December 18, 2025

ซัมซุงเตรียมส่งความสุขให้ลูกค้าเพื่อเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ 52 ปี ด้วยการเตรียมยกขบวนสินค้ารุ่นยอดนิยมกว่า 200 รุ่น ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เครื่องซักผ้า ตู้เย็น ทีวี และจอมอนิเตอร์ กับส่วนลดสุดสูงสุด 50% ตลอดเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่ samsung.com ที่เดียว

 ข้อเสนอพิเศษกลุ่มสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต

· Galaxy Z Flip3 5G BTS Exclusive Set จำนวนจำกัด ราคา 36,900 บาท หรือเริ่มต้น 2,460 บาท/เดือน เมื่อผ่อน 0% สูงสุด 15 เดือน ที่มาพร้อมกับ BTS Photo Card set กับภาพหนุ่มๆ บังทันทั้ง 7 ที่นำไปใช้คู่กับ Clear Cover with Ring และ Limited Velvet Bag น่ารักน่าสะสมที่มีมาให้พร้อมกัน โดยจะวางจำหน่ายเฉพาะวันที่ 1-30 พฤศจิกายนนี้เท่านั้น (หรือจนกว่าสินค้าจะหมด)

 

 · โปรโมชั่นสุดพิเศษ เมื่อซื้อ Galaxy Z Fold3 5G ด้วยส่วนลดเพิ่ม 5,000 บาท เมื่อนำเครื่องเก่า(รุ่นที่กำหนด)มาแลก ในราคาเริ่มต้นที่ 3,860 บาท ต่อเดือน เมื่อผ่อน 0% นาน 15 เดือน

· สายถ่ายภาพ Galaxy S21 Series 5G  มอบส่วนลดสูงสุด 9,000 บาท ลดทันที 4,000 บาท และลดเพิ่ม 5,000 บาท เมื่อนำเครื่องเก่า(รุ่นที่กำหนด)มาแลก เหลือราคาเริ่มต้นเพียง 1,594 บาท ต่อเดือน บาท และรับสิทธิ์ซื้อ Galaxy Buds2 เพียง 500 บาท

 โดยผู้ที่ซื้อผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนทุกท่านจะได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติม อย่าง บริการ Samsung Care+ เพื่อการใช้งานอย่างอุ่นใจฟรี 1 ปี มูลค่า 7,089 บาท สำหรับสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ Galaxy Z Fold3 | Flip3 5G หรือมูลค่า 2,939 บาท สำหรับ Galaxy S21 Series 5G รวมถึงส่วนลดเพิ่ม 5,000 บาท เมื่อใช้สิทธิ์เก่าแลกใหม่ (ตามรุ่นที่กำหนด)

 

 ·  Galaxy Tab S7 FE ในราคา 19,990 บาท พร้อมรับฟรี Book Cover Galaxy Tab S7+ | S7 FE (12.4”) มูลค่า 2,990 บาท2 พร้อม Samsung Care+ นาน 1 ปี มูลค่า 1,399 บาท 

 

ข้อเสนอพิเศษกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน

· เครื่องใช้ไฟฟ้าลดราคา สูงสุดถึง 50% ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 1,790 บาท พร้อมพบกับเครื่องดูดฝุ่น ด้วยราคาที่ลดแรงที่สุดในรอบปีถึง 35%

· โปรโมชั่นซื้อเครื่องซักผ้า รุ่น WW90T734DBX/ST แลกซื้อเครื่องทำความสะอาดผ้า AirDresser ในราคาพิเศษเพียง 51,490 บาท

· พิเศษเมื่อซื้อจำนวน 2 ตู้ขึ้นไป รับฟรีไมโครเวฟสีสันสะดุดตา รุ่น MS30T5018AP/ST มูลค่า 4,690 บาท 

· ตู้เย็น Side by Side รุ่น RH64A53F12C/ST กับนวัตกรรม Food Beverage showcase  รับฟรี ไมโครเวฟสไตล์มินิมอลรุ่น MS23T5018AW/ST มูลค่า 3,990 บาท ไปใช้คู่กันทันที

 

 ข้อเสนอกลุ่มโทรทัศน์ ซาวด์บาร์ และมอนิเตอร์

·  เมื่อซื้อทีวีขนาด 43 นิ้วขึ้นไปทุกรุ่น หรือ Soundbar Q-Series จะได้รับสิทธิ์ซื้อเครื่องดูดฝุ่นไร้สายแบบด้ามจับ Jet 60 Turbo ในราคาพิเศษเพียง 1,390 บาท จาก 8,490 บาท (เมื่อซื้อในคำสั่งซื้อเดียวกัน)

· เลือกซื้อ The Frame 4K Smart TV 43 นิ้ว ขึ้นไป รุ่น LS03A ในราคาเริ่มต้น 26,990 บาท พร้อมมีสิทธิ์ซื้อเครื่องดูดฝุ่นไร้สายแบบด้ามจับ Jet 60 Turbo ในราคาพิเศษเพียง 1,390 บาท จาก 8,490 บาทด้วยเช่นกัน  (เมื่อซื้อในคำสั่งซื้อเดียวกัน)

· คนที่ Work from Home หรือสายเกมส์ต้องถูกใจสิ่งนี้ กับหน้าจอมอนิเตอร์ ที่ลดเพิ่มสูงสุด 15% เหลือราคาเริ่มต้นเพียง 5,210 บาท เมื่อใส่โค้ด MON21

 

องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) ประกาศจัดแคมเปญ “Japan Fruits Festival ~Seasonal Gift from Japan~” ร่วมกับร้านค้าที่ได้รับการรับรองเครื่องหมาย “Japanese Food Supporter”(*) และบริษัทผู้ส่งออก-นำเข้าผลไม้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคชาวไทยได้สัมผัสกับเสน่ห์และได้ลิ้มรสความอร่อยของผลไม้นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น โดยเน้นไปที่ผลไม้ตามฤดูกาลยอดนิยม 3 ชนิด ได้แก่ แอปเปิ้ล มันหวาน และสตรอว์เบอร์รี่

แคมเปญจัดขึ้นระหว่างวันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม 2564 ถึง วันจันทร์ที่ 31 มกราคม 2565 โดยการผนึกกำลังระหว่างร้านค้าปลีก ร้านค้าออนไลน์ และสื่อชั้นนำ ร่วมประชาสัมพันธ์เสน่ห์ของผลไม้ญี่ปุ่นในหลากหลายรูปแบบ รวมทั้งยังมีกิจกรรมสุดพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อผลไม้นำเข้าจากญี่ปุ่น หรือผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์/เพจโครงการ เพียงตอบแบบสอบถามที่หน้าร้านหรือบนมือถือ รับ “มันหวานญี่ปุ่นแท้ ส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่น 1 กิโลกรัม” มูลค่า 350 บาทจำนวน 20,000 รางวัล

นายอัทสึชิ ทาเคทานิ ประธานเจโทร กรุงเทพฯ กล่าวถึงแนวคิดที่มาและความคาดหวังต่อการดำเนินโครงการว่า “ก่อนอื่นผมขอขอบคุณผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทั้งไทยและญี่ปุ่น ที่มีส่วนสำคัญทำให้โครงการนี้เกิดขึ้น ประเทศญี่ปุ่นส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารมายังประเทศไทยมากเป็นอันดับ 7 ของโลก โดยในปี 2563 มีมูลค่าถึง 40,100 ล้านเยน (ประมาณ 11,460 ล้านบาท) ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ชาวไทยจำนวนมากเดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นและได้ลิ้มลองเพลิดเพลินไปกับรสชาติอาหาร ผลไม้ ขนมต่างๆ แบบฉบับต้นตำรับญี่ปุ่นแท้ๆ ส่งผลให้กระแสความนิยมอาหารญี่ปุ่นของคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ในท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารมายังประเทศไทยกลับเติบโตสูงขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมา แคมเปญนี้มุ่งเน้นประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มผู้บริโภคชาวไทยได้มีประสบการณ์และมีโอกาสรู้จักกับผลไม้ญี่ปุ่นคุณภาพพรีเมียมที่มีเอกลักษณ์ความอร่อยตามแต่ละฤดูกาล และกลายมาเป็นแฟนพันธุ์แท้ของผลไม้ญี่ปุ่นในอนาคต ผมหวังว่าโครงการนี้จะเป็นส่วนหนึ่ง ที่ช่วยเชื่อมสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่นให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปด้วย”

นายโทชิฮิโระ คุโด Chief Executive Officer สหกรณ์การเกษตร ทสึการุ มิไร ผู้ส่งออกแอปเปิ้ลรายใหญ่มายังประเทศไทยกล่าวว่า “ผมอยากให้คนไทยได้ลองชิมแอปเปิ้ลสดๆ จากสวนแอปเปิ้ลที่จังหวัดอาโอโมริ ที่ได้รับการปลูกอย่างพิถีพิถันทุกขั้นตอนด้วยความใส่ใจจากเกษตรกรของเรา” นอกจากนี้ นายศุภวุฒิ ไชยประสิทธิ์กุล ผู้อำนวยการใหญ่บริหารซุปเปอร์มาร์เก็ต บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ผู้แทนร้านค้าจากกูร์เมต์ มาร์เก็ต กล่าวเสริมว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมโปรโมทผลไม้ญี่ปุ่นคุณภาพพรีเมียมในครั้งนี้ ซึ่งตรงตามคอนเซ็ปต์ของเราที่บรรจงคัดสรรสินค้าคุณภาพส่งตรงถึงมือผู้บริโภค เราหวังว่าจะช่วยให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้”

 แคมเปญ “Japan Fruits Festival ~Seasonal Gift from Japan~” เกิดขึ้นจากความร่วมมือของบริษัท วิสเมแทค ฟู้ดส์ จำกัด และบริษัท นิฮง อะกรี จำกัด ผู้ส่งออก-นำเข้าผลไม้รายใหญ่ของญี่ปุ่น รวมทั้งร้านค้าปลีกที่ได้รับการรับรองเครื่องหมาย “Japanese Food Supporter” ว่าเป็นร้านค้าที่ใช้และจัดจำหน่ายวัตถุดิบนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นจำนวน 7 แบรนด์ 138 สาขา และร้านค้าออนไลน์อีก 15 แพลตฟอร์ม ในการร่วมประชาสัมพันธ์เสน่ห์ของผลไม้ญี่ปุ่นตามฤดูกาล

แคมเปญประชาสัมพันธ์ผลไม้นำเข้าจากญี่ปุ่น “ฟิน เหมือนบินไปกินที่ญี่ปุ่น” ผนึกกำลังโปรโมทผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่

· ช่องทางที่ 1 ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อชั้นนำรวมทั้งอินฟลูเอนเซอร์ในหลายรูปแบบ โดยใช้คีย์เวิร์ดที่แตกต่างกันเพื่อส่งต่อเรื่องราวอันน่าสนใจของผลไม้ญี่ปุ่นที่ยังไม่มีใครรู้และเพื่อเพิ่มจำนวนแฟนพันธุ์แท้ของผลไม้ญี่ปุ่น หน้าเพจหลักของแคมเปญเราได้ร่วมมือกับ Wongnai แพลตฟอร์มที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับร้านอาหารและโปรโมชั่นต่างๆ ซึ่งผู้ใช้งานประจำกว่า 10 ล้านคนต่อเดือน รวมทั้งยังร่วมมือกับ The Cloud แมกกาซีนออนไลน์นำเสนอเรื่องราวความน่าสนใจของเกษตรกรชาวญี่ปุ่นที่บ่งบอกถึงความใส่ใจในทุกกระบวนการเพาะปลูก และยังร่วมมือกับ 5 อินฟลูเอนเซอร์สายฟู้ดเผยแพร่เคล็ดลับความอร่อยของผลไม้ญี่ปุ่น โดยนำผลไม้มารังสรรค์เป็นเมนูสุขภาพและเมนูสร้างสรรค์ต่างๆ ให้ผู้บริโภคชาวไทยได้ลิ้มลอง

· ช่องทางที่ 2 ประชาสัมพันธ์ผ่านร้านค้าปลีกและร้านค้าออนไลน์ ผ่านทางการแนะนำของพนักงานขายและสื่อประชาสัมพันธ์ที่ติดตั้ง ณ พื้นที่ขาย สามารถตรวจสอบร้านค้าที่ร่วมแคมเปญได้จากหน้าเพจ Wongnai

· ช่องทางที่ 3 กิจกรรมตอบแบบสอบถาม “ส่งต่อความอร่อยของญี่ปุ่น” ตอบแล้วอร่อย! ได้รับแล้วดีใจ! เพียงตอบแบบสอบถามที่หน้าร้านหรือบนมือถือ ท่านจะได้รับรางวัลสุดพรีเมียม “มันหวานญี่ปุ่นแท้ ส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่น 1 กิโลกรัม” มูลค่า 350 บาท จำนวน 20,000 รางวัล สำหรับคนที่คิดว่า “ผลไม้ญี่ปุ่นดูน่ากิน แต่มีราคาแพง …แต่ว่าก็อยากลองชิมดูสักครั้ง” ห้ามพลาดกิจกรรมดีๆ ถึง 31 มกราคม 2565 เท่านั้น

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการต่อยอดโครงการดังกล่าว ทางเจโทรฯ ยังมีกำหนดจัดงานเจรจาจับคู่ธุรกิจออนไลน์ JETRO Online Business Matching & Exhibition of Japanese Food Products 2021 ขึ้นทั้งหมด 3 ครั้งภายในปีงบประมาณนี้ โดยการเจรจาจับคู่ธุรกิจครั้งที่ 1 ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไป คาดการณ์ว่าจะสร้างให้เกิดมูลค่าการซื้อขายประมาณ 1,100 ล้านเยน (ประมาณ 333 ล้านบาท) ส่วนการเจรจาธุรกิจครั้งที่ 2 จะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม ถึง 12 พฤศจิกายน คาดว่าจะมีผู้สนใจเข้าร่วมงานมากกว่าครั้งที่ผ่านมา ซึ่งโครงการทั้งสองจะสร้างให้เกิดโอกาสในการขยายช่องทางการตลาดให้กับผู้ส่งออกสินค้าอาหารจากประเทศญี่ปุ่นมายังประเทศไทย

 

 

 

ความต้องการทองคำในไทย* ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2021 อยู่ที่ 9 ตัน สวนทางกับยอดขายทองคำสุทธิ ในช่วงเดียวกันของปี 2020 ซึ่งอยู่ที่ 44 ตัน

ทั้งนี้ ดีมานด์โดยรวมได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัย อาทิ ความต้องการซื้อเครื่องประดับทองของผู้บริโภค ในประเทศ ซึ่งอยู่ที่ 2 ตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 39%** นอกจากนี้ ทองคำแท่งและเหรียญ ทองคำซึ่งเป็นสินค้าประเภททองคำอีกรูปแบบหนึ่งยังได้แรงช้อนซื้อจากนักลงทุนรายย่อย*** อย่างท่วมท้นถึง 7 ตันด้วยเช่นกัน

Mr. Andrew Naylor ซีอีโอประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมจีน) ของสภาทองคำโลก กล่าวว่า “ประเทศไทยเผชิญกับความผันผวนอย่างมากจากการลดการลงทุนครั้งใหญ่ในปีที่แล้ว เนื่องจากนักลงทุน หันไปถือครองทองคำเพื่อรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการระบาดของโรคโควิด-19 และสร้างความ ได้เปรียบจากราคาทองคำที่สูงขึ้น” ตรงข้ามกับปีนี้ที่นักลงทุนไทยซื้อทองคำสุทธิ โดยได้แรงหนุนให้เข้าซื้อ ในช่วงที่ราคาทองคำอ่อนตัว รวมถึงความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่พิทักษ์ความมั่งคั่งและสินทรัพย์ ปลอดภัย”

ในไตรมาสที่สามของปี 2021 ความต้องการทองคำ* ลดลง 7% เมื่อเทียบเป็นรายปีและ 13% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสมาอยู่ที่ 831 ตัน สาเหตุหลักมาจากการไหลออกของกองทุน ETF ทองคำที่หนุนด้วยทองคำตามรายงานแนวโน้มความต้องการทองคำล่าสุดของสภาทองคำ

การขาย ETF ทองคำสุทธิค่อนข้างน้อย (27 ตัน) แต่เมื่อเทียบกับการซื้อที่เพิ่มขึ้นจากการระบาดใหญ่ในปีก่อนหน้า ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ความต้องการทองคำโดยรวมลดลงเมื่อเทียบเป็นรายปี แม้ว่าความต้องการจะเพิ่มขึ้นในภาคอื่นๆ ทั้งหมด

การซื้อเครื่องประดับทองของผู้บริโภค** เพิ่มขึ้น 33% เมื่อเทียบปีต่อปีเป็น 443 ตัน ในขณะเดียวกัน แท่งและเหรียญ – หมวดหมู่ของผลิตภัณฑ์ทองคำที่จับต้องได้จริงที่นักลงทุนรายย่อยซื้ออย่างท่วมท้น *** –เพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่ห้าติดต่อกันเมื่อเทียบปีต่อปี โดยมีการซื้อในไตรมาสที่ 3 262ตัน ทองคำที่ใช้ในเทคโนโลยีเติบโต 9% เมื่อเทียบปีต่อปี และธนาคารกลางเพิ่มทองคำสำรอง 69 ตัน

ราคาทองคำเฉลี่ยอยู่ที่ 1,790 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ตลอดทั้งไตรมาส - ลดลงจากระดับสูงสุดตลอดกาลของไตรมาสที่ 3 ปี 2020 แต่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 3 ปี 5 ปี และ 10 ปี

Louise Street นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสของสภาทองคำโลกกล่าวว่า

 "การไหลออกที่ค่อนข้างเจียมเนื้อเจียมตัวจาก ETF ทองคำได้ส่งผลกระทบอย่างไม่สมส่วนต่อตัวเลข

ของปีนี้ซึ่งมีมากกว่าผลบวกในเกือบทุกที่ทั่วกระดาน

 “การไหลออกเองเป็นส่วนหนึ่งของภาพที่ใหญ่ขึ้นเมื่อหนึ่งปีที่แล้วนักลงทุนแห่ซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากโรค

ระบาด และ ETF ทองคำเป็นผู้รับผลประโยชน์โดยเฉพาะจากกระแสเหล่านี้โดยเพิ่มขึ้นมากกว่า 1,000 ตัน ในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2020 ดังนั้นในขณะที่มีการขายโดยนักลงทุน ETF ทองคำในปีนี้การไหลออกมีเพียงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกัน

“ตลาดทองคำที่เหลือกำลังเห็นข่าวดีไม่น้อยไปกว่าการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของความต้องการอัญมณีและเทคโนโลยีที่ น่าพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งเพราะอย่างน้อยก็เป็นผลพวงมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยรวมบางส่วนธนาคารกลางยังคงเป็นผู้ซื้อสุทธิและการลงทุนด้านทองคำแท่งและเหรียญก็เติบโตขึ้นเช่นกัน

“มองไปข้างหน้าเราคาดว่าภาพทั้งปีสำหรับอุปสงค์ทองคำจะดูคล้ายกันมาก:ผู้บริโภคที่แข็งแกร่งและธนาคารกลางจะบรรเทาความสูญเสียจาก ETF ความต้องการอัญมณีจะยังคงเกินระดับของปีที่แล้วแต่ความต้องการการลงทุนโดยรวมจะลดลงในปี 2021 แม้ว่าความต้องการทองคำแท่งและเหรียญจะดีก็ตาม”

ผลการวิจัยที่สำคัญที่รวมอยู่ในรายงานแนวโน้มความต้องการทองคำล่าสุดสำหรับไตรมาสที่ 3 ปี 2021 ได้แก่:

 · ความต้องการโดยรวม (ไม่รวม OTC) ในไตรมาสที่ 3 ลดลง 7% เมื่อเทียบเป็นรายปี และ 13% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนเป็น 831 ตัน

 · ETFs สังเกตการไหลออกเล็กน้อย รวม -27t ในขณะที่การถือครองโดยรวมยังคงสูง (3,592 ตัน)

 · ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญอยู่ที่ 262 ตัน เพิ่มขึ้น 18% เทียบกับปีก่อนและ 8% เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส

 · ราคาทองคำดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,789.5 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 6% จากไตรมาสที่ 3 ปี 2020 (ซึ่งมีราคาสูงเป็นประวัติการณ์) และต่ำกว่าไตรมาสก่อน 1%

 · ความต้องการเครื่องประดับทั่วโลก เพิ่มขึ้นเป็น 443 ตันเพิ่มขึ้น 33% เมื่อเทียบเป็นรายปี จีน อินเดีย และตะวันออกกลางผลักดันการเติบโตนี้แม้ว่าตลาดตะวันตกก็เริ่มฟื้นตัวเช่นกัน

 · ธนาคารกลางเป็นผู้ซื้อสุทธิ 69 ตัน โดยซื้อ YTD เกือบ 400 ตัน และหมายความว่าความต้องการโดยรวมในปี 2021 มีแนวโน้มว่าจะอยู่ในภูมิภาคของค่าเฉลี่ยห้าปี บราซิล อุซเบกิสถาน และอินเดียเป็นผู้เล่นหลักในตลาด

 · ความต้องการในภาคเทคโนโลยีฟื้นคืนสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาด และเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบปีต่อปีที่ 84 ตัน และเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

 · อุปทานรวมลดลง 3% เมื่อเทียบปีต่อปีที่ 1,239 ตัน แม้ว่าการผลิตเหมืองจะเพิ่มขึ้นเป็นไตรมาส

สูงสุดเป็นประวัติการณ์การลดลงของปีต่อปีเกิดจากการรีไซเคิลที่ลดลงอย่างมากเพื่อตอบสนองต่อราคา

ทองคำที่ลดลง

 

กรุงเทพฯ/ 27 ตุลาคม 2564 - หัวเว่ย ผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและสมาร์ทดีไวซ์ ประกาศเปิดตัวโครงการ Huawei ICT Competition 2021 - 2022 อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ภายใต้ธีม “Connection, Glory, Future” ซึ่งเริ่มขึ้นพร้อมกันในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก เพื่อส่งเสริมและพัฒนาอีโคซิสเต็มด้านบุคลากรไอซีทีให้แข็งแกร่งและยั่งยืนยิ่งขึ้น

 โครงการ Huawei ICT Competition ซึ่งริเริ่มขึ้นในปี 2558 เป็นกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้ความสามารถของนิสิตนักศึกษาด้านไอซีทีทั่วโลก เพื่อคัดสรรและบ่มเพาะผู้ที่มีความสามารถในด้านดังกล่าว และจัดคอร์สฝึกอบรมระดับโลกรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล โดยจัดขึ้นร่วมกับหัวเว่ย ไอซีที อะคาเดมี่ (Huawei ICT Academy) ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษากับองค์กร เพื่อสร้างผู้เชี่ยวชาญคุณภาพสูง

ทางด้านไอซีทีให้มีจำนวนมากขึ้น การแข่งขันด้านไอซีทีนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้ผู้เข้าร่วมได้มีร่วมประลองทักษะในการแข่งขันชั้นนำ พัฒนาความคิดริเริ่มและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ตลอดจนพัฒนาต่อยอดความรู้เพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของอีโคซิสเต็มด้านบุคลากรไอซีที กิจกรรม Huawei ICT Competition ยังเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “เมล็ดพันธุ์แห่งอนาคต (Seeds for the Future)” ซึ่งเป็นกิจกรรมเพื่อสังคมของหัวเว่ย ที่มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาบุคลากรด้านไอซีทีในประเทศ และเชื่อมโยงการสื่อสารระหว่างประเทศและวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน

 การแข่งขัน Huawei ICT Competition 2021-2022 ในประเทศไทย ประกอบด้วยการแข่งขันหลายรอบ โดยนิสิตนักศึกษาที่มีความสนใจและมีพื้นฐานด้านไอซีที สามารถรวมกลุ่มและลงทะเบียนสมัครเป็นทีม ๆ ละ 3 คน และเริ่มศึกษาด้วยตนเองผ่านระบบออนไลน์เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างเทคโนโลยีด้านเน็ตเวิร์ก เช่น ดาต้าคอม หรือเทคโนโลยีด้านคลาวด์ เช่น คลาวด์ เซอร์วิส กิจกรรมทั้งหมดจะจัดขึ้นตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ทีมที่ชนะจะมีโอกาสลุ้นรับรางวัลสุดพิเศษ รวมถึงทริปเดินทางเพื่อพัฒนาความรู้ด้านไอซีที เก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านวัฒนธรรม ตลอดจนถึงโอกาสในการทำงานที่หัวเว่ย

 

         หมายเหตุ: ตารางข้างต้นเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น และอาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบ

นายอาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร หัวเว่ย ประเทศไทย กล่าวว่า “Huawei ICT Competition ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 6 นี้ ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเฟ้นหาพันธมิตรรุ่นใหม่ ๆ ที่สามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางด้านดิจิทัลของประเทศในอนาคต ประเทศไทยได้กลายเป็นผู้นำในการเปิดให้บริการ 5G ในภูมิภาคอาเซียน และแรง

หนุนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนาทางด้านดิจิทัลก็คือรากฐานด้านบุคลากรที่แข็งแกร่ง หัวเว่ยได้ตอกย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการพัฒนาอีโคซิสเต็มด้านบุคลากรดิจิทัลอย่างต่อเนื่องผ่านแพลตฟอร์มความร่วมมือและโครงการต่าง ๆ อย่างเช่นโครงการนี้ ในขณะที่ไอซีทีได้เติบโตไปสู่ทุกอุตสาหกรรมและกลายเป็นกุญแจดอกสำคัญในการพัฒนาและสร้างความก้าวหน้าทางสังคม”

 นอกเหนือจากการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่โดดเด่นของบุคลากรด้านดิจิทัลในเวทีระดับโลกแล้ว โครงการ Huawei ICT Competition ยังเป็นโอกาสในการตอกย้ำคำมั่นที่จะทำให้ทุกคนได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้นอีกด้วย หัวเว่ย ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก ร่วมเดินหน้าสำรวจแนวทางการพัฒนาใหม่ ๆ และมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมเทคโนโลยีไอซีที พัฒนาบุคลากร และลดช่องว่างด้านความขาดแคลนบุคลากรในสาขานี้ นอกจากนี้ บริษัทยังเดินกลยุทธ์ในการร่วมมือกับพันธมิตรต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างเวทีที่เปิดกว้างและสร้างโอกาสใหม่ ๆ อย่างมั่นคง ซึ่งท้ายที่สุดจะสามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสู่ทุกคน ทุกครัวเรือน และทุกองค์กร เพื่อสร้างโลกอัจฉริยะที่เชื่อมต่อถึงกันอย่างสมบูรณ์แบบ

 นิสิตนักศึกษาที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://e.huawei.com/en/talent/#/news/details?consultationId=1483 และลงทะเบียนได้ที่นี่

 

-จบ-

มาลงทุนด้วยกัญ

 อย่างที่บอกไปแล้วว่าโลกขณะนี้มีคลื่นใหญ่หลายคลื่นกำลังถาโถมอยู่ แต่มีอยู่สองคลื่นที่เรารู้ค่อนข้างแน่แล้วว่ามันจะต้องเป็นไปตามนั้น และไม่มีอะไรจะขวางไว้ได้ นั่นคือ “เงินดิจิทัล” และ “กัญชาเสรี”

เดี๋ยวนี้ถ้ามีนักการเมืองหรือเซเลบคนไหนไปบอกต่อสาธาณะว่า “กัญชา คือ ยาเสพติด” มีหวังต้องถูกโห่หาป่า หาว่าท่านไปอยู่หลังเขาที่ไหนกันมาเหรอ ถึงได้ไม่รู้ว่ามีงานวิจัยจำนวนมากมายมหาศาลที่บอกว่า กัญชามีคุณในทางการแพทย์ ช่วยรักษาบรรเทาได้ทั้งโรคทางจิต เช่น โรคกังวลหรือผวารุนแรง โรคซึมเศร้า หรือแม้กระทั่งโรคมะเร็ง และเสพแล้วไม่ได้ “ติด” อย่างที่เคยเข้าใจ

แฟชั่นกัญชามันเปลี่ยนไปแล้ว จากคนเจนเนอเรชั่นเก่าที่เคยมองกัญชาในแง่ร้าย กลายมาเป็นของที่พึงปรารถนาของคนรุ่นนี้

เมืองไทยเองก็กำลังแก้ไขกฎหมายให้ไปในทางนำเอากัญชามาใช้ในวงการแพทย์ได้ แม้จะยังไม่ได้อนุญาตให้นำมาใช้เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจหรือบริโภคกันทั่วไปได้ (เช่นเดียวกับแอลกอฮอล์ คาเฟอีน และนิโคติน ซึ่งเป็นสารกระตุ้นที่นิยมบริโภคเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจหรือสันทนาการ ผ่านเครื่องดื่มอย่าง เหล้า เบียร์ ไวน์ กาแฟ ชา น้ำอัดลม และบุหรี่)

 

อีกไม่นาน เราคงจะได้เห็นกิจการขนาดใหญ่และบรรดา Start-Up ที่ทำงานทางด้านกัญชาเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก และแน่นอนว่าต้องมีนักลงทุนที่สนใจลงทุนทางด้านนี้ ทั้งในเชิงส่วนตัวและผ่านกองทุน Venture Capital Funds หรือ Private Equities ต่างๆ เหมือนกับในต่างประเทศ

ทีนี้ สำหรับคนทั่วไปที่เห็นแล้วว่าแนวโน้มอันนี้มันต้องมาแน่ และต้องการเอาประโยชน์กับกระแสนี้บ้าง อยากจะลงทุนกับกระแสนี้ หรือเก็งกำไรนิดๆ หน่อยๆ เผื่อว่าเมื่อถึงเวลาที่กัญชากลายเป็น Mainstream อย่างเต็มตัวเมื่อไหร่ ก็คิดว่าจะได้กำไรติดปลายนวมกับเขาบ้าง หรือแม้แต่ต้องการสนับสนุนผู้ประกอบการในสายนี้ ด้วยการช่วยลงทุนกับกิจการที่ดีและมีอนาคต...จะทำอะไรได้บ้าง

ไม่ยากค่ะ!!

 

ลองดูกองทุน ETF กองนี้ดู Horizons Marijuana Life Sciences Index ETF (HMLSF)

ที่แนะนำกองทุนเพราะคิดว่า การลงทุนกับกิจการกัญชาโดยตรงค่อนข้างเสี่ยง เพราะมันเป็นธุรกิจใหม่ และเป็นธรรมดาของหุ้นแนวใหม่ที่มักมีการเก็งกำไรกันแยะ และเนื่องจากอุตสาหกรรมนี้ยังใหม่มาก กฎหมายของแต่ละประเทศก็ยังไม่แน่นอน อีกทั้งแนวปฏิบัติของอุตสาหกรรมก็ยังไม่ลงตัว ราคาหุ้นเวลาขึ้นก็มักจะขึ้นตามข่าวดี และขึ้นเป็นฟองสบู่เกินพื้นฐานรายได้และศักยภาพในการทำกำไรของกิจการนั้นๆ ไปมาก เพราะคนเห่อกระแสกัญชา แต่พอราคาขึ้นไปมาก และคนเริ่มตระหนักว่ามันเป็นการเกินพื้นฐาน ก็มักมีการถล่มขาย ทำให้ราคาหวือหวามาก การลงทุนโดยตรงจึงค่อนข้างเสี่ยง

กองทุนนี้ลงทุนกับหุ้นกัญชาของสหรัฐฯ และแคนาดา เพราะแคนาดานั้นเป็นประเทศที่เปิดเสรีกัญชาเต็มที่แล้ว ทั้งทางการแพทย์และการบริโภคเพื่อหย่อนใจ ส่วนสหรัฐฯ นั้น แม้กัญชาจะยังผิดกฎหมายในระดับประเทศอยู่ (Federal) ทว่าในหลายๆ รัฐก็ได้ออกกฎหมายรองรับกัญชาเสรีแล้ว อ่อนแก่ต่างกันออกไป

ข้อดีของการลงกับกอง ETF กองนี้คือราคามันปรับตัวลงมาพอควรในช่วงก่อนหน้านี้ และมันยังมีแง่มุมให้เก็งกำไรต่ออีเว้นท์สำคัญในอนาคตได้อยู่

นั่นคือ การเปิดเสรีในระดับประเทศโดยรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ ซึ่งนักลงทุนล้วนเก็งเรื่องนี้กันอยู่แยะ เพราะหากว่ามีการเปิดจริงๆ อุตสาหกรรมกัญชาจะเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือเลย เงินลงทุนคงจะทะลักเข้าอเมริกาอีกมากโข และ Start-Up ซึ่งจะทำเรื่องนี้ก็จะเติบโตได้มาก

 

New Frontier Data ประเมินว่าตลาดกัญชาโลก (ทั้งที่ถูกและผิดกฎหมาย) น่าจะมีมูลค่าถึง สามแสนสี่หมื่นกว่าล้านเหรียญฯ เป็นอย่างต่ำ หรือประมาณ 9 ล้านล้านบาทโดยประมาณ

Merrill Lynch วาณิชธนกิจรายใหญ่ของโลก ประเมินว่า “กัญชาเสรี” จะ Disrupt อุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีอยู่ถึง 2.6 ล้านล้านเหรียญฯ ในรอบอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ (เขาหมายรวมถึงอุตสาหกรรมแอลกอฮอล์และบุหรี่ รวมทั้งอาหารเสริมต่างๆ ที่จะถูกกระทบโดยกัญชา และสินค้าที่มีสารซึ่งสกัดจากกัญชาผสมอยู่)

อย่างว่า สหรัฐฯ เป็นผู้นำโลกโดยเฉพาะในเรื่องธุรกิจ การเงิน และการลงทุน ดังนั้น ถ้าสหรัฐฯ เคลื่อนไหวไปทางไหน โลกก็มักจะเคลื่อนตาม

แม้สหรัฐฯ จะยังไม่เปิดเสรีกัญชาในระดับประเทศก็ตาม ทว่าสถิติการขึ้นทะเบียนสิทธิบัตรทางปัญญาในเรื่องเกี่ยวกับกัญชาก็เพิ่มขึ้นมาก แสดงถึงแนวโน้มการเติบโต แม้จะยังมีกฎหมายระดับประเทศเหนี่ยวรั้งอยู่ก็ตาม (ในระหว่างปี ค.ศ. 2016-2018 มีการจดทะเบียน 800 สิทธิบัตร ถือว่าเพิ่มขึ้นจากช่วงปี ค.ศ. 2013-2015 ถึง 50% เพราะช่วงนั้นขึ้นทะเบียนเพียง 530 สิทธิบัตร)

 

เมื่อเร็วๆ นี้ Bernie Sanders ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนสำคัญคนหนึ่งของพรรคเดโมแครต ก็ได้ออกมาประกาศว่า หากเขาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปีหน้านี้ เขาจะผลักดันการเปิดเสรีกัญชาในระดับประเทศอย่างเต็มที่

ตรงนี้คือจุดที่เราสามารถนำไปเก็งกำไรกับกองทุนกัญชาได้

เพราะถ้าการเมืองเปลี่ยน เดโมแครตขึ้นมาบริหารประเทศ หุ้นกัญชาอาจจะสวิงขึ้นอย่างมาก

ที่ผ่านมา แม้ประธานาธิบดีทรัมป์เอง ไม่ได้ประกาศสนับสนุนการแก้กฎหมายกัญชาในระดับประเทศก็ตาม แต่เขาก็ให้การสนับสนุนรัฐต่างๆ ในการแก้กฎหมายของตัวเอง

แต่นักการเมืองที่เก่ง ต้องอ่านใจประชาชนของตัวเองได้

และเราเชื่อว่า ถ้าลองทำโพลสำรวจความเห็นของคนทั่วโลกโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ รวมทั้งคนอเมริกันด้วยแล้ว ก็น่าจะเห็นด้วยกับกัญชาเสรีมากกว่าไม่เห็นด้วย

ลองเจียดเงินที่ท่านคิดว่าจะเสี่ยงได้โดยไม่กระทบ ไปลงทุนในแนวนี้บ้าง ก็น่าจะช่วยสร้างสีสันให้ชีวิตไม่น้อย

สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมไทย (TGA) จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวการแข่งขัน Game Talent Showcase 2022 Presented by Bitkub อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 โดยการแข่งขัน Game Talent Showcase 2022 Presented by Bitkub จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของนักเรียนนักศึกษาที่มีความสนใจด้านอุตสาหกรรมเกม ได้มีโอกาสให้แสดงความสามารถ และศักยภาพในการพัฒนาเกม ผ่านการประกวดแข่งขันในครั้งนี้ เพื่อชิงเงินรางวัลรวมกว่า 300,000 บาท พร้อมรับเกียรติบัตรรับรองจากทางสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมไทย โดยจะเปิดรับสมัครรอบที่ 1 ในวันที่ 3 พฤศจิกายน ถึง 30 ธันวาคมนี้

ภายในงาน นายเนนิน อนันต์บัญชาชัย นายกสมาคมอุตสาหกรรมซอฟแวร์เกมไทย ได้กล่าวถึงความร่วมมือระหว่างสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมไทย (TGA) และบริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด รวมถึงการได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลในครั้งนี้

และในครั้งนี้ นายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐดิจิทัล ตัวแทนจาก depa ได้มาร่วมแสดงความยินดีและแชร์มุมมองจากทาง depa เกี่ยวกับการเติบโตของ

อุตสาหกรรมดิจิทัลว่าในช่วงต้นปี 64 จนถึงตอนนี้การเติบโตของอุตสาหกรรมดิจิทัลถือว่าก้าวกระโดด เล็งเห็นว่าแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งยกตัวอย่างเช่น Youtube, Twicth หรือ Facebook มียอดผู้เข้าชมอย่างต่อเนื่องมากกว่าแต่ก่อน 70% และมียอดการใช้จ่ายที่มากขึ้น ซึ่งอุตสาหกรรมเกมก็จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะพาอุตสาหกรรมรายรอบเติบโตไปด้วยกัน

โดยการแข่งขัน Game Talent Showcase 2022 Presented by Bitkub ในครั้งนี้ ได้มีการเพิ่มโจทย์พิเศษ 3 หัวข้อ ซึ่งผู้ชนะจะได้รับเงินรางวัลจากสปอนเซอร์เจ้าของโจทย์หัวข้อละ 100,000 บาท โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1. Bitkub Blockchain Award : ผลงานซอฟต์แวร์เกมจากเกม สามารถสนับสนุนการใช้ Blockchain ได้ หรือต่อยอดในเทคโนโลยี Blockchain ได้ดี

2. Visual Novel Award by BuzzDe : ผลงานซอฟต์แวร์เกมที่จากเกม ที่เป็นลักษณะ Visual Novel ภายใต้เงื่อนไข BuzzDe

3. และโจทย์ที่ 3 จากทางบริษัท อิเล็กทรอนิคส์ เอ็กซ์ตรีม จำกัด ที่ยังไม่ได้มีการเปิดเผยโจทย์พิเศษนี้ สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมการแข่งสามารถติดตามต่อได้ที่เฟสบุ๊คเพจ TGA - Thai Game Software Industry Association หรือ www.facebook.com/TGAThailand/

 

 ก่อนจบงานแถลงข่าว นายศรัณย์พจน์ เสรีวิวัฒนา และตัวแทนคณะจัดงาน ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “งาน TGA GAME TALENT SHOWCASE 2022 Presented by Bitkub จะเป็นเวทีให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงผลงานให้ได้รู้จักกัน และได้พบปะกับรุ่นพี่ในวงการอุตสาหกรรม พร้อมสร้างขวัญกำลังใจ แรงจูงใจให้กับ คนรุ่นต่อๆ ไปในการสร้างสรรค์ผลงานให้ดียิ่งขึ้น เพื่อนำสังคมผู้พัฒนาเกมไทยไปสู่ความสำเร็จในการแข่งขันบนเวทีระดับโลกได้ในภายภาคหน้า”

นับว่าเป็นโอกาสดีที่เราจะได้เห็นความสามารถและศักยภาพของผู้พัฒนาเกมรุ่นใหม่ของเราจากการแข่งขันในครั้งนี้ ถือเป็นเวทีแรกที่จะแสดงให้เห็นว่านักพัฒนาเกมไทยรุ่นใหม่ของเราจะสามารถสร้างสรรค์ผลงานให้ออกมาได้ดีเลิศมากน้อยแค่ไหน และสำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมการแข่งขันสามารถสอบถามและ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เพจ TGA - Thai Game Software Industry Association หรือ www.facebook.com/TGAThailand/

 

 

สถานการณ์ของโควิด-19 ได้สร้างชีวิตวิถีใหม่ หรือ New Normal ขึ้นหลายประการ หนึ่งในนั้นคือการเรียนออนไลน์ จากเดิมที่การเรียนการสอนเป็นแบบพบกันในห้องเรียน ต้องเปลี่ยนเป็นการเรียนผ่านจอบนชั้นเรียนออนไลน์แทน แน่นอนว่านักเรียนต้องปรับตัวกันขนานใหญ่ และได้ส่งเสียงสะท้อนถึงความท้าทายในการเรียนออนไลน์ออกมาอย่างหลากหลายในโซเชียลมีเดีย เช่น การเข้าถึงอุปกรณ์ไอที ปัญหาสัญญาณอินเตอร์เน็ต ขณะที่ห้องเรียนมีสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้มากกว่า ทั้งยังได้รับคำแนะนำจากครูผู้สอนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะวิชาที่มีการฝึกปฏิบัติ จนมีกระแสเรียกร้องให้หยุดเรียนออนไลน์ 1 ปี รอให้สถานการณ์ดีขึ้นเพื่อพาเด็กกลับเข้าสู่ห้องเรียนอีกครั้ง แต่เพราะการศึกษาไม่สามารถหยุดได้ ทางออกของเรื่องนี้จึงอยู่ที่การจัดการเรียนการสอนออนไลน์อย่างไรให้สามารถส่งเสริมและกระตุ้นการเรียนรู้ของนักเรียนให้ได้รับความรู้และทักษะทางอาชีพให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทายของโครงการ STEM Career Academies ในการสร้างเยาวชนสู่การเป็นบุคลากรสายอาชีพที่มีคุณภาพภายใต้เงื่อนไขการเรียนในระบบออนไลน์ด้วยเช่นกัน

แก้โจทย์เรียนออนไลน์

โครงการ STEM Career Academies หรือโครงการพัฒนาโมเดลสะเต็มศึกษาสู่โลกอาชีพ จัดตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาเยาวชนที่ขาดโอกาสสู่การเป็นบุคลากรในสายอาชีพที่มีความรู้และทักษะสอดคล้องกับความต้องการในโลกปัจจุบัน อาทิ ผู้ช่วยพยาบาล ผู้ดูแลผู้สูงอายุ นักพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชั่น เกษตรกรยุคใหม่ เพื่อสร้างอาชีพที่มั่นคง

ก้าวหน้า ให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น โดยเป็นความร่วมมือระหว่าง บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด และ ศูนย์ภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAMEO STEM-ED) ภายใต้โครงการ ‘Chevron Enjoy Science: สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต’

 

                                              บรรยากาศระหว่างการสอนออนไลน์

                               บรรยากาศการเรียนแบบ On Site ก่อนสถานการณ์โควิด-19

โครงการ STEM Career Academies ได้พัฒนารูปแบบให้เข้ากับยุค New Normal ตลอดจนแก้ไขข้อจำกัดของการเรียนออนไลน์ นำร่องที่การฝึกอบรมอาชีพเชฟ นักพัฒนาเว็บไซต์ และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ด้วยการให้ผู้เรียนได้เข้าถึงการเรียนออนไลน์แบบ Livestream และส่งเสริมทักษะอื่นๆ ไปด้วย เช่น ความพร้อมในการทำงานในยุคดิจิทัล ทักษะด้านการสื่อสาร การบริหารจัดการ การคิดสร้างสรรค์ การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหาต่างๆ นอกจากนี้ ผู้เรียนจะมีโอกาสได้เรียนรู้กับเมนเทอร์หรือที่ปรึกษาซึ่งมีประสบการณ์ในการทำงานจริง มีการสนับสนุนอุปกรณ์การเรียนต่างๆ เช่น มอบซิมโทรศัพท์เพื่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่อง เครื่องครัวครบชุดเพื่อการทำอาหารทุกประเภท หรือแม้กระทั่งคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไอทีที่จำเป็นสำหรับการเรียน เพื่อลดอุปสรรคเรื่องเครื่องมือ และปรับหลักสูตรการสอนเพื่อผู้เรียนและเตรียมความพร้อมสู่เส้นทางการทำงานจริง

เสียงสะท้อนจากเยาวชน

บางคนอาจจะเริ่มขมวดคิ้วแล้วเกิดคำถามว่า การพัฒนาทักษะทางอาชีพผ่านระบบการเรียนแบบ Livestream จะสร้างความตื่นเต้นและทำให้ผู้เรียนเข้าใจ ได้ฝึกทักษะอาชีพ และมองเห็นอนาคตของตัวเองได้อย่างไร วรรธนัย ไกรเพ็ชร หรือ น้องเบส หนึ่งในผู้เรียนในสายวิชาชีพนักพัฒนาและออกแบบเว็บไซต์ในโครงการ STEM Career Academies เล่าให้ฟัง

                 วรรธนัย ไกรเพ็ชร ผู้เรียนในสายวิชาชีพนักพัฒนาและออกแบบเว็บไซต์

“เมื่อก่อนผมเป็นคนไม่สนใจการเรียนในห้องเพราะรู้สึกเหมือนถูกละเลยจากครูผู้สอน ไม่กล้าตั้งคำถาม และไม่เห็นภาพว่าวิชาที่เรียนจะตอบโจทย์การทำงานในอนาคตอย่างไร แต่พอผมได้มีโอกาสเรียนคอร์สระยะสั้นเพื่อพัฒนาทักษะในการทำงานด้านไอที แม้ว่าผมจะไม่ได้เรียนในห้องโดยตรง แต่ก็รู้สึกว่าการสอนในชั้นเรียนออนไลน์ทำให้ผมอยากเรียนรู้และสนุกกับการพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา นอกจากนั้นโครงการยังส่งอุปกรณ์การเรียนมาให้ผมครบถ้วน ระหว่างการสอนก็จะมีการฝึกให้ทำไปด้วย พอมีอะไรที่ผมทำไม่ได้หรือเริ่มมีปัญหา พี่ๆ เมนเทอร์จะคอยให้คำตอบและถ่ายทอดความรู้ตลอด แม้ว่าจะไม่ได้เจอหน้ากัน สำหรับผม ผมรู้สึกกล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็นมากขึ้น ทักษะในการพัฒนาเว็บไซต์ก็ถูกพัฒนามากขึ้นจนทำให้ผมมั่นใจและสามารถมองเห็นเส้นทางอาชีพด้านไอทีชัดเจนยิ่งขึ้น”

นอกเหนือจากทักษะด้านไอที วงการนักรังสรรค์อาหารถือเป็นอีกหนึ่งการปรับตัวทางด้านการสอนที่ท้าทายทั้งเชฟรอนและเมนเทอร์ ที่จะออกแบบการเรียนให้ผู้เรียนฝึกมือได้อย่างไรให้ตรงจุดที่สุด

           อิสกันดาร์ กูโน ผู้เรียนในสายวิชาชีพศิลปะการประกอบอาหารและโภชนาการเบื้องต้น

อิสกันดาร์ กูโน หรือ น้องดาร์ หนึ่งในผู้เรียนในสายวิชาชีพศิลปะการประกอบอาหารและโภชนาการเบื้องต้นในโครงการ STEM Career Academies บอกว่า “ก่อนที่ผมจะได้พัฒนาทักษะจากโครงการนี้ ผมเคยเรียนทำอาหารออนไลน์ แต่อุปสรรคการเรียนทั้งเรื่องอินเตอร์เน็ตและเครื่องครัวที่ไม่ครบถ้วน ทำให้ผมเรียนรู้ได้ไม่เต็มที่ ตั้งแต่เข้าโครงการ STEM Career Academies ผมได้รู้ว่าวิทยาศาสตร์และการทำอาหารเป็นของคู่กัน พี่ๆ เมนเทอร์คอยสอนการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแบบใหม่ๆ ที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน ทางโครงการสนับสนุนทั้งเครื่องครัวทีครบถ้วน อินเตอร์เน็ตที่เร็วและแรง ทำให้ผมเข้าถึงทักษะต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว”

 น้องดาร์ยังบอกอีกว่า “แม้ว่าการเรียนในโครงการจะถูกปรับให้เป็นแบบออนไลน์ที่เชฟผู้สอนไม่ได้ใกล้ชิดเรา แต่เทคนิคการสอนก็ช่วยให้ผมรู้สึกสบายใจและได้ความรู้อย่างเต็มเปี่ยม เปิดมุมมองที่ทำให้ผมรู้ว่าวิทยาศาสตร์กับการทำอาหารก็เป็นของคู่กัน และผมคิดว่าผมจะนำทักษะเหล่านี้ไปต่อยอดเพื่อประกอบอาชีพหาเลี้ยงครอบครัวในอนาคตอีกด้วยครับ”

นายอาทิตย์ กริชพิพรรธ ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวว่า “สถานการณ์ของโควิด-19 ทำให้การเรียนการสอนต้องปรับเปลี่ยนสู่ระบบออนไลน์ เพื่อให้เยาวชนยังคงได้รับการพัฒนาความรู้และทักษะอย่างต่อเนื่อง โครงการ STEM Career Academies จึงต้องปรับวิธีการสอนสู่ระบบออนไลน์ โดยลดข้อจำกัดของการเรียนออนไลน์ต่างๆ ลงให้น้อยที่สุด รวมถึงเพิ่มความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานในอนาคตเข้าไปในหลักสูตร เพื่อให้เด็กได้รับประโยชน์สูงสุด เพื่อให้โครงการบรรลุเป้าหมายในการ พัฒนาความรู้และทักษะอาชีพให้กับเด็กที่ขาดโอกาส ซึ่งจะเป็นรากฐานที่สำคัญในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคตได้อย่างแท้จริง”

###

นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล นายก สมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ หรือ VTLA กล่าวว่า สมาชิกสมาคมฯ ซึ่งประกอบด้วยผู้ประกอบการธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจจากธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 10 ราย มีสาขารวมกันมากกว่า 7,000 สาขา ทั่วประเทศ ได้หารือถึงแนวทางการยกระดับธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ ให้เป็นแหล่งเงินทุนที่มีมาตรฐาน เป็นธรรม และโปร่งใส เป็นที่พึ่งให้กับประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงคลายล็อกดาวน์และการเปิดประเทศของภาครัฐ ซึ่งผู้ประกอบการหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระอาจมีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนในการฟื้นฟูกิจการของตนเอง จึงมีมติร่วมกันเพื่อกำหนดมาตรฐานและแนวทางการให้บริการสินเชื่อทะเบียนรถ 5 ประการ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. ได้รับข้อมูล หมายถึง บริษัทจะแสดงข้อมูลให้ลูกค้า เพื่อประกอบการตัดสินใจ เช่น อัตราดอกเบี้ย และค่าบริการต่างๆ

2. ได้รับหลักฐาน หมายถึง หลังจากทำธุรกรรม บริษัทจะส่งมอบเอกสารสำคัญ เพื่อให้ลูกค้าเก็บไว้เป็นหลักฐาน อาทิ สำเนาสัญญาเงินกู้ ใบเสร็จรับเงิน

3. ได้รับความเป็นธรรมตามกฎหมาย หมายถึง กรณีผิดนัดชำระหนี้ บริษัทจะมีการติดตามทวงหนี้อย่างเป็นธรรม เป็นไปตาม พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558

4. ได้รับเล่มคืน ภายใน 15 วัน หมายถึง บริษัทจะคืนเล่มทะเบียนรถให้กับลูกค้าสินเชื่อทะเบียนรถที่ปิดบัญชีแล้ว ภายในระยะเวลาไม่เกิน 15 วัน

5. ได้สิทธิรับรถคืน หมายถึง กรณีผิดนัดชำระหนี้และต้องส่งมอบรถที่ครอบครอง บริษัทให้สิทธิลูกหนี้รับรถคืนตามเงื่อนไขของแต่ละบริษัทสมาชิกฯ ที่กำหนด

ทั้งนี้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้ขอสินเชื่อจะได้รับบริการที่มีมาตรฐาน ก่อนเข้ารับบริการสามารถสังเกตตราสัญลักษณ์ สมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ หรือ VTLA ที่สาขาให้บริการของผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิก หรือข้อมูลบนเว็บไซต์ของสมาคมฯ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะได้รับบริการที่มีมาตรฐาน เป็นธรรม และโปร่งใส ตามรายละเอียดข้างต้น

สมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ จัดตั้งขึ้นในปี 2561 ปัจจุบันมีสมาชิกที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจจากธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 10 ราย มีสาขารวมกันทั่วประเทศมากกว่า 7,000 สาขา มีฐานลูกค้ารวมกันไม่น้อยกว่า 3 ล้านราย มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับมาตรฐานในการดำเนินธุรกิจ เป็นทางเลือกและที่พึ่งให้ประชาชนและกลุ่มผู้มีรายได้น้อย สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบที่มีมาตรฐาน เป็นธรรม โปร่งใส และยังเป็นการลดการพึ่งพาแหล่งเงินทุนนอกระบบอีกด้วย ผู้สนใจเยี่ยมชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.vtla.or.th 

2 พฤศจิกายน 2564: โครงการ “อุ่นใจอาสา พัฒนาอาชีพ” หนึ่งในโครงการที่อยู่ภายใต้ “ภารกิจคิดเผื่อ เพื่อคนไทย” โดย AIS Academy ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการสร้างทักษะอาชีพให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ และผู้ที่สนใจหาองค์ความรู้เพื่อพัฒนาสู่การประกอบอาชีพ ซึ่งได้มีการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องจากทีมอุ่นใจอาสาและโค้ชผู้เชี่ยวชาญ อาทิ การ Workshop ทำอาหาร ทำผลิตภัณฑ์, การออกแบบบรรจุภัณฑ์ และเทคนิคการถ่ายภาพสินค้า, การเล่าเรื่องเพื่อสร้างจุดเด่นของสินค้า การตั้งราคาสินค้า และการขายสินค้าออนไลน์ ฯลฯ และเพื่อเป็นการต่อยอดความสำเร็จของโครงการ AIS จึงได้ผสานความร่วมมือกับทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมด้วยภาคเอกชนที่สำคัญอย่าง ช้อปปี้ ร่วมกันสร้างช่องทางขายบน Market Place ชั้นนำอย่าง ช้อปปี้ให้กับผู้เข้าร่วมโครงการ เพื่อนำไปสู่การสร้างหน้าร้านและสามารถสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นได้จริง

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัท AIS และกลุ่มอินทัช กล่าวว่า “ที่ผ่านมาทาง AIS ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์อย่างช้อปปี้มาอย่างต่อเนื่องทั้งในส่วนของการตลาด การส่งเสริมการขาย และในครั้งนี้จะเป็นอีกก้าวสำคัญของความร่วมมือผ่านโครงการของ AIS ACADEMY for Thais อุ่นใจอาสา พัฒนาอาชีพ ที่เราจะร่วมกันสร้างโอกาสนำพาคนไทยเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน ในการต่อยอดการสร้างทักษะอาชีพที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง สู่การสร้างหน้าร้าน Marketplace บนแพลตฟอร์มช้อปปี้ ซึ่งจะทำให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้เรียนรู้ทั้งการพัฒนาอาชีพใหม่ๆ ไปจนถึงการขายบนช่องทางออนไลน์ที่สามารถนำไปปรับใช้และสร้างรายได้ได้จริง สอดคล้องกับเป้าหมายการทำงานของเราที่ต้องการเชื่อมต่อ ช่วยเหลือ เพื่อคนไทย ให้ผ่านสถานการณ์ความท้าทายครั้งนี้ไปด้วยกัน”

นางสาวสุชญา ปาลีวงศ์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด ช้อปปี้ ประเทศไทย เผยว่า ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาหลังจาก COVID-19 แพร่ระบาด ผู้ประกอบการไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ ส่งผลต่อรายได้และอัตราการจ้างงานที่ลดลง ทางช้อปปี้ ประเทศไทย ได้เล็งเห็นความสำคัญในการเพิ่มทักษะทางอาชีพ จึงได้จับมือกับทางเอไอเอส เพื่อเข้าไปเติมเต็มในโครงการอุ่นใจอาสา พัฒนาอาชีพ โดยได้นำเอาได้จุดแข็งและความเพียบพร้อมในด้านต่าง ๆ มาตกผลึกสู่รูปแบบการดำเนินงาน 3 ด้าน ได้แก่

1.ลดความยุ่งยากในการเริ่มธุรกิจบนโลกอีคอมเมิร์ซ ให้กับผู้ที่เข้าร่วมโครงการ ด้วยการเปิดโอกาสให้เข้าถึงแหล่งทรัพยากรที่จำเป็นได้อย่างครบวงจรบนแพลตฟอร์มช้อปปี้ ทั้งระบบการชำระเงินที่หลากหลาย พันธมิตรด้านการขนส่งที่ครอบคลุม

2.จัดแคมเปญทางการตลาดด้วยการบูรณาการสื่อต่าง ๆ ทั้งในและนอกแอปพลิเคชัน เพื่อเป็น ‘สะพานเชื่อม’ ให้ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถเข้าถึงโอกาสที่มีอยู่อย่างมหาศาลบนโลกอีคอมเมิร์ซ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายปีกับมหกรรม Shopee 11.11 Big Sale ที่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

3.ติดอาวุธทางความรู้ ให้กับผู้ประกอบการ ผ่าน ‘Shopee University’ โดยจะเริ่มจัดคลาสการเรียนการสอนถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้ที่เข้าร่วมโครงการ รวมถึงอุ่นใจอาสาเพื่อส่งต่อองค์ความรู้ให้กับผู้ที่สนใจ ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2564 นี้เป็นต้นไป

นางสาวกานติมา กล่าวในตอนท้ายว่า ความร่วมมือกับทาง ช้อปปี้ ประเทศไทย ถือเป็นการเสริมแกร่งและตอกย้ำการขับเคลื่อน AIS ACADEMY for Thais ในด้าน JUMP OVER THE CHALLENGE หรือ การพัฒนาทักษะอาชีพได้อย่างมั่นคง ที่ไม่ใช่แค่การสอนอาชีพแต่เป็นการสร้างโอกาสการเข้าถึงแพลตฟอร์มการซื้อขายใหม่ๆ เพื่อให้เกิดรายได้อย่างยั่งยืน ก้าวเดินต่อจากนี้ AIS ก็ยังคงเป็นภาคเอกชนที่อยู่คู่คนไทยและเคียงข้างคนไทยในทุกๆ ความท้าทาย เราขอเป็นส่วนหนึ่งในการจุดประกาย สร้างความร่วมมือ สร้างศักยภาพของคนไทย ไปพร้อม ๆ กับการสร้างสังคมที่แบ่งปัน และเชื่อว่าทุกคน ทุกองค์กรจะเปลี่ยนตัวเองเป็นไม้ขีดไฟและร่วมกันจุดประกายให้ประเทศเดินหน้าต่อไป”

#####

เรียนพี่น้องประชาชนชาวไทย

 ผมในฐานะตัวแทนของแอสตร้าเซนเนก้าในประเทศไทย ขอใช้โอกาสนี้แจ้งให้ทุกท่านทราบถึงความคืบหน้า และการดำเนินงานต่างๆ ที่เราได้มุ่งมั่นทำมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ 

เราสามารถเพิ่มการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในประเทศไทยได้กว่า 20%

เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ผมได้เขียนจดหมายเปิดผนึกฉบับแรกเพื่อแจ้งให้ทุกท่านทราบถึงเจตนารมณ์ของเราในการทำภารกิจสำคัญ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเราพยายามเร่งส่งมอบวัคซีนให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ซึ่งรวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตให้ดียิ่งขึ้นจากเดิมที่ดีและคงที่อยู่แล้ว เพื่อให้สามารถผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้มากขึ้น

 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แอสตร้าเซนเนก้าได้ทำงานร่วมกับ สยามไบโอไซเอนซ์ พันธมิตรด้านการผลิตวัคซีนของเราในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด จนทำให้เราสามารถผลิตวัคซีนได้เพิ่มขึ้นกว่า 20% จากเดิมที่ผลิตได้ 580,000 โดส ต่อรอบการผลิต เพิ่มขึ้นเป็น 700,000 โดส โดยเฉลี่ย แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในประเทศไทยว่าสามารถผลิตได้มากเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ เพื่อช่วยสนับสนุนการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในประเทศไทยและในภูมิภาคนี้

 ในเดือนตุลาคม เราได้ส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 อีก 10.5 ล้านโดส ให้กับประเทศไทย รวมยอดส่งมอบวัคซีน ณ ขณะนี้ เป็นจำนวนทั้งสิ้น 35.1 ล้านโดส ตามแผนการจัดหาวัคซีนจำนวนทั้งหมด 61 ล้านโดส ให้กับประเทศไทยภายในสิ้นปีนี้ และเราจะจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมตามสัญญาสั่งซื้อฉบับใหม่อีก 60 ล้านโดสในปี 2565

เราจะทำทุกวิถีทาง ทั้งการเพิ่มกำลังการผลิตในประเทศและนำเข้าจากแหล่งผลิตอื่น ๆ เพิ่มเติม

ด้วยความพยายามที่จะยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลต้า ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมได้เคยให้คำมั่นกับทุกท่านไว้นั่นคือการพยายามจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมจากแหล่งผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าที่มีอยู่ทั่วโลก มากกว่า 20 แห่ง เพื่อส่งมอบวัคซีนให้กับประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 ในเร็วๆ นี้ เราจะมีการส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าที่นำเข้ามาจากแหล่งการผลิตวัคซีนอื่นๆ เพิ่มเติมให้กับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ในช่วงที่เหลือของปี 2564 ควบคู่ไปกับการผลิตและส่งมอบวัคซีนที่ผลิตในประเทศไทยโดยสยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งคาดว่าจะยังคงสามารถผลิตวัคซีนได้เกินกว่าที่วางแผนไว้

 ด้วยพลังใจที่เข้มแข็งของคนไทยในการยืนหยัดสู้กับมหาวิกฤตนี้ เราจะอยู่เคียงข้างและจะทำทุกวิถีทางเพื่อเร่งส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ได้โดยเร็วที่สุด พวกเราทุกคนที่แอสตร้าเซนเนก้า รวมถึงพันธมิตรผู้ผลิตวัคซีนยังคงมุ่งมั่นทำหน้าที่ของเราในการผลิตและจัดหาวัคซีน เพื่อช่วยให้สุขภาพและความเป็นอยู่ของคนในชาติกลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง เราจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน 

 เราจะแจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินงานต่างๆ ให้ท่านทราบต่อไป

 ขอแสดงความนับถือ

 

นายเจมส์ ที

ประธาน บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด

 

X

Right Click

No right click