

กระทรวงดีอี และ ดีป้า จัดกิจกรรม ‘Ignite Digital Thailand’ ภายใต้โครงการ DIGINEXT by SEED THAILAND พร้อมรับข้อเสนอแนะจากผู้ประกอบการดิจิทัลและผู้บริหารแต่ละภาคส่วนที่ร่วมหารือ ทั้งแนวทางการขับเคลื่อนระบบนิเวศดิจิทัลสตาร์ทอัพ อีคอมเมิร์ซ การพัฒนากำลังคน และการนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ ก่อนนำข้อมูลมาตกผลึกและทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับภาคส่วนต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพ และเป็นกำลังสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศ
![]()
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี) เป็นประธานในกิจกรรม ‘Ignite Digital Thailand’ ภายใต้โครงการ DIGINEXT by SEED THAILAND ที่ดำเนินการโดย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า โดยมี ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ นายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการใหญ่ และ ดร.ชินาวุธ ชินาวุธ ผู้ช่วยอำนวยการใหญ่ พร้อมด้วย นายธนวิชญ์ ต้นกันยา นายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย นายธนพงษ์ ณ ระนอง นายกสมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน นางสาวกุลธิรัตน์ ภควัชร์ไกรเลิศ นายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย นางสาวกุลนันท์ พันธุ์นุกูล MD & COO บริษัท เอ็ดไวซอรี่ จำกัด (EdVISORY) และ ดร.ณรงค์ บริจินดากุล ผู้แทนสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย รวมถึงกลุ่มดิจิทัลสตาร์ทอัพ และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ร่วมพบปะหารือในประเด็นต่าง ๆ ณ Gaysorn Urban Resort เกษรทาวเวอร์
ในเรื่องของการยกระดับระบบนิเวศดิจิทัลสตาร์ทอัพ นายธนวิชญ์ เสนอให้ภาครัฐส่งเสริมการจัดตั้ง Hub for International Accelerators ในประเทศไทย เพื่อเป็นชุมชน (Startup Community) ที่จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับดิจิทัลสสตาร์ทอัพ และผลักดันดิจิทัลสตาร์ทอัพไทยที่มีความพร้อมให้สามารถขยายตลาดสู่ต่างประเทศ นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้มีการพิจารณาปรับเงื่อนไขการขอรับทุนสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐเพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งทุนแก่ดิจิทัลสตาร์ทอัพ รวมถึงพัฒนากลไกช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนของ Angel Investor ขณะที่ นายธนพงษ์ เสนอให้ภาครัฐเร่งพัฒนาระบบนิเวศดิจิทัลสตาร์ทอัพทั้งระบบ พร้อมแนะว่า การให้เงินทุนสนับสนุนแก่ดิจิทัลสตาร์ทอัพจากหน่วยงานภาครัฐควรเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และมีความเหมาะสมกับช่วงระยะการเติบโตของสตาร์ทอัพรายนั้น ๆ
ด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซไทย นางสาวกุลธิรัตน์ กล่าวว่า ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการยกระดับระบบนิเวศเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซไทยเติบโต และสามารถขยายตลาดสู่ต่างประเทศได้ ขณะเดียวกันต้องให้การส่งเสริมการพัฒนาทักษะดิจิทัลแห่งอนาคตที่เกี่ยวข้องแก่กลุ่ม Mid-career ขณะที่ นางสาวกุลนันท์ เสนอว่า กระทรวงดีอี ต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังคนดิจิทัลเพื่อเตรียมความพร้อมแรงงานให้มีความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ควรปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และเสนอให้มีการจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาเพื่อการเติบโตในมิติต่าง ๆ ในรูปแบบ One Stop Service รองรับดิจิทัลสตาร์ทอัพ ขณะที่ ดร.ณรงค์
เสนอว่า ภาครัฐและภาคเอกชนควรบูรณาการการทำงานเพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) พร้อมกันนี้ยังเสนอให้เกิด Open Source แบ่งปันความรู้และข้อมูลระหว่างนักพัฒนาภายในประเทศ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืนต่อไป
นายประเสริฐ กล่าวว่า จากการหารือในครั้งนี้ กระทรวงดีอี ได้รับทราบมุมมอง ปัญหา และอุปสรรคต่าง ๆ พร้อมแลกเปลี่ยนแนวคิด ข้อเสนอแนะ และความคิดเห็นจากผู้บริหารทุกท่านที่เป็นตัวแทนของแต่ละภาคส่วน ซึ่ง กระทรวงดีอี และ ดีป้า จะนำข้อมูลที่ได้รับจากการหารือมาตกผลึกและทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับภาคส่วนต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพ และเป็นกำลังสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศต่อไป
สำหรับ DIGINEXT by SEED THAILAND เป็นส่วนหนึ่งของการขยายผลการดำเนินโครงการพัฒนาเมล็ดพันธุ์นักรบดิจิทัลรุ่นใหม่ (SEED THAILAND) โดยนำคนรุ่นใหม่ที่ได้รับการยกระดับทักษะดิจิทัลแล้วมาพูดคุยกับบุคคลสำคัญที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ และผู้ประกอบการดิจิทัลตัวจริงอย่างใกล้ชิด โดยมีการดำเนินกิจกรรมใน 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ ระหว่างเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม รวมผู้เชี่ยวชาญชั้นนำของประเทศและผู้ประกอบการดิจิทัลไทยร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดกว่า 400 ราย นักเรียนนักศึกษา กลุ่มคนรุ่นใหม่ร่วมกิจกรรมกว่า 150 คน ซึ่งผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Page: depa Thailand
ช้อปปี้ อีคอมเมิร์ซเบอร์ 1 ในไทย ตอกย้ำความเป็นบริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยอันดับต้นๆ เดินหน้าดัน Shopee Graduate Development Program (GDP) โปรแกรมที่เฟ้นหาผู้มีความสามารถและศักยภาพในการทำงานมาร่วมทีมช้อปปี้ เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำและเติบโตไปกับองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช้อปปี้เชื่อว่าประสบการณ์การทำงานจะเป็นมากกว่าการเรียนรู้ในห้องเรียน เพราะนอกจากจะได้เรียนรู้ ยังได้ลงมือทำและมีผู้เชียวชาญมาช่วยผลักดันให้เติบโตในสายงานอย่างดีที่สุด
ด้วยความโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ของโปรแกรม GDP ทั้ง ‘โอกาสในการเรียนรู้’ จากงานในแผนกต่างๆ พร้อมประกบคู่กับเมนเทอร์ในระดับผู้บริหารระดับสูงและ Head of Department ที่จะกลายเป็นเหมือน Co-parenting คอยดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อผลักดันศักยภาพ ปลดล็อกโอกาสให้สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด พร้อมทั้งยังได้รับ ‘สวัสดิการที่ดีกว่า’ ทั้งในแง่ของการย้ายทีมในการทำงานทุก 6 เดือน ในระยะเวลา 2 ปีในโปรแกรม การได้เดินทางไปหาประสบการณ์ที่ช้อปปี้ในต่างประเทศ เพื่อเรียนรู้และปรับตัวในสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมใหม่ๆ ซึ่งด้วยเอกลักษณ์เหล่านี้ทำให้ GDP เป็นโปรแกรมที่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง

นางสาวสุชญา ปาลีวงศ์, ผู้อำนวยการฝ่ายบุคคล ช้อปปี้ พูดถึงมุมมองและแนวคิดของโปรแกรม GDP “ที่ช้อปปี้ เรามุ่งเน้นในการสร้างทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง เพราะเราเชื่อว่าการที่บริษัทจะเติบโตไปในทิศทางที่ดี ที่แข็งแกร่งได้นั้น ทรัพยากรบุคคล คือรากฐานสำคัญมากที่สุด ช้อปปี้ถือเป็นพื้นที่ปลุกปั้นให้เด็กรุ่นใหม่เติบโตอย่างสง่างาม ราวกับเมล็ดพันธุ์ที่ดี ที่มีดินที่ดีคอยหล่อเลี้ยงให้เติบโตเป็นไม้ใหญ่ที่แข็งแกร่ง อยู่ถูกที่ ถูกเวลา ทั้งในแง่ของ Mindset ที่ตรงกับองค์กร ทั้งกล้าคิด กล้าทำ มีไหวพริบและทัศนคติที่ดี ผ่านแนวคิดหลัก อย่าง ‘ก้าวแรก-ก้าวไว-ก้าวไกล:ไปกับ Shopee GDP’
“เราพร้อมที่จะเปิดโอกาสให้กับเด็กรุ่นใหม่ที่พร้อมเรียนรู้และเปิดรับสิ่งใหม่แบบไร้ขีดจำกัด ได้ลองออกจาก Comfort zone เข้ามาร่วมในโปรแกรม GDP คุณอาจจะได้เห็นศักยภาพในตัวที่อาจไม่เคยเห็นมาก่อน และสามารถก้าวเป็นผู้นำในองค์กรของช้อปปี้ อีกทั้งยังสามารถเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ฉะนั้นเราจึงให้ความสำคัญในการคัดสรรบุคลากร รวมถึงส่งเสริมและสนับสนุนในการพัฒนาขีดความสามารถเพื่อก้าวสู่การเป็นบุคลากรสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรม
อีคอมเมิร์ซอย่างดีที่สุด” สุชญา กล่าวเพิ่มเติม
เผย 3 สกิล ‘ความเป็นผู้นำ - การปรับตัวในทุกสถานการณ์ - เรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดเวลา’ ที่คนทำงานรุ่นใหม่ไม่ควรมองข้าม
![]()
พิม ศิเรมอร ทองปาน, สมาชิกรุ่นแรกในโปรแกรม GDP จากเด็กจบใหม่สู่ผู้นำทีม แชร์มุมมองว่า “พิมถือเป็นสมาชิกรุ่นแรกในโปรแกรม GDP พอขึ้นชื่อว่าเป็น สมาชิกของโปรแกรม GDP ก็รู้เลยว่าต้องมีความท้าทายกว่าคนอื่นทั้งในแง่สกิลการทำงานและความเป็นผู้นำซึ่งเป็นสิ่งที่เรามองหาแถมยังได้ไปหาประสบการณ์ที่ต่างประเทศด้วย
ตลอด 6 ปีที่ช้อปปี้ของพิม มันส์ ครบ รส มากๆ ค่ะ พิมประทับใจใน Culture และ DNA ขององค์กรที่ทำให้ทุกคนต้องปรับตัวอยู่ตลอด อีกทั้งโอกาสในการเติบโต เพราะได้ร่วมทำโปรเจคสำคัญๆ ของบริษัท ได้แชร์มุมมองและไอเดียกับผู้บริหารตั้งแต่วันแรกที่เข้าร่วมโปรแกรม ซึ่งรู้สึกเซอร์ไพรส์มาก ไม่ค่อยเห็นบริษัทอื่นๆ ให้โอกาสกับเด็กจบใหม่แบบนี้ แต่คงเป็นเพราะช้อปปี้เน้นย้ำเรื่องการพัฒนาบุคลากรเป็นสำคัญ ซึ่งปัจจุบันพิมบริหารทีมในส่วนของ Online Marketing เป็นอีกความท้าทายที่แตกต่างไปจากเดิม เพราะเราต้องมองความสำคัญของการเป็นผู้นำให้มากขึ้น การกำหนดทิศทางการทำงานของทีมเพื่อให้รู้เสมอว่า เขาทำไปเพราะอะไร เพื่ออะไร สิ่งนี้จะทำให้เขามี ownership กับงานที่ได้รับมอบหมาย และสุดท้ายคือ ความอิสระทางความคิด เราสามารถคิดนอกกรอบได้บนพื้นฐานของความสมเหตุสมผล
สุดท้ายอยากชวนน้องๆ ที่มีจุดหมายแบบเดียวกับพิมลองก้าวเข้ามาสมัครโปรแกรมนี้ ความเสี่ยงที่สูงที่สุดคือการที่เราไม่ได้ลองทำตั้งแต่ต้นค่ะ”
![]()
แซม-ปุญญวิชญ์ ปุญญาภิบาล, ผู้มองการวิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเสมือนดวงตาและหูขององค์กรแชร์ประสบการณ์สุดหิน “ผมได้โอกาสเข้าร่วม GDP มาในหลากหลายแผนก ซึ่งหลังจบโปรแกรม ผมก็ยังคงทำงานกับช้อปปี้ รวมกว่า 3 ปีแล้วครับ ปัจจุบันผมดูแลในส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลและวางแผนของ SPX Express
ผมมองว่าการวิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเสมือนดวงตาและหูขององค์กร ช่วยให้ผู้บริหารสามารถเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ละสเต็ปและพร้อมที่จะนำมาปรับใช้กับการพัฒนาองค์กรให้เดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
งานหลักของผมเกี่ยวกับ Digitalization และ Automation และความยากที่สุดคือ Digitalization หรือการแปลงข้อมูลที่ไหลเวียนในองค์กรให้เป็นข้อมูลดิจิทัลเพื่อใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจ สำหรับผมมองว่างานวิเคราะห์ข้อมูลมีความท้าทายไม่น้อย เพราะเปรียบเหมือน Data Center ของบริษัท ทุกแผนกที่ต้องการข้อมูลจะต้องเข้ามาหาเราเป็นด่านแรก ซึ่งความยากของงานนี้คือ ความซับซ้อนในแง่ของ Technical Terms ดังนั้นเราต้องเรียนรู้วิธีที่จะต้องสื่อสารจากสิ่งที่ยากให้ออกไปง่ายที่สุดเพื่อให้แต่ละแผนกมีความเข้าใจและนำไปใช้อย่างถูกต้องที่สุด
GDP เสมือนกำไรชีวิต เพราะผมได้รับโอกาสในการทำงานใกล้ชิดและรับคำแนะนำจากผู้บริหารระดับสูง พร้อมทั้งได้ดึงศักยภาพของผมออกมาได้อย่างเต็มที่ สะสมประสบการณ์ที่มีคุณค่าและจะช่วยให้ผมเติบโตในสายอาชีพอย่างรวดเร็วที่สุดครับ”
คุณสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) พร้อมด้วย คุณกฤติกา ชัยวิไล รองประธานกรรมการบริษัท (ซ้ายสุด) และคุณรวิรัชต์ ชัยวิไล ประธานบริหารด้านการเงิน (ขวาสุด) บริษัท ไทยแทฟฟิต้า จำกัด ร่วมแสดงความยินดีกับ QI JIE President OMODA & JAECOO THAILAND เปิดตัวรถ OMODA C5 EV ในงาน “O-PHENOMENON” an extraordinary celebration marking the offcial launch of the OMODA C5 EV ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ห้อง Plenary Hall 1-2 เมื่อเร็วๆนี้
“บางกอกเคเบิ้ล” โชว์วิสัยทัศน์ครบรอบ 60 ปี ตอกย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจสายไฟฟ้าและสายเคเบิลของไทย หลังผลวิจัยต่างประเทศพบยุค Net-Zero ดันความต้องการผลิตไฟฟ้าทั่วโลกพุ่ง 3 เท่าในปี 2050 หนุนความต้องการสายไฟทั่วโลกทะลุ 80 ล้านกิโลเมตร ประกาศแนวคิด “3 เซฟ” เซฟคน-เซฟเมือง-เซฟสิ่งแวดล้อม ยกระดับความปลอดภัยและขับเคลื่อนอนาคตของเมือง ด้วยสายไฟและสายเคเบิลเกรดพรีเมียม-การพัฒนาเทคโนโลยีสายไฟสำหรับ Smart City-การอำนวยความสะดวกการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ลุยสร้างความต่อเนื่องด้านนวัตกรรม 6 ทศวรรษ เปิดตัวสายไฟฟ้าแรงสูง 230kV รองรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน-นำสายไฟลงดิน-อัปเกรดสู่พลังงานหมุนเวียน เพิ่มกำลังการผลิตสู่ 60,000 ตันต่อปี ตั้งเป้า 3 ปี ชูความล้ำสมัยด้าน R&D บุกตลาดสายไฟอาเซียนและตลาดโลก ควบคู่พัฒนา Smart Factory เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ใส่ใจสังคม ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เตรียมจัดงานฉลองใหญ่ครบรอบ 60 ปี 9 ก.ย.นี้ พร้อมนิทรรศการโชว์เส้นทางเติบโตยั่งยืนและสายไฟพัฒนาเมือง
![]()
นายพงศภัค นครศรี กรรมการบริหาร บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) ผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย กล่าวว่า ตลอด 60 ปีที่ผ่านมา บริษัทและสายไฟฟ้าของบริษัทได้มีส่วนช่วยเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภคของประเทศ สร้างรากฐานการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม การพัฒนาเมืองและคุณภาพชีวิตของคนไทย อาทิ การพัฒนาสายไฟฟ้าใช้ในโครงข่ายของระบบส่งไฟฟ้าแรงสูง การริเริ่มนำสายไฟฟ้าลงดิน ตลอดจนการเชื่อมต่อสายส่งในระบบรถไฟฟ้า จนถึงวันนี้ที่โลกกำลังเดินหน้าสู่ยุค Net-Zero GHG Emissions มุ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ บริษัทประเมินว่าสายไฟฟ้าจะเข้ามามีบทบาทสำคัญอีกมาก เนื่องจากทั่วโลกจะมีความต้องการการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึงราว 3 เท่าตัว พร้อมทั้งเปลี่ยนผ่านไปใช้แหล่งไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนถึงราว 91% ภายในปี ค.ศ.2050 ส่งผลให้จะมีความต้องการสายไฟฟ้าถึงราว 80 ล้านกิโลเมตร เพื่อใช้อัปเกรดสายไฟฟ้าเดิมและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางไฟฟ้าใหม่ ให้สอดรับกับการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานทดแทน
“แนวโน้มในประเทศไทยเอง ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เราเห็นความต้องการสายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากหลากหลายปัจจัย ทั้งนโยบายการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City ทั่วประเทศ การเดินหน้าแผนพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความทันสมัย หรือ Grid Modernization การขยายตัวต่อเนื่องของธุรกิจที่ต้องการใช้ไฟฟ้ามหาศาลอย่าง Data Center การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานทดแทนของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้สอดคล้องกับทิศทาง Net Zero สายไฟฟ้าจะเป็นอีกหนึ่ง Key Driver ที่ช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานหมุนเวียน และขับเคลื่อนอนาคตของเมือง” นายพงศภัค กล่าว
บางกอกเคเบิ้ล ในฐานะผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย มุ่งมั่นนำความเชี่ยวชาญทางด้านวิศวกรรมมาพัฒนาเทคโนโลยีสายไฟฟ้าอย่างไม่หยุดยั้งให้สอดคล้องกับทิศทางของโลก โดยยึดหลักแนวคิด “เซฟคน เซฟเมือง เซฟสิ่งแวดล้อม” เพื่อยกระดับความปลอดภัยของทุกคนและขับเคลื่อนเมืองสู่อนาคต ได้แก่ 1.เซฟคน ปกป้องบ้านจากอันตรายที่มองไม่เห็น มอบความปลอดภัยให้ทุกคนในครอบครัว ด้วยสายไฟที่ผลิตจากวัสดุที่มีคุณภาพสูงสุด อาทิ สายไฟฟ้าจากทองแดงบริสุทธิ์ 99.99% อะลูมิเนียมบริสุทธิ์ 99.7% ที่นำไฟฟ้าได้ดีเยี่ยม ทนทานต่อการกัดกร่อน ปลอดภัยต่อการใช้งาน สายทนไฟที่ผ่านการทดสอบคุณสมบัติทนความร้อนได้ดี
![]()
2.เซฟเมือง ร่วมพัฒนาระบบไฟฟ้าของประเทศ รองรับการขยายตัวของเมืองและกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ด้วยสายไฟฟ้าที่ผ่านการรับรองมาตรฐานคุณภาพชั้นนำระดับนานาชาติ การทดสอบคุณภาพสายไฟในห้องปฏิบัติการทดสอบทางไฟฟ้า (Lab) ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย การบริการรถทดสอบสายไฟฟ้าแรงดันสูงเคลื่อนที่บริเวณหน้างานของลูกค้า ตลอดจนการพัฒนาโปรดักท์ใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเมือง และ 3.เซฟสิ่งแวดล้อม เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานหมุนเวียนที่เกี่ยวข้องกับสายไฟฟ้า เพื่อเชื่อมโยงประเทศไทยสู่เส้นทางอนาคตในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยบริษัทได้เป็นผู้ผลิตสายไฟฟ้าและเคเบิลรายเดียวในประเทศไทยที่เข้าร่วมในสมาคมเครือข่ายการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN Global Compact Network Thailand: UNGCNT) และคว้าการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว ระดับที่ 4 เดินหน้าธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน
นายพงศภัค กล่าวอีกว่า แนวคิด “3 เซฟ” จะรองรับการขยายตัวของเมืองในอนาคต และครอบคลุมทุกความต้องการใช้งานของลูกค้าทั้ง 7 กลุ่มของบริษัท โดยในระยะสั้น บริษัทได้พัฒนาสินค้าใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์แนวคิดดังกล่าว อาทิ สายไฟฟ้าแรงดันสูงพิเศษ (Extra High Voltage) ชนิด 230 กิโลวัตต์ รุ่น 230kV CE(CAS) รองรับการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางไฟฟ้า การนำสายไฟลงดินเพิ่มสุนทรียภาพของเมือง การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตัวนำอะลูมิเนียมคอมโพสิตหลัก (ACCC® Conductor) ซึ่งบริษัทเป็นผู้ผลิตรายแรกในไทย เพื่อใช้อัปเกรดระบบไฟฟ้าให้รองรับพลังงานหมุนเวียน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขณะเดียวกัน บริษัทจะเพิ่มกำลังการผลิตรวมจาก 55,000 ตันต่อปีในปัจจุบัน สู่ 60,000 ตันต่อปีภายในสิ้นปีนี้ และเพิ่มส่วนแบ่งตลาดสายไฟจาก 25% เป็น 35%
ขณะที่ในระยะกลาง 3 ปี (พ.ศ.2567-2569) บริษัทมุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจสายไฟฟ้าและสายเคเบิลในภูมิภาคอาเซียน ตอบโจทย์ความต้องการไฟฟ้าของทั้งไทยและโลก ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.การขยายสู่ตลาดภูมิภาค (Global Expansion) นำงานวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่ล้ำสมัยของบริษัท นำเสนอเป็นสินค้าที่โดดเด่นสู่เวทีโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน สร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายและซัพพลายเชนของบริษัท 2.การพัฒนาโรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) บูรณาการเทคโนโลยีใหม่ๆ และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสายไฟ มุ่งสู่อุตสาหกรรม 4.0 และ 3.การเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) ฉลอง 60 ปีบางกอกเคเบิ้ล ด้วยการยึดมั่นบริหารจัดการอย่างมีธรรมาภิบาล ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคม ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และผลิตสายเคเบิ้ลที่จำเป็นในการรองรับความต้องการด้านไฟฟ้าของโลกยุค Net-Zero
![]()
สำหรับ บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) เป็นผู้นำด้านการผลิตและพัฒนาสายไฟฟ้าและสายเคเบิลชั้นนำของประเทศไทย ก่อตั้งในปี พ.ศ.2507 ให้บริการครอบคลุม 7 กลุ่มการใช้งาน ได้แก่ 1.ระบบผลิตและส่งพลังงานไฟฟ้า (Transmission) 2.ระบบจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า (Distribution) 3.ระบบไฟฟ้าภายในบ้านพักและอาคาร (Construction and Building) 4.ระบบขนส่งและคมนาคม (Transportation and Mobility) 5.ระบบไฟฟ้าในโรงงาน และภาคอุตสาหกรรม (Industrial) 6.พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) และ 7.ระบบไฟฟ้าในรถยนต์ (Automotive) เพื่อสร้างความปลอดภัยและขับเคลื่อนเมืองสู่อนาคต ปัจจุบัน มีลูกค้าโครงการขนาดใหญ่ของทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวนมากที่ใช้สายไฟฟ้าของบางกอกเคเบิ้ล อาทิ โครงการวัน แบงค็อก (One Bangkok) สนามบินสุวรรณภูมิ
เคทีซีให้ความสำคัญกับการร่วมพัฒนาบุคลากรและดูแลคนไทยในสังคมให้มีความสุขทั้งกายและใจ และเมื่อประเทศไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ จึงได้จัดกิจกรรม "ภาพนี้ให้คุณยายหัวใจฟู" เพื่อส่งต่อกำลังใจและ ความห่วงใยเนื่องในเดือนแห่งวันแม่ โดยได้นำพนักงานเคทีซีจิตอาสาเดินทางไปเยี่ยมและทำกิจกรรมสร้างความผ่อนคลายให้กับผู้สูงอายุไร้ที่พึ่งกว่า 60 ชีวิต ณ สถานสงเคราะห์หญิงชราไร้ที่พึ่ง บ้านสุทธาวาส เฉลิมพระเกียรติฯ จังหวัดนครนายก
กิจกรรม “ภาพนี้ให้คุณยายหัวใจฟู” เริ่มต้นด้วยการที่พนักงานเคทีซีชวนคุณยายร่วมกันวาดภาพระบายสีเพื่อทำการ์ดอวยพร ซึ่งช่วยส่งเสริมสมาธิและผ่อนคลายจิตใจ โดยพนักงานจิตอาสาของเคทีซีได้เรียนรู้การวาดภาพจากครูอ๋อ พิศิษฐ์ เอกสินสมบูรณ์ พนักงานเคทีซีที่เกษียณอายุและผันตัวเองเป็นครูสอนศิลปะเต็มตัว เพื่อมาถ่ายทอดการวาดภาพระบายสีแบบง่ายๆ ให้กับคุณยาย และยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่อบอุ่นกับเหล่าผู้สูงวัยอีกด้วย ในขณะที่คุณยายเองได้ฝึกกล้ามเนื้อและคลายความเหงาไปกับกิจกรรมในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและเพลิดเพลินกับมินิคอนเสิร์ตโดยวงเคทีซี อะคูสติกจากพนักงานจิตอาสา พร้อมรับประทานอาหารว่างและมอบเครื่องใช้อุปโภคบริโภคที่จำเป็น ซึ่งผู้บริหารและพนักงานร่วมกันบริจาคและนำมามอบให้กับมูลนิธิฯ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระและเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับผู้สูงอายุภายใต้การดูแลของมูลนิธิฯ
นางสาวปิยะสุดา แคว้นนนทรีย์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานทรัพยากรบุคคล “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "การได้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความสุขและผ่อนคลายความกังวลให้ผู้สูงอายุผ่านกิจกรรม “ภาพนี้ให้คุณยายใจฟู” เป็นหนึ่งพันธกิจที่เคทีซีให้ความสำคัญในการช่วยเหลือสังคมในมิติต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเปิดโอกาสให้พนักงานได้มีส่วนร่วมเป็น “ผู้ให้” ในกิจกรรมต่างๆ ตามความถนัดและความสนใจ นอกเหนือจากการส่งเสริมให้พนักงานพัฒนาเสริมทักษะตนเองในด้านต่างๆ และหวังว่าโครงการนี้จะมีส่วนช่วยเติมรอยยิ้มและเสริมสร้างกำลังใจที่แข็งแรงให้กับผู้สูงอายุไร้ที่พึ่งอีกทางหนึ่ง และยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนเคทีซีในการทำความดีและทำประโยชน์เพื่อสังคมต่อไป"
นางสาวปิยฉัตร วงศาโรจน์ ผู้จัดการส่วนดูแล สถานสงเคราะห์หญิงชราไร้ที่พึ่ง บ้านสุทธาวาส เฉลิมพระเกียรติฯ เผยว่า “บ้านสุทธาวาส เฉลิมพระเกียรติฯ ดำเนินการช่วยเหลือดูแลที่พักพิงให้แก่หญิงชราที่ยากไร้ โดยได้รับความเห็นชอบให้เป็นหนึ่งในโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ ซึ่งได้เปิดรับคุณยายท่านแรกตั้งแต่ปี 2557 จวบจนปัจจุบันเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยกิจกรรม “ภาพนี้ให้คุณยายหัวใจฟู” ที่ทางเคทีซีได้จัดขึ้นนี้ เป็นสิ่งที่ช่วยเติมเต็มความสุขและความอบอุ่นให้กับผู้สูงอายุในมูลนิธิฯ อย่างมาก การได้รับการสนับสนุนจากเคทีซีเป็นสิ่งที่มีค่าและสำคัญในการช่วยดูแลและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้กับผู้สูงอายุในมูลนิธิฯ ได้เป็นอย่างดี"
โดยคุณยายบ้านสุทธาวาสฯ ได้เผยถึงการเข้าร่วมกิจกรรมในวันนี้ว่า “รู้สึกดีใจมากที่มีหน่วยงานหรือองค์กรให้ความสำคัญ มีคนมาหาและทำกิจกรรมด้วยกัน รู้สึกอบอุ่นหัวใจ มีกำลังใจ ขอบคุณทุกคนที่ทำให้วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่มีความสุขมาก”
เคทีซีชี้เทรนด์ดูแลสัตว์เลี้ยงเปรียบเสมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Parent) แรงต่อเนื่อง สะท้อนจากยอดรวมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีในหมวดสัตว์เลี้ยงช่วงเดือนมกราคม – กรกฎาคม 2567 ที่เติบโตขึ้น 12% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มอายุสมาชิก 55 ปีขึ้นไป มีสัดส่วนใช้จ่ายสูงสุดที่ 28% รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 30 – 39 ปี ที่ 25% โดยยอดใช้จ่ายหลักอยู่ที่โรงพยาบาลสัตว์และร้านค้าสัตว์เลี้ยง (Pet Shop) โดยสินค้ายอดนิยม ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง ของเล่น อุปกรณ์เสริม ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ รวมถึงเทรนด์เทคโนโลยี แอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มออนไลน์ อุปกรณ์ติดตามสุขภาพสัตว์เลี้ยง หรือ เครื่องให้อาหารอัตโนมัติ
นายธีรพจน์ โชคอนันตัง ผู้อำนวยการ การตลาดบัตรเครดิต ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากพฤติกรรมของสมาชิกที่ใส่ใจดูแลสัตว์เลี้ยงเปรียบเสมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Parent) เติบโตอย่างต่อเนื่อง เคทีซีจึงได้ออกแคมเปญ ‘Be my Love .. Be my Pet 2024 X Pet Friendly Hotel’ มอบส่วนลดสูงสุด 30% กับร้านค้าสัตว์เลี้ยง โรงพยาบาลสัตว์ชั้นนำและโรงแรม Pet Friendly ที่ร่วมรายการ นอกจากนี้ยังได้จัดกิจกรรม ‘PAW WOW WEEK - TOP SPENDER’ สมาชิกที่มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีในหมวดสัตว์เลี้ยงสูงสุด (ตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไป) ในช่วงระหว่างวันที่กำหนดของแต่ละสัปดาห์ (ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2567) รับบัตรกำนัลห้องพักโรงแรมฟรี 1 ห้อง 1 คืน พร้อมอาหารเช้า 2 ท่าน โดยโรงแรมที่ร่วมมอบรางวัล ได้แก่ อนันตศิลา บีช รีสอร์ต หัวหิน / อเวย์ บางกอก ริเวอร์ไซด์ คีน / แคสเซีย ภูเก็ต / ซัมเมอร์เซ็ท พัทยา / ไฮแอท รีเจนซี่ เกาะสมุย / ลา มิเนียร่า พูลวิลล่า พัทยา / ระยอง แมริออท รีสอร์ท แอนด์ สปา / เดอะ เภรี โฮเต็ล หัวหิน / อมารี หัวหิน / เดอะ เภรี โฮเต็ล เขาใหญ่ / เรเนซองส์ พัทยา รีสอร์ท แอนด์ สปา / ชามา เย็นอากาศ กรุงเทพฯ / ดุสิต ดี2 หัวหิน / เดอะ สุโขทัย กรุงเทพฯ / เดอะ สแตนดาร์ด หัวหิน และ ทูลานี รีสอร์ท กุยบุรี
สมาชิกที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม ‘PAW WOW WEEK - TOP SPENDER’ สามารถลงทะเบียนผ่าน 3 ช่องทาง ดังนี้ 1) ผ่านเว็บไซต์ โดยสแกน QR จากสื่อประชาสัมพันธ์ ณ จุดขาย หรือผ่าน ktc.promo/tsp 2) ผ่านSMS พิมพ์ TSP เว้นวรรค ตามด้วยหมายเลขบัตร 16 หลัก ส่งไปยัง 0613845000 (ต้องได้รับข้อความ
ตอบกลับยืนยันการเข้าร่วมรายการจากเคทีซี จึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมรายการ) และ 3) ผ่าน KTC PHONE โทรศัพท์ 02 123 5000
ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.ktc.co.th/promotion/pets/pet-accessories/bemylove-bemypet หรือ KTC PHONE โทรศัพท์ 02 123 5000
หมายเหตุ : บัตรเครดิตใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนดจะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี
นายพีระพงศ์ พิตรพิบูลพาทิศ (กลาง) ผู้บริหารสูงสุดสายงานสำนักกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้การต้อนรับผู้ช่วยศาสตราจารย์รักขิต รัตจุมพฏ (ที่ 7 จากซ้าย) รองคณบดีฝ่ายวิชาการ และนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี รวม 19 คน ซึ่งมาร่วมศึกษาดูงานมหกรรมไกล่เกลี่ยชั้นบังคับคดี ครั้งที่ 33 ที่เคทีซีจัดขึ้นร่วมกับกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม เพื่อให้นักศึกษาได้สัมผัสประสบการณ์จริงนอกห้องเรียนเป็นกรณีศึกษา และเรียนรู้แนวคิด รูปแบบ รวมทั้งเทคนิคการระงับข้อพิพาท เทคนิคของกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ เทคนิคกระบวนการยุติธรรมชุมชน และหลักการของกระบวนการ ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามกฎหมาย โดยมีนายณัชฐปกรณ์ หะไว (ที่ 6 จากซ้าย) ผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดีจังหวัดอุบลราชธานี ร่วมเป็นเกียรติในงานฯ ณ โรงแรมสุนีย์แกรนด์ จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อเร็ว ๆ นี้
อนึ่ง งานมหกรรมไกล่เกลี่ยชั้นบังคับคดี ครั้งที่ 33 นี้ มีผู้เข้าร่วมไกล่เกลี่ยหนี้และรับเงื่อนไขการชำระ 1,479 ราย คิดเป็นภาระหนี้รวมทั้งสิ้น 158 ล้านบาท
บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เซเว่น เดลิเวอรี่ และผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ขอบคุณนักลงทุนที่เข้ามาร่วมจองซื้อหุ้นกู้ชุดใหม่เต็มจำนวน 13,000 ล้านบาท ท่ามกลางสถานการณ์ความผันผวนของตลาดตราสารหนี้ไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกของประเทศที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 14,854 สาขา และความเชื่อมั่นจากนักลงทุน
บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ทั้ง 4 ชุด โดยเสนอขายให้กับประชาชนเป็นการทั่วไป ได้แก่ หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 4 ปี 4 วัน อัตราดอกเบี้ย 3.05% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.20% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 8 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.55% ต่อปี หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.75% ต่อปี โดยบริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ไปชำระคืนหุ้นกู้ของบริษัทฯ ที่จะครบกำหนดในเดือนสิงหาคม 2567 นี้
“บริษัทฯ ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่าน ที่ให้ความไว้วางใจเข้ามาร่วมลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทฯ จนทำให้ยอดจองซื้อเต็มวงเงินที่เสนอขาย 13,000 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทฯ ที่เป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกของประเทศภายใต้แบรนด์ “เซเว่น อีเลฟเว่น” และมีบริษัทย่อยที่เป็นผู้นำในธุรกิจค้าส่งของประเทศอีกด้วย โดยในการแสดงความจำนงจองซื้อหุ้นกู้ของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนสหกรณ์ได้แสดงความสนใจเข้ามาเป็นจำนวนมากกว่า 5.6 เท่าของยอดที่จัดสรรให้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ขอขอบคุณผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ให้การสนับสนุนบริษัทฯ ด้วยดีเสมอมา โดยหลังจากนี้ บริษัทฯ จะยังคงเดินหน้าสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างความสะดวกกับทุกชุมชน ตามวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ต่อไป”
ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทางผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้การตอบรับหุ้นกู้ของซีพี ออลล์ ในครั้งนี้เป็นอย่างดี ทำให้มียอดจองซื้อครบเต็มจำนวน 13,000 ล้านบาทตามที่บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายไว้ อีกทั้งหุ้นกู้ซีพี ออลล์ ในครั้งนี้ได้รับการปรับอันดับความน่าเชื่อถือเพิ่มมาอยู่ที่ระดับ “AA-” และมีแนวโน้มเป็น “คงที่” (Stable) เป็นทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจโดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์ตลาดตราสารหนี้มีความผันผวนสูง ซึ่งเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีความมั่นคงสูง และขอเน้นย้ำเพิ่มเติมสำหรับนักลงทุนที่พลาดโอกาสการจองซื้อหุ้นกู้ซีพี ออลล์ ในครั้งนี้ ขอให้ผู้ลงทุนโปรดระวังมิจฉาชีพที่แอบอ้างชื่อ “ซีพี ออลล์” หลอกลงทุน โดยนำเสนอผลตอบแทนที่สูงเกินจริงผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น Facebook และแอปพลิเคชั่น LINE เป็นต้น ทั้งนี้ ช่องทาง CP ALL ของจริง ต้องมีสัญลักษณ์ติ๊กถูกสีฟ้า (Verified Account) เท่านั้น”
ไบแนนซ์ (Binance) ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีปริมาณการแลกเปลี่ยนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตอกย้ำความมุ่งมั่นในด้านการกำกับดูแลนโยบายต่อต้านการฟอกเงิน (AML) กับการประกาศความสำเร็จในการได้รับการจดทะเบียนเป็นหน่วยงานนิติบุคคลที่รายงานขึ้นตรงต่อหน่วยข่าวกรองทางการเงินของประเทศอินเดีย (FIU-IND) ซึ่งถือเป็นการบรรลุเป้าหมายด้านกฎระเบียบระดับโลก (global regulatory milestone) อีกครั้งของไบแนนซ์ และตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลก
![]()
นายริชาร์ด เทง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไบแนนซ์ กล่าวถึงความก้าวหน้าในครั้งนี้ว่า “การจดทะเบียนระหว่างไบแนนซ์และหน่วยข่าวกรองทางการเงินของประเทศอินเดียถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของเรา ซึ่งด้วยศักยภาพที่แข็งแกร่งของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในอินเดีย การที่เราได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่สามารถให้คำแนะนำในด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เหมาะสม จะทำให้เราสามารถส่งมอบการบริการที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานชาวอินเดียได้ ซึ่งการขยายขอบเขตการให้บริการของแพลตฟอร์มไบแนนซ์อันล้ำสมัยมายังอินเดียในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งเพื่อช่วยส่งเสริมการพัฒนาสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศอินเดียต่อไป”
ทั้งนี้ จากรายงานดัชนีการเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลของทั่วโลกของ Chainalysis ในปี 2565 (Chainalysis’ 2023 Global Crypto Adoption Index) ได้เผยให้เห็นว่า ประเทศอินเดียถือเป็นผู้นำของโลกในด้านการยอมรับการใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมทั้งยังติดกลุ่ม 5 อันดับแรกในด้านปริมาณการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลบนแพลตฟอร์มแบบรวมศูนย์และแบบกระจายศูนย์ แพลตฟอร์มการกู้ยืม สินทรัพย์คริปโต (Lending Protocols) และสัญญาอัจฉริยะของโทเค็น (Token Smart Contracts) ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ย้ำให้เห็นถึงความตื่นตัวและศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศอินเดีย รวมถึงความสำคัญเชิงกลยุทธ์ที่ประเทศนี้จะมีต่อโลกการเงินในอนาคตอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ ไบแนนซ์ จึงได้นำโปรแกรมระดับโลกด้านการปฏิบัติตามตามกฏระเบียบข้อบังคับมาประยุกต์ใช้ โดยโปรแกรมดังกล่าว ครอบคลุมถึงนโยบายต่อต้านการฟอกเงินที่เข้มงวด และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินให้กับการก่อการร้าย (Combating the financing of terrorism - CFT) โดยไบแนนซ์หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการนำกรอบการทำงานนี้มาใช้ในประเทศอินเดีย จะสามารถช่วยยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศทั้งหมด พร้อมไปกับการเสริมยังช่วยสร้างความมั่นใจในด้านความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานทุกคนอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือความเข้มงวดด้านจากการกำกับดูแลตามนโยบายต่อต้านการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายแล้ว ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ของการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ไบแนนซ์ให้ความสำคัญ อย่าง กระบวนการยืนยันตัวตน KYC และหน่วยงานการกำกับดูแลด้านอาชญากรรมทางการเงิน (FCC) ชั้นนำของอุตสาหกรรม ซึ่งทำหน้าที่ในการช่วยเหลือหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในการสืบสวนอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมร่วมพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถ เพื่อสร้างให้เกิดความปลอดภัยร่วมกันของระบบนิเวศ โดย นายริชาร์ด เทง ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ความมุ่งมั่นของเราในการปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเข้มงวดเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ทางธุรกิจของไบแนนซ์ เพราะเรามีเป้าหมายที่ต้องการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย โปร่งใส และมีประสิทธิภาพให้เกิดขึ้นในอุตสาหกรรม”
เว็บไซต์และแอปพลิเคชันของ Binance พร้อมให้บริการอย่างเต็มรูปแบบสำหรับผู้ใช้ชาวอินเดียตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติถอดถอนนายเศรษฐา ทวีสิน จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยได้เสนอชื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ "อุ๊งอิ๊ง" เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567 น.ส.แพทองธาร ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ทำให้เธอกลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ เป็นสตรีคนที่สองที่ดำรงตำแหน่งนี้ และเป็นบุคคลที่สามในตระกูล “ชินวัตร” ที่ได้นั่งเก้าอี้ผู้นำประเทศไทย ส่งผลให้เกิดกระแสการพูดคุยและถกเถียงอย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดีย
บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ได้ทำการรวบรวมข้อมูลผ่านเครื่องมือ DXT360 เพื่อฟังเสียงในสื่อสังคมออนไลน์ (Social Listening) ในช่วงวันที่ 15 - 18 สิงหาคม 2567 ถึงประเด็น “นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทย” พบว่าชาวโซเชียลต่างแสดงความคิดเห็น สะท้อนทั้งความคาดหวัง และข้อกังวลต่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในแง่มุมที่หลากหลาย ทั้งเชิงบวกและเชิงลบ สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างทางความคิดและทัศนคติทางการเมืองในสังคมไทยได้อย่างชัดเจน

วิเคราะห์ความรู้สึกของชาวโซเชียลต่อนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 (Sentiment Analysis)
ประเด็นที่ชาวโซเชียลพูดถึงนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 (Comment Topics)
เมื่อวิเคราะห์เนื้อหาของความคิดเห็น (Comments) ที่ปรากฎในโซเชียลมีเดีย สามารถสรุปประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับนายกฯ แพทองธาร ได้ดังต่อไปนี้
นโยบายแจกเงินดิจิทัล หรือ นโยบายการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในโซเชียลมีเดีย ประชาชนส่วนใหญ่แสดงความกังวลว่านโยบายนี้อาจจะไม่ได้รับการดำเนินการต่อ ส่งผลให้มีทัศนคติเชิงลบต่อพรรคเพื่อไทย และนายกฯ แพทองธาร สูงถึง 74.7% ของการกล่าวถึงนโยบาย Digital Wallet
อย่างไรก็ตาม ยังมีบางส่วนที่ยังคงมีความหวังว่านายกฯ แพทองธารจะสามารถดำเนินนโยบายนี้ต่อไปได้ เนื่องจากมีข้อมูลว่างบประมาณบางส่วนได้รับการอนุมัติแล้ว
หนึ่งในนโยบายหาเสียงสำคัญในการเลือกตั้งที่ผ่านมา คือการลดหย่อนค่าสาธารณูปโภค เช่น การลดค่า Ft และค่าน้ำมัน ซึ่งสัญญาว่าจะดำเนินการได้ทันทีหากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ปัจจุบัน ความคิดเห็นส่วนใหญ่บนโซเชียลมีเดียอยู่ในสถานะ 'รอดู' โดยยังไม่ตัดสินว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่จะสามารถดำเนินการตามนโยบายนี้ได้หรือไม่ ส่งผลให้ทัศนคติส่วนใหญ่เป็นกลาง คิดเป็น 85% ของการกล่าวถึงนโยบายด้านการช่วยเหลือค่าสาธารณูปโภค
ก่อนการรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร รับบทบาทประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ส่งผลให้ประชาชนในโซเชียลมีเดียมีความคาดหวังเชิงบวกต่อการผลักดันนโยบายด้านซอฟต์พาวเวอร์ของเธอ โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ เช่น การผลักดันการศึกษา การส่งเสริมการท่องเที่ยว การยกระดับการผลิตสินค้า เป็นต้น
ปัญหายาเสพติดในประเทศไทยทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องและส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อสังคมไทย สาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือการขาดความเด็ดขาดในการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ นโยบายด้านสาธารณสุขที่นำกัญชาและกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดได้สร้างความท้าทายในการจัดการกับปัญหานี้ ภายหลังจากที่ น.ส.แพทองธารได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประชาชนในโซเชียลมีเดียต่างแสดงความคาดหวังอย่างสูงต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด ความคาดหวังนี้มีรากฐานมาจากความสำเร็จในอดีตของรัฐบาลภายใต้การนำของนายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา ซึ่งสามารถจัดการกับปัญหายาเสพติดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในช่วงหาเสียง พรรคเพื่อไทยได้เสนอนโยบายเพื่อดึงดูดความสนใจจากประชาชน โดยเฉพาะการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาทต่อวัน และเงินเดือนผู้จบการศึกษาปริญญาตรี 25,000 บาท เมื่อมีการประกาศแต่งตั้ง น.ส.แพทองธาร ลูกสาวของอดีตนายทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ประชาชนในโซเชียลมีเดียจึงให้ความสนใจนโยบายนี้ โดยหวังว่าเธอจะสามารถทำให้เศรษฐกิจดีเช่นเดียวกับบิดาของเธอที่ทำได้ในอดีต
อย่างไรก็ตาม มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากบางส่วน (5% ของการกล่าวถึงนโยบายการเพิ่มรายได้) ที่แสดงความไม่เชื่อมั่นว่านายกฯ แพทองธาร จะสามารถทำให้นโยบายด้านรายได้ประสบความสำเร็จได้ นอกจากนี้ อีกประเด็นที่ได้รับการพูดถึงอย่างมากคือการอ้างอิงคำกล่าวของ น.ส.แพทองธารในช่วงหาเสียง “มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ไปพร้อม ๆ กัน

หลังจากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล สลับขั้วไปจับมือกับพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นกลุ่มขั้วอำนาจเดิมในฝั่งอนุรักษ์นิยม และทำให้พรรคก้าวไกลต้องไปเป็นฝ่ายค้าน ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย รวมถึงการผิดคำมั่นที่พูดไว้เรื่อง “ปิดสวิตช์ 3 ป” ตอนหาเสียงเลือกตั้ง เหตุการณ์เหล่านี้นำไปสู่ความไม่พอใจของชาวโซเชียลบางกลุ่มจนเกิดวลี “เพื่อไทยหักหลังประชาชน” รวมถึงมีการแสดงความคิดเห็นโดยใช้อิโมจิรูปสตรอว์เบอร์รี่เป็นสัญลักษณ์ สะท้อนถึงความไม่เชื่อมั่นที่มีต่อพรรคเพื่อไทย และนายกฯ แพทองธาร ในฐานะผู้นำพรรค
ประเด็นความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องอายุและประสบการณ์ทางการเมือง ประเด็นหลักที่ถูกหยิบยกขึ้นมา ได้แก่ อายุน้อยเมื่อเทียบกับนายกรัฐมนตรีคนก่อน ๆ และขาดผลงานทางการเมืองที่เป็นที่ประจักษ์
นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวอ้างถึงคำพูดของนายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่เคยกล่าวเมื่อครั้งที่มีการเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ว่า “ไม่ต้องการได้สามเณรเป็นเจ้าอาวาส” ในครั้งนี้จึงมีการเปรียบเปรยกันในบางส่วนของสังคมออนไลน์ว่า "ได้แม่ชีเป็นเจ้าอาวาส" โดยต้องการสื่อถึง น.ส.แพทองธาร อย่างไม่เป็นทางการ
ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์แสดงข้อสงสัยเกี่ยวกับการได้มาซึ่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร โดยมีประเด็นหลักดังนี้
ข้อสงสัยเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความกังวลของประชาชนต่อความโปร่งใสและความเป็นอิสระในการบริหารประเทศของนายกรัฐมนตรีคนใหม่
![]()
ชาวโซเชียลบางส่วนแสดงความยินดีและพร้อมสนับสนุนนายกฯ แพทองธาร โดยมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถบริหารประเทศได้ดี จึงอยากให้โอกาสและรอดูผลงานก่อนแล้วค่อยตัดสินทีหลัง โดยสิ่งที่ชาวโซเชียลกำลังจับตาพิจารณาในช่วงนี้คือการแต่งตั้งรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ ที่สำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจว่าจะใช้คนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมบริหาร หรือเป็นกลุ่มนักการเมืองรุ่นเก่าที่เคยทำงานกับนายทักษิณมาก่อน
เหตุการณ์ที่ผ่านมาได้สร้างความกังวลให้กับประชาชนในโซเชียลมีเดีย โดยมีประเด็นหลักดังนี้
ประเด็นเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่มั่นใจของประชาชนต่อเสถียรภาพทางการเมืองในปัจจุบัน
แม้ว่าประเด็นหลักซึ่งมีการถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กันในหลากหลายแง่มุมจะเกี่ยวข้องกับความนิยมของตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทย รวมถึงการแบ่งแยกแนวคิดทางการเมืองระหว่างอนุรักษ์นิยมและเสรีนิยม แต่ก็ยังคงมีการพูดถึงประเด็นเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจ ปากท้องและความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งมีมุมมองที่น่าสนใจดังนี้
Insight ที่น่าสนใจจาก Reaction ของผู้คนบนเฟซบุ๊ก
การวิเคราะห์การแสดงอารมณ์และความคิดเห็นเกี่ยวกับนายกฯ แพทองธารผ่าน Reaction บนเฟซบุ๊ก พบประเด็นที่น่าสนใจ คือโดยปกติผู้ใช้เฟซบุ๊กมักจะกดไลค์ (Like) เพราะกดง่าย แตกต่างจาก Reaction อื่นที่ต้องเลื่อนเพื่อจะเลือก แต่จากการศึกษาโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับนายกฯ แพทองธารซึ่งมี Engagement สูงกว่า 10,000 ครั้ง กลับพบว่ามีการกดปุ่ม "หัวเราะ" เฉลี่ยสูงถึง 29% ของ Reaction ทั้งหมด ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงอย่างมีนัยยะสำคัญ