและกำไรสุทธิ 822 ล้านบาท ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 อีกทั้งมีบทบาทสำคัญและสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) คงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ EXIM BANK ที่ระดับสูงสุด “AAA(tha)/Stable” และระยะสั้นที่ระดับ “F1+(tha)” เป็นปีที่ 16 ติดต่อกัน
ดร. รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) แถลงผลการดำเนินงานในช่วงเดือนมกราคม-กันยายน 2564 ว่า แม้เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกจะยังได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 EXIM BANK ยังสามารถขยายบทบาทการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยทั้งด้านการเงินและไม่ใช่การเงินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 EXIM BANK มีสินเชื่อคงค้าง 147,678 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12,450 ล้านบาท หรือ 9.21% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2563 ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเพื่อการลงทุน 110,806 ล้านบาท สะท้อนการขับเคลื่อน EXIM BANK สู่การเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนา (Development Bank) และอีก 36,872 ล้านบาทเป็นสินเชื่อเพื่อการค้า โดยการให้สินเชื่อทั้งหมดของ EXIM BANK ทำให้เกิดปริมาณธุรกิจ (Business Turnover) 137,605 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นปริมาณธุรกิจของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เท่ากับ 50,058 ล้านบาท หรือคิดเป็น 36.38%
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 EXIM BANK มีวงเงินสะสมสนับสนุนสินเชื่อโครงการระหว่างประเทศรวมทั้งสิ้น 102,296 ล้านบาท โดยเป็นสินเชื่อคงค้างจำนวน 65,650 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.43% หรือ 9,266 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2563 จากจำนวนนี้เป็นสินเชื่อคงค้างแก่ผู้ประกอบการไทยที่ขยายการส่งออกและการลงทุนไปยังกลุ่มประเทศ CLMV และตลาดใหม่ (New Frontiers) จำนวน 47,947 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.61% หรือ 8,193 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2563 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ EXIM BANK ในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้รุกตลาดต่างประเทศ รวมทั้ง CLMV โดยเฉพาะเวียดนามซึ่งยังมีเสถียรภาพและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19
ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่ผู้นำเข้าในต่างประเทศมีโอกาสชำระเงินล่าช้าหรือปฏิเสธการชำระเงินค่าสินค้า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 EXIM BANK มีปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและการลงทุนเท่ากับ 134,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.74% หรือ 9,684 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกัน EXIM BANK ได้สนับสนุนผู้ประกอบการทั้งในด้านการเงินและไม่ใช่การเงิน ด้วยการออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขยายระยะเวลาการชำระเงิน และการพักชำระหนี้ รวมทั้งสนับสนุนด้านข้อมูลและความรู้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs สามารถปรับตัวและดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ผ่านการให้คำปรึกษาและจัดอบรม/สัมมนาออนไลน์ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 EXIM BANK ได้ช่วยเหลือทั้งด้านการเงินและไม่ใช่การเงินแก่ผู้ประกอบการประมาณ 10,800 ราย เป็นวงเงินรวมกว่า 68,500 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม โควิด-19 ยังมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ EXIM BANK มีอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 อยู่ที่ 3.71% โดยมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จำนวน 5,472 ล้านบาท แต่มีค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss) จำนวน 12,925 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง คิดเป็นอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) 236.19% โดย 9 เดือนแรกของปี 2564 EXIM BANK มีกำไรก่อนสำรองเท่ากับ 1,789 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 822 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 2,162 ล้านบาท จากผลขาดทุนสุทธิ 1,340 ล้านบาทของปี 2563 ทั้งนี้ คาดการณ์ผลการดำเนินงานสิ้นปี 2564 EXIM BANK จะมีกำไรไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท
บทบาทสำคัญของธนาคารและสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มั่นคง และมีเสถียรภาพเห็นได้จากการที่ EXIM BANK ได้รับการจัดอันดับเครดิตโดยบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด คงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ EXIM BANK ที่ระดับสูงสุด “AAA(tha)” และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ระดับ “F1+(tha)” และมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ (Stable) เป็นปีที่ 16 ติดต่อกัน สำหรับอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวยังคงอยู่ที่ระดับ “BBB+” และมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ (Stable) ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตของรัฐบาลไทย
ปัจจุบัน EXIM BANK ยังคงมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้กลับมาฟื้นตัวและเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์และเครื่องมือทางการเงินและไม่ใช่ทางการเงินใหม่ ๆ อาทิ EXIM Biz Transformation Loan สนับสนุนการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพหรือขยายกำลังการผลิต นำไปสู่การยกระดับมาตรฐานสินค้าส่งออก อัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 2% ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 100 ล้านบาทต่อราย ผ่อนชำระนานสูงสุด 7 ปี และสินเชื่อเอ็กซิมเพื่อ EEC และเครือข่ายนิคมอุตสาหกรรม สนับสนุนการลงทุนในพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) นิคมอุตสาหกรรม เขตเศรษฐกิจพิเศษ สวนอุตสาหกรรม เขตอุตสาหกรรมทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน และกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับสิทธิบัตรจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ดอกเบี้ยต่ำสุด 3.25% ต่อปีสำหรับวงเงินกู้ระยะยาว และ 3.75% ต่อปีสำหรับวงเงินหมุนเวียน และสำหรับผู้ประกอบการทั่วไป ดอกเบี้ยต่ำสุด 3.00% ต่อปีสำหรับวงเงินกู้ระยะยาว และ 3.50% ต่อปีสำหรับวงเงินหมุนเวียน ระยะเวลาผ่อนชำระสำหรับวงเงินกู้ระยะยาวสูงสุด 10 ปี
“EXIM BANK ทำงานอย่างแข็งขันเพื่อพลิกวิกฤตเป็นทางรอดของผู้ประกอบการและทุกภาคส่วนในสังคม โดยใช้นโยบาย Dual-track Policy เชื่อมโยงการสนับสนุนการลงทุนเพื่อการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมเข้ากับการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศของผู้ประกอบการไทย เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนของผู้ประกอบการไทยทุกขนาดธุรกิจและทุกภาคอุตสาหกรรมใน Supply Chain การส่งออกสินค้าและบริการของไทยไปตลาดโลก ขณะเดียวกันเราไม่หยุดพัฒนาธุรกิจและบริการของธนาคาร ตลอดจนขยายความร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ภาคธุรกิจและประเทศไทยก้าวผ่านวิกฤตและเดินหน้าสู่อนาคตที่สดใสในโลก Next Normal ระยะข้างหน้า” ดร.รักษ์กล่าว
บริษัท บ้านปู (จำกัด) มหาชน อัปเดตความคืบหน้าของการประกวดออกแบบบอร์ดเกมในโครงการ “Energy On Board by BANPU B-Sports Thailand” กับหัวข้อ “Driving Thailand’s E-mobility : เดิน(บอร์ด)เกมขับเคลื่อนอนาคตยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย” ภายใต้ความร่วมมือกับบอร์ดเกมไนท์ หรือ BGN รายการแคสต์บอร์ดเกมที่มีผู้ชมสูงที่สุดในประเทศไทย โดยหลังจากทีมที่ผ่านเข้ามาถึงรอบสุดท้ายทั้งหมด 9 ทีม ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนนิสิตนักศึกษา 27 คน จาก 11 มหาวิทยาลัยได้เข้าร่วมกิจกรรมเวิร์คช็อปเพื่อติดอาวุธความรู้เกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมเรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนาและออกแบบบอร์ดเกม โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญทั้งจากสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าแห่งประเทศไทย บริษัท ฮ้อปคาร์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์มและให้บริการคาร์แชร์ริ่งแห่งแรกในประเทศไทย พร้อมด้วยทีมงานจากหน่วยงานธุรกิจยานพาหนะไฟฟ้าของบ้านปู และผู้เชี่ยวชาญในวงการบอร์ดเกม เพื่อให้ทุกทีมได้เก็บเกี่ยวความรู้และแรงบันดาลใจไปพัฒนาผลงานบอร์ดเกมของแต่ละทีมกันอย่างเต็มที่
ล่าสุดน้องๆ ทั้ง 9 ทีมได้นำผลงานบอร์ดเกมต้นแบบ (Prototype) มาร่วมกิจกรรม First Impression Review เพื่อให้ทีมบ้านปูและผู้เชี่ยวชาญทางด้านบอร์ดเกมได้ทดลองเล่นผ่านเว็บไซต์ Tabletopia ซึ่งแต่ละทีมสามารถตีโจทย์การออกแบบบอร์ดเกมในประเด็นการขับเคลื่อนอนาคตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยได้อย่างหลากหลาย อาทิ ในมุมมองของการเป็นผู้ผลิตและการเป็นผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า การทำธุรกิจและบริการเกี่ยวกับการคมนาคมและการขนส่ง เป้าหมาย นโยบาย และมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ และกลไกอุปสงค์อุปทาน ซึ่งพี่ๆ ก็ได้ให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะกลับไป ทั้งในเรื่องของกลไกและวิธีการเล่นเกม การเล่าเรื่องราวของเกมให้น่าสนใจ รวมถึงมุมมองเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆ ที่ช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ เพื่อให้ทุกทีมได้นำไปปรับปรุงและพัฒนาบอร์ดเกมของตนเองให้มีความน่าสนใจและใช้ข้อมูลที่สะท้อนข้อเท็จจริงมากยิ่งขึ้น ก่อนกลับมาพบกันอีกครั้งในกิจกรรม Playtest เพื่อให้คณะกรรมการได้ทดลองเล่นเกมที่ได้พัฒนาเพิ่มเติมกันอีกครั้ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าหลายทีมได้นำคำแนะนำที่ได้รับไปพัฒนาบอร์ดเกมจนสามารถสื่อสารเรื่องการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยสู่ผู้เล่นได้อย่างครบมิติมากขึ้น
![]()
![]()
![]()
ไม่ว่าจะเป็นผลงานของน้องๆ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทีม TU Next กับเกม “EV City” ซึ่งภารกิจหลักของเกมคือการผลักดันให้ยานยนต์ในประเทศไทยมากกว่าร้อยละ 30 เป็นยานยนต์ไฟฟ้า โดยผู้เล่นจะผลัดกันรับบทเป็นทั้งรัฐบาลและบริษัทเอกชน เพื่อร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ในแต่ละตาผู้เล่นจะต้องตอบสนองอุปสงค์ของผู้บริโภคที่มาพร้อมกับเงื่อนไขที่มีความแตกต่างกันออกไปของกลุ่มลูกค้า โดยผู้เล่นจะได้เรียนรู้เรื่องชนิดของยานยนต์ไฟฟ้า การผลิต การบริหารจัดการทรัพยากร รวมถึงความรู้เรื่องภาษีและนโยบายจากภาครัฐไปพร้อมๆ กัน
![]()
![]()
![]()
เกม Delivery Road จากทีม Derm Derm Party ผลงานของน้องๆ ที่รวมตัวกันจาก 4 มหาวิทยาลัย ได้แก่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และมหาวิทยาลัยศรีปทุม โดยเป็นเกมที่สร้างขึ้นในมุมมองของบริษัทขนส่งสินค้าที่เชื่อมโยงกับนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและการคมนาคมของภาครัฐ โดยผู้เล่นจะต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของนโยบายและราคาเชื้อเพลิงที่ผันผวนตามความต้องของผู้บริโภค เกมนี้จึงสะท้อนถึงความเชื่อมโยงของทุกภาคส่วนในการผลักดันให้เกิดการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ในประเทศ
![]()
![]()
![]()
หรือเกม The Driver จากทีม Baby Driver ผลงานของนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นเจ้าของบริษัทที่ให้บริการรับส่งสินค้าและผู้โดยสาร โดยในเกมได้สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับ นโนบาย 30/30 ซึ่งกำหนดว่าภายในปี ค.ศ. 2030 ยานยนต์ที่ผลิตภายในประเทศร้อยละ 30 จะต้องเป็นยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ หรือ Zero Emission Vehicle (ZEV) นอกจากนี้ เกมยังได้แบ่งการเล่นออกเป็น 3 เฟสตามแบบฉบับของนโยบาย 30/30 และได้จำลองเหตุการณ์ต่างๆ มาเป็นตัวกำหนดสถานการณ์ในเกมให้มีความท้าทายมากยิ่งขึ้น โดยผู้เล่นจะต้องบริหารการจัดส่งสินค้าและผู้โดยสาร ไปพร้อมกับการควบคุมปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม
นายรัฐพล สุคันธี ผู้อำนวยการสาย - สื่อสารองค์กร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความคืบหน้าของการประกวดออกแบบบอร์ดเกมในปีนี้ว่า “หลังจากกิจกรรมเวิร์คช็อปและการได้ดูการนำเสนอบอร์ดเกมของน้องๆ 9 ทีมสุดท้ายแล้ว เห็นได้ชัดว่าทุกทีมสามารถนำความรู้ที่ได้รับจากวิทยากรและผู้เชี่ยวชาญด้านบอร์ดเกมไปต่อยอดรวมทั้งได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ จนสามารถออกแบบบอร์ดเกมที่ทั้งสนุกและเปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้เรียนรู้เรื่องราวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าได้ในหลากหลายมิติ ซึ่งบ้านปูในฐานะผู้จัดโครงการนี้ เรามีความยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการส่งเสริมให้บอร์ดเกมเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ รวมไปถึงการให้คนรุ่นใหม่ได้มีส่วนร่วมในการรับรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีผลต่อการใช้ชีวิตของผู้คนในอนาคต พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้เยาวชนได้แสดงความสามารถและดึงศักยภาพที่มีในตัวออกมาใช้อย่างเต็มที่ในการผลิตสื่อที่ใช้ในการสื่อสารในประเด็นดังกล่าวอย่างสร้างสรรค์ จากนี้ต้องรอติดตามกันต่อไปในโค้งสุดท้ายของโครงการกับกิจกรรม Final Day ว่าทีมไหนจะก้าวไปเป็นผู้ชนะของการประกวดปีนี้”
นักศึกษาทีมไหนจากมหาวิทยาลัยใดจะได้แชมป์การประกวดออกแบบบอร์ดเกม Energy on Board by BANPU B-Sports Thailand ในปีนี้ไปครอบครอง ต้องรอติดตามชมกันต่อไป ระหว่างนี้ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและติดตามข่าวสารจากโครงการได้ที่เฟซบุ๊ก BANPU B-Sports Thailand: https://www.facebook.com/BanpuBSportsThailand
ช้อปไลฟ์ เปิดตัวระบบ แลกพอยต์บนเทคโนโลยีบล็อกเชน ชื่อ Mepoint by ShopLIVE เพื่อการตลาดที่จ่ายน้อยแต่ได้มาก และเปลี่ยนลูกค้าใหม่เป็นลูกค้าประจำ ดันการแลกพ้อยต์สู่สินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต พร้อมเตรียมปลุกกระแสไลฟ์ คอมเมิรซ์ทั้งไทยและเอเชีย
![]()
โดม เจริญยศ ประธานที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ช้อปไลฟ์ จำกัด และประธานกรรมการบริหาร บริษัท โทเคนอิน (tokenine) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เปิดตัวระบบ แลกพอยต์บนเทคโนโลยีบล็อกเชน ชื่อ Mepoint by ShopLIVE (มีพอยต์ บาย ช้อปไลฟ์) ซึ่งเป็นระบบคะแนนสะสมแบบกลุ่มบนเทคโนโลยีบล็อกเชน
“Mepoint เป็นดิจิทัล โทเคน รายแรกในประเทศไทยที่รันบน Xchain ที่ถูกออกแบบมาจากแนวคิดการรวมพ้อยต์ ระบบคะแนนสะสม ซึ่งเป็นการตลาดที่จ่ายน้อย แต่ได้มาก เพราะการขายของให้ลูกค้าใหม่ใช้ต้นทุนมากกว่าลูกค้าขาประจำถึง 5 เท่า และ ลูกค้าขาประจำ ยังใช้จ่ายมากกว่าลูกค้าใหม่ 67% ดังนั้น ระบบคะแนนสะสม คือคำตอบ ที่จะช่วยเปลี่ยนให้ลูกค้าใหม่ กลายเป็นลูกค้าประจำ”
นอกจากนั้นยังช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้าที่เป็นสมาชิกของร้านค้าต่างๆ ที่มีปัญหาลืมนำคะแนนหรือพอยต์มาใช้จนหมดอายุไป หรือบัตรหาย ต้องเริ่มสะสมใหม่ ทำให้ไม่มีความรู้สึกอยากได้ หรืออยากกลับมาซื้อซ้ำของร้านนี้อีก
“เราจึงนำปัญหาตรงนี้มาต่อยอดให้เป็นประโยชน์ต่อทั้งลูกค้า และร้านค้า โดยใช้บล็อกเชนเป็นตัวขับเคลื่อน เพราะเทคโนโลยีบล็อกเชน สามารถเก็บรักษาข้อมูลในรูปแบบของห่วงโซ่ต่อเนื่องกัน โดยมีแก่นสำคัญคือ “บล็อก” และ “เชน” โดย “บล็อก” คือกลุ่มข้อมูลที่จัดเก็บรวมกันเป็นก้อน และ “เชน” คือห่วงโซ่ของบล็อก ที่ร้อยเรียงกันเป็นลำดับ”
![]()
ด้านนางสาวนลิน อัศวหิรัญกุล ประธานกรรมการบริหาร และ ผู้ก่อตั้งบริษัท ช้อปไลฟ์ จำกัด กล่าวว่า เพื่อให้ทุกแต้มมีมูลค่าในตัวเองสูงสุด ซึ่งสามารถนำมาแลกเปลี่ยนเป็น สินค้าหรือบริการ หรือแม้กระทั่งนำมาจ่ายเป็นส่วนลดค่าน้ำค่าไฟได้ ก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้ในยุคนี้ โดยบริการนี้เตรียมเปิดตัวและพร้อมใช้ในร้านค้าที่ร่วมรายการ ที่มีสัญลักษณ์ Mepoint by ShopLIVE และบนไลฟ์สดที่มีสัญลักษณ์ ShopLIVE ซึ่งจะเป็นที่แพร่หลายอย่างแน่นอน
“สำหรับ ช้อปไลฟ์ (ShopLIVE) เป็นบริษัทเทค สตาทอัพ ที่มาปลุกกระแสไลฟ์ คอมเมิร์ซ (Live commerce) ในไทย ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน เป็นส่วนหนึ่งของมิชชั่นของเราในการเป็นศูนย์กลางการค้ารูปแบบสตรีมมิ่งไลฟ์ ออนไลน์ ทั้งในและต่างประเทศ โดยผู้ซื้อก็สามารถเป็นผู้ขายได้ และดำเนินงานตามเป้าหมายที่จะก้าวสู่การเป็น Asia and Global Live Commerce Platform ในอนาคต ที่ช่วยผู้ประกอบการลดต้นทุน เพิ่มยอดขาย และเข้าใจความต้องการของลูกค้า” นางสาวนลิน กล่าว
ทั้งนี้บริษัทฯ เตรียมบริการอื่นอีกมากมาย เช่น ShopLive Studio360 ,ShopLIVE Creator ,ShopLIVE for seller ,ShopLive Academy ,ShopLive Marketplace และ ShopLive Ads Network ที่จะเปิดตัวเร็วๆนี้
สำหรับผู้ที่สนใจ “Mepoint by ShopLIVE สมัครได้ที่ https://mepoint-wallet-71u.pages.dev/
# # #