December 20, 2025

ฉลองใหญ่ 60 ปี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน Electrify Our Future จุดพลังพุ่งทะยานสู่อนาคต ฉลองใหญ่ครบรอบ 60 ปี เส้นทางผู้นำธุรกิจสายไฟของ “บางกอกเคเบิ้ล” โดยมี นายสมพงศ์ นครศรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด พร้อมด้วย นายพงศภัค นครศรี กรรมการบริหาร บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด และครอบครัวนครศรี ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมพาชมนิทรรศการ “Wired Through Time: Bangkok Cable's Journey”เส้นทางเติบโตยั่งยืนและสายไฟพัฒนาเมือง รวมถึงโครงการขนาดใหญ่ของทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ โครงการวัน แบงค็อก (One Bangkok) สนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 การันตีถึงความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำธุรกิจสายไฟฟ้าและสายเคเบิลของไทย ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ บางกอก คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อเร็วๆ นี้

บุคคลในภาพ (เรียงจากซ้ายไปขวา)

1. นางทิพพา นครศรี (นั่งฝั่งซ้าย) รองประธานกรรมการบริหารกิตติมศักดิ์ บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด

2. นางสาวเปมิกา นครศรี ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารแบรนด์ บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด

3. ดร.ฐิตินันท์ นครศรี กรรมการบริหาร บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด

4. นายธัชพล ปรีชาหาญ ครอบครัวนครศรี

5. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

6. นางกรรติกา ปรีชาหาญ กรรมการบริหาร บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด

7. นายปรากรมศักดิ์ ชุณหะวัณ คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

8. นายพงศภัค นครศรี กรรมการบริหาร บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด

9. นายสมพงศ์ นครศรี (นั่งฝั่งขวา) ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด

 สภาศิลปินส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย หน่วยเผยแพร่ศีลธรรมทางพระพุทธศาสนา (นศพ.) กรมศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ โครงการ "Phenix" (ฟีนิกซ์) แหล่งรวมอาหารและสุดยอดความอร่อยใจกลางเมืองย่านประตูน้ำ ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC จัดกิจกรรมพิเศษเนื่องในโอกาสอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากวัดมหาปชาบดีโคตมี ใกล้ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล มาประดิษฐานชั่วคราว ณ ประเทศไทย เป็นครั้งแรก ณ โครงการ “Phenix”

เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลแก่ประชาชนและประเทศชาติ รวมถึงพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ภายในงานมีพระอาจารย์สินทรัพย์ จรณธัมโม วัดป่าบ่อน้ำพระอินทร์ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์, นายธนพล พรหมสุวงษ์ เลขานุการกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ร่วมด้วย ดร.รุ่งทิพย์ ส่องพราย ประธานอนุกรรมการกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ดร.ศุภาชัย ผ่องสวัสดิโสภาค ประธานกรรมการสภาศิลปินส่งเสริมพระพุทธศาสนา หน่วยเผยแพร่ศีลธรรม กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม, ดร.เขมชาติ ปริญญานุสรณ์ (อ.คฑา ชินบัญชร) ที่ปรึกษาอนุกรรมการฝ่ายกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน), นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี, นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี, นายไมเคิล ฮาริท หัวหน้าคณะกลุ่มธุรกิจคอมเมอร์เชียล บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) และนายอัศวิน คำแวง กรรมการผู้จัดการ-ฟีนิกซ์ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมพิธี โดยมีนายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล รับหน้าที่อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานยังบุษบก ทั้งนี้ผู้สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ สามารถร่วมสักการะพระบรมสารีริกธาตุฯ ได้ในระหว่างวันที่ 7 – 15 กันยายน 2567 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ Commonspace ชั้น G โครงการ "Phenix" ประตูน้ำ

นายธนพล พรหมสุวงษ์ เลขานุการกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนาธรรม กล่าวว่า "กรมศาสนามีภารกิจสำคัญในการส่งเสริม ทำนุบำรุง และอุปถัมภ์คุ้มครองศาสนาต่างๆ ที่ทางราชการให้การรับรอง ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมของประชาชนในประเทศไทย ดังนั้นจึงรู้สึกเป็นเกียรติและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับ AWC และโครงการ ‘Phenix’ ในพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากประเทศเนปาลมาประดิษฐานยังประเทศไทยในครั้งนี้ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาของเมืองไทย ที่จะเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้ร่วมสักการะพระบรมสารีริกธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ จากดินแดนพุทธภูมิ อันจะนำมาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุขของแผ่นดิน"

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "พิธีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรกอย่างเป็นทางการจากประเทศเนปาลมาสู่ประเทศไทย โดยมาประดิษฐานชั่วคราว ณ โครงการ Phenix ของกลุ่ม บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) ในครั้งนี้ นับเป็นความสิริมงคลอย่างยิ่งในการสืบสานพระพุทธศาสนา และเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยและทั่วโลกได้มากราบสักการะบูชา โดยเรามุ่งหวังว่าการจัดกิจกรรมครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันผ่านความศรัทธาและวัฒนธรรมอันดีงาม รวมถึงเสริมความเป็นสิริมงคลให้กับทางโครงการฯ และผู้ประกอบการในพื้นที่ประตูน้ำ ในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจด้านการค้า และการท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ที่มีทั้งคนไทย และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเยือนเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงอยากเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติสืบไป"

กิจกรรมพิเศษเนื่องในโอกาสอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (สัณฐานทั่วไป) จากวัดมหาปชาบดีโคตมี ใกล้ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล มาประดิษฐานชั่วคราว ณ Commonspace ชั้น G โครงการ "Phenix" ประตูน้ำ เป็นความร่วมมือของสภาศิลปินส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย หน่วยเผยแพร่ศีลธรรมทางพระพุทธศาสนา (นศพ.) กรมศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ AWC และโครงการ “Phenix” บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) และพันธมิตรในโครงการ "Phenix" พร้อมกิจกรรมสำคัญทางพระพุทธศาสนาสำหรับพุทธศาสนิกชน ประกอบไปด้วย พิธีเจริญพระพุทธมนต์ พิธีเวียนเทียน สักการะบรมสารีริกธาตุ ถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์ และพิธีเจริญจิตตภาวนา เจริญพุทธานุสติ

ทั้งนี้ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญครั้งแรกของเมืองไทย เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว ได้อิ่มบุญพร้อมกับอิ่มอร่อยกับร้านอาหารหลากหลายที่ “Phenix” โดยสามารถร่วมพิธีกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ พร้อมเจริญจิตตภาวนา และเจริญพุทธานุสติได้ ในระหว่างวันที่ 7 – 15 กันยายน 2567 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ Commonspace ชั้น G โครงการ “Phenix” ประตูน้ำ

 

อีกหนึ่งรางวัลการันตีองค์กรแห่งความเป็นเลิศด้านการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล ล่าสุด บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด คว้ารางวัลใหญ่ระดับนานาชาติจากเวที HR Excellence Awards 2024 จัดโดย Human Resources Online ประเทศสิงคโปร์ ในสาขา 'Best HR Team' ระดับ Bronze สะท้อนภาพของยูอาร์ซีในการขับเคลื่อนองค์กรด้วยการให้ความสำคัญกับบุคลากรสูงสุด

เพราะบุคลากรควรเติบโตและพัฒนาควบคู่ไปกับองค์กรที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับหนึ่งในค่านิยมหลักอย่าง "Put People First สำหรับรางวัล HR Excellence Awards 2024 เป็นรางวัลระดับนานาชาติ ซึ่งนับเป็นเครื่องยืนยันแก่บริษัทชั้นนำในประเทศไทยที่มีแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลที่ยอดเยี่ยม ครอบคลุมทั้งด้านการสรรหาบุคลากรที่มีคุณภาพ การมีส่วนร่วมของพนักงาน และการสร้างวัฒนธรรมองค์กร โดยมีคณะกรรมการตัดสิน ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญด้านทรัพยการบุคคลจากหลากหลายธุรกิจ และมีหลักเกณฑ์การพิจารณาจากวิสัยทัศน์และเป้าหมายองค์กร การดำเนินธุรกิจ และแนวทางการพัฒนาการบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์กรในมิติต่างๆ


 

นายฐานันท์ สุวรรณรักษ์ รองประธานและผู้จัดการทั่วไป ประเทศไทย ลาว และ กัมพูชา บริษัท ยูอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “เป็นอีกหนึ่งรางวัลแห่งความภาคภูมิใจของยูอาร์ซี ที่ตอกย้ำประสิทธิภาพการดำเนินงานของทีม HR ในการบริหาร พัฒนา และการดูแลพนักงาน ซึ่งเราเชื่อว่าทรัพยากรบุคคลคือหัวใจสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ พร้อมกันนี้ ยังเป็นแรงผลักดันให้บริษัทต้องยกระดับงานด้านทรัพยากรบุคคลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อันจะนำไปสู่การขับเคลื่อนธุรกิจ องค์กร และดูแลพนักงานให้มีความสุขและทำงานอย่างมืออาชีพ โดยเรามีเป้าหมายที่จะก้าวเป็นหนึ่งใน 20 ชั้นนำของประเทศไทยด้าน FMCG และให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของพนักงานมากถึง 80% เพราะเชื่อว่าพนักงานที่มีคุณภาพจะสามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพให้แก่ผู้บริโภคได้”  ยูอาร์ซี เดินหน้าสร้างสรรค์สังคมตามวิสัยทัศน์องค์กร พร้อมเสริมสร้างบุคลากรทุกคนให้มีความเป็นเลิศ โดยเน้นไปที่

ค่านิยมหลัก 4 ประการ (4Ps Core Values) ได้แก่
⦁ People – ค่านิยมหลักของเรา นั่นคือ "Put People First" ให้ความสำคัญกับบุคลากรเป็นอันดับแรก เพราะพนักงานทุกคนเป็นศูนย์กลางของความสำเร็จและเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต เราสนับสนุนการเรียนรู้ พัฒนาศักยภาพ ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม และให้ความสำคัญกับการทำงานแบบ Work-Life Balance โดยให้พนักงานสามารถทำงานจากที่บ้านได้ 2 วันต่อสัปดาห์และมีชั่วโมงการทำงานแบบยืดหยุ่น บริษัทฯ ยังสนับสนุนกิจกรรมที่ส่งเสริมพนักงานให้มีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง อาทิ การแข่งขันกีฬาประจำปี, การแข่งขัน eSports หรือการแข่งขันลดน้ำหนัก (60 days challenges) เป็นต้น
⦁ Planet – ยูอาร์ซีให้ความสำคัญต่อธุรกิจสู่ความยั่งยืน ทีมทรัพยากรบุคคลของเราได้ริเริ่มโครงการหลายอย่างในการสร้างชุมชนที่ยั่งยืนและมอบอนาคตที่สดใสให้กับเด็กๆ ในชุมชน โดยเราได้ติดตั้งหลังคาพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่โรงเรียนต่างๆ ในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ความรู้แก่นักเรียนเกี่ยวกับวิถีชีวิตที่ยั่งยืน และร่วมผลักดันการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ให้เกิดประโยชน์ต่อผู้คนให้ได้มากกว่า 5,000 คนภายในระยะเวลา 5 ปี และเพื่อเป็นการลดปริมาณคาร์บอนฟุตปริ้นท์ เรายังให้ความสำคัญกับเรื่องการรีไซเคิลด้วยการใช้วัสดุจากการรีไซเคิลมาผลิตชุดพนักงานโดยเครื่องแบบพนักงาน 1 ชุดผลิตจากขวด PET รีไซเคิล 14 ขวด
⦁ Progress – บริษัทยูอาร์ซีให้ความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะและเพิ่มขีดความสามารถให้กับพนักงาน เพื่อให้พนักงานของเราเติบโตและก้าวหน้าไปพร้อมๆกับบริษัทฯ เรามีการเตรียมพร้อมสำหรับทักษะผู้นำในหลากหลายกิจกรรมซึ่งรวมถึงการโค้ชจากผู้บริหารระดับสูง เรามีการเรียนรู้ในระบบออนไลน์ที่พนักงานสามารถเข้าเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา และมีค่าตอบแทนที่สามารถแข่งขันกับตลาดได้
⦁ Purpose – ความสำเร็จของเรามีรากฐานมาจากจุดมุ่งหมาย, ค่านิยม และปณิธานขององค์กร เรา ตั้งใจส่งมอบความสุขและเสริมสร้างประสบการณ์ที่มีคุณค่าให้แก่พนักงานผ่านกิจกรรมต่างๆ อาทิ เช่น การรวมตัวกันของตัวแทนพนักงานจากส่วนงานต่างๆ ในทีมเพื่อก่อตั้งโครงการที่มีชื่อว่า Fun Club เพื่อเสนอความคิดสร้างสรรค์และร่วมกันจัดกิจกรรมสร้างความสนุกและความสัมพันธ์ให้กับเพื่อนพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นการส่งมอบความสุขประจำเดือน หรือการสอบถามความพึงพอใจของพนักงานประจำเดือนในกิจกรรม ER Kok Kok Kok เป็นต้น


รางวัลเหล่านี้ ถือเป็นเครื่องยืนยันว่าบริษัทยูอาร์ซี มุ่งมั่น ทุ่มเทและให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพ เราสนับสนุนให้พนักงานของเราได้แสดงศักยภาพที่แท้จริง เพราะเราเชื่อว่าพนักงานคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุดและเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เราประสบความสำเร็จเสมอมา

 

 

 โรงพยาบาลรามคำแหง จัดงานแถลงข่าวเตรียมความพร้อมจัดกิจกรรมวิ่งเพื่อการกุศล “Ram Hero Run 2024” วิ่งปลอดภัย เพื่อทุกหัวใจแข็งแรงโดยมีกำหนดจัดในวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2567 ณ หน้าลานอินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพ และมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคม โดยรายได้ส่วนหนึ่งมอบให้ มูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ภายในงานได้รับเกียรติจาก ดร.ฤกขจี กาญจนพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท โรงพยาบาลรามคำแหง และบริษัทในเครือ, มร.ทีโบลท์ สพิธากิส Chief Marketing Officer และกรรมการบริหาร โรงพยาบาลรามคำแหง และนางสาวทัศน์วรรณ ศิริวงศ์ กรรมการบริหาร โรงพยาบาลรามคำแหง ในฐานะประธานการจัดงาน พร้อมด้วย ตัวแทนจากมูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี, คณะแพทย์ผู้ชำนาญการ, ดารานักแสดง อาทิ ฮาย - ชุติมา สิงห์ใจชื่น, โอ๊ต - รัฐธีร์ วรโรจน์โยธิน, พาขวัญ - พาขวัญ น้อยใจบุญ, จ๊ะจ๋า - จินต์จุฑา ศิริเพ็ง และเหล่าอินฟูลเอนเซอร์นักวิ่ง เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ณ โรงพยาบาลรามคำแหง

ดร.ฤกขจี กาญจนพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท โรงพยาบาลรามคำแหง และบริษัทในเครือ เปิดเผยว่า “โรงพยาบาลรามคำแหงของเราไม่เพียงแต่รักษาผู้ป่วย แต่เรามุ่งมั่นที่จะร่วมสร้างสรรค์สังคม ผ่านบริการและกิจกรรมที่จะร่วมสร้างอนาคตที่ทำให้ทุกชีวิตมีสุขภาพที่แข็งแรง และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ดังความมุ่งมั่นของโรงพยาบาลที่จะ “ตอบทุกความต้องการ เชี่ยวชาญทุกการดูแล” จึงริเริ่มจัดกิจกรรมวิ่งการกุศล “Ram Hero Run 2024” วิ่งปลอดภัย เพื่อทุกหัวใจแข็งแรง ขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ย้ำภาพการเป็นโรงพยาบาลที่ร่วมสร้างสังคมสุขภาพดี”

มร.ทีโบลท์ สพิธากิส Chief Marketing Officer และกรรมการบริหาร กล่าวถึงการจัดงานครั้งนี้ว่า “เรามีความมุ่งหวังในการส่งเสริมสุขภาพของผู้คนให้มีสุขภาพที่ดี เพื่อเป็นสิ่งตอบแทนความไว้วางใจที่มอบให้กับทางโรงพยาบาลตลอดมา เพราะกิจกรรมวิ่งการกุศล “Ram Hero Run 2024” วิ่งปลอดภัย เพื่อทุกหัวใจแข็งแรง ในครั้งนี้ไม่ใช่แค่เป็นเรื่องของการทำลายสถิติ หรือการแข่งขัน แต่เป็นเรื่องของการมีสุขภาพที่ดี การเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่ตนเอง และเป็นการสร้างพลังให้กับชุมชนอีกด้วย โดยตั้งเป้าเชิญชวนผู้ชื่นชอบในการวิ่ง และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมงาน 5000 คน โดยรายได้ส่วนหนึ่งมอบให้ มูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่อใช้ในกิจกรรมของมูลนิธิต่อไป”

ด้าน นางสาวทัศน์วรรณ ศิริวงศ์ กรรมการบริหาร โรงพยาบาลรามคำแหง กล่าวเสริมว่า “การแข่งขันวิ่ง “Ram Hero Run 2024” วิ่งปลอดภัย เพื่อทุกหัวใจแข็งแรง แบ่งการแข่งขันออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ แฟมิลี่ รัน ระยะทาง 3 กิโลเมตร, ฟันรัน ระยะทาง 5 กิโลเมตร, มินิ มาราธอน ระยะทาง 10 กิโลเมตร และฮาล์ฟ มาราธอน ระยะทาง 21 กิโลเมตร ซึ่งเส้นทางการวิ่งได้รับการวัดระยะและรับรองจากสมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ยังใช้ระบบ Chip Time มาตรฐานระดับสากลในการตัดสิน เพื่อความเป็นธรรมแก่นักวิ่งทุกคน และสำหรับผู้เข้าร่วมงานจะได้รับเสื้อที่ระลึก, เหรียญรางวัล, BIB หมายเลขการแข่งขัน และบัตรสมาชิกโรงพยาบาลรามคำแหง ทั้งนี้ โรงพยาบาลรามคำแหง พร้อมดูแลความปลอดภัยให้แก่ผู้ร่วมงานตลอดเส้นทาง โดยมีหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และจุดบริการรถพยาบาลฉุกเฉิน (Ambulance) พร้อมทีมปฐมพยาบาล อีกทั้งยังมีทีมนักวิ่งฮีโร่ที่ผ่านการอบรม BASIC LIFE SUPPORT (CPR)​ และการใช้เครื่อง AED ซึ่งเป็นผู้ที่มีทักษะสามารถช่วยเหลือชีวิตเบื้องต้น วิ่งกระจายตัวอยู่ในทุกระยะ เพื่อให้นักวิ่งอุ่นใจตลอดการวิ่ง นอกจากนี้โรงพยาบาลยังมีบูธ RAM HEALTH & FIT FAIR จัดกิจกรรมให้ความรู้และตรวจสุขภาพเบื้องต้นไว้คอยให้บริการแก่นักวิ่ง พร้อมกิจกรรมเล่นเกมรับของที่ระลึกไว้ให้ร่วมสนุกกันอีกด้วย”


กิจกรรมวิ่งเพื่อการกุศล “Ram Hero Run 2024” วิ่งปลอดภัย เพื่อทุกหัวใจแข็งแรง จัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2567 ณ หน้าลานอินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก บุคคลทั่วไปสามารถร่วมสนุกในบูธกิจกรรมได้ตั้งแต่เวลา 08.15 – 11.00 น. สำหรับในวันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม 2567 เตรียมรับความสนุกสุดฟินในวันรับ BIB จากนักแสดงชื่อดังของเมืองไทยที่มาร่วมสร้างสีสัน และนำโชว์สุดพิเศษมาให้แฟน ๆ ได้ร่วมฟินตลอดทั้งงาน ณ เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ และสามารถร่วมบริจาคเพื่อสมทบทุนกิจกรรมผ่านบัญชี โครงการ “อุ่นรักไอราม” ธนาคารทหารไทยธนชาติ เลขบัญชี 666-2-07194-0
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสมัครร่วมงานได้ที่ www.runlah.com เปิดรับสมัครรอบ Early Bird ตั้งแต่ 10 – 30 กันยายน 2567 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง www.facebook.com/RamHeroRun

ข้อมูลจากรายงาน Hype Cycle for Digital Workplace Applications, 2024 ของการ์ทเนอร์ คาดว่าภายในไม่ถึง 2 ปี นับจากนี้ Everyday AI และ Digital Employee Experience (DEX) จะกลายเป็นเทคโนโลยีที่อยู่ในกระแสหลัก

แมตต์ เคน รองประธานฝ่ายวิจัยหลักการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “Everyday AI ช่วยกำจัดความยุ่งยากด้านดิจิทัลให้แก่พนักงานด้วยการช่วยงานเขียน การค้นคว้า การทำงานร่วมกันและคิดไอเดีย และยังเป็นส่วนสำคัญของเทคโนโลยี DEX ในความพยายามขจัดความยุ่งยากและเพิ่มความชำนาญด้านดิจิทัลให้กับพนักงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการพาองค์กรไปสู่ความก้าวหน้าจากนี้จนถึงปี 2573”

ปี 2567 ถือเป็นปีสำคัญของผู้นำแอปพลิเคชัน Digital Workplace เนื่องจากการให้ความสำคัญกับรูปแบบการทำงานไฮบริดและการทำงานจากระยะไกลนั้นลดลง ประกอบกับธุรกิจต่างมุ่งเน้นไปที่การใช้เทคโนโลยี Everyday AI เพิ่มขึ้น ทำให้ Everyday AI ถูกวางไว้ให้อยู่ในจุดสูงสุดของความคาดหวังที่จะเติบโตในวงจรเทคโนโลยีสำหรับ Digital Workplace Applications ในปี 2567 ของการ์ทเนอร์

Everyday AI สำคัญต่อการเพิ่มประสิทธิผลการทำงานของพนักงานอย่างยิ่ง อาดัม พรีเซต รองประธานฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “Everyday AI มีเป้าหมายเพื่อช่วยพนักงานทำงานได้อย่างรวดเร็ว ครอบคลุมและมั่นใจได้ โดยเทคโนโลยีนี้ยังสนับสนุนวิธีการทำงานแบบใหม่ ผ่านการใช้ซอฟต์แวร์อัจฉริยะทำหน้าที่เป็นผู้ร่วมงานมากกว่าเป็นแค่เครื่องมือ ซึ่งปัจจุบัน Digital Workplace กำลังเดินเข้าสู่ยุคการใช้ AI ในชีวิตประจำวัน”

เมื่อผู้ขายเทคโนโลยีต่างหาวิธีเพิ่มประสิทธิผลการทำงานของพนักงานให้มากขึ้น ด้วยการพัฒนาฟีเจอร์และแอปพลิเคชันเดิมให้มีความสามารถเพิ่มขึ้น ซึ่ง Everyday AI นั้นตอบโจทย์ โดยเทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่มอบประโยชน์ด้านประสิทธิภาพการทำงานเท่านั้น แต่ยังมอบโอกาสใหม่ ๆ ในการทำตลาด อาทิ เป็นเครื่องมือช่วยพนักงานค้นหาและสังเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ตอบคำถามได้อย่างครอบคลุมและสร้างสรรค์งานศิลป์ได้ง่ายขึ้น

“Everyday AI จะมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น เปลี่ยนจากบริการที่ช่วยจัดเรียงและสรุปข้อความแชทหรืออีเมลไปสู่บริการที่ช่วยเขียนรายงานโดยป้อนคำสั่งเพียงเล็กน้อย ดังนั้น Everyday AI จึงเป็นอนาคตของการเพิ่มประสิทธิผลการทำงานให้กับพนักงานในหลากหลายด้าน”

องค์กรควรให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ DEX มากขึ้น

วันนี้พนักงานเกือบทั้งหมดกลายเป็นพนักงานดิจิทัล เนื่องจากใช้เวลาทำงานกับเทคโนโลยีมากขึ้นกว่าที่เคย ดังนั้น องค์กรต้องมีกลยุทธ์ในการประเมินและพัฒนา DEX เพื่อดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีทักษะความสามารถและสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานให้เกิดขึ้น ขณะที่ยังคงเพิ่มความผูกพันของการทำงานและทำให้พวกเขายังอยู่กับองค์กรต่อไป

ผู้นำธุรกิจกำลังมองหาแนวทางในการนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิผลขององค์กรได้อย่างเหมาะสม DEX คือแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการช่วยเพิ่มความชำนาญด้านดิจิทัล ดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีทักษะความสามารถพร้อมช่วยให้พนักงานบรรลุผลลัพธ์ทางธุรกิจได้

DEX กำลังอยู่ในช่วงขาลงในวงจรเทคโนโลยีฯ ซึ่งหมายถึงกำลังได้รับความสนใจลดลง เนื่องจากการทดลองและการใช้งานล้มเหลว ดังนั้นเพื่อเพิ่มความน่าสนใจและสร้างความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับ DEX ผู้นำทางธุรกิจควรใช้แนวทางแบบองค์รวม ร่วมมือกับทั้งพันธมิตรไอทีและที่ไม่ใช่ไอทีเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่มีความหมายต่อการส่งเสริมให้พนักงานนำวิธีการทำงานใหม่ ๆ มาปรับใช้

“KCG” บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำผลิตภัณฑ์อาหารตะวันตกเพื่อโมเดิร์นไลฟ์สไตล์ คว้ารางวัล InvestorsChoice Award ครั้งที่ 5 ประจำปี 2567 ด้วยคะแนนประเมินคุณภาพการจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี (AGM) 100 คะแนนเต็ม ตั้งแต่ปีแรกที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จากสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (Thai Investors Association) ที่สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นบริษัทที่โปร่งใส และปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียอย่างเท่าเทียม รวมถึงการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน ซึ่งสอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาลที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล 

นายดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG กล่าวในโอกาสที่เป็นตัวแทนผู้บริหาร และพนักงาน 

บริษัทฯ รับรางวัล Investors’ Choice Award ครั้งที่ 5 ประจำปี 2567 ว่า 

“ปีนี้เป็นปีแห่งความภาคภูมิใจของ KCG ทั้งในเชิงผลประกอบการที่เติบโตสวนกระแส และการได้รับรางวัลอย่างต่อเนื่อง การได้รับรางวัล Investors’ Choice Award ด้วยคะแนน 100 เต็ม สำหรับการจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี ตั้งแต่ปีแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และเป็นเพียง 1 ใน 3 บริษัทเท่านั้นที่ผ่านการประเมินคุณภาพและสามารถได้รับรางวัลในปีนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ KCG ในการสร้างความโปร่งใสในการดำเนินงาน การปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียอย่างเท่าเทียม และเป็นผลมาจากการที่บริษัทดำเนินการตามยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ (7 Business Pillars) ที่ให้ความสำคัญทั้งเรื่องของคนและการเติบโตอย่างยั่งยืน ส่งผลให้ทั้งองค์กรเดินหน้าไปสู่เป้าหมายพร้อมกันทั้งในเชิงผลประกอบการและความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งบริษัทจะตั้งใจดำเนินการตามยุทธศาสตร์ทางธุรกิจเช่นนี้ต่อไป”  

นายดำรงชัย กล่าว รางวัล Investors’ Choice Award เป็นอีกหนึ่งรางวัลที่สะท้อนถึงความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของ KCG หลังจากได้รับเลือกให้เป็น 1 ในหลักทรัพย์ที่น่าลงทุนกลุ่ม ESG Emerging  

ปี 2567 จากสถาบันไทยพัฒน์ และการได้รับคัดเลือกให้เป็นหุ้นที่อยู่ในทำเนียบ ESG 100 ตั้งแต่ปีแรกที่หุ้น KCG เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงสะท้อนให้เห็นว่า KCG เป็นบริษัทจดทะเบียนที่น่าลงทุนและมีศักยภาพในการเติบโตอย่างยั่งยืน 

โก โฮลเซลล์ (GO Wholesale) ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมการส่งออกชิลี หรือ โปรชิลี จัดงาน “Chile’s Taste Journey” ชวนสัมผัสวัตถุดิบคุณภาพดี ส่งตรงจากชิลี พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษตลอดเดือนกันยายน เพื่อร่วมเฉลิมฉลองวันชาติประเทศชิลี โดยมี นายปาตริซิโอ พาวเวลล์ เอกอัครทูตชิลี ประจำประเทศไทย และคณะ ให้เกียรติร่วมงาน และเยี่ยมชมสินค้าภายในสาขา โก โฮลเซลล์ ศรีนครินทร์

 นายริคาร์โด้ โบอารอตโต้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจเซ็นทรัล ฟู้ด โฮลเซลล์ ประเทศไทย ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า โก โฮลเซลล์ นำเข้าวัตถุดิบคุณภาพขึ้นชื่อจากทั่วโลก เพื่อส่งตรงให้ลูกค้าผู้ประกอบการ นำไปต่อยอดในธุรกิจอาหาร โดยประเทศชิลี ถือว่ามีวัตถุดิบที่ได้รับความนิยมเป็นที่ยอมรับและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ในกลุ่มผู้บริโภคและผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร ทั้งในด้านราคาและคุณภาพสินค้า ไม่ว่าจะเป็น อาหารทะเล โดยเฉพาะ ปลาแซลมอน หอยแมลงภู่ชิลี ปูยักษ์ อาหารแช่แข็งรวมไปถึงไวน์ และเพื่อเป็นการร่วมเฉลิมฉลองวันชาติชิลี ทาง โก โฮลเซลล์ จึงได้จัดงาน “Chile’s Taste Journey” สัมผัสสินค้าคุณภาพดี ส่งตรงจากชิลีขึ้น ตั้งแต่วันที่ 5 – 30 กันยายนนี้ ณ โก โฮลเซลล์ ทุกสาขาทั่วประเทศ

“สินค้าจากประเทศชิลี ตอบโจทย์ลูกค้าผู้ประกอบการ ทั้งในเรื่องคุณภาพสินค้า ความปลอดภัย ที่มาพร้อมกับความคุ้มค่า และมีสินค้าป้อนความต้องการอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง โก โฮลเซลล์ เข้าใจความต้องการของลูกค้าผู้ประกอบการ จึงได้ร่วมกับซัพพลายเออร์ในการพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ ตรงกับการใช้งานในแต่ละประเภททำให้สินค้าจากชิลีของที่นี่มีความหลากหลาย สะดวกต่อการนำไปใช้งาน”

สำหรับสินค้าไฮไลท์ของงานนี้ จะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจาก ปลาแซลมอน ที่ประเทศชิลีได้ชื่อว่าเป็นประเทศผู้ส่งออกปลาแซลมอนเป็นอันดับสองของโลก ซึ่ง โก โฮลเซลล์ ได้นำปลาแซลมอนสด 2 สายพันธุ์ มาเปิดตัวเป็นครั้งแรก ทั้ง แอตแลนติกแซลมอน (Atlantic Salmon) เนื้อแน่น สีส้มนวล ก้างน้อย มีไขมันแทรกกำลังพอดี และ โคโฮแซลมอน (Coho Salmon) ที่ชิลีได้ชื่อว่าเป็นแหล่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก ซึ่งมีลักษณะหนังสีเงิน มีเนื้อสีแดงสด มีฤดูกาลจำหน่ายเฉพาะเดือนกันยายน - กุมภาพันธ์ ถือเป็นโอกาสพิเศษที่ลูกค้า โก โฮลเซลล์จะได้สัมผัส นอกจากนี้ยังมี หอยแมลงภู่ชิลีที่ขึ้นชื่อ ทั้งแบบมีฝา และแบบเนื้อล้วนๆ มีลักษณะเนื้ออวบ แน่น และหวาน ปูยักษ์ ไวน์ และอื่นๆ ซึ่งจะมีโปรโมชั่นพิเศษสุด ตลอดทั้งเดือนกันยายน เพื่อร่วมเฉลิมฉลองวันชาติของประเทศชิลีในเดือนนี้ด้วย

“โก โฮลเซลล์ หวังว่าสินค้าจากประเทศชิลีจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับลูกค้าผู้ประกอบการและผู้บริโภค ทั้งในส่วนของสินค้าที่นำมาจัดโปรโมชั่นในงานนี้ รวมถึงในอนาคตที่เรามีแผนนำสินค้ารายการใหม่ๆ เข้ามาเสริมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าผู้ประกอบการได้หลากหลายมากขึ้นด้วย” นายริคาร์โด้ กล่าวปิดท้าย

ทั้งนี้ สำนักงานส่งเสริมการส่งออกชิลี หรือ โปรชิลี เผยว่า การนำเข้าวัตถุดิบจากชิลีของประเทศไทยเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า โดยอยู่ที่ 375 ล้านดอลลาร์ในปี 2566 โดยเฉพาะ อาหารทะเล ผลไม้ (สด แช่แข็ง และแห้ง) และไวน์ มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคในประเทศไทย ซึ่งชิลีได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งผลิตอาหารชั้นเยี่ยมที่มีความปลอดภัย ดีต่อสุขภาพ คำนึงถึงความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชน โดยเป็นผู้ส่งออกสินค้าสำคัญของโลกอย่าง ปลาแซลมอน ปลาทูน่า หอยแมลงภู่ และปลาเฮก รวมถึง ไวน์ ที่ได้ชื่อว่าชิลีส่งออกเป็นเป็นอันดับสี่ของโลก

ร่วมพิสูจน์ความสดกันได้ที่ โก โฮลเซลล์ ทั้ง 8 สาขา ศรีนครินทร์ เชียงใหม่ อมตะชลบุรี พัทยาใต้ พระราม 2 รังสิต รามคำแหง ราไวย์ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 กันยายนนี้

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (“WHA Group”) มั่นใจ ผลการดำเนินงานครึ่งหลังของปี 2567 เติบโตต่อเนื่อง รายได้รวม และส่วนแบ่งกำไรของกลุ่มบริษัทฯ ทะลุ 15,000 ล้านบาท อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจัดหน่าย (EBITDA) สูงกว่า 50% เดินหน้าสู่ความเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนในทุกมิติ พร้อมเป้าหมายการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ เสริมสร้างศักยภาพ และขอบข่ายบริการโมบิลิกส์ (Mobilix) ธุรกิจโซลูชันกรีนโลจิสติกส์ นับเป็นการปฏิวัติการขนส่งสู่ความยั่งยืนด้วยระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร โครงการพลังงานหมุนเวียน การนำเทคโนโลยีดิจิทัล และ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานในทุกมิติ และมุ่งพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ตลอดจนการขยายความร่วมมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์สอดคล้องกับพันธกิจ WHA: WE SHAPE THE FUTURE ในการสร้าง สังคม สิ่งแวดล้อม ตลอดจนการพัฒนาประเทศ

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทิศทางธุรกิจภาครวมในช่วงไตรมาส 4 และภาพรวมครึ่งหลังปี 2567 ของเรามีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง ด้วยการมุ่งเดินหน้าตามกลยุทธ์และพัฒนาแนวทางธุรกิจให้สอดคล้องกับเมกะเทรนด์โลก โดยเฉพาะการย้ายฐานการผลิตและลงทุนสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ รวมถึงการดำเนินงานด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ปีนี้ WHA Group ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จของการปฏิวัติองค์กรด้วยการก้าวสู่การเป็น Tech & Sustainable Company เต็มรูปแบบ จากจุดเริ่มต้นในปีพ.ศ. 2564 ที่ได้ริเริ่มโครงการ Digital Transformation สร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งนวัตกรรม เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เสริมศักยภาพธุรกิจให้ก้าวขึ้นเหนือคู่แข่ง จากนั้นได้พัฒนาสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล พร้อมวางเป้าหมายก้าวสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (Tech-Driven Organization) ในทุกมิติภายในปี 2568”

สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของ 2567 ของ 4 กลุ่มธุรกิจหลัก มีรายละเอียดดังนี้

ธุรกิจโลจิสติกส์ กลยุทธ์การดำเนินงานยังคงมุ่งขยายธุรกิจทั้งในประเทศ โดยขยายจากกรุงเทพฯ สมุทรปราการปริมณฑล และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ส่วนในต่างประเทศมุ่งเน้นการขยายในประเทศเวียดนาม ให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจกับอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพการเติบโตในอนาคต

สำหรับเป้าหมายในปี 2567 ตั้งเป้าหมายพื้นที่ให้เช่าใหม่ และสัญญาเช่าใหม่รวม 200,000 ตารางเมตร โดยมุ่งเน้นคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit คาดว่าครึ่งปีหลัง จะส่งมอบพื้นที่ให้เช่าใหม่มากกว่า 140,000 ตร.ม. โดยมีสัญญาเช่าคลังสินค้าแบบ Built to Suit และแบบสำเร็จรูปกว่า 105,000 ตร.ม. จากลูกค้าในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและกลุ่มสุขภาพ และ 35,000 ตารางเมตรจากโครงการแรกในจังหวัดฮึงเอียน (Hung Yen) ประเทศเวียดนาม ผ่านความร่วมมือกับไดวะเฮาส์ (Daiwa House) และมีแผนการขายสิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ WHAIR รวมทั้งสิ้นประมาณ 40,172 ตร.ม. คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,065 ล้านบาท นอกจากนี้ การเปิดตัว โมบิลิกส์ (Mobilix) โซลูชันกรีนโลจิสติกส์ครบวงจรครั้งแรกของไทย ประกอบด้วย 3 บริการหลัก คือให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และโมบิลิกส์ซอฟต์แวร์โซลูชัน (Mobilix Software Solution) โดยมีแผนดำเนินธุรกิจตาม 4 กลยุทธ์หลักคือพัฒนาพันธมิตรทางธุรกิจ (Develop Partnership) ขยายช่องทางการขาย (Expand Sale Channels) การเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ (Launch New Products) และนำเสนอข้อเสนอทางการค้าใหม่ๆ (Provide New Commercial Offerings) โดยมีเป้าหมายเพิ่มจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าและหางลากให้เช่าเป็น 1,000 คัน ภายในสิ้นปี 2567 อีกด้วย

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม

แนวโน้มความต้องการที่ดินจากภาคอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งส่งผลให้บริษัทฯ ปรับเพิ่มประมาณการขายที่ดินจากเป้าหมายเดิมที่ 2,275 ไร่ เป็น 2,500 ไร่ โดยมูลค่าสัญญาขายที่ดินคาดว่าจะเติบโต 18 % เมื่อเทียบกับปีก่อน และครึ่งหลังปี 2567 มีเป้าหมายที่จะขายที่ดินมากกว่า 1,400 ไร่

โดยยอดขายที่ดินจากประเทศไทยจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก เนื่องจากในเวียดนามกำลังอยู่ในช่วงพัฒนาที่ดินเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปี 2568 หลังจากที่มียอดขายที่ดินสูงเกินคาดในปี 2566 นอกจากยอดขายที่แข็งแกร่งแล้วบริษัทฯ ยังเดินหน้าพัฒนาที่ดินอุตสาหกรรม โดยวางแผนเพิ่มที่ดินอุตสาหกรรมเกือบ 10,000 ไร่ ในประเทศไทย เข้าสู่พอร์ตโฟลิโอในอีก 4 ปีข้างหน้า ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมใหม่ 6 โครงการ โดยเป็นโครงการพัฒนาใหม่ 4 แห่ง และขยายพื้นที่โครงการเดิมอีก 2 แห่ง

สำหรับโครงการในเวียดนามยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง โดยเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 2 – เหงะอาน (WHA Industrial Zone 2 – Nghe An) คาดว่าจะได้รับการอนุมัติใบอนุญาตสำหรับเฟส 1 ของโครงการ บนพื้นที่ 1,200 ไร่ ภายในสิ้นปีนี้ และ WHA Smart Technology Industrial Zone 1 ในจังหวัดทาญฮว้าจะเริ่มก่อสร้างภายในสิ้นปี 2567 ในขณะที่ WHA Smart Technology Industrial Zone 2ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดเดียวกัน มีเป้าหมายที่จะได้รับใบรับรองการลงทุน (IRC: Investment Registration Certificate) ภายในสิ้นปีนี้เช่นเดียวกัน

ธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) มุ่งแสวงหาโอกาสการลงทุนในพื้นที่ใหม่ ๆ นอกเหนือจากในนิคมอุตสาหกรรมของ WHA มุ่งเน้นขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-added Water) อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ และขยายการลงทุนโรงผลิตน้ำและโรงบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ ในเวียดนาม ตลอดจนพัฒนาโซลูชันใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้น

สำหรับการเติบโตในปีนี้ ตั้งเป้ายอดขายน้ำรวมที่ 178 ล้านลูกบาศก์เมตร จากความต้องการน้ำที่มากขึ้นของลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม และปริมาณน้ำมูลค่าเพิ่มที่เพิ่มขึ้นจากโครงการใหม่ๆ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของน้ำในประเทศเวียดนามที่มีการเติบโตอย่างมากในปีนี้ เนื่องจากโรงงานของลูกค้าในเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1 – เหงะอาน (WHA Industrial Zone 1 Nghe AN) เริ่มดำเนินการ และนอกจากนั้นในปี 2567 ได้ลงนามในสัญญาน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) กับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC จำนวน 3.5 ล้าน ลบ.ม. ต่อปี และสัญญาขายน้ำประปาให้แก่การประปาส่วนภูมิภาคอีก 2.6 ล้าน ลบ.ม. ต่อปี โดยทั้ง 2 สัญญาจะเริ่มมีการรับรู้รายได้ภายใน ครึ่งปีหลังของปี 2567 ทันที

ธุรกิจไฟฟ้า ยังคงเดินหน้าพัฒนาโซลูชันด้านพลังงาน พร้อมตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมที่ลงนามแล้วเป็น 1,000 เมกะวัตต์ ซึ่งจะมาจากพลังงานสะอาด 472 เมกะวัตต์ โดยเป็นพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof Top) 283 เมกะวัตต์ และบริษัทฯได้มุ่งต่อยอดธุรกิจพลังงานสะอาดผ่านการพัฒนานวัตกรรมและ โซลูชันด้านพลังงานใหม่ๆ อาทิ การเปิดให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งสอดรับกับแผนการลงทุนใน โมบิลิกส์ (Mobilix) โดยมีเป้าหมายที่จะมีชาร์จเจอร์ 120 ตัว ในปีนี้ รวมถึงสถานีชาร์จที่ใหญ่ที่สุดในประเทศขนาดกำลังติดตั้ง 5,400 กิโลวัตต์ รวมทั้งแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจ New S-Curve เช่น ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS: Battery Energy Storge System) และเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการ กักเก็บคาร์บอน (CCUS: Carbon Capture Utilization and Storage) เป็นต้น

ธุรกิจดิจิทัล ยกระดับองค์กรในทุกมิติเพื่อบรรลุเป้าหมายในการก้าวสู่การเป็น Technology Company ในปี 2567 และเตรียมพร้อมสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (Tech-Driven Organization) ในปี 2568 มุ่งส่งเสริมศักยภาพของธุรกิจใน WHA Group และสร้างรายได้จากการให้บริการแพล็ตฟอร์มดิจิทัลใหม่ ๆ ควบคู่กับการพัฒนาความเชี่ยวชาญของทีมเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง โดยตัวอย่างโครงการสำคัญที่ผ่านมา ได้แก่ โมบิลิกส์ซอฟต์แวร์โซลูชัน (Mobilix Software Solution) ที่เป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลอัจฉริยะสำหรับจัดการยานพาหนะไฟฟ้าและแบตเตอรี่ WHAbit แพลตฟอร์มเพื่อให้บริการด้านสุขภาพแบบครบวงจร WHASApp: Super App ที่รวบรวมบริการครบวงจรให้แก่ลูกค้าของ WHA รวบรวมข้อมูลการใช้งานสาธารณูปโภคและพลังงานแบบเรียลไทม์ไว้ในที่เดียว เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังยกระดับประสิทธิภาพองค์กรด้วย AI อย่างต่อเนื่อง โดยพัฒนาโครงการทรานส์ฟอร์เมชั่นด้วยเทคโนโลยี AI จำนวน 12 โครงการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ลดต้นทุน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ เช่น Solar Anomaly Detection ตรวจจับปัญหาที่เกิดขึ้นกับแผงโซลาร์เพื่อการดูแลรักษาที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ Solar Forecasting ประเมินและคาดการณ์ปริมาณแสงแดดล่วงหน้า เพื่อการวางแผนเพิ่มปริมาณการผลิตพลังงานและลดต้นทุนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ และ RO Performance Forecasting ใช้ Data Analytics ในการตรวจสอบคุณภาพน้ำภายในนิคมอุตสาหกรรมเพื่อส่งเสริมการใช้ทรัพยากรน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดการสูญเสีย และสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

“ปี 2567 เราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้ในทุกมิติของการดำเนินงานเป็นเส้นทางสู่ความสำเร็จ ด้วยรากฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง วิสัยทัศน์ WE SHAPE THE FUTURE ที่ชัดเจน พร้อมการเป็น Tech and Sustainable Company เพื่อก้าวสู่การเป็น Tech-Driven Organization ในปีหน้า เรายังคงเดินหน้าสู่อนาคตพร้อมกับเป้าหมายใหม่ ๆ ในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยและภูมิภาคอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน” คุณจรีพรกล่าว

11 กันยายน 2567 – จากสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันในจังหวัดเชียงราย ทรู คอร์ปอเรชั่น ยกระดับการดำเนินการตามแผนรับมือภัยพิบัติฉุกเฉิน พร้อมทั้งออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าในพื้นที่ประสบภัย เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในการติดต่อสื่อสารแม้ในยามวิกฤต

นายประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในภาวะวิกฤตจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและพื้นที่อื่นๆ การสื่อสารมีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสาร การแจ้งเหตุฉุกเฉิน หรือขอความช่วยเหลือ ทรู คอร์ปอเรชั่นจึงมุ่งมั่นดูแลระบบสื่อสารให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนสามารถติดต่อสื่อสารได้แม้ในยามวิกฤต"

ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้จัดตั้งทีมปฏิบัติการพิเศษประจำ BNIC ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะพร้อมด้วย AI ในภารกิจฉุกเฉินหรือ War Room เพื่อดูแลเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง ทีมงานได้ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งทีมทรูได้เตรียมความพร้อมด้านเครื่องมือ อุปกรณ์สำรอง และทีมเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลเสาสัญญาณตลอดเวลา

ทั้งนี้ เนื่องจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จ.เชียงราย ได้แจ้งตัดกระแสไฟฟ้าบางพื้นที่น้ำท่วมเพื่อความปลอดภัยของประชาชน ทำให้เสาสัญญาณบางแห่งต้องปรับโหมดทำงานด้วยพลังงานแบตเตอรี่สำรองชั่วคราว ทีมเน็ตเวิร์กของทรูได้เฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมรถขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือ เรือท้องแบน สำหรับนำเครื่องปั่นไฟฉุกเฉินเข้าพื้นที่เสาสัญญาณทันทีที่สถานการณ์อำนวยจากมวลน้ำป่าไหลแรงในพื้นที่

การเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ทรู คอร์ปอเรชั่น

· จัดเตรียมรถโมบายล์ชุมสายเคลื่อนที่เร็ว (COW)

· เตรียมยานพาหนะทั้งรถและเรือท้องแบนสำหรับเข้าพื้นที่น้ำท่วม

· จัดเตรียมแบตเตอรี่ เครื่องปั่นไฟฉุกเฉิน พร้อมทั้งอุปกรณ์สำรองเพื่อซ่อมแซมกรณีฉุกเฉิน

· ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน

มาตรการช่วยเหลือลูกค้าจากทรู คอร์ปอเรชั่น

ทรู คอร์ปอเรชั่น ร่วมกับสำนักงาน กสทช. ได้ออกมาตรการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ลูกค้าในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม จังหวัดเชียงราย (รอรับ SMS ยืนยัน) ดังนี้

· ขยายวันใช้งานให้ลูกค้าเติมเงินเพิ่มอีก 7 วัน และระงับการตัดสัญญาณ

· ขยายเวลาชำระค่าบริการแก่ลูกค้ารายเดือน ทรูมูฟ เอช ดีแทค ทรูออนไลน์ และทรูวิชั่นส์ เพิ่มอีก 7 วัน

ทรู คอร์ปอเรชั่น ยืนยันความมุ่งมั่นในการดูแลระบบสื่อสารให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนสามารถติดต่อสื่อสารได้แม้ในยามวิกฤต และพร้อมที่จะให้การสนับสนุนลูกค้าและชุมชนในพื้นที่ประสบภัยอย่างเต็มที่

บรรยายภาพ: สถานีฐานทรู คอร์ปอเรชั่น บางแห่งที่แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งอยู่ในที่สูงปลอดภัยจากอุทกภัย ได้เปิดรองรับผู้ประสบภัยน้ำท่วมเข้ามาพักพิงเมื่อกลางดึก 02:00 น. วันที่ 11 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา

แกร็บ ประเทศไทย ประกาศปรับพอร์ตฯ สินเชื่อเงินสดเพื่อพาร์ทเนอร์ร้านค้า นำเสนอ 3 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการร้านค้าและร้านอาหารให้ครอบคลุมทุกขนาดธุรกิจ พร้อมขยายวงเงินสินเชื่อสูงสุดถึง 10 ล้านบาท พร้อมอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 1% ต่อเดือนสำหรับร้านขนาดใหญ่ หวังช่วยเพิ่มทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่องและให้ผู้ประกอบการสามารถต่อยอดธุรกิจท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ท้าทาย โดยยังชูจุดเด่น ขั้นตอนที่สะดวกไม่ต้องยื่นเอกสาร อนุมัติไวภายใน 1 วัน และผ่อนจ่ายสบายแบบรายวัน

นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพาณิชย์และการตลาด แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ด้วยสภาพเศรฐกิจในปัจจุบันที่ชะลอตัว จากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ประกอบกับอัตราหนี้ครัวเรือนไทยอยู่ในระดับที่สูงส่งผลต่อการเบิกใช้สินเชื่อใหม่ อีกทั้งในช่วงไตรมาสที่สองยังคงมีแรงกดดันจากการทยอยชำระคืนสินเชื่อโดยเฉพาะสินเชื่อภาครัฐและภาคธุรกิจ ทำให้ภาพรวมตลาดสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ขยายตัวชะลอลงราว 0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว1 โดยเป็นที่คาดการณ์ว่าตลาดสินเชื่อในปี 2567 จะมีอัตราการเติบโตเพียง 1.5% ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าที่ 3%2 แม้ภาพรวมตลาดสินเชื่อของประเทศจะอยู่ในช่วงชะลอตัว แต่ธุรกิจสินเชื่อของแกร็บยังคงมีผลประกอบการที่ดีและเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการให้สินเชื่อกับกลุ่มพาร์ทเนอร์ร้านค้า ซึ่งในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมามีจำนวนผู้ได้รับสินเชื่อเงินสดจากแกร็บเพิ่มขึ้นมากกว่า 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และมีอัตราหนี้เสีย (NPL) อยู่ที่ 2.35% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอัตราหนี้เสียของประเทศ3 สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของกลุ่มผู้ขอสินเชื่อเงินสดจากแกร็บ”

แกร็บได้นำเทคโนโลยี AI และ Big Data เข้ามาใช้เป็นส่วนหนึ่งในขั้นตอนการประเมินความเสี่ยง โดยพิจารณาจากพฤติกรรมและข้อมูลการทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชันของพาร์ทเนอร์ร้านค้า (Behavioural Scorecard) เพื่อการอนุมัติสินเชื่อและลดความเสี่ยงในการผิดนัดชำระ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่ขอสินเชื่อจากแกร็บมีความต้องการสินเชื่อเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจ เช่น การซื้อวัตถุดิบและบริหารสต็อกสินค้า การบริหารลูกจ้างและพนักงาน การจัดการกระแสเงินสด การปรับปรุงหน้าร้าน รวมไปถึงการอัพเกรดเทคโนโลยีและการขยายธุรกิจ เป็นต้น

“เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและสนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหาร ทั้งรายย่อยและ SME อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด แกร็บได้ปรับพอร์ตฯ ผลิตภัณฑ์สินเชื่อสำหรับพาร์ทเนอร์ร้านค้าเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายตามขนาดและรูปแบบธุรกิจ พร้อมขยายวงเงินสูงสุดถึง 10 ล้านบาท โดยยังคงจุดเด่นในเรื่องของขั้นตอนการขอรับสินเชื่อที่ไม่ยุ่งยาก (ไม่ต้องยื่นเอกสาร) อนุมัติไวภายใน 1 วัน และสามารถผ่อนชำระคืนแบบรายวัน” นางสาวจันต์สุดา กล่าวเสริม

สำหรับผลิตภัณฑ์สินเชื่อเงินสดเพื่อพาร์ทเนอร์ร้านค้าของแกร็บถูกออกแบบมาเพื่อเป็นตัวช่วยในการประกอบอาชีพและส่งเสริมการดำเนินธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย รวมถึงเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง โดยมีการกำหนดวงเงินสินเชื่อเพื่อให้สอดคล้องไปกับขนาดและรูปแบบของธุรกิจที่ต่างกันไป ซึ่งประกอบไปด้วย

· สินเชื่อเงินสดทันใจ: เจาะกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย (ดำเนินธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดา) ซึ่งเป็นเจ้าของร้านค้า ร้านอาหารขนาดเล็กหรือสตรีทฟู้ด โดยให้วงเงินสูงสุด 1 แสนบาท อัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 2.75% ต่อเดือน4 และมีระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 9 เดือน

· สินเชื่อเงินสดทันใจ พลัส: เจาะกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย (ดำเนินธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดา) ซึ่งเป็นเจ้าของร้านค้า ร้านอาหารที่มีขนาดใหญ่ขึ้นหรือมีหลายสาขา โดยให้วงเงินสูงสุด 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 2.08% ต่อเดือน5 และมีระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 12 เดือน

· สินเชื่อเงินสดทันใจ เอ็กซ์ตร้า: เจาะกลุ่มเจ้าของธุรกิจ SME หรือแฟรนไชส์ ดำเนินธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคล โดยให้วงเงินสูงสุด 10 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 1% ต่อเดือน และมีระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 12 เดือน

“นอกจากบริการสินเชื่อแล้ว ล่าสุด แกร็บยังได้ร่วมกับ บริษัท ชับบ์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน) พัฒนาบริการประกันภัยสำหรับพาร์ทเนอร์ร้านค้าแกร็บในชื่อ ‘ประกันค้าขายหายห่วง’ เพื่อให้ความคุ้มครองผู้ประกอบการธุรกิจจากเหตุไม่คาดฝันอย่างอุบัติภัยหรือภัยธรรมชาติ เช่น ไฟไหม้หรือน้ำท่วม ด้วยวงเงินคุ้มครองสูงสุดถึง 5 ล้านบาท โดยมีค่าเบี้ยประกันเริ่มต้นเพียงวันละ 14 บาทเท่านั้น ทั้งนี้ แกร็บจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ สินเชื่อ รวมถึงประกัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและส่งเสริมการเข้าถึงโอกาสทางการเงินให้กับทุกคนในอีโคซิสเต็ม ทั้งผู้ใช้บริการ พาร์ทเนอร์ร้านค้าและคนขับ เพื่ออำนวยความสะดวกและเสริมศักยภาพในการสร้างรายได้และเติบโตทางธุรกิจได้อย่างมั่นคง” นางสาวจันต์สุดา กล่าวทิ้งท้าย

X

Right Click

No right click