

เพื่อต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ ปี 2568 ที่กำลังจะมาถึง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดย นางสรรค์พิจิตร เอี่ยมชีรางกูร หัวหน้าสายงานบริหารความสัมพันธ์และผสานสิทธิประโยชน์ลูกค้า ขานรับ นโยบาย ททท. โดยนางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ ร่วมยกระดับประสบการณ์นักท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์ กระตุ้นการเดินทางและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ไปกับแคมเปญพิเศษ “Grand Songkran Grand Privileges” มอบประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบาย เชื่อมต่อไร้รอยต่อ พร้อมสิทธิประโยชน์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ อาทิ การเดินทาง ที่พัก อาหาร แฟชั่น และความบันเทิง สามารถลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษเพื่อเก็บดีลจาก Splash Box ผ่านเว็บไซต์ www.grandsongkrangrandprivilege.com โดยจะเปิดให้บริการในวันที่ 20 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป และสามารถใช้ดีลสิทธิพิเศษได้ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 เมษายน 2568
![]()
นางสรรค์พิจิตร เอี่ยมชีรางกูร หัวหน้าสายงานบริหารความสัมพันธ์และผสานสิทธิประโยชน์ลูกค้า บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า เพื่อส่งมอบความสุขให้ลูกค้าทรูและดีแทคทุกพื้นที่ทั่วไทย ให้ทั่วถึง ทุกคน ทรูจึงเดินหน้ายกระดับประสบการณ์ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง พัฒนาเครือข่าย 5G ทั่วประเทศไทย เพิ่มประสบการณ์ใช้งานของลูกค้าทุกพื้นที่สู่ระดับเวิลด์คลาส สำหรับเทศกาลสงกรานต์ซึ่งถือเป็นปีใหม่ของคนไทย และเป็นเทศกาลที่นักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมเดินทางมาร่วมฉลองประเพณีไทยและร่วมเล่นน้ำสงกรานต์ ซึ่งทรู ไม่เพียงแต่มอบเครือข่ายที่ดีที่สุดให้กับนักท่องเที่ยว แต่ยังเข้าใจไลฟ์สไตล์ของนักเดินทางยุคใหม่ ที่ต้องการความสะดวกสบายและความต่อเนื่องในการใช้ชีวิตดิจิทัล 5G ครอบคลุมทั่วประเทศ รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ทั้งในสนามบิน สถานีขนส่ง และจุดท่องเที่ยวสำคัญ โดยมีทีมวิศวกรเน็ตเวิร์ก standby ประจำศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ (BNIC) พร้อม AI และหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจ (War Room) เพิ่มประสิทธิภาพความเชื่อมั่นเครือข่าย 5G, 4G และอินเทอร์เน็ตบ้าน พร้อมดูแลและบริหารเครือข่ายครอบคลุมทุกบริการ 24 ชั่วโมง เราต้องการให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการเที่ยวเมืองไทย’ ด้วยเครือข่าย และสิทธิพิเศษที่ออกแบบมาให้ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ครั้งนี้ร่วมมือกับ ททท. มอบสิทธิประโยชน์ให้กับนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นสายเที่ยว สายชิล สายกิน หรือสายดิจิทัล ทรูพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับทุกคน
โดยทรู มอบสิทธิพิเศษ ในโครงการ ‘Grand Songkran Grand Privileges’ ดังนี้
· รับฟรีซิมทัวริสต์ เพียงแสดง Promo Code จากโครงการฯ เพื่อรับซิมฟรีหรือส่วนลดค่าซิมมูลค่า 49 บาท (จำกัด 1 สิทธิ์/ 1 หนังสือเดินทาง/ 1 Promo Code)
· รับฟรีชุดเสื้อกางเกงลายช้าง เมื่อซื้อซิมนักท่องเที่ยวมูลค่า 699 บาทขึ้นไป และแสดง Promo Code ที่เคาน์เตอร์ทรูหรือดีแทคที่ร่วมรายการ
· รับฟรีซองกันน้ำ เมื่อซื้อซิมนักท่องเที่ยวมูลค่า 349 บาทขึ้นไป และแสดง Promo Code
มาพร้อมสิทธิพิเศษหลังเปิดใช้งานซิม
· โบนัสโทรฟรีมูลค่า 100 บาท สำหรับโทรไปยัง 7 ประเทศ ได้แก่ จีน ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน อินเดีย เกาหลีใต้ และเวียดนาม
· ส่วนลดพิเศษจากพันธมิตร สำหรับลูกค้าซิมทรูและดีแทคทัวริสต์ อาทิ ส่วนลดเครื่องดื่มเต่าบินสูงสุด 25% ส่วนลด 50% สำหรับเครื่องดื่มและไอศกรีมที่ร้าน Burger King และ Bonchon ในสนามบินที่ร่วมรายการ ส่วนลดบริการ Grab สูงสุด 1,050 บาท ส่วนลด 300 บาท เมื่อซื้อสินค้าที่ Lotus’s ครบ 1,000 บาท เป็นต้น
ทั้งนี้ลูกค้าทรูและดีแทคยังสามารถรับของขวัญและสิทธิพิเศษเพิ่มเติมตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์ ไม่ว่าจะเป็นดีลพิเศษ กล่องสุ่ม และกิจกรรมลุ้นโชค ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางแอปทรูไอดี ดีแทคแอป หรือ https://ttid.co/OiLl/SplashTogether
นายคุโรดะ จุน ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) กรุงเทพฯ (คนกลาง) พร้อมด้วยนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) (คนแรกซ้ายมือ) และ ดร.ชลจิต วรวังโส วีรกุล ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) (คนแรกขวามือ) ประกาศความร่วมมือในการก่อตั้ง Sustainable Business Desk ในงาน Thailand-Japan Sustainable Business Forum 2025 เพื่อเป็นศูนย์กลางการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนไทย-ญี่ปุ่น ในการพัฒนาแนวทางธุรกิจที่ยั่งยืนและผลักดันสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน เมื่อเร็วๆ นี้
1 ใน 3 คนทั่วโลกนอนไม่พอ หลับยาก-ตื่นกลางดึก 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เปิดผลสำรวจชี้ 61% คนไทย หลับยาก-ตื่นกลางดึก สาเหตุหลัก "ความเครียด" จากการทำงาน-ชีวิตส่วนตัว
เรสเมด เอเชีย ปลุกกระแสรักษ์สุขภาพการนอน จัดใหญ่ "World Sleep Day" ชื่องาน ResMed Live life in high Res “หลับสบายด้วยจังหวะหายใจใหม่ เติมพลังชีวิตในแบบ Hi-Res” รวมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเจาะลึกปัญหา-วิธีแก้ ปัญหาการนอน พร้อมนำเสนอโซลูชันนวัตกรรมช่วยนอนหลับคุณภาพ พร้อม ตรวจเช็กการนอนฟรี ผ่านเว็บไซต์ ResMed ชวนคนไทยตื่นตัว-ใส่ใจคุณภาพการนอน เพื่อคุณภาพชีวิตและการทำงานที่ดีมีศักยภาพ
บริษัท เรสเมด เอเชีย (ประเทศไทย) เปิดผลสำรวจเกี่ยวกับการนอน หลังกลายเป็นวาระสำคัญของสุขภาพระดับโลก จากสถิติผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 30,026 คนจากทั่วโลกของ Resmed’s 2025 Global Sleep Survey ในช่วงวันที่ 12 - 28 ธันวาคม 2567 พบว่า ปัจจุบันมีประชากรทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาการนอนหลับ ประมาณ 1 ใน 3 ของคนทั่วโลกมีปัญหาในการนอนหลับ ไม่ว่าจะเป็นการหลับยาก 34% หรือการตื่นกลางดึก 29% ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ สำหรับผลสำรวจในประเทศไทยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามถึง 61% มีปัญหาในการหลับอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์ และปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดปัญหาการนอน เกิดจากความเครียดถึง 65% แสดงให้เห็นว่าความกดดันจากการทำงานและชีวิตส่วนตัวส่งผลกระทบต่อสุขภาพการนอนของประชาชนไทยอย่างมีนัยสำคัญ
![]()
นางสาวพิมพ์มนัส รินทร์ศรี ผู้จัดการฝ่ายขายประจำภูมิภาค บริษัท เรสเมด เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ResMed Thailand ผู้นำด้านนวัตกรรมสุขภาพการนอนและการหายใจ เปิดเผยว่า บริษัทฯวางเป้าหมายปีนี้ในการเดินหน้าสร้างการตระหนักรู้ พร้อมนำเสนอโซลูชันสุขภาพการนอนครบวงจร ในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ เป้าหมายของ เรสเมด คือ การช่วยให้แต่ละคนสามารถควบคุมการนอนหลับของตนเองและได้รับประโยชน์มากมายจากการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ
นางสาวอรุชา พรหมยานนท์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดประจำภูมิภาค บริษัท เรสเมด เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ResMed ไม่เพียงแต่เผยแพร่ผลสำรวจเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับคุณภาพการนอน แต่ยังเดินหน้าจัดกิจกรรมการตลาดเพื่อส่งเสริมการนอนที่ดีในหลายมิติ ล่าสุด ResMed ได้จัดกิจกรรมร่วมรณรงค์ในวัน “World Sleep Day” ในชื่องาน ResMed Live life in high Res
“หลับสบายด้วยจังหวะหายใจใหม่ เติมพลังชีวิตในแบบ Hi-Res” เพราะการนอนที่ดีเป็นพื้นฐานสำคัญของการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งด้านสุขภาพจิตและประสิทธิภาพการทำงานที่ดี
ทั้งนี้ ResMed ประเทศไทย ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชันการบำบัดการนอนหลับชั้นนำ บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ที่มีปัญหาการนอนหลับผ่านผลิตภัณฑ์ที่ล้ำสมัยและโครงการให้ความรู้ต่างๆ ซึ่งคาดหวังว่าการจัดงานครั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสุขภาพการนอนหลับกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) พร้อมเปิดเวทีที่มาส่งมอบความรู้และมุมมองจากแพทย์ ประกอบด้วย
● หัวข้อ "นอนดี ชีวิตดี" การนอนมีผลต่อสุขภาพอย่างไร โดย แพทย์หญิงฐิติกรณ์ ตวงรัตนานนท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน Lifestyle medicine
● หัวข้อ "เจาะลึกพฤติกรรมการนอน" จากผลสำรวจเกี่ยวกับการมอบของ ReรMed โดย คุณอารีรักษ์ ฤดีสถิต ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ บริษัท เรสเมด เอชีย (ประเทศไทย) จำกัด
● หัวข้อ “ผู้หญิงกับการนอน" การเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงชีวิต โดย นายแพทย์ โอฬาริก มุสิกวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา
● หัวข้อ "เจาะลึก OSA" ผลกระทบต่อสุขภาพ และวิธีการบำบัดรักษา โดย รศ. พญ. นฤชา จิรกาลวสาน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบการหายใจ ภาวะวิกฤตและเวชศาสตร์การนอนหลับ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายกสมาคมโรคจากการหลับแห่งประเทศไทย
● หัวข้อ "ผ่อนคลายก่อนนอน" ตื่นมาพร้อมพลัง โดย กก. คมชาญ ตรีเทพชาญชัย นักกายภาพบำบัด และวิทยากร ประจำศูนย์ RAKxa intergrative wellness retreat IIละ RAKxa academy
พร้อมปิดท้ายด้วย "เสียงจากผู้ใช้งานจริง" จากคืนที่หลับไม่สนิท สู่การตื่นมาพร้อมพลัง โดย คุณบดินทร์ เจริญราษฎร์ หรือ เป้ วงมายด์-MILD พร้อม Mini Concert
นอกจากนี้ยังมีโซนกิจกรรม อาทิ โซนคัดกรองสุขภาพการนอน โซนโซลูชันเพื่อการนอนที่ดีขึ้น พร้อมด้วยการสาธิตเกี่ยวกับการบำรุงรักษาและการสวมหน้ากากแนะนำการใช้งานที่เหมาะสมเพื่อความสบายและประสิทธิภาพในการบำบัดที่ดีที่สุด
![]()
เรสเมด เอเชีย (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า พฤติกรรมความเสี่ยง สาเหตุของภาวะหยุดหายใจขณะหลับและภาวะหยุดหายใจขณะหลับมีหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นกรรมพันธุ์, เพศ, ความเสื่อมตามอายุ, โรคอ้วน, การสูบบุหรี่, การดื่มแอลกอฮอล์, และ การใช้ยาบางชนิด พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ทางเดินหายใจแคบลงหรืออุดกั้นขณะนอนหลับ ไม่เพียงส่งผลต่อคุณภาพการนอน แต่ยังเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูงแบบดื้อยา, โรคความจำเสื่อม, โรคซึมเศร้า, โรคหลอดเลือดสมอง, โรคหัวใจ, และ โรคอ้วน ล้วนเป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว ทั้งยังมีผลกระทบต่อระดับบุคคลทำให้รู้สึกไม่สดชื่น ส่งผลต่อคุณภาพการทำงานและการใช้ชีวิตมีประสิทธิภาพลดลง ในระดับประเทศภาวะนี้ส่งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจอย่างมหาศาล โดยเฉพาะการสูญเสียประสิทธิภาพการทำงานของประชากร และทำให้รัฐบาลต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ในการรักษาโรคเรื้อรังต่างๆ ให้ประชาชนมากขึ้น ทำให้รายได้มวลรวมที่ควรจะเกิดจาก Productivity ที่ดีของประชากรลดหายไปด้วย
การกลับมารับตำแหน่งสมัยที่ 2 ของประธานาธิบดีทรัมป์ได้เร่งให้ความไม่แน่นอนในโลกสูงขึ้น นโยบายทรัมป์ 2.0 กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงระเบียบโลกใหม่ โดยเฉพาะด้านการค้า การลงทุน และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จะมีผลกดดันเศรษฐกิจโลกและกระทบต่อการตัดสินใจดำเนินงานของธุรกิจทั่วโลก มองไปข้างหน้า SCB EIC ประเมินว่า สหรัฐฯ จะดำเนินนโยบายลักษณะคาดการณ์ยาก พร้อมจะปรับเปลี่ยนขึ้นอยู่กับการต่อรอง ในกรณีฐานมองว่าสหรัฐฯ จะใช้นโยบายขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) แทนนโยบาย Universal Tariffs ที่เคยหาเสียงไว้ และใช้นโยบายขึ้นภาษีนำเข้าเฉพาะสินค้าหรือบางประเทศเพิ่มเติม (Specific Tariffs) เช่น สินค้ารถยนต์ เหล็กและอะลูมิเนียม หรือสินค้าจากประเทศจีนและแคนาดา
SCB EIC ประเมินว่า ในกรณีฐานนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นจะทำให้อัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นราว 11% จากอัตราเฉลี่ยเดิม ยิ่งหากประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ จะขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ด้วยแล้ว คาดว่าสงครามการค้ารอบใหม่นี้จะกระทบเศรษฐกิจโลกรวม –1.3% และเร่งให้เงินเฟ้อโลกเพิ่ม 0.5% ในระยะปานกลาง ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะได้รับผลลบทางเศรษฐกิจสุทธิน้อยกว่า แต่เงินเฟ้อสหรัฐฯ จะเร่งตัวสูงกว่าจากผลกระทบนโยบายขึ้นภาษีนำเข้า
SCB EIC ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะขยายตัวชะลอลงบ้างที่ 2.6% (เทียบกับ 2.7% ในปีก่อน) จากผลสงครามการค้าที่จะรุนแรงขึ้น ขณะที่ประเทศต่าง ๆ เริ่มออกนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยลดผลกระทบจากภายนอกมากขึ้น เช่น ยุโรปและจีนวางแผนขาดดุลการคลังมากขึ้น โดยเยอรมนีมีแผนขยายกฎเกณฑ์การคลังด้านหนี้ (Debt Break) เพื่อเพิ่มงบประมาณป้องกันประเทศ พร้อมตั้งกองทุน 500,000 ล้านยูโรเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐตลอด 10 ปีข้างหน้า ด้านจีนวางแผนขาดดุลคลัง 4% ของ GDP สูงเป็นประวัติการณ์ อนุญาตให้รัฐบาลท้องถิ่นก่อหนี้มากขึ้น และจะกู้เงิน 5 แสนล้านหยวนเพื่อเพิ่มทุนให้ธนาคารของรัฐ
![]()
นโยบายการเงินประเทศเศรษฐกิจหลักจะแตกต่างกันและไม่แน่นอนสูง ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยอีก 50 BPS ในปีนี้ตามที่เคยประเมินไว้ แม้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังสูงและเสี่ยงเร่งขึ้นจากนโยบายภาษีนำเข้าของตัวเอง แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มมีสัญญาณชะลอลงจากผลกระทบนโยบาย Trump 2.0 และความไม่แน่นอนของนโยบายที่สูงขึ้น ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อเนื่องมากกว่า Fed รวม 100 BPS ในปีนี้ เพราะเศรษฐกิจอ่อนแอกว่าและเงินเฟ้อต่ำกว่า ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีนี้รวม 50 BPS เพื่อช่วยพยุงค่าเงินเยนอ่อน และเงินเฟ้อญี่ปุ่นทรงตัวสูงกว่ากรอบเงินเฟ้อได้อย่างยั่งยืนขึ้น
SCB EIC ยังคงมุมมองต่อประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้ที่ 2.4% เศรษฐกิจไทยยังได้แรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเฉพาะโครงการ 10,000 บาทเฟสที่เหลือ และการลงทุนภาครัฐที่จะขยายตัวต่อเนื่องจากมาตรการเร่งเบิกจ่าย อย่างไรก็ดี ผลกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชนจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการใช้เงินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย สำหรับนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยกดดันการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนของไทย เศรษฐกิจไทยจึงมีแนวโน้มได้รับผลกระทบอย่างมากจากสงครามการค้าทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะหลายปีที่ผ่านมา การส่งออกของไทยพึ่งตลาดสหรัฐฯ มากขึ้น พร้อมกับการนำเข้าสินค้าจากจีนมากขึ้นด้วยหลังจากจีนมีแผนทยอยลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ กระจายไปตลาดอื่น
ท่ามกลางแรงกดดันจากภายนอกสูงขึ้น ภาคการผลิตไทยยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าในปีนี้ ส่วนหนึ่งเพราะนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะสินค้าทุนและวัตถุดิบ ประกอบกับเทรนด์ธุรกิจจีนเข้ามาลงทุนในไทยเริ่มเปลี่ยนไป จากการย้ายฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ เปลี่ยนเป็นการเข้ามาแข่งขันกับตลาดในประเทศมากขึ้น ภาพการลงทุนภาคเอกชนแม้จะกลับมาขยายตัวในปีนี้จากที่หดตัวแรงในปีก่อน แต่เป็นผลจากการนำเข้าสินค้าทุนตามกระแสการลงทุนทางตรงจากต่างชาติเป็นหลัก ขณะที่การลงทุนในประเทศด้านอื่นยังฟื้นตัวได้ไม่มากนัก
![]()
SCB EIC ตั้งข้อสังเกตว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าอยู่ในกลุ่มรั้งท้ายของโลก สะท้อนอาการแผลเป็นโควิดหลายมิติ ซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างเดิมที่ยังไม่ได้แก้ไข ทั้งจาก (1) แผลเป็นภาคธุรกิจ : รายได้ธุรกิจฟื้นแบบ K-Shape สัดส่วนจำนวนบริษัทผีดิบ (Zombie firm) ยังสูงกว่าก่อนโควิด โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็ก (2) แผลเป็นตลาดแรงงาน : แม้ภาพรวมการจ้างงานดีขึ้นต่อเนื่อง แต่คุณภาพการเคลื่อนย้ายแรงงานกลับแย่ลง โดยแรงงานนอกระบบสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่มีรายได้ต่ำกว่าแรงงานในระบบเกือบเท่าตัว มี (3) แผลเป็นภาคครัวเรือน : สะท้อนจากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยต่อ GDP ที่ยังสูงเกือบ 90% แม้จะทยอยลดลงบ้าง แต่ยังสูงกว่าช่วงก่อนโควิด สาเหตุหลักมาจากสินเชื่อใหม่หดตัว ทำให้แม้การบริโภคภาคเอกชนปีนี้จะมีปัจจัยบวกชั่วคราวจากโครงการเงินโอน 10,000 บาทเฟสที่เหลือ แต่ปัจจัยรายได้ฟื้นช้า หนี้สูง และการเข้าถึงสินเชื่อที่ลดลงจะยังคงกดดันการบริโภคอยู่ และ (4) แผลเป็นภาคการคลัง : เห็นได้จากหนี้สาธารณะสูงขึ้นมากเทียบก่อนโควิดและมีแนวโน้มเข้าใกล้เพดานหนี้ 70% ในอีกไม่กี่ปี แม้รัฐบาลจะขาดดุลสูงในปีงบประมาณ 2568 นี้ แต่กรอบงบประมาณจะสะท้อนข้อจำกัดการคลังในระยะปานกลางมากขึ้นเรื่อย ๆ จากปัจจัยพื้นฐานเชิงโครงสร้างของประเทศที่อ่อนแอเช่นนี้จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวแบบ K-Shape และมีแนวโน้มเติบโตต่ำในระยะข้างหน้า
SCB EIC ประเมิน กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ไปอยู่ที่ 1.5% ณ สิ้นปี สาเหตุจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ 1) ภาวะการเงินจะยังตึงตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงทางการเงินสูง สถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อรายย่อย ขณะที่การขายหุ้นกู้ของธุรกิจที่มีอันดับเครดิตไม่สูงเริ่มมีต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น และดัชนีค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วเทียบภูมิภาคในช่วงที่ผ่านมา และ 2) เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ การผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจท่ามกลางความท้าทายทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศเช่นนี้

ในระยะข้างหน้า SCB EIC มองว่า ไทยต้อง “เร่งสร้างความเข้มแข็งจากภายใน” ทั้งในระยะสั้นและยาวควบคู่กันไป พร้อมการสื่อสารสาธารณะ ในการผลักดันนโยบายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการใช้ทรัพยากรภาครัฐให้ตอบโจทย์การปรับตัวของประเทศ โดยเร่งดำเนินการผ่านนโยบายระยะสั้น มุ่งลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนภายนอก ปรับกรอบนโยบายมหภาคให้เอื้อต่อการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และนโยบายระยะยาว มุ่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้านต่าง ๆ และยกระดับขีดความสามารถภาครัฐ
มุมมองผลกระทบต่อธุรกิจไทยจะเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะจากนโยบาย Reciprocal Tariffs และ Specific Tariffs ของสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะกระทบกลุ่มอุตสาหกรรมที่เน้นส่งออก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน ปิโตรเคมี นอกจากนี้ ยังต้องจับตาผลกระทบทางอ้อมผ่านคู่ค้าสำคัญ (เช่น จีน) ในอุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ในสัดส่วนสูง รวมถึงผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญ นอกจากนี้ ปัญหาสินค้าจีนทะลักเข้ามาไทยอาจรุนแรงมากขึ้น รวมถึงสินค้าจากสหรัฐฯ ที่ไทยอาจต้องนำเข้าเพิ่มขึ้นหลังการเจรจาการค้า ซึ่งคาดว่าอาจเป็นความเสี่ยงที่ซ้ำเติมให้การผลิตในบางอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาผลกระทบเชิงบวกในบางธุรกิจที่ไทยอาจเข้าไปเจาะตลาดสหรัฐฯ แทนจีนหรือเม็กซิโกได้
ในสถานการณ์เช่นนี้ SCB EIC มองว่าผู้ประกอบการไทยสามารถใช้กลยุทธ์ 4P ในการปรับตัวเพื่อรับมือกับแรงกดดันจากนโยบายของ Trump 2.0 และจากปัญหาโครงสร้างการผลิตที่ยังอ่อนแอ ประกอบด้วย 1) Product : พัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์/แตกต่างและเพิ่มมูลค่า 2) Place : กระจายตลาด 3) Preparedness : บริหารความเสี่ยงทุกมิติ ทั้งห่วงโซ่อุปทานและงบการเงิน 4) Productivity : เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
CIPHER Shopify Partner ประเทศไทย เตรียมเปลี่ยนเกมด้วยการนำ ‘Shopify’ แพลตฟอร์ม E-Commerce ชั้นนำระดับโลกที่ผู้ประกอบการทั่วโลกไว้วางใจ มาเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของธุรกิจไทย ให้เติบโตแบบก้าวกระโดด ขยายฐานลูกค้าได้ไร้ขีดจำกัด พร้อมแข่งขันในเวทีระดับสากลได้อย่างมั่นใจ ด้วยโซลูชันที่ครบวงจรที่จะเปลี่ยนธุรกิจของคุณให้กลายเป็นความสำเร็จที่จับต้องได้ ถึงเวลาที่จะทำให้แบรนด์ของคุณโดดเด่นท่ามกลางคู่แข่ง และสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ลูกค้าจะประทับใจ
Shopify เป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับการยอมรับจากแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก ด้วยระบบที่ใช้งานง่าย ปรับแต่งได้อิสระ มีเครื่องมือช่วยขับเคลื่อนยอดขาย ไม่ว่าจะเป็นระบบจัดการสินค้า การชำระเงินที่หลากหลาย และโซลูชันการตลาดอัจฉริยะที่ช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงลูกค้าได้ตรงเป้าหมายมากขึ้น นอกจากนี้ Shopify ยังรองรับการขายหลายช่องทาง (Omnichannel) ทั้งบนเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย และมาร์เก็ตเพลสระดับโลก ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถขยายขอบเขตการเข้าถึงลูกค้าได้แบบไร้พรมแดน
CIPHER ในฐานะผู้นำด้านโซลูชันดิจิทัลสำหรับธุรกิจ E-Commerce ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของ Shopify จึงนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับตลาดไทย ไม่เพียงแค่ให้บริการแพลตฟอร์มเพียงเท่านั้น แต่ยังมีทีมที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมช่วยเหลือผู้ประกอบการในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสร้างร้านค้า การออกแบบ UX/UI การเชื่อมต่อระบบชำระเงิน ไปจนถึงการใช้กลยุทธ์การตลาดดิจิทัลเพื่อเพิ่มยอดขายและสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ไทย นอกจากนี้ CIPHER บริษัทรับพัฒนาเว็บไซต์ Shopify ยังมีบริการสนับสนุนหลังการขาย การอบรมการใช้งาน Shopify และการอัปเดตเทรนด์ E-Commerce ล่าสุด เพื่อให้ธุรกิจไทยสามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
![]()
การจับมือระหว่าง CIPHER และ Shopify ไม่ใช่แค่การนำแพลตฟอร์มมาปรับใช้ แต่คือการเปิดโอกาสใหม่ให้กับธุรกิจไทยทุกระดับ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ค้ารายเล็กหรือแบรนด์ใหญ่ ก็สามารถใช้ Shopify เพื่อขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกได้อย่างง่ายดาย ด้วยโครงสร้างที่ยืดหยุ่นและเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการเติบโต Shopify ทำให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันในตลาดสากลได้โดยไม่ต้องมีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคมาก่อน
ถึงเวลาที่ธุรกิจไทยต้องก้าวสู่ระดับสากล ยกระดับธุรกิจออนไลน์ของคุณให้โดดเด่นด้วยบริการครบวงจรจาก CIPHER ผู้เชี่ยวชาญด้าน Shopify ที่พร้อมดูแลทุกขั้นตอนการพัฒนาร้านค้าออนไลน์ ตั้งแต่การตั้งค่าร้านค้าพื้นฐาน การออกแบบหน้าร้านที่สวยงามและใช้งานง่าย การปรับแต่งฟีเจอร์พิเศษตามความต้องการเฉพาะ ไปจนถึงการย้ายข้อมูลจากแพลตฟอร์มอื่น พร้อมการรับประกันผลงานและการสนับสนุนหลังการให้บริการ ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้นหรือต้องการต่อยอดธุรกิจออนไลน์ สามารถติดต่อขอคำปรึกษาและข้อเสนอพิเศษได้ที่ https://www.cipher.co.th/
ราคาทองคำได้ทะลุ 3,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ในการซื้อขายระหว่างวันช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 14 มีนาคม และเกิดขึ้นอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 17 มีนาคม แม้ว่าราคาทองคำจากสมาคมตลาดทองคำแห่งลอนดอนที่ทำการซื้อขายช่วงบ่าย (LBMA Gold Price PM) จะยังไม่ได้ทะลุระดับนี้อย่างเป็นทางการ โดยปิดที่ 2,996.50 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ในวันจันทร์ แต่เหตุการณ์นี้ได้ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนและสื่อมวลชนทั่วโลก นำมาซึ่งคำถามมากมายถึงนัยสำคัญของปรากฏการณ์ครั้งนี้
จอห์น รีด (John Reade) นักกลยุทธ์การตลาดอาวุโส ประจำยุโรปและเอเชีย สภาทองคำโลก (World Gold Council) ให้ความเห็นเกี่ยวกับจุดเปลี่ยนสำคัญของราคาทองคำว่า “การที่ราคาทองคำทะลุ 3,000 เหรียญสหรัฐนั้น สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในยามที่ตลาดผันผวน จากราคา 1,000 เหรียญสหรัฐในช่วงวิกฤตการเงิน สู่ 2,000 เหรียญสหรัฐในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทองคำได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีในภาวะที่ตลาดมีความเสี่ยงสูง และให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจเทียบเคียงได้กับสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ นับตั้งแต่ปี 2514”
จอห์น ยังชี้ให้เห็นว่า นับตั้งแต่ปี 2565 ราคาทองคำไม่ได้เคลื่อนไหวตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ และค่าเงินเหรียญสหรัฐเหมือนในอดีต เนื่องจากธนาคารกลางทั่วโลกได้เพิ่มปริมาณการซื้อทองคำเป็นสองเท่า ประกอบกับความต้องการลงทุนจากตลาดเกิดใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้น
“ธนาคารกลางทั่วโลกเป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่อย่างต่อเนื่องมาตลอด 15 ปีที่ผ่านมา แต่ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ปริมาณการซื้อได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยมียอดซื้อมากกว่า 1,000 ตันต่อปี นับตั้งแต่ปี 2565 และล่าสุดในปี 2567 มียอดซื้อถึง 1,045 ตัน เราเชื่อว่าปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเพิ่มปริมาณขึ้นนี้ ทั้งในแง่ของการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ และความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่มีการแบ่งขั้วทางอำนาจ การซื้อทองคำของธนาคารกลางจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนความต้องการในตลาด และส่งผลต่อทิศทางของราคาทองคำในระยะยาว
“ในขณะเดียวกัน นักลงทุนจากตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) เริ่มมีอิทธิพลต่อตลาดทองคำมากขึ้น นอกจากแนวโน้มดังกล่าว การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมายังได้รับแรงหนุนจากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศที่ทวีความรุนแรง ส่งผลให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจทองคำในฐานะเครื่องมือกระจายความเสี่ยงที่สำคัญ
จอห์น กล่าวว่า “ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองในขณะนี้คือ ราคาทองคำจะสามารถรักษาระดับเหนือ 3,000 เหรียญสหรัฐได้หรือไม่ แม้ว่าสถานการณ์ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้นจะช่วยเสริมความเชื่อมั่นในตลาดทองคำ แต่การที่ราคาจะรักษาระดับนี้ได้ จำเป็นต้องเห็นแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนักลงทุนในประเทศตะวันตก หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องมีการเพิ่มปริมาณการซื้อครั้งใหญ่จากกลุ่มธนาคารกลาง”
สำหรับการวิเคราะห์เพิ่มเติมเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำและการทำสถิติใหม่ที่ระดับ 3,000 เหรียญสหรัฐ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ท่ามกลางความท้าทายในการเลือกเส้นทางอาชีพของเยาวชนไทยในยุคดิจิทัล โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์จัดงาน "ราตรีศรีตรัง" โดยศิษย์เก่าเพื่อเปิดโลกทัศน์และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความสำเร็จในหลากหลายวิชาชีพ พร้อมให้คำแนะนำแก่รุ่นน้องในการวางแผนอนาคต งานนี้รวบรวมศิษย์เก่าที่ประสบความสำเร็จในหลากหลายสาขา อาทิ แพทยศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ข้อมูล และอุตสาหกรรมความงามที่กำลังเติบโตสูง
แนวโน้มอาชีพที่เติบโตและเป็นที่ต้องการของตลาด
นางสาวพิริยา "ครูพัชร" ยังรอต ครูแนะแนวของโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ เปิดเผยถึงสาขาอาชีพที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบันว่า ประกอบด้วยวิทยาศาสตร์สุขภาพ (Health Science), วิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science) และ AI, วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering), บริหารธุรกิจ (Business Management) ออนไลน์และธุรกิจยุคใหม่ รวมถึงการเงินการลงทุน (Finance & Investment) พร้อมกล่าวว่า “ในการเลือกเส้นทางอาชีพของนักเรียนในปัจจุบันควรมองให้ลึกไปกว่ากระแสของตลาดเพียง ด้วยการสำรวจความสนใจ ความถนัด และความสามารถของตนเอง เพราะอาชีพที่มาแรงอาจไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคน กุญแจสำคัญของความสำเร็จคือการไม่หยุดเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ”
ทุกอาชีพมีโอกาสประสบความสำเร็จ หากเริ่มต้นจากความชอบและมุ่งพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ไม่ได้สอนเพียงแค่ 'เรียนไปทำไม' แต่เน้นที่ 'เรียนเพื่อทำอะไร' โดยมุ่งสร้างนักเรียนที่มีเป้าหมายชัดเจน ผ่านแกนหลักสามประการ ได้แก่ การเข้าถึงความรู้ การเรียนรู้ด้วยตัวเอง คิดวิเคราะห์ และต่อยอดองค์ความรู้ การทำงานร่วมกับผู้อื่น ฝึกทักษะการทำงานเป็นทีมและการบริหารจัดการคน ความสามารถในการครองใจคนยังคงเป็นทักษะสำคัญ และการเรียนรู้ด้วยตัวเองไม่มีสิ้นสุด สร้างโอกาสจากทุกสถานการณ์และมองเห็นอนาคต การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้นักเรียนวางแผนชีวิตได้อย่างมีทิศทางและมั่นใจในการก้าวสู่อนาคต ทั้งหมดล้วนเป็นซอฟท์สกีล ที่เป็นบันไดก้าวสู่ความสำเร็จในทุกสายอาชีพ
![]()
หมอกล้า เผยเคล็ดลับพิชิตความสำเร็จในสายงานแข่งขันสูง
นายแพทย์ชเนษฎ์ "หมอกล้า" ศรีสุโข ผู้ก่อตั้ง มาลิคลินิก สีลมซอย 3 ศิษย์เก่าที่ประสบความสำเร็จในสายอาชีพเปิดเผยว่า "แม้จะไม่ได้เลือกสิ่งที่รัก แต่จงรักในสิ่งที่เลือก เพราะความสำเร็จขึ้นอยู่กับการนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์และตอบโจทย์ผู้คน เมื่อเราสร้างคุณค่าและช่วยเหลือผู้อื่นก่อนผลลัพธ์ที่ดี รวมถึงความสำเร็จย่อมจะตามมา" หมอกล้าเลือกเส้นทางการแพทย์และสร้างธุรกิจในอุตสาหกรรมความงามที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยจากเทรนด์ดูแลสุขภาพของคนรุ่นใหม่และสังคมผู้สูงอายุที่ต้องการคงความอ่อนเยาว์ อาชีพแพทย์ความงาม จึงเป็นที่ต้องการของตลาด ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความงาม
“การมีความรักในอาชีพเป็นสิ่งสำคัญ จะนำมาซึ่งทักษะสำคัญเช่น ความอดทน ความพยายาม และการเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง การมองอุปสรรคเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเองและธุรกิจ และการสร้างเครือข่ายช่วยให้สามารถต่อยอด แลกเปลี่ยนความรู้ และขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ เมื่อรวมกับการมีแบบอย่างที่ดีจะนำพาไปสู่ความสำเร็จในอาชีพ ทุกอาชีพแม้ไม่ใช่อาชีพดาวรุ่งก็สามารถประสบความสำเร็จได้ หากเรามองประโยชน์ที่สามารถสร้างให้กับผู้อื่นก่อน การทำงานด้วยความจริงใจจะนำมาซึ่งผลตอบแทนและความสำเร็จในที่สุด” หมอกล้ากล่าวย้ำ
![]()
ด้านนายบรรพต "อิก" ธนาเพิ่มสุข ศิษย์เก่ามหิดลวิทยานุสรณ์ และอินฟลูเอนเซอร์ด้านการลงทุนและเจ้าของช่อง "ถามอีก กับอิก" ผู้พลิกโฉมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์สู่โลกการเงินและการลงทุน กล่าวว่า "แม้จะมี AI หรือเทคโนโลยีล้ำสมัยแค่ไหน มนุษย์ยังคงต้องการคำแนะนำจากมนุษย์ด้วยกัน เพราะเรื่องเงินเป็นเรื่องของความไว้วางใจ ซึ่งเทคโนโลยีไม่สามารถทดแทนได้"อาชีพที่ปรึกษาทางการเงินมาแรงและเป็นหนึ่งในอาชีพที่ตลาดมีความต้องการสูง เนื่องจากคนไทยและองค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับการบริหารการเงินมากขึ้น ทั้งจากภาวะเงินเฟ้อ ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น และโครงสร้างครอบครัวที่เปลี่ยนไป ทำให้คนไทยต้องวางแผนการเงิน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ คนทำงาน และผู้สูงวัยที่ต้องการวางแผนเกษียณ เส้นทางอาชีพของที่ปรึกษาทางการเงิน นับเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่มองหางานที่มีอิสระและผลตอบแทนสูง งาน "ราตรีศรีตรัง" ไม่ได้เป็นเพียงแค่การพบปะของศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันเท่านั้น แต่เป็นพื้นที่สำคัญในการส่งต่อแรงบันดาลใจและแนวทางจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้องเพื่อเตรียมความพร้อมให้เยาวชนไทยก้าวสู่อาชีพที่มั่นคงและเติบโตได้ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
Funding Societies | Modalku (Funding Societies) แพลตฟอร์มการเงินดิจิทัลแบบครบวงจรขนาดใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับ SME ประกาศความสำเร็จในการได้รับการลงทุนเชิงกลยุทธ์จาก Gobi Partners บริษัทร่วมทุนชั้นนำที่มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจในตลาดเอเชีย ตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อศักยภาพของ Funding Societies ในการขยายโอกาสทางการเงินให้ SME ด้วยโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง ความยืดหยุ่นในการปรับตัว และความมุ่งมั่นในการลดช่องว่างการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
การลงทุนครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสภาวะที่ผู้ให้บริการสินเชื่อและนักลงทุนให้ความระมัดระวังมากขึ้นต่อบริษัทฟินเทคต่างๆ หลังจากที่อุตสาหกรรมเผชิญความท้าทายหลากหลายด้าน การได้รับการสนับสนุนจาก Gobi Partners ไม่เพียงเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับ Funding Societies แต่ยังช่วยขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง ตอกย้ำบทบาทสำคัญของบริษัทในฐานะผู้ให้บริการทางการเงินแก่ SME มากว่าสิบปี และบริการด้านการชำระเงินตั้งแต่ปี 2565 ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในแนวทางการบริหารจัดการที่แข็งแกร่งของ Funding Societies และความสามารถในการสนับสนุนธุรกิจที่ขาดโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนทั่วทั้งภูมิภาคฯ
นายเคลวิน เตียว ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม Funding Societies กล่าวว่า "เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับการลงทุนเชิงกลยุทธ์จาก Gobi Partners โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่นักลงทุนให้ความระมัดระวังมากขึ้นต่อบริษัทฟินเทค การสนับสนุนครั้งนี้สะท้อนถึงพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งและความมุ่งมั่นของเราในการขับเคลื่อน SME ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราจะเดินหน้าสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เข้าถึงได้และตอบโจทย์ความต้องการได้ดียิ่งขึ้น เพื่อช่วยให้ธุรกิจ SME สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนและประสบความสำเร็จ"
![]()
นายวิกาส เจน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Funding Societies ประเทศไทย กล่าวว่า "การลงทุนจาก Gobi Partners จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งในการสนับสนุน SME ที่มีศักยภาพแต่ยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในประเทศไทย ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์และเหมาะสมกับแต่ละธุรกิจ เรามุ่งมั่นที่จะช่วยธุรกิจเหล่านี้เติบโต โดยจัดหาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตรงกับความต้องการและในเวลาที่เหมาะสม สำหรับปีนี้ เราตั้งเป้าหมายการเติบโต 30% โดยมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตสูง และเน้นสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับโครงการใหม่ๆ ที่ช่วยผู้ประกอบการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน"
เร่งการขับเคลื่อนสินเชื่อ SME และนวัตกรรมฟินเทค
ธุรกิจ SME ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังขาดแคลนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนมากกว่า 87 ล้านล้านบาท (2.5ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งถือเป็นอุปสรรคใหญ่ในการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ Funding Societies ยังคงเป็นผู้นำในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตรงตามความต้องการของ SME และการลงทุนจาก Gobi Partners จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้ AI และระบบอัตโนมัติ เพื่อเร่งกระบวนการให้สินเชื่อให้มีความรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น พร้อมทั้งช่วยในการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การสนับสนุน SME เป็นไปอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิผลสูงสุด.
นายโธมัส จี. เฉา ผู้ร่วมก่อตั้งและประธาน Gobi Partners กล่าวว่า “Funding Societies ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพในการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการให้สินเชื่อแก่ SME ซึ่งส่งผลกระทบเชิงบวกต่อภาคธุรกิจในภูมิภาคนี้ การลงทุนครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของเราในความสามารถของ Funding Societies ในการปรับตัวตามสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และการขับเคลื่อนนวัตกรรมฟินเทคที่ล้ำสมัย พร้อมทั้งความสามารถเติมเต็มช่องว่างทางการเงินให้กับผู้ประกอบการ SME เรารู้สึกยินดีที่ได้ร่วมมือเพื่อยกระดับการเข้าถึงบริการทางการเงินและเสริมสร้างศักยภาพให้กับ SME ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
ขยายการเข้าถึงบริการทางการเงินและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ Funding Societies ยังคงมุ่งมั่นในการเสริมสร้างศักยภาพให้กับ SME ผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเงินดิจิทัลที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจ โดยที่ผ่านมา Funding Societies ได้ปล่อยสินเชื่อรวมมูลค่ากว่า 140,000 ล้านบาท (4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ให้กับ SME กว่า 100,000 ราย พร้อมทั้งมีมูลค่าธุรกรรมการชำระเงิน (GTV) ต่อปีมากกว่า 50,000 ล้านบาท (1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ด้วยบทบาทสำคัญของบริการทางการเงินดิจิทัลในการเพิ่มโอกาสทางการเงินในภูมิภาค ความร่วมมือกับ Gobi Partners จะช่วยให้ Funding Societies ขยายขอบเขตการให้บริการ และเพิ่มขีดความสามารถในการสนับสนุน SME ซึ่งเป็นฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน
Funding Societies พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ควบคู่กับการรักษามาตรฐานการปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว โดยได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนชั้นนำอย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จในปี 2567 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของตลาด ผ่านการลงทุนจาก Cool Japan Fund (กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของประเทศญี่ปุ่น) และ Maybank รวมถึงการสนับสนุนทางการเงินจาก HSBC ภายใต้กองทุน อาเซียน โกรท ฟันด์ เป็นปีที่สาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปล่อยสินเชื่อรวมมูลค่ากว่า 3,400 ล้านบาท (100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับ SME และขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาค
GO Travel คุ้มจัด เน็ตฉ่ำ ...
ทรู เดินหน้าสร้างประสบการณ์โรมมิ่งที่ดีที่สุดไม่ว่าจะใช้เครือข่ายค่ายใด ก็สามารถสัมผัสประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาส ที่เหนือกว่า กับ GO Travel บริการโรมมิ่งตัวเลือกอันดับหนึ่งในใจนักเดินทางกับ ซิมโรมมิ่งโฉมใหม่ GO Travel SIM (Asia & Australia) ที่เพิ่มเน็ตขึ้นอีก 2 เท่า เป็น 12GB ใช้งานได้นาน 10 วัน ราคาสุดคุ้มค่าเพียง 549 บาท ครอบคลุมการเดินทางในทวีปเอเชียและออสเตรเลียรวมกว่า 35 ประเทศ ให้ท่องโลกได้สนุก สื่อสารไม่สะดุด ทุกที่ ทุกเวลา กับเครือข่ายพันธมิตรอันดับ 1 ทั่วโลกกว่า 900 ราย มั่นใจ เน็ตแรงบนเครือข่ายต่างประเทศอันดับ 1 เลือกเครือข่ายที่ดีที่สุดให้อัตโนมัติ เน็ตไม่รั่ว ไม่มีบิลช็อก พร้อมบริการคอลเซ็นเตอร์โรมมิ่ง ฟรี 24 ชั่วโมง
พร้อมสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย ให้ลูกค้า GO Travel ท่องโลกได้สมาร์ทยิ่งกว่า
สมาร์ทกว่าด้วย ฟรี! In-flight Roaming
· ฟรี! อินเทอร์เน็ตสำหรับใช้งานบนเครื่องบิน แบบไม่จำกัดดาต้า นาน 1 วัน (ตั้งแต่ 1 มี.ค.68 – 15 มิถุนายน 68 เท่านั้น)
สมาร์ทกว่าด้วย ฟรี! ประกันการเดินทาง ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม จาก FWD Life Insurance
· ฟรี! คุ้มครองอุบัติเหตุระหว่างเดินทาง
· ฟรี! ครอบคลุมกระเป๋าเดินทาง/ทรัพย์สินส่วนตัวหาย หรือเสียหาย
สมาร์ทกว่าด้วย ฟรี! สิทธิพิเศษที่สนามบิน
· ฟรี! AirAsia บริการ Red Carpet ช่องเช็กอินสุดพิเศษและบริการสุด VIP
· ฟรี! เมนูอิ่มอร่อย กับร้านค้าชั้นนำในสนามบิน
สมาร์ทกว่าด้วย สิทธิพิเศษจากพาร์ทเนอร์ชั้นนำ
· ส่วนลด 40% ค่าเดินทาง ไป-กลับสนามบิน จาก Grab
· คูปองส่วนลดจากร้านค้าชั้นนำในต่างประเทศ
· และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย
ลูกค้าที่มีแผนจะเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ สามารถเปิดใช้งาน
GO Travel SIM (Asia & Australia) 12GB 10 วัน ในราคาสุดคุ้มเพียง 549 บาท
- ซื้อง่าย ที่ศูนย์บริการทรู ดีแทคทั่วประเทศ
- ซื้อสะดวก ส่งฟรี! ที่ True Online Store/dtac Online Store
- และสะดวกยิ่งกว่า! GO Travel eSIM ซื้อออนไลน์ ใช้ได้ทันที
ปัจจุบันการทำธุรกรรมผ่าน โมบายแบงก์กิ้ง กลายเป็นทางเลือกหลักในการโอนเงิน จ่ายบิล และทำธุรกรรมต่างๆ แต่เพื่อป้องกัน ซิมผี บัญชีม้า และภัยไซเบอร์ ภาครัฐจึงได้ออกมาตรการยกระดับความปลอดภัยการใช้งานโมบายแบงก์กิ้ง กำหนดให้ชื่อผู้ใช้งานโมบายแบงก์กิ้งต้องตรงกับชื่อเจ้าของซิมหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมาตรการนี้ทำให้หลายคนตกใจและสงสัยว่าต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง และต้องทำทุกคนหรือไม่? วันนี้ ทรูพร้อมแนะเคล็ดไม่ลับ! เพื่อให้ทุกคนสบายใจและปลอดภัยในการใช้งานโมบายแบงก์กิ้ง ได้ต่อเนื่อง
1. ถ้าไม่ได้รับการแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร ไม่ต้องดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ต้องไปทรูช้อป ไม่ต้องไปธนาคาร ยังสามารถใช้งานโมบายแบงก์กิ้งได้ตามปกติ
2. การแจ้งเตือนของธนาคาร ไม่ใช่เป็นการส่งข้อความ SMS แต่เป็นการส่งข้อความเตือนผ่านแอปพลิเคชันธนาคารที่ใช้บริการ (เป็นpush notifications)
3. หากได้รับการแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับการยกเว้น และกลุ่มที่ไม่ได้รับการยกเว้น
4. กลุ่มที่ได้รับการยกเว้น (คือชื่อผู้ใช้งานโมบายแบงก์กิ้ง ไม่ต้องตรงกับชื่อเจ้าของซิมหมายเลขโทรศัพท์มือถือได้) มี 3 กลุ่มคือ 1. บุคคลในครอบครัวเดียวกัน 2. ผู้ที่ต้องได้รับการดูแลตามกฏหมาย
3. นิติบุคคล
โดย 2 กลุ่มแรก สามารถติดต่อสาขาธนาคารที่สะดวก ภายใน 30 เมษายน 2568 เพื่อพิสูจน์และยืนยันตัวตน พร้อมเตรียมเอกสารตามที่ธนาคารกำหนด ดังนี้
· บุคคลในครอบครัว : เอกสารที่แสดงความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว เช่น สำเนาทะเบียนบ้าน,สำเนาสูติบัตร หรือสำเนาทะเบียนสมรส และใบเสร็จค่าโทรศัพท์ที่แสดงความเป็นเจ้าของเบอร์โทรศัพท์
· ผู้ที่ต้องได้รับการดูแลตามกฏหมาย : คำสั่งศาลแต่งตั้งผู้อนุบาล, ผู้พิทักษ์, บัตรผู้พิการ หรือเอกสารที่หน่วยงานราชการออกให้
5. สำหรับนิติบุคคล สามารถดำเนินการได้ 2 แนวทาง
o ยื่นแบบฟอร์มยืนยันเลขหมายจดทะเบียน พร้อมลายเซ็นกรรมการผู้มีอำนาจ และตราประทับบริษัท โดยให้ทรูอัปเดตข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
o ออกหนังสือรับรองสำหรับธนาคาร โดยระบุชื่อพนักงาน เลขหมายโทรศัพท์ และอนุญาตให้ใช้งานโมบายแบงก์กิ้ง ตามข้อกำหนดของธนาคาร เพื่อนำไปยื่นที่สาขาธนาคาร ดูรายละเอียดและดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่ https://truebusiness.truecorp.co.th/th/home
6. กลุ่มที่ได้รับการแจ้งเตือนและไม่ได้รับการยกเว้น สามารถอัปเดตชื่อจดทะเบียนให้ตรงกับชื่อเจ้าของบัญชีโมบายแบงก์กิ้ง ได้ที่ทรูช้อป (ไม่มีค่าบริการ) ภายใน 30 เมษายน 2568 ถ้าไม่ดำเนินการตามกำหนด ธนาคารอาจระงับบริการโมบายแบงก์กิ้ง
7. การอัปเดตชื่อจดทะเบียนให้ตรงกับชื่อเจ้าของบัญชีโมบายแบงก์กิ้ง ทั้งลูกค้าระบบรายเดือนและเติมเงิน ต้องเตรียมบัตรประชาชนตัวจริง และซิมการ์ดตัวจริง โดยผู้จดทะเบียนซิมเดิมและใหม่ ต้องแสดงบัตรประชาชนตัวจริง พร้อมซิมการ์ดเลขหมายที่ต้องการเปลี่ยนชื่อผู้ใช้บริการ ติดต่อทำรายการโอนเปลี่ยนเจ้าของได้ที่ ทรูช้อป
8. หากลูกค้าได้รับการแจ้งเตือนและผู้ใช้งานโมบายแบงก์กิ้งอยู่ต่างประเทศ ซึ่งต้องการอัปเดตชื่อ จดทะเบียนซิม สามารถทำได้โดยให้ผู้อยู่ในประเทศไทยนำเอกสารของผู้จดทะเบียนซิมและผู้รับโอนไปดำเนินการที่ ทรูช้อป เพื่อยืนยันตัวตนพร้อมกันทั้งคู่ผ่าน VDO Call
9. หากผู้ที่ได้รับการแจ้งเตือน ไม่ดำเนินการแก้ไขชื่อผู้จดทะเบียนให้ตรงกับชื่อเจ้าของบัญชีโมบายแบงก์กิ้ง ภายในเวลาที่ภาครัฐกำหนดคือ 30 เมษายน 2568 ลูกค้าก็จะยังสามารถใช้บริการโทรศัพท์ทั้งโทรและเน็ตได้ตามปกติตลอดไป แต่ภายหลังจากวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 จะไม่สามารถทำธุรกรรมผ่านโมบายแบงก์กิ้งได้
10. ลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะของตัวเองและดำเนินการตามได้ง่ายๆ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่คอลเซ็นเตอร์ ทรู 1242 หรือดีแทค 1678